สารพันปัญหา ตอบโดยคุณ nopphakan

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย รูปติดบัตร, 26 พฤศจิกายน 2016.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    หลังจากแช่น้ำทะเลแล้ว ทั้งตัว
    ลองมาเล่าอาการให้ฟังหน่อยเด้อ
    เกลือมันแปลกนะ ปลาเน่าๆ ยังทำให้
    สามารถนำกลับมากินได้ นี่หละ พี่เกลือเค้าเท่ห์ บ่..๕๕๕
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ของคุณตอนนี้จิตมันจะโน้มไปทางวิปัสสนาญาน
    จริงๆมันได้ตรงนี้จาก เมตตาล้วนๆ..
    และมันไปได้ของมันเองแล้วหละครับ
    สไตล์แบบนี้..ไม่ต้องไปฝึกอะไรหรอก
    ครับ มาเพิ่มตรงปัญญาญานเอาครับ...
    นัยยะอย่างนี้นะครับ '' มันเกิดตอนไหน และดับตอนไหน
    และมันเกิดเพราะอะไร และมันดับไปเพราะอะไร ''
    เอานัยยะตรงนี้ให้ได้ ทุกๆเรื่อง จะดีมากครับ...
    ส่วนทางกาย และอื่นๆไม่มีอะไรเสียหายครับ เรื่องกิริยา
    ปกติที่เกิด วิธีการแก้ปัญหาที่ผ่านมาก็ถูกแล้วไม่มีไรครับ...
     
  3. กะปิหวาน

    กะปิหวาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2015
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +470
    เรียนถามพี่นพนะคะ จากกรณีของคุณโง่โง่ (ชื่อ user นะคะ) ที่เกิดอย่างนี้เป็นเพราะตัวจิตยังไม่คลายตัวได้เองตามธรรมชาติของจิตใช่ไหมคะ

    ปอลิง: คุณดูโง่โง่ สู้ๆต่อไปนะคะ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ๕๕๕๕๕๕ เป่า
    หมายถึงช่วงนี้ มันมีตัวเมตตามาหนุนส่ง
    ให้ไปทางด้านปัญญาทางธรรมจร้า ๕๕๕

    จิตคลายตัว มันคือ ไม่มีตัวรู้ ตัวเชื่อมออกจากจิตเราเลย
    มันเลยไม่ไปยึดเกาะอะไรเลย จิตมันเลยคลายตัวได้เอง

    การคลายตัวที่ได้จากการ
    ๑. อุทิศส่วนกุศลออกจากกลางจิต(แบบชั่วคราว)
    หรือได้จาก ๒. ปัญญาทางธรรมที่มากพอ ที่จะไม่ยึดไม่ติดอะไร
    ณ ช่วงเวลานั้นในเรื่องนั้นๆ
    หรือ ๓.คลายตัวจากปัญญาญาน ที่รู้เหตุแห่งการเกิดขึ้น
    จิตเลยไม่ยึด
    เหมือนระดับโปรซีรีย์ทั้งหลาย...
    ปกติเราจะฝึก จาก ๑ เพื่อ ไป ๒ และสุดท้ายคือ ๓ นั่นหละ
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ของกะปิ อยากให้ส่วนตัวแนะไหมว่า ยังติดตรงไหน
    ถ้าทำได้ เข้าใจได้รับรอง ไปได้ แบบปรูดปร้าด
    ป่านรถสปอรต์..
     
