องค์เครื่องบรรลุโสดา (โสตาปัตติยังคะ)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย มาจากดิน, 15 มิถุนายน 2015.

  1. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    "ปฐพฺยา เอกรชฺเชน สคฺคสฺส คมเนน วา

    สพฺพ โลกาธิปจฺเจน โสตาปตฺติผลํ วรํ"


    เลิศล้ำ เหนือความเป็นเอกราชบนผืนปัฐพี ดีกว่าการได้ไปสู่สรวงสวรรค์

    ประเสริฐกว่าสรรพโลกาธิปัตย์ คือ ผลการตัดถึงกระแสโพธิธรรม

    (ขุ.ธ.25/23/39)

    [​IMG]
     
  2. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ชีวิต และคุณธรรมพื้นฐานของอารยชน


    ปัจจุบันนี้ ความเข้าใจและความรู้สึกของคนทั่วไปเกี่ยวกับนิพพาน และความเป็นพระอรหันต์ได้ เปลี่ยนแปลงไปมาก การมองนิพพานโดยฐานะเป็นแก้ว แห่งบรมสุขนิรันดรอย่างในสมัยโบราณ ได้กลายไปเป็นความรู้สึกว่าหมดสิ้นขาดสูญ ยิ่งมาเหินห่างจากคำสอนของพระพุทธศาสนา และถูกความนิยมปรนเปรอทางวัตถุซ้ำเข้าอีก คนยุคปัจจุบันก็เลยมักมีความรู้สึกต่อนิพพานในทางลบ เห็นเป็นภาวะที่พึงเบือนหรือผละหนี อย่างน้อยก็รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่อยู่ห่างไกลเหลือเกิน ซึ่งไม่เห็นเหตุผลที่จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง

    ในสภาพเช่นนี้ นอกจากจะต้องพยายามเสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับนิพพานให้เกิดขึ้นแล้ว มีภูมิธรรมระดับหนึ่งที่ควรช่วยกันชักจูงคนให้หันมาสนใจ คือ ความเป็นโสดาบัน ซึ่งเป็นอริยบุคคลระดับต้นหรือสมชิกกลุ่มแรกในชุมชนอารยะ

    ความจริง ความเป็นโสดาบันนี้เป็นเป็นสิ่งที่ควรสนใจ ไม่เฉพาะในระหว่างที่กำลังสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับนิพพาน และความเป็นพระอรหันต์เท่านั้น แม้ตามปกติก็เป็นข้อที่ควรเน้นเสมออยู่แล้ว แต่มักถูกละเลย หรือมองข้ามกันไปเสีย

    ที่กล่าว่า ความเป็นพระโสดาบันก็ดี ภูมิธรรมและการดำเนินชีวิตระดับนี้ก็ดี เป็นสิ่งทีควรจะสนใจและเน้นกันให้มาก แม้แต่พระพุทธองค์เอง ก็ได้ตรัสแนะนำย้ำไว้ว่า

    ภิกษุทั้งหลาย เหล่าชนทั้งหลาย ทั้งคนที่พวกเธอพึงอนุเคราะห์ และคนที่พอจะรับฟังคำสอน ไม่ว่าจะเป็นมิตร เป็นผู้ร่วมงาน เป็นญาติหรือสาโลหิตก็ตาม พวกเธอพึงชักชวน พึงสอนให้ตั้งอยู่ ให้ดำรงมั่นในองค์คุณของโสดาบัน ๔ ประการ”* (สํ.ม.19/1493-1497/456-458)

    ภาวะและชีวิตของพระโสดาบัน ไม่ห่างไกลและไม่น่ากลัวเลยสำหรับปุถุชนทั้งหลายแม้ในสมัยปัจจุบัน กลับจะเป็นที่น่าชื่นชมอย่างยิ่งสำหรับสาธุชนด้วยซ้ำ

    พุทธสาวกโสดาบันจำนวนมากมายในพุทธกาลเป็นคฤหัสถ์ ดำเนินชีวิตที่ดีงาม ชอบด้วยศีลธรรม อยู่ท่ามกลางสังคมของชาวโลก มีชีวิตครอบครัวที่เป็นสุด บำเพ็ญประโยชน์แก่ชุมชน แก่พระศาสนาและแก่บ้านเมือง มีชีวิประจำที่น่ายึดถือเป็นแบบอย่าง

    ท่านเหล่านี้ แม้จะได้บรรลุภูมิธรรมสูงแล้ว แต่ยังโศกเศร้าร่ำไห้ (เช่นเรื่องนางวิสาขา ใน ขุ.อุ.25/176/223 ฯลฯ) ยังมีรักมีโกรธดังสามัญชน แต่ละเมียดเบาบางกว่า และจะไม่ทำความชั่วความผิดที่เสียหายร้ายแรง และความทุกข์ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับทุกข์ส่วนใหญ่ที่ละได้แล้ว เป็นผู้มีพื้นฐานอันมั่นคง ที่จะนำชีวิตของตนเดินทางก้าวหน้าไปในมรรคาแห่งความสุขที่ไร้โทษและกุศลธรรมที่ไพบูลย์

