ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,589
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    อีกหนึ่งตัวอย่างของเสรีภาพ ความเท่าเทียมกัน และสิทธิมนุษยชนแบบตะวันตก: ผู้อพยพวัยรุ่นผู้หญิงชาวซีเรียถูกถีบออกจากรถรางในเยอรมันเพราะเธอใส่ผ้าคลุมศรีษะแบบมุสลิม
    ------------

    วันที่ 1 ธ.ค. 59 RT พาดหัวข่าวว่า "วัยรุ่นชาวซีเรียถูกถีบออกจากรถรางในกรุงเบอร์ลินเพราะใส่ฮิญาบ - ตำรวจรายงาน"​ (Syrian teen kicked off Berlin tram for wearing headscarf – police report)

    รายงานข่าวบอกว่าวัยรุ่น (หญิง) ชาวซีเรียถูกถีบออกจากรถรางในกรุงเบอร์ลินเนื่องจากเธอสวมฮิญาบ (ผู้คลุมศรีษะของผู้หญิงชาวมุสลิม) หลังจากที่คนขับรถตะคอกใส่เธอผ่านลำโพงเสียงดังลั่นว่าเขารับเธอเป็นผู้โดยสาร

    เด็กหญิงวัย 14 ปีได้เดินขึ้นไปยังรถรางขบวนหนึ่งเมื่อเวลาประมาณบ่ายสองโมงเมื่อวันอังคารนี้ในพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง Friedrichshagen ตามรายงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

    เธอต้องการที่จะขึ้นขบวนรถดังกล่าวไปจนถึงป้ายที่ใกล้สถานีรถไฟ S-Bahn ที่สุด แต่กลับไม่ได้รับอนุญาตให้ไปไกลกว่านั้น คนขับรถรางได้ออกคำสั่งผ่านลำโพงเสียงดับให้เธอออกไปจากรถรางเดี๋ยวนี้ โดยบอกเธอว่าจะไม่ยอมขับรถเด็ดขาดหากมีใครสวมผ้าคลุมศรีษะ (headscarf)

    ไม่มีผู้โดยสารคนอื่นๆแสดงการสนับสนุนใดๆ และเด็กผู้หญิงคนดังกล่าวก็ออกไปจากรถรางขบวนนั้น รายงานระบุ

    ต่อมาเธอได้เล่าเหตุการณ์ดังกล่าวให้กับน้าของเธอฟัง ซึ่งได้รายงานเรื่องนี้ต่อทางการ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจสอบเรื่องนี้

    ในขณะเดียวกันบริษทัท Berlin Transport (BVG) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรถรางขบวนนี้ได้กล่าวกับหนังสือพิมพ์ Tagesspiegel ว่ากำลังมองดูหตุการณ์นี้ และกำลังทำการตรวจสอบคลิปจากกล้องวงจรปิด

    เหตุการณ์เมื่อวันอังคารนี้อยู่ห่างไกลจากกรณีแรกที่มีการกล่าวหาว่าเป็นการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงชาวมุสลิมในประเทศเยอรมัน พนักงานฝึกหัดชาวมุสลิมคนหนึ่งถูกไล่ออกในวันแรกที่เข้าไปทำงานเป็นเวลา 6 สัปดาห์เมื่อเดือนสิงหาคมหลังจากเธอปฏิเสธที่จะถอดผ้าฮิญาบของเธอออก

    ในเดือนเดียวกันนี้ ศาลเยอรมันได้สนับสนุนโรงเรียนของทางการหลังจากที่นักเรียนคนหนึ่งได้ฟ้องร้องต่อโรงเรียนแห่งนั้นว่าขับไล่เธอออกจากห้องเรียนเนื่องจากเธอสวมผ้าคลุมศรีษะปิดบังใบหน้าทั้งหมด โดยทางโรงเรียนได้ให้เหตุผลว่าผ้าดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ของเธอ

    [เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ผู้หญิงต่างชาติที่ไม่ใช่มุสลิมเมื่อเดินทางไปยังซาอุดิอาระเบียหรืออิหร่านก็ต้องใส่ผ้าคลุมศรีษะ เพราะว่านั่นเป็นกฎหมายของประเทศเหล่านั้น ถ้าไม่อยากปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศเหล่านั้นก็ไม่ต้องเดินทางเข้าไปในประเทศเหล่านั้น ฉันใดก็ฉันนั้น ที่โรงเรียนในเยอรมันเขาก็มีกฎระเบียบของเยอรมัน - ผู้แปล]

    The Eyes
    เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
    https://www.facebook.com/fisont
    https://vk.com/theeyesproject
    01/12/2559
    ------------
    https://www.rt.com/news/368854-syrian-headscarf-berlin-tram/
    14-Jährige zeigt fremdenfeindlichen Vorfall an - Berlin.de
    Syrian teen kicked off Berlin tram 'for wearing headscarf' - The Local
    Berlin-Friedrichshagen: Tram-Fahrer soll 14-Jährige wegen Kopftuch rausgeworfen haben - Polizei & Justiz - Berlin - Tagesspiegel
    https://www.rt.com/news/356769-german-school-face-veil/
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,589
    ค่าพลัง:
    +97,150
    "โคฟี อันนัน" นำทีมลงพื้นที่รัฐยะไข่ท่ามกลางเสียงประท้วงต่อต้าน เผยแพร่: 2 ธ.ค. 2559 15:42:00

    อดีตเลขาธิการสหประชาชาตินำทีมลงพื้นที่รัฐยะไข่ ในวันนี้ (2) เพื่อจัดการกับปัญหาชะตากรรมของชาวมุสลิมโรฮิงญา ท่ามกลางการปราบปรามของทหารที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 86 คน และประชาชนอีกนับหมื่นคนต้องหนีความรุนแรงไปอยู่ในบังกลาเทศ

    นายอันนัน จะใช้เวลาหนึ่งวันในเมืองสิตตะเว เมืองเอกของรัฐยะไข่ ก่อนเดินทางขึ้นเหนือไปยังพื้นที่ที่ถูกปิดล้อมนับตั้งแต่ทหารเริ่มดำเนินการกวาดล้างผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่หลังเกิดเหตุโจมตีด่านชายแดนเมื่อวันที่ 9 ต.ค.

    นางอองซานซูจี ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่ง ที่มีสมาชิก 9 คน ก่อนที่เหตุต่อสู้จะปะทุขึ้น ในความมุุ่งหวังที่จะให้คณะกรรมการชุดนี้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหารัฐยะไข่ ที่ชาวพุทธยะไข่และชาวมุสลิมโรฮิงญาอาศัยอยู่ด้วยความแตกแยกนับตั้งแต่เกิดเหตุปะทะรุนแรงในปี 2555 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตไปมากกว่า 100 คน

    ความรุนแรงล่าสุดกลายเป็นความท้าทายใหญ่หลวงต่อรัฐบาลของซูจีที่เพิ่งเข้าบริหารประเทศได้เพียง 8 เดือน และยังนำมาซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์จากนานาประเทศถึงการจัดการปัญหาชนกลุ่มน้อยโรฮิงญา

    คณะกรรมการที่ประกอบด้วยชาวพม่า 6 คน และชาวต่างชาติ 3 คน รวมทั้งนายอันนัน ได้รับการต้อนรับที่สนามบินโดยมุขมนตรีรัฐยะไข่ และผู้ชุมนุมประท้วงอีกหลายสิบคน ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้เคยลงพื้นที่ครั้งแรกเมื่อเดือนก.ย.

    ผู้ชุมนุมส่งเสียงประท้วงและถือป้ายที่มีข้อความระบุว่าไม่ต้องการนายโคฟี อันนัน อยู่ในคณะกรรมการ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสวมเสื้อกันกระสุนพร้อมด้วยปืนไรเฟิล ยืนควบคุมสถานการณ์อยู่ในบริเวณดังกล่าว

    "ปัญหารัฐยะไข่เป็นกิจการภายใน เราไม่สามารถยอมรับการแทรกแซงจากคนนอกได้ เราไม่ต้องการให้ชาวต่างชาติเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องภายในของเรา นี่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลจัดการเรื่องนี้ไม่ถูก" หม่อง ขิ่น หนึ่งในผู้ร่วมชุมนุมประท้วง กล่าว

    ทหารและรัฐบาลพม่าได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาของชาวบ้านและกลุ่มสิทธิมนุษยชนที่อ้างว่าทหารข่มขืนผู้หญิงชาวโรฮิงญา เผาบ้านเรือน และสังหารพลเรือนระหว่างปฏิบัติการทางทหาร ขณะที่เจ้าหน้าที่สหประชาชาติระบุในสัปดาห์นี้ว่า ประชาชนมากกว่า 10,000 คน ได้หลบหนีเข้าไปในเขตแดนของบังกลาเทศในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา.

    Manager Online
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,589
    ค่าพลัง:
    +97,150
    In Pics : มุสลิมอิเหนากว่า 2 แสนคนชุมนุมใหญ่ไล่ “ผู้ว่าฯจาการ์ตา” แค้นหมิ่นอิสลาม เผยแพร่: 2 ธ.ค. 2559 15:05:00 ปรับปรุง: 2 ธ.ค. 2559 15:11:00

    เอเอฟพี - ชาวมุสลิมอินโดนีเซียกว่า 200,000 คนร่วมละหมาดวันศุกร์ที่จตุรัสใจกลางกรุงจาการ์ตาวันนีี้ (2 ธ.ค.) พร้อมอ่านถ้อยคำจากพระคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งนับเป็นการชุมนุมใหญ่ครั้งที่ 2 เพื่อเรียกร้องให้มีการจับกุมผู้ว่าการกรุงจาการ์ตา ซึ่งถูกกล่าวหาว่าดูหมิ่นอิสลาม

    ผู้ประท้วงซึ่งสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวและหมวกแบบชายชาวมุสลิมได้นัดชุมนุมกันที่จตุรัสรอบๆ อนุสาวรีย์แห่งชาติ (Monas) โดยมีเจ้าหน้าที่ความมั่นคงกว่า 20,000 นายตรึงกำลังควบคุมสถานการณ์ไม่ให้เกิดเหตุรุนแรงเหมือนเมื่อเดือนที่แล้วที่ประชาชนนับแสนได้ออกมาประท้วงขับไล่นาย บาซูกิ จาฮาจา ปุรนามา ผู้ว่าฯ กรุงจาการ์ตาซึ่งเป็นชาวคริสต์

    ปุรนามา หรือ “อาฮก” กำลังถูกดำเนินคดีฐานดูหมิ่นอิสลาม หลังจากที่เขาได้ยกข้อความในพระคัมภีร์อัลกุรอานมาอ้างขณะการหาเสียง จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในแดนอิเหนาซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประเทศมุสลิมใหญ่ที่สุดในโลก

    องค์กรมุสลิมกว่า 10 แห่งกล่าวหา อาฮก ว่าดูหมิ่นอิสลาม หลังจากที่เขาอ้างว่าศัตรูทางการเมืองกำลังนำข้อความจากอัลกุรอานมาล่อลวงประชาชน โดยข้อความส่วนนั้นมีเนื้อหาในทำนองว่า ชาวมุสลิมไม่ควรเลือกผู้นำที่ไม่ใช่มุสลิม

    กรณีนี้ถูกมองว่าเป็นเครื่องทดสอบความอดทนอดกลั้น และการยอมรับในความเชื่อที่แตกต่างของชาวอินโดนีเซีย ขณะที่ความเป็นพหุวัฒนธรรมกำลังถูกบั่นทอน และเริ่มมีเหตุโจมตีชนกลุ่มน้อยเกิดบ่อยขึ้นเรื่อยๆ

    อย่างไรก็ดี นักวิจารณ์มองว่ากระแสต่อต้าน “อาฮก” เป็นกลยุทธ์ทางการเมืองของฝ่ายตรงข้ามที่ต้องการทำลายคะแนนนิยมของผู้ว่าฯ รายนี้ด้วย

    การที่รัฐบาลอินโดนีเซียสั่งดำเนินคดีกับอาฮกซึ่งเป็นคนเชื้อสายจีน และเป็นผู้ว่าฯ จาการ์ตาคนแรกที่ไม่ใช่มุสลิมในรอบ 50 ปี ดูเหมือนจะไม่สามารถบรรเทาความโกรธเกรี้ยวของสังคมลงได้ โดยเฉพาะเครือข่ายมุสลิมหัวอนุรักษ์ที่ยังออกมากดดันให้ตำรวจจับกุมผู้ว่าฯ รายนี้

    กลุ่มผู้ประท้วงได้ชูป้ายข้อความที่เขียนว่า “จับอาฮกเข้าคุก” ขณะที่เดินขบวนไปตามท้องถนนซึ่งมุ่งสู่อนุสาวรีย์เอกราชใจกลางเมืองหลวง

    “จงปกป้องศาสนาของเรา” รีเซียะ ชีฮับ ผู้นำกลุ่มแนวร่วมปกป้องอิสลาม (Islamic Defenders’ Front - FPI) ประกาศต่อฝูงชนที่ยืนฟังคำปาฐกถาของเขา