  6. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ขอบคุณมากครับท่านนพ เอาเฉพาะตัวที่มันติดนะครับที่มาประจำตอนนี้คือชอบดูผุ้หญิงครับ แต่ก็แค่ดูจริงๆนะครับไม่มีความคิดอะไรพิเศษมากกว่านั้นและรู้ตัวทุกครั้งที่ดูนะครับ และมันก็ดับไปเมื่อมันผ่านไป บางครั้งก็ยังหัวเราะในใจเลยครับว่าแปลกดีเหมือนตัวจิตยังสงสัยอะไรบางอย่างเกี่ยวกับผู้หญิงนะครับไม่แน่ใจเหมือนกันสงสัยต้องดู ตัวที่ชอบดู เรียนรู้ต่อไปครับ
    แล้วก็เมื่อก่อนจะพยายามปฏิเสธความคิดหรือหยุดคิดอะไรหลายๆอย่างนะครับ แต่ตอนนี้ผมนั่งรับฟังความคิดแทนนะครับ ว่าอ่อเมื่อคิดแบบนี้ปรุงแต่งแบบนี้ก็จะเกิดเหตุปัจจัยหรือเหตุการณืแบบนี้ ทำให้เกิดอารมณ์แบบนี้ครับ กลายเป็นความรู้ไป
    แล้วตัวเมตตาที่มาหนุนเสริมมาจากไหนเหรอครับ เป็นส่วนหนึ่งของตัวเราเหรอครับ เพราะรู้สึกว่าเขาก็คือเรานี่แหละ
    ขอบคุณ คุณกะปิหวานด้วยนะครับ แต่ผมก็รู้สึกแบบนี้จริงๆนะครับถึงได้ตั้งชื่อนี้เพราะจะว่าไป ทำมาก็เหมือนรู้อะไร แล้วก็ไม่ได้รู้อะไรเลย บางทีก็ลืมด้วยซ้ำว่ารู้อะไรครับแต่ผมก็มองว่าแบบนี้ก็ดีครับผม
     
  7. กะปิหวาน

    กะปิหวาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2015
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +470
    งุงิงุงิ ถ้าอาจารย์พี่จะอนุเคราะห์เจ้าค่ะ วันนี้ไปแช่น้ำทะเลมาแล้วค่ะ. จะเรียกแช่ก็ไม่เชิง เพราะเกาะห่วงยางลอยตามคลื่นไป เล่นเอาเมาคลื่นเลย 555 น่าจะเป็นครั้งแรกที่เมาคลื่นตอนเล่นน้ำ หลังขึ้นจากน้ำก็รู้สึกร้อนวูบวาบเล็กน้อยค่ะ เหนื่อยและง่วง เหอะๆ สงสัยจะเพลียจัด
     
  8. devotee57

    devotee57 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    228
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +556
    ว่าด้วยเรื่องเกลือ พี่นพคะ แล้วเกลือแต่ละชนิดนี่ให้ผลต่างกันมั้ย เผอิญเจอเกลือหิมาลัย เกลือทะเล แล้วมันมีเกลือที่กระดำกระด่างแล้วเค็มจนขม ไม่รู้ว่าเป็นเกลือสินเธาว์รึเปล่าแต่ดูไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่
    เคยได้ยินว่าที่ญี่ปุ่นมีเกลือที่เขาจะเก็บดอกเกลือในคืนพระจันทร์เต็มดวงในช่วงหนึ่งของปีเท่านั้น(เห็นเชฟเขาว่าเป็นเกลือที่หวานและดีที่สุดชนิดนึง)

    อิน้องเลยข้องใจว่าไอเกลือแบบต่างๆนี่จะให้ประสิทธิภาพที่ต่างกันหรือช่วยในเรื่องที่ต่างกันมั้ย

    ช่างสงสัยอะไรๆไม่เข้าเรื่องอีกแล้วแต่สงสัยเกลือสีชมพูหิมาลัยที่สุดแถมแพงอีกต่างหาก555
     
  9. devotee57

    devotee57 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    228
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +556
    ขุ่นพี่นพคะ ถ้าน้ำมันไม่เย็นเกินไปจนรับบ่ได้ อิน้องจะดำผุดดำว่ายแล้วมารายงานผลน่ะเจ้าคะ อิคิๆๆๆ
     
