จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    ..=>คำสอนหลวงพ่อเรื่อง "มรณานุสสติกรรมฐาน" (ตอนที่ ๑)<=..

    .. ให้นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ แต่ความจริงเรื่องความตายนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท เราเห็นคนตายกันอยู่เสมอ ได้ยินข่าวการตายกันอยู่เกือบจะทุกวัน เวลานี้อาจจะเป็นวันละหลายครั้งก็ได้ เพราะมีวิทยุ มีหนังสือพิมพ์เป็นเครื่องทราบ แล้วบางครั้งบางคราวเราก็ไปเผาคนอื่นเขาตาย แต่ทว่า "ตัวของเราเองกลับไม่เคยคิดว่าจะตาย" อย่างนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาถือว่ามีความประมาทอย่างยิ่ง

    ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะว่ากฎธรรมดาที่เราพึงเกิดมา เมื่อมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น ก็ต้องมีความตายไปในที่สุดเหมือนกัน เมื่อความตายเขามาถึงแล้ว บางท่านนึกถึงความตายเหมือนกัน แต่ทว่าคิดว่าเมื่อตายแล้วมันก็แล้วกันไป หมดเรื่อง หมดราว หมดทุกข์ แต่ความจริงถ้าความตายมีสภาพเป็นอย่างนั้นจริง ก็ไม่น่าจะวิตกกังวล ขณะที่เรามีชีวิตเป็นคน เราจะสร้างความดีหรือว่าสร้างความชั่วยังไงก็ได้ เพราะตายแล้วถือว่าเป็นอันว่าแล้วกันไป

    แต่ทว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาท่านไม่ได้บอกอย่างงั้น ท่านกลับบอกว่าถ้าเรายังไม่หมดกิเลสเพียงใด ตายแล้วมันก็ยังไม่หมดเรื่อง ถ้าจิตของเราเต็มไปด้วยอำนาจของความชั่วเข้ามาครอบงำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรากเหง้าของอกุศล และบริวารของรากเหง้าของอกุศล อกุศลเดิมคือรากเหง้าจริงๆ แห่งความชั่ว ได้แก่ ราคะความรัก หรือว่าโลภะความโลภ สองอย่างนี้เป็นอันเดียวกัน โทสะความโกรธ โมหะความหลง

    นี่ความจริงความชั่วจริงๆ พื้นฐานรากเหง้าตัวต้นของมันมีอยู่ ๓ รึ ๔ อย่างนี่เท่านั้น แล้วมันก็แตกกระจัดกระจายออกไปเป็นกิ่งก้านสาขานับไม่ถ้วน คือถ้าอารมณ์จิตของเรายังหมกมุ่นอยู่กับอำนาจของความชั่วตามที่กล่าวมานี้ ตายแล้วแทนที่จะมีความสุข มันก็กลับมีความทุกข์คือไปเกิดในอบายภูมิ มีสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น ถ้ามาเกิดเป็นคนก็จะเต็มไปด้วยความทุกข์ ความยาก ความลำบาก ไม่มีความสุขสมบูรณ์เหมือนเขา

    ถ้าจิตใจของเรามีกุศลคือมีอารมณ์ตรงข้าม แทนที่จะทำลายทรัพย์ของบุคคลอื่นด้วยความโลภ กลับเป็นผู้ให้ได้แก่การให้ทาน จิตมีความเมตตาปรานีคือ มีความรักมีความสงสาร เห็นสัตว์หรือคนที่มีความทุกข์ เราสงเคราะห์เขาให้มีความสุข ตามกำลังที่เราจะพึงให้ได้ เมื่อใครเขาทำผิดถ้ามันไม่ผิดระเบียบวินัย กฎข้อบังคับ เราก็ให้อภัยถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าเป็นเรื่องส่วนรวมการลงโทษถือว่าเป็นการหวังดี เพื่อไม่ให้บุคคลนั้นทำความชั่วต่อไป

    แล้วก็การหลงใหลใฝ่ฝันในรูปโฉมโนมพรรณไม่มีในเรา รวมความว่าจิตเป็นกุศลคือ

    ๑.จิตพอใจในการให้ทาน
    ๒.พอใจในการสงเคราะห์
    ๓.ไม่มัวเมาในชีวิต

    มีความรู้สึกคิดอยู่เสมอว่าเราจะตาย แล้วก็ก่อนที่จะตายถ้าเราเป็นคน เราก็ขอเป็นคนดี เพราะว่าเมื่อเราเป็นคนดีแล้ว ถ้าตายเป็นผีเราก็เป็นผีดี นี้ผีดีเค้าอยู่กันที่ไหนบ้าง? เค้าก็อยู่กันในเขตของเทวดาบ้าง อยู่ในเขตของพรหมบ้าง ที่เรียกว่าเทวดา หรือว่านางฟ้า หรือว่าพระพรหม ถ้าดีถึงที่สุดก็ไปพระนิพาน นี่องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงกล่าวอย่างนี้

    นี้เมื่อองค์สมเด็จพระชินศรีท่านทรงยืนยัน เราก็ควรจะคิดว่าถ้าอย่างนั้น ในสมัยที่เราเป็นคนเราก็ควรจะเป็นคนดี อะไรบ้างที่เป็นระเบียบวินัย เป็นธรรมะที่ควรจะประพฤติปฏิบัติ ที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ทรงสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุที่จะทำให้หลงใหลใฝ่ฝันในรูปโฉมโนมพรรณจนเกินไป แล้วประการที่สอง ความโลภอยากจะได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นมาโดยไม่ชอบธรรม ผิดระเบียบ ผิดวินัย ผิดธรรม ผิดกฏหมาย

