เรื่องเด่น เปิดกรุพระดี.....สำหรับมีไว้บูชาอย่างแท้จริง

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย หนุ่มเมืองแกลง, 16 มีนาคม 2012.

  1. sujit

    sujit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    318
    ค่าพลัง:
    +704
    ได้รับพระแล้วครับ....ขอบคุณมากครับ
     
  2. krit_kasem

    krit_kasem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    444
    ค่าพลัง:
    +751
    สวัสดีครับพี่หนุ่ม ผมโอนเงินให้แล้วครับ ที่ส่งในpm
    ขอบคุณครับ
     
  3. pinyosin

    pinyosin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2013
    โพสต์:
    441
    ค่าพลัง:
    +1,015
    พี่หนุ่มครับ วันนี้โอนเงินให้แล้วครับ ขอบคุณครับ
     
  4. ShamanKinGG

    ShamanKinGG เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +381
    โอนเงินแล้วครับ 12/07/58 เวลา 20.27 น. จำนวน 800 บาท

    ที่อยู่จัดส่ง PM ครับ
    ขอบคุณครับ
     
  5. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    ขอบคุณมากครับ ยินดีด้วยนะครับ
     
  6. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    ขอบคุณมากครับ ยินดีด้วยนะครับ
     
  7. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857

    จัดส่งพัสดุให้ในเช้าพรุ่งนี้นะครับ ขอบคุณครับ
     
  8. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    จัดส่งพัสดุให้ในเช้าพรุ่งนี้นะครับ ขอบคุณครับ
     
  9. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    จัดส่งพัสดุให้ในเช้าพรุ่งนี้นะครับ ขอบคุณครับ
     
  10. berbapor

    berbapor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,845
    ค่าพลัง:
    +21,862
    สวัสดียามดึกครับพี่หนุ่มเมืองแกลง เพื่อนๆสมาชิกทุกท่าน และผู้ที่เคารพและศรัทธาหลวงพ่อชาญณรงค์ อภิชิโต ทุกๆท่านครับผม
     
  11. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    หมายเลขพัสดุ ระบบems ที่ได้จัดส่งไปแล้วเมื่อเช้านี้

    EN 2243 24911 TH….. ShamanKinGG
    EN 2243 24925 TH….. krit_kasem
    EN 2243 24939 TH….. pinyosin

    EN 2243 24942 TH….. ภาคภูมิ
    EN 2243 24956 TH….. Leonzz
    EN 2243 24960 TH….. wanchai99
     
  12. surasit_c

    surasit_c เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +1,351
    แจ้งโอนเงิน

    แจ้งโอนเงิน พระผงพุทธสิหิงค์ วัดคลองสิบแปด บางน้ำเปรี้ยว ฉะเชิงเทรา หมายเลข 1483 และ 1485 ครับพี่หนุ่ม
    ที่อยู่จัดส่ง นายสุรศิษฐ์ โชคเตชะสวัสดิ์ 24 ซ.ชักพระ 2 ถ.ชักพระ แขวงตลิ่งชัน เขตตลิ่งชัน กทม. 10170
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. วิชญ์24

    วิชญ์24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +6,273
    แจ้งการโอนเงินแล้วครับ 13/ก.ค/58 เวลา 10.31 น.
    หมายเลข 1471 SK_43
    หมายเลข 1472 , และ หมายเลข 1484
    จำนวน 2450 บาท
    ที่อยู่จัดส่ง ที่เดิม ครับ
    ขอบคุณครับ
     
  14. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857

    ผมขอจัดส่งให้ในเช้าพรุ่งนี้นะครับ ขอบคุณมากครับ

    "....ผู้แต่งตำนานนี้คือพระโพธิรังสี ได้พรรณาอานุภาพของพระพุทธสิหิงค์ไว้เป็นอันมาก มีข้อที่น่าฟังตอนหนึ่งกล่าวว่า "พระพุทธสิหิงค์หามีชีวิตได้ก็จริง แต่มีอิทธานุภาพด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ อธิษฐานพละของพระอรหันต์ อธิษฐานพละของเจ้าลังกาหลายพระองค์ และศาสนพละของพระพุทธเจ้า" ซึ่งหมายความว่ากำลังใจของพระอรหันต์ และกำลังใจของเจ้าลังกาพร้อมทั้งกำลังแห่งพระพุทธศาสนา กระทำให้พระพุทธสิหิงค์เป็นพระพุทธปฏิมากรที่ทรงอานุภาพ

    อีกตอนหนึ่งพระโพธิรังสี กล่าวว่า "พระพุทธสิหิงค์เมื่อประทับอยู่ ณ ที่ใด ย่อมทรงทำให้พระพุทธศาสนารุ่งเรืองดั่งดวงประทีปชัชวาล เหมือนหนึ่งว่าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่"

