เสียงธรรม กิเลสกับธรรมอยู่ในหัวใจ

ในห้อง 'วัฏสงสารและกฎแห่งกรรม' ตั้งกระทู้โดย J.Sayamol, 24 กรกฎาคม 2011.

  1. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    [​IMG]

    เราไปไหนยั้วเยี้ยๆ ไม่ได้เรื่องนะกับเรา อ้าว พูดจริงๆ เราทนเอานะ อย่ามายินดีว่าได้ตามเรา เราทนเอา ทนให้ตามต่างหาก ยั้วเยี้ยๆ มันอะไรก็ไม่รู้ คือมันตามนิสัยนะ แต่เหตุใดมันจึงได้มาเกี่ยวข้องกับชาติกว้างขวางมากมาย นิสัยเราเป็นอย่างนั้นละ เวลาออกปฏิบัติคนเดียวตลอดเลย แปลกอยู่นะ แล้วพ่อแม่ครูจารย์เสริมเสียด้วย เวลาได้โอกาสเราก็กราบเรียนท่านจะลาไปเที่ยวทางโน้นทางนี้ ก่อนที่จะกราบเรียนท่านก็พูดถึงเรื่องการงานในวัดเกี่ยวข้องกับพระกับเณรมีธุระอะไรบ้าง ท่านว่าไม่มีอะไร ถ้าไม่มีอะไรก็คิดอยากจะไปเที่ยววิเวกเที่ยวภาวนาสักชั่วระยะหนึ่ง เราว่าชั่วระยะหนึ่ง พอท่านว่าไม่มีธุระอะไร เป็นโอกาสที่เราจะออกเที่ยว ถ้าไม่มีธุระอะไรก็คิดว่าอยากจะออกเที่ยววิเวกสักชั่วระยะหนึ่ง

    พอว่าอย่างนั้นท่านนิ่ง ถ้าท่านไม่มีคำตอบอะไรมา ถึงกราบเรียนอย่างนั้นแล้วก็ไปไม่ได้นะ เราไม่ไป พอมีโอกาสแล้วท่านจะพูดออกมาเอง สักกี่วันก็ตามเราพูดไว้นี้นิ่งอยู่งั้น ถ้าท่านไม่ต่อคำนี้ไม่กล้าไปไหนแหละเรา เมื่อท่านต่อคำจะเป็นวันไหนก็ตามถ้ามีโอกาสท่านก็ขึ้นมาละ เอ้อ ที่อยากไปเที่ยววิเวกก็ไปได้ คิดว่าจะไปไหนทางไหนล่ะ คราวนี้คิดว่าจะไปทางนั้นๆ ตอนที่ว่าจะไปกี่องค์ โอ๋ย ท่านผางขึ้นทุกทีเลยนะ เรียกว่าท่านส่งเสริมเต็มเหนี่ยวเลย ท่านถามว่าจะไปกี่องค์ ไปองค์เดียว ท่านขึ้นทันทีเลย เอ้อ ท่านมหาไปองค์เดียวนะ พระเณรนั่งอยู่ตามนั้น ท่านชี้นิ้วส่ายนิ้วไปเลย ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ท่านมหาให้ไปองค์เดียว

    ใครจะไปยุ่งเรา เราก็ไม่เคยสนใจกับใคร แล้วก็ไม่นึกว่าพระเณรจะจดจ้องมองดูเราอยู่นะ ก็มีร่มโพธิ์ร่มไทรใหญ่คือพ่อแม่ครูจารย์มั่นอยู่แล้ว เราก็พอใจแล้วที่จะไปสะดวก ท่านยังย้ำอีก ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ จากนั้นก็ไปองค์เดียวจริงๆ ตลอดๆ มันนิสัยอะไรก็พูดไม่ถูก จะว่าเป็นความผิดไม่ผิดเลยว่างั้นเถอะน่ะ ออกเที่ยวอย่างนี้ไปองค์เดียวตลอดเลยนะเราตั้งแต่ออกปฏิบัติ ไปองค์เดียวๆ