  10. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ท่านนนพครับขอสอบถามเพิ่มเติมครับ
    กินหมูต้ม รู้สึก จืดความคิดเข้ามาอยากจิ้มกับน้ำปลา ผมคิดขี้เกียจก็เลยกินแบบนั้นละ เรื่องความคิดที่เข้ามาเองมันมีมาหลายปีแล้วละครับก็ดูอยู่เลยอยากทราบว่าอะไรคือรูปอะไรคือนามเป็นความรู้หน่อยนะครับ แล้วบางครั้งเราสงสัยอะไรบางอย่างก็สอบถามภายในก็มีคำตอบกลับมาแบบนี้รูปหรือนามครับผม
    อ่อเรื่องชอบมองผู้หญิงผมมองประมาณ ไม่น่าเกิน 1 วิ แล้วก็ผ่านไปเลยนะครับแต่ไม่ได้มองผ่านเหมือนดูเสา หรือปูนครับ ซึงในความเป็นจริงผมก็มองว่าเป็นปรกตินะครับในการมองทั่วไป สงสัยผมจะไม่มีอะไรทำ สงสัยพถติกรรมตัวเอง เดินอยู่ในมรรคก็พอแล้ว
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    เรียกพี่ก็พอเด้อ...กิริยาแบบนี้เรื่องปกติ
    ความจริง ควรดำน้ำไปเลยจะดีมาก
    ที่เหนื่อยและห่วงเพราะร่างกายมันต้องปรับธาตุ
    ของมันเองอยู่เรื่องธรรมดา...
    ดำผุดดำโผล่บ่อยๆจะเห็นความแตกต่างได้ด้วยตัวเอง
    ปล.อย่างคุณน้องนะ ให้ปล่อยวางเรื่องเมตตากับเรื่อง
    การทำทานทุกชนิด ปล่อยวางไม่ใช่ว่าไม่ให้ทำนะ
    แต่ให้ทำแบบ ไม่อะไรกับอะไรกับมัน ทำแล้วก็แล้วไป
    และไม่หวังผลอะไร แอนที่สำมะคัญเลยก็คือเรื่องนามธรรม
    ต่างๆทั้งหลาย ให้พูดให้มันน้อยๆลงได้ไหม เรียกว่า ถ้าไม่มี
    ใครถามก็ไม่ต้องพูด และแม้มีคนถาม
    ก็ไม่ต้องไปพยายามอธิบายให้เค้าเข้าใจ
    ให้รู้จักอุเบกขารับรู้ไว้พอ
    เพราะว่า เมื่อคุณน้องอยากพูด
    เรื่องแนวๆนี้เมื่อไร มันจะดึงความคิดในสมองมาปรุงร่วม
    ทันทีทันใดแบบคาดไม่ถึง...ของคุณน้อง
    มี ๒ เรื่องแค่นี้หละ ถ้าทำได้ เด่วนามธรรมการรับรู้
    และอะไรต่างๆ มันจะคล่องขึ้น ไวขึ้น ละเอียดขึ้น
    อัตโนโนเมติก ขึ้นได้ของมันเอง
    ค่อยๆเป็นค่อยๆไปเด้อ...
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    แช่เท้าในนำ้เกลือไปก่อนก็ได้
    เอาที่สดวกๆ กลัวว่า แช่น้ำเย็นๆ
    มันจะรอดหรือเปล่า ๕๕๕

