สงสัยเรื่องพระพุทธทาสมากครับ

ไม่สอนก็คือไม่สอน และเชื่อว่า ไม่มีสาวกองค์ใดสอนได้ทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องเสียหาย
แต่สิ่งที่คนเขาวิจารย์กัน และนับเป็นเรื่องเสียหายก็คือ
ไอ้ตรงที่เขียนว่า
รับไม่ได้ พระวินัยปิฎก ทั้งหมด
รับไม่ได้ พระอภิธรรมปิฎก ทั้งหมด

ตรงนี้ต่างหากที่คนเขารับท่านไม่ได้
ส่วนเรื่องการสอนแค่บางแง่บางมุมใครเขาจะไปติดใจ

เพราะการที่ท่านพุทธทาส ปฏิเสธ พระวินัยปิฎก กับพระอภิธรรมปิฎก
เท่ากับ บอกศิษย์ว่า ให้ถือ พระสุตตันตปิฎกฉบับเดียวเท่านั้น

 

ถ้าหลายคนที่เคยอ่านชาดกมา รวมถึงเวสสันดรชาดกด้วย
ก็จะทราบว่า ขณะพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่นั้น ท่าไม่ได้มุ่งเน้นสอนคน
หรือมุ่งเน้นเผยแพร่ศาสนา หรือมุ่งเน้นสอนคนไปนิพพานทั้งๆที่ยังเป็นโพธิสัตว์
ท่านมุ่งเน้นสร้างบารมีอย่างเดียว
อาจจะมีผู้มีโอกาสได้ฟังธรรมจากโพธิสัตว์บ้าง แต่ไม่มาก ไม่ลึกซึ้ง
ไม่พิศดารเหมือนกับตอนสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว

 

ไม่เชื่อ
ยิ่งอาหารเสริม โฆษณาสรรพคุณเกินจริงยิ่งไม่เชื่อใหญ่
(นี่พูดถึงอาหารจริงๆนะ ไม่ได้มีนัยแอบแฝงใดๆ)
หรือถ้าหากมี อาหารชนิดนั้นคงเสร็จเศรษฐีคนมีตังค์ไปหมดแล้ว
ไม่น่าจะเหลือมาถึงเรา
อาหารบางอย่างไม่ค่อยมีคุณภาพ ยังมีราคาแพงลิบลิ่ว
อย่างพวก รังนก หูฉลาม โสม ถั่งเช่า ไข่ปลาคาเวียร์
ของพวกนี้ราคาแพงเกินสรรพคุณทั้งสิ้น คนธรรมดาไม่ได้แอ้ม

 

ท่านพุทธทาส ปฏิเสธ แบบไหน ท่านเข้าใจว่าอย่างไร

ถ้าท่านพุทธทาสปฏิเสธ พระวินัย แล้วทำไมท่านยังถือศีล 227 ได้อย่างบริสุทธิ์ ผุดผ่องกว่า พวกที่ปากรับศีลแต่รับแต่ปากแต่ไม่ถือปฏิบัติ
ส่วนพระอภิธรรมก็เช่นกัน ท่านปฏิเสธแบบไหน แล้วเหตุใดขอ้วัตรปฏิบัติของท่านกลับถูกต้องตรงต่อพระอภิธรรม ช่วยอธิบายหน่อยครับ

ส่วนเรื่องพระเวสสันดรนั้น หากท่านพิจารณาให้ดี นี่คือส่วนยอดที่ยังไม่เต็ม อันบังเอิญว่าไปตรงกับช่วงที่ขาดพระพุทธศาสนาพอดี การโปรดสัตว์จึงเป็นแบบนี้ และเป็นการสร้างบารมีขั้นอุกฤต หรือปรมันถบารมี ท่านย่อมไม่เข้าใจ ส่วนยอดที่เป็นปรมัตถะ

แล้วในหลายๆพระชาติที่พระโพธิสัตว์ต้องไปเกิดในยุคที่มีพระพุทธเจ้าและพระธรรมละ มันเป็นแบบไหน

ทำไมไม่ถามหลวงปู่ทวด สมเด็จโต หลวงพ่อเงิน หลวงพ่อปาน ลพเดิม พระครูบาศรีวิชัย หลวงปู่ดู่ หลวงปู่ศุข เป็นต้นละ ว่าท่านเป็นพระสงฆ์แบบไหน ท่านสอนอะไร ทำไมคนถึงกราบไหว้ ทำไมท่านมีลูกศิษย์เป็นพระอรหันต์ แล้วท่านเป็นใคร

