เมื่อพระยามัจจุราชมาทวงชีวิตข้าพเจ้า

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย tjs, 14 มิถุนายน 2013.

  1. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    จงมีเมตตา จงมีพรหมวิหารธรรม

    เพราะเรารู้แล้ว ย่อมต่างกับผู้ไม่รู้

    เพราะเราเห็นแล้วย่อมต่างกับผู้ที่ยังไม่เห็น

    เพราะเราเข้าถึงแล้วย่อมต่างกับผู้ที่ยังเข้าไม่ถึง

    และที่สำคัญ เราก็เคยไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เข้าถึง เหมือนเขามาก่อน เพราะเราเคยเป็นเหมือนเขามาก่อน จงมีเมตตาต่อกัน เพื่อช่วยเหลือกัน นี่คือสิ่งที่เราพึงทำได้ คือใช่จิตใจที่ดีของเรานี่เอง อย่าไปคาดหวังหรือยึดติดในผลที่จะเกิด แต่จงเมตตาและสร้างเหตุปัจจัยที่ดีก็พอ เพราะเมื่อเราทำหรือสร้างเหตุปัจจัยที่ดีแล้ว ผลที่ได้รับย่อมดี นั่นคือ
    ดีกับใจของเราเอง และดีกับผู้อื่นอาจส่งเสริมช่วยเหลือเขาได้ แต่ถ้าเขามีกรรมไม่ดีตัดรอนผลอาจไม่ดี ก็เข้าใจปล่อยวาง การช่วยเหลือหรือสงเคราะห์กันย่อมต้องค่อยเป็นค่อยไปตามลำดับขั้นตามสภาวะแห่งเหตุปัจจัยครับ สาธุ
     
  2. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    สวัสดีครับท่าน. ท่านเช้าใจในสิ่งที่แสดงแล้ว ผมก็แค่ชี้ตามธรรมที่มันออกจากจิต เป็นธรรมที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของธรรม ใครเห็นรึมีกำลังแห่งสติปัญญารุ้นัยยะที่แฝงมาในธรรมนั้นเค้าก็จะสามารถนำไปพิจารณาต่อยอดได้ ก็จะเป็นคุณอเนกอนันต์ต่อเค้าเอง นรก สวรรค์ ดี-เลว บุญ-บาปมันมีในสมมุติเท่านั้น เมื่อเราพ้นแล้วสิ่งเหล่านี้ก็ไม่มี ที่มีก็มีเหตุปัจจัยให้มี ที่ไม่มีก็มีเหตุปัจจัยให้ไม่มี เฉกเช่นต้นไม้นั้นแหละ ธรรมนี้จึงเป็นธรรม มุโ่ตทัยที่พระคุณเจ้าเมตตาถ่ายทอดให้ได้ฟัง นี่คือธรรมจากผู้พ้นวัฏสังสารแล้ว
    เราเองก็เคยอยุ่ในถังขี้มาก่อนจึงรุ้และเข้าใจ แต่เมื่อเราพ้นแล้วสิ่งที่ทำได้ก็แค่ชี้ทางที่ปีนป่ายขึ้นมาก็เท่านั้นส่วนผู้ที่ยังไม่พ้นเค้าต้องปีนป้ายขึ้นมาเอง
    เค้ามีปัญญาเค้าจะพิจารณาเอง. มีคนบอกทางมากมายมหาศาล. ร้อยละเก้าสิบเก้าที่บอกนั้น ตนเองก็ยังไม่พ้นเหมือนๆกับคนฟังนั้นแหละ. ท่านมีจิตใจดีมีเมตตา ตัวผมเองครั้งหนึ่งก็เคยได้รับเมตตาจากท่านเหมือนกัน วันนี้จึงมาส่งต่อทางขึ้นให้ก็แค่นั้น
    ส่วนท่านก็เลือกเองว่าจะขึ้นรึจะอยุ่ เหตุเพราะท่านพร้อมที่จะขึ้นและพร้อมที่จะอยุ่ มีคนมากมายมหาศาลที่มีกำลังไม่พอที่จะขึ้นทั้งๆที่มีอุปกรณ์ครบแต่ขาดกำลังสติและปัญญา จึงขึ้นไม่ได้ เราชี้ยังไงเค้าก็มองไม่เห็น เราอธิบายยังไงเค้าก็ไม่รุ้ จิตมันเป็นเช่นนั้นของมันเองครับ ปล่อยให้เค้าพร้อมเค้าจะขึ้นมาเอง ที่นี้มีแต่ไม่พร้อมเสียมาก ที่พร้อมมีน้อยกับน้อย เหมือนเด็กที่ดื้อและซน. เค้ายิ่งไม่พร้อมเค้ายิ่งมีกรรมหนัก ท่านไม่เมตตาเค้ารึ? ปรามาสอริยบุคคลผลคือ.....
    นี่ต่างหากละคือความเมตตาปกปัองมิให้เค้าได้รับกรรม ผมแค่ชี้ท่านก็พิจารณาเองนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2015
  3. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    รู้เรารู้เขา รบ100ครั้งก็ชนะ100ครั้ง

    ที่รบ ความหมายคือไม่ได้รบกับเขา แต่ที่รบคือรบกับกิเลสของเขา
    ที่ชนะ ความหมายคือ ไม่ได้ชนะตัวเขา แต่ชนะใจเขา ชนะกิเลสที่เป็นนายของใจเขา

    เพราะเรารบชนะใจตนเองได้แล้ว

    ปัญหาคือ บางครั้งเราต้องแยกแยะจำเพาะเจาะจง มุ่งลงไปตรงสิ่งนั้น แม้มีสิ่งอื่นมารบกวนเราก็ไม่เอามาเป็นข้อกังวลหรือติดใจ

    เช่นว่า วันนี้เรากำลังสนทนากับชายคนหนึ่ง เราสนใจจำเพาะชายผู้นี้ เวลาเราช่วยเหลือเขาเราก็มุ่งตรงไปที่ปัญหาของชายคนนี้ ส่วนคนอื่นๆรอบด้านเขาไม่เข้าใจหรือเขาไม่เห็นด้วยเขาก็ยุก็แยง ทิ่มแทงให้รั่วไหล เราต้องปล่อยวางไม่สนใจเพราะเป้าหมายไม่ได้อยู่ที่พวกเขาเหล่านั้น

    ให้ดูพระพุทธองค์ทรงเป็นแบบอย่าง ท่านตรวจด้วยพระญาณแล้ว คือมีสติปัญญาเป็นเครื่องนำทางแล้ว ท่านมุ่งตรงต่อสิ่งนั้น

    อนึ่งเราทั้งหลายผู้ยังไม่หลุดพ้น ยังต้องแบกรับภาระของโลกเอาไว้มาก ดังนั้น การช่วยเหลือผู้อื่น จึงไม่ใช่ของง่าย หากต้องต้องใช้สติปัญญาให้มาก พึงมองปัญหาอย่างละเอียดรอบคอบถี่ถ้วน ค่อยเป็นค่อยไป หยั่งรู้ในเหตุปัจจัย ดับลงที่เหตุ ที่ละเปราะทีละชั้น ในที่สุดมันก็กระเทาะออกจนหมดได้ ให้ย้อนมองที่ตนเองถึงสิ่งที่ตนฝึกฝนอบรมตนอันเป็นประสพการณ์ที่ผ่านมาเป็นครูสอนตนและผู้อื่น ผิดเป็นครู แก้ไขได้ เป็นยอดของครูและศิษย์ อย่าท้อถอยหรือท้อแท้ แต่จงก้าวต่อไปอย่างมีสติปัญญา จนกว่าจะหมดลมหายก็เท่านั้นครับ
     