    เห้ย ! คุณน้องครับ นี่พี่นพ นะครับ
    ไม่ใช่ อากู๋ แห๋มๆ บางเรื่องที่พอค้นได้
    ก็ค้น ถามอากู๋ บ้างเด่วแกจะน้อยใจ..
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    กิริยาอย่างนี้ครับ ถือว่าความเร็วในการวางอยู่ในระดับ
    ใช้งานได้ครับ..อีกอย่างนะครับ การที่อยู่ดีๆมีเมตตามาหนุน
    ส่วนหนึ่งมันเป็น อนุสัยเดิมในจิตเราครับ...
    ทั่วๆไป ถ้าเราเข้ามาเรื่องการปฏิบัติบ้าง
    ทุกคนจะมีเรื่องแบบนี้เข้ามาได้เป็นปกติ
    บางครั้งก็ผ่านไปแบบไม่รู้ตัว และมันก็จะมีเข้ามาเรื่อยๆครับ
    ถามว่ามันส่งผลดีไหม ส่งผลดีครับ แต่ต้องไม่ลืมว่า
    มันก็เป็นเชื้ออย่างหนึ่ง ที่ทำให้จิตต้องลงมาเวียนว่างตายเกิด
    ได้เช่นกัน ดังนั้น ถ้ามันย้อนมาหนุนแล้ว กิริยาที่เกิด
    ข้อดี เสมือนเป็นทางลัดสำหรับเรา เนื่องจากจิตมันเคย
    สะสมมาก่อน แต่เราต้องใช้ให้เป็น อย่างเช่น เข้าใจแล้ววาง
    อย่างนี้ใช้ได้ แต่ก็ต้องเข้าใจด้วยว่า เมื่อมันเร็ว มันก็จะส่ง
    กระทบกับร่างกายเราบาง หน้าที่เรา คือเสริมภูมิต้านทาน
    ตรงนี้เข้าไป เช่น เจริญสติให้ต่อเนื่องเพิ่มขึ้น สร้างสมาธิสะสม
    บ้าง เช่น นั่งหลับตาเอาแค่สงบครั้งละ ๒ ถึง ๓ นาทีก็พอ
    แต่ให้ทำบ่อยๆ และที่สำคัญ ให้ปล่อยวาง ปล่อยให้กิริยาทาง
    กายที่มันอยู่ต่างๆ ให้เหมือนที่เราวางคำถามที่ผุดมาจาก
    ภายในนั้นหละครับ...
    รูปในที่นี้ คือสิ่งที่เราจับต้องได้ เช่น กาย ซึ่งมีธาตุดินเป็นองค์ประกอบหลักๆนอกจาก ธาตุอื่นๆ
    นามธรรมคือสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
    ไม่สามารถรักษาสภาพให้คงอยู่ได้ตามใจเรา
    เช่น จิต อารมย์ต่างๆ ความคิดต่างๆ ความคิดที่เกิดจาก
    ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม( เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน)
    พวกนี้เมื่อรวมกับ กายแล้ว ก็จะเกิดเป็นโปรแกรมการปรุงแต่ง
    ขึ้นมาได้ เรามาปฏิบัติ เพื่อให้รู้ว่า ท้ายสุด ไม่ว่ารูปหรือนามธรรม
    มันล้วนแล้ว แต่ยังเป็นการปรุงแต่งอยู่ จิตซึ่งเป็นนามธรรม
    มันถึงจะพ้นกายที่รูปธรรม แม้ว่ามันจะยังต้องอาศัยซึ่งกันและกันอยู่ ไม่งั้นถ้าเราไม่มีปัญญาญานที่ไปเห็นตรงนี้
    เราจะเห็น แต่ ผู้ดู และผู้รู้ เราจะไม่เห็นกระบวณทำงาน
    ของผู้ดูและผู้รู้ว่ามันทำงานอย่างไร แต่จะไม่เห็นว่า
    แม้ผู้ดู ผู้รู้ มันก็แค่โปรแกรมปรุงแต่งตัวอยู่นั่นเอง...
    ยกตัวอย่าง อยากกินหมูต้ม...
    ผู้รู้ คือ ไปรู้ว่า เป็นหมูต้ม(แต่มันจะไม่รู้ว่า
    หมูต้มมันทำอย่างไร ก่อนจะมาเป็นหมูต้มเป็นอย่างไร
    คือรู้เฉยๆว่าเรียกว่าหมูต้ม)และการ อยากจิ้มกับน้ำปลาเป็น
    กระบวณการทำงานของขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    ซึ่งเกิดจาก ตัวผู้ดูหรือตัวจิต ที่มันส่งตัววิญญานไปรับรู้
    แล้วปรุงแต่งจนเกิดความคิดอย่างจิ้มกับน้ำปลา
    (จากสัญญาความจำได้ ที่เคยได้ยิน ได้ฟัง
    ได้เห็นจากเครื่องรับรู้คือตัววิญญาณ มาว่านี้คือหมูต้ม
    เกิดสังขารการปรุงแต่งแล้วว่าหมูต้มจะต้องจิ้มกับน้ำปลา
    ถึงจะอร่อย เราถึงจะชอบหรือไม่ชอบเพื่อสนอง
    ตรงนี้เป็นเวทนา) เห็นไหมแค่เราคิด เราเห็นหมูต้ม
    กระบวรการปรุงแต่งมันทำงานเรียบร้อยโรงเรียนจีนแล้วครับ


