ทำไมพระพุทธเจ้าเคยไม่สอนเรื่อง “พระเจ้า” และ “พระเจ้าผู้สร้าง”

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Kschardonnay, 14 มิถุนายน 2016.

  1. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,421
    ค่าพลัง:
    +3,204
    5555 เปล่าค่ะ เพราะจิตยิ้มพูดถึงพลังงานจิตจักรวาล กับศาสนาพุทธ เพื่อให้เข้าใจต้องกันไงค่ะ บางคนไม่ยอมรับจิตจักรวาล นะคะ ทั้ง ๆ ก็คือพลังงานที่เป็นธรรมชาติแท้จริง ก็กลัวว่าท่านจะเข้าใจอย่างนั้นค่ะ ร้อนตัวค่ะ...
     
  2. patdorn

    patdorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +227
    ทรงสอนว่าเมื่อถึงที่สุดก็พบนิพพาน ถ้าเจอผู้สร้างจริงๆต้องสอนว่า ที่สุดแล้วผู้สร้างจะพาเราไป และผู้สร้างก็จะพาเราเกิด. การหลุดพ้นย่อมไม่มี เพราะต้องขึ้นอยู่กับผู้สร้าง
     
  3. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ทุกศาสนา ก็ เกิดที่โลก ปรากฏที่โลก ที่เดียวกัน..ไม่ได้โยงอะไรเลย แค่เข้าใจ...ไม่เหมือน นายนิวรณ์ ที่ คิดได้แค่นี้ไง อิอิ นี่ผม วรณ์นิ...ลื่นปื๊ดๆ
     
  4. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
     
  5. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    จัดไป....:cool:ชอบ นรก ..มีน้ำร้อน น้ำอุ่น น้ำเย็น สาวบริการ วิสกี้พร้อมกับแกล้ม
    ยังกะไปพักตากอากาศ สิบดาว....สวรรค์ ไม่มีนะ แบบนี้

    อ้อ ให้ผมเป็นลูซิเฟอร์เลย ไม่ดีกว่าหรือครับ....เพราะลูซิเฟอร์ คงกลัวผมนะ
    เพราะผมเป็นผู้ที่ฉลาดในการเสพทุกข์ เสพสุข...ด้วยสิ ไม่โง่ด้วย อิอิ ไม่บ้า ไม่ชั่ว เหมือน นิวรณ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2016
  6. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,421
    ค่าพลัง:
    +3,204
    พระนิพพานสูตรที่ 3 ค่ะ

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติ ไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้า ธรรมชาติ อันไม่เกิดแล้วไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว จักไม่มีแล้วไซ้ร์ การสลัดออกซึ่ง ธรรมชาติ ที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฎในโลกนี้เลย


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะ ธรรมชาติ อันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ ฉะนั้น การสลัดออก ซึ่ง ธรรมชาติ ที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จึงปรากฎ

    **************

    พลังงานเป็นผู้สร้างรูปธรรม ปรุงแต่งทั้งหลายขึ้น รูปธรรมที่เราเห็นอยู่จึงเป็นแค่เงาเปลือกนอกที่ไปตามแก่นแท้ที่อยู่ข้างใน เป็นไปตามเหตุและปัจจัย ค่ะ เมื่อหมดเหตุปัจจัยปรุงแต่งแล้ว ธรรมชาตินั้นจึงปรากฎ

    พลังงานแก่นแท้ที่เป็นผู้สร้างตัวตนขึ้นมา มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ตลอดไป หากยังมีเหตุและปัจจัยให้เกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับไป ก็วนเวียนเป็นอย่างนี้ไปตลอด นอกจากเสียว่าเราจะสร้างเหตุปัจจัยนั้นอย่างไร ให้หมดไป หรือ ว่าดับไป ไม่มีการเกิดดับอีก ที่เรียกว่า วิญญาณดับ จิตจึงหลุดพ้น นะค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2016
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010


    จร้า รู้แล้วก็ดี จะแปลไทยเป็นไทยให้อีกรอบหนึ่งเนาะ..อะไรที่ตาม ที่ผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพท่านห้ามเอาไว้
    ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรไปคิดหรือให้ความสนใจ
    มีเรื่องอะไรบ้าง น่าจะพอค้นข้อมูลได้เนาะ...
    เพราะเป็นเหตุให้ล่าช้าหมายถึง
    ห่างไกลการไม่ได้กลับมาเกิด
    แต่ก็ไม่ได้ทรงห้ามสำหรับบุคคล
    ที่เข้าถึงได้จากการปฏิบัติหรอก...