มันมีอะไรที่เหนือวิสัยที่เราท่านจะรอบรู้ทุกอย่าง หากเราไม่เปิดใจกว้างเพื่อเข้าไปเรียนรู้มัน และที่เราต้องเรียนรู้มันก็เพื่อช่วยตนเองและผู้อื่น มันไม่ได้มีความคิดไม่ดีหรือชั่วร้ายอะไร ลองตรองดูให้ดีครับ

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายๆท่านที่เราไม่ได้กล่าวถึงล้วนทรงคุณงามความดีแก่โลกแก่พุทธแก่สังคมอีกมากมาย ครับ

 

เรื่องหลวงพ่อ หลวงปู่เหล่านั้น ที่อ้างว่าเป็นพระโพธิสัตว์
เป็นเรื่องที่คนพูดกันไปเอง สาวกพูดกันไปเอง
อันเรื่องที่จะพยากรณ์ว่าใครคือโพธิสัตว์ เป็นวิสัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หาใช่วิสัยของสาวก หรือชาวบ้านร้านตลาดจะมาพยากรณ์กันเองไม่...

ฉะนั้น การที่หลวงพ่อหลวงปู่เหล่านั้น สอนธรรม แสดงธรรม จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสาวก(เพราะท่านเปล่งวาจาขอบวช
เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)
ซึ่งผู้มาขอบวชนั้น จะเป็นโพธิสัตว์หรือไม่ก็ตามแต่ แต่เมื่อมาขอบวชแล้ว ก็ต้องปฏิบัตไปตามหน้าที่ของสาวก
คือ เผยแผ่คำสอนของพระศาสดา โดยที่ท่านไม่ได้เอ่ยอ้างกับใครๆว่า ท่านทำเพื่อบำเพ็ญบารมีในฐานะโพธิสัตว์

 

==============

อย่าไปสนใจสิว่า ท่านเป็นอะไร อย่าไปสนใจหน้าตารูปร่างท่าน อย่าไปสนใจว่าเขาจะเรียกว่าอะไร

สนใจสิ่งที่ท่านทำท่านเป็น ท่านแสดง ท่านสอน ท่านช่วยเหลือผู้อื่นในคราบผ้าเหลืองสิ ผมไม่ได้ให้ท่านดูอย่างอื่น

แล้วเวลาคุยกับใครอย่าไปมองสิ่งที่หุ้มเปลือกอยู่ คุยกัยด้วยหัวใจ เอาจิตถึงจิต ท่านย่อมรู้เหมือนที่ผมรู้จิตของตน

 

อ่านที่เสริมต่อข้างบน

 

เขาเรียกว่า ใช้โอกาสนี้เพื่อเข้ามาบวชเพื่อเข้ามาทำหน้าที่

หน้าที่ที่ว่าคือ
1 เพื่อพอกพูนสติปัญญาในธรรมของตนเพื่อความเข้าถึงพรหมจรรย์
2 เพื่อกระทำพรหมจรรย์ของตนชำระให้ได้ ตามที่พระองค์ตรงตรัสสอน
3 เพื่อเผยแผ่พระศาสนา
4 เพื่อสงเคราะห์ผู้ไม่รู้ให้รู้
5 เพื่อรักษาและสืบทอดพระศาสนา

ลองตรองดูทั้งห้าข้อ ขอบข่ายมันกว้างแค่ไหน กว้างแค่ไหนก็ต้องทำตามนั้น มันเป็นเรื่องที่ละเอียดซับซ้อน วันหนึ่งที่ท่านเป็นนักบวช แล้วมีพระผู้ใหญ่จากไหนก็ไม่รู้ มาว่าร้ายท่าน แต่เจตนาดี แต่ท่านไม่เข้าใจ ถ้าท่านยิ้มรับปล่อยวาง และเารพนอบน้อมอยู่เสมอ นั่นแสดงว่าท่านชนะแล้ว ในอัตตาในอาสวะของท่าน

โลกใบนี้ยังมีอะไรอีกมากที่ท่านไม่เข้าใจและไม่มีทางเข้าใจ สติปัญญาเราสั่งสมมาไม่เหมือนกัน เราก็ไม่ควรประมาท ความรู้อื่นๆที่เราไม่รู้หรือใหม่ๆ นั่นเอง

 

อื่นๆผมไม่ทราบ แต่ที่ทราบคือ ตอนนี้คุณมีโทสะ แล้ว
เหตุใดโพธิสัตว์จึงมีโทสะง่ายจัง