    “จงยับยั้งการดูหมิ่นศาสนาทุกรูปแบบ และนำตัวผู้ที่ฝ่าฝืนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม”

    ประธานาธิบดี โจโค วิโดโด แห่งอินโดนีเซียซึ่งเป็นพันธมิตรของอาฮกได้เข้าพบผู้นำศาสนาและผู้นำทางการเมืองหลายคนในช่วงไม่กี่วันมานี้เพื่อบรรเทาสถานการณ์

    วิโดโด ยังได้ไปร่วมละหมาดวันศุกร์กับผู้ชุมนุมในวันนี้ (2) พร้อมกล่าวขอบคุณประชาชนที่แสดงออกอย่างสันติ และขอให้พวกเขาเดินทางกลับบ้าน

    เช้าตรู่วันนี้ (2) ตำรวจอิเหนาได้ควบคุมตัวบุคคล 8 คนที่ต้องสงสัยว่าเตรียมกระทำการอันเข้าข่าย “กบฏ” โดยมีรายงานว่าในกลุ่มนี้ยังรวมถึงน้องสาวของอดีตประธานาธิบดีคนหนึ่ง และนายพลวัยเกษียณ

    ตำรวจไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดว่าคนกลุ่มนี้กระทำความผิดอย่างไร แต่ผู้สังเกตการณ์บางคนได้ออกมาแสดงความกังวลก่อนหน้านี้ว่า ศัตรูของ อาฮก และ วิโดโด อาจยุยงให้ผู้ประท้วงก่อจลาจลเพื่อสั่นคลอนความมั่นคงของรัฐบาล

    การชุมนุมขับไล่อาฮกเมื่อวันที่ 4 พ.ย. มีชาวมุสลิมอิเหนาเข้าร่วมประมาณ 100,000 คน โดยสถานการณ์เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อยในช่วงกลางวัน แต่พอพลบค่ำก็เกิดการปะทะระหว่างตำรวจกับกลุ่มมุสลิมสุดโต่ง จนมีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บอีกนับร้อย

    เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุรุนแรงซ้ำอีก ทางการและผู้นำมุสลิมได้ตกลงว่าจะจำกัดพื้นที่ชุมนุมเฉพาะบริเวณอนุสาวรีย์แห่งชาติ และจะยุติกิจกรรมตั้งแต่ช่วงบ่าย

    อาฮก อาจมีโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี หากพบว่ามีความผิดฐานฝ่าฝืนกฎหมายหมิ่นศาสนาของอินโดนีเซีย

    Manager Online
    .
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,589
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ซูจีเรียกร้องสันติภาพและความสมานฉันท์ในพม่า แต่ไม่พูดถึงการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ” มุสลิมโรฮิงญา
    โดย กองบรรณาธิการ - 1 ธ.ค. 2016

    ชาวมุสลิมโรฮิงญาประท้วงหน้าสถานทูตพม่าในกรุงกัวลาลัมเปอร์ (Getty)
    อินดีเพนเด้นท์/เอเอฟพี – นางอองซาน ซูจี ผู้นำพม่า ได้ให้คำมั่นว่าจะดำเนินการเพื่อสร้าง “สันติภาพและความปรองดองในชาติ” แต่ปฏิเสธที่จะพูดถึงข้อกล่าวหาที่ว่ามุสลิมโรฮิงญาในประเทศของเธออาจตกเป็นเหยื่อของการก่อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

    นางซูจีไม่ได้ให้รายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับวิธีการที่รัฐบาลของเธอมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติต่อการข่มเหงต่อชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมที่มีมาอย่างยาวนาน

    “เราไม่ได้ต้องการให้ประเทศของเราไร้เสถียรภาพ แต่เรามีประวัติศาสตร์อันยาวนานของความแตกแยกภายในประเทศของเรา” เธอกล่าว ในเวทีการประชุมทางธุรกิจในสิงคโปร์

    “ความปรองดองแห่งชาตินั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นเรื่องสำคัญสำหรับเรา มันไม่ใช่รื่องของทางเลือก มันเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้” ซูจีกล่าว

    ซูจี เริ่มต้นเยือนสิงคโปร์ 3 วัน ประเทศที่เป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในพม่ารองจากจีน ท่ามกลางแรงกดดันจากนานาประเทศที่เพิ่มสูงที่ต้องการให้รัฐบาลพม่าจัดการต่อวิกฤตโรฮิงญา

    ชาวโรฮิงญาจำนวนมากหลั่งไหลอพยพข้ามแดนเข้าไปในฝั่งบังกลาเทศ พร้อมเปิดเผยเรื่องราวอันน่าตกใจเกี่ยวกับการข่มขืน ทรมาน และสังหาร ด้วยน้ำมือของกองกำลังรักษาความมั่นคง นำมาซึ่งความโกรธแค้นของชาวมุสลิมทั่วเอเชียที่ได้พากันออกมาประท้วงรัฐบาลพม่า

    มีผู้คนราว 30,000 คนที่ต้องหลบหนีออกจากบ้านเกิดของพวกเขาในรัฐยะไข่ องค์กรสิทธิมนุษยชนได้วิเคราะห์ภาพถ่ายจากดาวเทียมพบว่ามีบ้านหลายร้อยหลังของชาวโรฮิงญาที่ถูกเผา

    รัฐบาลพม่าได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาการล่วงละเมิดดังกล่าว โดยระบุว่า ทหารกำลังล่าตัวผู้ก่อการร้ายที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีด่านชายแดนตำรวจเมื่อเดือนก่อน

    แม้จะอาศัยอยู่ในพม่ามานับหลายชั่วอายุคน แต่ชาวมุสลิมโรฮิงญาก็ถูกกีดกันจากการเป็นพลเมืองของประเทศที่มีประชากรราว 50 ล้านแห่งนี้ พวกเขามีชีวิตอย่างคนที่ถูกกดขี่มากที่สุดในโลกกลุ่มหนึ่ง

    นับตั้งแต่ความรุนแรงปะทุออกมาในปี 2012 มีชาวโรฮิงญากว่า 120,000 คนที่ถูกผลักดันออกจากมาตุภูมิของตน ต้องไปอยู่ในค่ายที่แออัดและซอมซ่อโดยมีตำรวจคอยเฝ้า ที่นั่นพวกเขาพวกเขาถูกปฏิเสธการดูแลสุขภาพและการศึกษา ทั้งการเคลื่อนไหวของพวกเขาก็ถูกจำกัดอย่างมาก

    นางซูจีมีกำหนดจะเดินทางไปเยือนอินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในโลกหลังจากเสร็จสิ้นการเยือนสิงคโปร์ แต่ต้องยกเลิกแผนการเดินทางหลังเผชิญกับการประท้วงของประชาชนในอินโดนีเซีย

    นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นาจิบ ราซัค จะเข้าร่วมการชุมนุมที่จะมีขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์นี้ในมาเลเซียเพื่อประท้วงการปราบปรามโรฮิงญา ถ้อยแถลงอย่างเป็นทางการจากสำนักงานของเขาเปิดเผยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

    ซูจีเรียกร้องสันติภาพและความสมานฉันท์ในพม่า แต่ไม่พูดถึงการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ” มุสลิ
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,589
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เขาจะไปบังคับให้เปลี่ยนศาสนาทำไม ที่เขาไม่เอาคือเผ่าพันธ์โรฮิญจาต่างหาก ไม่ได้เกี่ยวกับโรฮิญจานับถือศาสนาเลย ชักจะสะตอเกินจริงไปแล้วน่ะ

    โรฮิงญาร้าวซ้ำ ถูกบังคับให้เปลี่ยนศาสนาเพื่อแลกกับชีวิต 2 ธันวาคม 2559

    โรฮิงญาร้าวซ้ำ ถูกบังคับให้เปลี่ยนศาสนาเพื่อแลกกับชีวิต
    สำหรับพี่น้องชาวโรฮิงญานอกจากที่ถูกอธรรมและถูกทรมานอย่างโหดร้ายแล้ว ชาวโรฮิงญายังคงตกอยู่ในความโชคร้ายซ้ำซ้อนเข้าไปอีก เมื่อพบว่าบางคนในหมู่พวกเขานั้น ถูกบังคับเพื่อให้เปลี่ยนศาสนาหรือให้ออกจากการเป็นมุสลิม(ออกจากศาสนาอิสลาม) เพื่อเป็นการตอบแทน แทนการถูกจับกุมและถูกทรมานโดยเจ้าหน้าที่ทหารพม่า
    นั่นคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นชาวโรฮิงญาที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ที่เสมือนไม่มีใครเหลียวมองแต่อย่างใด
    นายซีราซุลอิสลาม ฮามิด ฮูเซ็น 30 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งคนที่ยังคงฝังใจกับความโหดร้ายของรัฐบาลพม่า ซึ่งเขาเล่าว่า เคยถูกทหารพม่าข่มขู่ด้วยอาวุธปืนจ่อที่หัวของเขา
    ซึ่งในช่วงนั้น สมาชิกในครอบครัวทั้งหมดของเขาถูกบังคับให้เปลี่ยนศาสนา เพื่อแลกกับความเป็นอยู่ที่ดีและปลอดภัยกว่า ความรุนแรงดังกล่าวทำให้ยิ่งรู้สึกอยากจะหลบหนีไปยังประเทศมาเลเซีย
    “ต้องเปลี่ยนศาสนา แต่เราไม่มีวันเปลี่ยนศาสนาอย่างแน่นอนถึงแม้ว่าพวกเขาจะทำการทารุณกรรมต่อพวกเราก็ตาม ไม่ว่าจะข่มขืน จะถูกเผา แม้กระทั่งอัลกุรอานก็ยังโดนเผา มัสยิดก็โดนเผาเช่นกัน”
    “เหตุเกิดเพราะว่า พวกเขาไม่ต้องการเห็นพวกเรา เขาต้องการให้พวกเราเปลี่ยนศาสนา ศาสนาอิสลามพวกเขาไม่ชอบ ซึ่งเราเป็นอิสลาม ในอิสลามมีที่ไหนเล่าให้เปลี่ยนศาสนา เราไม่ต้องการเปลี่ยนเด็ดขาด เราต้องการรักษาอิสลามไว้ และขอตายในอิสลาม ไม่อยากตายในสภาพคนกาเฟร” นายซีราซุลอิสลาม ฮามิด ฮูเซ็น กล่าว
    ทางด้านนายมูฮัมหมัดซูเบร ซูมีล ฮูเซ็น เอง ได้เห็นความทรมานของชาวโรฮิงญา ในประเทศพม่าที่ถูกบีบบังคับแค่ไหน เขาได้เห็นทหารพม่าเหยียบย่ำและทำการเผาคัมภีร์อัลกุรอาน
    สำหรับชาวโรฮิงญาคนไหนที่ปฏิเสธไม่ทำตามการร้องขอของทหารพม่า พวกเขาจะถูกลงโทษ ถูกเคี่ยนตีและถูกทรมานจนถึงเสียชีวิต
    “รัฐบาลไม่ค่อยชอบคนมุสลิม อีกทั้งเรายังเป็นชาวโรฮิงญาอีกด้วยพวกเขายิ่งเกลียดเข้าไปใหญ่ พวกเขาจะขมขื่น จะเข่นฆ่า พวกเขาจะยิงทิ้งตามอำเภอใจ พวกเขาจะเผาบ้านพวกเราพียงเพราะพวกเราเป็นอิสลาม และหากว่าเราไม่ใช่อิสลาม เราได้เปลี่ยนศาสนาเราจะได้ปลอดภัย แต่ว่าเราไม่ต้องการเช่นนั้น เราต้องการตายในสภาพอิสลาม” มูฮัมหมัดซูเบร ซูมีล ฮูเซ็น กล่าว
    สถานการณ์ในบางหมู่บ้านในรัฐยะไข่ นับวันยิ่งมีความเดือดดาดนานนับสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ถูกแพร่หลายอย่างกว้างขวาง เช่น การเข่นฆ่าทำลายล้าง และการทรมาน โดยทหารพม่าต่อชาวโรฮิงญา ที่เกิดขึ้นเกือบทุกวัน
    ความรุนแรงที่ปะทุขึ้นนั้น ทำให้ชาวโรฮิงญาจำเป็นที่จะต้องหลบหนีหลบซ่อนตัวกลางป่าหรืออพยพหนีเพื่อเอาตัวรอดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย และ ไทย

    ที่มา: Astro Awani, Berita Tajuk Utama Hari Ini, Berita Semasa, Berita Terkini Malaysia, Dunia, Sukan, Hiburan, Teknologi, Gaya Hidup, Automotif, Politik, Foto, Video, dan Siaran Langsung TV | Astro Awani
    ฟาตอนีออนไลน์

    โรฮิงญาร้าวซ้ำ ถูกบังคับให้เปลี่ยนศาสนาเพื่อแลกกับชีวิต
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,589
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ต้องระวัง!!สิงคโปร์เตือนISระบายแค้นพ่ายตะวันออกกลาง ตั้งเมืองบริวาร-ยกระดับโจมตีอาเซียน โดย MGR Online 2 ธันวาคม 2559 23:31 น.

