วันสิ้นยุคเป็นปี 2030,กับข่าวลือต่างๆที่เกิดขึ้นจักรวาลมีข่าวมาแจ้ง

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ดูท่านอยู่นะครับ, 6 มีนาคม 2008.

  1. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    คนที่มีนิสัยเป็นคนชั่ว เราจะมองว่าเขาชั่วก็คงไม่ได้ เขาอาจจะรับกรรมของเขาจากชาติที่แล้วอยู่ หรือมองอีกแบบหนึ่งก็คือ เขาต้องลักต้องชั่วเพื่อ ชดใช้สิ่งที่เขาเคยถูกกระทำไว้ เพราะการกระทำของเขาอาจจะทำให้เขาหมดกรรมตรงนั้นหรือว่าสลายกรรมตรงนั้นไป ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่า เขาสำนึกได้เท่านั้น ส่วนจะตอบว่า เขาจะไปไหนนั้น มันก็ขึ้นอยู่มี่จิตของเขาว่าจะยังลงเหลือกรรมใดที่ต้องชดใช้อยู่อีกครับ ฟันธงไม่ได้

    ในส่วนที่ว่านักวิทยาศาสตร์บอกว่าคนที่เชื่อเรื่องสวรรค์นรกนี้มันงมงาย นี้หมายรวมถึงศาสดาในทุกๆศาสนาหรือไม
    ให้อ่านให้ดี ๆ นะครับ สิ่งที่อาจารย์ตอบนั้นมันคือจุดเริ่มต้นของแต่ละจิตวิญญาณ แท้ที่จริงแล้วมันควรจะเป็นอย่างนี้ ที่ศาสดาท่านเคยกล่าวไว้สิ่งเหล่านี้ล้วนมีอยู่ แต่เราจะไปยึดติดในสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ก็คือ ให้ละวางจากสิ่งเหล่านี้ให้หมดไม่เช่นนั้น นิพพานไม่ได้ อาจารย์กล่าวถึงและบอกทิศทางไปสู่นิพพานฉะนั้นเรื่องบางอย่างก็มีบ้าง ถ้าเรายังคิดแบบมนุษย์ทั่วๆ ไปที่มองว่าผิด อาจารย์ถึงมีหนังสือ ที่มีเรื่องว่า อย่าคิดแบบจิตมนุษย์
     
  2. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    สิ่งที่ผมถามหมายความว่า ถ้าหากผมไม่เชื่อเรื่องสวรรค์นรก ผมสามารถละวางซึ่งความเชื่อในเรื่องดังกล่าว แล้วผมไปทำชั่วหรือทำความดี (จะเพื่อเป็นการแก้กรรมอะไรก็แล้วแต่) แล้วผมจะสามารถไปนิพพานได้หรือเปล่าครับ แต่ถ้าไปไม่ได้ผมจะไปอยู่ไหนครับในเมื่อไม่มีสถานที่ๆผมจะดำรงอยู่ได้ (เพราะผมไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ แต่ผมนิพพานไม่ได้)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2008
  3. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ครับ เมื่อคุณไม่เชื่อ แต่การสั่นสะเทือนของจิตคุณไปทางทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่ คือ มันแล้วแต่ น้ำหนักของจิตวิญญาณที่เหลืออยู่ครับ ว่ามันเหลือน้อยขนาดไหนถ้าเหลือน้อยมากจิตวิญญาณของคุณก็สามารถลอยขึ้นไปจากพื้นโลกได้สูง จนขนาดว่าเกือบหลุดไปนอกเอกภพหรือสนามพลังงานสากลนี้ได้ (ถ้าหลุดไปนอกเอกภพ คือแดนนิพพาน นั่นเอง) แรงดึงดูดของโลก แรงดึงดูดของจักรวาล แรงดึงดูดของเอกภพ มันมีค่าของมันอยู่ ถ้าจิตวิญญาณของคุณสะอาดมากเท่าใด มันยิ่งลอยตัวไปได้ไกลครับ
    การให้ละวางสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นอยู่ ก็เพื่อจุดประสงค์ตรงนี้ เพื่อให้ดวงจิตวิญญาณหรือดวงจิตธรรมญาณ เบาที่สุด จนไม่สามารถอยู่ในโลกนี้หรือในเอกภพนี้ได้ ถ้าคุณต้องการอยู่มันก็อยู่ไม่ได้ครับ
    แต่จะบอกว่าไปอยู่ที่ใดนั่น คงตอบไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทำความสะอาดจิตวิญญาณของคุณว่ามันสะอาดเท่าใด
    สมากชิกท่านอื่นๆ สามารถตอบได้นะครับ
     
  4. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    ถ้าอย่างนั้นเห็นทีคนที่ไม่เชื่อเรื่องสวรรค์นรก คงต้องกลายเป็นเป็นก้อนพลังงานลอยอยู่ในอวกาศแน่ :)
     
  5. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ครับเป็นไปได้ก็มี แต่คุณแน่ใจแล้วหรือว่า ในแต่ละเวลาคุณ ไม่มีโกรธเกลียดเครียดแค้น อาฆาต สรรพสิ่งใด จิตคุณวางอุเบกขาได้ทุกเรื่องหรือยัง ยังมีดีมีชั่วอยู่หรือไม่ ถ้ายังมี การที่คุณล่องลอยไปอยู่ตรงนั้นแล้วมีจิตวิญาณดวงอื่นที่อยู่ในระดับท่านมารวมกันอยู่มากๆเข้า มันก็จะกลายเป็นชมชนกลายเป็นเมือง ขึ้นมาอีก ถ้าคิดต่อนะครับ คิดเล่นๆๆๆขำๆๆนะครับ
     
  6. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    เรื่องนรก-สวรรค์ที่ซ้อนกับภพภูมิมนุษย์อยู่นั้นเป็นเรื่องจริง..
    อาจารย์ได้เคยอธิบายเรื่องนรก-สวรรค์ชนิดละเอียดยิบมาแล้วครั้งนึง
    แต่ที่ไม่ให้เชื่อ..ไม่ได้หมายความว่าไม่มีครับ เพราะความเชื่อจะทำให้เราผูกติดกับเรื่องเหล่านี้..

    ความเชื่อทำให้เรา"หลงมิติ"และหาหนทางไปนิพพานกันไม่ได้
    วนเวียนอยู่ในวัฎะสงสารนับเนื่องมาเป็นหมื่นๆปีจนถึงทุกวันนี้ครับ

    "ภพภูมิสวรรค์" เกิดขึ้นหลังจากที่มนุษย์กลับคืนหรือนิพพานกันไม่ได้..ดวงจิตธรรมญาณเบากว่าความเป็นมนุษย์ก็จริง มีใจบุญใจกุศล แต่ยังติดลาภยศสรรเสริญ บ้างก็ทำความดีแต่ยังหวังผลตอบแทน จึงกลายเป็นที่พักรอการมาเกิดใหม่ตามรหัสที่ติดมากับจิตวิญญาณหนัก-เบาตามระดับชั้นต่างๆ
    ส่วน "นรก" จึงคล้ายๆเป็นโรงเรียนดัดสันดาน ไว้แก้ไขจิตสำนึกที่บกพร่อง รอการกลับมาเกิดใหม่เช่นกัน