    - พุทธสาวกโสดาบันที่พึงออกชื่อเป็นตัวอย่างแสดงหลักฐานไว้ ณ ที่นี้ เช่น พระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นมคธ ผู้ทรงถวายเวฬุวันเป็นสังฆารามแห่งแรก ในพระพุทธศาสนาและรักษาอุโบสถเดือนละ ๔ ครั้ง (วินย. 4/57-63/64-72 ฯลฯ)

    - อนาถบิณฑิกเศรษฐี เจ้าของทุนสร้างวัดเชตวันที่มีชื่อเสียง ผู้บำรุงพระสงฆ์และสงเคราะห์คนอนาถาอย่างไม่มีใครอื่นเทียบเท่า (วินย.7/241-256/102-112 ฯลฯ)

    - นางวิสาขามหาอุบาสิกา เอตทัคคะฝ่ายทายิกา ผู้แม้มีบุตรธิดามากถึง ๒๐ คน แต่สามารถบำเพ็ญประโยชน์ส่วนรวมได้เป็นอย่างดี มีบทบาทช่วยกิจการของสงฆ์อย่างสำคัญ เป็นผู้กว้างขวาง และมีเกียรติคุณสูงเด่นในสังคมแคว้นโกศล (วินย.5/153-155/207-214 ฯลฯ)

    - หมอชีวก โกมารภัจ แพทย์ใหญ่ประจำพระองค์ราชาแห่งมคธ ประจำพระองค์พระพุทธเจ้าและคณะสงฆ์ ผู้มีเกียรติคุณยั่งยืนตลอดมาในวิชาแพทย์แผนโบราณ (วินย.5/128-138/168-193 ฯลฯ)

    - นกุลบิดาและนกุลมารดา คู่สามีภรรยาผู้ครองรักอันภักดีมั่นคงตราบชรา และยังปรารถนาเกิดพบกันทุกชาติไป (องฺ.เอก.20/151-2/33-4 ฯลฯ)

    ……….

    อ้างอิง *

    * องค์คุณที่จะทำให้เป็นโสดาบัน มาจากคำว่า โสตาปัตติยังคะ แปลตามรูปศัพท์ว่า องค์เครื่องบรรลุโสดา บางแห่ง หมายถึงธรรมที่ทำให้บรรลุโสดาปัตติผล บางแห่ง หมายถึงธรรมที่เป็นคุณสมบัติของโสดาบัน


     
  3. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    คุณสมบัติของบุคคลโสดาบัน

    คุณสมบัติของพระโสดาบัน เท่าที่รู้กันดีโดยทั่วไปก็คือ การละสังโยชน์ ๓ ข้อต้น (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และ สีลัพพตปรามาส) ได้ ซึ่งนับว่าเป็นคุณสมบัติฝ่ายลบ หรือฝ่ายหมดไป แต่ความจริง มีคุณสมบัติฝ่ายบวกหรือฝ่ายมีด้วย และตามหลักฐานปรากฏว่า ท่านเน้นคุณสมบัติฝ่ายมีเป็นอย่างมาก

    คุณสมบัติฝ่ายมีนั้น มีหลายอย่าง แต่เมื่อกล่าวโดยสรุป ก็รวมอยู่ในหลักธรรมสำคัญ สำหรับตั้งเป็นเกณฑ์ได้ ๕ อย่าง คือ ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ (ความเสียสละ) และปัญญา ในที่นี้ จะรวบรวมคุณสมบัติต่างๆทั้งฝ่ายหมด และฝ่ายมีมาเรียงไว้ โดยแสดงเฉพาะสาระสำคัญ ดังนี้

    ก.คุณสมบัติฝ่ายมี (แสดงฝ่ายมีก่อนฝ่ายหมดอย่างนี้ ทำตามนิยมของปัจจุบัน ย้อนกับความนิยมของบาลี ซึ่งแสดงฝ่ายหมดก่อนฝ่ายมี อย่างไรก็ตาม ตามความจริง ทั้งฝ่ายหมด และฝ่ายมี สัมพันธ์กัน เนื่องอยู่ด้วยกัน)

    ๑. ด้านศรัทธา เชื่อมั่นในความจริง ความดีงาม และ กฎธรรมดาแห่งเหตุและผล มั่นใจในปัญญาของมนุษย์ที่จะดับทุกข์หรือแก้ไขปัญหาได้ตามทางแห่งเหตุผล และเชื่อในสังคมที่ดีงามของมนุษย์ซึ่งจะเจริญงออกงามขึ้นได้ตามแนวทางเช่นนั้น ความเชื่อมั่นนี้แสดงออกด้วยความเลื่อมในอันหยั่งลงมั่นด้วยปัญญาในพระรัตนตรัย เป็นศรัทธาซึ่งแน่วแน่ มั่นคง ไม่มีทางผันแปร เพราะเกิดจากญาณ คือ ความรู้ความเข้าใจ