    ในส่วนของพลตรีหลวงวิจิตรวาทการ ผู้ซึ่งได้รวบรวมตำนานพระพุทธสิหิงค์เองมีความเชื่อมั่นในอานุภาพ ของพระพุทธสิหิงค์อยู่มาก "อย่างน้อยก็สามารถบำบัดทุกข์ร้อนในใจให้เหือดหาย ผู้ใดมีความทุกข์ร้อนในใจท้อถอยหมดมานะด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ถ้าได้มาจุดธูปเทียนบูชาและนั่งนิ่งๆ มองดูพระองค์สัก ๑๐ นาที ความทุกข์ร้อนในใจจะหายไป ดวงจิตที่เหี่ยวแห้งจะกลับมาสดชื่น หัวใจที่ท้อถอยหมดมานะจะกลับเข้มแข็งมีความมานะพยายาม ดวงจิตที่หวาดกลัวจะกลับกล้าหาญ ดวงจิตที่เกียจคร้านจะกลับขยัน ผู้ที่หมดหวังจะกลับมีความหวัง"

    คุณานุภาพของพระพุทธสิหิงค์ดังกล่าวมานี้ กระทำให้ท่านเชื่อเหตุผลของ พระโพธิรังสีว่าอธิษฐานพละ คือกำลังใจของพระอรหันต์ และเจ้าลังกาผู้สร้างพระพุทธสิหิงค์ได้เข้าไปอยู่ในองค์พระพุทธสิ หิงค์พร้อมทั้งศาสนพละของพระพุทธเจ้า และข้อที่พระโพธิรังสีกล่าวว่า "พระพุทธสิหิงค์ประทับอยู่ใดก็เหมือนพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ที่นั้น"

    ข้อนี้ก็สมจริง ใครที่ได้เห็นพระพุทธเจ้า แม้แต่ยังมิได้ฟังธรรมเทศนาเลย ก็มีความสบายใจในทันทีที่ได้เห็นผู้ใดที่ได้เห็น พระพุทธสิหิงค์ย่อมได้รับผลอย่างเดียวกัน พระพุทธสิหิงค์เป็นที่เคารพสักการะบูชาของ องค์พระมหากษัตริย์ ของประชาชนชาวสยามมาเป็นเวลาช้านาน จึงกล่าวได้ว่าพระพุทธสิหิงค์เป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของสยามประเทศเลยทีเดียว...."

    ที่มา...พระเครื่องคมชัดลึก
     
  15. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    ผมขอจัดส่งพัสดุให้ในเช้าพรุ่งนี้นะครับ ขอบคุณมากครับ
     
  16. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    วงการพระเครื่อง พระใหม่-พระเก่า

    วงการพระเครื่องแบ่งเป็นพระเก่ากับพระใหม่ ซึ่งมีวิธีการเล่นที่ค่อนข้างแตกต่างกัน อนุชา ทรงศิริ ประธานกรรมการ บริษัท พระใหม่ดอทคอม จำกัด เปิดเผยศูนย์ข่าว TCIJ ว่า สำหรับพระเก่าที่กลุ่มเซียนเล่นกันมักเป็นพระเครื่องที่มีอายุตั้งแต่ปี 2500 ย้อนหลังลงไป กลุ่มคนที่เล่นจะเป็นนักการเมือง นักธุรกิจ นายทหาร-ตำรวจ เนื่องจากเป็นพระมีราคาสูงและหายาก การซื้อ-ขายจะวนเวียนจำกัดอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ หากหลุดออกมานอกกลุ่มเมื่อใดก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นของปลอม

    “พระเก่าจะอยู่ในกลุ่มเซียนเล่นกัน ถ้าเป็นนักสะสมจริง ๆ ต้องมีปัจจัยค่อนข้างสูง เพราะพระเก่าสามารถคืนได้ แต่ต้องหัก คือ 500,000 บาท อาจจะเหลือ 400,000 กว่าบาท เขาจึงซื้อกันในกลุ่มเซียน ถ้าเมื่อไหร่ผมเอาเงิน 500,000 บาทไปใช้ แล้วหายตัวไป ไม่คืน เขาก็ไม่ซื้อกับผม มันมีการการันตีระหว่างผู้ซื้อ-ผู้ขาย ทำไมเซียนถึงขายพระได้แพง เพราะเขาการันตีพระของเขา คุณจะไปอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ รุ่นลูกรุ่นหลานคุณอามาคืน เขาก็จะให้ ราคาของเขาจะมีเป็นมาตรฐาน แต่ปัจจุบันมีเซียนไม่ได้มาตรฐานเยอะ พอเข้ามาก็จะมีการโกงกัน วงการพระเก่าจึงแยกออกไป”

    พระเก่าจึงไม่ค่อยมี หรือไม่จำเป็นต้องมีการทำการตลาด แต่เน้นที่ความน่าเชื่อถือของเซียนพระ ที่คนในวงการให้การยอมรับ ดังนั้นการทำการตลาดพระเครื่องที่ทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน จึงอยู่ในแวดวงพระใหม่เป็นหลัก