    ความรู้ความฉลาดเกิดขึ้นจากภาคปฏิบัตินี้เกิดขึ้นเท่าไร มีความรู้ความสามารถมากน้อยหมุนเข้ามาแก้ตัวเองๆ ทั้งนั้น ที่จะได้สั่งสอนผู้ใดในเวลาปฏิบัติอยู่นั้นเป็นเวลา ๙ ปีเต็ม เราไม่เคยสอนใครเลยนะ เพราะไปก็ไปอยู่แต่ในป่าในเขาแล้วจะไปสอนใคร ตั้งใจไปสอนตัวเอง แล้วจะมีการมีงานอะไรให้ไปเกี่ยวข้องล่ะ ความรู้เกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติมากน้อยเพียงไร จะหมุนเข้ามาแก้ตัวเองๆ ไม่หมุนออกไปสอนคนอื่น นี่พูดตามนิสัยของเราที่ดำเนินมา ประกอบความพากเพียรนี้คนเดียวเท่านั้นๆๆ เลยนะ คือถ้าเป็นสองเป็นน้ำไหลบ่ามันไม่รุนแรง ถ้ายิ่งสามยิ่งสี่ โอ๊ย ไม่เอาไม่ไปเลย ถ้าคนเดียวนี้พุ่งเลย อยากกินก็กิน ไม่อยากกินกี่วันก็ตาม เป็นตายเรารู้เราเองเท่านั้น เดินไปนี้ทั้งวัน ไปเที่ยวที่ไหนเป็นความเพียรตลอดเวลา สติติดแนบอยู่กับตัว ถ้ามีเพื่อนมีฝูงก็มีการรับผิดชอบกันตามสัญชาตญาณของมนุษย์และสัตว์เรา มันหากเป็น

    องค์นี้มาแยกไปนั้น องค์นั้นมาแยกไป แล้วถ้ามีองค์นี้มาอีกสองสามเป็นน้ำไหลบ่าไม่รุนแรง องค์เดียวนี้พุ่งเลยๆ เราชอบอย่างนี้ก็ไปแต่อย่างนี้ ความรู้มีมากน้อยมันจะหมุนเข้ามาแก้ตัวเองๆ ที่จะไปสั่งสอนใครนี่ในเวลาปฏิบัติเป็นเวลา ๙ เต็มไม่สอนใครเลย ไม่เอา เรียกว่า ๙ ปีเต็ม ตั้งแต่พรรษา ๗ หยุดจากการเรียนหนังสือก็ขึ้นเวทีเลยภาคปฏิบัติ จนกระทั่งพรรษา ๑๖ เก้าปีพอดี นี่ละทุกข์ทรมานแสนสาหัส แต่ทุกข์ด้วยความสมัครใจก็เหมือนไม่ทุกข์ ธรรมอันยิ่งใหญ่เลิศเลออยู่ต่อหน้า เหมือนกับอยู่ชั่วเอื้อมๆ ทุกข์ขนาดไหนก็เพื่ออันนั้นๆ เลยไม่รู้สึกทุกข์ มันไม่สนใจ

    เวลาเรียนรู้ไปจำไปๆ รู้ไปเท่าไรๆ ความสงสัยมันจะแอบไปตามๆ นะ แทรกไปตามๆ ตลอด จะเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่มี บุญบาป นรกสวรรค์ ท่านบอกด้วยความถูกต้องแม่นยำของศาสดาองค์เอก แต่เราตัวจอมปลอม ความสงสัยมันก็แบ่งเอาๆ บางองค์ถึงกับไม่เชื่อ เมื่อหนักแล้วไม่เชื่อว่าบาปมีบุญมีนะ นรกมีสวรรค์มี นิพพานมี เปรตผีประเภทต่างๆ มันไม่เชื่อเลยว่ามี พวกนี้หนามากที่สุด ทีนี้พวกที่ลดกันลงมาก็มี ที่จะให้เชื่อเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่เชื่อ มันยังมีแบ่งกินอยู่นั้น มีหรือไม่มีนา ส่วนใหญ่เชื่อ ส่วนย่อยมันก็แอบกินอยู่งั้น