 

อาหารเสริม ก็ต้องรอบรู้ ก็เราจะเป็นเรือจ้างช่วยเหลือคนนั่นเอง ต่างกันท่านที่ท่านจะไปเองคนเดียว

เมื่อเราจะช่วยคน คนบางคนไม่ชอบกินข้าวที่เป็นอาหารหลัก ชอบแต่อาหารเสริม เราจะหักดิบให้เขามากินข้าวได้ทันทีหรือ เราก็ต้องเอาอาหารเสริมที่ดีกว่าไปล่อเขา เมื่อชักจูงเขาได้แล้ว เขาเชื่อและศรัทธาได้แล้วเราก็ชักจูงใหม่ว่า อาหารเสริมที่ดีที่สุดที่เทียบเท่าอาหารหลักก็คือข้าว เมื่อนั้นเขาก็กลับมากินข้าว กินอาหารหลักเมื่อนั้นเขาก็หลุดพ้นทุกข์

อีกนิด อาหารเสริม มันมีหลายจำพวกมาก ถ้าเราฝึกมาดีเราย่อมจำแนกได้อีกมากมายเพื่อรับมือกับมันและรู้ลึกถึงแก่นแท้ พร้อมที่จะให้เสริมและเปลี่ยนให้เหมาะสมกับวาสนาบารมีของเขา ครับ

 

อ้าว ผมมีโทสะตรงไหนครับ ท่าน ผมมีความตรงไปตรงมาเท่านั้นเอง ท่านกำลังปรุงแต่งเอาเอง อย่ามาใส่ใจอารมณ์กิเลสของคนอื่นเลยครับ

ขอเสริมอีกว่า ในความเป็นอาหารหลักเช่นข้าว

ข้าวก็มีหลายประเภท ทั้งข้าวเหนียวข้าวเสาไห้ ข้าวมะลิ ไร้เบอรร์รี่ ข้าวกข ข้าวยังมีหลากหลายชนิด แต่ขึ้นชื่อว่าข้าวมันเหมือนกัน ท่านลองตรองดูนะครับ สาธุ

 

ผมจะบอกคุณอีกอย่าง
หากคุณหรือใครก็ตาม ได้อ่านประวัติชาดกต่างๆอย่างละเอียด
จะทราบว่า พระโพธิสัตว์ ไม่ว่าจะเกิดกี่ชาตก็ตาม และจะเกิดเป็นอะไรก็ตาม
จะต้องยึดมั่นในหลักธรรมที่เป็นสัมมาทิฏฐิทั้งหมด
ไม่มีการแหกคอกไปรับเอาหลักธรรมทีเป็นมิจฉาทิฏฐิ อาทิเช่น ไสยศาสตร์
หรือเดรัจฉานวิชาเด็ดขาด ไม่เชื่อไปหาอ่านเอาใน พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ
หรือ ทศชาติชาดกดูได้

อย่าลืม ผู้เป็นโพธิสัตว์ ต้องตั้งมั่นในหลักธรรมที่เป็นสัมมาทิฏฐิด้วย

 

ไม่ไช่ทั่งหมด ไม่ไช่สัมมาทิฐิทั้งหมดหรอก แค่ทำเพื่อให้ตนเองได้โพธิญาณ จะทำร้ายจิตใจคนอิ่นไม่สน...พระเวสสันดรไง.....ยกช้างเมืองตนให้เมืองอื่น ยกเมียตนเองให้คนอิ่น ยกลูกของตนให้คนอิ่น....เนี่ยมิจฉาทิฐิชัดๆ....เลย

แต่สุดท้าย..คิดได้ก็สาย..ดีที่ ปูย่าไปเอาคืนมาหมด....เห็นมั้ย...โง้ววววววngo
ถามว่า..คุณมีสิทธิอะไรไปยกชีวิตของลูกเมียให้กับคนอื่น เพื่อโพธิญาณ

คำตอบคือ เพื่อบทเรียน เรียนวิชาโง้วววววของตนเองไง....อิอิ

 

อ้ายนี่ก็เหมือนกัน...สมัยก่อนมัน...ก็หลอกกินตับสาวๆเหมือนกัน สาวๆในเวป...แต่สมัยนี้มันเลิกยังก็ไม่รู้...มาทุกวันนี้มันเลย ทำตัวเหมือนไม้กันหมา ยังกับว่าคนอื่นจะหลอกกินตับสาวๆเหมือนที่มันเคยทำ...(ก็มันดูจากพฤติกรรมของตนเองเป็นตัวอย่าง)