    ๒. ด้านศีล มีความประพฤติ ทั้งทางกาย วาจา และการเลี้ยงชีพสุจริต เป็นที่พอใจของอริยชน มีศีลที่เป็นไท คือ เป็นอิสระไม่เป็นทาสของตัณหา * ประพฤติตรงตามหลักการ ตามความหมายที่แท้ เพื่อความดี ความงาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความขัดเกลาลดกิเลส ความสงบใจ เป็นไปเพื่อสมาธิ โดยทั่วไปหมายถึงศีล ๕ ที่ประพฤติอย่างถูกต้อง จัดเป็นขั้นที่บำเพ็ญศีลได้บริบูรณ์

    ๓. ด้านสุตะ เป็นสุตวา อริยสาวก หรือ อริยสาวกผู้มีสุตะ คือ ได้เรียนรู้อริยธรรม รู้จักอารยธรรม นับว่า เป็นผู้มีการศึกษา

    ๔ ด้านจาคะ อยู่ครองเรือนด้วยใจที่ปราศจากความตระหนี่ ยินดีในการสละการให้การเฉลี่ยเจือจานแบ่งปัน

    ๕. ด้านปัญญา มีปัญญาอย่างเสขะ คือรู้ชัดในอริยสัจ ๔ มองเห็นปฏิจจสมุปบาท เข้าใจไตรลักษณ์คือ อนิจจตา ทุกขตา และอนัตตตา เป็นอย่างดี จนสลัดมิจฉาทิฏฐิทั้งหลายในรูปแบบต่างๆได้สิ้นเชิง หมดความสงสัยในอริยสัจทั้ง ๔ นั้น เรียกตามสำนวนธรรมว่า เป็นผู้รู้จักโลกแท้จริง

    ๖. ด้านสังคม พระโสดาบัน เป็นผู้ปฏิบัติตามหลักธรรมสำหรับสร้างความสามัคคี และเอกภาพของหมู่ชนที่เรียกว่า สาราณียธรรม ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะสามารถปฏิบัติได้ถูกต้องตามหลักข้อสุดท้ายที่ท่านถือว่าเป็นดุจยอดที่ยึดคุมหลักข้ออื่นๆ เข้าไว้ทั้งหมด กล่าว คือ ข้อด้วยทิฏฐิสามัญญตา

    สาราณียธรรมมี ๖ ข้อ คือ

    ๑) เมตตากายกรรม แสดงออกทางกายด้วยเมตตา เช่น ช่วยเหลือกัน และแสดงกิริยาสุภาพเคารพนับถือกัน

    ๒) เมตตาวจีกรรม แสดงออกทางวาจาด้วยเมตตา เช่น บอกแจ้งแนะนำตักเตือนด้วยความหวังดี กล่าววาจาสุภาพต่อกัน

    ๓) เมตตามโนกรรม ติดต่อกันด้วยเมตตา เช่น มองกันในแง่ดี คิดทำประโยชน์แก่กัน ยิ้มแย้มแจ่มใส

    ๔) สาธารณโภคี แบ่งปันลาภอันชอบธรรม เฉลี่ยเจือจานให้ได้มีส่วนร่วมทั่วกัน

    ๕) สีลสามัญญตา มีความประพฤติเสมอกับผู้อื่น ไม่ทำตนให้เป็นที่น่ารังเกียจของหมู่

    ๖) ทิฏฐิสามัญญตา มีความเห็นชอบร่วมกบเพื่อนร่วมหมู่ ในอารยทฤษฎี ซึ่งนำไปสู่การกำจัดทุกข์

    ในข้อความที่ชี้แจงความหมายของอารยทฤษฎี หรือทิฏฐิที่เป็นอริยะ ในข้อ ๖ นั้น มีลักษณะที่เป็นธรรมดาของพระโสดาบัน ซึ่งควรนำมากล่าวในที่นี้ ๒ อย่าง คือ

    ๑) เป็นธรรมดาของบุคคลผู้โสดาบันที่ว่า เมื่อต้องอาบัติ (ละเมิดวินัย) ซึ่งแก้ไขได้ ก็จะรีบเปิดเผยแสดงให้พระศาสดาหรือเพื่อนร่วมหมู่คณะที่เป็นวิญญูได้ทราบทันที แล้วสังวรต่อไป เปรียบเหมือนเด็กอ่อนแบเบาะเหยียดมือหรือเท้าไปถูกถ่านไฟเข้าจะรีบชักกลับทันที

    ๒) เป็นธรรมดาของบุคคลผู้โสดาบันที่ว่า ทั้งที่เป็นผู้เอาใจใส่คอยขวนขวายช่วยเหลือกิจธุระทั้งหลาย ทั้งงานสูงงานต่ำ ทั้งเรื่องใหญ่เรื่องย่อย ของเพื่อนร่วมหมู่คณะ แต่ในเวลาเดียวกัน ก็มีความใฝ่ใจอย่างแรงกล้าในอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขาไปด้วย เหมือนแม่โคลูกอ่อน เล็มหญ้ากินไป ก็คอยแลระวังลูกน้อยไปด้วย คือ ทั้งช่วยส่วนรวม ทั้งคอยฝึกตนให้ก้าวต่อไปในมรรค *


    ๗. ด้านความสุข เริ่มรู้จักโลกุตรสุข ที่ประณีตลึกซึ้ง ซึ่งไม่ต้องอาศัยอามิส (เพราะได้บรรลุ
    อริยวิมุตติแล้ว)
    ...........