    เราเห็นในใจของเราเองนะ เรียนไปจนกระทั่งถึงนิพพาน เอ๊ นิพพานมีจริงๆ หรือ ดูซิน่ะ ทั้งๆ ที่ใจนี้อยากไปนิพพาน มันยังมีส่วนแบ่งกิน เหอ นิพพานมีจริงๆ หรือ นั่นเรียนหนังสืออยู่ ของเล่นเมื่อไร กิเลสมันแบ่งกินๆ ไปตลอด แต่ความหนักแน่นมันยังมุ่งต่อมรรคผลนิพพานอยู่นั้นนะ แต่มันยังมีอย่างว่าอยู่นะ มันแอบกิน หลักใหญ่มันไปแล้ว มุ่งต่อมรรคผลนิพพาน พุ่งๆ เพราะฉะนั้นออกจากเรียนนี้แล้วจะออกปฏิบัติโดยถ่ายเดียว นี้ก็เป็นความมุ่งมั่นไว้แล้ว พอออกแล้วก็คิดถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่นองค์เดียวนี้เท่านั้นชี้นิ้วเลย เพราะชื่อเสียงท่านโด่งดังตั้งแต่เราเป็นเด็ก ท่านอยู่ที่อำเภอบ้านผือ ชื่อเสียงท่านโด่งดัง เรายังเป็นเด็ก วัดอรัญญิกาวาส อำเภอท่าบ่อนี้ท่านก็ไปอยู่ เป็นดงทั้งหมดแถวนั้น เดี๋ยวนี้ก็อยู่กลางดงมนุษย์เรา

    พูดเรื่องอะไรลืมแล้วมันไม่ต่อกันอย่างนี้ละ (ไปองค์เดียวครับ) เออ ไปองค์เดียวนี้ก่อน พอได้รับโอวาทจากพ่อแม่ครูจารย์มั่นแล้วถึงใจละที่นี่ พอไปเรียกว่าเรดาร์ของท่านจับไว้เลย แผดออกทันทีเลยพอไปถึงท่าน เราลืมเมื่อไร เหมือนท่านเอาเรดาร์จับไว้หมดเลยเรื่องของเรา พอไปถึงท่านถาม ท่านมาหาอะไร ขึ้นเลยนะ เด็ดด้วย เหมือนคอยจะกัดจะฉีกเรา นั่นละพลังจิตของท่านที่เมตตาออกมา หือ ท่านมาหาอะไร มาหามรรคผลนิพพานเหรอ หรือมาหาอะไร ท่านไล่ไปหมดเลย ต้นไม้ภูเขา ดินฟ้าอากาศ ฟ้าแดดดินลม ทั่วท้องจักรวาล ท้องฟ้ามหาสมุทร ไม่ใช่บาปไม่ใช่บุญ ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่กิเลสไม่ใช่ธรรม ธรรมแท้อยู่ที่นี่ กิเลสอยู่ที่นี่ ธรรมอยู่ที่นี่ นอกนั้นไม่มี เอาให้ดี

    ท่านฟาดลงเรื่องจิตตภาวนา เอาให้ดีๆ เบิกออกตรงนี้ท่านจะเห็นทั้งบาปทั้งบุญทั้งมรรคผลนิพพาน ให้เบิกตรงนี้ เวลานี้กิเลสปิดเอาไว้จิตดวงนี้จึงไม่มีคุณค่ามีราคาอะไรเลย เอ้า เปิดออกด้วยจิตตภาวนา บอกจิตตภาวนาล้วนๆ เลย เอ้า เปิดออก ท่านอย่าสนใจกับอะไร เวลานี้ท่านมาภาวนา เอา ตั้งหน้าตั้งตาภาวนา เบิกสิ่งที่สกปรกโสมมที่มันปิดบังหุ้มห่อมรรคผลนิพพานไว้นั้นออกให้หมด ท่านไม่ต้องถามหาใครละมรรคผลนิพพาน พระพุทธเจ้าตรัสรู้องค์แรกท่านถามมรรคผลนิพพานจากใคร ตลอดสาวกก็ไม่ถาม เมื่อรู้แล้วจะชัดขึ้นที่ใจนี่เลย

    ท่านไม่พูดธรรมดานะ เหมือนจะกัดจะฉีก นี่พลังของธรรม พลังของเมตตาพุ่งๆ เราก็ฟังอย่างถึงใจๆ ทุกกิทุกกีเลย ตอนท้ายท่านมีเตือนอีก ตอนท้ายแห่งการเทศน์นี้ เอ้อ ท่านมหาก็นับว่าเรียนได้พอสมควรถึงขั้นเป็นมหา แต่อย่าว่าผมประมาททางด้านปริยัตินะ เวลานี้เป็นเวลาภาวนาต้องการความสงบของใจ ท่านอย่าไปยุ่งอย่าไปคิดถึงด้านปริยัติที่ท่านเรียนมามากน้อย มันจะมาคละเคล้าเตะถีบยันกันอยู่นี้ การภาวนาจะหาความสงบไม่ได้ ท่านอย่ายุ่งกับอะไร การเรียนมามากน้อยให้ท่านยกขึ้นคัมภีร์บูชาไว้ก่อน นู่นท่านว่านะ ยกคัมภีร์นั้นบูชาไว้ก่อน อย่างไรให้หมุนตัวลงทางจิตตภาวนาให้มาก