    แล้วความโกรธคิดประทุษร้ายบุคคลอื่น อิจฉาริษยาบุคคลอื่น หลงใหลใฝ่ฝันในชีวิตไม่คิดว่าเราจะตาย อย่างนี้ "จงอย่ามีในจิตของเรา หลีกเลี่ยงเสีย" เมื่อเรามีจิตเมตตาปราณีใครๆ เขาก็รัก ใครๆ เขาก็ว่าดี เมื่อเรามีความเคารพในชีวิตของเรา คิดว่าชีวิตมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มันก็มีความตายไปในที่สุด ความไม่ประมาทมันก็มี เมื่อปฏิบัติตามนี้ ถ้าเป็นคนก็เป็นคนดี ตายแล้วเป็นผีก็เป็นผีดี คือเป็นเทวดา หรือเป็นพรหม

    แต่ความจริงการพิจารณาความตายเป็นสำคัญ บางท่านที่มีความหวาดหวั่นอยู่ในชีวิต คิดว่าถ้าเราคิดถึงความตายนี่มันจะเป็นลางร้ายทำให้เราตายเร็ว แต่ความจริงเรื่องความตายบรรดาท่านพุทธบริษัท ยังไงๆ มันก็ต้องตายเป็นแน่ ที่เราจะหนีความตายให้พ้นไปไม่ได้ การที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงแนะนำ ให้เรานึกถึงความตายคือ "ไม่เมาในชีวิต" คิดว่าวันนี้ พรุ่งนี้ เราอาจจะตายก็ได้ เราจะได้สร้างความดีเข้าไว้ ส่วนใดที่เป็นความดี

    สมมุติว่าชาตินี้เราขาดแคลนด้วยทรัพย์สิน เห็นชาวบ้านเขามีความร่ำรวย แต่งตัวสวยๆ มีพาหนะดีๆ แต่ว่าเราไม่มีกับเขา เราก็จงคิดว่าเขาสร้างบุญญาธิการอะไรไว้? อันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรกล่าวว่า "เพราะอาศัยการให้ทานกับคน การให้ทานกับสัตว์ การถวายทานแก่พระสงฆ์ การถวายทานแก่พระอริยสงฆ์เป็นสำคัญ" เป็นปัจจัยให้คนเกิดมาแล้วมีความร่ำรวยในทรัพย์สินต่างๆ

    นี้ถ้าเราเห็นเค้ารูปสวย ทรัพย์สินของเขาที่มีอยู่โจรขโมยไม่ลัก แล้วก็มีคนที่อยู่ในปกครองที่ว่าง่ายสอนง่ายไม่มีใครนอกใจใคร จะพูดอะไรก็เป็นที่รักของบุคคลที่รับฟัง มีสติปัญญาสมบูรณ์ทุกอย่าง เราอยากเป็นอย่างนั้นบ้าง อันนี้องค์สมเด็จพระชินศรีกล่าวว่า "เป็นปัจจัยของการมีศีลบริสุทธิ์" ถ้าเราต้องการอย่างนั้น ในชาตินี้เราก็รักษาศีลซะให้บริสุทธิ์ ชาติหน้าจะได้มีความเป็นเช่นนั้นตามที่เราต้องการ

    นี้ถ้าหากว่าเห็นคนเขามีสติปัญญาเฉียบแหลมเป็นกรณีพิเศษกว่าคนใดๆ อันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรกล่าวว่า "เป็นผู้ทรงสมาธิและวิปัสสนาญาณตามสมควร" ถ้ามีฌานสูงมีวิปัสสนาญาณสูง เกิดชาติใหม่ก็มีปัญญาดีมาก มีสมาธิต่ำ เจริญวิปัสสนาญานได้ต่ำ ก็มีปัญญาดีน้อย แต่ก็ดีกว่าคนที่มีศีลปกติ ชื่อว่าเป็นปัญญาชนคนที่มีความฉลาด หรือมีความรู้ นี่องค์สมเด็จพระบรมครูทรงแนะนำว่า ถ้าเรารู้ตัวว่าเราจะตาย เราจะได้ไม่ประมาทในชีวิต คิดที่จะทำความดีไว้เสมอ ..

    (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
    ที่มาจาก หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ( หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ) & ท่านจิตโต ค.กรรมฐาน ๔๐
    ๑๐.มรณานุสสติกรรมฐาน.mp3 กราบอนุโมทนาสาธุเจ้าค่ะ
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    ดาวตก ดวงตก จิตตก ไม่ตกธรรม

    คำคืนนี้ยังมีดวงดาวเรียงราย
    บนฟากฟ้าไกลดูมากมายโชคช่วง
    มีดาวรุ่งพุ่งแรงหลายดวง และดวงดาวร่วงล่นลาลับหาย
    เปรียบชีวิตของพวกเราทุกคน ต่างก็ดิ้นร้นต่างก็ขนขวาย
    สู้ชีวิตของการเกิดแก่เจ็บตาย มันแน่นอนที่ไหนไม่มีใครค้ำฟ้า
    ดาวตกให้มันตกไป อย่าปล่อยหัวใจเราให้ร่วงตกลงมา
    ดวงจะตกให้มันตกไป ไม่ต้องตกใจมันเรื่องธรรมดา
    แม้ชีวิตของเราจะไม่ใช้ดาวค้างฟ้า ก็ยังสร้างศรัทธาอย่างสามัญชน
    สร้างชีวิตที่ยังเหลืออยู่ ด้วยหัวใจนักสู้ที่เคยอดทน
    สร้างคุณค่าแห่งความเป็นคน ถึงคราวร่วงล้นก็ยังมีคนศรัทธา...