    เคยคุยกับพระมีชื่อบางรูป ท่านก็บอกว่า
    บางคนเค้าเก่งในระดับที่พลิกจักรวาลได้ก็มี
    เหตุเพราะเค้าสะสมมาทางด้านนั้น..
    แต่ว่ามันก็ยังไม่ทำให้พ้นทุกข์..
    เพราะแม้ว่าจะบอกว่าตัวเองไม่ได้ยึด
    แต่มันก็จะยึดอยู่ทั้งๆที่บอกว่าไม่ยึด
    แบบไม่รู้ตัวเองนั่นหละ..


    ดังนั้นสรุปว่า ถ้าอะไรที่ห้ามก็ควรฟัง...
    แต่ถ้าเข้าถึงได้จากการปฏิบัติก็เป็นอีกเรื่อง
    ถ้าจะเอาให้หลุดพ้น ก็ทำตามธรรมคำสอนของท่าน
    อะไรที่มันทำให้ล้าช้า ถ้าเราชอบ
    เราก็ควรไม่อะไรกับอะไรกับมัน..
    ถ้าไม่งั้นแล้ว..
    ปัญหาที่จะเกิดก็คือ จิตจะปล่อยวางไม่ได้
    กับสิ่งที่ไปรู้ ไปเห็น ตรงนี้ต่างหาก..
    ที่เป็นเหตุที่จะทำไม่ให้หลุดพ้น...






    อย่าลืมว่า พุทธศาสนา สอนให้รู้ภายในกาย
    เรานี่หละ ไม่ได้ให้ไปรู้ภายนอก..
    แต่ถ้าชอบ ก็ควรไม่อะไรกับอะไร
    กับสิ่งที่ชอบ จนลืมมารู้มาดูภายในกายตนเอง..


    ปล.ประมาณนี้หละครับ แค่เล่าให้ฟังเน้อ..
    เคยได้ยินเรื่องลูกจบดอกเตอร์นอนเล่น
    กับพ่อบนยอดเขาไหม ที่ตื่นมากลางดึก
    แล้วเตนท์หาย พอถามลูกว่าลูกเห็นอะไรไหม
    ลูกตอบไปถึงระบบสุริยะจักรวาลโน้น...
    ทั้งที่ประเด็นสำคัญก็คือ เตนท์ที่
    ตัวเองกางนอนอยู่มันหายไปไหน...
    ประมาณๆนี้หละครับ.พอขำๆเน้อ.
     
  8. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    โห...แฮะ ตั้งแต่รู้จักกันมา พึ่งขำ ก็วันนี้แหล่ะ...เอาอีกๆๆๆๆๆ...ชอบอ่ะแบบนี้ ครายเคียด
     
  9. teww

    teww เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    604
    ค่าพลัง:
    +1,534
    ตอบเสร็จแล้วฉลาดเท่าเดิม แบบกบในกะลาครอบ :cool:
    นี่ครอบด้วยปิฎก
    ลองเปิดหูเปิดตา ฟังศาสดาศาสนาอื่นบ้าง หูตาจะได้กว้างไกล
    แล้วจะได้อุทานแบบคนอื่นบ้างว่า..ตรูโดนหลอกมาทั้งชีวิตหรือเนี่ย ดีที่กลับตัวทัน เสียทั้งเวลาเงินทองข้าวของไปประเคนให้มันอ้วนพี..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2016
  10. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,264
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ของใหม่ไม่ดีเท่าของเก่า ก็ไม่ควรทิ้งของเก่า

    คนสร้างมาเป็นสาวก ก็เรียนรู้เท่าที่จำเป็นพอ
    ส่วนคนสร้างพุทธภูมิ หรือเป็นสร้างเป็นสาวกที่รู้มาก หรือศาสดาของศาสนาใหม่ ก็ต้องวิเคราะห์ดี ๆ ว่าทำไมพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ท่านจึงได้สอนแบบนี้ ในธรรม 1 ธรรม ซ่อนความปรารถณาดีของพระพุทธเจ้าไว้มากมาย ทุกธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสย่อมตรัสไว้ดีแล้ว ซึ่งคำว่า ตรัสไว้ดีแล้ว ย่อมผ่านการไตร่ตรองมาโดยละเอียดรอบคอบดีแล้ว ว่ามันจะส่งผลดีต่อสาวกของพระองค์

    นานาจิตตังครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2016
  11. ธรรมดาบส

    ธรรมดาบส สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2016
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +23
    ไม่มีเรื่องของพระเจ้าหรือพระผู้สร้างในศาสนาพุทธ
    และไม่มีเรื่องนิพพานในศาสนาอื่น
     
  12. ธรรมดาบส

    ธรรมดาบส สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2016
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +23
    ต้องถามศาสนาอื่นในทำนองเดียวกันคับว่า
    "ทำไมถึงไม่มีนิพพานในศาสนาของเขาบ้าง ทั้งที่ก็อยู่ในจักรวาลเดียวกัน"
     
  13. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,421
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ศาสนาพุทธเปรียบแล้ว เป็นศาสนาของจักรวาลค่ะ

    ศาสนาทุกศาสนาล้วนสอนให้คนเป็นคนดี อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ไม่มีเบียดเบียนกัน

    ใครนับถือศาสนาไหน เชื้อชาติไหน ก็แล้วแต่กรรมนำพาไปเกิด

    บางคนที่อยู่ในเมืองไทยที่เป็นเมืองพุทธ ยังไม่นับถือศาสนาพุทธก็ยังมีค่ะ หรือแม้แต่นับถือศาสนาพุทธแต่เพียงในบัตรประชาชนเท่านั้น ก็ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนก็มีค่ะ

    จึงเรียกว่ามีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ เป็นไปตามกรรมตามวาสนา

    แต่ทุกคนล้วนเวียนว่ายตายเกิด บางชาติถ้าเรามีความคิดจริตนิสัยที่ไม่เที่ยงแท้ ก็แล้วบุญกรรมนำแต่ง พาไปให้เราเกิด จากการสังคมสภาพแวดล้อม สั่งสมนิสัยไว้ และอาจทำให้เราไปเกิดในดินแดนอื่น ที่ไม่ใช่นับถือศาสนาพุทธก็มีค่ะ จิตที่สั่งสมอะไรไว้ก็มีแรงดึงดูดของกรรมนำพาไป

    แต่ทุกคนทุกศาสนาหากเราทุกคนล้วนก็ล้วนมีจุดกำเนิด จุดเริ่มต้นเดียวกัน ไม่ว่าศาสนาไหน เราทุกคนล้วนเกิด แก่ เจ็บ ตาย เจอโลกธรรม ทุกข์สุข เหมือนกัน ไม่มีใครแตกต่าง

    ใจจะเจอแบบไหนก็แล้วแต่บุญวาสนาบารมีนำพาไปค่ะ
     
  14. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ตอนที่พระเยซูรู้ตัวว่าถูกหลอก ก็คือตอนที่ถูกจับไปตรึงบนไม้กางเขนแล้ว
    หลังจากที่รอแล้วรอเล่า แต่ปาฏีหาริย์ที่คาดว่าจะมีกลับไม่มี
    ภายหลังจากที่พระเยซูรู้ว่าปาฏีหาริย์ไม่มีทางเกิดขึ้นได้แล้ว และตนเองถูกหลอก
    พระองค์ถึงกับตะโกนออกมาว่า" โอ พระบิดา เหตุไฉนจึงทอดทิ้งข้าพระองค์"
    นี่คือคำพูดสุดท้ายของคนที่รู้ตัวว่าถูกหลอกและตาสว่างเมื่อมันสายเกินไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2016
  15. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    สองพันปีที่แล้ว พระเยซูรู้ว่าตัวเองถูกหลอก
    แต่ถึงทุกวันนี้ก็ยังมีคนที่หลงเชื่อ และไม่ยอมตาสว่างอย่างพระเยซูซะที
    ยังคงมืดบอดเหมือนเดิม
     