    เวลานี้ท่านเรียนมามากน้อยไม่เกิดประโยชน์ นั่นฟังซิเวลาท่านเด็ด ธรรมทั้งหลายที่ท่านเรียนมายังไม่เกิดประโยชน์ ให้เก็บไว้ก่อน เอาทางด้านจิตตภาวนาให้จิตสงบลงไปแล้ว พอถึงขั้นที่ปริยัติกับปฏิบัติจะวิ่งถึงกัน เอาไว้ไม่อยู่ นี่เราก็ไม่ลืมนะ คือปฏิบัติได้แก่ผลที่เรารู้มาเห็นมามากน้อย กับปริยัติที่เราเรียนมา มันจะวิ่งประสานกันเอาไว้ไม่อยู่ ท่านว่าเราไม่ลืมนะ เวลาปฏิบัติมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ท่านว่าอย่างนั้นเรามันเป็นคนตับเดียว ท่านว่าอย่ายุ่งอะไรกับปริยัติ เราก็ไม่ยุ่งจริงๆ ไปเรื่อยๆ เอา ภาวนาให้จิตสงบอย่างเดียวเท่านั้น ท่านว่างั้น

    เมื่อจิตสงบแล้วมันจะค่อยแตกกระจายออกไป ถึงขั้นปริยัติกับปฏิบัติจะวิ่งประสานกันแล้วเอาไว้ไม่อยู่ นี่เราไม่ลืมนะ มันก็เป็นจริงๆ พอถึงขั้นออกทางด้านปัญญา จิตเป็นสมาธิจิตมีความสงบชุ่มเย็นๆ ทีนี้ออกทางด้านปัญญา ปัญญาเป็นทางเบิกเพิกถอนกิเลสนะ สมาธิตีกิเลสให้ตะล่อมเข้ามาๆ ความสงบ จิตมันฟุ้งซ่านรำคาญตอนนั้น เรียกว่าหาความสงบไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงตีเข้ามาด้วยจิตตภาวนาให้จิตมีความสงบ พอจิตมีความสงบแล้วจิตอิ่มอารมณ์ไม่ยุ่งกับอะไร ทีนี้ เอา ออก เอาจิตที่สงบนี้ออกทางด้านปัญญา ท่านบอกอย่างนั้นนะ ทีนี้พอออกทางด้านปัญญาแล้ว เอาละที่นี่เรื่องปริยัติปฏิบัติมันจะวิ่งถึงกันๆ เอาไว้ไม่อยู่

    เวลามาถึงเราเป็นจริงๆ พอมันรู้ขึ้นมาๆ เอา เอาปริยัติมายันกัน หรือมีขัดข้องตรงไหนปริยัติท่านว่าไง มันวิ่งถึงกันๆ แน่ๆ เลยท่านพูดอย่างนี้นะ ท่านที่ผ่านมาแล้วไม่มีผิดละ เราเทิดทูนท่านสุดยอดเลยพ่อแม่ครูจารย์มั่นสอนเรา ไม่เคยผิดพลาดไม่เคยสงสัยเลย ใส่ลงตรงไหนป้างๆ ไม่ใช่ธรรมดานะ ยอมรับๆ ได้ผลขึ้นมาเป็นที่พอใจ ภาคปฏิบัติเวลามันรู้มันรู้จริงๆ นะธรรมรู้ภายในใจ อย่าเอาปริยัติ อย่าเอาคัมภีร์ใบลาน เอามาอวดนะ อวดภาคปฏิบัติธรรม คัมภีร์ใบลานก็คือธรรมของพระพุทธเจ้า นั้นเป็นภาคความจำ แต่ภาคปฏิบัตินี้เป็นภาคความจริง