    อ้างอิง *

    * ศีลที่เป็นไท ไม่เป็นทาสของตัณหา คือ มิได้ประพฤติเพื่อหวังผลตอบแทน เช่น โลกียสุข การเกิด
    ในสวรรค์ เป็นต้น
    อนึ่ง พึงระลึกว่า ศีลรวมถึงสัมมาชีพด้วยเสมอ

    บรรดาคำบาลีแสดงลักษณะศีลของพระโสดาบันนั้น มีอยู่ ๒ คำ ที่นิยมนำมาใช้เรียกในภาษาไทย คือ
    อริยกันตศีล แปลว่า ศีลที่พระอริยะใคร่ หรือ ชื่นชม คือ เป็นที่ยอมรับของอริยชน และ อปรามัฏฐศีล
    แปลว่า ศีลที่ไม่ถูกจับฉวย ท่านให้แปลว่า ศีลที่ไม่ถูกตัณหาและทิฏฐิจับฉวย คือ ไม่เปรอะเปื้อน หรือ มีราคีด้วยตัณหาและทิฏฐิ (= บริสุทธิ์) อีกอย่างหนึ่ง ท่านแปลไว้อีกอย่างหนึ่งว่า ศีลที่ไม่ถูกถือมั่น หรือ ศีลที่ไม่ต้องยึดมั่น หมายความว่า เป็นศีลที่เกิดจากคุณธรรมภายใน ไม่มีกิเลสเป็นเหตุให้ละเมิด จึงเป็นไปเองเป็นปกติธรรมดา โดยไม่ต้องคอยยึดถือเอาไว้.
     
  4. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ข. คุณสมบัติฝ่ายหมด หรือ ฝ่ายละ (แสดงเฉพาะที่สำคัญและน่าสนใจเป็นพิเศษ)

    ๑. ละสังโยชน์หรือกิเลสที่ผูกมัดใจได้ ๓ อย่าง คือ

    ๑) สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดว่าเป็นตัวของตน ติดสมมุติเหนี่ยวแน่น ซึ่งทำให้เห็นแก่ตัวอย่างหยาบ และเกิดความกระทบกระทั่งมีทุกข์ได้แรงๆ

    ๒) วิจิกิจฉา ความสงสัยไม่แน่ใจต่างๆ เกี่ยวกับพระศาสดา พระธรรม พระสงฆ์ และสิกขา เป็นต้น
    ซึ่งทำให้จิตไม่น้อมดิ่งไปในทางที่จะระดมความเพียรมุ่งหน้าปฏิบัติให้เร่งรุดไปในมรรคา

    ๓) สีลัพพตปรามาส ความถือเขวเกี่ยวกับศีลพรต คือ การถือปฏิบัติศีลวัตร หรือกฎเกณฑ์ ระเบียบวินัย ข้อปฏิบัติ ขนบธรรมเนียมต่างๆ ไม่บริสุทธิ์ตามหลักการตามความมุ่งหมาย ที่มุ่งความดีงาม เช่น ความสงบเรียบร้อย และความเป็นบาทของสมาธิเป็นต้น แต่ประพฤติด้วยตัณหาและทิฏฐิ เช่น หวังผลประโยชน์ตอบแทน หวังจะได้เป็นนั่นเป็นนี่เป็นต้น ตลอดจนประพฤตด้วยงมงายสักว่าทำตามๆกันมา

    ๒. ละมัจฉริยะ คือ ความตระหนี่ ความใจคับแคบ หวงแหน คอยกีดกันผู้อื่น ทั้ง ๕ อย่าง คือ

    ๑) อาวาสมัจฉริยะ หวงที่อยู่อาศัย หวงถิ่น
    ๒) กุลมัจฉริยะ หวงตระกูล หวงพวก หวงสำนัก หวงสายสัมพันธ์ เทียบกับที่พูดกันบัดนี้ว่าเล่นพวก
    ๓) ลาภมัจฉริยะ หวงลาภ หวงผลประโยชน์ คิดกีดกันไม่ให้คนอื่นได้
    ๔) วัณณมัจฉริยะ หวงกิตติคุณ หวงคำสรรเสริญ ไม่พอใจให้ใครมีอะไรดีมาแข่งตน ไม่พอใจให้ใครสวยงาม ได้ยินคำสรรเสริญคุณความดีของคนอื่นแล้วทนไม่ได้
    ๕) ธรรมมัจฉริยะ หวงธรรม หวงวิชาความรู้ หวงคุณพิเศษที่ได้บรรลุ กลัวคนอื่นจะรู้หรือประสบผลสำเร็จเทียมเท่าหรือเกินกว่าตน