  4. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    “เอกายน” แปลได้ 3 อย่างคือ
    1) เป็นทางเอก หรือทางที่ไปอย่างเป็นเอก
    2) เป็นทางเดียว หรือ เป็นทางสายเดียว ทางหนึ่งเดียว
    3) เป็นทางเอก หรือ เป็นมรรคาเอก

    สำหรับ “มรรค” นั้น แปลว่า “ทาง” อรรถกถามัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ท่านได้ให้ความหมายคำว่า “มรรค” ไว้สองความหมายคือ
    1) เป็นเครื่องดำเนินไปสู่นิพพาน และ
    2) ผู้ที่ต้องการบรรลุนิพพานควรดำเนินไป

    โดยสรุป คำว่า “เอกายนมรรค” ก็ควรจะแปลว่า “ทางสายเดียว” หรือทางสายเอก ถ้าถามว่า ทางไปไหน ก็คือ ทางไปนิพพาน

    คำแปลว่า “ทางสายเดียว” นี้  ในที่นี้หมายถึง สติปัฏฐาน  4

    สติปัฏฐาน  4 นั้น มี  4 หัวข้อใหญ่ และยังรายละเอียดปลีกย่อยอีกมาก

    นอกจากจะอธิบายว่า “ทางสายเดียวนี้เป็นอย่างไร” แล้ว   ทางสายเดียวนี้ จะต้องเป็น “ทางสายกลาง” ด้วย 

    “ทางสายเดียวที่เป็นทางสายกลาง” นั้น เป็นอย่างไร ไม่มีในพระคำภีร์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติเข้าถึงแล้วย่อมเข้าใจ

    อาจกล่าวได้ว่า สติปัฏฐานสี่ที่เป็นทางสายเอก จะเป็นทางสายกลางในแบบอริยะมรรคได้อย่างไร

    แท้จริงแล้วเมื่อท่านเจริญสติปัฏฐานสี่ ย่อมเข้าไปรู้แจ้งใน เพราะอาศัยมีมหาสติใน กาย เวทนา จิต และ ธรรมารมณ์ทั้งปวง นั่นคือเข้าไปรู้แจ้งสภาวะ การทำงานของรูป นาม เจตสิก และจิต เพราะอาศัยวิปัสสนาญาณ เกิดปัญญาญาณเข้าไปรู้แจ้ง การ รูป นาม เจตสิก ผัสสะ การปรุงแต่ง และจิต ที่เกิดดับ เห็นอนิจจังทุกขังอนัตตา ดับอาสวะเครื่องปรุงแต่ง เป็นสภาวะที่เป็นมรรค เป็นผล มีที่สุดในปัญญาญาณ ดับเชื้อแห่งอวิชา หมดสิ้นอาสวะ หลุดพ้นทุกข์

    การเจริญมหาสติปัฏฐานสี่ ย่อมต้องใช้สรรพกำลังมากมายไม่น้อย นั้นหมายรวมถึง จะต้องใช้

    1. สัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญาเห็นชอบ หมายถึงเห็นถูกตามความเป็นจริงด้วยปัญญาในขณะที่ีท่านเจริญสติในสติปัฏฐานสี่

    2. สัมมาสังกัปปะ คือ ดำริชอบ หมายถึง การใช้สมองความคิดพิจารณาแต่ในทางกุศลหรือความดีงาม นั่นคือการดำริพิจารณาเกิดธรรมวิจยะในธรรมที่ปรากฏขณะเจริญสติปัฏฐานสี่

    3. สัมมาวาจา คือ เจรจาชอบ หมายถึงการพูดสนทนา แต่ในสิ่งที่สร้างสรรค์ดีงาม นั่นคือ เมื่อท่านเจริญสติในสติปัฏฐานสี่ ท่านย่อมเกิดความสำรวมระวังในวาจามากขึ้น

    4. สัมมากัมมันตะ คือ การประพฤติดีงาม ทางกายหรือกิจกรรมทางกายทั้งปวง นั่นหมายถึง เมื่อท่านเจริญสติปัฏฐานสี่ ท่านย่อมเกิดการสำรวมระวังทางกายมากขึ้นนั่นเอง เพราะรอบรู้ในกาย จากการที่ตนเจริญกายานุปัสสติ มีความไม่ประมาทในกาย

    5. สัมมาอาชีวะ คือ การทำมาหากินอย่างสุจริตชน หมายถึงเมื่อท่านเจริญสติปัฏฐานสี่ จนรอบรู้ใน กาย เวทนา จิต ธรรม ท่านจะเข้าใจรู้ถึงพร้อมว่า ควรประคองชีวิตตนที่เหลืออย่างถูกต้องดีงามอย่างไร

    6. สัมมาวายามะ คือ ความอุตสาหะพยายาม ประกอบความเพียร หมายถึงท่านต้องอาศัยความเพียรที่ชอบในการเจริญสติปัฏฐานสี่และเมื่อท่านมีปัญญามากแล้ว ท่านก็จะทราบดีว่าท่านจะต้องมีความเพียรที่ชอบในภาระกิจต่างๆอย่างไร เพื่อสงเคราะห์ตนตามอัตภาพ

    7. สัมมาสติ คือ การไม่ปล่อยให้เกิดความพลั้งเผลอ จิตเลื่อนลอย ดำรงอยู่ด้วยความรู้ตัวอยู่เป็นปกติ นั่นคือท่านจะต้องฝึกและสร้างมหาสติ ให้เกิด ในการเจริญสติปัฏฐานสี่ อันเป็นบาทฐาน


    8. สัมมาสมาธิ คือ การฝึกจิตให้ตั้งมั่น สงบ สงัด จากกิเลศ นิวรณ์อยู่เป็นปกติ นั่นคือท่านจะต้องอาศัยสมาธิในสติปัฏฐานสี่ ซึ่งมีสภาวะเช่นเดียวกัน อันเป็นสภาวะที่เกิด สมาธิในแบบวิปัสสนาเพื่อชำระจิตชำระธรรมารมณ์ ชำระกิเลส จิตไม่ปรุงแต่ง ไม่สุขไม่ทุกข์ เพราะเกิดปัญญารู้แจ้งแล้ว เป็นส่วนยอดที่นำไปสู่ปัญญาญาณ เพื่อความหลุดพ้นทุกข์ นั่นเอง