    เอเอฟพี - รัฐมนตรีมหาดไทยสิงคโปร์เตือนในวันศุกร์(2ธ.ค.) ว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความเสี่ยงเผชิญกับความไม่สงบรุนแรงจากฝีมือพวกสนับสนุนกลุ่มรัฐอิสลาม(ไอเอส) มากขึ้น เนื่องจากญิฮาดกลุ่มนี้อาจแสวงหาชัยภูมิใหม่ หลังพ่ายแพ้ในตะวันออกกลาง

    ด้วยที่ไอเอสกำลังสูญเสียดินแดนในอิรักและซีเรีย บางทีมันอาจเพิ่มความเสี่ยงโจมตีแก้แค้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภูมิภาคที่มีผู้คนบางส่วนเปิดรับอุดมการณ์อิสลามิกหัวรุนแรง "ภัยคุกคามหรืออะไรก็ตาม ผมคิดว่ามันจะเพิ่มขึ้นหากเทียบกับปีที่แล้วหรือช่วงต้นปีนี้" เค. ชันมูกัม รัฐมนตรีมหาดไทยสิงคโปร์บอกกับผู้สื่อข่าว

    บางพื้นที่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องประสบปัญหามาช้านานในการจัดการกับพวกนักรบอิสลามิสต์และพวกหัวรุนแรงหลายร้อยคนที่ไหลบ่าเข้าร่วมกับกลุ่มไอเอส

    ขณะเดียวกันในพื้นที่ทางภาคใต้ของฟิลิปปินส์ ซึ่งต้องต่อสู้กับพวกก่อความไม่สงบมุสลิมมาช้านาน มีกลุ่มอิสลามิสต์หัวรุนแรงจำนวนหนึ่งได้ประกาศสวามิภักดิ์ต่อไอเอส


    ส่วนในอินโดนีเซีย ประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก เกิดเหตุรุนแรงและพยายามโจมตีเพิ่มมากขึ้นในช่วงขวบปีที่ผานมา สืบเนื่องจากอิทธิพลทื่แผ่ขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆของพวกรัฐอิสลาม

    แม้แต่สิงคโปร์เองก็เคยควบคุมตัวสมาชิกหัวรุนแรงหลายคน ซึ่งเหล่านั้นเป็นสมาชิกชนกลุ่มน้อยมุสลิมท้องถิ่น

    ออตโซ ไอโฮ นักวิเคราะห์ด้ากลาโกมของไอเอชเอส ให้ความเห็นเมื่อวันพุธ(30พ.ย.) ว่า "มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่พวกไอเอสจะประกาศตั้งจังหวัดอย่างเป็นทางการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2017 และเป็นไปได้มากที่สุดคือในแถบภาคใต้ของฟิลิปปินส์"

    ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถูกไอเอสลงมือโจมตีครั้งแรกในเดือนมกราคมปีนี้ โดยพวกหัวรุนแรงใช้มือระเบิดฆ่าตัวตายและปืนโจมตีนองเลือดในกรุงจากาตาร์

    สิงคโปร์เป็นถิ่นฐานของผู้อพยพกว่า 5.5 ล้านคน ขณะที่เค.ชันมูกัม ระบุว่าหนึ่งในความท้าทายของสิงคโปร์ก็คือการความเชื่อมแน่นทางสังคม หากเกิดเหตุโจมตี

    รัฐมนตรีรายนี้ชี้ว่าหลังประสบความสำเร็จในการโจมตีมาเลเซียและอินโดนีเซีย นั่นจึงเหลือคำถามแค่ว่าเมื่อไหร่จะเกิดเหตุโจมตีในสิงคโปร์เท่านั้น "เราจะปกป้องพรมแดนของเรา แต่ความเสี่ยงนั้นใหญ่โตเหลือเกิน"

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,589
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข่าวที่ผู้แอบอ้างว่านับถือศาสนาอิสลามได้นำศาสนามาใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวเริ่มออกมาให้เห็นมากขึ้นเช่น
    1.เด็กผู้หญิงวัย 14 ปีที่อ้างว่าถูกถีบออกจากรถรางในกรุงเบอร์ลินเนื่องจากเธอคลุมศรีษะด้วยผ้าฮิญาบนั้น แท้ที่จริงแล้วหลังตรวจสอบกล้องวงจรปิดและพยานในที่เกิดเหตุกลับบอกว่า เธอกับเพื่อนของเธออีกคนขึ้นรถรางและนำอาหาร kebab ออกมาทานในรถรางซึ่งเป็นข้อห้ามในการทานอาหารบนรถรางโดยสาร ถือว่าผิดระเบียบข้อปฏิบัติของบริษัทที่ให้บริการโดยรถรางโดยสาร คนขับรถจึงพูดผ่านลำโพงให้เธองดทานอาหารบนรถ แต่เธอกลับไปพูดให้ผู้ใหญ่คนอื่นฟังว่าเธอถูกไล่ออกจากรถรางเพราะว่าเธอสวมผ้าฮิญาบ ผู้ใหญ่คนดังกล่าวจึงไปแจ้งตำรวจ และสื่อฯเยอรมันก็นำข่าวดังกล่าวออกมาเผยแพร่ทำให้สังคมเข้าใจตามที่เธอบอกเล่าในตอนแรก หากเวอร์ชั่นที่สองของเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ก็เท่ากับว่าเด็กคนนั้นเป็น "เด็กเลี้ยงแกะ" (ปอกเปลือก ทรราช)
    -----------------
    https://sputniknews.com/europe/201612021048096522-berlin-tram-syrian-headscarf-kebab/

    2. มีโรฮิญจาบางคนออกมาพูดว่าบางคนในหมู่พวกเขานั้น ถูกบังคับเพื่อให้เปลี่ยนศาสนาหรือให้ออกจากการเป็นมุสลิม(ออกจากศาสนาอิสลาม) เพื่อเป็นการตอบแทน แทนการถูกจับกุมและถูกทรมานโดยเจ้าหน้าที่ทหารพม่า เช่น นายซีราซุลอิสลาม ฮามิด ฮูเซ็น 30 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งคนที่ยังคงฝังใจกับความโหดร้ายของรัฐบาลพม่า ซึ่งเขาเล่าว่า เคยถูกทหารพม่าข่มขู่ด้วยอาวุธปืนจ่อที่หัวของเขา ซึ่งในช่วงนั้น สมาชิกในครอบครัวทั้งหมดของเขาถูกบังคับให้เปลี่ยนศาสนา เพื่อแลกกับความเป็นอยู่ที่ดีและปลอดภัยกว่า ความรุนแรงดังกล่าวทำให้ยิ่งรู้สึกอยากจะหลบหนีไปยังประเทศมาเลเซีย
    โรฮิงญาร้าวซ้ำ ถูกบังคับให้เปลี่ยนศาสนาเพื่อแลกกับชีวิต
    ที่มา: Astro Awani, Berita Tajuk Utama Hari Ini, Berita Semasa, Berita Terkini Malaysia, Dunia, Sukan, Hiburan, Teknologi, Gaya Hidup, Automotif, Politik, Foto, Video, dan Siaran Langsung TV | Astro Awani
    ฟาตอนีออนไลน์

    ดังนั้นเวลาเรารับฟังข่าวสารอย่าให้ ผู้แอบอ้างว่านับถือศาสนาอิสลามนำศาสนามาใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวทำให้เกิดความแตกแยกน่ะครับ
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,589
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    โอล่ะพ่อ! สื่อฯเยอรมันอัพเดทข่าวกรณีเด็กผู้หญิงวัย 14 ปีที่อ้างว่าถูกถีบออกจากรถรางในกรุงเบอร์ลินเนื่องจากเธอคลุมศรีษะด้วยผ้าฮิญาบนั้น แท้ที่จริงแล้วหลังตรวจสอบกล้องวงจรปิดและพยานในที่เกิดเหตุกลับบอกว่า เธอกับเพื่อนของเธออีกคนขึ้นรถรางและนำอาหาร kebab ออกมาทานในรถรางซึ่งเป็นข้อห้ามในการทานอาหารบนรถรางโดยสาร ถือว่าผิดระเบียบข้อปฏิบัติของบริษัทที่ให้บริการโดยรถรางโดยสาร คนขับรถจึงพูดผ่านลำโพงให้เธองดทานอาหารบนรถ แต่เธอกลับไปพูดให้ผู้ใหญ่คนอื่นฟังว่าเธอถูกไล่ออกจากรถรางเพราะว่าเธอสวมผ้าฮิญาบ ผู้ใหญ่คนดังกล่าวจึงไปแจ้งตำรวจ และสื่อฯเยอรมันก็นำข่าวดังกล่าวออกมาเผยแพร่ทำให้สังคมเข้าใจตามที่เธอบอกเล่าในตอนแรก หากเวอร์ชั่นที่สองของเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ก็เท่ากับว่าเด็กคนนั้นเป็น "เด็กเลี้ยงแกะ"
    -----------------
    https://sputniknews.com/europe/201612021048096522-berlin-tram-syrian-headscarf-kebab/
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,589
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    รัฐบาลอังกฤษมีเงินก่อสงครามในต่างแดนร่วมกับสหรัฐอย่างต่อเนืองมาหลายปี แต่จำนวนประชาชนชาวอังกฤษที่ไร้ที่พักอาศัยกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บางคนก็หนาวตายข้างถนนก็มี บีบีซี กระบอกเสียงของรัฐบาลอังกฤษเงียบกริ๊บ!
    ------------

    วันที่ 1 ธ.ค. 59 RT พาดหัวข่าวว่า "ชายไร้ที่พักอาศัย (คนเร่ร่อน) 'แข็งตาย' ในเมืองเบอร์มิ่งแฮมในคืนที่หนาวเย็นที่สุด" (Homeless man ‘froze to death’ in Birmingham on coldest night)

    ชายเร่ร่อนคนหนึ่งแข็งตายบนถนนในเมือง Birmingham เพียงแค่หนึ่งวันก่อนที่หน่วยงานให้ที่พักพิงเพื่อการกุศลของอังกฤษ (UK charity Shelter) ได้ออกมาเตือนว่ามีประชาชน 250,000 กว่าคนในประเทศอังกฤษเป็นบุคคลไร้ที่พักอาศัยในคริสต์มาสปีนี้ เนื่องจากอัตราค่าเช่าสูง มีการตัดลดสวัสดิการ และวิกฤตเกี่ยวกับที่พักอาศัยยิ่งให้เลวร้ายลงยิ่งกว่าเดิมเหมือนเป็นพายุที่สมบูรณ์แบบเลยทีเดียว

    ร่างของชายไม่ทราบชื่อคนหนึ่งถูกพบในเมือง West Midlands เวลา 23.30 น. (GMT) เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งเป็นคืนที่หนาวเย็นที่สุดของปีนี้

    รายงานข่าวบอกว่าพบร่างของชายคนดังกล่าวที่ถนน John Bright Street เขามีอายุ 30 ปี ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง

    ตัวเลขที่รวบรวมได้จากองค์กร Shelter ได้เปิดเผยว่ามีประชาชนทั่วประเทศจำนวน 255,000 คนถูกบังคับให้ต้องใช้ชีวิตอยู่ในหอพักรวม (hostel) และที่พักพิงชั่วคราวอื่นๆ หรือนอนตามท้องถนน (ข้างถนน)

    กรุงลอนดอนมีอัตราบุคคลไร้ที่พักอาศัยสูงที่สุด มีมากขนาด หนึ่งใน 25 ของผู้อยู่อาศัยในเขตเมือง Westminster ส่วนกลางของกรุงลอนดอนไม่มีบ้าน

    องค์กร Shelter ได้เผยแพร่ตัวเลขนี้เนื่องในวันครบรอบ 50 ปีของการก่อตั้งองค์กร องค์กรการกุศลแห่งนี้เตือนว่าตัวเลขนี้เป็นการประมาณการแบบเก่าเท่านั้น

    The Eyes
    เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
    https://www.facebook.com/fisont
    https://vk.com/theeyesproject
    02/12/2559
    ------------
    https://www.rt.com/uk/368862-homeless-shelter-christmas-england/
    More than 250,000 are homeless in England - Shelter - BBC News
    https://en.wikipedia.org/wiki/Shelter_(charity)
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,589
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    หมาเห่าเครื่องบิน: นายบอริส จอห์นสัน รมว.ต่างประเทศอังกฤษกล่าวว่า อังกฤษจะไม่ขัดขวางนโยบายด้านความมั่นคงร่วมกันของอียู (ถึงอยากจะทำ แต่อังกฤษที่ถอนตัวออกจากอียูแล้วจะมีปัญหาทำได้รึ? พูดไปก็เหมือนผายลมนั่นแหละคุณบอริส)
    ------------

    มาอ่านข่าวเกี่ยวกับลีลาการตวัดลิ้นของพวกผู้ดีจอมปลอมกันบ้างนะครับ

    1.) วันที่ 2 ธ.ค. 59 DW ของเยอรมันพาดหัวข่าวว่า "บอริส จอห์นสัน: อังกฤษจะไม่ขัดขวางนโยบายด้านความมั่นคงร่วมกันของอียู" (Boris Johnson: UK will not block common EU defense policy)