    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=18032

    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • TreeOrange.jpg
      TreeOrange.jpg
      ขนาดไฟล์:
      136.5 KB
      เปิดดู:
      325
  4. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    พระธรรมคำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    ๑). ตื่นขึ้นแต่เช้ามืด มีความรู้สึกประจำอารมณ์ว่าเราอาจจะตายวันนี้ก็ได้ เราต้องรวบรัดปฏิบัติเฉพาะความดี ทำตนหนีความชั่ว คือ

    ๒). พิจารณาความดีของ พระพุทธเจ้า พระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้า ด้วยปัญญา พิจารณาดูว่าท่านดีพอที่เราจะยอมรับนับถือไหม ถ้ามีปัญญาพิจารณาแล้วว่าดีพอที่จะยอมรับนับถือได้ ก็ตัดสินใจยอมรับนับถือด้วยความจริงใจ และปฏิบัติตามคำแนะนำของท่าน สิ่งใดที่ท่านให้เราละ เราไม่ทำ สิ่งใดที่ท่านแนะนำให้ทำ เราทำตามด้วยความเต็มใจ
     
    ๓). พยายามรักษาศีลให้บริสุทธิ์ สำหรับฆราวาส ก็มีศีล ๕ เป็นหลักที่จะปฏิบัติ เฉพาะพระและเณรเป็นนักบวชอยู่แล้ว คิดว่าคงมีอารมณ์ความดี ตัด สังโยชน์ ๓ ได้เป็นอย่างน้อย..☆☆.."

    "..☆☆..สักกายทิฏฐิ ตามแบบท่านอธิบายไว้ในหลักสูตร นักธรรมชั้นโท เป็นคำอธิบายถึงอารมณ์พระอรหันต์ ถ้าจะปฏิบัติกันตามลำดับแล้วต้องใช้อารมณ์ตามลำดับคือใช้อารมณ์ ขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นสูงสุด..

    ...อารมณ์ขั้นต้นนั้น ให้ใช้อารมณ์แบบเบา ๆ คือ มีความรู้สึกตามธรรมดาว่า ชีวิตนี้ต้องตาย ไม่มีใครเลยในโลกนี้ที่จะทรงชีวิตได้ตลอดกาลไปคู่กับฟ้าดิน ในที่สุดก็ต้องตายเหมือนกันหมด แต่ท่านให้ใช้อารมณ์ให้สั้นเข้า คือมีความรู้สึกไว้เสมอว่า ความตายไม่ใช่จะมาถึงเราในวันพรุ่งนี้ ให้คิดว่า เราอาจจะตายวันนี้ไว้เสมอ จะได้ไม่ประมาทในชีวิต..

    ...อารมณ์ขั้นกลาง ท่านให้ทำความรู้สึกเป็นปกติว่าร่างกายของคนและสัตว์ ตลอดจนวัตถุทุกชนิดเป็นของสกปรกทั้งหมด ร่างกายคนและสัตว์มีสิ่งที่น่ารังเกียจฝังอยู่ก็คือ อุจจาระ ปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง เป็นต้น เมื่อมีความรู้สึกตามนี้ ก็พยายามทำอารมณ์ให้ทรงตัวจนเกิดความเบื่อหน่ายในร่างกายทั้งหมด ไม่ยึดถือว่าร่างกายใด เป็นที่น่ารักน่าปรารถนา

    ...อารมณ์สูงสุด มีความรู้สึกตามนี้ คือมีความรู้สึกว่าร่างกายนี้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย และร่างกายไม่มีในเรา มีอาการวางเฉยในร่างกายทุกประเภทเป็นอารมณ์ของพระอรหันต์.. ..☆☆.."
    .
    .
    ☆หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง)อุทัยธานี☆
    -----------------------------------
    ที่มาจาก...หนังสือโวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๑ หน้า ๑๐๓,๑๐๐..
    โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน .วัดจันทาราม(ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี..,จัดพิมพ์โดย..ศ.ดร.ปริญญา นุตาลัย..
    ☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpeg
      image.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      335.3 KB
      เปิดดู:
      81
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    [​IMG].
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    9 กำลังใจ อ่านกี่ครั้งๆก็ไม่เบื่อ ...