    ยังมีด่านสำคัญอีกด่านครับก่อนจะเข้าสู่นิพพานเรียกว่า.."ด่านนภาลัย"
    อยู่ ณ.สุดปลายของทางช้างเผือก เหมือนเป็นจุดถอดรหัสของความจำได้หมายรู้ รหัสสัญชาติญานมนุษย์ ก่อนจะกลับคืนสู่แดนสุญญาตาตามคุณสมบัติเดิมแท้.. ของทางอนุตรธรรมจะเรียกด่านนี้ว่า "ด่านตรีเทพพิทักษ์" มีพระอรหันต์และหลวงปู่ฯหลายๆท่านทำหน้าที่ช่วยเหลือถอดรหัสอยู่ตรงนี้หลายท่าน
    เรียนรู้ให้สนุกนะครับ..ยังมีเรื่องราวให้ปะติดปะต่อกันอีกมากเหมือนต่อจิกซอร์ครับจนกว่าเราจะเข้าใจหนทางและภาพรวมได้ชนิดเป็นผืนเดียวกันหมดครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2008
  7. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ถาม : ก่อนที่พระพุทธเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์นั้น ท่านได้มาเกิดเป็นมนุษย์หลายภพชาติ

    ตอบ : การมาเกิดแบบนั้น จิตจักรวาลให้ใช้คำว่า ยิ่งกว่า อวตาร หมายความว่า ตัวเองมีฤทธิ์อำนาจสูงมาก จะมาแบบอวตารเลยก็ได้ แต่ไม่ มาตามปกติ อย่างนี้เรียกว่า ยิ่งใหญ่มาก ยิ่งกว่าอวตาร คือ ผ่านมาหลายภพชาติเพื่อยกระดับ
    การที่จิตจักรวาลมาสื่อความจริงตรงนี้ให้มนุษย์ได้รับฟัง ถือว่าเป็นโชคอันประเสริฐของมนุษย์ทุกคน เพียงแต่ว่าจะใส่ใจฟังกันหรือไม่ เมื่อจิตคิดว่า เป็นอะไร นั่น คือ ความต้องการ เมอคะบาร์จะเป็นตัวทำหน้าที่สร้างมายาขึ้นมาให้ นั่นเมื่อจิตวิญญาณหลงมิติไปกับจิตหยาบ การสั่นสะเทือนเป็นคลื่นของการเชื่อ เชื่อในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มันก็จะไปโปรแกรมให้เมอคะบาร์ทำหน้าที่ตาม เมอคะบาร์เหมือนจิตใต้สำนึกตอนที่อยู่ในร่างกายเรา เราเชื่อผิดๆ มันก็ผิดตาม เราเชื่อในสิ่งที่ชั่วๆจิตใต้สำนึกมันก็ทำในสิ่งที่ชั่วๆตาม เพราะมันไม่รู้หรอกว่าอันไหนดี ไหนชั่ว มันมีหน้าที่สนองตามที่เราคิด เราคิดว่าเราเป็นเทวดา เขาก็ทำให้เราเห็นเป็นเทวดา มีเมืองเทวดาขึ้นมามากมาย เราเป็นคนไทยเราก็เป็นเทวดาไทย เป็นฝรั่งก็เป็นเทวดาฝรั่ง

    ถาม : การทำให้สมองของคนเราใช้งานได้อย่างเต็มที่ ทำได้อย่างไร

    ตอบ : คือทำให้จิตของเราสมดุล สมองของเราจะได้ใช้งานได้เต็มที่ เพราะว่าพลังอำนาจของจิตนั้นจะเป็นตัวสร้างคลื่นการสั่นสะเทือนให้กับเซลล์สมอง ถ้าจิตเรามีพลังอำนาจไม่ได้สับสน วอกแวกอะไรนัก มันก็จะทำให้พลังงานของจิตสูง สูงมากพอที่จะทำให้เซลล์สมองทั้งหมดสั่นสะเทือนพร้อมกันได้ คือ เมื่อคุณใช้ความคิดแล้วคุณคิดออก

    ถาท : ถ้ามนุษย์คิดว่าตัวเองมีอำนาจ แล้วก็คิดอยู่ตลอดเวลาว่า ฉันมีอำนาจ จะถือว่ามนุษย์นั้นอหังการ์หรือไม่

    ตอบ : ไม่ เพราะถือว่านั้นคือกฏเกณฑ์ของเครื่องยนต์แห่งกรรม มนุษย์ต้องรู้และไม่ใช่ว่ารู้แล้วเอาตรงนั้นมาทำให้เกิดความหลงในตนเอง มันคนละเรื่องกัน การที่เราเข้าใจกลไลเครื่องใช้เครื่องมือ ไม่ได้หมายความว่า เราหลงในเครื่องมือ เครื่องใช้ ชิ้นนั้น เราเรียนรู้ที่จะใช้มันได้อย่างไรเท่านั้นเอง

    ถาม : การสะกดจิตย้อนอดีต มีประโยชน์และมีโทษอย่างไร

    ตอบ : มีประโยชน์ก็ตรงที่ว่า ทำให้มนุษย์ได้ล่วงรู้อดีตของตนเองในสิ่งที่ตนเองเคยกระทำเอาไว้ เพื่อที่จะเอามาใช้ประโยชน์ในการแก้ไขใหม่ในภพชาติปัจจุบัน ที่เรากำลังเผชิญอยู่ได้อย่างถูกต้อง ถ้าเป็นโทษก็คงเป็นอย่างเดียวว่า มนุษย์คนนั้นจิตยังติดกิเลสอยู่ มนุษย์ก็อาจจะเอาพลังอำนาจของตนเองตรงนั้นมาทำให้เกิดการหลงตนเอง ทำให้ติดยึดเกาะจับกับการมีตัวตนมากขึ้น ทำให้ตนเองคิดว่าเป็นผู้วิเศษ เหนือกว่ามนุษย์คนอื่นๆ ทั้งผู้กระทำให้และผู้ถูกกระทำความไม่ดีอย่างอื่นไม่มี