    ปริยัติเราจะเรียนมามากน้อยก็ตาม รู้มันจะเจือปนไปด้วยความสงสัยติดแนบกันไปตลอดถึงนิพพาน จะไม่บริสุทธิ์ละ นิพพานมีจริงๆ เหรอ นั่นเห็นไหม แต่พอมาปฏิบัติเข้าไปนี้ ความรู้ความเห็นของจิตของเราที่เกิดขึ้นเป็นผล เรียกว่าเป็นสมบัติของตนด้วย ไม่ใช่เกิดขึ้นมาเฉยๆ ส่วนปริยัตินี้มีแต่ความจำๆ ไม่ใช่สมบัติของตน จำมาแล้วก็ลืมไปๆ เพียงจำมาเพื่อเป็นภาคปฏิบัติ แล้วจะเป็นผลขึ้นมาและเป็นของตน ทีนี้พอหันเข้ามาสู่ภาคปฏิบัติมันเกิดจริงๆ ละซิที่นี่ธรรม ความสงบเกิดขึ้นแล้ว เรื่องราวที่จะเข้ามารบกวนให้ยุ่งเหยิงวุ่นวายมันไม่มี จิตก็สว่างจ้า มีแต่เรื่องของธรรม ธรรมขั้นนี้ก็เป็นธรรมขั้นนี้ ธรรมขั้นนั้นเป็นธรรมขั้นนั้น โลกกิเลสตัณหาไม่เข้ามายุ่งเหยิงวุ่นวาย มีแต่ธรรม

    ทีนี้ออกทางด้านปัญญามันเบิกออกที่นี่ เบิกออกๆ มองไปที่ไหนมีตั้งแต่เรื่องขวากเรื่องหนามเรื่องฟืนเรื่องไฟคือกิเลสทั้งนั้น สติปัญญาซึ่งเป็นเหมือนไฟเผาแหลกๆ นี่ละปัญญาเวลาได้เกิดแล้วไม่ต้องไปถามใคร มันเป็นขึ้นมาเอง ขอให้ดำเนินตามทางพระพุทธเจ้าที่สอนเถิดไม่ผิด เรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว นี้เราดำเนินมาแล้วเต็มหัวใจ เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าลงเวทีมาแล้วไม่สะทกสะท้าน ขึ้นเวทีฟัดเสียอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ว่าจะรู้เองเห็นเอง มันก็รู้เองเห็นเองจริงๆ เวลาปรากฏขึ้นมาแล้วไม่ไปทูลถามพระพุทธเจ้านะ สนฺทิฏฺฐิโกๆ ประจักษ์ๆ เรื่อย จนกระทั่งหมดกิเลส เรียกว่าธรรมเกิดละซิ ธรรมเกิดธรรมอยู่ในหัวใจๆ

    แต่ก่อนมีแต่กิเลสเกิดๆ กิเลสเผาสัตว์เข้าใจไหม อยู่ที่ไหนเผาทั้งนั้น พอธรรมได้เกิดจากภาคปฏิบัตินี้แล้ว แล้วธรรมเกิดธรรมอยู่ธรรมเบิกสิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟออกไปโดยลำดับ จ้าออกๆ ฟาดเสียจนกระทั่งหมดโดยสิ้นเชิง ธรรมเกิดหรือไม่เกิดที่นี่ เป็นธรรมทั้งแท่งแล้ว จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกัน ที่นี่เบิกกว้างสุดยอดของจิตที่บริสุทธิ์เต็มส่วนแล้ว ท่านเรียกว่าจิตพระอรหันต์จิตพระพุทธเจ้า หรือจิตนั้นเป็นธรรมธาตุก็ได้ จิตนี้เป็นธรรมธาตุแล้วหมดสมมุติโดยสิ้นเชิง สิ่งที่เคยเกี่ยวเคยเกาะเคยผูกเคยพันจิตใจอยู่นี้ไม่ว่าจิตใจดวงใด กิเลสมันต่ำๆ แต่มันขึ้นอยู่บนหัวใจดวงนั้นทุกดวงๆ มันต่ำแต่มันชอบสูง มันขึ้นไปเหยียบหัวสัตว์หัวคนอยู่สูงๆ อยู่บนหัวใจ พอธรรมะตีลงๆ พังลงไปหมดแล้ว ธรรมเป็นธรรมแท้ ทีนี้เบิกกว้างไปหมดเลย