    บริษัทรับผลิตพระแบ่งสายรับงาน-มุ่งหาความแตกต่าง สร้างจุดขาย

    ด้าน ณัฐพล อยู่รุ่งเรืองศักดิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และผู้เขียนหนังสือ ‘ประวัติศาสตร์ผ่านพระเครื่อง คติความเชื่อและพุทธพาณิชย์’ กล่าวว่า เท่าที่ทำการเก็บข้อมูลในประเทศไทย พบว่า มีบริษัทที่รับผลิตพระเครื่องอยู่ประมาณ 15-20 บริษัท แต่ละบริษัทก็จะมีความสัมพันธ์กับหน่วยงานราชการแต่ละแห่ง เช่น ถ้าเป็นการผลิตพระเครื่องของกองทัพบก ก็จะเป็นบริษัทหนึ่ง ถ้าเป็นของตำรวจก็จะเป็นอีกบริษัทหนึ่ง ซึ่งโดยส่วนใหญ่บริษัทรับผลิตพระเครื่องจะมีการแบ่งสายและรายได้ เป็นที่รู้กันในวงการ หรือบางรายก็ใช้วิธีติดต่อไปยังวัดต่าง ๆ เอง

    ส่วนกระบวนการผลิตพระเครื่องกล่าวได้ว่า ไม่แตกต่างจากการผลิตสินค้าทั่วไป นั่นคือ ต้องเริ่มจากการออกแบบตัวผลิตภัณฑ์ให้มีความแตกต่าง แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการ ยกตัวอย่างเช่น การผลิตพระเครื่องหลวงพ่อโสธร การออกแบบย่อมไม่สามารถฉีกแนวรูปลักษณ์ขององค์หลวงพ่อโสธรจนเกินไปได้ เพราะอาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือของพระเครื่องรุ่นที่จะผลิตออกมา ทำให้บางเจ้านำงานอัญมณีเข้ามาประกอบเพื่อให้เกิดความสวยงามและสร้างจุดขาย

    อีกจุดหนึ่งที่นำมาสู้กัน เพื่อสร้างความแตกต่างคือ มวลสาร เช่น ทรายทอง แร่ทรายเงิน เส้นผมของพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง หรือที่มีการโฆษณาออกสื่อ เช่น ดินจากสังเวชนียสถาน เป็นต้น อนุชากล่าวว่า เพราะความต้องการสร้างความแตกต่างด้านมวลสาร โลหะจากปีกเครื่องบิน ก็มีการนำมาใช้เป็นมวลสาร ซึ่งจะเป็นภาระของผู้สร้างที่ต้องหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลให้ได้ว่า เหตุใดจึงเลือกวัตถุนั้น ๆ เป็นมวลสาร ซึ่งในแง่ต้นทุนแล้ว มวลสารถือเป็นต้นทุนในสัดส่วนที่ไม่มาก เพราะใช้จริงเพียงเล็กน้อย เรียกว่านำมาเป็นเชื้อเท่านั้น ไม่ได้ใช้จำนวนมาก แต่ก็ถือเป็นตัวสร้างจุดขายที่ดีจุดหนึ่ง อนุชาเปิดเผยว่า บางรายก็เพียงแต่โฆษณา ไม่ได้มีมวลสารที่ว่าจริงก็มี

    ส่วนตัวบล็อกสำหรับเป็นแบบพิมพ์พระ หากเป็นพระผงตกราว 4,000-6,000 บาท เนื้อโลหะประมาณ 5,000-7,000 บาท ทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับฝีไม้ลายมือของช่างแกะพิมพ์ด้วย

    ค่าปลุกเสกระดับเกจิอาจารย์ 50,000 บาทต่อวัน

    การปลุกเสกนับเป็นอีกหนึ่งกลวิธีสร้างความแตกต่างให้แก่พระเครื่องแต่ละรุ่น โฆษณาพิธีพุทธาภิเษกหรือปลุกเสกความศักดิ์สิทธิ์แก่พระเครื่อง มีให้เห็นเป็นประจำ ซึ่งมักขับเน้นด้วยจำนวนพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง และมีชื่อเสียงด้านต่างๆ ความอลังการของตัวพิธี หรือการนิมนต์พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ณัฐพลกล่าวว่า

    “ต้นทุนส่วนนี้ บางครั้งก็ขึ้นกับว่าเป็นการประกอบพิธีพุทธาภิเษกตามรูปแบบโบราณหรือเปล่า เพราะต้องนิมนต์พระค่อนข้างมาก เช่น ต้องสวดชัยมงคลคาถาต้องนิมนต์พระมาสวด 108 รูป ต้องมีพระอันดับทั้ง 32 รูป รวมถึงพระเกจิชื่อดังที่เป็นที่ยอมรับปรกอีก 4 ทิศ คือ ค่านิมนต์พระเกจิ ณ ตอนนี้ เท่าที่ผมได้ยินก็ประมาณ 30,000-50,000 บาท ต่อรูปต่อวัน ซึ่งโดยปกติจะเสร็จในวันเดียว นอกจากว่านิมนต์ปลุกเสกเดี่ยวในช่วงไตรมาส ช่วงเข้าพรรษา อันนั้นก็แยกออกไป ส่วนพระโดยทั่วไปจะได้ประมาณ 300-1,000 บาท แล้วแต่เจ้าภาพจะจัดได้ขนาดไหน นอกจากนี้ยังมีค่าบวงสรวงก่อนทำพิธี เช่น ค่าบวงสรวงเตาไฟ ค่าบวงสรวงปรัมพิธี โดยประมาณก็ 10,000-20,000 บาทต่อพิธี ส่วนนี้เป็นการเก็บข้อมูลมาเมื่อสักประมาณปี-2 ปีที่แล้ว”