    รายงานข่าวสรุปว่า รมว.ต่างประเทศของอังกฤษจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการบูรณาการด้านความมั่นคงของอียูอีกต่อไป เนื่องจากกำลังเตรียมตัวออกจากกลุ่ม นายจอห์นสันยังได้ยอมรับอีกว่า นายทรัมป์พูดถูกที่กล้าที่ให้เหล่าสมาชิกของนาโต้เพิ่มงบประมาณขึ้นอีก

    "ขณะนี้กำลังมีการสนทนากันเกี่ยวกับความต้องการของอียูที่จะกำหนดนโยบายด้านการรักษาความปลอดภัยและความมั่นคงร่วมกันขึ้นมา เป็นสถาปัตยกรรมใหม่ในเรื่องนี้" นายบอริส จอห์นสันกล่าวในงน Royal Institute of International Affairs เมื่อวันศุกร์นี้

    รมว.ต่างประเทศของอังกฤษกล่าวต่ออีกว่า "หากพวกเขาต้องการที่จะทำอย่างนั้นจริงๆ ได้สิ... พวกเราจะไม่ปิดกั้น หรือขัดขวางขั้นตอนต่างๆต่อจากนี้ที่มีต่อการบูรณาการของอียู"

    [ล่าสุดรายงานข่าวบอกว่ากลุ่มประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรปดได้จัดซ้อมรบร่วมกันในประเทศเบลเยี่ยม ไม่มีสหรัฐ (และอังกฤษ?) เข้าร่วมด้วย ไม่ใช่ในนามของนาโต้ แต่เป็นการส่งสัญญาณบางอย่างเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทัพอียูให้สหรัฐทราบ เพราะว่านโยบายใหม่ของทรัมป์ก็คือรีดเงินงบประมาณด้านกลาโหมจากกลุ่มประเทศที่สหรัฐเข้าไปตั้งฐานทัพอยู่ ไม่ใช่ต้องการถอนกองกำลังของสหรัฐออกจากประเทศเหล่านั้น

    ทรัมป์ต้องการที่จะลดค่าใช้จ่ายด้านกลาโหมของสหรัฐลง แต่ยังสามารถคงทหารอเมริกันไว้ในประเทศต่างๆได้เช่นเดิม หรืออาจจะเพิ่มขึ้นก็ได้ วิธีการของทรัมป์ก็คือบีบให้อียู เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นเป็นต้น ยอมจ่ายเงินให้กับกองทัพอเมริกันในประเทศเหล่านั้นแทนที่จะเบิกจากรัฐบาลกลางสหรัฐ ปัจจุบันนี้ทั้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่นต่างก็จ่ายเงินบางส่วนเลี้ยงดูทหารอเมริกันในประเทศของตนเอง แต่ทรัมป์บอกว่ามันน้อยไป ต้องการเรียกค่าคุ้มครองมากกว่านั้น

    อียูจึงบอกว่า งั้นอียูก็จะจัดตั้งกองทัพอียู (EU Army) ของตนเองขึ้นมา และลดการพึ่่งพิงด้านอาวุธและทหารจากสหรัฐก็ได้ อังกฤษซึ่งกำลังจะกลายเป็นหมาหัวเน่า เพราะว่าเลือกที่จะออกจากสหภาพอียูเอง ก็ต้องหันไปซบปีกสหรัฐ เล่นบทเออออห่อหมกไปกับสหรัฐ และทำทีใจกว้างว่า แม้ว่าอียูจะก่อตั้งกองทัพของตนเองขึ้นมา อังกฤษก็จะไม่ขัดขวางอีกต่อไป พูดเป็นลิเกแล้วบอริสเอ๋ย อังกฤษจะมีปัญญาไปขัดขวางอะไรเขาได้หละ? ไร้สาระ! - ผู้แปล]

    2.) ข่าวที่สองเกี่ยวกับวาทกรรมชวนป่วยของบอริส วันที่ 2 ธ.ค.59 RT พาดหัวข่าวว่า "สหราชอาณาจักรต้องมุ่งตรงไปที่การต่อสู้พวกผู้นที่เข้มแข็งของโลกนี้ - บอริส จอห์นสัน กล่าว" (Britain must head fight against world’s ‘strongmen’ leaders – Boris Johnson)

    อังกฤษจะต้องมีบทบาทนำในสิทธิ์ต่อต้านสาวกของ "คนที่เข้มแข็ง" (cult of ‘strongmen’) เช่นปธน.บัชชาร์ อัสซาดผู้นำของซีเรีย นายบอริส จอห์นสัน รมว.ต่างประเทศของอังกฤษกล่าว

    [บอริสลืมอะไรไปหรือเปล่า? อัสซาดมาจากการเลือกตั้งของประชาชนชาวซีเรียนะครับ คนซีเรียเลือกเขามาเองกับมือ นายบอริสเคยไปหย่อนบัตรลงคะแนนเลือกตั้งในซีเรียด้วยรึ? มีสิทธิ์ลงคะแนนในซีเรียหรือเปล่า? แล้วอังกฤษอ้างสิทธิ์อะไรไปโค่นล้มเขา ไหนว่าเป็นประชาธิปไตยไง นี่หรือประชาธิปไตยตอแหลแบบอังกฤษหนะ? - ผู้แปล]

    เมื่อวันศุกร์นี้นายบอริส จอห์นสันยังได้กล่าวถ้อยแถลงใน Chatham House ของพวกสำนักคิดในกรุงลอนดอน โดยทิ้งน้ำหนักของตนเองไปที่การเรียกร้องของนายทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ ที่เรียกร้องให้นาโต้เพิ่มงบประมาณการใช้จ่ายให้มากขึ้น ซึ่งอ้างว่าการเสริมสร้างกองทัพเป็นกุญแจที่สำคัญที่จะรักษาประชาธิปไตยเอาไว้

    [ปากก็บอกว่าจะรักษาประชาธิปไตย อัสซาดเขาก็เป็นประชาธิปไตย แล้วคุณจะไปโค่นล้มเขาทำไม? "ประชาธิปไตย" มันเป็นแค่เพียงข้ออ้างที่พวกมหาอำนาจตะวันตกใช้ในการรุกรานประเทศอื่นและล่าอาณานิคมสมัยใหม่เท่านั้น สังเกตจากคำพูดของคนพวกนี้ จะพูดวกวน สับสนุน ตรรกะวับัติ สองมาตรฐาน พูดเอาได้ กลับขาวเป็นดำ ดำเป็นขาว ตัวเองทำอะไรไม่ผิด แต่รีบชี้นิ้วด่าคนอื่นเสมอ - ผู้แปล]

    "พวกเรามีสาวกของคนที่เข้มแข็ง พวกเรามีประชาธิปไตยที่ถดถอย พวกเรามีทางโค้งของความไร้เสถียรภาพทั่วตะวันออกกลาง จากอิรัคไปถึงซีเรียถึงลิเบีย" รมว.ต่างประเทศอังกฤษกล่าวต่อผู้ฟัง

    [แต่นายจอห์นสัน ก็ไม่ได้บอกว่า แล้วพวกจัญไรตัวไหน กลุ่มไหน แก๊งไหนที่รวมหัวกันไปทำให้ตะวันออกกลางเละเทะอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันี้ ถ้าสหรัฐ อังกฤษและแก๊งนาโต้ไม่เข้าไปแทรกแซง สนับสนุนอาวุธให้กลุ่มต่างๆก่อเหตุร้ายในประเทศเหล่านี้ มันจะเป็นแบบนี้ไหม? - ผู้แปล]
    https://www.rt.com/uk/368972-boris-russian-assad-nato/

    The Eyes
    เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
    https://www.facebook.com/fisont
    https://vk.com/theeyesproject
    03/12/2559
    ------------
    https://www.rt.com/uk/368972-boris-russian-assad-nato/
    Boris Johnson: UK will not block common EU defense policy | Europe | DW.COM | 02.12.2016
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,589
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    ประชาธิปไตยแบบอเมริกา แพ้เลือกตั้งแต่คนไม่แพ้ ม็อบต่อต้านทรัมป์ยังไม่เลิกคลั่ง ล่าสุดเดินขบวนที่หน้าอาคาร Trump Tower ในชิคาโก้ เรียกร้องให้หยุดทรัมป์ และปิดอาคารดังกล่าวซะ (1 ธ.ค.59)
    --------------
    [ame]https://youtu.be/5OOw4rsOGYI[/ame]
    .
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,589
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    เพราะว่าเราเป็นประชาธิปไตย เพราะว่าเรามีเสรีภาพ ดังนั้นเราจึงมีสิทธิ์ที่จะจุดไฟเผารถของใครที่จอดอยู่ข้างถนนก็ได้ เช่นที่กรุงสต็อกโฮม ประเทศสวีเดนเป็นต้น รายงานข่าวบอกว่าเมื่อปีที่แล้ว มีการลอบวางเพลิงรถยนต์ของบุคคลทั่วไปจำนวน 70 กว่าคัน (01 ธ.ค.59)
    --------------
    [ame]https://youtu.be/aQHRyoVr9wk[/ame]
    .
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,589
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ปอกเปลือก ทรราช
    Hollande must go! ประธานาธิบดีฟรองซัวส์ ออลลองด์ของฝรั่งเศสประกาศว่าจะไม่ลงสมัครแข่งขันเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สองอีก (1 ธ.ค.59)
    ----------------
    [ame]https://youtu.be/0GZTyjWlt_k[/ame]
    .
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,589
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ชาวบ้านช็อก! รบ.อินเดียประกาศฟ้าแลบ “แบงก์เก่า” ใช้เติมน้ำมันได้ถึงแค่ “วันนี้” โดย MGR Online 2 ธันวาคม 2559 16:04 น. (แก้ไขล่าสุด 2 ธันวาคม 2559 18:32 น.)

    เอเอฟพี - ธนบัตรรุ่นเก่าที่รัฐบาลอินเดียสั่งยกเลิกจะไม่สามารถใช้เติมน้ำมันเชื้อเพลิงได้อีกหลังจากวันนี้ (2 ธ.ค.) เป็นต้นไป ทำให้ชาวอินเดียจำนวนมากยิ่งรู้สึกโกรธแค้น หลังมาตรการยกเลิกธนบัตรมูลค่าสูงส่งผลให้เกิดวิกฤตขาดแคลนเงินตราในประเทศที่ผู้คนจับจ่ายซื้อสินค้าด้วยเงินสดเป็นหลัก

    ก่อนหน้านี้ ทางการอินเดียระบุว่า ธนบัตรชนิด 500 และ 1,000 รูปีจะยังใช้เติมน้ำมันตามปั๊มต่างๆ ได้จนถึงวันที่ 15 ธ.ค. แต่ล่าสุดเมื่อเย็นวานนี้ (1) ได้มีการประกาศเลื่อนกำหนดเส้นตายเป็นวันที่ 2 ธ.ค. หมายความว่าผู้ขับขี่ยวดยานหลายล้านคนเหลือเวลาเพียง 24 ชม.ที่จะนำธนบัตรออกมาใช้

    “ทำอย่างนี้ไม่ถูกนะ ตอนแรกรัฐบาลบอกว่าใช้ได้ถึงวันที่ 15 ธ.ค. พอตอนนี้มาเปลี่ยนคำพูด” อาร์. เอส. ยาเดฟ พนักงานของรัฐ ให้สัมภาษณ์ขณะรอเติมน้ำมันอยู่ที่ปั๊มแห่งหนึ่งในกรุงนิวเดลี

    วิถีชีวิตของคนอินเดียเกิดความปั่นป่วนอย่างหนัก หลังจากนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ประกาศคำสั่งยกเลิกธนบัตรมูลค่าสูง ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 86 ของธนบัตรที่ใช้หมุนเวียนในประเทศ

    มาตรการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อดึง เงินมืด (black money) ซึ่งหมายถึงเงินนอกกฎหมายซึ่งผู้ถือครองไม่ได้แจ้งต่อทางการ และไม่มีการเสียภาษี กลับเข้ามาสู่มือรัฐบาล

    อย่างไรก็ดี นโยบายนี้ได้สร้างความโกลาหลอย่างมาก เพราะชาวอินเดียต่างแห่ไปเข้าคิวที่ธนาคารเพื่อนำธนบัตรเก่าไปฝาก หรือไม่ก็ขอแลกเป็นธนบัตรรุ่นใหม่ก่อนหมดเขตสิ้นปีนี้ นอกจากนี้การเปลี่ยนคำสั่งกลับไปกลับมาของรัฐบาลตามเสียงเรียกร้องของคนหลายๆ กลุ่ม ก็ยิ่งส่งผลให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงกว่าเดิม

    ธนาคารและตู้เอทีเอ็มหลายแห่งเริ่มไม่มีเงินสดเพียงพอ และต้องจำกัดการถอนเงิน ส่งผลให้ชาวอินเดียต้องใช้จ่ายเงินอย่างจำกัดจำเขี่ย

    ผู้ที่ถือครองธนบัตรรุ่นเก่าสามารถนำไปฝากหรือแลกที่ธนาคารได้จนถึงสิ้นปี ทว่าจำนวนคนที่เข้าคิวยาวเหยียดทำให้ชาวอินเดียบางส่วนเลือกที่จะนำเงินเก่าไปใช้เติมน้ำมันแทน