  16. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    การไถ่บาป

    พระเยซูไถ่บาปให้กับมนุษย์หรือไถ่บาปให้กับพระเจ้าผู้เป็นบิดาของตน ?
    พระเจ้านั้น เคยทำลายล้างมนุษย์โดยการทำให้น้ำท่วมโลกจนมนุษย์แทบจะสูญพันธุ์ไปหมดสิ้น
    ถ้าหาว่าพระเจ้าเป็นมนุษย์อย่างเราๆ ก็ต้องนับว่า เป็นอาชญากรระดับโลก
    เป็นอาชญากรที่มวลมนุษยชาติต้องไปติดตามตัวมาลงโทษ
    แต่มนุษย์ก็ไม่เคยมีความสามารถจับพระเจ้ามาลงโทษได้ และพระเจ้าเองก็ไม่เคยมีความคิดมอบตัว
    การที่พระเยซูถูกตรึงอยู่บนกางเขน และถูกมนุษย์ทงทัณฑ์ทรมานนั้น
    ย่อมถือเป็นการยอมรับผิดแทนบิดา เป็นการไถ่บาปให้กับพระเจ้าผู้เป็นบิดาของตนเอง
    ในฐานะอาชญากรเข่นฆ่ามนุษยชาติ
    ในเมื่อพระเจ้าไม่ยอมมารับโทษ พระเยซูผู้เป็นลูกจึงต้องมารับเคราะห์ไปแทน
    ดังนั้น การถูกตรึงกางเขนของพระเยซู จึงไม่ใช่การไถ่บาปให้มนุษย์
    แต่ทว่า แท้จริงคือการไถ่บาปให้พระเจ้า ยอมรับโทษแทนพระเจ้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2016
  17. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    พระเยซู เป็นมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้า

    ถึงแม้จะมีการกล่าวกันว่า พระเยซูนั้น เป็นลูกที่เกิดมาจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างมนุษย์ กับพระเจ้า
    แต่ทว่า พระเยซู กลับมีความเป็นมนุษย์มากกว่าพระเจ้า
    สังเกตได้จากการเจริญเติบโต นับตั้งแต่เกิดมาเพียงเวลาสามสิบกว่าปีเท่านั้น
    พระเยซูก็เริ่มเข้าสู่วัยกลางคน และมีทีท่าว่าจะแก่และตายเหมือนกับคนทั่วๆไป
    ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเป็นอมตะเหมือนกับพระเจ้าผู้เป็นบิดา
    การรับผลทางพันธุกรรมนั้นน่าจะได้รับมาจากมารดาผู้เป็นมนุษย์มากกว่า 90%
    และอาจได้รับทางฝั่งบิดามาไม่ถึง 10% นี่เองเป็นสาเหตุให้พระเยซูมีความเป็น
    มนุษย์มากกว่าพระเจ้า การได้รับเชื้อสายพันธุกรรมทางฝั่งบิดามาเล็กน้อย
    ทำให้พระเยซูมีความสามรถทางจิตเป็นพิเศษมากกว่ามนุษย์อื่นๆ
    แต่ก็ไม่ได้มากมายเท่าไร เมื่อเทียบกับพวกทูตสวรรค์แล้ว ถือว่ายังห่างไกลกันมาก
     
  18. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ลูกวัวจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากวัว

    พวกคริสเตียนมักกล่าวว่า พระเจ้าก็คือพระเจ้า ส่วนพระเยซูเป็นลูกของพระเจ้า
    ถ้าไม่ใช่พระเจ้าจะเป็นอะไรได้ เปรียบเสมือนลูกวัวก็ต้องเป็นวัว ลูกวัวจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้

    แต่พวกคริสเตียนต้องไม่ลืมว่าพระเยซูไม่ใช่เกิดจากพระเจ้าล้วนๆยังมีส่วนผสมที่เป็นมนุษย์อยู่ด้วย
    เปรียบเหมือนลูกของมนุษย์ ยังไงก็ต้องเป็นมนุษย์ จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้
    แต่ถ้ามนุษย์ไปผสมพันธุ์กับวัว ลูกที่เกิดมาย่อมไม่ถือว่าเป็นมนุษย์!
     