    อย่างไรก็ตาม อนุชากล่าวว่า ใช่ว่าพิธีปลุกเสกใหญ่โตและจำนวนพระเกจิจำนวนมาก จะช่วยให้พระเครื่องรุ่นนั้น ๆ เป็นที่นิยมในตลาดเสมอไป พระเครื่องบางรุ่นที่ผ่านพิธีการปลุกเสกเอิกเกริก ก็ไม่ช่วยให้เป็นที่นิยมหรือมีราคาสูงมากขึ้น ขณะที่พระเครื่องบางรุ่นได้รับการปลุกเสกจากพระเกจิชื่อดังเพียงรูปเดียวอาจเป็นที่ต้องการของตลาดมากกว่า กรณีที่ชัดเจนคือ พระเครื่องของพระเทพวิทยาคม หรือหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา

    สายส่งพระเครื่องวัดแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้

    ด้านการกระจายตัวสินค้า ปัจจุบันมีความแตกต่างจากเมื่อก่อนที่ศูนย์กลางจะอยู่ที่วัด แต่ยุคนี้ วัดต่างๆ เปิดศูนย์พระเครื่องและวัตถุมงคลเป็นของตัวเอง อนุชาขยายความว่า

    “คนไปขอเปิดตามวัดต่าง ๆ แต่ละวัดก็จะมีศูนย์พระ จะไปเอาพระมาขายแล้วก็แบ่งเปอร์เซ็นต์ อย่างเช่นทุกวันนี้ ศูนย์พระต่างๆ ได้ประมาณสิบเปอร์เซ็นต์ คนวางได้สิบห้าหรือห้าเปอร์เซ็นต์ สมมติว่าผมเป็นคนเดินพระ ผมเหมือนสายส่งหนังสือพิมพ์ไปรับพระมาจากวัด แล้วก็เดินไปตามศูนย์พระต่าง ๆ แล้วผมก็มาเก็บเงินทีหลัง เอาไปให้วัดแล้วหักเปอร์เซ็นต์ ผมก็ได้เปอร์เซ็นต์ตรงนั้น นี่คือการกระจายพระเครื่อง ซึ่งเป็นพระใหม่ ดังนั้นถ้ามีศูนย์พระเป็นจำนวนมากการกระจายมันก็โอเค”
    ส่วนจะได้กี่เปอร์เซ็นต์ก็ขึ้นกับทางวัดแต่ละแห่ง ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นสายส่งต้องบริหารจัดการเอง ว่าจะเหลือเข้ากระเป๋าเท่าใด เมื่อหักต้นทุนส่วนอื่น ๆ แล้ว

    งบโฆษณาสูงสุด-ปั่นกระแส สร้างราคา

    แต่ต้นทุนทั้งหมดข้างต้น-การออกแบบผลิตภัณฑ์ พิธีปลุกเสก หรือค่ากระจายสินค้า ยังไม่ใช่ต้นทุนส่วนที่สูงที่สุด เพราะต้นทุนหลักในการผลิตพระเครื่องให้ติดตลาดและราคาดีคือต้นทุนส่วนการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่างๆ ณัฐพล กล่าวว่า อาจสูงถึง 60-70 เปอร์เซ็นต์ของต้นทุนทั้งหมด

    ทว่า ยังมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์อีกรูปแบบหนึ่งที่เรียกกันว่า ปั่นกระแส ซึ่งมักมาคู่กับการปั่นราคา ณัฐพลเปิดเผยว่า

    “การสร้างพุทธคุณออกมาให้ปรากฎ เช่น การสร้างเรื่องอภินิหาริย์ว่า ถูกรถชนแล้วไม่เป็นอะไร ก็จะไปดูว่าแขวนพระอะไร แต่พวกนี้ก็จะมีนอกมีในกับพวกมูลนิธิหน่วยกู้ภัยเหมือนกัน ผมเคยได้ข้อมูลมา หรืออีกวิธีการหนึ่งคือการร่วมมือกับพวกเซียนพระ เมื่อไหร่ก็ตามที่คนกลุ่มนี้บอกว่า รับซื้อพระรุ่นนี้ ในราคาเท่านี้ ตลาดก็จะไปตีเอาว่ากระแสเริ่มหันมาทางนี้แล้ว ราคาพระก็จะขึ้น ซึ่งมีบ่อยครั้งที่ผู้ผลิตพระและเซียนจะจับมือกันเพื่อสร้างกระแส”