    1. อย่ากลัว การเริ่มต้นใหม่
    และอย่าแคร์ สายตาใคร
    ตราบใดที่เรา ยังหายใจ
    ด้วยจมูกของเราเอง

    2. คนอื่น ไม่ให้โอกาสเรา
    ยังไม่น่าเศร้า เท่ากับเรา
    ไม่ให้โอกาสตัวเอง

    3. กระจก ไม่เคยดูถูกใคร
    มีแต่คนที่ไม่มั่นใจ ที่ดูถูกตัวเอง

    4. คนฉลาด ไม่ใช่ผู้ที่ ชนะการโต้แย้ง
    แต่คนฉลาด คือผู้ที่ออกห่าง
    จากการโต้แย้ง ตั้งแต่เริ่มต้น

    5. คนที่ใช้ชีวิตคุ้มค่า คือ
    คนที่ได้ทำ ในสิ่งที่อยากทำ
    ไม่ใช่เพราะได้ทำ
    ในสิ่งที่ คนอื่นอยากให้ทำ

    6. อย่าเป็นคนเก่ง ที่แล้งน้ำใจ
    แต่จงเป็น คนธรรมดาทั่วไป
    ที่มีน้ำใจ และไม่เห็นแก่ตัว

    7. มองปัญหา ให้เหมือนกับ เม็ดทราย
    ถึงจะเยอะมากมาย แต่เม็ดทราย ก็เล็กนิดเดียว

    8. ไม่มีใครดีเลิศหรือสมบูรณ์แบบหรอก
    เพราะขนาดดินสอ ยังต้องมียางลบ

    9. ใครจะดูถูกเรา ก็ปล่อยให้เค้าดูถูกไป
    แต่จงท่องให้ขึ้นใจว่า เราจะไม่ดูถูกตนเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      21.5 KB
      เปิดดู:
      51
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    ชีวิตนี้น้อยนัก
    พระพุทธพจน์

    โย จ วสฺสสตํ ชีเว
    อปสฺสํ อุทยพฺพยํ
    เอกาหํ ชีวิตํ เสยโย
    ปสฺสโต อุทยพฺพยํ


    บุคคลผู้เห็นความเกิดขึ้นและเสื่อมไป (ของสังขารทั้งหลาย) แม้จะมี ชีวิตอยู่เพียงวันเดียวก็ประเสริฐกว่า บุคคลผู้ไม่เห็นความเกิดขึ้นและเสื่อมไป (ของสังขารทั้งหลาย) ถึงจะมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี
    (จาก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท สหัสสวรรค ข้อ ๑๘)

    การได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก
    การได้ฟังพระสัทธรรมก็แสนยาก
    การบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าก็แสนยาก

    เราท่านได้พบสิ่งที่แสนยากนั้นครบ ๓ ประการแล้วในปัจจุบัน แต่ว่าเราท่านได้ทำตามที่พระบรมศาสดาตรัสสอนแล้วหรือ คือได้ปฏิบัติเพื่อออกจากวัฏฏทุกข์กันแล้วหรือ

    ในเมื่อชีวิตนี้น้อยนัก


    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    [​IMG]
    อุปัฑฒสูตร
    ความเป็นผู้มีมิตรดี เป็นพรหมจรรย์ ( สํ. มหา. )



    ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ว่า

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ นิคมของชาวสักยะ ชื่อสักกระ ในแคว้นสักกะของชาวศากยะทั้ง หลาย ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี นี้เป็นกึ่งหนึ่งแห่งพรหมจรรย์เทียวนะ พระเจ้าข้า.

    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น ก็ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี นี้เป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้นทีเดียว ดูก่อนอานนท์ อันภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ จักกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘.

    ดูก่อนอานนท์ ก็ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี ย่อมเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อมกระทำให้มากซึ่งอริยมรรค อันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างไรเล่า ?

    ดูก่อนอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธะ น้อมไปในความสละ ย่อมเจริญสัมมาสังกัปปะ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธะ น้อมไปในความสละ.

    ย่อมเจริญสัมมาวาจา อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธะ น้อมไปในความสละ. ย่อมเจริญสัมมากัมมันตะ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธะ น้อมไปในความสละ.

    ย่อมเจริญสัมมาอาชีวะ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธะ น้อมไปในความสละ. ย่อมเจริญสัมมาวายามะอันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธะ น้อมไปในความสละ.

    ย่อมเจริญสัมมาสติ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธะ น้อมไปในความสละ. ย่อมเจริญสัมมาสมาธิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธะ น้อมไปในความสละ.

    ดูก่อนอานนท์ ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี ย่อมเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อมกระทำได้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างนี้แล.

    ดูก่อนอานนท์ ข้อว่าความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี เป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้นทีเดียวนั้น พึงทราบโดยปริยายแม้นี้.

    ด้วยว่า เหล่าสัตว์ผู้มีชาติเป็นธรรมดา ย่อมพ้นไปจากชาติ ผู้มีชราเป็นธรรมดา ย่อมพ้นไปจากชรา ผู้มีมรณะเป็นธรรมดา ย่อมพ้นไปจากมรณะ ผู้มีโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสเป็นธรรมดา ย่อมพ้นไปจากโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส เพราะอาศัยเราผู้เป็นกัลยาณมิตร.