    ถึงได้ย้ำว่า ไม่ต้องไปพิจารณาอะไรมันครับ
    ถ้ามันตัดได้ก็ดีแล้ว ไม่ต้องไม่สนใจครับ
    ให้เรามา สังเกตุว่า มันเกิดเพราะอะไร
    มันดับเพราะอะไร ดับตอนไหน
    ตรงนี้ ถึงจะสร้างเป็น มหาสติ สร้างเป็นปัญญาญาน
    ให้เราไปเข้าใจ กระบวรการทำงาน(แบบที่ยกตัวอย่างให้ฟัง)
    และจะพัฒนาไปตามวาระ จนเห็นผู้ดู ผู้รู้ จนกระทั่ง
    รู้ว่า ผู้ดู ผู้รู้ ก็เป็นเพียงการปรุงแต่ง
    และจะเข้าใจถึงเหตุและผลแห่งการเกิดทั้งหมดทั้งมวลได้เอง
    ไม่ว่าเรื่องอะไรก็แนวๆเดียวกัน
    จิตมันจะไปดึงอะไรเกาะได้
    เพราะจิตเข้าใจเหตุและผลแห่งการเกิดนั่นเอง....
    จิตไม่เกิด และคลายตัว ไม่ใช่ว่า เรื่องต่างๆมันไม่มีนะครับ
    คือมันมีเป็นปกติ รอบๆตัวเราในธรรมชาติ
    ขณะที่จิตก็อยู่ในกายเรานี่หละ...
    แต่ปัญญาญานที่จะเข้าใจตรงนี้สำคัญ
    ที่จะทำให้จิตไม่ยึดไม่เกาะได้นั้นเอง...
    ตรงต้องๆค่อยๆเป็นค่อยไปเช่นกัน....

    ได้แค่ไหนก็แค่นั้นครับ
     
  14. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ขอบคุณมากๆครับท่านนพ เป็นอย่างที่ท่านกล่าวจริงๆครับผู้ดูผู้รู้ ก็เป็นเพียงการปรุงแต่ง แต่เห็นชัดเลยครับว่าผมสงสัยก็เลยพยายาม ตามรู้ ตามดู และพิจารณาอยู่อย่างนั้นจนเกิดอาการตามที่กล่าวละครับ ส่วนเมตตาที่เข้ามาเมื่อก่อนก็ชอบและใช้บ่อยๆละครับตอนนี้ไม่ค่อยสนใจแล้วละครับเขามาก็ดีไม่มาก็ดีครับ ขนาดว่าพยายามไม่รีบร้อนไปเรื่อยๆเปื่อยๆแล้วนะครับพอเผลอตัวเหยียบหมดแมกดีนะครับไม่หลุดโค้ง
    เอาเป็นว่ารู้ก็ดีไม่รู้ก็ดี เกิดก็ดีไม่เกิดก็ดี แค่ไหนแค่นั้นตามที่ท่านนพกล่าวละครับ วางกว่า เบากว่าอร่อยกว่า สบายกว่ากันเยอะครับถ้ามีปัญหาคราวหน้าก็ขอรบกวนท่านนพนะครับ
     
  15. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    ขอบคุณคุณนพที่ตอบให้ข้าพจ้าทราบ เพิ่งมาเปิดอ่านวันนี้จ๊ะ:)
     