    แล้วไม่มีอะไรมายุ่งกวนนะ จิตใจเมื่อหมด...กิเลสนี่เป็นสมมุติ สมมุติอันสุดยอดก็คือกิเลสอวิชชา กวนถึงขั้นสุดยอด พอกิเลสอวิชชาซึ่งเป็นสิ่งที่ก่อกวนให้เกิดทุกข์สิ้นซากลงไปแล้ว ไม่มีอะไรผ่านจิตใจ เป็นวิมุตติล้วนๆ โลกสมมุติจะมีหนาแน่นขนาดไหน ไม่เข้ากวนใจดวงนั้นได้เลย ท่านจึงเรียกว่า สุญฺญโต โลกํ ดังที่ท่านสอนแก่ พระโมฆราช...พระพุทธเจ้า พระโมฆราชเป็นมานพคนที่ ๑๖ เป็นผู้มีอุปนิสัยปัจจัยที่จะบรรลุธรรมอย่างรวดเร็ว พระพุทธเจ้าก็สอดธรรมอันนี้เข้าไปเลย พอมานพชื่อโมฆราช คนที่ ๑๖ เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ท่านจี้ลง เอาธรรมบทนี้ที่เหมาะแล้วกับคนๆ นี้ ท่านขึ้นเป็นภาษิต

    สุญฺญโต โลกํ.อเวกฺขสฺสุโมฆราช สทา สโต
    อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจเอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา
    เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํมจฺจุราชา น ปสฺสติ

    ดูก่อน โมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ ฟังให้ดีนะ สติทุกเมื่อ พิจารณาโลกให้เป็นของสูญเปล่า ว่างเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิที่เห็นว่าตัวว่าเราว่าเขาเสีย แล้วจะพึงข้ามพ้นพญามัจจุราชเสียได้ พญามัจจุราชจะไม่ตามเห็นไม่ตามรู้ ผู้ที่พิจารณาโลกเป็นของสูญเปล่าว่างเปล่าอยู่อย่างนี้ นั่น แล้วพระโมฆราชบรรลุธรรมปึ๋งขึ้นมาเลย ก็เป็น สุญฺญโต โลกํ ในหัวใจของพระโมฆราช ใจพระโมฆราชหมดทุกสิ่งทุกอย่าง เป็น สุญฺญโต โลกสูญเปล่าว่างเปล่าไปหมดในจิตพระโมฆราช ตามธรรมที่พระพุทธเจ้าประทานลงไปให้

    คราวนี้ย้อนเข้ามาหาธรรมที่เป็นธรรมสอนโลกทั่วๆ ไป ใครก็ตามหัวใจใครก็ตาม ถ้าปฏิบัติให้ถูกตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เป็น สุญฺญโต โลกํ ด้วยกันหมด อย่าว่าแต่พระโมฆราชเลย พระอรหันต์ทั้งหมดเป็น สุญญโต โลกํ ด้วยกันทั้งนั้น ตีกระจายออกไปหมด ที่มันปิดบัง โลกไม่เป็นของสูญเปล่า คือโลกมันหนาแน่นด้วยกิเลสตัณหาทับธรรม ธรรมเลยสูญไปหมดไม่มีเหลือ สูญเปล่าว่างเปล่าธรรม กิเลสเหยียบเอาๆ ทีนี้พอพลิกธรรมขึ้นมามาปฏิบัติ ธรรมก็เหยียบกิเลส ฟาดกิเลสในหัวใจ ตีออกหมด โลกนี้เป็นของสูญเปล่าว่างเปล่า นั่นเห็นไหมล่ะ จิตดวงนี้เป็นได้ทุกองค์ทุกราย ถ้าลงได้ขึ้นถึงขั้นนี้