    ดูก่อนอานนท์ ข้อว่าความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี เป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้นทีเดียวนั้น พึงทราบโดยปริยายนี้แล.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • BuaBuddha.jpg
      BuaBuddha.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.6 KB
      เปิดดู:
      825
    • BlessDhamma.jpg
      BlessDhamma.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.5 KB
      เปิดดู:
      50
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    นานาปัญหา
    โดย คณะสหายธรรม


    ๖. ความสุขของผู้ครองเรือนคืออะไร

    ถาม อยากทราบว่า ความสุขของผู้ครองเรือนอย่างเราๆ นี้อยู่ที่อะไร

    ตอบ ในเรื่องนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในอันนนาถสูตร อัง. จตุกนิบาต ข้อ ๖๒ ถึงความสุขของผู้ครองเรือน อันเป็นความสุขที่ไม่มีโทษ ๔ อย่าง คือ
    ๑. อัตถิสุข สุขเกิดจากความมีทรัพย์ คือมีทรัพย์ที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตน ที่หามาโดยสุจริต ขอบธรรม เมื่อมีทรัพย์แล้วก็ทำให้ภาคภูมิใจ เอิบอิ่มใจไม่เดือดร้อนใจ
    ๒. โภคสุข สุขเกิดแต่การใช้จ่ายทรัพย์ที่หามาได้ คนที่มีทรัพย์อยู่ในมือแล้วย่อมสบายใจ เอิบอิ่มใจ เมื่อเวลาที่ต้องการจะใช้ ก็สามารถจะเอามาใช้ได้ ไม่ขาดแคลน ข้อที่ว่าสุขเกิดแต่การใช้จ่ายทรัพย์ได้ตามต้องการนี้ รู้สึกคนไทยทุกคนจะซาบซึ้งใจกันดี เพราะคนไทยเป็นนักจ่าย เห็นอะไรก็อยากได้อยากซื้อไปหมด ถ้าไม่มีเงินคงไม่เป็นสุขแน่เทียว
    ๓. อนณสุข สุขเกิดจากความไม่เป็นหนี้ ถ้าเราเป็นหนี้ ต้องขวนขวายหาเงินมาใช้หนี้เขา จะหาความสุขได้อย่างไร ยิ่งเวลาที่ต้องส่งเงินต้นหรือดอกเบี้ย แต่ไม่มีจะส่ง ยิ่งเป็นทุกข์ใจมาก เพราะฉะนั้นถ้าเราพยายามใช้จ่ายให้พอเหมาะพอสมกับฐานะ ไม่ใช้จ่ายเกินตัวจนต้องเป็นหนี้เป็นสินเขาแล้ว เราจะมีความสุขมากทีเดียว เพราะฉะนั้นความไม่เป็นหนี้จึงเป็นความสุขของผู้ครองเรือน
    ๔. อนวัชชสุข สุขอันเกิดจากความประพฤติที่ไม่มีโทษ คือประพฤติสุจริตธรรม เมื่อประพฤติแต่สุจริตธรรมก็ไม่มีใครที่จะติเตียนเราได้ ทำให้เกิดความภูมิใจ เอิบอิ่มใจว่า เราประพฤติตนดี ไม่เป็นที่ครหาของใคร ๆ

    ขอสรุปอีกครั้งว่า สุขของผู้ครองเรือนมี ๔ อย่าง คือ
    ๑. สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์
    ๒. สุขเกิดแต่การใช้ทรัพย์
    ๓. สุขเกิดแต่ความไม่เป็นหนี้
    ๔. สุขเกิดแต่ความประพฤติที่ไม่มีโทษ คือประพฤติแต่สุจริตธรรม
    ________________________________________

    ที่มา อ้างอิง และแนะนำ :-

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓

    อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต

    อันนนาถสูตร




    พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม

    พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

    คำว่า สุขของคฤหัสถ์
    http://84000.org/tipitaka/<wbr>book/nana.php
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2015
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    ปิยวาจา...กำลังจะหายไปจากสังคมไทย..... อ่านต่อได้ที่:


    https://www.gotoknow.org/posts/226632

    "ปิยวาจา" เป็นสิ่งสำคัญ หรือไม่ หรือว่าเป็นเรื่องเล็ก เมื่อเทียบกับปัญหาสังคมอื่น ๆ มีคนพยายามอธิบายว่า ปิยวาจา น่าจะยังคงอยู่ได้ในสังคมไทย ไม่น่ากังวลใจอะไรมากนัก เพราะ “สิ่งที่เขาพูดกันบนเวทีการเมือง แม้จะมีคำหยาบปนอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ก็เป็นเรื่องของการพูดให้เหมาะกับกาลเทศะ เท่านั้น"
    ..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/226632
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    . .[​IMG]

    ขอบคุณท่านKorn95 ค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2015
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    เราจงมาดับไฟกันเถิด

    นตฺถิ ราคสโม อคฺคิ นตฺถิ โทสสโม คโห นตฺถิ โมหสมํ ชาลํ นตฺถิ ตณฺหาสมา นที
    ไฟเสมอด้วยราคะไม่มี ผู้จับเสมอด้วยโทสะไม่มี ข่ายเสมอด้วยโมหะไม่มี แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาไม่มี
    จาก ขุ. คาถาธรรมบท มลวรรคที่ ๑๘ ข้อ ๒๘