    ถาม : ให้จิตจักรวาลพูดถึงเรื่องการมีสัจจะ

    ตอบ : ในเบญจศีล มีศีลอยู่ข้อเดียวที่เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับแก่นแท้ กับความเป็นมนุษย์ คืด จิตวิญญาณโดยตรง นอกนั้นแล้วเป็นเรื่องกายภาพที่จะทำให้จิตมนุษย์เสียสมดุล แต่สิ่งหนึ่งที่มันหลุดออกมาจากข้างในแก่นแท้ๆเลย คือ ข้อที่เกี่ยวข้องกับการพูดมุสา(การพูดปด) ข้อนี้จะเป็นข้อใหญ่ที่สุดที่มันเกี่ยวข้องกับการเป็นมนุษย์โดยตรง คำว่า สัจจะ คือ ความจริง ซึ่งมุสานั้นรวมสัจจะเอาไว้ด้วย มุสา หมายถึง การพูดปด พูดเท็จ พูดก้าวล่วง พูดส่อเสียด พูดเหยียดหยาม พูดให้ร้ายคนอื่น พูดให้คนอื่นรู้สึกว่า เขาด้อยคุณค่า พูดให้คนอื่นผิดหวัง เสียใจ พูดให้คนอื่นหลงผิด ข้อนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับมุสา ที่จักรวาลเรียกว่า สัจจะ ทั้งสิ้น ตรงนี้ที่เราพูดมันเกิดจากความรู้สึกนึกคิดในใจของเราเป็นเหตุ ไม่ได้เกิดจากอารมณ์เป็นเหตุ เกิดจากจิตใจของเราเป็นเหตุ ถ้าเกิดจากอารมณ์เป็นเหตุมันยังอยู่เปลือกนอกยังไม่เท่าไร เป็นแค่กิเลส การพูดที่เกี่ยวกับสัจจะ มันออกมาจากการสั่นสะเทือนภายในของตัวเราเองเป็นการสั่นสะเทือนที่เป็นคลื่นความถี่ที่ค่อนข้างรุนแรง และมันจะเกิดผลของการกระทำรุนแรง มันกลายเป็นคุณสมบัติของคนนั้นโดยตรง เป็นการแสดงคุณสมบัติของแก่นแท้เลย ซึ่งตรงนั้นเป็นเรื่องใหญ่มากในศาสตร์ของจักรวาล เพราะในจักรวาลไม่มีใครพูดปด ทุกอย่างล้วนเป็นสัจจะ ไม่มีใครโกหกใคร เพราะทำอะไรเมื่อใด จิตจักรวาลรูปธรรมอื่นล้วนรู้ถึงกันหมด คุณสมบัติของมันเป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้นเวลาคุณใช้จิตของคุณสั่นสะเทือนในเรื่องของการโกหก ในเรื่องที่ไม่จริงเขาก็รู้ จักรวาลเขาก็รู้ เพียงแต่มนุษย์ด้วยกันเองเท่านั้นที่อาจจะไม่รู้ การก้าวล่วงผู้อื่นในเบญจศีลนั้น มนุษย์ผู้อื่นยังสามารถรับรู้ได้เท่าทัน ไม่ทันทีที่ถูกกระทำ แม้กระทั่งตนเองก็รู้ทันที เช่น ดื่มเหล้า ทำให้จิตตัวเองขาดสติก็จะรู้ทันที การก้าวล่วงในที่นี้จักรวาลหมายถึงการก้าวล่วงตนเองและผู้อื่น หรือ ศีลข้อแรก ปาณา... การฆ่าคนอื่น คนที่ถูกฆ่าเขารู้ไหม เขาก็รู้ แต่การที่คนอื่นถูกเราโกหกนะ เขารู้ไหมเขาไม่รู้ ตรงนี้ละครับ บาปหนักหนา ศีลห้าข้อมุสา(โกหก) หนักที่สุด แล้วกระทำขึ้นมาเมื่อใดตัวเรารู้คนอื่นไม่รู้ มันเป็นการกระทำที่ไม่เกิดจากอารมณ์ไง มันเป็นการกระทำที่เป็นคุณสมบัติของแก่นแท้ของเรา คือ จิตหยาบ แต่การทำอย่างอื่น เขาแต่งตัวโป้ ยั่วยวน เกิดความอยากทางเพศ แล้วไปปลุกปล้ำเขา ไปล่วงเกินเขา อันนั้นมันยังเบากว่า เป็นบาปน้อยกว่า เพราะมันเกิดจากกิเลสภายนอกของจิต มันไม่ได้เกิดจากแก่นแท้ที่เป็นคุณสมบัติของจิต พอไม่เห็นเรายั่วเราก็ไม่เป็น แต่เวลาที่เขาเชื่อเราตอนนั้นเขารู้ไหม เขาไม่รู้หรอก เขามารู้ทีหลัง บาปที่สุดคือการก้าวล่วงด้วยวาจาจากใจจากจิตสำนึกของคุณที่ไม่ถูกต้องนั้นคือ บาปที่สุด การพูดเป็นคุณสมบัติหลักของการเป็นมนุษย์อยู่แล้ว
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ถาม : การพูดอย่างนี้ของอาจารย์เป็นสิ่งที่คนจะพูดว่าเชื่อได้หรือเชื่อไม่ได้
    ตอบ : เราบอกแล้วไง ใครฟังเราแล้วอย่าเชื่อเลยทันที และอย่าเพิ่งปฏิเสธเลยทันที ให้ถือว่าเป็นความรู้ใหม่ เราจะปฏิเสธมันได้เมื่อเราเข้าถึงปัญญาญาณให้ได้ด้วยตัวเราเอง แล้วเราหยั่งรู้ด้วยปัญญาว่าจริงหรือไม่จริง ใช่หรือไม่ใช่ ถ้าคุณใช้ปัญญาญาณของคุณแล้ว แล้วปัญญาญาณสื่อบอกคุณว่า สิ่งที่คุณรู้จากเรามันไม่จริงไม่ถูกต้อง คุณไม่เชื่อ คุณปฏิเสธมัน เราก็บอกว่า โอเค เพราะคุณไม่งมงายแล้วต่างหาก

    เห็นด้วยค่ะ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ความรู้สึกส่วนตัวบอกว่า จิตจักวาล น่าจะเป็นระดับ พรหม แต่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นสัพพัญญู ผู้ชี้ทางตรง ทางดับกิเลส ทางตรงสู่นิพพาน (นิพพาน ปรินิพพาน ไม่มาเกิดอีก สภาวะของพรหม เมื่อหมดอายุก็ต้องมาเกิดอีก เพียงแต่อายุของพรหมนานมาก จนดูเหมือนเป็นอมตะ มีประสบการณ์การเห็นภาวะการเกิดดับของโลกและจักรวาลหลายครั้งหลายหน) ถ้าเราเข้าใจเรื่องของจิตใจของตัวเราแล้วฝึกในทางตรงย่อมมีโอกาสสำเร็จ บรรลุมรรคผลนิพพานได้ ถ้าเพียรพยายาม แต่ถ้ารู้เรื่องจักรวาลแล้วยังไม่สามารถหลุดพ้นไปได้ ย่อมไม่เกิดประโยชน์อันใด
    ธรรมของพระพุทธองค์ จากประสบการณ์ของหลวงปู่เทสก์
    เทสโกวาท100 ปี บทที่ว่าด้วยเรื่องจิตใจ ( หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ) <o:p></o:p>
    ความรู้เรื่องจิตใจเรียกว่า “วิชชา”
    พระพุทธศาสนาสอนให้น้อมเข้ามาพิจารณาในตัวของเรานี้
    ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ก็อยู่ในตัวของเรา
    สอนออกไปนอกนั้น นั่นไม่ใช่พุทธศาสนา มันเป็นโลก
    เห็นอย่างไรเรียกว่าเห็นธรรม
    เห็นภายนอกด้วยตาว่าเราเป็นก้อนทุกข์
    ทั้งเห็นภายใน เห็นชัดด้วยใจด้วย
    เห็นเป็นธรรมทั้งหมด เราต้องพิจารณาให้ถึงสภาวะ
    ตามเป็นจริงของสังขาร ให้เห็นชัดอย่างนั้นว่า
    มันเป็นเพียงสักแต่ว่าธาตุ เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป
    มันไม่ใช่ตัวตนของเรา เรามัวเมาก็หลงนะซิ
    หลงสมมติว่าเป็นตัวเป็นตน จิตธรรมชาติเป็นของผ่องใส
    อาคันตุกะกิเลสมันพาให้เศร้าหมอง
    ที่มาหัดทำสมาธิภาวนานี้ ก็เพื่อขัดเกลาให้กิเลสหมดสิ้นไป
    เพื่อให้มันใสสะอาดคืนตามสภาพเดิม ให้เห็นจิตเห็นใจของตน
    จิตเป็นอย่างไร ใจเป็นอย่างไร
    ความรู้เรื่องของจิต ของใจนี่แหละ เรียกว่า “วิชชา” เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว

    พระพุทธศาสนาสอนให้เข้าถึงใจ
    พระพุทธศาสนาจึงสอนให้เข้าถึงใจ
    คือสอนถึงที่สุด คือเข้าถึงความบริสุทธิ์นั่นเอง
    สุดนั่นก็คือ ที่สุดของทุกข์นั่นเอง
    การเห็นใจของเรานั่นแหละ เป็นของสำคัญอย่างยิ่ง
    เป็นของเลิศประเสริฐ เป็นสิ่งที่เราจะต้องให้รู้จักเรื่องของตน
    ถ้าไม่เห็นเรื่องไม่เห็นใจของตนแล้ว ทำดีทำชั่วก็ไม่รู้ทั้งนั้น

