กายวัชระ หรือกายทิพย์ขั้นเพชร และการบำเพ็ญอาวุธทิพย์ชั้นเพชร

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 8 พฤศจิกายน 2011.

  1. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ไม่น่าแปลกใจอะไร ถ้าจะมีคนเก่งๆ เยอะ

    ยุคนี้ พระโพธิสัตว์ลงมาเกิดเยอะ
    แต่ลงมาเกิดแล้วต้องรีบกลับคืนสู่จิตเดิมแท้

    กลับคืนสู่โพธิสัตว์อีกครั้ง เพื่อกระทำกิจที่ควรกระทำครับ
     
  2. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    มีโอกาสก็ต้องเร่งศึกษาหาความรู้ละครับท่านดอกไม้ แต่จะว่าไปผมก็ไม่คิดจะไปเป็นอะไรนะครับเพราะผมก็รู้แค่อย่างเดียวในตอนนี้ว่าเป็นมนุษย์ธรรมดาตะล๊อกต็อกต๋อยนี่ละครับไม่ได้รู้ด้วยว่าตัวเองเป็นใครมาทำอะไร แต่หลายๆอย่างมันก็เหมือนจิ้กซอประกอบไปเรื่อยๆ
    เท่านั้นเอง ไม่ต้องรู้ว่าทำอะไรได้เพราะเมื่อถึงเวลามันก็ทำได้เองเพียงแต่ก่อนถึงขั้นตอนนั้น มันก็ต้องรู้ก่อนพริกใช้ทำอะไร กระทียมใช้ทำอะไร เครื่องปรุงรสชนิดต่างๆ วัตถุดิบนั้นทำอะไรได้มั่ง เดี๋ยวก็รู้เองว่าสิ่งที่เรามีใช้ทำอะไรได้มั่ง
     
  3. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    เอาจริงๆก็แล้วแต่ธรรมเขาจะจัดสรรมาละครับ ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นเลยจริงๆ แล้วก็ไม่ได้รู้อะไรเลยจริงๆครับ
     
  4. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722

    การเป็นมนุษย์ธรรมดาอาจเป็นความเห็นแก่ตัวอย่างหนึ่งก็ได้


    เพราะไม่ต้องรับผิดชอบอะไร มีความสุขแบบปุถุชนทั่วไปพึงมี
    ในขณะที่อีกหลายคนอาจยอมเป็นมนุษย์ไม่ธรรมดา เป็นครึ่งผี
    ครึ่งปีศาจ, ครึ่งมาร, ครึ่งซาตานฯลฯ เพื่อประเทศชาติเพื่อโลก
    ในขณะที่บางคนอาจสุขสบาย โดยไม่ต้องเสียสละอะไรมาก
     
  5. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ครับผม เป็นอะไรธรรมดานี่ละสบายสุดๆละ ผมว่ามันก็เหมือนการพักร้อนละครับ ไม่แย่งหน้าที่ใคร ไม่ก้าวก่ายหน้าที่ใคร คือเคารพสมมุติแต่ละท่านที่ทำหน้าที่อยู่ครับ
    แต่งานส่วนที่ทำกว่าจะเสร็จก็ไม่ง่ายนะครับใช้พลังใจมากมายกว่าจะส่งถึง(หมดแรงขยับแทบไม่ได้เป็นคืนๆ) เพราะการจะเก็บพื้นที่วัดแต่ละวัดใช้ความรักความรู้สึกล้วนๆ ต้องมีแบบมีโครงร่างของแต่ละดินแดนอีกที่จะใช้อยู่อาศัย นานเหมือนกันกว่าโครงร่างจะเสร็จ
     
  6. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    โหท่านไม่ใช่อาจจะเลยครับเห็นแก่ตัวฝุดๆเลยดีกว่า เกิดมาเพื่อเบียดเบียนจริงๆ คนที่พอเข้าใจถึงได้พยายามทำอะไรคืนให้ธรรมชาติบ้างไงครับ
     
  7. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ผมไม่ได้เก่งเลยท่านดอกไม้ สังเกตุได้ว่าผมไม่มีความรู้ในด้านการรักษาหรือช่วยใครได้ได้เลย ที่ผมมีคือสร้าง และทำลาย
    และการทำลายก็คือทำลายตัวตนเท่านั้นเองครับ ผมยังต้องมาเรียนรู้จากท่านดอกไม้อยู่เลย
     