    ธุรกรรมการเงินในอินเดียกว่าร้อยละ 90 ถูกกระทำผ่านเงินสด ขณะที่รัฐบาลก็ยอมรับว่าคงต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งในการพิมพ์ธนบัตรรุ่นใหม่ออกมาทดแทนรุ่นเก่าที่เรียกคืน

    “ผมเอาแบงก์เก่ามาใช้เติมน้ำมันเพราะไม่อยากไปธนาคาร รัฐบาลช่างไม่รู้บ้างเลยว่าทำให้ประชาชนลำบากอย่างไร” เซาราฟ มาลิก พนักงานบริษัทเอกชนรายหนึ่งให้สัมภาษณ์

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,589
    ค่าพลัง:
    +97,150
    คนญี่ปุ่นรับน้องวิปริต และมูลเหตุที่สาวสวยต้องทำงานหนักจนตาย
    เผยแพร่: 3 ธ.ค. 2559 08:36:00 โดย: MGR Online

    สวัสดีครับผม Mr. Leon มาแล้ว ณ สถานการณ์ปัจจุบันทำให้ผมเลือกสรรค์เรื่องราวที่จะนำมาเขียนเล่าได้ยากมากเลยครับ ที่จริงมีเรื่องหลายสิบเรื่องอยากจะเล่าแต่ก็ต้องคิดแล้วคิดอีกว่าจะเหมาะสมไหม ผมได้ปรึกษาเพื่อนคนหนึ่งว่าผมอยากเขียนเรื่องพนักงานบริษัทญี่ปุ่นที่ทำงานหนักจนต้องฆ่าตัวตายตามที่เป็นข่าวไปเมื่อเร็วๆ นี้ แต่เพื่อนบอกว่าอย่าดีกว่า เพราะอธิบายยาก บางทีคนไทยอาจไม่เข้าใจว่าการทำงานหนักแบบญี่ปุ่นนั้นมันเป็นแบบใด

    Karoshi 過労死 ศัพท์คำนี้มีทับศัพท์เป็นภาษาอังกฤษว่า Karoshi แปลว่า การทำงานหนักเกินไปจนถึงแก่ชีวิต ปกติเมื่อมีข่าวแนวนี้ คนญี่ปุ่นอ่านแล้วอาจจะไม่ได้เกิดความรู้สึกตกใจนัก เพราะคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมสังคมและความกดดันนี้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ผมคิดว่าน่าตกใจกว่า ก็คือการที่คนญี่ปุ่นไม่ตกใจกับเหตุการณ์เช่นนี้นั่นแหละครับ เพราะคล้ายกับว่าสภาพจิตใจมันเย็นชาไปแล้ว ดังนั้นการที่ผมจะอธิบายเรื่องราวและสภาพสังคมลึกๆ ให้เห็นและเข้าใจอย่างง่าย จึงค่อนข้างเป็นเรื่องยากอยู่เหมือนกันครับ

    วันนี้จะพูดเกี่ยวกับตัวอย่าง Position talk หรือการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของแต่ละบุคคลผ่านสื่อโซเชี่ยลออนไลน์ต่างๆ อาทิที่ตั้งเป็นกระทู้ แล้วมีคนมาแสดงความคิดเห็นหลากมุมมองเกี่ยวกับข่าวพนักงานบริษัทญี่ปุ่นทำงานหนักจนต้องฆ่าตัวตาย อย่างย่อๆ เรามาค่อยๆ รวบรวมที่มาที่ไปกันครับ

    ☁สาวที่ฆ่าตัวตายนั้นเป็นเด็กต่างจังหวัดที่มีฐานะทางบ้านปานกลางแต่ไม่ดีมากนัก เพราะอยู่กับแม่สองคน แต่มีความพยายามอย่างมากสามารถสอบเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยโตเกียวได้ ซึ่งที่นี่ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ สอบเข้ายากมาก เรียนจบยากมาก คนที่เรียนที่นี่ส่วนใหญ่เก่งมากและบ้านมีฐานะดีมากมาก่อน คือบางบ้านส่งลูกเรียนโรงเรียนดี แพงๆ ตั้งแต่เด็กเพื่อหวังให้เข้าเรียนที่มหาวิทยาโตเกียวได้

    ☁เมื่อสาวคนนี้เรียนจบก็สามารถเข้าทำงานที่บริษัทโฆษณาชื่อดังอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นได้ จากแหล่งข่าวบอกว่าต้องทำงานนอกเวลาหรือโอที มากกว่าเดือนละ 100 ชั่วโมงบางทีถึง 150 ชั่วโมง ถ้าคิดๆ ดูก็แทบจะต้องเลิกงาน ห้าทุ่มเที่ยงคืนทุกวันละครับ มีแหล่งข่าวบอกว่าช่วงหลังๆ ก่อนที่เธอจะฆ่าตัวตายเธอได้พักผ่อนนอนแค่วันละไม่ถึง 2 ชั่วโมง

    ☁วันที่เธอตัดสินใจฆ่าตัวตายคือวันคริสต์มาสอีฟของปีที่แล้ว โดยที่เธอตัดสินใจกระโดดตึกหอพักลงมาเสียชีวิต ซึ่งจากวันที่เธอเข้าทำงานจนถึงวันที่เธอเสียชีวิต เธอเพิ่งทำงานไปได้แค่เพียง 8 เดือน โดยเพิ่งได้รับการบรรจุให้เป็นพนักงานประจำได้แค่ 2เดือนเท่านั้น ตอนนั้นยังไม่เป็นข่าวเท่าไหร่นัก แต่ที่เพิ่งมาเป็นข่าวดังในช่วงนี้เพราะมีพนักงานสอบสวนเข้ามาสอบสวนคดีที่บริษัทดังกล่าว

    มีคำภาษาญี่ปุ่นอยู่คำหนึ่งที่ว่า 死者に鞭打つ Shisha ni muchi utsu คือ การว่ากล่าววิพากษ์วิจารณ์คนตาย ที่จริงผมไม่อยากเขียนลักษณะนี้นักแต่จะนำข้อมูลจากแหล่งข่าว Position talk มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อให้เพื่อนๆ สามารถเข้าใจและเห็นมุมมองความคิดของคนญี่ปุ่นครับ ซึ่งกรณีจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต่างคนต่างก็แสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์กันไปตามแต่ความคิดและมุมมองของตนเอง ซึ่งผมจะขอยกตัวอย่างความคิดเห็นของคนญี่ปุ่นจากเว็บไซต์ต่างๆ บางความเห็นก็เป็นประโยชน์ บางความคิดเห็นก็สักแต่วิจารณ์ เช่น

    "ที่จริงแล้วสหภาพแรงงานต้องช่วยพนักงาน "
    " หยุดระบบสภาพการทำงานหนักแบบนี้ดีที่สุด"
    " ทำงานโอทีแค่ 100 ชั่วโมง ถึงกับต้องฆ่าตัวตาย นับว่าแย่มาก "
    " สงสัยแม่ไม่รัก ถ้าแม่รักคงไม่ฆ่าตัวตาย"

    และอีกมากมาย แต่กลายเป็นว่าพอคนเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันมากขึ้น คนที่เห็นใจผู้ตายกลับค่อยๆ น้อยลง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะว่ามีคนไปขุดคุ้ยเนื้อหาที่เธอเคยเขียนในสื่อโซเชียล หลายๆ ข้อความคนอ่านลงความเห็นว่า เธอนิสัยดีจริงเหรอ เช่น ข้อความที่เธอเขียนว่า

    ☁ " เย้ ทำงานมาแล้วนะ 6 เดือน พยามยามมามากแล้วเรา จากนี้ถ้ามีลุงแก่ๆ อายุสัก 50 จะหัวล้านก็ได้ หย่ากับภรรยายิ่งดี ถ้ามีมาเลี้ยงดูก็จะลาออกไปเป็นแม่บ้านแล้ว แม้ว่าจะเรียบจบโตไดก็เถอะ!!"

    ☁ " เห็นคนจบหมอจากมหาวิทยาลัยเอกชน ก็คงเพราะพ่อแม่มีเงินส่งล่ะสิ หัวคงไม่ดีเท่าไรหรอก ได้เป็นหมอก็เพราะเงินล่ะสิ " !!

    และอื่นๆ ทั้งเรื่องที่เธอบ่นเรื่องการทำงานหนักต่างๆ นานา และนิสัยที่สะท้อนออกมาจากข้อความที่เธอเขียน

    และจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้ผมนึกถึงอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีที่แล้ว エク哲 Eku-Tetsu ที่คนญี่ปุ่นเพิ่งแต่งงานรอบสองกับภรรยาสาวได้เดินทางไปเที่ยวที่ประเทศเอกวาดอร์ หลังจากที่ทั้งคู่ไปทานอาหารแล้วจะโดยสารแท็กซี่กลับที่พัก เขาไม่เรียกแท็กซี่ที่มีใบอนุญาติขับแท็กซี่อย่างถูกต้องเพราะต้องจ่ายราคาแพง แต่เรียกแท็กซี่ที่ไม่มีใบอนุญาติหรือเรียกง่ายๆ ว่าแท็กซี่เถื่อนเพราะราคาถูกกว่า แล้วเมื่อแท็กซี่เถื่อนคันนั้นขับๆ ไปสักระยะ คนขับแท็กซี่ก็เรียกพรรคพวกมาปล้น แต่เขาไม่ยอมจึงถูกฆ่าตาย กรณีนี้น่าจะเห็นใจและสงสารผู้เสียชีวิตอยู่ แต่เมื่อคนญี่ปุ่นไปขุดคุ้ยเรื่องราวที่เขาเคยเขียนในสื่อออนไลน์มาแชร์แล้ว กระแสก็ตีกลับ สังคมกลับเริ่มไม่สงสารเขา เหตุเพราะผู้เสียชีวิตคนนี้มักจะเขียนโอ้อวดทั้งสถานบันที่เรียนจบ หน้าที่การงาน เดินทางท่องเที่ยวหลายที่ รู้จักเอาตัวรอดได้ดี ฝึกฝนต่อสู้มามากมาย เก่งกล้ามาก บลาๆ ไม่ต่างจากเกรณีของสาวที่ทำงานหนักแล้วฆ่าตัวตายนั่นเอง

    ย้อนกลับมาในประเด็นที่ว่า ทำไมสาวที่ทำงานหนักต้องฆ่าตัวตาย ปกติคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักจะทำตามกระแสของสังคมจนกลายเป็นว่าคนบางส่วนไม่สามารถมีอิสระในความคิด การที่คนกลุ่มต่างๆ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวในกระแสสังคมก็มักจะใช้ความคิดส่วนตน และแสดงออกซึ่งความอวดดีอวดเด่น จากกรณีสาวที่ฆ่าตัวตายจากการทำงานหนักนี้มีการคาดเดามากมาย ว่านอกจากเจอกดดันเรื่องงานแล้ว อาจจะเจอสภาพแวดล้อมแปลกๆ ในที่ทำงานด้วย เพราะบริษัทนี้มีเรื่องเล่าขานมานานแล้ว ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างความคิดเห็นที่คนมาพูดคุยกัน ที่มีประเด็นน่าสนใจ เช่น

    ☁ครั้งนี้กลับมาเป็นข่าวดัง หลังจากที่ผู้เสียชีวิตจากไปแล้วเกือบปี เพราะมีการฟ้องร้อง มีนักสืบสวนเข้ามาสืบสวนคดีที่บริษัท ทั้งๆ ที่ ก่อนหน้านี้บริษัทนี้ก็มีคนเสียชีวิตจากการทำงานหนักบ่อยๆ ไม่ได้มีข่าวอะไร สองปีก่อนก็มีหนุ่มคนหนึ่งเสียชีวิต ปีที่แล้วที่สาวเพิ่งเสียชีวิตไปบริษัทนี้ยังมีการจัดงานเลี้ยงปีใหม่อยู่เลย มาปีนี้โดนวิจารณ์เข้าหน่อยทำเป็นงดจัดงาน

    ☁พนักงานบริษัทโฆษณาแห่งนี้มีอายุขัยเฉลี่ย 50 ปี เพราะใช้ชีวิตหักโหมมาก ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย ดื่มเหล้าสูบบุหรี่จัด ใช้ชีวิตอยู่กับความตึงเครียดมากเกินไป ในขณะที่คนญี่ปุ่นปกติมีอายุเฉลี่ย 80 ปี

    ☁พนักงานบุคคลที่บริษัทแห่งหนึ่งมีไอเดียว่าบริษัทโฆษณานี้ไม่ทำตามข้อกฏหมายแรงงาน หัวข้อที่ว่า "36協定 saburoku - kyoutei " คือ การทำสัญญาชั่วโมงโอทีระหว่างบริษัทและสหภาพแรงงาน ถ้าทำงานเกินกำหนดสัญญาสามารถไปฟ้องร้องได้

    ☁ไอเดียของคุณหมอท่านหนึ่งบอกว่า เรื่องจริงต่างๆ ในสังคมเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ หรืออาจารย์ควรจะบอกความจริง และเตือนนักเรียนที่จะเข้าไปทำงานบริษัทเช่นนี้ แต่ทุกคนกลับยินดีที่เข้าทำงานได้ แต่การที่ต้องเจอระบบรับน้อง หรือการทำงานหนักหรือการเลี้ยงสังสรรค์ที่วิกลจริตต่างๆ นานา กลับไม่มีใครพูดถึง ตัวอย่างเช่น

    มีการบังคับให้รุ่นน้องดื่มเบียร์ที่รินใส่รองเท้าแทนแก้ว!!
    มีการจับคู่ดื่มเบียร์ โดยอีกคนต้องเอาของสงวนฝ่ายชายมาวางบนหัวเพื่อนอีกคน ทำนองว่าเป็นมวยผมของคนญี่ปุ่นสมัยก่อน!!