    หากปฏิบัติธรรมคือเจริญสติปัฏฐานสี่อย่างจริงจังท่านย่อมเข้าถึงเอกายนมรรคจริง เมื่อท่านเข้าถึงทางสายเอกได้แล้ว นั่นย่อมหมายถึงจิตท่านได้เดินอยู่บนทางสายกลางแล้วด้วยนั่นเองครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2015
  5. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ท่านครับผมขอโทษนะครับ. ทางสายกลาง กับสติปัฏฐาน 4. กับ มรรคมีองค์8 คนละเรื่อง กันครับต่างก็เป็นสภาวะธรรม เพียงแต่นำมาบรรยายเป็นภาษาสมมุติเท่านั้น ความหมายนั้นมันไม่ได้เป็นตามตัวอักษรครับ
    สติปัฏฐาน4นั้นต้องพิจารณาด้วยกำลังแห่งสติปัญญาจะเข้าใจทั้งกระบวนความ กาย ส่วนหนึ่ง. เวทนาส่วนหนึ่ง จิตส่วนหนึ่ง ธรรมส่วนหนึ่ง ต่างแยกกัน
    ผมไม่อธิบายนะครับว่า ต่างทำหน้าที่อะไรบ้าง
    ส่วนทางสายกลางนั้น คือทางที่ดำเนินไปด้วยการไม่สุดโต้งไปข้างใดข้างหนึ่ง. ยกอุปมา เหรียญมันมี2ด้าน คือหัวกับก้อย ถ้าเราโต้งในด้านใดด้านหนึ่งเราจะเห็นเหรียญแค่ด้านเดียว คือโต้งหัวก็จะเห็นความดีของหัวเห็นความเลวของก้อย ถ้าเราโต้งก้อยก็จะเห็นความดีของก้อยเห็นความเลวของหัว แต่ถ้าเรายืนตัวลีบๆอยุ่ตรงกลางตรงที่แคบๆเราจะเห็นมันทั้ง2ด้าน เห็นความดีและเลวของหัว และเห็นความดีและเลวของก้อย เราจะรุ้แจ้งทันทีว่า ในดีมันจะมีไม่ดีซ่อนอยุ่ทั้ง2ด้าน เราจึงไม่เอามันทั้ง2ด้าน นี่จึงเป็นทางสายกลางที่พระพุทธองค์สอน
    ส่วนมรรคมีองค์8 นั้นไม่ได้หมายความว่าต้องทำเป็นข้อๆรึต้องทำทีละข้อ
    หากมีสัมมาทิฏฐิขึ้นเมื่อไร ข้ออื่นๆจะตามมาหมด อุปมาเราติดกระดุมเม็ดแรกถูกต้องกระดุมที่เหลืออีก7เม็ดล้วนถุกหมด ฉันใด มรรคมีองค์8ก็ฉันนั้น
    นี่คือนัยยะที่แฝงอยุ่ในอักษรที่พระพุทธเจ้าท่านชี้ไว้ หากไม่มีผุ้ชี้ความหมายต่างๆก็อาจพลาดรึเพี้ยนไป
    แม้แต่ในคำอธิบายของมรรคมีองค์8ยังไม่ถุกต้องตรงนัก เช่น สัมมาวาจา ไปแปลว่าการพูดชอบ แต่ความจริงมันมิใช่เช่นนั้น มันหมายรวมถึงกิริยาอาการที่แสดงออกทางกายด้วย เช่นเรายกนิ้วกลางใครๆก็รุ้ว่านี่เค้าให้ของลับเรา จริงใหม?โดยมิได้พุดสักคำ ทำไมคนอื่นๆรุ้ละ เพราะฉะนั้นมันจึงแปลกันเพี้ยนๆไป สัมมาวาจา นั้นแค่ผมยกมือขึ้นต่อหน้าพระพุทธรูปแล้วกล่าวสาธุนั้นเมื่อไร นั้นคือสัมมาวาจาในขณะนั้นแล้ว นี่คือความจริง
    การปฏิบัตินี่หากขาดผุ้ทรงคุณชี้ ต่อให้เราอ่านตำราแค่ไหนก็อาจไม่ตรงธรรมเท่าไรนัก มิใช่ตำราไม่ดี ไม่ถุก ไม่ต้องนะครับ แต่มันมีเหตุปัจจัยมารวมกัน คือมีการแปลและการสังคายนามา ซึ่งคนแปลก็มิใช่ผุ้ทรงคุณ เค้าแปลตามตัวหนังสืออักษรในคำ จะว่าเค้าก็ไม่ได้เค้าทำเต็มความสามารถแล้วครับ
    หวังว่าท่านคงเข้าใจนะครับ ผมมิได้แย้ง ย้อนนะครับ แค่ชี้เท่านั้น ท่านต้องพิจารณาเองนะครับ
     
  6. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    บางท่านอาจเข้าใจว่า อริยะมรรค8และสติปัฏฐานสี่เป็นคนละเรื่องคนละส่วนกัน แต่สำหรับมองเป็นสิ่งเดียวกัน

    อริยะมรรค8 ถูกย่อ ลงให้เหลือเพียง สติปฏฐานสี่ จากทางสายกลาง ย่อให้เหลือทางสายเอก คือทางเพื่อความหลุดพ้น

    ลองพิจารณาให้ดี

    การเจริญสติ เราท่านทั้งหลายทำมันได้แล้ว ลองทบทวนดูให้ดี สิ่งที่ถูกต้องในการเจริญสติคืออะไร หรือเราแค่คิดว่า ก็แค่ฝึกฝนความรู้สึกตัว ฝึกการสร้างสัมปชัญญะ หรือแค่ฝึกการ ระลึกรู้ตนอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้นหรือ

    การฝึกสติที่ถูกต้องแท้จริงมีนัยยะมากกว่านั้น เรากำลังฝึกเพื่อชำระจิต เราควรรู้ว่าวิธีที่จะฝึกสติให้เกิดในแบบที่ถูกต้อง ชอบแล้ว ควรต้องฝึกอย่างไร ที่ตรงต่อการชำระจิต หาใช่คือการฝึกแค่ให้มีสติระลึกรู้ทันเท่านั้น เมื่อเราเข้าใจ ว่า สติ ที่เรากำลังฝึกนั้น ควรเป็นสติที่ถูกต้องชอบแล้วอย่างไร นั่นย่อมทำให้การฝึกสติ ตรงทางถูกทางเกิดประโยชน์ตรงต่อการชำระ และจะเป็นบาทฐานไปสู่การปฏิบัติในลำดับถัดไป การฝึกสติ จึงมีรายละเอียดปลีกย่อยมาก เพราะสติมีหลายลักษณะ อันได้แก่
    1สติในสมาธิแบบฌาณ
    2สติในสมาธิแบบอรูปฌาณ
    3สติในสมาธิแบบกรรมฐาน
    4สติในสมาธิแบบกสิน
    5สติในสมาธิแบบสมถะ
    ุ6สติในสมาธิแบบวิปัสสนา
    หากเราเจริญมหาสติ ตัวสติ โดยที่เราไม่ตั้งสติชอบตามองค์มรรค เราก็จะเสียเวลาและฝึกสติไปอีกทาง ไม่เป็นสิ่งที่จะไปส่งเสริม การฝึกกายนุปัสสติ เวทนา จิตตา และธรรมานุปัสสติ

    เราไม่ควรมองว่าการฝึกสติปัฏฐานสี่เป็นของหยาบ แต่ควรฝึกปฏิบัติให้แยบคาย นี่ผมอธิบายแค่ คำว่า สติ เพียงตัวเดียว ยังมีนัยยะมากมาย ขอให้ลองพิจารณาดูให้ดีนะครับ