  8. ไอ้นอกโลก

    ไอ้นอกโลก Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    572
    ค่าพลัง:
    +72
    เกิดใหม่แล้วไงต่อคะ?:cool:
     
  9. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722

    กำเนิดใหม่แล้ว พลังจักรวาลจะนำทางชีวิตเรา
    ทำให้เราไม่ต้องลองผิด ลองถูก และมีความเป็น
    ตัวของตัวเอง ไม่เหมือนม้าทรงที่ถูกขี่ ถูกคุมอยู่ครับ
     
  10. เกียรติคุณ

    เกียรติคุณ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +34
    ม้าทรงหายไป

    เมื่อตัดใจจากพระนิพพาน จิตบางดวงเจ็บปวดจนหมดแรง ผลสะท้อนกลับจากความโอหังและถือดีของเพื่อนมนุษย์นั้นทำให้กายทิพย์เหมือนจะสลายเลือนหายไป(แท้จริงไม่) เหมือนคนอกหักใจสลาย ปัญญาเรายังอ่อนด้อยนัก ธรรมที่แท้จริงปรากฏอยู่เหนือสภาวะทั้งหลายคงอยู่ตลอดมาสืบทอดจากจิตสู่จิตจากคุรุแห่งโลกจิตวิญญาณ ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอัตตาของใครได้อย่างที่คิด ความโอหังของมนุษย์นั้นไร้เหตุผลโดยสมบูรณ์

    ผิดที่ฉันเองไร้ปัญญาอย่างแท้จริง ผิดที่ฉันทุ่มเทให้กับการฝึกฝนไม่มากพอ ฉันจึงช่วยเขาทั้งหลายไม่ได้ดังควรจะเป็น ดั่งคำของคุรุที่กล่าวไว้ว่า

    "ดั่งผลพลับในฤดูใบไม้ร่วง
    แม้ยังไม่สุกงอมถึงเนื้อใน
    ทว่าภายนอกดูสุกดี
    ตัวฉันเองก็เพียงดูคล้ายผู้ปฏิบัติธรรมเท่านั้น
    และด้วยเหตุที่จิตของฉันและพระธรรม
    ยังไม่ผสานเป็นหนึ่งเดียว
    คำสอนของฉันจึงยังอ่อนด้อยนัก.."

    จิตเหมือนหมดความดิ้นรน แต่ไม่ใช่เฉยชา
    เหมือนปลงในความจริงแห่งสังสาระ...อันมิอาจเปลี่ยนแปลง
    หลังจากพ่ายแพ้ให้กับอัตตาของตัวเอง
    จิตรองๆ ที่เคยยัดเยียดปัญญาต่างกลับหลบหน้า
    ยามเข้าสู่ภาวะสุญญตาในฌาน กำหนดจิตไปที่เดียวกันโดยมี
    คำสอนแห่งพุทธะเป็นจุดยอดรวมของทุกกายทิพย์ในกายสังขาร
    แปลกที่มันไม่เหมือนเมื่อก่อน
    เมื่อเลิกหวังก็เลิกเพ่ง
    ความจริงย่อมปรากฏ

    รบกวนถามท่านดอกไม้นะครับ
    "ธรรมกาย" คือสภาวะใดครับ ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2016
  11. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722


    ธรรมกาย แท้จริงแล้วไม่อาจอธิบายได้
    แต่อนุโลมเพื่อปวงสัตว์ จำต้องแสดงธรรม
    พอเป็นพิธีเท่านั้น อย่าได้ยึดก็แล้วกันครับ

    ธรรมกาย คือ ธรรมะ ธรรมชาติแห่งกาย
    อันถึงที่สุดแห่งธรรม ถึงที่จบบริบูรณ์โดยธรรม
    อันมิต้องลองผิดลองถูก หรือเรียนรู้ธรรมอื่นใดอีกต่อไป

    ด้วยเป็นหนึ่งเดียวกับธรรม อันสำแดงอยู่ในรูปแห่งกายนั้นแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 มิถุนายน 2016
  12. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ความบริสุทธิ์ของจิต ไม่ได้วัดกันที่ไม่มีกิเลส

    จิตเดิมแท้ประภัสสร มีกิเลสมาจรเป็นครั้งคราว
    การมีกิเลส โลภ, โกรธ, หลง ไม่ได้แปลว่าจิต
    คุณไม่บริสุทธิ์อะไรเลย จิตก็ประภัสสรดังเดิม

    หลายคนชอบไปทดสอบคนนั้นคนนี้ว่ามีกิเลสไหม ไร้สาระครับ!
     