    อบรมใจ
    พระพุทธเจ้าสอนให้อบรมใจ
    คนใดได้มาอบรมใจ ใจสงบแล้ว
    ทอดธุระปล่อยวางเสียซึ่งสิ่งต่างๆ ลงในปัจจุบันได้
    จะเห็นชัดขึ้นมาภายในเลยว่า
    ทางนี้เป็นทางเป็นไปเพื่อสันติโดยแท้

    ปัญญาเป็นเครื่องเจียรไนใจ
    ทำใจให้ผ่องใสต้องใช้ปัญญาละซิ
    เหมือนกับเพชรนิลจินดา ที่เขาเอาแต่ดิน
    เป็นของใสจริง แต่มันมีเศร้าหมอง
    ต่อเมื่อไปเจียระไนเสียให้ละเอียดลงไป
    มันจึงค่อยผ่องใสเต็มที่ฉันใด
    “ใจ” ก็อย่างนั้นเหมือนกัน

    ใจเป็นใหญ่
    ใจเป็นใหญ่กว่าอะไรทั้งหมด
    ถ้าเราคุมใจให้สงบ ไม่วุ่นวายส่งส่ายได้แล้ว
    ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า
    ปวดนั่นปวดนี่จะหายไปโดยไม่รู้ตัว

    ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน
    ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่สำเร็จด้วยใจ
    ถ้าจะพูดภาษาไทยๆของเรา ก็เรียกว่าธรรมทั้งหลาย <o:p></o:p>

    เกิดปรากฏขึ้นที่ใจ รู้เฉพาะใจของตน (ปัจจัตตัง)
    ฉะนั้นใจจึงประเสริฐกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง
    เพราะใจเป็นผู้ให้สำเร็จกิจทุกกรณี

    รู้จิตไม่ต้องรู้สิ่งอื่น
    รู้อะไร ก็รู้จิตของเรานั่นละซิ ไม่ต้องไปรู้สิ่งอื่น
    รู้สิ่งอื่นไม่สามารถชำระจิตของตนได้
    รู้จิตของเรานี่แหละ จึงจะเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์

    สัจธรรมไม่ปรากฎแก่ผู้ไม่ฝึกใจ
    ใจมีอันเดียว ไม่ได้มีมาก ที่ว่ามากๆนั้นเป็นอาการของใจต่างหาก
    ผู้ที่ยังไม่ได้ฝึกอบรมชำระอาการของใจให้ยังเหลือหนึ่งแล้ว
    สัจธรรมของจริงจะไม่ปรากฏให้เห็นเลย
    จะเห็นก็แต่อาการของใจ คือ “กิเลส” นั่นแล

    กิเลสทั้งหลายเกิดจากจิต
    พระพุทธศาสนาสอนให้เข้าถึงจิตถึงใจอันเดียว
    กิเลสทั้งหลายเกิดจากจิต จิตเป็นผู้ยึดเอากิเลสมาไว้ที่จิต จิตจึงเศร้าหมอง
    เมื่อจิตเห็นโทษของกิเลส สละถอนกิเลสออกจากจิตได้แล้ว
    จิตก็ผ่องใสบริสุทธิ์ นี่เป็นหลักพระพุทธศาสนา
    จิตเป็นตัวการของสิ่งทั้งปวง
    จิตเป็นตัวการของสิ่งทั้งปวงหมด ท่านจึงให้สำรวมจิต

    รู้เท่าทันจิต
    พระพุทธศาสนาสอนให้เราสำรวมจิต คือระวังจิต เมื่อจิตมันจะคิดนึกอะไร
    ไม่ว่าดีหรือชั่วให้รู้ตัวอยู่เสมอ ให้รู้เท่าทันมัน มิใช่รู้ตามจิต รู้ตามจิตไม่มีวันจะตามทัน
    เมื่อรู้เท่าทันมันแล้ว มันก็จะอยู่นิ่งเฉย ไม่คิดไม่นึกไม่ปรุงไม่แต่ง ไม่เป็นอดีตไม่เป็นอนาคต
    อยู่เป็นกลางเฉยๆ ไม่เป็นบุญเป็นบาป

    จิตเป็นของไม่มีตัวตน
    จิตเป็นของไม่มีตัวตน ถ้าไม่มีหลักให้จิตยึด ก็จับจิตได้ยาก
    ทำจิตให้เหมือนของที่อยู่ในลิ้นชัก
    การพักจิต ทำความสงบตามกาลเวลา
    เป็นการสร้างพลังของจิตได้เป็นอย่างดี
    การพักจิตก็เหมือนการพักกายนอนหลับ
    การงานที่เราทำไม่เสร็จค้างไว้ มันก็ไม่เห็นเสียหายไปไหน
    จงทำจิตให้เหมือนของที่อยู่ในลิ้นชัก
    เมื่อต้องการใช้ ก็ชักออกมาหยิบเอาไปใช้

    เมื่อไม่ต้องการใช้ก็ปิดไว้เสีย

    ความอยากทำใจให้ขุ่นมัว
    ความอยากทำใจให้ขุ่นมัว น้ำขุ่นทำให้ไม่เห็นตัวปลา
    ถึงแม้น้ำใสแต่ยังกระเพื่อมอยู่ ก็ไม่เห็นตัวปลาเหมือนกัน

    จิตเป็นหนึ่งจิตเป็นหนึ่ง มันเป็นแก่นสารในตัวของเราแท้
    สาระอันนี้ไปไหนก็ไปด้วย ไม่เหมือนเนื้อหนังมังสา
    ส่วนต่างๆทุกอย่าง มันเป็นของปฏิกูล เปื่อยเน่า
    มันเป็นเพียงธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เท่านั้น

    <o:p></o:p>
    ธรรมชาติของใจ
    ธรรมชาติของใจแท้ไม่มีอะไรทั้งหมด
    มีแต่ผู้รู้อย่างเดียว เรียกว่าธาตุรู้
    ก็ว่าความนิ่งเฉยเป็นอาการของใจผู้รู้ เป็นตัวใจแท้

    สติควบคุมจิต
    มีจิตจึงค่อยมีสติ สติควบคุมจิต
    เราควบคุมได้อย่างนี้เรียกว่า
    มันอยู่ในอำนาจของเรา
    เราไม่ได้ไปตามอำนาจของจิต เราก็ใช้มันได้ละซิ

    จงพากันหาจิต
    จงพากันหาจิตดู จิตคือผู้นึกผู้คิดผู้ส่งส่าย
    อาการเหล่านี้ เป็นเครื่องปกปิดกำบังของจิต
    เราจงพากันปล่อยวางเรื่องเหล่านี้
    แล้วจะเห็นจิตผู้เป็นกลางของสิ่งทั้งปวง
    และไม่มีอดีต อนาคต เฉยอยู่
    คราวนี้เราจะให้คิดก็ได้ ไม่คิดก็ได้
    นั่นแหละเห็นจิตของตนแล้ว
    จงรักษาไว้ให้มั่นคงต่อไป

    มอบจิตบูชาพระรัตนตรัย
    จิตใจที่มันส่งส่ายไปในเรื่องต่างๆ นั้นนะ
    ถวายให้เป็นการบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เสีย
    ความโกรธ ความโลภ ความหลง ก็เอาบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เสีย
    อย่าเอามาเป็นของเราเลย