    แต่หากท่านมองว่าไม่เชื่อมโยงกันหรือคนละส่วนกันก็ได้
    แต่ผมมีข้อสังเกตุว่า แม้ท่านจะเข้าใจว่าเหตุต่างกัน แต่ผลแห่งการเข้าถึงสติปัฏฐานสี่บรรลุแล้ว ย่อมมีผลเสมอเท่าอริยะมรรค8 คือหลุดพ้นทุกข์ ทำลายอาสวะหมดสิ้น
    หรือท่านว่าที่ผมกล่าวมามันไม่จริง ลองพิจารณาดูให้ดีนะครับ สาธุ

    เราอาจเห็นต่างได้ แต่เราก็ไม่ได้ใส่ใจยึดมั่นในความรู้นี้เพราะมันก็แค่ความเข้าใจ เพื่อความเข้าไปวางเข้าไปปล่อยวางไม่ยึดมั่นนั่นเองครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2015
  7. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    เหตุปัจจัยในการกล่าวคือ สติปัฏฐาน4นั้น คือมีสติรึเรียกมหาสติก็ได้ แต่แท้ที่จริงแล้วตัวที่เข้าไปพิจารณาจริงๆคือปัญญา พิจารณาอะไร? พิจารณา กายนี้
    มันมีอะไรมีอะไรเป็นเหตุมีอะไรเข้ามาประชุมร่วมในการทรงในตัวมัน รายละเอียดผมไม่ลงไปนะครับ เวทนา. จิต ธรรม ก็เหมือนกัน ผลคือเข้าใจและแจ้งใน ขบวนการในแต่ละอย่างของมันทั้งหมดรึรุ้นั้นเอง. เมื่อเราเจริญสติหรือที่จริงคือปัญญา ผลคือรุ้แจ้งในกาย เวทนา จิต ธรรม
    เมื่อมันได้รอบของมันแล้วสิ่งสำคัญยังมีอีกตัวที่ต้องกำจัด หลังจากเจริญสติปัฏฐาน4แล้ว คือ?
    ส่วนมรรค. เหตุของมรรคคือทางดำเนิน หลังจากที่รุ้แจ้งแทงตลอดแล้ว คือ
    ทุกข เหตุแห่งทุกขรึสมุทัย นิโรธะ มรรค
    สมุทัยในตัวของมันเองมี2ทาง คือทางก่อและทางดับ ทางก่อคือจิตส่งออกเมื่อผัสสะแล้ว ผลคือทุกข์ ทางดับคือ รุ้เหตุปัจจัย. ไม่ไหลไปตามกระแส รึเรียกว่านิโรธะ. ผลคือมรรค
    มรรคมิใช่ทางที่ต้องไปยึด มรรคคือทางที่ไม่ยึด ไม่หลงแล้ว มรรคคือผลมิใช่เหตุ ถ้ามีความเห็นถุก ผัสสะก็ไม่มีผลใดๆคือดับเหตุแล้วนั้นเองจึงเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ หากยังก้าวไม่ถึงขั้นความเห็นย่อมมีทั้ง2ทางคือมิจฉาและสัมมา ในบางเหตุอาจมิจฉา ในบางเหตุอาจสัมมา แต่เมื่อหลุดพ้นแล้วดับเหตุแล้วจึงจะเหลือเพียงสัมมาเท่านั้น มิจฉาจึงดับไป นี้คืออริยมรรคมีองค์8ทางเดินของพระอรหันต์. แม้แต่พระอนาคามีเองนั้นเมื่อมีปัญญาวิมุติก็จริงแต่อาจจะขาด เจโตวิมุติก็ได้ รึมีเจโตวิมุติแต่ขาดปัญญาวิมุติก็ได้ จึงยังเหลืออีกภพที่จิตไม่สามารถก่อกายทึบได้แต่ก็ต้องเกิดเพื่อทำให้จบ ส่วนนอกนั้นจิตยังสามารถก่อกายทึบได้จึงยังไม่พ้นได้เพียงแต่รอแค่ให้มีสต้ปัญญาที่ครบรอบของมันตามกำลังก็สามารถหลุดพ้นได้เช่นกัน
    หวังว่าคงจะพอเข้าใจในสิ่งที่ผมชี้ให้ท่านเห็นตามขบวนการของมันนะครับ ท่านลองพิจารณาดุนะครับ เราเสวนาธรรมต่างยกเหตุและผลขึ้นกล่าว มิไช่การเอาแพ้เอาชนะกัน เพียงแต่เป็นการแลกเปลี่ยนเหตุปัจจัย ของการหยิบยกขึ้นพิจารณา ในแง่มุมต่างๆที่ต่างยังมองไม่เห็นในอีกมุมมองหนึ่งก็เท่านั้นครับ. สาธุ
    เหตุคือสมมุติ ดับสมมุติคือวิมุติ สมมุตคืออวิชชา อวิชชาคืออาการที่มาแห่งเหตุทั้งปวง เข้าใจไหมครับ? นี่คือการเวียนรอบของมัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2015
  8. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ปัญญาจะเกิดได้เพราะอาศัย การเข้าไปเห็นจริงรู้จริงในสภาวะ ของ กาย เวทนา จิต และธรรม ได้จริง

    การจะเข้าไปเห็นจริงได้ ย่อมหมายถึงการ อาศัยบาทฐานจากสมาธิไม่ส่ายไปมาสงบตั้งมั่น ตะกอนระงับแล้วจึงเห็นด้วยสมาธิ สมาธิที่เป็นบาทฐานมีหลายลักษณะตามกำลังของสติแต่ละประเภทที่เข้าไปตั้งอยู่ เป็นเครื่องระลึกอยู่

    ดังนั้นปัญญาจะเกิดได้เพราะอาศัยพื้นฐานจากสมาธิและสติ ที่ชอบที่ถูกที่ควรแก่สภาวะนั้นๆ อยู่ดีๆปัญญาจะไม่เกิดเลยถ้าไม่ได้เข้าไปเห็นไปรู้สภาพแห่งความจริงทั้งหมด การเข้าไปรู้ไปเห็นจริงต้องใช้บาทฐานของสมาธิและสติ

    ดังนั้นปัญญาที่เกิดปรากฏรู้แจ้งย่อมต้องอาศัยพื้นฐานบาทฐานจากสติและสมาธิที่ถูถที่ตรงที่ชอบนั่นเอง

    ส่วนนี้เป็นส่วนของรายละเอียดปลีกย่อยในการปฏิบัติเพื่อการชำระ

    ทีนี้ที่ยกกล่าวมาเป็นเรื่องของอริยะสัจจสี่
    ทุกข์
    สมุทัย คือเหตุแห่งทุกข์
    นิโรธ คือความดับทุกข์ หรือความดับไปของทุกข์
    มรรค คือหนทางแห่งการดับทุกข์

    ใช่การดับทุกข์ที่ถูกต้องต้องดับด้วยปัญญา ปัญญาที่ว่าคือปัญญาคือปัญญาญาณ คือความเข้าไปรู้สภาพความจริงทั้งหมด ตั้งแต่ทุกข์ และเหตุแห่งทุกข์ คือความเข้าไปรู้สภาพความจริงแห่งปฏิจสมุปบาทอิทัปปัจยตา ที่สืบสายให้เกิดทุกข์ ความเข้าไปรู้สภาพจริงใน กาย เวทนา จิต ธรรม ที่ทำงานสืบเนื่องปรุงแต่งจิต
    ความเข้าไปรู้สภาพความจริง ใน กาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    ความเข้าไปรู้สภาพความจริง แห่ง รูป นาม เจตสิก และจิต