    ให้แสดงเป็นน้ำล้างก้น คืออมน้ำแล้วพ่นใส่ก้นเพื่อน !!
    เอาขนมสอดใส่ก้นให้ติดอุจจาระแล้วป้อนกัน !!

    แค่นี้ก็รู้สึกแย่แล้วใช่ไหมครับ แต่ก็ยังมีอีกที่มากกว่านี้ที่ไม่น่าจะเอามาพูดออกสื่อได้ ถ้าเป็นเพื่อนกันเล่นกันขำๆ ยังเกือบรับไม่ได้แต่นี่ต้องทำแบบฝืนทน กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะต้องพึ่งพาบริษัทในการทำงาน ทำงานกันไปตลอดชีวิตการทำงาน บางทีก็มีผลกับจิตใจอยู่มากเหมือนกันนะครับ ถ้าเพื่อนๆ ที่ยังไม่เคยอ่านเรื่องการทำงานในบริษัทญี่ปุ่นลองอ่านที่นี่ครับ

    อยากเป็นใหญ่เป็นโตในบริษัทญี่ปุ่นต้อง...!!!

    เพราะบริษัทญี่ปุ่นบางแห่งเป็นเช่นนี้นี่เองบริษัทญี่ปุ่นในต่างประเทศจึงยังต้องการเซลล์คนญี่ปุ่น ทั้งๆ ที่คนท้องถิ่นอาจจะพูดสื่อสารได้ทั้งภาษาท้องถิ่น ภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่น แต่ถ้าไม่ใช่คนญี่ปุ่นแล้วจะรับเรื่องแบบนี้ได้แค่ไหน ถ้าเป็นคนท้องถิ่นเจอแบบนี้ไม่กี่วันก็คงลาออก แต่ทำไมพวกคนญี่ปุ่นเขาถึงทนอยู่ได้ คราวหน้าผมจะมาเล่าให้ฟังครับ วันนี้สวัสดีครับ

    http://m.manager.co.th/Japan/detail/9590000119114
    .
     
  16. เห็ดถอบ

    เห็ดถอบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    126
    ค่าพลัง:
    +300
    ทั้งที่เยอรมันและทียะไข่ มีการบิดเบือนใส่ร้าย ทำทีว่าถูกกลั่นแกล้งเพื่อเรียกร้องความสงสารจากอิสลาม แมร่งชั่วช้าจริงๆ
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,589
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จุดเริ่มต้นของความรุนแรงในยะไข่ เริ่มจากข่าวการฆ่าข่มขืนสตรียะไข่ที่เป็นชาวพุทธ ในปี พศ.2555

    ความรุนแรงในรัฐยะไข่ ชะตากรรมโรฮิงญา

    สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในรัฐยะไข่ ทางตอนเหนือของพม่า กำลังเป็นที่จับตามองว่าจะขยายวงขึ้นเพิ่มเติมหรือไม่ เมื่อชาวพุทธ กับ ชาวโรฮิงญา เกิดข้อพิพาทถึงขั้นต้องสังหารกัน

    ข่าวการก่อเหตุจลาจลระหว่างชาวมุสลิมโรฮิงญากับชาวพุทธ ในรัฐยะไข่ ของประเทศพม่า กลายเป็นข่าวใหญ่ครึกโครมไปทั่วโลก ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวอาจจะเป็นตัวจุดฉนวนสงครามศาสนา เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในหลายพื้นที่ทั่วโลก

    ตัวจุดฉนวนของเหตุการณ์ดังกล่าว เริ่มจากมีการแจกใบปลิวโดยระบุว่า ชาวมุสลิมกลุ่มหนึ่งฆ่าข่มขืนสตรียะไข่ที่เป็นชาวพุทธ จึงทำให้ชาวพุทธหลายร้อยคนรวมตัวไปล้อมรถโดยสารคันหนึ่งที่รับส่งชาวมุสลิม จนทำให้ชาวมุสลิมเสียชีวิตไป 10 ราย แถมยังทำลายรถบัสเมื่อวันอาทิตย์ที่ ( 3 มิ.ย. ) เพราะเชื่อว่าผู้ก่อเหตุอยู่บนรถคันนั้น

    ความขัดแย้ง "พุทธ-มุสลิม" ในพม่ายังยืดเยื้อ
    ที่มา:Smart Voice - Voice TV

    ต่อมาในวันศุกร์ที่ (8 มิ.ย.) มีชาวพุทธ 4 คนถูกสังหาร จากนั้นความรุนแรงระลอกสองก็เกิดขึ้นในวันเสาร์ (9 มิ.ย.) ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกล มีการเผาบ้านชาวพุทธหลายแห่ง เกือบ 500 หลัง จนชาวบ้านต้องอพยพไปอยู่ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวในเมืองหม่องดอว์

    จากเหตุการณ์ดังกล่าว ประธานาธิบดี เต็ง เส่ง จึงลงนามคำสั่งให้ประกาศภาวะฉุกเฉิน หรือที่เรียกกันว่าเคอร์ฟิวใน 4 เมืองรัฐยะไข่ รวมถึงเมืองซิตเว ซึ่งเป็นเมืองเอกของรัฐ เพื่อป้องกันเหตุวุ่นวายลุกลาม โดยแถลงการณ์ระบุว่ามีบางคนกำลังพยายามทำลายความปลอดภัยในที่สาธารณะและทำลายกฎหมาย อีกทั้งทางการเชื่อว่าอาจมีการปะทะกัน จึงประกาศใช้ภาวะเคอร์ฟิว หรือห้ามออกจากบ้านยามวิกาลตั้งแต่เวลา 18.00 น. ถึง 6.00 น.

    แถลงการณ์ยังระบุว่าแม้ขณะนี้สถานการณ์สงบ แต่ห้ามการชุมนุมเกินกว่า 5 คน รวมถึงห้ามกล่าวปราศรัย ห้ามเดินขบวน และห้ามยุยงให้เกิดความวุ่นวายหรือเกิดการปะทะกัน

    ซึ่งการประกาศเคอร์ฟิวครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีการประกาศในสมัยของประธานาธิบดีเต็ง เส่ง

    นอกจากนี้ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ได้ออกมาปราศรัยทางโทรทัศน์ว่า หากหมกมุ่นแต่ประเด็นเชื้อชาติ ศาสนา ความเกลียดชังไม่มีวันสิ้นสุด การต้องการแก้แค้นและก่อความวุ่นวาย ปัญหาเหล่านี้จะขยายตัวและลุกลามออกนอกรัฐยะไข่จนเสี่ยงกระทบต่อสันติภาพ เสถียรภาพและกระบวนการพัฒนาไปสู่ประชาธิปไตยของประเทศ เขารับปากว่า รัฐบาลจะให้การชดเชยผู้เดือดร้อนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขอให้ประชาชนมีความเอื้อเฟื้อ เข้าอกเข้าใจผู้อื่น ขณะนี้รัฐบาลกำลังประสานงานกับกลุ่มศาสนา พรรคการเมือง องค์การภาคประชาสังคม และผู้อาวุโสในชุมชนเพื่อร่วมกันแก้ปัญหา

    อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าต้นเหตุของความรุนแรงระลอกนี้มาจากไหน เพราะกองกำลังของรัฐบาลและกลุ่มโรฮิงญาต่างก็กล่าวหากันไปมา

    โดยเริ่มจาก เจ้าหน้าที่รัฐ 2 คนเป็นบอกว่า มีชาวโรฮิงญาพกอาวุธบุกไปเผาหมู่บ้านหลายแห่งตั้งแต่ช่วงเช้ามืดวันเสาร์ (9 มิ.ย.) โดยเจ้าหน้าที่รัฐระบุว่า "พวกโรฮิงญานั่งเรือมาจากประเทศเพื่อนบ้าน (บังกลาเทศ)" เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเผย พาดพิงถึงบังกลาเทศ ซึ่งอยู่ติดกับรัฐยะไข่

    จากนั้น รัฐบาลพม่าได้ส่งเรือของกองทัพเข้าไปในรัฐยะไข่ เพื่อลาดตระเวนและตรวจตราสถานการณ์ในแม่น้ำและชายฝั่งของเมืองหม่องดอว์ เพื่อป้องกันการลักลอบเดินทางเข้ามาทางเรือของชาวโรฮิงญา

    พม่าส่งทหารเข้าตรึงกำลังในรัฐยะไข่ หลังโรฮิงญาถูกฆ่าหลายศพ
    ที่มา:Smart Voice - Voice TV


    ขณะที่ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวรอยเตอร์ยืนยันว่า เห็นเครื่องบิน 4 ลำ ลำเลียงทหารเข้าไปลงในพื้นที่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา พร้อมกันนี้รัฐบาลพม่ายังได้ส่งพลเอกหลา มิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลลงพื้นที่เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียดในรัฐยะไข่

    ขณะที่ตัวแทนของชาวโรฮิงญากลับออกมาเปิดเผยว่า กองกำลังของรัฐบาลพม่าเป็นคนสังหารชาวโรฮิงญาไป 5 คน จากนั้นก็จุดไฟเผาบ้านเรือนของชาวโรฮิงญา

    ชาวโรฮิงญาอ้างว่าถูกพม่าก่อกวนมาหลายสิบปี ขณะที่นักเคลื่อนไหวระบุว่าชาวโรฮิงญาจำนวนมากถูกบังคับใช้แรงงาน ทั้งยังถูกกีดกันและเลือกปฏิบัติ รวมถึงถูกจำกัดด้านการเดินทาง จำกัดขนาดของครอบครัว และไม่ได้รับการออกหนังสือเดินทางให้ ทำให้คนเหล่านี้ไม่มีสถานภาพและไม่มีชาติ

    นายฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการในเอเชียของกลุ่มฮิวแมนไรท์ส วอทช์ แสดงความวิตกอย่างยิ่งกับเหตุจลาจลในยะไข่ พร้อมกล่าวว่าความตึงเครียดระหว่างชาวเมืองยะไข่กับชาวโรฮิงญา ได้รับการเติมเชื้อไฟจากนโยบายของรัฐบาลที่กีดกันคนกลุ่มนี้

    ขณะที่ประชาคมชาวโรฮิงยาในประเทศไทย นำโดย หม่อง จอ นู ประธานสมาคมพม่าโรฮิงยาประเทศไทย แสดงภาพถ่ายและป้ายผ้าที่มีข้อความเรียกร้องให้มีปฏิบัติการหยุดยั้งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงยา ซึ่งเป็นคนมุสลิมในรัฐอารกัน ประเทศพม่า จากการกระทำของชาวยะไข่และกองกำลังทหาร พร้อมยื่นหนังสือถึงนายบัน คี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อขอให้ดำเนินการแทรกแซงสถานการณ์ดังกล่าว และหยุดยั้งความรุนแรงที่เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด


    ภูมิศาสตร์ของรัฐยะไข่

    รัฐยะไข่มีตำแหน่งที่ตั้ง ดังนี้
    - ทิศเหนือ ติดกับ รัฐชิน และ ประเทศบังคลาเทศ
    - ทิศใต้ ติดกับ เขตอิระวดี
    - ทิศตะวันออก ติดกับ เขตมาเกว เขตพะโค และ เขตอิระวดี
    - ทิศตะวันตก ติดกับ มหาสมุทรอินเดีย, อ่าวเบงกอล

    รัฐยะไข่ มีประชากรประมาณ 2 ล้านคน ในสมัยที่อังกฤษเข้าปกครองเรียกรัฐยะไข่ว่า อารากัน (Arakan ) มีเมืองหลวงชื่อ สตวย (Sittwe) ประชากรในรัฐยะไข่ส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ อยู่ทางด้านใต้ของรัฐ อีกสวนหนึ่งเป็นมุสลิมเข้ามาจากจิตตะกองอย่างผิดกฎหมาย ที่เรียกกันว่าชาว "โรฮิงญา" โดยมีชาวโรฮิงยา ซึ่งเป็นชาวมุสลิมอาศัยอยู่ในพม่าราว 750,000 คน

    ชาวโรฮิงญา เรียกได้ว่าเป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ในประเทศพม่า ในสมัยก่อนรัฐบาลเผด็จการทหารพม่าได้ปฏิบัติการอย่างโหดร้ายทารุณ ใช้อาวุธข่มขู่ขับไล่พวกเขาออกจากที่อยู่อาศัย เผาทำลายบ้านเรือน ฆ่า ข่มขืนสตรี ดังนั้นชาวโรฮิงญาจึงอพยพเข้าประเทศบังกลาเทศที่มีชายแดนติดต่อกัน และได้ตั้งค่ายพักผู้อพยพเรียงรายอยู่ตามชายแดนบังคลาเทศ - พม่า กว่า 2 แสนคน ทำให้เกิดปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจตามมา ทำให้บังคลาเทศต้องประท้วงสหภาพพม่าอย่างรุนแรง ทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างประเทศทั้งสอง ขณะเดียวกันบังคลาเทศและพม่าได้ทำการเจรจากันที่จะจัดให้ผู้อพยพกลับถิ่นเดิม แต่ปัญหานี้ยังไม่จบ เพราะชาวโรฮิงยาส่วนใหญ่ไม่ยอมเดินทางกลับถิ่นเดิมจึงกระทั่งถึงปัจจุบัน



    ปัญหาการก่อจลาจลระหว่างชาวมุสลิมโรฮิงญากับชาวพุทธ ในรัฐยะไข่ อาจจะเป็นอุปสรรคต่อหนทางสู่ประชาธิปไตยในพม่าที่กำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน และจะเป็นปัญหาในการเปิดประเทศของพม่าในเรื่องของการท่องเที่ยวแน่นอน

    ภาพจาก มติชน

    http://news.voicetv.co.th/world/41506.html
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,589
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข่าวเก่า ปี 2555
    ยะไข่ยังเครียด !
    ยูเอ็นเห็นท่าไม่ดี สั่งอพยพเจ้าหน้าที่หนีลูกหลง

    ยูเอ็นอพยพเจ้าหน้าที่ต่างชาติ 44 นายในรัฐยะไข่ หลังเกิดความขัดแย้งระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิม “โรฮิงญา” จนมีการปะทะนองเลือดและเสียชีวิตจำนวนมาก...