    (องฺ.ปญฺจก.22/256-9/302-3...มีมัจฉริยะ ๕ แม้แต่ปฐมฌานก็ไม่สำเร็จ...วิสุทธิ.3/337)


    ๓. ละอคติ คือ ทางความประพฤติที่ผิด หรือ ความลำเอียงได้ทั้ง ๔ อย่าง คือ

    ๑) ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะชอบ
    ๒) โทสาคติ ลำเอียงเพราะชัง
    ๓) โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลงหรือเขลา
    ๔) ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว
    (วินย.7/615/380 ฯลฯ)


    ๔. ละราคะ โทสะ โมหะ หรือ โลภ โกรธ หลง ขั้นหยาบหรือรุนแรงที่จะทำให้ถึงอบาย ไม่ทำกรรมชั่วขั้นร้ายแรงที่จะเป็นเหตุให้ไปอบาย (สํ.ข.17/469/278 ฯลฯ)

    ๕. ระงับเวร โทมนัส และทุกข์ทางใจต่างๆ ที่จะพึงเกิดจากการไม่ปฏิบัติตามหลักศีล ๕ เป็นผู้พ้นจากอบายสิ้นเชิง ความทุกข์ส่วนใหญ่หมดสิ้นไปแล้ว ความทุกข์ที่ยังเหลืออยู่บ้างเป็นเพียงเศษน้อยนิดที่นับเป็นส่วนไมได้
    (สํ.ม.19/1575/489 ฯลฯ)
     
  5. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ความจริง คุณสมบัติฝ่ายหมด และฝ่ายมีนี้ ว่าโดยสาระสำคัญ ก็เป็นอย่างเดียวกัน กล่าว คือ จะละสักกายทิฏฐิได้ ก็เพราะมีปัญญาหยั่งรู้สภาวธรรมที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยพอสมควร เมื่อเกิดปัญญาเข้าใจชัดขึ้นอย่างนี้ วิจิกิจฉา คือ ความสงสัยคลางแคลงใจก็หมดไป ศรัทธาที่อาศัยปัญญา ก็แน่นแฟ้น

    พร้อมกันนั้น ก็จะรักษาศีลได้ถูกต้อง ตามหลักการตามความมุ่งหมาย กลายเป็นอริยกันตศีล คือ ศีลที่อริยชนชื่นชมยอมรับ สีลัพพตปรามาสก็พลอยสิ้นไป เมื่อจาคะเจริญขึ้น มัจฉริยะก็หมดไป เมื่อราคะ โทสะ โมหะเบาบางลง ก็ไม่ตกไปในอำนาจของอคติ และ ราคะ โทสะ โมหะเบาบางลง ก็เพราะปัญญาที่มองเห็นความจริงของโลกและชีวิต ทำให้คลายความยึดติด เมื่อสิ้นยึดติด ความทุกข์ก็ผ่อนคลาย และรู้จักความสุขที่ประณีตยิ่งขึ้น

    กล่าวโดยย่อว่า ความเป็นโสดาบันเป็นชีวิตระดับที่ยอมรับได้ว่า น่าพอใจและวางใจได้ทั้งในด้านคุณธรรมและในด้านความสุข


    ในด้านคุณธรรม ก็มีคุณความดีเพียงพอที่จะเป็นหลักประกันว่า จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายหรือความเดือดร้อนเสื่อมโทรมเสียหายเป็นภัยแก่สังคมหรือแก่ใคร ๆ ตรงข้ามจะมีแต่พฤติกรรมที่อำนวยประโยชน์เกื้อกูลแก่การดำรงอยู่และดำเนินไปด้วยดีของชีวิตตนและสังคม และคุณธรรมนั้นก็มั่นคง เพราะเป็นสิ่งที่เป็นไปเองตามธรรมดาแห่งเหตุปัจจัยของมัน คือ เพราะมีปรีชาญาณที่ให้เกิดทัศนคติอย่างใหม่ต่อโลกและชีวิตเป็นฐานรองรับ

    ส่วนในด้านความสุข พระโสดาบันก็ได้พบกับความสุขอย่างใหม่ทางจิตที่ประณีตล้ำลึก อันประจักษ์เฉพาะตนว่า เป็นสิ่งมีคุณค่าสูงล้ำ ซึ่งแม้ตนจะยังเสวยกามสุขและหรือโลกียสุขอื่นๆอยู่ ก็จะไม่ยอมให้ความสุขที่หยาบกว่าเหล่านั้นเกินเลยออกนอกขอบเขต ซึ่งจะเป็นเหตุบั่นรอนความสุขที่ประณีต คือ จะไม่ยอมสละโลกุตรสุขอันประณีตเพื่อมาเติมส่วนขยายปริมาณให้แก่โลกียสุขอันหยาบกว่าอีกต่อไป พูดอีกนัยหนึ่งว่า กามสุขและโลกียสุขอันหยาบ ถูกทำให้สมดุลด้วยโลกุตรสุขอันประณีต