จนป่านนี้มันเลย มุดอยู่ในรูไม่กล้า พบเจอใคร ไม่เปิดเผยตัวตนอันแท้จริง..เพราะมันชอบแอบ....อิอิ

 

ทำไมนะ คนเราเวลาอ่านตำราแล้ว...เข้าใจผิด ว่า ทศชาติคือชาติของพระโพธิสัตว์...ตูล่ะ งงงง

เวลาที่พระพุทธเจ้า ท่านเล่าชาติในอดีต...ท่านกล่าวว่า ในสมัยที่พระโพธิสัตว์เคยเสวยชาติเกิดเป็น..คนนั้น สัตว์นั้น....เหล่านี้เป็นต้น....มันหมายความว่า..ผู้ที่เล่าเป็นพระโพธิสัตว์อยู่..กำลัวเล่าอยู่...แต่เรื่องที่เล่ามานั้นตัวละครยังไม่ได้เป็นพระโพธิสัตว์..แค่เล่ามาเป็นตัวอย่างให้ฟังถึงความมุ่งมั่นต่อหนทางแห่งความหลุดพ้นเฉยๆ

พระโพธิสัตว์น่ะ...หมายถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้ว...นี่ต่างหาก

 

อีกอย่าง....อรหันต์มรรค..ที่เรียนรู้มรรคแปด...แต่ยังไม่ได้อรหันต์...มีหลายคนก็ดันเรียกท่านว่า...พระโพธิสัตว์เหมือนกัน..เรียกกันมั่วไปหมด

อย่าง...เจ้าแม่กวนอิม เป็นต้น..

คำว่าพระโพธิสัตว์หมายถึงที่ตรัสรู้สำเร็จพระโพธิญาณแล้วต่างหาก...จึงถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์

พากัน งง มั่ว กันอยู่เนี่ย

 

ทีนี้...อรหันต์มรรค ที่...มีผู้ชี้ทางมรรคแปด เรียนรู้มรรคแปดเพื่อผลแน่นอน...มันกรณีนึง
และอรหันต์มรรคที่ ..ยังไม่มีผู้ชี้ทางมรรคแปด ก็สร้างบารมีไปเรื่อยเพื่อพยายามเอง...ก็อีกกรณีนึง


เนี่ย...แล้วยังมีคน เรียก อรหันต์มรรคเหล่านี้ ว่า เป็นพระโพธิสัตว์ก็มี..เพราะเข้าใจว่า ที่พยายามเรียนมรรคแปด นั้นเพื่อสะสมบารมี...เลยเข้าใจว่า คือพระโพธิสัตว์ตามเรื่องที่พระพุทธเจ้าเล่า ..ทศชาติของท่าน

แล้วจับประเด็น..มั่วไปหมด...เลย

 

พระโพธิสัตว์คือผู้ที่ตรัสรู้สำเร็จพระโพธิญาณแล้ว..คือพระพุทธเจ้านั่นเอง

พระเวสสันดร..ยังไม่ได้เป็นพระโพธิสัตว์เลย....แต่เป็นคนเดียวกันมั้ยกับพระโพธิสัตว์พระพุทธเจ้า...ไช่ คนเดียวกัน...แต่คนละชาติ...

 

เป็นความเข้าใจของคุณคนเดียวนะสิ
พระพุทธเจ้าก็คือพระพุทธเจ้า
พระโพธิสัตว์ ก็คือพระโพธิสัตว์ มันคนละภาวะกัน

ก่อนตรัสรู้ เรียกว่าพระโพธิสัตว์
หลังตรัสรู้แล้วจึงเรียกว่า พระพุทธเจ้า
ใครๆเขาก็เรียกแบบนี้กันทั้งนั้น

 

ก็ไม่รู้ว่า สำนักไหน แตกหน่อ แตกกอ...แยก สำนักออกไป ตั้ง ตำราของตัวเองใหม่
หลายประเทศ...หลายสาขา...เมื่อไม่พอใจคนอื่น ก็มาตั้งเองเพื่อให้ตนเอง มีที่มาที่ไปกับคนอื่นด้วย...ที่ประเทศจีนเยอะ...พระโพธิสัตว์เยอะเต็มไปหมด...อิอิ...แต่มาจากพุทธะศาสนาเดียวกันแท้ๆ..แต่ ไม่อยากเหมือนคนอื่นเขา...อิอิ