    ณัฐพลอธิบายว่า การปั่นราคาพระเริ่มจากการแอบเก็บพระไว้ ขณะเดียวกันก็มีการเสนอราคาพระให้สูงขึ้น แล้วรับซื้อในช่วงแรก ตัวอย่างเช่น วัดแห่งหนึ่ง จำหน่ายพระใหม่ในราคา 100 บาท เมื่อจำหน่ายหมด วัดจะได้ส่วนแบ่งประมาณครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งเป็นของผู้ผลิต แต่ภายหลังผู้ผลิตจะกลับไปกว้านซื้ออย่างเงียบ ๆ ในราคา 110-120 บาท เมื่อเก็บไว้ได้ระดับหนึ่งจะประกาศออกว่า ต้องการพระองค์นี้ ให้ราคาที่ 150-200 บาท ผู้ที่มีพระดังกล่าวในครอบครองก็จะนำมาปล่อยให้ ระยะแรกที่ปล่อยขายได้ผู้คนจะเห็นว่าพระองค์นี้ราคาดี ขายได้ ก็จะเริ่มมีการปั่นราคาพระขึ้นไปอีก เริ่มมีการให้ 250-300 บาท พอถึงจุดอิ่มตัว พระที่ผู้ผลิตซื้อเก็บไว้ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ในราคา 120 บาทจะถูกปล่อยออกมาในราคา 250-280 บาท ให้ถูกกว่าเจ้าอื่น คนอื่น ๆ จะเริ่มซื้อกักตุนพระเครื่องของที่พึ่งปล่อยออกมา การปั่นราคาจะสิ้นสุด เมื่อผู้ผลิตปล่อยพระได้หมด ซึ่งวิธีการเช่นนี้คล้ายคลึงกับคำบอกเล่าของอนุชาที่ระบุว่า

    “ที่เขาทำกันสมัยก่อนคือไปเดินซื้อ จนเกิดการบอกต่อว่าพระเครื่องรุ่นนี้ขายได้ แบบนี้เรียกปั่น คือตามเก็บเลย พระรุ่นนี้ข้ามีอยู่แล้ว ข้าทำเยอะหรือเช่าไว้เยอะ ก็ใช้วิธีกว้านซื้อให้รู้ว่ามีคนต้องการ ปล่อยออกไป แล้วก็กว้านซื้อกลับมา ปัจจุบันก็ยังมี ปั่นง่าย เพราะการซื้อขายเดี๋ยวนี้ง่ายที่สุดคือการซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ต เขาปั่นกันทางเน็ต สร้างกระแสให้พระรุ่นนี้ ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ ก็เข้าไปซื้อกัน ให้ราคาสูง ๆ ปั่นจนพระเริ่มไม่มีหรือมีน้อย ราคาก็จะเพิ่มขึ้นไปเลย คือถ้าคนมีเงินทำได้ ถ้าคุณอยากจะปั่น เพียงแต่ว่าคุณจะกล้าปั่นหรือไม่เท่านั้นเอง”

    แล้วใครคือคนที่กล้าปั่น? อนุชาตอบว่า คนที่กล้าปั่นคือ คนที่รู้จำนวนพระที่แท้จริง นั่นย่อมหมายถึงคนสร้างหรือคนในแวดวงผู้สร้างพระเครื่องว่า พระเครื่องรุ่นไหนสามารถปั่นราคาได้ รู้ว่าพระรุ่นนี้อยู่ที่ใคร แล้วพยายามกว้านซื้อกลับมา

    “พอลงในอินเตอร์เน็ตก็ประมูลราคาสูงทันที ให้ราคาสูงเป็นแสน เป็นล้านบาท สู้กัน ปั่นกันไป คือถ้าปั่นของมันต้องน้อย ถ้ากระจายอยู่ในท้องตลาดมากคุณปั่นไม่ขึ้น ไม่มีโอกาสไปปั่น เพราะการปั่นรารานั่นคือของไม่มีถึงจะปั่นได้ คนต้องการมากแล้วของไม่มี แต่การปั่นกระแส บางทีกระแสก็ช่วยปั่นอะไรไม่ได้ คุณไปรถคว่ำไม่ตาย คุณบอกห้อยองค์นี้ แต่ว่าถ้าของยังมีจำนวนมากอยู่คุณจะปั่นยังไง”

    เมื่อพระเครื่องกลายเป็นธุรกิจ เป็นการออม และมีการเก็งราคาไม่ต่างจากการซื้อ-ขายหุ้น จึงไม่แปลกที่ปัจจุบันจะมีหนังสือเกี่ยวกับการเล่นพระให้รวย อนุชากล่าวว่า สำหรับพระเครื่องรุ่นใหม่ ๆ ที่มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ดี ๆ สามารถอยู่ในกระแสได้นานประมาณ 6 เดือน แต่ก็ยังเป็นภาระของผู้เล่นที่จะต้องมองตลาดเป็น หรืออ่านให้ขาดว่า พระเครื่องรุ่นไหนจะเป็นที่ต้องการของตลาดในช่วง 6 เดือนจากนี้ และต้องแบกรับความเสี่ยงจากการลงทุนเอง