    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
  13. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    กฎของความจริง. คือความไม่จริง
    กฎของธรรมชาติ. คือความไม่เที่ยง
    กฎของความยุติธรรม. คือกฎแห่งกรรม
    กฎของความรัก. คือไม่ครอบครอง
    กฎของความเกลียด. คือการเจริญเมตตา
    กฎของความโกรธ. คือการให้อภัย
    กฎของการปล่อยวาง. คือการไม่ยึด
    กฎของการไม่ยึด. คือการสละ
    กฎของการสละถึงที่สุด. คือการละจนถึงที่สุด
    สุดท้ายของกฎของการหลุดพ้น. คือ การเห็นทุกข์ และเห็นธรรม
    การเข้าใจชีวิต เราต้องรู้ถึงกฎของความจริงแท้ในเรื่องต่างๆ เมื่อรู้แล้ว เข้าใจแล้ว สิ่งที่ตามมาคือปัญญาในการพิจารณา ทบทวน จนเกิดความสว่างในใจ เกิดความเห็นแจ้ง เห็นจริงในทุกสิ่งทุกอย่างโดยเฉพาะในเรื่องของความทุกข์ พิจารณาใคร่ครวญ่ จนเกิดความสลดสังเวช เกิดความเบื่อหน่ายจิตจะถอนจากทุกสิ่ง คำว่าถอนคือการไม่ยึด การไม่ยึดคือการปล่อยวาง จิตจะค่อยสละและละได้ในทุกสิ่ง เพราะรู้แล้วว่ามันคือสิ่งจอมปลอมที่ล้วนผ่านเข้ามา ด้วยอำนาจของกรรม ด้วยอำนาจของกิเลสความโง่ ทำให้จิตหลงผิด เห็นสิ่งที่ชั่วเป็นดี เห็นสิ่งที่ดำมืดเป็นสิ่งที่ขาว สิ่งที่สวยงาม จิตจึงยึดติด ดิ้นรนหนีทุกข์. ดิ้นรนหาสุขอยู่รํ่าไป
    เพราะที่สุดแล้ว ถ้าเราพิจารณา กฎของสิ่งต่างๆๆที่กล่าวมาแล้ว มันก็คือการเรียนรู้ในเรื่องของชีวิต ทั้งหมด เรียนรู้ในโลก เรียนรู้ในสิ่งสมมติ สุดท้ายเพื่อก้าวไปสู่ความเป็นวิมุติ ถ้าไล่ไปตามลำดับกฎของความจริงของโลก คือความไม่จริง ซึ่งก็คือกฎธรรมชาติ ที่มันไม่เที่ยง มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปเป็นธรรมดา ดังนั้นแล้วใจที่สงบ และปล่อยวางเท่านั้น จะมีอิสระจากทุกสิ่ง ไม่ว่ามาอิงในเรื่องทางโลกเช่นในเรื่องของความรัก ถ้าเราจะไม่ทุกข์เพราะมันเราก็ต้องไม่หวังการครอบครองเพราะการครอบครองมันคือการยึด การเป็นเจ้าของ เป็นความต้องการ มันคือกิเลสที่เรามักเป็นกันเมื่อไม่สมหวังเราก็จะทุกข์เพราะมัน แต่ถ้าเรารักให้เป็น รักคือการให้ รักคือสิ่งที่สละ ไม่หวังสิ่งตอบแทนทุกอย่าง เราก็จะไม่ทุกข์เพราะมันเลย โยงไปถึงเรื่องความโกรธ ความเกลียด มันคือกิเลสอีกกองที่เราส่วนใหญ่จะมีและเป็นกันมาก และมันมีอิทธิพลทำให้ใจเราร้อนรุ่ม เศร้าหมอง เป็นทุกข์เพราะใจมันไม่เย็น มีแต่ความอาฆาติ อารมณ์เหล่านี้ถ้าสะสมอยู่ที่ใจมากๆๆมันก็จะเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เราไม่สามารถหลุดพ้น มันจะปิดบังปัญญาของเราให้มืดมิด เราจะต้องสร้างเกราะและรู้กฎของมันด้วยการแก้ด้วยอารมณ์ตรงข้ามคือ อารมณ์เย็น ด้วยการเจริญเมตตาอยู่เสมอๆๆพร้อมรู้จักให้อภัยทุกๆๆคน ใจของเราก็จะค่อยๆคลายตามลำดับ แรกๆอาจจะฝืนบ้างแต่ถ้าทำบ่อยมันจะเป็นอารมณ์ชิน และจะติดใจเรา ติดเป็นนิสัย โดยอัตโนมัติ. การทำแบบนั้นได้เราต้องเจริญบ่อยๆๆจนจิตมันยอมรับโดยไม่ต้องฝืนอีกต่อไป
    เช่นเดียวกับกฎแห่งกรรม ที่ยุติธรรมที่สุด มันคือผู้บงการชีวิตเราทุกคนให้เป็นไป ต่างๆนาๆแม้อยากได้หรือไม่ก็ตาม เรียกว่า "กรรมลิขิต" มันจึงมีอิทธิพลต่อชีวิตเราทุกคนมากมาย เราจึงไม่ควรประมาทในกรรม ไม่ควรสร้างกรรมไม่ว่าทางกาย วาจา ใจ อีกต่อไป นั่นคือเราจะทำความเเข้าใจในชีวิตในกฏต่างๆๆที่มันมีบทบาทของชีวิตเรา แล้วเราจะหมั่นพิจารณา หมั่นทบทวน หมั่นปฎิบัติจนจิตเราค่อยๆคลายความยึดติดในทุกเรื่องที่มันจะเป็นอุปสรรคให้ใจเราไม่สามารถหลุดพ้น นั่นคือการรู้จักปล่อยวาง ด้วยการไม่ยึดติด ไม่ยึดติดคือต้องสละ และสุดท้ายคือการละมันออกให้หมด
    และการที่เราจะทำเช่นนั้นได้คือจิตของเราต้องยอมรับ ความจริงของชีวิต เข้าใจของความไม่เที่ยงของชีวิตนั่นคือเข้าใจในความทุกข์ ที่เกิดมา นั่นคือ เราจะต้องรู้อริยสัจ รู้ในทุกข์ รู้ในเหตุแห่งทุกข์และเมื่อรู้ทุกข์ เห็นทุกข์ก็จะเบื่อในทุกข์ในที่สุด จิตมันก็จะสลัดมันและคลายออกตามลำดับ จิตของเราก็จะไม่อยากดิ้นรนหรือพล่านไปกับกิเลสต่างๆที่เข้ามา ใจมันจะหยุดจากทุกสิ่ง และทุกอย่างที่เข้ามา มีแต่ตัวรู้ ตัวเข้าใจ และจิตจะหาทางหรือยุทธวิธีในทางดับทุกข์นั่นคือตัวมรรค อันเป็นหนทางดับทุกข์ทั้งปวง ดั่งคำสอนของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ทรงกล่าวไว้ว่า " ทางออกจากทุกข์นั้น คือต้องรับรู้ความจริง ต้องป้องกันมิให้ถลำลึกลงไป ในทางแห่งทุกข์ คือควบคุมตัณหามิยอมให้ฉุดชักใยไปได้ และถ้าถลำใจลงไปแล้วต้องพยายามถอนใจขึ้นให้จงได้ ด้วยปัญญา "
    สุดท้ายแล้วเราจะไปถึงความหลุดพ้นทั้งปวงก็ด้วยความเพียร และความไม่ประมาท ขอให้ทุกท่านสุขกายสบายใจและเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป สาธุค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      226.1 KB
      เปิดดู:
      55
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    ⏩ การปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน

    "...ตัวสำคัญที่สุดเลยคือ มีสติในชีวิตประจำวัน
    นี่แหละ
    ...กิเลสเกิดขึ้นมาตอนไหนก็รู้ทันไปตรงนั้น
    นั่นเรียกว่าภาวนาแล้ว
    ...ร่างกายเคลื่อนไหวแล้วรู้สึกอยู่เรียกว่า
    ภาวนาแล้ว
    ...จิตใจทำงานไปแล้วเรารู้ทันอยู่ก็เรียกว่า
    ภาวนาแล้ว"

    ขอทุกท่านมีความสุขสมหวังและเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpeg
      image.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      59.4 KB
      เปิดดู:
      290
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    ๒๓. การอ่อนน้อมถ่อมตน

    ขยายความมงคลข้อที่ ๒๓ การอ่อนน้อมถ่อมตน ความประพฤติถ่อมตนเป็นอุดมมงคล ความประพฤติถ่อมตนนั้นได้แก่ความไม่พองลม คือไม่ยกตนข่มท่าน ไม่ถือตัวว่ามีชาติตระกูลสูง มีความรู้สูง มียศสูง เป็นต้น แล้วเหยียบย่ำดูถูกผู้ที่มีชาติตระกูลต่ำกว่า มีความรู้น้อยกว่า มียศต่ำกว่า เป็นต้น การยกตนข่มท่านจึงเป็นอกุศลประเภทมานะ ทำให้เป็นคนกระด้างถือตัว ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร คนมีมานะจึงไม่น่ารัก ขาดความอ่อนน้อม เป็นที่รังเกียจของผู้คบหาในปัจจุบัน และทำให้เกิดในตระกูลต่ำในภายหน้า ทำให้พลาดจากคุณวิเศษที่ควรจะได้ เหมือนดังครูสัญชัยเวลัฏฐบุตร ที่เคยเป็นครูของท่านพระสารีบุตร และท่านพระมหาโมคคัลลานะ
    ในสมัยที่ยังมิได้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เดิมท่านทั้งสองบวชเป็นปริพาชกในสำนักของครูสัญชัย เรียนจนจบความรู้ที่ครูสอนให้ เห็นว่ายังไม่ใช่ทางหลุดพ้น จึงลาอาจารย์ไปแสวงหาทางหลุดพ้น ท่านพระสารีบุตรได้พบท่านพระอัสสชิอรหันตสาวก ฟังธรรมของท่านแล้วบรรลุเป็นพระโสดาบัน เมื่อได้บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้วก็นำธรรมะที่ได้ฟังนั้นไปเล่าให้ท่านพระมหาโมคคัลลานะผู้เป็นสหายฟัง ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันเช่นกัน เมื่อท่านทั้งสองบรรลุธรรมแล้วก็ใคร่จะไปเฝ้าพระบรมศาสดา ก่อนไปได้ชักชวนครูสัญชัยอาจารย์เก่าของตนให้ไปด้วย ครูสัญชัยทั้งๆ รู้ว่าการไปเฝ้าพระบรมศาสดาเป็นการไปดีมีประโยชน์ แต่ด้วยมานะว่าตนเป็นครูมีลูกศิษย์ลูกหามาก จะยอมตนเป็นศิษย์ของพระสมณโคดม ซึ่งเด็กกว่าได้อย่างไร จึงไม่ยอมไป เป็นเหตุให้พลาดโอกาสคือมรรค ผล นิพพาน ที่ควรจะได้ นี่คือโทษของมานะ ความกระด้างถือตัว ส่วนท่านพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ เมื่อได้เข้าเฝ้าพระบรมศาสดาบวชแล้วก็ได้เป็นพระอรหันต์และได้เป็นพระอัครสาวกขวาซ้ายของพระศาสดาด้วย