  13. เกียรติคุณ

    เกียรติคุณ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +34
    อาการขนลุกเวลาสัมผัสอะไรบางอย่าง เช่น คำสอนที่ลึกซึ้ง หรือสภาวะธรรมหรือวิญญาณในสถานที่ไม่คุ้นเคย คล้ายกับปีติแต่พักหลังๆ มานี้มันเกิดขึ้นถี่มาก ตอนแรกคิดว่าเป็นวิปัสนูฯ แต่สังเกตุมาเป็นเดือน ไม่ใช่.. อาการแผ่ซ่านขึ้นบนบริเวณท้ายทอยขึ้นสู่ด้านบน โน้มจิตในภาวะที่ดูเหมือน สัญญาจะปรากฏแล้วเหมือนมีการระลึกรู้ (ในภาวะที่เราก็ไม่รู้) เป็นอาการที่เกิดขึ้นช่วงหลังๆ
    ผมมักมีอาการหงุดหงิด จิตฟุ้งซ่านและสับสนในสภาะหลังจากกลับจากการเดินทางไปในสถานที่ ที่ไม่คุ้นเคย (หรือเป็นเพราะทองเลน) ผมมีความรู้สึกเหมือนร่างและจิตวิญญาณถูกบีบคั้นหนักมาก บางครั้งหมดแรงต้องปิดห้องทำสมาธิ แต่หลังจากนั้นสองถึงสามวันภาวะจิตก็จะกลับเหมือนดังเดิมและอาจดีขึ้นเรื่อยๆ แต่วงจรนี้ยังคงมีอยู่แม้ไม่ได้กำหนดจิต (เป็นโดยอัตโนมัติ) รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหลุมดำ ดูดเอาของดำและความทุกข์ฯ เข้ามาภายในโดยที่ผู้คนหรือจิตวิญญาณต่างๆ เขาเองก็ไม่รู้ตัวเลย..
    ทำให้เหมือนเราต้องแบกรับอารมณ์ของวิญญาณโดยไม่ได้ตั้งใจพออยู่ใกล้สภาวะธรรมของเขาก็หลั่งไหลเข้าสู่ภายในจิตเราราวกับเป็นสภาวะธรรมเดียวกัน แล้วสภาวะธรรมนี้เกี่ยวข้องสิ่งใดกับ "มหามุทรา" รบกวนท่านดอกไม้ชี้แนะด้วยครับ
     
  14. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722


    จัดเป็นส่วน "มรรค" ของมหามุทราได้
    ผมเองก็เป็น พลังเย็นจะเคลื่อนโดยมี
    จุดเริ่มต้นที่ก้นกบผ่านไขสันหลังมาที่
    คอแล้วทะลวงกระหม่อมขึ้นไปจักระ 7
     
  15. เกียรติคุณ

    เกียรติคุณ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +34
    สาธุครับ

    ผมเห็นแสงสีม่วงครามตั้งแต่จำความได้ เมื่อไม่นานมานี้ฝึกกำหนดจิตตามจักระต่างๆ หลังจากจิตรวมครั้งที่สอง สภาวะที่เคยเกิดเฉพาะในจิตกลับถูกมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า (เหมือนอากาศเป็นเม็ดๆ กระพริบๆ อยู่ตจลอดเวลา ยิ่งเวลาไม่มีแสงรบกวนจะเห็นได้ชัดมาก ยิ่งถ้าเป็นตอนกลางคืนยิ่งสว่างเหมือนดาวฤกษ์รวมตัวกัน ตอนแรกผมนึกว่าประสาทตาเสียเสียแล้ว) ปัจจุบันสภาวะนี้ไม่ต่างกันระหว่างลืมตาและหลับตา