    นายอโศก นิกัม ผู้อำนวยการฝ่ายประสานงานด้านมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ประจำพม่า เผยเมื่อ 11 มิ.ย. ระบุว่ายูเอ็นได้สั่งอพยพเจ้าหน้าที่ต่างชาติ 44 นาย ซึ่งทำงานอยู่ที่เมืองหม่องดอว์ในรัฐยะไข่ ทางตะวันตกของพม่า มายังนครย่างกุ้งเป็นการชั่วคราว ส่วนเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นชาวพม่าถูกย้ายไปยังเมืองซิตตเว เมืองเอกของรัฐยะไข่ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่ หลังเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิม “โรฮิงญา” ในพื้นที่ 17 อำเภอของรัฐยะไข่ นำไปสู่การปะทะนองเลือดจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

    ทางยูเอ็นระบุสาเหตุเบื้องต้นเกิดจากข่าวลือว่าหญิงสาวชาวพุทธรายหนึ่งถูกข่มขืนในรัฐยะไข่ ทำให้ชาวพุทธนำกำลังเข้าโจมตีชาวโรฮิงญาเสียชีวิต 10 ศพ นำไปสู่การก่อเหตุล้างแค้นระหว่างประชาชน 2 ศาสนา และมีผู้เสียชีวิตอีกประมาณ 7 ศพตั้งแต่ 8 มิ.ย. รวมถึงบ้านเรือนประชาชนซึ่งถูกเผาวอดอีกราว 500 หลัง ด้านประธานาธิบดี เต็ง เส่ง ผู้นำพม่า ได้ขยายพื้นที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน นอกเหนือจากเมืองซิตตเวไปยัง 3 เมืองทางตอนเหนือของรัฐยะไข่ โดยห้ามประชาชนออกนอกเคหสถานตั้งแต่เวลา 18.00-06.00 น. ทั้งยังมีคำสั่งให้กองทัพนำกำลังทหารเข้าดูแลความปลอดภัยบริเวณสนามบินและตามหมู่บ้านต่างๆ ในรัฐยะไข่อย่างใกล้ชิด

    ขณะที่หน่วยลาดตระเวนชายฝั่งในเมืองเทคนัฟของบังกลาเทศ ซึ่งมีพรมแดนติดกับรัฐยะไข่ ไม่ยอมรับตัวผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญา ราว 300 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก ซึ่งอาศัยเรือประมง 8 ลำ หวังข้ามฝั่งไปยังบังกลาเทศ แต่เจ้าหน้าที่บังกลาเทศมอบอาหารและน้ำแก่ชาวโรฮิงญาก่อนดันเรือกลับไปยังฝั่งพม่าตามเดิม

    ด้าน นายเจเรมี บราวน์ รมว.กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ ออกแถลงการณ์ลงวันที่ 10 มิ.ย. ระบุว่ารัฐบาลอังกฤษรู้สึกเป็นห่วงอย่างมากกับสถานการณ์ความไม่เข้าใจกันระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิมในรัฐยะไข่ ทั้งยังเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐและผู้นำชุมชนแต่ละแห่งปรึกษาหารือกัน เพื่อยุติความไม่สงบในครั้งนี้ และนายบราวน์ได้ประกาศเตือนพลเมืองอังกฤษให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปที่รัฐยะไข่ของพม่าหากไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน

    ส่วน นางออง ซาน ซูจี ผู้นำพรรคฝ่ายค้านสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) แสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์ปะทะกันของกลุ่มผู้ชุมนุมต่างศาสนาในรัฐยะไข่ แต่ซูจียังไม่ได้เดินทางเยือนรัฐยะไข่ เพราะมีกำหนดเดินทางไปยังกลุ่มประเทศแถบยุโรปจนถึงสิ้นเดือน มิ.ย.


    ข่าว : ไทยรัฐ
    12 มิถุนายน 2555


    เคอร์ฟิวส์รัฐยะไข่ !
    ระงับสงครามกลางเมืองระหว่างพุทธ-มุสลิม

    พม่าประกาศเคอร์ฟิวรัฐยะไข่สะกัดจลาจลศึกพุทธ-มุสลิม ขณะที่รัฐเตือนประชาชน ให้อดทน และว่าความขัดแย้งไม่เป็นประโยชน์กับใคร ...

    รัฐบาลพม่าบังคับใช้ภาวะเคอร์ฟิวในเมืองซิตต์เว เมืองเอกของรัฐยะไข่ และเมืองอื่นๆ อีก 3 เมือง ห้ามผู้คนออกนอกเคหสถานช่วง 18.00 - 06.00 น. ตั้งแต่ 10 มิ.ย. หลังเกิดจลาจล ชาวพุทธชนส่วนใหญ่กับชาวมุสลิมปะทะกันใน 2 วันหลัง บ้านเรือนชาวพุทธถูกเผาวอดหลายร้อยหลัง มีผู้เสียชีวิต 7 ศพ

    ส่วน นสพ.นิว ไลท์ ออฟ เมียนมาร์ กระบอกเสียงรัฐบาลพม่า แถลงเตือนประชาชนให้อดทนอดกลั้น และว่าความเกลียดชัง เข้าใจผิด หรือความขัดแย้งอื่นใดของประชาชนไม่เป็นประโยชน์กับใคร รังแต่นำมาซึ่งการตอบโต้แก้แค้นและภาวะอนาธิปไตย อนึ่ง การจลาจลปะทุขึ้นหลังชายมุสลิม 3 คนถูกกล่าวหาว่าฆ่าข่มขืนหญิงสาวชาวพุทธ


    ข่าว : ไทยรัฐ
    10 มิถุนายน 2555

    www.alittlebuddha.com Homepage of Wat Thai Las Vegas


    พระสงฆ์ออกโรงต้านโรฮิงยา
    6 Sep 2012 อภิรดา มีเดช NEWS
    Monk protest in Mandalay

    ต่างจากเหตุการณ์ ‘8888’ หรือการเดินขบวนประท้วงครั้งประวัติศาสตร์ของพม่าเมื่อ 8 สิงหาคม 1988 ที่นักศึกษา พระสงฆ์ และประชาชนนับล้านออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยจากรัฐบาลเผด็จการนายพลเน วิน หรือการประท้วงรัฐบาล ‘Saffron Revolution’ ปลายปี 2007 อันมีที่มาจากสีแดงดั่งหญ้าฝรั่นของจีวรสงฆ์ซึ่งเป็นกลุ่มนำการประท้วง เมื่อบัดนี้พระสงฆ์ในพม่าเริ่มการเคลื่อนไหวครั้งใหม่…ในจุดประสงค์ที่ต่างจากที่ผ่านมา

    2 กันยายน พระสงฆ์หลายร้อยรูปร่วมเดินขบวนในเมืองมัณฑะเลย์เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ด้วยการขับไล่ชนกลุ่มน้อยชาวโรฮิงยาออกไปจากประเทศ หรือไม่ก็ต้องถูกจัดให้อยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยอย่างเป็นระเบียบ

    วิระธู (Wirathu) พระสงฆ์ผู้นำการประท้วงครั้งนี้อ้างว่า พระสงฆ์ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน (หญิงสาวชาวยะไข่ถูกข่มขืนแล้วฆ่าโดยชายชาวโรฮิงยา 3 คน) และต้องการประณามการกระทำของชาวโรฮิงยาต่อชาวยะไข่ ซึ่งทางการรายงานยอดผู้เสียชีวิตจากทั้งสองฝ่ายว่ามีอย่างน้อย 83 ราย ขณะที่กลุ่มเรียกร้องสิทธิมนุษยชนค้านว่าตัวเลขน่าจะมากกว่านี้

    องค์การฮิวแมนไรท์วอช (Human Rights Watch) มองว่าเหตุรุนแรงดังกล่าวทางการพม่าเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน ขณะที่โลกมุสลิมยังไม่มีทางออกให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ไร้รัฐอย่างโรฮิงยา – ชนชาติที่องค์การสหประชาชาตินิยามว่าเป็นชนชาติที่ถูกรังแกมากที่สุดในโลก

    ปัจจุบัน ชาวโรฮิงยานับแสนถูกปฏิเสธความช่วยเหลือจากบังกลาเทศ มีเพียง 30,000 ราย ที่ลงทะเบียนและพักอาศัยในค่ายผู้ลี้ภัยขององค์การสหประชาชาติ คาดการณ์ว่ามีชาวโรฮิงยาราว 800,000 คน อาศัยอยู่ในพม่าอย่างผิดกฎหมาย และความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายนทำให้ชาวพม่าที่ส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนาไม่พอใจจนพระสงฆ์ต้องออกมาประท้วงในครั้งนี้

    กลุ่มมุสลิมในประเทศใกล้เคียง รวมทั้งประเทศไทย ก็กำลังประชุมกันเพื่อช่วยหาทางออกให้กับพี่น้องกลุ่มนี้โดยเร็วที่สุด

    ที่มา : france24.com

    aljazeera.com

    พระสงฆ์ออกโรงต้านโรฮิงยา - waymagazine.org | นิตยสาร WAY

    พม่าตัดสินโทษประหารจำเลยคดีฆ่าข่มขืน ชนวนเหตุความรุนแรงในรัฐยะไข่ โดย MGR Online 19 มิถุนายน 2555 19:16 น.


    เอเอฟพี - ศาลพม่าตัดสินโทษประหารชีวิตชาย 2 คน ในคดีฆ่าข่มขืนหญิงชาวพุทธที่เป็นชนวนเหตุให้เกิดความรุนแรงขึ้นหลายระลอกในรัฐยะไข่ ภาคตะวันตกของพม่า สื่อทางการพม่ารายงานวันนี้ (19 มิ.ย.)

    หนังสือพิมพ์นิวไลท์ ออฟ เมียนมาร์รายงานว่า จำเลยรายที่ 3 ได้แขวนคอตัวเองในห้องขังตั้งแต่เมื่อต้นเดือน

    จากคดีฆ่าช่มชืนหญิงชาวพุทธดังกล่าว ได้กลายเป็นชนวนเหตุการโจมตีแก้แค้น ที่กลุ่มม็อบชาวพุทธได้เข้าทุบตีชาวมุสลิม 10 คนจนถึงแก่ชีวิตเมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าผู้ก่อเหตุในคดีฆ่าข่มขืนอยู่ในกลุ่มคนดังกล่าว และนับตั้งแต่นั้น ชาวยะไข่ท้องถิ่น และชาวมุสลิมโรฮิงญาได้ก่อเหตุปะทะโจมตีกันไปมา จนทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบคน


    อย่างไรก็ตาม องค์กรนิรโทษกรรมสากลระบุว่า ไม่มีนักโทษตัดสินประหารรายใดในพม่าถูกประหารชีวิตตั้งแต่ปี 2531

    นับเป็นเวลายาวนานหลายทศวรรษของการเลือกปฏิบัติที่ทำให้ชาวมุสลิมโรฮิงญาไร้สัญชาติ และสหประชาชาติระบุว่า ชาวโรฮิงญา เป็นชนกลุ่มน้อยที่ถูกกดขี่ข่มเหงมากที่สุดในโลก และรายงานระบุว่า มีชาวโรฮิงญาราว 800,000 คน อาศัยอยู่ในพม่า ส่วนใหญ่อยู่ในรัฐยะไข่

    รัฐบาลพม่ากำหนดให้ชาวโรฮิงญาเป็นชาวต่างชาติ ขณะที่ชาวพม่ามองว่า ชาวโรฮิงญาเป็นผู้อพยพผิดกฎหมายจากบังกลาเทศ และมองว่าชาวโรฮิงญาเหล่านี้เป็นศัตรู

    หนังสือพิมพ์นิวไลท์ ออฟ เมียนมาร์ระบุเมื่อวันเสาร์ (16) ว่า มีประชาชนเสียชีวิตทั้งหมด 50 คน และได้รับบาดเจ็บ 54 คน จากเหตุความไม่สงบที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 28 พ.ค. ถึง 14 มิ.ย. แม้ว่าความรุนแรงได้ผ่อนคลายลงในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

    ทางการประกาศภาวะฉุกเฉินในรัฐยะไข่ พร้อมระดมกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้าประจำการในพื้นที่ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทำให้ประชาชนหลายพันคนต้องอพยพย้ายที่อยู่ บ้านเรือนหลายพันหลังถูกเพลิงเผาทำลายเสียหาย และประธานาธิบดีเต็งเส่งกล่าวเตือนว่า ความไม่สงบอาจขัดขวางกระบวนการปฏิรูปประชาธิปไตยของประเทศ ขณะที่พม่าหลุดพ้นจากการปกครองระบอบทหารที่ยาวนานหลายทศวรรษ.