    ความสุขนี้ เป็นทั้งผลและเป็นทั้งปัจจัยพันเนื่องอยู่ด้วยกันกับคุณธรรมที่ประพฤติ จึงเป็นหลักยืนยันถึงความไม่ไหลเวียนกลับลงต่ำอีกต่อไป มีแต่จะช่วยค้ำชูส่งเสริมให้ก้าวสูงขึ้นไปในเบื้องหน้า


    ความเป็นพระโสดาบัน มีคุณค่าเป็นที่น่าพอใจทั้งแก่ตัวบุคคลนั้นเอง และ แก่สังคมอย่างนี้ ท่านจึงจัดผู้บรรลุโสดาปัตติผลเป็นสมาชิกชุดแรกเข้าใหม่ของชุมชนอารยะ เป็นจุดต้นที่ชีวิตอารยชนเริ่มแรก นับเนื่องในอริยสงฆ์ หรือ สาวกสงฆ์ที่แท้ อันเป็นสังคมแม่พิมพ์ที่พระพุทธศาสนา มุ่งประสงค์จะใช้เป็นแบบหล่อหลอมมนุษย์ชาติ


    พระพุทธเจ้า ได้ตรัสเน้นถึงคุณค่า และความสำคัญของความเป็นโสดาบันอย่างมากมาย ดังจะทรงเร่งเร้าให้เวไนยชนหันมาสนใจภูมิธรรม หรือ ระดับชีวิตขั้นนี้อย่างจริงจังและยึดเอาเป็นเป้าหมายของการดำรงอยู่ใน โลก เช่น ตรัสว่า การบรรลุโสดาปัตติผล ดีกว่าการได้ไปสวรรค์ ประเสริฐกว่าการได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ประเสริฐกว่าการได้ฌานสมาบัติ ศาสดาผู้นำศาสนาที่มีสาวกมากมาย เป็นผู้ปราศจากกามราคะด้วยกำลังเจโตวิมุตติ ประกอบด้วยกรุณาคุณ สั่งสอนลัทธิเพื่อเข้ารวมกับพรหม ทำให้สาวกไปสวรรค์ได้มากมายนับว่าเป็นผู้ประเสริฐมากอยู่แล้ว แต่บุคคลผู้เป็นโสดาบันแม้ยังมีกามราคะอยู่ ก็ประเสริฐยิ่งกว่าศาสดาเหล่านั้น

    (องฺ.ฉกฺก.22/325/415-418 ฯลฯ)

    ขอยกพุทธพจน์ในธรรมบทมาอ้างเป็นตัวอย่าง

    “เลิศล้ำ เหนือกว่าความเป็นเอกราชบนผืนปัฐพี ดีกว่าการไปสู่สรวงสวรรค์ ประเสริฐกว่าสรรพโลกาอธิปัตย์ คือ ผลการตัดถึงกระแสแห่งโพธิธรรม”

    (ขุ.ธ. 25/23/39)
     
  6. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    หากยังรู้สึกว่า นิพพานห่างไกลและยากเกินไปที่จะเข้าใจ ถ้าพูดถึง นิพพานแล้ว ยังให้เกิดความรู้สึกอ้างว้างโหวงเหวง ก็พึงยึดเอาภาวะโสดาบันนี่แหละเป็นสะพานทอดไปสู่ความเข้าใจนิพพาน เพราะความเป็นโสดาบันเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงความรู้สึกและเข้าใจได้ง่ายกว่าสำหรับคนสมัยปัจจุบัน ในเวลาเดียวกัน ภาวะโสดาบันนั้นก็เกี่ยวข้องกับนิพพาน โดยฐานเป็นการเข้าถึงกระแสสู่นิพพาน หรือ ที่อรรถกถาเรียกว่าเป็น ปฐมทัศน์แห่งนิพพาน (เห็นนิพพานครั้งแรก) ( ม.อ.1/102 สํ.อ.3/123 ฯลฯ) นับว่าเป็นผลทั้งสองด้าน และยังถูกต้องตามหลักการที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ด้วย

    เมื่อตกลงเช่นนี้แล้ว ก็ยกเอาภาวะโสดาบันเป็นเป้าหมายขั้นแรกที่จะปฏิบัติ และชักชวนกันก้าวไปให้ถึง เป็นทั้งจุดหมายของชีวิตและจุดหมายของสังคม และในระหว่างนั้นแม้ยังก้าวไปไม่ถึง ก็ยังมีขั้นตอนที่แสดงถึงความก้าวหน้าในท่ามกลาง คือ ความเป็นสัทธานุสารี และธัมมานุสารี ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ได้ชื่อว่า เป็นผู้ได้ออกดำเนินไปแล้วสู่ความเป็นโสดาบัน เป็นผู้เดินทางแล้ว หรือ อยู่ในมรรคา มีแต่เดินหน้าอย่างเดียว ไม่ถอยกลับ ซึ่งท่านจัดให้เข้าอยู่ในชุมชนอารยะ หรือ หมู่สาวกสงฆ์ด้วย