    ความมีมานะจึงไม่ดีเลย ส่วนความไม่มีมานะ ประพฤติถ่อมตนเป็นอุดมมงคล


    http://84000.org/tipitaka/book/bookpn06.html#Index

    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    Goodnight ค่ะ คุณครูPat
     
  18. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    จิตดวงนี้เมื่อเข้าสู่จุดรวมแล้ว จะรู้เจ้าของไปโดยลำดับลำดาความเคลื่อนไหวมากน้อยเพียงไร สติปัญญาไม่ต้องบอก เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่กับจิต ด้วยการสั่งสม ด้วยการบำรุงตลอดเวลาอยู่แล้ว จนกลายเป็นหลักธรรมชาติ คืออัตโนมัติแห่งความเพียรของสติปัญญาขั้นนี้ทำงาน จะเป็นไปโดยลำดับ

    เมื่อถึงขั้นนี้แล้วเราจะได้เห็นความอัศจรรย์ของธรรมไปโดยลำดับลำดา ในขณะเดียวกันจะเห็นความทุกข์ที่เคยเป็นมาโดยลำดับลำดา จนกระทั่งว่าทุกข์ที่กิเลสสร้างขึ้นมาในจิตใจนี้ ยังเหลืออยู่มากน้อยเพียงไร ก็ยิ่งจะเห็นเป็นพิษเป็นภัยประจำจิตอยู่ตลอดเวลา แล้วไม่ละเว้นที่จะสังหารมันจนได้นั้นแหละ นั่นละท่านเรียกสติปัญญาอัตโนมัติ มันเห็นโทษเห็นภัยกันอย่างไม่จืดจาง อย่างขยับตัวเข้าไปเรื่อย ๆ มัดเข้าไปเรื่อย ๆ มัดกิเลสมัดเข้าไปเรื่อย ๆ มัดเข้าไปเรื่อย ๆ เหมือนกับกิเลสมัดเราแต่ก่อน กระดิกออกไปแง่ใดมุมใดของอาการของจิต มีแต่เรื่องของกิเลสทำงานเพื่อมัดเราให้อยู่ในกองทุกข์ อยู่ในเงื้อมมือมันเท่านั้น

    ที่นี่เมื่อธรรมมีอำนาจก็เป็นเช่นนั้น ไม่ได้ผิดกันอะไรเลย ผู้ปฏิบัติจะทราบด้วยตัวเองด้วยกันทั้งนั้น เมื่อถึงธรรมขั้นที่เป็นอัตโนมัติแล้ว นั่นละเป็นขั้นที่จะมัดกิเลสให้อยู่ในเงื้อมมือในวันใดวันหนึ่ง เวลาใดเวลาหนึ่ง อย่างรีบอย่างร้อน อย่างสด ๆ ร้อน ๆ อยู่ภายในความเพียรนั่นแล

    เพราะฉะนั้นผู้มีความเพียรประเภทนี้จึงหาเวลาว่างไม่ได้ ไม่มีเวลาว่าง ตาเห็นก็ดีไม่เห็นก็ดี จิตไม่ว่างจากการขวนขวาย จากการขุดค้นเพื่อฆ่ากิเลสโดยลำดับไป ตา หู จมูก ลิ้น กายจะสัมผัสสัมพันธ์หรือไม่สัมผัสสัมพันธ์ไม่สำคัญ แต่จิตกับกิเลสนั้นจะสัมผัสกันอยู่ตลอดเวลาด้วยสติด้วยปัญญาเพื่อฆ่ากิเลสโดยลำดับไป

    นี่ละถึงขั้นนี้แล้วเราจะได้เห็นคุณค่าของจิต เห็นคุณค่าของธรรม เห็นความหวังของตน ว่าสร้างขึ้นมาใกล้เข้าไปทุกทีกับความหลุดพ้นหรือพระนิพพาน หรือความบริสุทธิ์ของใจสิ้นเสร็จไปจากกิเลสประเภทต่าง ๆ จะเห็นเป็นสด ๆ ร้อน ๆ ตลอดไปเลย เพราะฉะนั้นความเพียรของผู้บำเพ็ญในขั้นนี้ จึงนับวันที่จะก้าวหน้าโดยลำดับลำดา ไม่มีคำว่ายืนว่าเดินว่านั่งว่านอนนี้ที่ความเพียรจะไม่ดำเนิน. ขอทุกท่านจงมีความสุขกายสบายใจคล่องตัวทั้งทางโลกและเจริญยิ่งขึ้นไปในทางธรรม อนุโมทนาสาธุค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpeg
      image.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      59.3 KB
      เปิดดู:
      62
  19. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    สวัสดีค่ะพี่ต้อยจะรีบไปไหนจ้า นานๆจะเข้ากระทู้เวลาเดียวกันดีใจมากจ้าที่เจอกันหน้ากระทู้ เขาเรียกว่าใจตรงกัน คิดถึงเสมอค่ะchearrchearrchearr
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    *******************
    ได้เวลาทําสมาธิค่ะ ก่อนMidnight เดี๋ยวจะกลายเป็นPumpkin({) Tic Toc ๆๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...