    ความเข้าไปรู้สภาพความจริง ทั้งหลายเหล่านั้นคือส่วนของปัญญาที่เกิดขึ้นจากความจริง และเกิดการยอมรับในความจริงเหล่านั้นที่ปรากฏ อันมีความจริงปรากฏเป็นกฏไตรลักษณ์หรือสามัญลักษณ์ เสมอ เห็นสภาพความจริงในความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่ควรยึดมั่น เห็นสภาพความจริงแห่งการปรุงแต่ง และผัสสะและการที่จิตรับเอา รับเข้าและปรุงแต่งยึดมั่น เป็นทุกข์

    เพื่อให้ง่ายในการปฏิบัติธรรม พระพุทธองค์จึงทรงจำแนก ให้ง่ายต่อการปฏิบัติ คือสอนให้ศึกษาปฏิบัติเรียนรู้เป็นอย่างๆส่วนๆไป เมื่อครบทุกส่วน ย่อมเข้าใจสภาพความเป็นจริงทั้งหมด ตั้งแต่กระบวนการ เกิดของทุกข สาเหตุที่ทำให้เกิด ความดับลงของทุกข์ และหนทางหรือวิธีการดับทุกข์
    แท้จริงมันก็เป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมด แต่มันมีรายละเอียดปลีกย่อยตื้นลึกหนาบางไม่เท่ากัน ตามแต่สภาวะ ตามแต่สภาพความเป็นจริง ที่มีที่เกิดที่ปรากฏ และที่เป็นไป

    หากเราเข้าใจแก่นแท้แล้ว ไม่ว่าจะมารูปแบบใดเราก็จะทำความเข้าใจและจำแนกแจกแจงได้หมดเป็นลำดับขั้นได้

    เพราะที่สุดแล้ว ความดับทุกข์หรือนิโรธนั้น มันก็ดับลงที่จิต เท่านั้น ไม่ปรุงแต่ง ไม่รับรู้ คือปล่อยวาง มันก็ดับทุกข์ลงได้ก็เท่านั้นเอง พูดง่ายแต่ทำยาก เพราะมีปัจจัยมากมายเป็นเครื่องสนับสนุนให้จิตมันปรุงแต่งและมีอัตตาปราถนาอยากตามเจตสิก อนุสัยที่มันเคยเป็นเคยสั่งสมมา มันไม่ง่าย จึงต้องปฏิบัติธรรมขัดเกลาอบรมกันให้มากนั่นเองครับ

    พระศาสนาสืบทอดได้ ก็ด้วยยังมีพระอริยะบุคคลถือกำเนิด พระอริยะบุคคลถือกำเนิดได้ก็เพราะอาศัยว่ายังมีการปฏิบัติธรรม ต่อให้มีพระคัมภีร์สูงท่วมเขาไกรลาส แต่ถ้าไม่น้อมนำไปปฏิบัติธรรม พระอริยะสงฆ์ก็ไม่เกิด เมือนั้นพุทธศาสนาก็สิ้นแล้ว ครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2015
  9. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ครับธรรมนี้ผมเห็นด้วยครับ มีเหตุปัจจัยในการเกิด และมีเหตุปัจจัยในการย่อ-ขยายธรรมได้ สาธุครับ
    ตัวรุ้คือตัวอันตรายที่สุด กระผมเคยกล่าวไว้แล้วตัวนี้ว่า มันขวางมรรคผล
    จิตนั้นไม่รุ้ไม่ชี้ มันมีวาระจิต และภวังคจิต สองตัวนี้คือตัวที่แอบและซ่อนอยุ่ในจิต เมื่อกัาวมาแล้วต้องเอาตัวรุ้นี่ทิ้งเสีย มันจะเหลือตัวดูคือดูมันรู้ รุ้แล้ววาง วางจากสิ่งที่รุ้ ถ้าไม่วางมันจะยึดว่ารุ้ เมื่อยึดรุ้ตัวตนจะมีทันทีนั้นคือเรารุ้ใครรุ้ผิดจากที่เรารุ้ผิดหมดนั้น มันคือตัวตน ตัวตนนี้คืออัตตา คนมักมองอัตตาแต่การยึดภายนอกจนลืมอัตตาภายในที่ขวางไว้ทั้งๆที่ไม่มีเราและของเรา จึงไม่สามารถไปต่อได้จนสุดเหตุเพราะติดตัวรุ้นี่แหละ บรูพาจารณ์ทั้งหลายจึงบอกต่อๆกันมาซึ่งในตำรานั้นไม่มี มีสุดแค่รุ้เท่านั้น จึงยึดว่ารุ้ๆๆกัน แต่ทุกคนลืมทิ้งตัวรุ้นี่ เหตุเพราะยึดรุ้ และยึดในสิ่งที่รุ้ไม่ยอมวาง ส่วนผู้ทรงคุณทั้งหลายท่านทิ้งตัวรุ้นี่คือ รุ้แล้ววาง แล้วปล่อย ท่านจึงรุ้ได้ไม่รุ้จบ รุ้ไปเรื่อยๆแล้วก็ปล่อยไปไม่ยึด มั่น ท่านจึงพ้นได้ คือดูมันรุ้แล้ววางนั้นเอง
    ผัสสะนั้นคือเหตุ เรามีผัสสะตลอดเวลาเวทนาจะทำงานตลอดเวลาเช่นกัน
    แต่ผุ้ทรงคุณท่านรุ้เหตุแล้วเวทนาจึงไม่มีผลใดๆต่อท่าน เหตุนี้คือสมมุติ เมื่อมันเป็นสมมุติมันจึงไม่มีจริง แม้แต่ความจริงที่ผัสสะกันที่คนยอมรับกัน มันก็จริงในสมมุติ ที่รุ้ก็รุ้จริงแต่จริงในสมมุติอยุ่ดี เมื่อรุ้ว่าสมมุติ ถามว่าจะยึดสมมุติทำไมในเมื่อมันไม่มีจริง. นี่จึงเป็นที่มาของคำที่ผมกล่าว ผมยกอุปมานะครับ เสมือนเด็กๆเล่นเจ้าชายกับเจ้าหญิงกันแล้วให้เราคนโตมาเล่นด้วย ถามว่าเราคนโตจะเล่นไหม เราก็เล่น เล่นตามเด็ก เค้าให้เราเป็นตัวอะไรเราก็เป็นเด็กมันสร้างสมมุติขึ้นมามันสนุกสนานมีความสุข เราก็เล่นไปตามเด็ก สนุกสนานตามเด็ก เมื่อเล่นเสร็จเราจะยังยึดในสมมุติที่เด็กเล่นกันรึเปล่า ?ก็เปล่าเพราะเรารุ้แล้วว่าเด็กมันสมมุติเล่นกันเพื่อความสุข แต่เด็กมันไม่รุ้มันยึดเพราะมันสุขมันก็จะให้เราเล่นกับมันตลอดเวลา เพราะมันยึด มันยึดในสุขในสมมุติ จนมันโตมันจึงรุ้ว่านั้นมันสมมุติ ไม่มีจริง
    นี่ผู้ทรงคุณเค้ารุ้และเข้าใจตรงนี้เค้าจึงพ้นจากสมมุติ พ้นจากการยึดมั่นถือมั่น และพ้นจากอวิชชา. ผัสสะหรือเหตุทั้งหลายจึงไม่มีผลทั้งสิ้นกับผุ้ทรงคุณ เวทนาจึงไม่มีด้วยรุ้แจ้งประจักษ์จิตแล้ว ท่านจึงพ้นทุกข ทุกขทั้งหลายจึงไม่มีอีกต่อไป เพราะท่านไม่สร้างเหตุ ท่านดับเหตุแล้ว ผัสสะทั้งหลายจึงไม่มีผลใดๆ ตาเห็นก็เห็น สักแต่เห็น ท่านไม่มีชอบรึไม่ชอบเพราะท่านรุ้อยุ่ว่าความจริงมันคืออะไรนั้นเอง. เช่นเห็นดอกไม้สวย ท่านก็รุ้ว่าดอกไม้มันไม่รุ้ไม่ชี้อะไร ที่สวยนะใจเราสวย เราไปให้ค่าความสวยมัน พอเห็นดอกไม้ไม่สวยมันก็ที่จิตไปให้ค่ามันว่าไม่สวย นี่เมื่อรุ้เหตุปัจจัยทั้งหลายทั้งสิ้น และรุ้ว่าดอกไม้มันมี ด้วยเหตุปัจจัย ตามกาล มันไม่มีก็ด้วยเหตุปัจจัยตามกาลให้ไม่มี และมันก็เป็นสมมุติไปตามกาลของมันหมุนเวียนกันไปซ้อนๆกัน ไม่มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุด มันก็จบ กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว. แขนได้ขาดแล้ว สมมุติมันไม่มีจริง สมมุติคืออวิชชา