    แม้หากว่า ถ้าโอ้เอ้ ห่วงหน้าห่วงหลัง ยังไม่แล่นรุดออกเดินทางจริง ก็ยังอาจก้าวมาอยู่ในขั้นเตรียมพร้อมที่จะเดินทางได้ ท่านเรียกว่า เป็นกัลยาณปุถุชน เป็นผู้มีกัลยาณธรรม (องฺ.ทุก.20/293/93) เริ่มได้ชื่อว่า เป็นอริยสาวกผู้มีสุตะ คือ ผู้ได้เล่าเรียนอริยธรรม รู้จักอารยะธรรม หรือ เป็นผู้ที่ได้ยินเสียงกู่เรียกแล้ว เป็นเบื้องต้นที่จะเรียกผู้มีการศึกษา เป็นขั้นของผู้ที่รู้จุดตั้งต้นของทางแล้ว และมีอุปกรณ์ซึ่งเป็นปัจจัยของการเดินทางเตรียมไว้แล้ว กำลังเดินมุ่งออกจากบริเวณป่าที่หลงเพื่อมาเข้าสู่หนทาง แม้ยังอาจก้าวๆ ถอยๆ อยู่บ้าง แต่ก็พร้อมที่จะเดินทางได้


    สำหรับชีวิตขั้นต้น หรือ กัลยาณปุถุชนนี้ ซึ่งมีศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญา ยังไม่มั่นคงแน่นแฟ้นโดยลำพังตนเอง ก็จะมีสุตะ คือ การเล่าเรียน การเรียนรู้ หรือ ความรู้ที่ได้จากการสดับ (แว่วเสียงอารยธรรม) เป็นคุณสมบัติสำคัญซึ่งอาจจะอบรมสั่งสมให้ถึงขั้นเป็นพาหุสัจจะ คือ ความเป็นพหูสูต (ผู้มีสุตะมาก หรือคงแก่เรียน)


    สุตะนี้แล คือ อุปกรณ์สำคัญของการเดินทาง ทำให้รู้จุดที่ทางตั้งต้น เป็นปัจจัยสำหรับช่วยเสริมสร้างศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาต่อๆไป เพราะเมื่อมีความรู้ถูกต้องแล้ว ศรัทธาก็เกิดขึ้น และมีแรงเริ่มปฏิบัติคุณธรรมอื่นๆ เมื่อรวมสุตะเข้ากับศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา เท่าที่มีอยู่ในระดับนี้ เรียกว่าเป็นสัมปทา ๕ หรือ ทรัพย์ ๕ ระดับโลกีย์ เมื่อก้าวหน้าไปเป็นโสดาบันแล้ว สัมปทา หรือ ทรัพย์ทั้ง ๕ เหล่านี้ ก็จะกลายเป็นระดับโลกุตระไปเอง

    มีข้อน่าสังเกตที่ควรกล่าวไว้ด้วย เกี่ยวกับคุณลักษณะของบุคคลโสดาบันที่ปรากฏเด่นชัดออกมาในภายนอก คือ การไม่มีความหวงแหนในทรัพย์สมบัติ ดัง มีคำบรรยายในบาลีว่า

    (บุคคลโสดาบัน) ครองเรือนด้วยใจปราศจากความหวงแหน มีความเสียสละเต็มที่...ยินดีในการให้และการแบ่งปัน”

    สิ่งของที่ควรให้ได้ ไม่ว่าอย่างหนึ่งอย่างใด เท่าที่มีในสกุล บุคคลโสดาบันเฉลี่ยแบ่งปันกับคนมีศีล มีกัลยาณธรรมได้ทั้งหมด”
    (สํ.ม.19/1452-3/440-1)

    ด้วยเหตุนี้ พฤติการณ์ของอริยสาวกเหล่านั้น จึงมีโอกาสอย่างมากที่จะเข้าลักษณะว่า ศรัทธาเพิ่ม แต่โภคะลด หรือ คุณธรรมงอกแต่ทรัพย์หด ในทางวินัยสงฆ์ พระพุทธเจ้าถึงกับได้ทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามพระภิกษุ มิให้รับอาหารจากครอบครัวที่สงฆ์ประกาศตั้งให้เป็นเสขะ