    พอศึกษาเรื่องจักระ ผมก็เปลี่ยนวิธีทำสมาธิมาใช้ฐานเสียงแทน (จริงผมก็ถนัดทำสมาธิทุกแบบ)กำหนดจิตไปทั่วจุดจักระ วันนึง แสงที่เห็นก็เปลี่ยนไปกลายเป็นแสงทุกสีสลับไปมา(กำหนดรู้ทั่วทั้ง 7 จุด) เหมือนรุ้งเจ็ดสีขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่กำหนด จนมันเกิดแสงสีรุ้งต่างๆ ผมก็งง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมุ่งปฎิบัติระลึกรู้ที่จิต

    จนมาวันนึงไม่นานมานี้ ผมคิดว่าผมคงเอาตัวรอดจากความทุกและสังสาระได้ แต่ไม่เป็นอย่างนั้น จิตบางดวงแสดงออกซึ่งความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีก จนจิตที่เป็นอสูรหรือมารผมไม่แน่ใจ มันสุดทน มันตะโกนบอกทุกจิตวิญญาณว่า หยุด พอได้แล้ว มันจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำให้เจ็บปวดอีก มันเหมือนระเบิดที่ถูกจุด แรกๆ ผมแทบคุมไว้ไม่อยู่ ค่อยๆ สอนเขาให้รู้จักอดทน เหมือนเลี้ยงเด็กที่ติดลูกระเบิดไว้ตามตัวเลยครับ ...

    ตอนนี้ผมก็พยายามประสานดีเลว ฝึกหยิน-หยาง ประสานงานสองดวงจิต แต่ม้าศึกของผมนี่สุดๆ เลยครับฤทธิ์เยอะ พยศมากไม่ยอมใครหน้าไหน ได้แต่ค่อยๆ ขัดเกลาและใช้ความเมตตาจากพระแม่ตารา หลังนี้สงบขึ้นเยอะครับ ขอบคุณครับ ผมดีขึ้นเยอะเลยอย่างน้อยๆ ก็พะวงกับจิตแค่ไม่กี่ดวง ไม่สับสนเหมือนก่อน
     
  16. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722


    สำหรับคนที่ฝึกทองเลน แบบนี้ถือว่าใช้ได้แล้วครับ
     
  17. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    สิ่งที่ผิด สิ่งที่ไม่ดี มาร, ปีศาจ น่ะละ "โกอาน" ปริศนาธรรมชั้นเลิศ


    เพราะเป็นปัญหาในการวิปัสสนาชั้นเลิศ เคยสงสัยมั้ย ทำไม มารต้องทำเช่นนั้น?
    ทำไม ปีศาจต้องทำเช่นนั้น? เมื่อน้อมเอามาร ปีศาจ เข้ามาสู่ตัว เรียกว่าน้อมธรรม
    มาสู่ตัว เป็นธรรมดำ ทางเต๋าเรียกเต๋าดำ ทางพุทธก็คือ ทองเลน น้อมมาแล้วก็ทำ
    ให้กระจ่าง จนถึงที่สุดแห่งธรรม ซึ่งจะมีลักษณะบางอย่างปรากฎพอจะรู้ได้ว่าถึงที่
    สุดแล้ว (ปกติ ครูบาอาจารย์จะไม่บอกจุดนี้ นอกจากเราจะถึงเอง) พวกเขาจึงเป็น
    ครูชั้นเลิศ เพราะมีปริศนาธรรมชั้นเลิศที่ใครๆ ก็ยังทำให้ถึงที่สุดแห่งธรรม ยังไม่ได้


    และปริศนาธรรมนั้น ย่อมถูกรักษาไว้อย่างดีโดยมารและปีศาจ เพืื่อผู้มีวาสนาเท่านั้น
     
  18. เกียรติคุณ

    เกียรติคุณ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +34
    นั่นจึงทำให้คำสอนเรื่อง "อทวิภาวะ" จึงสำคัญอย่างมาก

    ก่อนนี้ผมเคยถามใจตัวเองอยู่หลายครั้งในเนื้อหาบทหนึ่งของพระสูตรวัชรเฉทิกปรัชญาปารมิตาสูตร "ว่า