    นี่น่าจะเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของการสร้างมูลค่าพระเครื่อง ขณะที่เทคโนโลยีรุดหน้า ช่องทางการสื่อสารผุดขึ้นมากมาย ทั้งอินเตอร์เน็ต ทีวีดาวเทียม เคเบิ้ลทีวี กลวิธีการทำการตลาดและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์แห่งศรัทธาคงจะมีการพัฒนารูปแบบใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นตามมาอีกมาก ตราบเท่าที่ผู้คนยังต้องการสิ่งยึดเกาะทางจิตใจ
     
  17. Williamboy

    Williamboy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    129
    ค่าพลัง:
    +644
    ขอบคุณมากครับพี่หนุ่มสำหรับบทความข้างต้น อ่านมันส์อีกเเล้ว ขออีกนะครับเรื่ิ
    องเเบบนี้เป็นวัคซีนชั้นดีสำหรับวงการพระบ้านเราเลยครับ
     
  18. berbapor

    berbapor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,845
    ค่าพลัง:
    +21,862
    สวัสดียามดึกครับพี่หนุ่มเมืองแกลง เพื่อนๆสมาชิกทุกท่าน และผู้ที่เคารพและศรัทธาหลวงพ่อชาญณรงค์ อภิชิโต ทุกๆท่านครับผม
     
  19. ฦาชา

    ฦาชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2015
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +189
    ได้รับความรู้เกี่ยวกับวงการพระมากขึ้น ขอบคุณครับคุณหนุ่ม
     
  20. หนุ่มเมืองแกลง

    หนุ่มเมืองแกลง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2007
    โพสต์:
    32,522
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +210,857
    บทความนี้เขียนขึ้นจากการที่ รู้เห็นการกระทำของคนในวงการพระทั้งที่เป็นที่ยอมรับและไม่ยอมรับของสังคมเป็นระยะมาหลายสิบปี ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ให้เพื่อนนักนิยมพระทั้งหลาย รู้จักการวางตัวและการคบหากับเซียนเล็กเซียนใหญ่ทั้งหลายให้ถูกต้องและอย่าได้ถลำลึก จะได้รอดจากปากเหยี่ยว ปากกา หรือสมควรเรียก เสือ สิงห์ กระทิง แรด จะถูกต้องกว่า....

    1.ความเป็นเขี้ยวลากดิน
    ความเป็นเขี้ยวลากดินนี้ในวงการพระก็เป็นเรื่องแปลก ไม่มีใครสอนหรือเปิดอบรมแต่มันเป็นขึ้นมาเองโดยสิ่งแวดล้อม เรียกตามแนวศิลป์อาจจะเรียกว่า สืบทอดกันมาโดยจิตวิญญาณ 55 อันนี้มองเป็นเป็นรูปธรรมได้ไม่ต้องใช้ความรู้สึก เช่น เวลาท่านนำพระแท้ๆไปแห่ขาย(ขอให้เป็นพระที่วงการเล่นหากัน เอาเป็นว่าพอนิยมกันนะครับ) จะได้คำวิพากวิจารณ์และการตีสีหน้าของเซียนเวลาส่องพระ ไม่รู้ท่านพวกนี้ทำไมต้องทำสีหน้าเครียดเหมือนเวลาญาติสนิทตัวเองป่วยไม่ทราบ พร้อมกับถามว่า “ตีไว้เท่าไร” (อันนี้คือเรียกว่ากฎหัวขาด ห้ามให้ราคาก่อนเผื่อคนเอาพระมาขายเป็นเอ๋อ) พอเราบอกไปจะได้ยินคำพูดต่อคือ “ลดได้เยอะมั้ย” พร้อมคำวิพากวิจารณ์แบบเรียกว่า เจ้าของพระได้ยินแล้วอยากจะขว้างพระตัวเองทิ้งตอนนั้นเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปซะเลย เมื่อพูดคุยถึงจุดสุดท้ายราคาที่ได้คือ ราคำที่ต่ำกว่าราคาขายท้องตลาด หาร 2 หาร 3 นู่น.