    ทำบุญภายในด้วยกุศลจิต
    หาอุบายทำบุญ ด้วยบุญที่เกิดจากกุศลจิต เป็นการทำบุญภายใน
    ไม่ใช่ทำบุญภายนอกด้วยวัตถุสิ่งของ
    แต่เราทำบุญด้วยการสร้างกุศลจิต สร้างจิตที่ผ่องใสมีคุณงามความดี
    เป็นจิตไม่ตระหนี่เหนียวแน่น จิตไม่เกิดโทสะ มานะ ทิฏฐิ
    จิตไม่ประกอบด้วยกิเลส จึงเป็นบุญมหาศาลหาค่ามิได้ เกิดจากจิตภายใน
    ถ้าเราทำอย่างนี้อยู่เสมอๆ ก็เป็นอยู่ทุกอริยาบท และเราก็เห็นบุญในตัวของเรา
    ชมเชยบุญของเรา หรือการที่เราละความชั่วได้ เราไม่เก็บความชั่วไว้ในตัวเรา
    อันนั้นก็เป็นบุญกุศลเกิดขึ้นที่จิต เราเองก็รู้สึกชื่นชมยินดีในตัวของเรา
    จะพากันไปหาบุญที่ไหนอีก บุญไม่ได้อยู่นอกเหนือจิตใจนี้หรอก
    ขอให้พากันสะสมบุญอย่างนี้ ขึ้นภายในจิต ของตนทุกๆคน

    อำนาจจิต
    โดยทั่วไป จิตบังคับให้เรากระทำทุกสิ่งทุกอย่าง เราอยู่ในอำนาจของจิต
    เป็นไปตามวิสัยอำนาจของจิต คนปุถุชนมันต้องเป็นอย่างนั้น
    เมื่อเรากำหนดสติควบคุมจิตได้แล้ว เราจึงไม่อยู่ในอำนาจของจิต
    แต่จิตอยู่ในอำนาจของเรา

    จิตเป็นผู้แสวงหากิเลส
    กิเลสเกิดขึ้นที่จิต จิตนี้เป็นผู้ไปแสวงหามา
    เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้วก็หยุดแสวงหา
    เมื่อจิตหยุดแสวงหา จิตก็รวมเข้ามาในใจ
    คือตัวกลางๆ วางเฉย และรู้ตัวว่าวางเฉย

    <o:p></o:p>

    ถ้าจิตหยุดนิ่งเป็นกลาง
    ถ้าจิตหยุดนิ่งเป็นกลางที่เรียกว่า “ใจ” แล้วก็เป็นอันว่าความคิดนึกปรุงแต่ง
    ตลอดถึงบาป บุญคุณโทษ หยาบละเอียด ดีชั่ว สมมติ บัญญัติทั้งหมด เป็นไม่มีในที่นั้น

    ผลจากใจที่สงบ
    ถ้าใจของเราสงบแล้ว ใจจะผ่องใสเบิกบาน สามารถรู้คำสอนของพระพุทธเจ้าได้ถูกต้อง
    โดยแท้จริงนั่นแหละ จึงเป็นไปเพื่อชำระจิตใจของตนได้โดยถี่ถ้วน

    โรคของใจ
    โรคเกิดจาก ใจจิตใจไม่ปกติ เกิดความหวั่นไหว เกิดความโลภ ความโกรธ
    เกิดความเกลียด ความรัก ความชัง เรียกว่าโรคของใจ
    โรคของใจนี่แหละ พระพุทธเจ้าสอนให้พากันรักษา ด้วยธรรมโอสถ
    ปฐมพยาบาลขั้นแรกก็คือ ปล่อยทิ้งเสีย อย่าให้เป็นอารมณ์
    อย่าคิดถึงเรื่องนั้น ทำใจให้สงบนิ่งอยู่ในที่เดียว
    หากมันไม่อยู่ก็ให้นึกเอา พุทโธ เป็นต้น มาไว้เป็นอารมณ์ นี่เรียกปฐมพยาบาล

    กรรมเกิดที่ใจ
    กรรมที่ตนกระทำไว้แล้ว ไม่ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่ว
    ผลของกรรมนั้นย่อมเกิดที่ใจของตนเอง
    มิใช่ผู้ทำกรรมผู้หนึ่ง เจ้ากรรมนายเวรอีกผู้หนึ่ง

    ผู้รับผลกรรม
    พูดตามข้อเท็จจริงแล้ว เราคือธาตุ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประสมกัน
    เป็นก้อนขึ้นมาแล้วแตกสลายดับไปเท่านั้น ไม่มีสาระอะไรเลย
    ใจเป็นผู้เข้ามาครองรูปอันนี้ จึงทำให้เคลื่อนไหวได้
    เมื่อก้อนอันนี้แตกดับไปแล้ว ใจก็ไม่สามารถใช้ก้อนอันนี้ได้
    กรรมคือสิ่งที่ใจใช้ให้ก้อนอันนี้ กระทำทั้งดีและชั่วนั้น
    เมื่อก้อนอันนี้แตกดับแล้ว ใจย่อมรับกรรมนั้นแต่เพียงผู้เดียว

    ทำทานด้วยจิตเมตตา
    สอนให้ทำทาน การสละสิ่งของของตน ให้แก่สัตว์อื่นแลบุคคลอื่น
    ด้วยจิตเมตตาปารถนาความสุขแก่ผู้อื่น ถึงวัตถุนั้นจะเป็นของน้อยนิดเดียวก็ดี
    หากมากด้วยจิตเมตตา ก็จะเป็นของมากเอง

    เมื่อศีลเข้าถึงจิต เข้าถึงใจ
    เมื่อศีลเข้าถึงจิตเข้าถึงใจแล้ว เราไม่ต้องรักษาศีล ศีลกลับมารักษาตัวเราเอง

    ความอิ่มใจคือบุญแท้
    ตัวบุญแท้อยู่ที่ใจของเรา ความอิ่มใจนั่นแลเป็นตัวบุญแท้
    ฉะนั้นจึงว่าบุญและบาปมีที่ตัวของเรา เกิดที่ตัวของเรา นอกตัวเราไม่มีหรอก

    สงบวิเวกด้วยใจ
    คนเราเกิดมาในเมืองมนุษย์ ต้องพบมนุษย์อยู่ร่ำไป
    พระพุทธเจ้าสอนให้อยู่ด้วยความสงบ วิเวกด้วยใจ
    อย่าไปยึดเอาเรื่องของคนอื่นมา ไว้เป็นอารมณ์ของใจ
    แล้วก็จะวิเวกอยู่คนเดียว
    ถ้าใจไม่สงบแล้ว จะอยู่ในป่าคนเดียว
    มันก็ไม่สงบอยู่ดีนั่นเอง

    ทำใจให้บริสุทธิ์ขณะนี้
    เราไม่คิดถึงกรรมที่เราทำไว้และล่วงมาแล้ว <o:p></o:p>

    เอาปัจจุบัน ทำใจให้บริสุทธิ์ในขณะนี้
    ไม่คิดถึงเรื่องในอดีต อนาคต
    ถ้าไปคิดแล้วกลุ้มใจร้อนใจ
    มันยิ่งสร้างกรรมไม่ดีต่อไปอีก
    เมื่อเราลงปัจจุบันเดี๋ยวนี้แล้ว ไม่มีอะไรเลย

    ธรรมชาติของใจ
    ใจ ธรรมชาติของเดิมเขาผ่องใส แต่มาเศร้าหมอง เพราะสิ่งที่มาห่อหุ้ม
    คือกิเลสที่จรมาต่างหาก ให้ชำระกิเลสนั้นออกไป
    มันก็จะเหลือแต่ ใจที่ผ่องใสสะอาดบริสุทธิ์