  16. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ขออนุญาติส่งการบ้านท่านนพนะครับ
    '' มันเกิดตอนไหน และดับตอนไหน
    และมันเกิดเพราะอะไร และมันดับไปเพราะอะไร ''
    1 เกิดขึ้นตอนนอนอ่านนิยายเหมือนฟ้าแลบเกิดขึ้นแบบไม่เกี่ยวกับอะไรเลยและดับไปพร้อมแสงที่ดับไป
    2เกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอกมากระทบภายในและมีเราไปร่วมเสพอารมณ์นั้นด้วย ยาวนานแค่ไหนอยู่ที่เรากำหนดครับ
    3 เหมือนข้อ 2 ครับ แต่เรากำหนดไม่ได้ครับ มันค่อยๆดับของมันเอง
    ข้อแรกผมอาจจะยังไม่ค่อยทันครับ ให้ดูแบบนี้ในทุกๆครั้งนะครับท่านนพ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มีนาคม 2017
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    ใช่ครับดูทุกเรื่องนะครับ
    แต่ที่คุณพูดยังเป็นสัญญาอยู่
    ยังมาจากการ คิด วิเคราะห์ พิจารณาอยู่ครับ
    และถ้าสังเกตุได้อย่างที่แนะนำ
    ตรงนี้กำลังสติถึงจะพัฒนา
    เป็นมหาสติได้ครับ ถ้ามันเป็นมหาสติแล้ว
    ในทางกิริยา ประกันได้เลยว่า มันจะตามไปรู้เอง
    ทุกๆเรื่องนั่นหละครับ
    เพียงแต่ว่าตรงนี้ต้องให้เวลากับมันหน่อยนะครับ
    จะไบ้ให้เป็นแนวทางนะครับ
    แต่ว่าเป็นเพียงกิริยาแบบหยาบๆนะครับ

    คุณลอง นึกภาพตามที่ผมจะพูดให้ดีๆนะครับ
    ตอนนี้ สมมุติฐานว่า มีจิตอยู่ดวงหนึ่ง ลอยอยู่
    ไม่มีร่างกายนะครับ ตัดร่างกายออกไปเลย
    แล้วมาอ่านต่อนะครับ ผมจะแซะให้ทีละข้อ
    แล้วไปลองพิจารณาดูนะครับ
    อย่าพึ่งเข้าใจในตอนนี้
    ให้ไปปฏิบัติก่อน อย่าพึ่งแสดงความเห็นอะไรครับ



    ๑.ที่นี้จิตเกิดตอนไหน ไม่ใช่ว่าตอนนั้นโน้นนี่
    นัยยะมันก็คือ ไอ้จิตดวงหนึ่งนั้น
    ที่มันลอยอยู่ ว่าตอนนั้นจิตมันเป็นอย่างไร
    จิตมันเฉยๆ มันว่าง มันวางไหม และมันยังกลมๆอยู่ไหม
    หรือมันอยู่ในกิริยาอย่างไร..มันกระเพื่อมไหม มันดิ้นไหม
    มันเป็นวงกลมอยู่แม้ว่าจะเฉยๆไหม หรือจิตมันคลายตัว
    เองออกไม่เป็นวงกลมแล้วใช่ไหม สังเกตุๆๆๆ
    แต่ไม่ได้ไปดูมันนะครับ แค่รู้ๆว่า มันเป็นอย่างไร
    คือแค่รู้กิริยามันตอนนั้นเฉยๆ


    ตรงนี้จะเอื้อให้เห็นตำแหน่งที่อะไรก็ตาม
    มันผุดขึ้นมาจากจิตได้
    เพราะเราจะพลิก จากการย้อนไปดึงสัญญามาปรุงที่บอกว่า
    เป็นเพราะโน้นนี่นั้น เกิดตอนนั้นโน้นนี่
    อย่างที่ คุณ เข้าใจในตอนนี้
    ซึ่งจิตก็จะผลิกๆตัวเองมาเพื่อเตรียมทำอะไรบางอย่าง
    และเราจะกลายมาเป็นผู้ดูตัวจิตได้แล้ว
    แต่เราแค่ดูในลักษณะแค่รู้กิริยามัน
    แต่ไม่ได้ไปร่วม

    ซึ่งมันจะเริ่มเอื้อต่อให้เห็นตอนก่อนที่จิตมันกำลังจะเกิด
    (คือมันกำลังจะรวมกับอะไรก็ตาม ไม่ว่าภายในหรือภายนอก)
    หรือจิตมันจะเกิดกิริยาอะไรขึ้น
    ไม่ว่าก่อนจะเกิดกิริยา ซึ่งมันจะมาจากภายนอก
    หรือเกิดจากภายใน
    ...ซึ่งมาจากกระบวนการที่จิตส่งผู้รู้ หรือ กำเนิดผู้รู้
    แล้วส่ง บางทีเรียกเชื่อม ไปกระทบสิ่งที่กำลังจะมาทำให้
    จิตมันเกิดไม่ว่า จากภายในจิตเองหรือภายนอกจิตนั่งเอง
    ตรงนี้ เราจะเริ่มเห็นผู้ดู กับ ผู้รู้ ได้บ้างแล้ว
    ตรงนี้ ผู้รู้ส่งไปกระทบยังสิ่ง ที่จิตมันส่งไป
    มันแค่รู้ว่าเรียกว่าอะไร แต่ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร


    ๒.เกิดเพราะอะไร ตรงนี้จะเอื้อให้เห็นกระบวนการที่จิตมันเกิดได้
    ชัดเจนยิ่งขึ้นซึ่งมันจะต่อเนื่องจากข้อที่ ๑
    ไม่ใช่แบบที่คุณกล่าวมันยังเป็น
    สัญญาและมีการปรุ่งร่วมไปแล้วถึงมาพิจารณา
    และยังไม่เข้าใจกระบวณการมันครับ...

    ฟังต่อนะครับ พอเราเริ่ม สังเกตุได้ ในแบบ ผู้ดูซึ่งพอรู้
    กิริยาของจิตแล้ว และผู้รู้ซึ่งทำหน้าที่ส่งไปกระทบ
    เราก็เริ่มรู้แล้วว่า จิตเรามันเกิดเพราะอะไร
    เราจะมาสังเกตุให้ทันว่า เห้ย ไอ้ตัวจิต
    มันส่ง ผู้รู้ออกไปรู้แล้วนะ...ตรงนี้ๆๆ คือนัยยะที่เคยบอก

    ส่วนการกำหนดดับไม่เกี่ยว เราจะดับตอนไหนก็ได้
    แต่จำไว้ว่า จิตมันเป็นธาตุรู้ เราจะปล่อยให้เค้ารับรู้
    แต่ว่าไม่ให้เค้าเกิด ถ้ามันได้เกิดถึงขั้นไปรู้แล้ว
    นั่นคือ อย่างน้อย จิตกับความคิด หรือกระแสภายนอก
    มันได้ปรุงร่วมกันเรียบร้อยไปแล้ว ตรงนี้ให้ดับเลย
    รู้เร็ว รู้ทันตอนไหนดับทันที...เข้าใจเนาะ
    ไม่ใช่ว่าอยู่ที่เราจะกำหนดดับ
    ให้เปลี่ยนเป็น ทันมันตอนไหนดับมันทันที...นะครับ...
    ส่วนมันดับ เพราะอะไรนั้น...
    ให้เราย้อมมาดู กิริยาของจิต ที่เราทราบว่า
    มีผู้ดู กับผู้รู้. ในพิจารณาดูว่า ผู้ดูมันไม่ส่งผู้รู้ไปกระทบ
    หรือผู้รู้มันปล่อยการไปกระทบ
    หรือ จิตมันรู้ว่า สิ่งที่พยายามจะไปรู้เป็นการปรุงแต่ง
    หรือ มันมีอะไรมาทำให้จิตปล่อย มีอะไรมาทำให้
    ผู้รู้ปล่อย ฯลฯ เด่วค่อยว่ากัน

    ๓.กำหนดดับได้ทุกครั้งที่เรารู้ว่ามันปรุง
    และมันจะค่อยๆดับไปเองได้ นั่นเพราะเรายังไม่รู้ว่า
    จิตมันไม่ส่งผู้รู้ หรือผู้รู้มันปลอย หรือมักออกมา
    ดูตัวเอง ว่ามันเป็นผู้รู้ ผู้ส่ง
    หรือเพราะจิตมันส่งผู้รู้ตัวอื่นๆไปกระทบที่อื่น
    หรือมีตัวอื่นๆจากภายนอกเข้ามา
    (เคยได้ยินไหมจิตคิดได้ทีระเรื่อง)
    ตรงนี้ให้สังเกตุกิริยาการเปลี่ยนแปลง
    ของผู้รู้ให้ดีๆจะเข้าใจ ว่ามันกำลังทำอะไรอยู่ครับ
    เด่วเราจะทันได้เองว่ามันดับตอนไหน
    เพราะอะไรถึงดับครับ