    เพราะฉะนั้น สุญฺญโต โลกํ อย่าเข้าใจว่าสอนแต่โมฆราชนะ ธรรมเป็นธรรมศูนย์กลาง พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาผู้นำธรรมนี้มาแสดง สมควรที่จะแสดงแก่ผู้ใด หรือระบุก็ระบุอย่างโมฆราช ไม่ระบุก็ตามธรรมเป็นศูนย์กลาง กิเลสก็เป็นกลางๆ ตีเข้าไปตรงนั้นมันก็พังเหมือนกัน พอถึงขั้นนี้แล้วเป็น สุญฺญโต ด้วยกันหมด บรรดาพระอรหันต์เป็น สุญฺญโต ทั้งนั้น เป็นผู้มีจิตอันว่างเปล่าจากข้าศึกศัตรู จากสมมุติทั้งหลายโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรติดใจในพระอรหันต์นั้นเลย แล้วสนฺทิฏฺฐิโก ประกาศป้างขึ้นมา ไม่ต้องไปถามใคร แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ตรงหน้าก็ไม่ถาม เพราะ สนฺทิฏฺฐิโก ท่านประทานไว้ให้เรียบร้อยอย่างเด็ดขาด จะรู้ด้วยตนเอง ตั้งแต่พื้นๆ ขึ้นไปถึงวิมุตติหลุดพ้น เป็น สนฺทิฏฺฐิโก จะพึงรู้พึงเห็นเองนั้นแล

    ธรรมพระพุทธเจ้าครึล้าสมัยที่ไหน มันเป็นบ้าแต่พวกเราพวกล้ำยุคล้ำสมัยไปตามกิเลสนั่นซิ กับธรรมนี้มันเลยครึเลยล้าสมัยตาบอดหูหนวกไปหมด มันถึงไม่ได้เรื่องได้ราว พระพุทธเจ้าประกาศธรรมสอนโลกมานี้เท่าไรแล้ว ขนไปๆ พอขนได้ขนไปๆ ผู้ที่ยังขนไม่ได้ ยังพอขนไปได้แล้วขนไป ประทานโอวาทให้ นั่นเห็นไหมล่ะ ๕๐๐๐ ปี ด้วยพระญาณวิถีทรงทราบทุกอย่างแล้วว่า สัตว์โลกจะเกี่ยวเกาะกับอรรถกับธรรมได้ พอให้หลุดพ้นไปได้เพียง ๕๐๐๐ ปี หลังจากนั้นกิเลสจะทับเอาหมดไม่มีเหลือเลย พระองค์ประทานไว้นี้ด้วยพระญาณหยั่งทราบเรียบร้อยแล้ว

    ตอนนี้ก็ ๒๕๐๐ ยังไม่ถึง ๕๐๐๐ ปี ก็อยู่ในย่านกลางระหว่างกิเลสกับเราจะฟัดกัน เอ้า เอาฟัดลงไป นี่ ๒๕๐๐ คือท่ามกลางศาสนา ศาสนาอยู่ที่หัวใจเรา ศาสนาอยู่ท่ามกลางหัวอกเรา เอา ไปฟัดกันกับกิเลสซิ ใครจะเก่งใครจะดี อย่าให้กิเลสฟาดหงายหมาไปนะ เข้าใจไหม ให้กิเลสฟาดเอาหงายหมา หงายง่าย หงายหมาหงายหมอนเข้าใจไหม มันหงายได้ง่าย

    นี่ละธรรมอันนี้สดๆ ร้อนๆ ถ้าลงได้เข้าหัวใจใดกิเลสพังทั้งนั้น ธรรมนี้จะเป็นแบบเดียวกันหมด ท่านจึงว่า อกาลิโก ธรรมเป็น อกาลิโก ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลามาทำลายได้เลย ขอให้ปฏิบัติเถิด กิเลสก็เหมือนกันก็เป็น อกาลิโก ใครทำให้เกิดกิเลส ทำให้เกิดบาปเป็นได้ทั้งนั้น ใครทำให้เป็นกุศลผลบุญชำระกิเลสเป็นได้ทั้งนั้นเหมือนกัน ให้นำไปปฏิบัตินะ นี้เราก็ยิ่งจวนจะตายๆ เท่าไรยิ่งเร่งนะ เร่งการเทศนาว่าการ เคยพูดให้ฟังแล้วแทนที่จะห่วงใยตัวเอง ธรรมดาคนเราจวนจะตายเท่าไรยิ่งเป็นกังวลหม่นหมองในใจ ถ้าผู้มีคุณงามความดีก็อาศัยความดีเกาะจิตชุ่มเย็นๆ ไปเลย ผู้ไม่มีความดีเลยนี้เป็นไฟตลอด พอลมหายใจขาดผึงเลย ว่าบาป บุญ นรก สวรรค์ไม่มี ก็มีแต่ลมปากของกิเลสหลอกสัตว์โลกเท่านั้นเอง