    แท้จริงจิตใจเป็นของใสสะอาด
    อุตส่าห์พยายามให้เห็น ให้รู้จักตัวของเรา
    ทุกคนพยายามตรวจดูตัวของตน
    ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเกิดที่ตัวของเรา
    ครั้นถ้าเราไม่เห็นตัวของเราแล้ว
    เราก็ไม่เห็น ความโลภ ความโกรธ ความหลง
    แท้ที่จริงจิตของเราเป็นของใสสะอาด บริสุทธิ์
    แต่เราไปยึดเอา ความโลภ ความโกรธ ความหลงมาใส่
    มันก็เลยขุ่นมัวไปหมด

    อิสระเหนือใจ
    ใจเป็นของมีคุณประโยชน์มาก
    หากเราจับใจไม่ได้ ก็ใช้ใจไม่ถูก
    ฉะนั้นใจจึงบังคับเรา ไม่ใช่เราบังคับใจ
    ที่ใจบังคับเราหมายความว่า
    ใช้ให้เราโกรธได้ ใช้ให้เรารัก เราชัง เราเกลียดก็ได้
    ใช้ให้เราหัวเราะ ร้องไห้ก็ได้ อันนี้เรียกว่า “ใจใช้เรา”
    ถ้าหากเราควบคุมใจของเราได้แล้ว
    ไม่ให้มันโกรธ ไม่ให้มันโลภ ไม่ให้มันหลง ไม่ให้มันชัง
    หรือไม่ให้มันหัวเราะร้องไห้ ไม่ให้ทุกข์กลุ้มใจได้
    นั่นแลจึงมีอิสระเหนือใจได้ เหตุนั้นใจจึงเป็นของดีมีค่า

    ไม่เห็นใจห่างไกลพุทธศาสนา
    คนเราก็มีใจกันทุกคน
    กิเลสทั้งหลายเกิดจากใจ
    บาปทั้งหลายก็เกิดจากใจ
    บุญทั้งหลายก็เกิดจากใจ
    แต่เรายังไม่ทันเห็นใจ
    จึงว่ายังห่างไกลจากพุทธศาสนามาก
    ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=3678<o:p></o:p>

     
  9. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ขอบคุณ ท่าน k.kwan นะครับที่มาช่วยเสริมความรู้ ซึ่งกันและกัน ช่วงนี้เป็นแค่การเรียกน้ำย่อยครับ ยังลงไม่ลึกเท่าใด ขอให้ติดตามต่อไปนะครับ
    พิมพ์จนมือ หยิกแล้วนะเนี่ย 55555 แต่ไม่มีท้อ ครับ
     
  10. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ถาม : แม็กนิโตซเฟีย 7 แห่ง ทั่วโลกที่อยู่ในประเทศไทย ใกล้กรุงเทพ อยู่ที่ไหน

    ตอบ : จังหวัดกาญจนบุรี

    ถาม : อำนาจตัวเราสามารถลิขิตตัวเราได้หรือไม่

    ตอบ : ได้ อยู่ที่การตัดสินใจให้ถูกต้อง การตัดสินใจในปัจจุบันจะสามารถทำให้อนาคตเปลื่ยนแปลงได้ ใช้พลังอำนาจทางปัญญามองตัวเรา การที่หมอดูพูดให้เราฟังได้ ถ้าเป็นศาตร์ที่แท้จริงเป็นการล่วงรู้อดีตชาติของคน ชีวิตคุณเป็นเช่นนี้ หน้าที่ของคุณก็คือ คุณลองศึกษาดูว่า ถ้าในวัน 2-3 วันข้างหน้าอนาคตของคุณจะเจอสิ่งใด คุณจะเป็นอย่างไร นั่นไม่ได้หมายความว่า คุณจะต้องเป็นเช่นนั้นแต่คุณต้องระมัดระวังตัวว่าคุณเจอสถานะการณ์อะไร ที่มันเกี่ยวกับสิ่งที่เขาทายไว้ว่าอดีตคุณเป็นเช่นนั้น ก็เปลื่ยนรหัสเสียใหม่ ตัดสินใจใหม่ให้ถูกต้อง และคุณก็จะไม่เป็นเหมือนกับที่คุณเคยเป็น เพราะการตัดสินใจใหม่ คือหน้าที่ของมนุษย์ที่จะชดใช้กรรมของตนเอง เพื่อแก้ไขตนเองใหม่ในบทเรียนเก่าๆ ในอดีตชาติ ซึ่งมันจะเป็นบทเรียนซ้ำกันกับในอดีต เพื่อจะตัดสินใจใหม่ให้ถูกต้อง ถ้าท่านตัดสินใจใหม่ให้มันถูกต้อง ก็จะเปลื่ยนแปลงวิถีของตัวท่านได้เองทันที
    พันธกรรม มี 2 ด้าน ด้านบวก และ ด้านลบ
    พันธกรรมจะเกิดได้เพราะมีความอยากเกิดขึ้น เมื่อมีความอยากเกิดขึ้นเมื่อใด มนุษย์จะไม่สมดุล เมื่อนั้นไม่มีใครลิขิตตัวมนุษย์ได้ นอกจากมนุษย์ลิขิตเอง

    ถาม : จิตจักรวาลเน้นความรักเหมือนศาสนาคริสต์

    ตอบ : เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ของพระตถาคตไม่ใช่ความรักหรือ อย่าไปคิดว่าเหมือนพระเยซูคริสต์ ศาสดาทุกพระองค์สอนให้มีความรักแก่กันและกันทั้งสิ้น เพราะความรัก คือ คลื่นความถี่ด้านบวก ซึ่งเป็นคลื่นไฟฟ้าชนิดเดียวที่เป็นสากล ถ้ามาอยู่ในกายมนุษย์ถือความรักของพระเยซูในยุคนั้นมาเติมเต็มของพระตถาคต ที่สอนเพียง เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คือ อดทน อดกลั้น
    อดทน มอบให้ตัวเองเพื่อเหนี่ยวรั้งตัวเองให้อยู่กับผู้อื่นได้
    อดกลั้น เพื่อให้คนอื่นกระทำดีต่อเรา ให้ถูกต้อง แสดงว่าคุณให้ความรักให้ต่อเขา
    การให้อภัย คือ อดทน ให้ตนเอง ให้ความรักและอดกลั้น เพื่อให้เขาแก้ตัวใหม่กับเรา ที่สูงส่งไปกว่านั้น คือ การให้โอกาสผู้อื่นเสมอ พระเยซูสอนสิ่งเหล่านี้ หัวใจของการสอนอยู่ตรงนี้ แล้วเป็นการบอกให้มนุษย์รู้ว่าใครทำผิดแล้วย่อมแก้ไขใหม่ได้ ที่มนุษย์แปลว่า ชำระบาปได้ ไม่ใช่อย่างนั้น ท่านพูดว่า เชื่อเราซิ หมายถึงเชื่อในคำพูดของเราซิเชื่อสิ่งที่เราพูด ไม่ใช่เอาพระเยซูมาไว้ในจิต ท่านไม่ได้มาแบบพระพุทธเจ้า ท่านมาแบบอวตารมา

    ถาม : ความหมายของไม้กางเขน

    ตอบ : กากะบาด หมายถึง ทุกอย่างต้องมารวมที่จุดศูยน์กลางทั้งสิ้นจะออกขวา ซ้าย จะขึ้นบน ลงล่าง มันต้องมารวมที่ตรงกลาง ผีกลัวเครื่องหมายกากะบาดเพราะผีรู้ว่ากลางเครื่องหมายคือพลังอำนาจ ถามว่าตรงที่พระเยซูโดนตรึงไม้กางเขน กากะบาดอยู่ตรงไหน อยู่ตรงต่อมไทมัส กางแขนเราดูสิเหมือนไม้กางเขน ตรงกลางคือ ต่อมไทมัสพอดี
     