    ปล.ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ให้เวลากับมันหน่อยครับ
     
  18. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ขอบคุณมากครับท่านนพผมขออธิบายโดยพิจารณาจากตัวผมเองนะครับ คือสำหรับผมมองว่าจิตมันก็อยู่เฉยๆนะครับส่วนใหญ่มันก็อยู่นิ่งๆของมันอย่างนั้นละครับนานๆครั้งถึงจะมีเวทนาเข้ามาร่วมด้วยครับ เพียงแต่ผู้รู้ชอบไปวุ่นวายกับมันมากกว่าครับบางทีผู้ดูนี่ละครับไปช่วยผู้รูั้อีกต่างหาก เวนกำเราเองนี่หว่า เอาเป็นว่าตอนนี้ผมค่อยๆเดินไปทีละน้อยแล้วค่อยมาตอบใหม่ครับ(เอ๋เพราะความอยากรู้อยากเห็นผู้ดูเลยสร้างมันขึ้นมา)
    ขอบคุณท่านนพมากนะครับท่านไล่ลำดับสมการมาให้เห็นชัดเลยครับ ลองเอาสูตรผมเข้าไปเทียบเลยพอเข้าใจว่าผมผิดตรงไหนครับ ORZ ครับ
     
  19. devotee57

    devotee57 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    228
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +556
    แหม คุณพี่นพ
    อิน้องกลัวว่าถามอากู๋ว่าเกลือแต่ละชนิดจะให้ผลทางพลังงานอย่างไรแล้วจะมิเจอ แต่ถ้าถามอากู๋ว่าเกลือชนิดไหนเหมาะแก่การปรุงอาหารแบบไหนนี่เจอแน่น

    พอคุณพี่ให้ไปค้น อิน้องก็เจอเกลือแบบชื่อยากๆแบบแนวเคมี(เด็กศิลป์มิเข้าใจ)
    แล้วเจอที่เขาว่าถ้าเกลือสีออกทางชมพูนี่จะมีธาตุเหล็กอยู่เยอะ เอิ่ม...แล้วมันจะดีมั้ยละคะ?
    ในเมื่อเราต้องการลดทอนการสะสมคลื่นพลังงาน
    หรือว่ามันจะเป็นเหมือนแม่เหล็กที่ดูดพลังที่ตกค้างไปจากเรา

    เฮ้อ ดันได้คำถามใหม่ซะงั้น

    อ้อ แล้วกรณีหินนี่ใช้หินทะเลได้มั้นค่ะ ตรงทะเลใกล้ร้านมีหินทะเลสวยๆเพียบ ถ้าใช้กันได้จะไปขอเก็บมาลองใช้ดู
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,047
    คุณ คนโง่โง่ พอเข้าใจที่ส่วนตัว พูดว่า
    '' ค่อยๆเป็นค่อยๆไปแล้วหรือยังครับ "

    ไม่ต้องกลัวเรื่องธาตุเหล็ก
    ที่มีในวัตถุตามธรรมชาติมันไม่ทำปฏิกิริยากัน
    มันไม่เหมือนแม่เหล็ก ที่ต่างขั้วกันจะดูดกัน
    ไม่งั้น เกลือในตลาดมันคงดูดหลังเราแล้วหละ ๕๕๕ และ
    ไม่ว่าเกลือหรือหินที่มีแร่เหล็กผสมอยู่โดยธรรมชาติ
    จะช่วยในเรื่องการดูดพลังงานส่วนเกิน
    ได้ดีกว่าอยู่แล้วโดยธรรมชาติ..

    แถมคุณสมบัติมันย่อยปรับธาตุได้
    กรณีที่กินได้ เห็นสัตว์ที่กินดินที่มีเกลือผสมไหม
    แต่ว่า ทุกอย่างต้องมีความพอดีนะ...
    ขนาดปลาเน่า มันยังทำให้ปลาเน่า
    กินได้เลย..นี่คือ คุณสมบัติของพี่เกลือ..
    เพียงแต่เรา อย่าไปนิสัยเหมือน ชื่อพี่แกก็พอ
    ยกเว้นบางคน ๕๕๕
     

แชร์หน้านี้

Loading...