    ลมปากพระพุทธเจ้าเป็นลมแห่งธรรม ลมปากของธรรม ลมปากของกิเลสลมปากของโลก เป็นลมปากของมูตรของคูถคือกิเลสทั้งหลาย ลมปากของพระพุทธเจ้าเป็นลมปากของธรรม สอนออกมาอะไรเป็นธรรมทั้งนั้นๆ ถ้าปฏิบัติเอาก็เป็นธรรม ให้พิจารณาเอานะ กิเลสกับธรรมอยู่ในหัวใจเรา แล้วธรรมที่จะแก้กิเลสก็อยู่ในหัวใจเรา กิเลสที่จะเหยียบย่ำทำลายเราก็อยู่ที่หัวใจเรา ให้นำไปปฏิบัติ อย่าถือว่าศาสนานี้เป็นของใครของเรา ของท่านองค์นั้นคนนี้นะ วัดนั้นวัดนี้ เป็นพระ เหมือนว่าธรรมนี้ไปอยู่ในวัด ธรรมไม่อยู่กับเจ้าของ ทั้งกิเลสทั้งธรรมอยู่ในวัดได้นอกวัดได้อยู่ทั่วไปหมด ถ้าเราแยกแยะแบ่งสันปันส่วนในสิ่งที่ควร

    เช่น กิเลสตัดออกๆ ตัดออกอยู่นอกวัดก็ได้ ตัดกิเลสออกอยู่ในวัดก็ได้นอกวัดก็ได้ สั่งสมกิเลสในวัดก็ได้นอกวัดก็ได้ เข้าใจไหมล่ะ มันอยู่กับเรา วัดแท้ๆ อยู่กับเรา ให้วัดให้ตวงดูหัวใจตนเองมันเป็นยังไง แล้วก็จะรู้ตัวเองไปเอง นี้ยิ่งเป็นห่วง เดี๋ยวนี้กิเลสมันเหยียบย่ำทำลาย มันขึ้นอยู่บนหัวใจของสัตว์ เอาหัวใจของสัตว์มาเหยียบย่ำทำลายธรรม ที่อยู่บนหัวใจของตนนั้นแล ให้ขาดสะบั้นไปหมด บาป บุญ นรก สวรรค์ไม่มี นิพพานไม่มี แล้วเมื่อสิ่งเหล่านี้ไม่มี อะไรมี ความทะเยอทะยานซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสล้วนๆ ลากถูไปเลยจมไปเลย อันนี้มีหรือไม่มีไม่ถาม กิเลสไม่ให้ถาม เอาความอยากใส่เข้าไปเท่านั้น อยากอะไรทำตามความอยากๆ นั่นละทางลงนรก ให้พากันจำเอานะ เอาละพอ

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • a20-08-48.wma
      ขนาดไฟล์:
      7.2 MB
      เปิดดู:
      1,033
  2. beer1360

    beer1360 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,039
    ค่าพลัง:
    +420
    ขออนุโมทนาครับผม
     
  3. ไตรจักร

    ไตรจักร สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +0
    สาธุ เสียงธรรมเมื่อได้ยินเมื่อใดก็ชุ่มเย็นในจิตใจเมื่อนั้น
     
  4. ตั้มศรีวิชัย

    ตั้มศรีวิชัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    597
    ค่าพลัง:
    +1,847
  5. แพรแพร

    แพรแพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +638
    ขอบคุณที่ลงให้ฟังนะคะ ขออนุโมทนาด้วยคะ ^__^
     
  6. wutlions

    wutlions เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    793
    ค่าพลัง:
    +1,384
    อนุโมทนาครับผม
     
  7. jedrapus

    jedrapus Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +44
    อนุโมทนาในธรรมะของท่านด้วยครับ



    -----------------------------------------
    การพิจารณาจิต สู่การปล่อยวาง เพื่อการหลุดพ้น
     
  8. jedrapus

    jedrapus Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +44
    อนุโมทนาในธรรมหลวงตาและเจ้าของกระทู้ด้วยครับ


    ----------------------------------------------
    พิจารณาจิต สู่การปล่อยวาง เพื่อการพ้นทุกข์
    www.jitphontook.com
     

แชร์หน้านี้

Loading...