  11. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    ถาม ในยุคปัจจุบันยังมีผู้ที่อวตารมาจากจิตจักรวาล ดังเช่น พระเยซู หรือยิ่งกว่าอวตาร เช่น พระพุทธเจ้า แต่ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ที่ถามเพราะผมสงสัยว่า ท่านไสบาบา จะเป็นลักษณะของการอวตารลงมา
     
  12. a5g1

    a5g1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +384
    ไสบาบา ชื่อนี้ทราบมาว่าเป็นการเล่นมายากลมิใช่หรือ เดวิดคอร์ปเปอร์ฟิวส์ก็เป็นนักมายากลระดับโลก เล่นเหาะได้ หายตัวได้ ใดใดในโลกเรายังพิสูจน์ไม่ได้ตั้งมากมาย บทความต่างๆที่พิมพ์มาให้อ่าน บ้างก็น่าคิด แต่ยังไม่สามารถเชื่อได้ ต้องค่อยๆไตร่ตรอง ขอให้กำลังใจในการพิมพ์ครับ อนุโมทนาด้วยในความพยายาม...สาธุๆๆ
     
  13. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    เรื่องอภินิหารผมไม่ใคร่สนใจสักเท่าไหร่ครับ เพราะคนทั่วๆไปก็ไม่ค่อยยอมรับเรื่องพวกนี้กันอยู่แล้ว แต่ที่ผมสนใจคือคำสอนของท่านครับ อ่านดูแล้วรู้ว่าพวกเล่นกลธรรมดาคงไม่สามารถสอนเช่นนั้นได้ครับ
     
  14. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258
    ไสบาบา ไม่ใช่มายากล อจ. เคยพูดไว้
    ได้โดยไม่ต้องฝึก
     
  15. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
  16. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ถาม : สัญชาติ ยิว ทำไม ถึงเป็นอย่างนี้

    ตอบ : เขาอาสามาเกิดเพื่อส้างสมดุลให้กับโลก มนุษย์จะแยกตัวเองออกจากระบบโลกหรือจากธรรมชาติไม่ได้ มนุษย์เป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลก ถ้ามนุษย์กำลังทำลายโลก หรือทำลายระบบสิ่งแวดล้อม นั่นหมายความว่า มนุษย์กำลังทำลายตัวเองโดยไม่รู้ตัว โลกมีแก่นแท้ คือ พลังงาน ซึ่งมีคุณสมบัติเฉพราะตัว คือ ให้ความรักอย่างเดียว โลกไม่มีสติปัญญา ซึ่งสามารถคิดอะไรได้เองเหมือนรูปธรรมทางวิญญาณ โลกสามารถให้มนุษย์สามารถดำรงอยู่กับโลกได้ ถ้ามนุษย์ทำให้โลกเสียสมดุลทางพลังงานการที่โลกเสียสมดุลทางมวลสารก็ทำให้โลกเสียสมดุลทางพลังงานเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะมีรูปธรรมชั้นสูงนี้ จะทำให้อย่างไรก็ได้ที่ให้โลกคายพลังงานออกมาเพื่อชดเชยส่วนที่เสียไปที่มนุษย์เป็นผู้กระทำ เพื่อต้องรักษาสมดุลเอาไว้
    เมื่อโลกคายพลังงานออกมา วิธีเดียวที่จะทำให้โลกคายพลังงานออกมาได้ คือ ให้โลกสั่นสะเทือน เพราะฉะนั้น ภัยธรรมชาติต้องเกิดขึ้นแน่ ฉะนั้นเมื่อใดที่โลกเสียสมดุลทางพลังงานมากเท่าใด ปีต่อไปมนุษย์จะเจอกับภัยพิบัติที่รุนแรงมากเท่านั้น ถ้าคุณมีจิตสำนึกที่สมดุล ให้บวกแก่โลกเรื่อยๆ ภัยธรรมชาติก็จะไม่เกิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2008
  17. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ถาม : นอกเหนือจากการอดทน อดกลั้น และให้อภัย และแผ่พลังงานความรักให้แก่เขาแล้ว มีข้อปฏิบัติเพิ่มเติมอีกหรือไม่ที่จะเป็นการเอื้ออำนวยให้คนที่มักแพ้ตนเองได้มีโอกาสชนะตนเองขึ้นมาบ้าง

    ตอบ : เป็นคำถามที่ดีนะ จริงๆแล้วถ้าจะตอบนี่ยาวมากเลย ถ้าแค่อดทน อดกลั้น ให้อภัย แล้วทำไม่ได้นี่ จริงๆ แล้ว อดทน อดกลั้น ให้อภัย มันเป็นพลังงานที่เป็นพลังอำนาจที่เกิดมาจากส่วนลึกของจิตใจของมนุษย์อยู่แล้ว ถ้ามนุษย์สามารถเข้าถึง อดทน อดกลั้น ให้อภัยได้อย่างแท้จริงแล้วนี่มันไม่มีอะไรที่จะเหนือไปกว่าสิ่งนั้นอีก มันไม่มีแล้ว ถ้าพูดกันปกติ ถ้าจะใช้วิธีหล่อเลี้ยงจิตใจของเราให้ความเข้มแข็งให้มีพลังอำนาจก็ต้องใช้ศาสตร์ของตถาคตของเรา คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ตัวนั้น แต่ตรงนั้นมันใช้วิธีธรรมชาติค่อยๆเป็น ค่อยๆไป แต่การอดทน อดกลั้น ให้อภัย นี่เป็นเทคนิคเลย เป็นปฏิบัติการทางเทคนิคของจิตซึ่งถือ ว่า สูงสุดแล้ว แต่ว่ามนุษย์ยังเข้าถึงไม่ได้ก็ต้องเอาทั้ง 2 ด้าน มาใช้ร่วมกัน คือ ในชีวิตประจำวันนี้ก็ต้องหาเมตตา หากรุณา หามุทิตา หาอุเบกขา ในใจตนเองให้พบรักษามันไว้ตลอด และถ้าเรายังเข้าถึงสูงสุดของเมตตา สูงสุดถึงกรุณา มุทิตา ยังไม่ได้นี่ เราก็เอาเทคนิค อดทน อดกลั้น เข้ามาช่วยมันจะเสริมกัน เพราะว่า เวลาจิตเราสั่นสะเทือนเป็นคลื่นอารมณ์แล้วมันเป็นคลื่นเดียวกัน แล้วก็เกิดจากศูนย์กลางของการสั่นสะเทือนในจิตใจที่เป็นจุดเดียวกันขอแนะอย่างนี้ไม่มีวิธีอื่น
     
  18. LEEBIG

    LEEBIG เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2007
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +186
    ถาม การหลงตัวเอง การยกตัวเอง การที่คิดว่าตนเองเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ อยู่ในนิพพานภพ คุณคิดว่า เป็นจริงหรือไม่
     
  19. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ถาม : พันธะสัญญาที่เราให้ไว้ก่อนจะเป็นรูปธรรมมนุษย์ เรามีวิธีที่จะเข้าไปตรวจสอบได้ไหมว่า พันธะสัญญาที่ให้ไว้ คือ อะไร มีวิธีการตรวจสอบอย่างไร