    เมื่อรุ้ว่าสมมุติ อาการแห่งเหตุทั้งปวงก็ไม่มี แต่ยังมีขันธ์ก็อยุ่มันไป เหมือนเราไปดุหนังในโรงหนัง เมื่อเรารุ้ว่าหนังที่ฉายมันเป็นยังไง เราก็ไม่ดุแล้ว แต่ยังออกจากโรงหนังไม่ได้ มันไม่เปิดประตุให้ออก เลยต้องนั่งต่อไปรอเวลาจนกว่าประตุจะเปิด จึงออกได้ หวังว่าคงเข้าใจสิ่งที่ผมสื่อนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2015
  10. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    จิตคือตัวรู้ คือผู้รู้

    เมื่อเรามีสติปัญญามากพอแล้ว เราย่อมเข้าใจว่าแท้จริง สภาพของทุกข์ที่เกิดเมื่อย่นย่อแล้ว มันก็มีแค่

    ทุกข์ และสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ และสิ่งที่เป็นตัวรู้คือจิต ที่รับเอาทุกข์เข้ามา

    เมื่อเราจะดับทุกข์ มันก็ดับ สองส่วนคือ
    1ดับสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์หรือสาเหตุหรือสมุทัย
    2ดับที่จิตคือฝึกอบรมให้จิตมันไม่ไปรับเอาอะไรเข้ามา

    ดับในข้อ1คือดับที่เหตุคือมีสติปัญญาเห็นสมุทัย และทุกข์ที่ไม่เที่ยง ควบคุมไม่ดับบังคับมันไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงปล่อยวางในทุกข์และดับเหตุแห่งทุกข์คือไม่ปรุงแต่งไม่ยึดมั่น สักแต่ว่า สัมผัสนอกใน สักแต่ว่ากระทบแล้วก็ปล่อยมัน วางมัน วงจรแห่งทุกข์ก็ขาดลง[ปัญญาวิมุตติ]

    ดับในข้อ2 ดับที่จิต คืออาศัยสติปัญญา มีกำลังเกิดโดยตรงที่จิต มีอำนาจเกิดในตัวของจิตหรือตัวรู้ หมายความว่า ก็เพราะธรรมชาติของจิต มีสภาพรู้ จึงทำหน้าที่ในการรู้สิ่งต่างๆ แม้การระลึกรู้สึกตนหรือสติ จิตก็ยังรับรู้ว่าเกิดการระลึกรู้หรือสติเป็นต้น เมื่อสภาพโดยธรรมชาติของจิตเป็นเช่นนี้คือเป็นธาตุรู้ การดับจิต จึงไม่ใช่การไปทำให้จิตไม่รู้อะไร แต่หมายถึงการอาศัยกำลังสติปัญญามีอำนาจเข้าไปทำให้จิตปล่อยวางรู้ ที่จิตรู้ เมื่อจิตคือตัวรู้ ย่อมทำหน้าที่คือเข้าไปรู้ ทำหน้าที่คือรู้แล้วปล่อยวางในรู้ นั่นหมายถึงวงจรแห่งการเกิดทุกข์ก็ดับลงเช่นกัน เพราะเมื่อรู้แล้ววางรู้ลงได้ เสมอเหมือนสิ่งที่รู้ก็ไม่ได้มีผลอะไร ไม่มีค่าอะไร ไม่ได้สำคัญอะไรในสิ่งที่รู้ ปล่อยวางรู้ลงไปให้หมดสิ้น สภาวะเช่นนี้คือการดับที่จิต [เจโตวิมุตติ]

    เพราะเราต้องเข้าใจธรรมชาติของวงจรแห่งทุกข์ที่เกิดดับ จิตที่เกิดดับ รูป นาม เจตสิกและจิตที่ไม่เที่ยง เมื่อนั้น เราย่อมอยู่กับทุกข์ที่เกิดดับ อยู่กับความไม่เที่ยงโดยไม่ทุกข์ นั่นเอง

    สภาพธรรมสถาพจิต ที่บรรลุทางสายเอกก็ดี สภาพธรรมสภาพจิตที่บรรลุ อริยะมรรคก็ดี สภาพธรรมสภาพจิตที่บรรลุอาสวขยญาณ ทำลายกิเลสหมดสิ้นแล้วก็ดี สภาพธรรมสภาพจิตที่บรรลุแล้วในธรรมวิมุตติก็ดี ที่บรรลุแล้วในปัญญาวิมุตติพร้อมด้วยมีกำลังของจิตถึงพร้อในเจโตวิมุตติ ย่อมมีสภาพเหมือนกัน คือความเป็นผู้หลุดพ้นทุกข์คือพระอรหันต์ ย่อมเป็นผู้มีชีวิตอยู่กับทุกข์โดยไม่ทุกข์นั่นเอง ครรลองแห่งธรรม ย่อมประคองรูปนาม เจตสิกและจิตที่ไม่เที่ยง ให้ดำเนินต่อไปตามสภาพแห่งธรรม ตามธาตุขันธ์ที่ไม่เที่ยงของมันไป กายธาตุ ธาตุขันธ์แตกดับไปเมื่อไหร่ก็ไม่ได้สนใจให้ความสำคัญ มันรู้แจ้งโลก ธรรมดาของโลกแล้วนิ มันหลุดพ้นทุกข์แล้ว มันไม่มีอะไรให้ยึดมั่นใดๆอีก ก็เท่านั้นครับ

    เราสนทนาแลกเปลี่ยนกัน อย่าไปคิดอะไรมากถือว่าได้แลกเปลี่ยนความรู้ประสพการณ์กัน ส่วนใดที่เห็นว่าดีก็น้อมนำมา ส่วนใดที่ไม่ดีหรือไม่เหมาะกับเราก็ปล่อยวางแยกออก
    ให้พิจารณาที่จิตคือภายในให้ดี จิตตัวเดียวเท่านั้น เป็นประธาน ถ้าเราจัดการกับมันได้จริง ทุกข์ก็ดับได้จริงครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2015
  11. ทอง49

    ทอง49 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2015
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    สาธุในธรรมอันประเสริฐครับ.
     