    2.มาดเหลือแดรกกก....มากับเล่ห์เพทุบาย..
    อันนี้ก้อต่อเนื่องจากข้อแรก คือเวลาเจอพระก้ำกึ่งหรือพระที่ดูยาก หรือพระที่ มีการสร้างคล้ายกันหลายสำนักแต่ตีไม่ออกว่าที่ไหน จะมีการกวักหรือโทรเรียก(อันนี้ตัวผมเรียกว่า เซียนรับเชิญ) เซียนสายตรงเป็นท่อมา ฮาๆๆๆๆ คราวนี้เรารอสักแป๊ป ก็จะเห็นเซียนที่ถูกเชิญมา ทั้งท่าเดิน ที่บางคนก็เดินถ่างขา ดูเหมือนคนเป็นซิฟิลิส(โรคคนแก่รุ่นเก๋า)ยังไงยังงั้น พร้อมสีหน้าเครียดอีกเหมือนกัน (คราวนี้ตีสีหน้าเหมือนรู้ว่าเมียมีชู้) พวกนี้ดูดีๆก็น่าสงสารเหมือนกันนะครับ รูปร่างหน้าตาส่วนใหญ่มักผิดระเบียบส่วนใหญ่หน้าตาน่ากลัวทั้งนั้น ชะลอยจะเหมือนคนโบราณว่า บุญทำกรรมแต่งเมื่อทำชั่วมากๆหน้าตาก็จะเริ่มเปลี่ยนไปในด้านมืด ภาษาอังกฤษเรียก Dark Side 55(มองดูไม่น่าคบแววตาจะระแวดระวังตัว แต่ก็คอยมองหาเหยื่อเช่นกัน(ก็กลัวงาบโดนกระดูกติด C-4) ดีอยู่อย่างพวกนี้ส่วนใหญ่ได้เมียหน้าตาดี อิอิ..แล้วก็เหมือนเดิมครับ..คำพูดคำวิจารณ์ไม่ต่างกับเซียนท่านแรกแต่ที่มาแปลก คือคำตัดสิน ผมเคยนำกริ่ง หม้อน้ำมนต์โต เจ้าคุณศรี(สนธุ์) วัดสุทัศน์ไปปล่อยที่ท่าพระจันทร์ อ้ายเซียนรับเชิญ กลับตีเป็น ล.พ.ห้อง วัดช่องลมซะฉิบ! ซึ่งราคาค่านิยมต่างกันลิบ แต่มันคงเป็นสันดานที่เห็นแก่ได้ที่ขาดซึ่งความสำนึก ที่สืบทอดต่อกันมาเป็นรุ่นๆ ดีนะครับที่ไม่ได้ขายไป แต่นำมาลงหนังสือขายได้เงินหลายหมื่นพวกท่าพระจันทร์ตอนนั้นตีเป็น ล.พ.ห้อง วัดช่องลมให้สี่ห้าพัน...

    3.บุญคุณไม่ตอบแทน.....แต่ ถ้ามรึงแร้นแค้นกรู..ไม่คบ
    เมื่อสมัยก่อน ประมาณปี2536-2540 ผมเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง พอมีเงินหมุนสบาย และชอบเช่าพระเก็บไว้ เช่น สาย ล.พ.พรหม, สาย วัดปากน้ำ, ล.ป.โต๊ะจนสนิทกับเซียนสายตรงท่านหนึ่งเพราะเช่าพระเขาเป็นเงินหลายๆแสน ในสาย ล.พ.พรหม ซึ่งตอนนั้นพระ ล.พ.พรหม ราคาไม่แพงมากเรียกว่าซื้อง่ายขายคล่อง มีพระ ล.พ.พรหม เป็นจำนวนมาก เมื่อตอนเซียนท่านนั้นจะซื้อบ้าน แต่ยังขาดสภาพคล่อง ได้เอ่ยปากขอยืมเงิน200,000.-เดือนกว่าจะให้คืน ผมหยิบเช็คเซ็นต์ให้ทันที โดยไม่คิดดอกเบี้ยและบอก มีเมื่อไรค่อยคืนก็ได้ แต่ประมาณเดือนกว่าก็ได้คืนครับ ก็นับว่าเครดิตเซียนท่านนี้ใช้ได้ทีเดียว จนมาถึงเมื่อพิษเศรษฐกิจ ปี2540 เกิด นักธุรกิจล้มระเนระนาด ผมก็เป็นผู้หนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เดือดร้อนมากที่สุด ได้นำพระ ล.พ.พรหม ที่มีเป็นกล่องๆไปขายให้เซียนท่านนั้นเพื่อนำไปจ่ายค่าวัสดุก่อสร้างและค่าแรงงาน แต่คำตอบที่ได้คือ “ไม่อยากตีราคาให้คุณ..(ชื่อผม)..เลย ฝากที่ร้านขายให้ดีกว่านะ” อันนี้ผมเข้าใจครับเพราะถ้าเขาตีราคาให้ก็คงต่ำกว่าท้องตลาดเป็นครึ่งๆจึงไม่กล้าตีให้ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเคยเอ่ยปาก ขอยืมเงิน แค่ 3000บาท แต่คำตอบที่ได้คือ การปฏิเสธ อันนี้ขอเตือนเป็นข้อคิดนะครับว่า เซียนท่านนั้นคงเห็นผมตกอับ แล้ว ซึ่งผิดกับเมื่อก่อนก็เลยไม่กล้าให้ยืม ชะลอยจะคิดว่าแต่ก่อน กรูยืมมึงเป็นแสน มรึงมีให้ แต่ตอนนี้ มรึงกับมายืมกรูแค่สามพัน 55 เรื่องไรกรูจะให้ ยังมีอีกคนครับเคยกู้เงินผมๆก็คิดดอกร้อยละ3 โดยไม่มีสัญญาหรือสิ่งค้ำประกันใดๆทั้งสิ้น ไปเป็นเงินหลายหมื่น ไม่มีต้นให้ก็ส่งแต่ดอกมาครับ เรียกว่าไม่มีกำหนดส่งต้น คนนี้หลายเดือนครับกว่าจะได้ต้นคืนแต่ก็ได้ครบครับไม่มีปัญหาใดๆ แต่ในยามที่ผมเดือดร้อนและเซียนท่านนี้มีเงินทองมากมาย เฉพาะพระในตู้ที่มีทั้งเลี่ยมทองและตลับทองคิดแค่ทองคำอย่างเดียวก็น่าจะหลักหลายแสนขึ้นครับ วันนั้นผมถือพระชินราชอินโดจีนไปห้าองค์ มูลค่าตามท้องตลาดน่าจะสองถึงสามหมื่นขึ้น ผมยื่นให้เขาพร้อมพูดว่า “เราขอยืมเงิน12,000 เราวางพระห้าองค์นี้ไว้ เป็นประกันให้ คิดดอกเท่าไรคิดไป” แต่คำตอบที่ได้คือ “สมัยนี้ใครจะเอาเงินมารับจำนำพระ เงินจม เอาไว้ซื้อพระไม่ดีกว่าหรือ ทำไมไม่ขายไปเลย” นี่คือสันดานของเซียนที่เห็นแต่ผลประโยชน์ที่ยามเรามีเงิน กับไม่มีเงิน ความสัมพันธ์ย่อมไม่เหมือนกัน