  19. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    สาเหตุที่ทำให้ลูซิเฟอร์ตกสวรรค์

    เมื่อครั้งที่พระเจ้าสร้างสวนอีเดน และสร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่ๆนั้น
    พระองค์ทรงมีประสงค์จะสร้างให้มนุษย์มีคุณสมบัติเหมือนกับพระองค์
    เนื่องจากพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่มีอยู่เพียงองค์เดียว พระองค์ต้องการเพิ่มจำวนของพระเจ้าให้มากขึ้น
    โดยทรงสร้างอดัมส์ขึ้นมาให้มีลักษณะคล้ายพระองค์
    แต่แล้วก็ทรงพบว่ามนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาให้มีรูปร่างเหมือนกับพระองค์นั้น
    แต่มนุษย์ก็ไม่สามารถมีคุณสมบัติเหมือนกับพระองค์ได้ นั่นคือมนุษย์ไม่ได้มีความเป็นอมตะ และไม่ได้มีฤทธานุภาพเทียบเท่ากับพระเจ้า
    เรื่องนี้ทำให้พระองค์ผิดหวัง และทรงมานึกทบทวนวิธีการใหม่
    พระองค์ทรงดำริว่า ถ้าพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ที่เป็นเพศหญิงขึ้นมา
    แล้วทรงผสมพันธุ์กับมนุษย์เพศหญิงนั้น ลูกที่เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์
    และมีเชื้อสายของพระเจ้าอยู่ด้วย น่าจะอายุยืนเป็นอมตะ และมีคุณสมบัติเทียบเท่าพระเจ้า

    เมื่อทรงดำริแล้ว พระเจ้าจึงได้ลงมือสร้างมนุษย์เพศหญิงขึ้นมาอีกหนึ่งคนคืออีวา
    แต่พระองค์ยังไม่ได้ลงมือให้กำเนิดมนุษย์ที่มีเชื้อสายของพระเจ้า เรื่องนี้ก็เกิดรู้ไปถึงหูของ
    ลูซิเฟอร์เสียก่อน ลูซิเฟอร์ไม่เห็นด้วย ที่พระเจ้าจะผสมพันธ์กับมนุษย์
    แล้วยกย่องลูกที่เกิดกับมนุษย์นั้นขึ้นมาเป็นพระเจ้าเทียบเท่าพระองค์
    ซึ่งจะทำให้ตนกับพวกที่เป็นทูตสวรรค์ต้องพากันกราบไหว้มนุษย์
    ดังนั้นลูซิเฟอร์จึงคัดค้านความคิดนี้สุดเสียง
    บอกว่าต่อให้พระเจ้าให้กำเนิดมนุษย์ที่มีเชื้อสายของพระเจ้าขึ้นมาได้จริง
    แต่พวกตนก็จะไม่ยอมให้ความเคารพมนุษย์นั้นเป็นอันขาด
    ฝ่ายพระเจ้าพอได้ฟัง ก็โกรธนักหนา จึงได้สาปแช่งและขับไล่ลูซิเฟอร์ออกจากสวรรค์ไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2016
  20. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ความปรารถนาดีของซาตาน

    ครั้งหนึ่ง เมื่อพระเยซูประทับที่ยอดหอคอยแห่งหนึ่ง ซาตานได้เข้าไปทูลกับพระองค์ว่า
    ท่านจงโดดลงไปจากหอคอยนี้ เพราะมีคำกล่าวว่า หัตถ์ของพระเจ้าจะรองรับผู้ศรัทธาเสมอ

    พระเยซูตรัสตอบซาตานไปว่า"จงอย่าทดสอบพระเจ้าของเจ้า"

    การเข้าไปบอกให้พระเยซูโดดหอคอยของซาตานครั้งนั้น
    เป็นการต้องการชี้ทางให้พระเยซูได้ตาสว่าง และอย่าหลงงมงาย
    ไปกับอิทธิฤทธิ์ที่คิดไปเอง อย่าเชื่อก่อนจะได้ทดสอบ
    แต่พระเยซูไม่เชื่อคำของซาตานกลับยกคำพูดมากล่าวว่า"อย่าทดสอบพระเจ้าของเจ้า"
    เพราะเหตุนี้เองจึงมีคำอุทานของพระเยซูว่า" โอ พระบิดา เหตุใดจึงทอดทิ้งข้าพระองค์"
    ในวันที่ถูกตรึงอยู่บนกางเขน และเป็นการรู้ตัวเมื่อสายไป
    นี้คือความปรารถนาดีที่ซาตานมีต่อพระเยซู
     

แชร์หน้านี้

Loading...