  12. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ธรรมคือใบไม้ มีอยู่แล้วในธรรมชาติ

    เราเป็นเพียงผู้เข้าไปเห็นใบไม้ในกำมือของพระพุทธองค์ เราเป็นเพียงผู้เข้าไปเห็นใบไม้่ในกำมือของพระอรหันต์ครูอาจารย์ และเราเป็นแค่เพียงผู้หยิบใบไม้ขึ้นมาดูด้วยตนเอง และเมื่อเราเห็นใบไม้ในกำมือของเราเอง อันเป็นสิ่งเดียวกัน และยังมีใบไม้นอกกำมือ อีกมากมายที่เกลื่อนกลาด อันมีสภาพเช่นเดียวกัน

    มาถึงวันนี้เราแค่เพียงหยิบใบไม้ ยกเอาใบไม้จากพระองค์ จากพระอรหันต์ จากตน หรือแม้ที่อื่นๆ ให้ท่านทั้งหลายดู แค่ปราถนาให้ท่านทั้งหลายได้ทำความเข้าใจและลองหยิบใบไม้กำขึ้นมาแล้วเปิดดูใบไม้ในมือของตนด้วยตนเอง อย่างเห็นจริงรู้แจ้ง ก็เท่านั้น
    เพราะเมื่อใดที่ท่านเห็นจริงรู้แจ้ง นั่นก็เท่าว่า เราได้มีส่วนช่วยสืบทอดพระศาสนาให้เจริญสภาพรสืบไป นี่คือหน้าที่และความปราถนาดีของเราครับ สาธุ
     
  13. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    การปฏิบัติธรรม ความก้าวหน้าในทางธรรม จิตที่ชำระได้ขาวสะอาดมากขึ้น จิตที่ยกสูงขึ้น

    ย่อมดูได้ง่าย คือดูได้จากใจเราเองว่า มันต่ำลงไหม มันต่ำลงคือสามัญคือ อ่อนโยนไม่หยาบกระด้าง ไม่ยึดเอาอัตตา ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องของกิเลส รัก โลภ โกรธหลง ไม่ยึดติดในค่านิยม ไม่สนใจในโลกธรรมแปด พูดง่าย คุยง่าย ไม่ชักศึกเข้าบ้านเอาปัญหาเข้าสิงห์สู่ใจตน ปล่อยวาง สมองและจิตใจว่างเปล่าจากิเลสไม่ปรุงแต่งรู้ทัน มองรูปนามเป็นสภาพธรรมดาไม่ใส่ใจยินดีหรือไม่ยินดี เป็นผู้ใช้ชีวิตเรียบง่าย กินง่าย อยู่ง่ายนอนง่าย แต่ไม่มักง่าย เพราะมีสติปัญญารอบรู้ในกาละเทศะและบุคคล

    ให้สำรวจดูตน ว่าเรานี่เป็นคนแบบไหน ปฏิบัติธรรมมามาก ต้องมีอะไรดีขึ้น ดีขึ้นที่ว่ามันเกิดที่จิต ถ้าจิตเราดีขึ้นนั่นแหละแสดงว่าเรามาถูกทาง ให้เทียบเคียงเอาเองเพื่อความรู้เท่าทันจิตรู้เท่าทันตน ครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2015
  14. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ทุกคำถามที่ตกค้างอยู่จะตอบให้ในวันจันทร์นะครับ

    ขออภัยในความล่าช้าครับ สาธุ
     
  15. buytona

    buytona Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +97
    ยังรอคำแนะนำจากคุณก้องอีกสักครั้ง ขอบคุณอย่างสูง
     
  16. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    เพราะเราทั้งหลายผู้ยังไม่หลุดพ้นทุกข์ ยังคงต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะอยู่

    ผลแห่งกรรมในอดีตมากมายหลายภพชาติต่างรอให้ผลไม่จบสิ้น

    เราไม่อาจหลีกหนีและทราบชะตากรรมได้แน่ชัดหมดสิ้น เพราะการให้ผลของกรรมชั่งซับซ้อนเหลือเกิน

    วิชาโหราและการตรวจดวงชะตา แท้จริงมันก็เป็นเพียงการพยากรณ์หรือการพยายามหาวิธีการเข้าไปศึกษาเรียนรู้ วาระแห่งกรรม ประเภทของกรรม การให้ผลของกรรม เพื่ออะไร ก็เพื่อการได้ทำความเข้าใจเรียนรู้และวางแผนเชิงรับและเชิงรุก เพื่อการทำปัจจุบันให้ดี เพื่อการเข้าไปรู้เหตุ เพื่อการสร้างผลหรือสร้างอนาคตที่ดี นั่นจึงไม่ใช่การหลงงมงาย แต่นั่นหมายถึงการทื่เราควรต้องรู้ต้องเข้าใจ เพราะชีวิตของพวกเรายังคงต้องเวียนว่ายในบ่วงกรรมนั่นเอง ความรอบรู้ในกรรม ในเหตุปัจจัย ย่อมทำให้เราสามารถแก้ไขกรรมต่างๆไปได้ด้วยดี ซึ่งหากพิจารณาให้ดีแล้ว พระพุทธองค์ทรงกล่าวเรื่องนี้แบบในเชิงสร้างสรรค์ไว้ดีแล้วคือ การละบาปกรรม การทำความดีและการชำระจิต นั่นเอง แต่หลายคราที่คนเราหลายท่านต่างก็มุ่งทำความดี ละบาปกรรม แต่ชะตากรรมกลับเลวร้ายได้รับแต่สิ่งไม่ดี นี่ก็เพราะผลกรรมไม่ดีในอดีตมีกำลังมากกว่าผลกรรมดีในปัจจุบัน

    ผมขอให้กำลังใจทุกๆท่าน ขอให้มีสติปัญญาแยกแยะ ไม่ประมาท อดเปรี้ยวไว้กินหวาน
    สร้างบุญทานไว้กินผล อย่าเจ็บอย่าจนขอให้มั่งมีศรีสุขสมปราถนาทุกประการ ขอให้มีสติปัญญาณหลุดพ้นทุกข์สำเร็จโดยเร็วพลัน ครับ สาธุ