    ตอบ : ส่วนมากแล้วการการตรวจสอบนั้น จักรวาลจะไม่เปิดมิติให้นะครับ ยกเว้นคนที่มีพันธะสัญญามาด้วยว่าจะสามารถตรวจสอบของตนเองได้หรือไม่ เพราะว่าตรงนั้นจะถูกปิดบังมิติเอาไว้ เหมือนกับว่า เราดูละครโทรทัศน์นี่เพราะเรารู้ว่ามันเป็นละครเราก็จะไม่จริงจังกับมันใช่ใหม แต่ว่ามีมนุษย์ที่จิตอ่อนบางคนเท่านั้นที่คล้อยตามน้ำตาไหลตามเขา หัวเราะดีใจตามเขาทั้งที่รู้ว่า มันคือละคร แต่มนุษย์ที่มีจิตปัญญาสูงๆ นี่ ถ้ารู้ว่า ชีวิตตรงนั้นมันคือ ละครมันจะไม่มีความจริงจังเกิดขึ้น
    ทุกคนรู้ว่ามนุษย์เกิดมาเพื่อมีหน้าที่ช่วยเหลือให้พลังงานแก่โลก โลกจะหมุนรอบตัวเองไม่ได้ถ้าไม่มีมนุษย์อยู่ เพราะพลังงานจิตของมนุษย์ช่วยทำให้โลกหมุนรอบตัวเองได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน และยังช่วยยกระดับโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก เพื่อทำให้เราสามารถมีปัญญาสูงๆมีกายสังขารที่ลงตัวแบบนี้ คือแบบพวกเราที่นั่งกันอยู่ที่นี่ หนุ่มๆสาวๆ หล่อเหลากันอย่างนี้ ซึ่งรูปร่างก็จะงดงามกว่าชีวิตที่มีปัญญาที่อยู่ดวงดาวอื่นแม้กระทั่งในจักรวาลเดียวกับเรา เพราะในบรรดาทั้งหมดนี้โลกเรามีอำนาจแม่เหล็กโลกสูงที่สุดในบรรดาดาวเคราะห์ทุกดวงในจักรวาล 60000 กิโลเมตร(ซึ่งเป็นสัดส่วนที่จิตจักรวาลคำนวณแล้ว) มันก็จะไม่ลงตัว และถ้าไม่มีมนุษย์อยู่อีกเหมือนกัน โลกเราก็จะหมุนช้าลง ทุกวันนี้มีมนุษย์อยู่มากก่าจำนวนสัดส่วนที่จักรวาลคำนวณเอาไว้ตั้งแต่ต้น คือ มนุษย์มีอยู่ตั้ง 7000 ล้านคน แต่ยังไม่สามารถที่จะทำให้โลกหมุนรอบตัวเองอย่างคงที่ได้เลย เราเลยต้องมีการชำระดาวเคราะห์โลกดวงนี้ การที่มีมนุษย์จำนวนมากขนาดนี้ยังช่วยโลกไม่ได้ เพราะเราขาดการรู้แจ้ง เพราะเราไม่เข้าถึงซึ่งความรักที่เป็นพลังอำนาจสูงสุดที่จักรวาลต้องการที่โลกต้องการเราทุกคนเกิดมาเพื่อเป็นเพื่อนร่วมงานของดาวเคราะห์โลก แต่เรากลับไม่ทำหน้าที่ของเราให้สมบทบาท เราเกิดมาแล้วกลับมาทำหน้าที่เพื่อตนเอง เพื่อบุตรหลานและเพื่อครอบครัวเพื่อพวกตนกันเท่านั้นเอง แต่เราไม่ได้ทำอะไรเพื่อโลกเลย อย่างบางคำที่พูดในหนังสือจิตจักรวาลสื่อไว้ คือเราไม่ได้ทำอะไรเพื่อจิตวิญญาณของตัวเราเองเลย เราทำเพื่อจิตหยาบของเราเพื่อกายของเราเท่านั้น นั่นคือ ข้อบกพร่อง นี่ก็น่าจะเป็นคำตอบได้
     
  20. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ถาม : เมื่อสักครู่นี้ จิตจักรวาล บอกว่า ผู้ที่มีสัญญาตรวจสอบพันธะสัญญาได้ คือ ใคร

    ตอบ : อันนั้นก็ต้องเป็นระดับผู้สมดุลทางจิตวิญญาณ แต่เขาก็จะไม่ได้รับโอกาสให้เปิดมิติหรอก เหมือนอย่างสมมุติว่า เรารู้ว่า เบื้องหลังมิติของคนนี้เป็นอย่างไร เราก็ไม่ใช่ว่าเที่ยวไปบอกเขาง่ายๆ ถ้าไม่ได้รับอณุญาติให้มีการเปิดมิติตรงนั้น ผู้รู้ก็เพียงแค่รู้ แต่ผู้ที่ไม่รู้ว่าเขารู้ก็เลยคิดว่าไม่รู้ทำนองนี้

    ถาม : มีวิธีการอะไรบ้างที่จะสามารถช่วยให้คนเราปรับปรุงหรือเปลื่ยนพื้นเพนิสัยที่ติดตัวให้หมดไปจากอารมณ์เดิมๆที่ไม่ดีอยู่นี้ให้สามารถมีทัศนะนิสัยที่ดีขึ้นและสามารถควบคุมได้

    ตอบ : การจะเปลื่ยนแปลงมนุษย์โดยการใช้อำนาจภายนอก มนุษย์ไม่อาจจะกระทำได้ มีวิธีเดียวถ้าพูดกันให้ตรงที่สุดก็คือ มนุษย์จะต้องสอนมนุษย์คนนั้นที่เราเมตตาเขา ให้เขาหาสติให้พบ ความมีสติหมายถึง การรู้ รู้ตัวเอง รู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเองตลอดเวลา แล้วบางครั้งเมื่อทำอะไรไป ก็จะต้องพร้อมที่จะตรวจสอบการกระทำของตนเองตลอดเวลา สอนให้เขารู้จักว่า ดีเป็นอย่างไร ชั่วเป็นอย่างไร แต่ไม่ใช่สอนให้แค่รู้จักว่าต้องมีดีเสียก่อนถึงจะกระทำ หรือต้องเห็นว่ามันเป็นชั่วเสียก่อนถึงจะไม่กระทำ ไม่อยากได้ชั่วก็ไม่ทำชั่ว อยากจะได้ดีแล้วค่อยทำดี ตรงนี้ก็ไม่ใช่สติที่แท้จริง ถ้าอยากจะให้เขาเปลื่ยนแปลงตัวเอง ต้องสอนให้เขารู้จักสิ่งเหล่านี้ รู้จักความมีสติว่าหมายถึงอะไร
    ความมีสติหมายถึง ว่า จะคิดอะไร จะทำอะไร จะพูดอะไรออกไป ต้องมีการไตร่ตรอง ต้องมีการพิจารณาเสียก่อน อย่าคิดว่าตนเองถูกอย่างเดียว คิดว่าถ้าตนเองว่าถูก คนอื่นๆที่อยู่รอบข้างตัวเราเขาเห็นว่ามันถูกไหม อะไรเหล่านี้เป็นต้น สอนให้เขารู้คิดอย่างนี้ แล้วก็จะทำให้เขาสามารถค่อยๆ ยกระดับสติปัญญา พัฒนาจิตสำนึก จากความมีสติที่เขาค่อยๆฝึกไปทีละน้อยๆได้ แต่การกระทำอย่างนี้ถ้าคนไหนค่อนข้างจะเปลื่ยนแปลงตัวเองยาก ๆ และไม่เคยใส่ใจตนเองมาตลอด อาจจะต้องใช้กระบวนการในการปฏิบัติฝึกฝนตนเองแบบนี้ ข้ามภพข้ามชาติกันสักหน่อย หวังผลในชาติเดียวคงลำบาก
     

แชร์หน้านี้

Loading...