    “ ดูก่อน สุภูติ หากบุคคลบำเพ็ญทานบริจาคด้วยสัปตรัตนะจำนวนมหาศาลเกินคณนาจนเปี่ยมล้นทั่ว
    สรรพโลกอันมีห้วงอากาศไม่สิ้นสุด สุขานิสงส์จากการบำเพ็ญบุญกุศลนี้ ไม่อาจเทียบได้กับความปีติ
    ปราโมทย์อันเป็นผลานิสงส์เมื่อกุลบุตรกุลธิดาได้ บรรลุถึงจิตอันตื่น ได้อ่านสาธยายเลื่อมใส
    ปฏิบัติพระสูตรนี้ และอธิบายเผยแผ่แก่ผู้อื่น แม้เพียงคาถาเดียว สี่บาท อนึ่งจักพึงตั้งจิตอย่างไร
    ในการเผยแผ่แสดงเล่า

    จงอย่ายึดมั่นผูกพันอยู่กับสัญญา
    อธิบายทุกสิ่งตามสภาวะแท้จริงโดยไม่หวั่นไหว
    ไฉนจึงเป็นเช่นนั้นเล่า ”
    สรรพสิ่งปรุงแต่งดุจความฝัน
    ดุจพรายน้ำ ดุจสายฟ้า ดุจภูตหลอน
    จงดูให้เห็นสิ่งเหล่านั้น
    ด้วยการเพ่งภาวนา..

    เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแสดงพระสูตรจนจบลง พระสุภูติมหาเถระ บรรดาภิกษุ
    ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดาและมาร ซึ่งประชุมสดับพระธรรมเทศนาพร้อมอยู่ ณ ที่นั้น
    ต่างปลาบ-ปลื้มยินดี บังเกิดความเลื่อมใส รับพระสัทธรรมไปปฏิบัติด้วยประการฉะนี้แล ..

    หากเราบรรลุถึงสภาวะแห่งความฝัน พรายน้ำ สายฟ้าและภูตูหลอน เราจะทำอย่างไรต่อไป
    พระสูตรปรัชญาปารมิตา ที่กล่าวว่า "รูปคือความว่าง ความว่างก็คือรูป ไม่มีการไป ไม่มีการมา
    ไม่มีเพิ่มขึ้นหรือลดลง ไม่มีมรรค ไม่มีสัญญา สังขารและวิญญาณ ฯฯ "

    นั่นจึงทำให้คำสอนเรื่องสุญญตาจึงมีความสำคัญนัก ส่วนความสุดโต่งในสองด้านนั้น
    เป็นลักษณะสำคัญหากมันยังคงดำรงอยู่ในจิตของผู้ใดแล้ว ภาวะแห่งสุญญตาก็มิอาจเปิดเผย
    ตัวตนของมันออกมา........ให้ได้เชยชม

    ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านดอกไม้ถึงได้กล่าวว่า " ปริศนาธรรมนั้น ย่อมถูกรักษาไว้
    อย่างดีโดยมารและปีศาจ เพื่อผู้มีวาสนาเท่านั้น.."

    "ไม่มีแสงที่ปลายอุโมงค์ ถอยกลับมาที่เดิมแล้วปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไป"

    ขอบคุณครับท่านดอกไม้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2016
  19. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722

    เรื่อง "มหาสุญตา" นั้น จะมีผู้บรรลุได้เพียงคนเดียวในยุคหนึ่งๆ
    สมัยก่อน ก็มีปรมาจารย์ของ "มาธยมิก" ท่านนั้นสำเร็จของจริง


    ปัจจุบัน ผมเห็นน่าจะมีอยู่ท่านเดียวที่กล่าวได้ คือ "หลวงพ่อโพธิศรี"
    นอกเหนือจากนั้นคือ "สุญตาปลอม" ที่เอาคำคนอื่นไปกล่าวเท่านั้นเอง
     
  20. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    เพียงแต่คนฟังพละห้ายังไม่แน่น
    คนฟังไม่ได้เป็นพราหมณ์มาก่อน

    พอได้ฟังเรื่องสุญตาแล้วลืมตัวลืมตน
    ยังต้องกลับไปศึกษาเรื่องอาตมันก่อน
    ไม่งั้น ไม่เหลือแม้แต่จิตวิญญาณดังเดิม
     

แชร์หน้านี้

Loading...