    ท้ายนี้ เราเป็นผู้ฝึกสติปัญญา ย่อมรู้ดีว่า สิ่งใดควรไม่ควรสิ่งใดดีงามไม่ดีงาม เมื่อรู้แล้วก็พึงทำแต่สิ่งดี สิ่งไม่ดีบางอย่างที่เรายังละไม่ได้ขอให้มีความเพียรมีขันติ ข่มใจดัดตนในที่สุดก็จะพ้นบ่วงกิเลสมาร เมื่อกำลังใจเรามีกำลังมากพอแล้วนั่นเองครับ สาธุ
     
  17. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    นางนพมาศ สาวงามแห่งกรุงสุโขทัย มีจิตน้อมระลึกถึงพระคุณแห่งพระพุทธเจ้า อันทรงคุณอันวิเศษสามประการคือ พระพุทธองค์ทรงมี
    ๑. พระปัญญาธิคุณ
    ๒. พระบริสุทธิคุณ
    ๓. พระมหากรุณาธิคุณ

    พระปัญญาธิคุณ คือ พระพุทธองค์ทรงมีพระปัญญาบริสุทธิ์ด้วยทรงมีพระปัญญาญาณรอบรู้ทั้งโลกียะธรรมและโลกุตระธรรม เป็นพระสัพพัญุ รอบรู้ไม่มีประมาณ

    พระบริสุทธิคุณ คือ พระพุทธองค์ทรงมีจิตที่บริสุทธิ์ สะอาดหมดจด จากอาสวะกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย ไม่มีความขุ่นมัวเศร้าหมอง พระองค์ทรงมีจิตที่ชำระกิเลสได้หมดสิ้นขาวสะอาดบริสุทธิ์เป็นบุคคลแรกของโลก

    พระมหากรุณาธิคุณ คือ ทรงกอปรด้วยความกรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์นำพาสีีพสัตว์ข้ามพ้นทะเลทุกข์ ทรงประกาศพระศาสนาเผยแผ่พระศาสนา ทรงไม่ย้อท้อเหน็ดเหนื่อย ทรงไม่เลือกชาติชั้นวรรณะแต่ประการใด แม้แต่ในศีลของพระองค์ก็ทรงบัญญัติให้คนงดเว้นไม่ทำสิ่งมีชีวิตให้ตกล่วงไป และทรงแนะให้แผ่เมตตาจิตต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข อันเป็นเป้าหมายของการดำรงชีวิต ตลอดจนการอบรมสั่งสอนสัตว์ให้เข้าถึงธรรมวิมุตติ หลุดพ้นทุกข์ ได้จริง

    เมื่อเห็นเป็นอย่างนี้ นางนพมาศ จึงได้ ทำประทีบขึ้นมา ด้วยวัสดุพื้นบ้านที่นางนพมาศจัดหาได้แล้วตกแต่งเป็นโคมลอยน้ำอย่างสวยงามที่เราเรียกว่ากระทงนั่นเอง ซึ่งโคมประทีมที่นางนพมาศสร้างขึ้นและทำการลอยประทีบโคมลงในสารธารแม่น้ำในวันเพ็ญเดือนสิบสอง เป็นต้นมา ก็เพื่อเป็นพุทธบูชา นั่นเองครับ ส่วนในกาลถัดมาจวบจนปัจจุบัน การลอยกระทง ยังหมายรวมถึงการได้กระทำการบูชาพระแม่ธรณีพระแม่คงคา เป็นการขอขมากรรมและปลดปล่อยทุกข์โศกโรคภัยและเสนียดจัญไรให้ลอยออกไปจากชีวิตของตนด้วย

    ดังนั้นลอยพิธีกระทงจึงเป็นสิ่งที่ดีงามที่ควรกระทำที่ควรสืบทอดสืบสานประเพณีอันดีงามนี้สืบไป ครับ สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1194245237.jpg
      1194245237.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54 KB
      เปิดดู:
      34
  18. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ================

    ด้วยพระพุทธองค์นั้นรอบรู้ใบไม้ทั่วทั้งผืนป่า แต่เพียงหยิบขึ้นมาด้วยหนึ่งกำมือ ก็หมายจะสอนสั่งแนะนำชี้ทางสว่างแก่สรรพสัตว์ เพื่อหลุดพ้นทุกข์

    วันนี้เราเป็นผู้เจริญรอยตาม เราจะยึดเอาพระพุทธองค์เป็นสรณะสูงสุดและเป็นแบบอย่างเยี่ยงอย่าง หากมีสิ่งใดที่ผิดเพี้ยนไปจากครรลองแห่งธรรม
    ไม่ตั้งอยู่บน คำสอน คือ การละบาป ทำความดี การชำระจิต ทุกท่านสามารถทักท้วงบอกกล่าวได้ ถือว่าช่วยเหลือกันประคับประคองเคียงข้างกันไปให้ถูกทาง ถูกต้องตรงต่อธรรม กระผมยินดีน้อมรับครับ สาธุ

     
  19. buytona

    buytona Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +97
    ขอบคุณ คุณก้องเป็นอย่างสูงจะทำตามคำแนะนำ ทุกอย่างที่คุณบอกแม่นราวกับตาเห็น ขอคุณก้องมีกำลังใจในการสร้างบารมีช่วยเหลือผู้มีความทุกข์ต่อไป และมีคำถามอีก1ข้อที่พึ่งได้พบเจอมา ทสอบถามไปทางpm
    ขอคุณก้องแนะนำด้วย ขอบคุณในความกรุณา สาธุ
     
  20. ros

    ros เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +218
    ดิฉันได้พระธาตุนี้มาเมื่อ 10 กว่าปี จากคุณพ่อที่เสียชีวิตไปให้ไว้ และอีกส่วนหนึ่งจากเพื่อนของลูกชาย พระธาตุส่วนที่เป็นของเพื่อนลูกชายนั้นเมื่อรับมาวันแรกฝันเห็นแมวดำเดินออกจากใต้โต๊ะบูชามาหลายตัวมาก อยากให้คุณทิศช่วยดูให้หน่อยว่าเป็นของจริงหรือเปล่า และวิธีบูชาเขาทำแบบไหน ทุกวันนี้ก็พยายามหัดนั่งสมาธิสวดมนต์เพื่อให้จิตเป็สมาธิแต่ก็ดีขึ้นมาบ้าง และที่ดีมากขึ้นก็คือ กับสามีเดี๋ยวนี้แกเป็นคนพูดง่ายไม่โวยวายเหมือนเมื่อก่อนพูดเข้าใจง่ายมีเหตุผลกว่าเมื่อก่อนมากซึ่งแทบไม่น่าเชื่อว่าดิฉันกับเขาจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ได้ เขาอาจจะคิดได้ว่าถึงเขาจะมีงานทำแต่คนที่ดูแลเขามาตลอดชีวิตคือดิฉันเองและตอนนี้เขาเริ่มอ่อนแอและดิฉันก็ยังดูแลเขาอยู่ไม่ห่าง ดิฉันก็รู้สึกดีกว่าเมื่อก่อนมาก และคงจะเป็นเพราะว่าการสวดมนต์ภาวนาของดิฉันสามารถทำให้เขาคิดได้ ทำให้ดิฉันมีกำลังใจขึ้นมาก จะพยายามสู้ต่อไปจนกว่าอะไรจะดีขึ้น ขอบคุณค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 พฤศจิกายน 2015

แชร์หน้านี้

Loading...