    4.ไม่มีมิตรและศัตรูที่ถาวร
    อันนี้เหมือนนักการเมืองน้ำเน่าปัจจุบันเป๊ะ....คนพวกนี้พอผลประโยชน์ร่วมกันก็กินเที่ยวด้วยกัน แต่พอผลประโยชน์ขัดกันก็โจมตีกันเอง เรื่องนี้ทุกท่านน่าจะเคยเจอ ถ้าสนิทกับตู้ไหน จนพอไว้เนื้อเชื่อใจก็จะได้ฟังเรื่องเล่าเค้ามหากาพย์ ไม่รู้จบ โจมตีกันไปมา

    5.องค์เดียวกัน 15 นาที เปลี่ยนเป็นรุ่นอื่น
    เคยเดินเล่นในบางลำพูงามวงค์วาน (ชื่อเมื่อก่อน)เผอิญเดินผ่าน ตู้หนึ่ง (มีชื่อเสียงในสายเครื่องรางพอสมควร) เห็นมีคนเอากะลาแกะ รูปราหูมาปล่อย ผมปาดตามองเห็นพระเลี่ยมพลาสติกอยู่ โดยจับขอบชิ้นกลางเป็นสีเหลือง ก็มองไว้ แต่ดูไม่เป็นหรอกครับ ได้ยินเสียงเซียนต่อรองกับผู้นำมาปล่อยว่าราคามันแรงไป แค่ ล.พ.ปิ่น ยุคต้น..ตอนนั้นผมยืนหันหลังให้เขาเพราะแกล้งทำเป็นส่องพระจากแผงขาจรอยู่ ซึ่งวันนั้นมีตลาดนัด ก็ฟังไป จนเขาตกลงราคาซื้อขายกันแค่ 800 บาท ในใจตอนนั้นผมก็อยากได้พระราหูมาใช้เสริมดวงอยู่เหมือนกัน คิดว่า ซื้อต่อคงไม่แพงมากแต่จะเข้าไปซื้อตอนนั้นเลยก็น่าเกลียด เลยแกล้งเดินไปที่อื่น รอบๆนั้น อีก 15 นาที เดินกลับมา ผมมายืนหน้าตู้ แล้วถามว่า “พี่ครับ ราหู องค์นี้ ของ ที่ไหนครับ” “องค์นี้กะลาแกะ ล.พ.น้อย ครับ”เซียนท่านนั้นตอบเล่นมาผมตัวชาไปเลย แต่ก็ยังรวบรวมสติท่ามกลางความตกตะลึง ถามกลับออกไปว่า“เท่าไรครับ”“22,000 ครับ” ตอนนั้นแทบล้มทั้งยืนเลยครับ ผมจำพระได้ครับ เลี่ยมกรอบพลาสติคจับขอบชั้นกลางเป็นสีเหลืองและในตู้มีองค์เดียวที่เลี่ยมแบบนี้ ไฉนจาก ล.พ.ปิ่น ผ่านไปไม่ถึง15นาที มันเป็น ล.พ.น้อย ได้ไง(วะ)แล้วราคานี่...อ่ะ มันพุ่งทะลุเพดานห้างไปชนโลกพระจันทร์จนต้องหาช่างมาซ่อมหลังคาห้างขนาดนั้นเชียวหรือ 800 เป็น 22000.-โอว์......อาร์....อูว์........
     

แชร์หน้านี้

Loading...