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,589
    ค่าพลัง:
    +97,150
    คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรงไหมครับ กองกำลังขนาดใหญ่อาวุธครบมือ
    "ทหารปะทะกับกลุ่มติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายติดต่อกันเป็นวันที่ 3 กลุ่มชายกว่า 300 บุกโจมตีฆ่าทหาร 4 นาย / กลุ่มชายที่ใช้ปืนสั้นและมีดดาบเป็นอาวุธจำนวนกว่า 300 คน ได้เข้าจู่โจมทหารพม่าในหมู่บ้านปองปิต ใกล้กับเมืองหม่องดอ เมื่อวันอังคาร ทำให้ทหารเสียชีวิต 4 นาย "

    (เนื้อหาข่าวครับ)
    ยะไข่เดือดกองโจรรุมฆ่าทหาร
    Thursday, 13 ตุลาคม 2559 - 00:00

    ตำรวจพม่าออกลาดตระเวนที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองหม่องดอ รัฐยะไข่ ภาพเอเอฟพี

    สถานการณ์ในรัฐยะไข่ของพม่ายังน่าวิตก ทหารปะทะกับกลุ่มติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายติดต่อกันเป็นวันที่ 3 กลุ่มชายกว่า 300 บุกโจมตีฆ่าทหาร 4 นายเมื่อวันอังคาร ขณะยอดสังเวยเหตุการณ์รุนแรงรอบล่าสุดพุ่งเกือบ 30 ศพแล้ว

    สำนักข่าวเอเอฟพีและบีบีซีรายงานเมื่อวันพุธที่ 12 ตุลาคม อ้างรายงานของสื่อทางการพม่าว่า กลุ่มชายที่ใช้ปืนสั้นและมีดดาบเป็นอาวุธจำนวนกว่า 300 คน ได้เข้าจู่โจมทหารพม่าในหมู่บ้านปองปิต ใกล้กับเมืองหม่องดอ เมื่อวันอังคาร ทำให้ทหารเสียชีวิต 4 นาย คนร้ายเสียชีวิต 1 คน

    รายงานของโกลบอลนิวไลต์ออฟเมียนมากล่าวด้วยว่า ภายหลังเกิดการปะทะกันใกล้กับหมู่บ้านตองปายนาร์ที่อยู่ติดกัน ทหารยังพบศพอีก 7 ศพ ถูกทิ้งไว้ในหลุมขนาดใหญ่ พร้อมกับมีดดาบและท่อนไม้ด้วย

    สถานการณ์ในรัฐยะไข่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชายแดนบังกลาเทศทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง หลังจากเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา กลุ่มติดอาวุธได้โจมตีฐานที่มั่นติดชายแดน 3 จุดแบบสอดประสานกัน ฆ่าตำรวจไป 9 นาย กองทัพพม่าได้เปิดปฏิบัติการตรวจค้นกวาดล้างในภูมิภาคนี้ โดยจับกุมผู้ต้องสงสัยเกี่ยวโยงกับการโจมตีฐานของตำรวจไว้ได้ 4 ราย โดย 2 รายจับกุมไว้ได้เมื่อวันอาทิตย์ ทั้งหมดถูกควบคุมตัวไว้สอบปากคำ

    ทางการพม่าไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดมากนักเกี่ยวกับกลุ่มคนร้ายหรือมูลเหตุจูงใจ เจ้าหน้าที่บางรายกล่าวโทษว่าเป็นฝีมือกลุ่มมุสลิมโรฮีนจา บางรายโทษกลุ่มติดอาวุธจากบังกลาเทศ

    ความตึงเครียดในภูมิภาคนี้คุกรุ่นมานับแต่เกิดเหตุจลาจลข้ามศาสนาระหว่างชาวพุทธยะไข่กับมุสลิมโรฮีนจาเมื่อปี 2555 ที่ทำให้ล้มตายมากกว่า 100 คน ชาวโรฮีนจานับแสนคนทิ้งถิ่นฐานบ้านเรือนไปอาศัยในค่ายอพยพ

    สื่อทางการพม่า, ตำรวจและแหล่งข่าวในรัฐบาลกล่าวกันว่า การปะทะในช่วงนี้ทำให้มีคนถูกฆ่าตายรวม 29 รายแล้ว ซึ่งรวมถึงทหาร, คนร้ายและตำรวจชายแดนที่ถูกฆ่าตายในเหตุการณ์เมื่อวันอาทิตย์

    ความรุนแรงทำให้โรงเรียนหลายร้อยแห่งในเมืองหม่องดอและพื้นที่โดยรอบปิดการเรียน ทางการประกาศใช้เคอร์ฟิว ครูและข้าราชการพากันอพยพลงใต้ไปยังเมืองซิตตเว เมืองหลวงของรัฐยะไข่

    ข่าวลือเกี่ยวกับการเข่นฆ่าและการกวาดล้างจับกุมขนานใหญ่แถบเมืองหม่องดอแพร่สะพัดทางโซเชียลมีเดียราวกับไฟลามทุ่ง ทำให้ผู้คนหวาดกลัว ชาวบ้านหลายคนบอกกับเอเอฟพีว่า พวกเขาไม่กล้าออกจากบ้าน เพราะมีทหารลาดตระเวนตามท้องถนน ขณะที่นักเคลื่อนไหวกล่าวกันว่า ทหารใช้การตรวจค้นหาคนร้ายเป็นข้ออ้างปราบปรามชาวโรฮีนจา

    ความรุนแรงที่ขยายตัวในภูมิภาคนี้เป็นปัญหาใหญ่ท้าทายรัฐบาลพลเรือนชุดใหม่ของพม่าที่มีนางอองซาน ซูจี เป็นผู้นำโดยพฤตินัย นางซูจีกำลังเผชิญแรงกดดันจากนานาชาติให้หาทางออก และเมื่อไม่นานมานี้นางซูจีได้แต่งตั้งโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เป็นประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาหาทางออกคลี่คลายความขัดแย้งในภูมิภาคนี้

    วีเจย์ นามเบียร์ ที่ปรึกษาพิเศษด้านพม่าของยูเอ็น ได้กล่าวแสดงความห่วงกังวลอย่างยิ่งกับสถานการณ์ในรัฐยะไข่ และเรียกร้องให้ทหารและประชาชนใช้ความอดทนอดกลั้นถึงที่สุด

    "ในภาวะหัวเลี้ยวหัวต่อที่ละเอียดอ่อนนี้ ชุมชนท้องถิ่นในทุกระดับต้องปฏิเสธการถูกยั่วยุจากเหตุการณ์เหล่านี้ และพวกผู้นำชุมนุมต้องขมีขมันป้องกันการปลุกปั่นให้เกิดความจงเกลียดจงชังหรือความเกลียดชังกันและกันระหว่างชุมชนชาวพุทธกับชาวมุสลิม" นามเบียร์กล่าวในแถลงการณ์.

    ยะไข่เดือดกองโจรรุมฆ่าทหาร
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,589
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “ซูจี” ตั้งอดีตนายทหารคุมสืบสวนข้อกล่าวหาละเมิดสิทธิ ต่างชาติชี้ขาดความน่าเชื่อถือ เผยแพร่: 2 ธ.ค. 2559 23:30:00 ปรับปรุง: 3 ธ.ค. 2559 13:40:00 โดย: MGR Online

    เอเอฟพี - นักเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิมนุษยชน ระบุว่า คณะทำงานชุดใหม่ที่รัฐบาลพม่าตั้งขึ้นเพื่อสืบสวนข้อกล่าวการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่นั้นขาดความน่าเชื่อถือ ขณะที่ นายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ เริ่มต้นการเยือนรัฐที่ประสบปัญหาแห่งนี้

    อองซานซูจี เผชิญต่อการวิพากษ์วิจารณ์จากต่างชาติถึงความล้มเหลวที่จะสอบสวนข้อกล่าวหาที่ว่า กองทัพกำลังดำเนินการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิม และกลุ่มสิทธิมนุษยชนได้ออกมาปฏิเสธคณะกรรมการชุดใหม่ที่ประกอบด้วยสมาชิก 13 คน ว่า ไม่มีประสิทธิภาพ ด้วยไม่มีชาวมุสลิมร่วมเป็นสมาชิกอยู่ในคณะ และยังนำโดยรองประธานาธิบดีมี้น ส่วย นายพลเกษียณราชการที่เคยถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำ

    รองประธานาธิบดีมี้น ส่วย พันธมิตรใกล้ชิดของ พล.อ.อาวุโส ตาน ฉ่วย อดีตผู้นำรัฐบาลเผด็จการทหาร เคยเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการพิเศษในนครย่างกุ้ง เมื่อครั้งที่รัฐบาลทหารสั่งปราบปรามการชุมนุมประท้วงนำโดยพระสงฆ์เมื่อปี 2550

    “เราเชื่อถือคณะกรรมการชุดนี้ได้ไม่มากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีทหารเป็นผู้นำคณะ” แมทธิว สมิธ ประธานบริหารองค์การ Fortify Rights กล่าว

    “คณะกรรมการชุดใหม่นี้ไม่สามารถดำเนินการสืบสวนสิทธิมนุษยชนที่น่าเชื่อถือได้ และยังขาดความเป็นอิสระ มันควรเป็นการสืบสวนระหว่างประเทศที่เป็นอิสระ” สมิธ กล่าว

    ฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการฮิวแมนไรท์วอชภูมิภาคเอเชีย กล่าวไปในทางเดียวกันว่า คณะกรรมการชุดใหม่ดูเหมือนจะไม่เป็นอิสระ หรือเป็นกลาง

    ด้านสำนักงานของซูจี กล่าวว่า คณะกรรมการใหม่ชุดนี้จะสืบสวนเหตุการณ์การโจมตีด่านชายแดนตำรวจเมื่อวันที่ 9 ต.ค. ที่นำมาซึ่งการปิดล้อมทางทหาร และข้อกล่าวหาของต่างชาติว่าทหารละเมิดสิทธิมนุษยชน

    นับเป็นคณะกรรมการชุดที่ 2 ที่อองซานซูจี ตั้งขึ้นในความพยายามที่จะบรรเทาความแตกแยกทางศาสนาที่แบ่งแยกรัฐยะไข่ นับตั้งแต่เกิดเหตุไม่สงบทางศาสนา ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปมากกว่า 100 คน ในปี 2555

    เมื่อเดือน ส.ค. ซูจี ได้แต่งตั้ง นายโคฟี อันนัน เป็นหัวหน้าคณะกรรมการอีกชุดหนึ่ง ซึ่งชาวพุทธชาตินิยมได้ประณามว่า เป็นการก้าวก่ายของชาวต่างชาติ

    อู หล่า ซอ นักการเมืองอาวุโสจากพรรคแห่งชาติอาระกัน กล่าวว่า คณะกรรมการชุดใหม่ก็ไม่มีอะไรที่แตกต่างออกไป

    สหประชาชาติ ระบุว่า มีชาวโรฮิงญามากกว่า 10,000 คน ได้หลบหนีการปราบปรามทางทหารในรัฐยะไข่ ไปบังกลาเทศในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ผู้ที่เดินทางไปถึงบังกลาเทศได้เปิดเผยเรื่องราวเกี่ยวกับการถูกละเมิดสิทธิโดยทหารพม่า แต่รัฐบาลพม่าได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิเหล่านั้น

    ในวันนี้ (2) ชาวเมืองยะไข่ ได้ชุมนุมประท้วงรับ นายโคฟี อันนัน ที่เดินทางถึงสนามบินสิตตะเว ที่เป็นการเยือนครั้งแรกนับตั้งแต่เหตุการวิกฤตปะทุขึ้น.

    Manager Online
     

แชร์หน้านี้

Loading...