    ตามพุทธบัญญัตินี้ ครอบครัวใด ศรัทธาเข้มแข็งมากขึ้น แต่ทรัพย์สมบัติลดน้อยยากจนลง สงฆ์อาจปะชุมพิจารณาสมมุติ คือ ตกลงกันแต่งตั้งครอบครัวนั้นเป็นเสขะ (เสกขสมมต ไม่ว่าเขาจะเป็นเสขะจริงหรือไม่ เพราะคุณธรรมภายในมองกันไม่เห็น แต่ถือเอาพฤติกรรมเป็นหลัก)

    ภิกษุใดไม่เจ็บไข้และเขามิได้นิมนต์ไว้ ไปรับเอาอาหารจากครอบครัวนั้นมาขบฉัน ย่อมต้องอาบัติ คือละเมิดวินัยมีความผิด (วินย.2/790/524) (หมายความว่า ถึงเขาจะให้เอง เช่น ไปเยี่ยมเขาที่บ้านแล้วเขาถวาย ก็รับไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงขอเขา เพราะภิกษุออกปากขอ หรือ ทำอุบายขออาหารมาเพื่อตนเองฉันไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะขอจากใครๆ (เว้นแต่ญาติหรือผู้ที่ได้ปวารณาไว้)


    คติ ที่เห็นได้ในเรื่องนี้ ที่สำคัญมี ๒ อย่าง คือ

    ๑. เป็นวิธีการยกเอาคุณธรรมที่เป็นนามธรรมภายในตัว หรือ คุณสมบัติของบุคคลออกมาใช้เพื่อผลทางปฏิบัติระดับสังคมในกรณีที่สมควร

    ๒. แสดงให้เห็นว่า บุคคลผู้มีคุณธรรมถึงขั้นนี้ มีศรัทธาถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา หรือ เข้าถึงธรรมแล้ว เมื่อทำความดีจะไม่ห่วงผลที่จะได้ตอบแทนแก่ตน พูดอีกอย่างหนึ่งว่า ทำบุญโดยไม่หวังรอผล (หมายถึงอิฏฐารมณ์ต่างๆ สนองความปรารถนาของตน) จะไม่มีปัญหาให้เกิดความคิดสงสัยว่า ทำไมทำดีไม่ได้ดี หรือทำบุญแล้ว ทำไมไม่รวย ไม่ได้ผลประโยชน์ที่หวัง เป็นต้น ทั้งนี้ เพราะเขามองเห็นธรรมแล้ว เรียกว่า มีธรรมจักษุ หรือ ปัญญาจักษุ คือ ตาปัญญาที่มองเห็นธรรมดาของสิ่งทั้งหลายสว่างชัด มิใช่มีแต่มังสจักษุ หรือ ตาเนื้อหนังที่มองเห็นแต่สิ่งเสพเสวยของอินทรีย์ ๕

    ควรย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า บุคคลโสดาบันนี้ มีความมั่นคงในคุณธรรมโดยสมบูรณ์ แม้จะประสบสภาพไม่เกื้อกูลทางวัตถุมากสักเท่าใด ความมั่นใจในคุณธรรมก็ไม่มีทางเสื่อมถอย เมื่อได้มองเห็นเหตุผลแห่งธรรมประจักษ์แจ้งแล้ว เมื่อเดินอยู่ในทางแห่งความดีงามถูกต้องแล้ว ก็ไม่อาจมีผู้ใดแม้แต่เทวดาจะมาชักจูงให้เขวออกไปได้ และไม่ว่าจะด้วยเครื่องล่ออย่างใด เรียกอย่างสมัยใหม่ก็คงว่า มีความเข้มแข็งทางจริยธรรมเต็มที่

    ในหลักการนี้ พระอรรถกถาจารย์ ยกเรื่องอนาถบิณฑิกเศรษฐีขึ้นเป็นตัวอย่าง -(ธ.อ.5/9 ฯลฯ) ให้เห็นว่าบุคคลระดับนี้ จะเดินแน่วอยู่ในทางของความดีงาม ไม่ยอมอยู่ใต้อิทธิพลแม้ของเทวดา เป็นผู้ที่เทพเจ้าไม่อาจล่อ หรือ บังคับข่มขี่ได้ แต่ตรงข้าม กลับเป็นผู้ที่เทพทั่วไปจะต้องยอมปราชัยและเคารพบูชา
     
  7. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    พระโสดาบันตัวจริงไม่กินเหล้า ผมกินปีละ 2-3 ครั้ง
     
  8. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    เน้นย้ำตรงนี้อีกที

    ความจริง คุณสมบัติฝ่ายหมด และฝ่ายมีนี้ ว่าโดยสาระสำคัญ ก็เป็นอย่างเดียวกัน กล่าว คือ
    จะละสักกายทิฏฐิได้ ก็เพราะมีปัญญาหยั่งรู้สภาวธรรมที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยพอสมควร เมื่อเกิดปัญญาเข้าใจชัดขึ้นอย่างนี้ วิจิกิจฉา คือ ความสงสัยคลางแคลงใจก็หมดไป ศรัทธาที่อาศัยปัญญา ก็แน่นแฟ้น

    พร้อมกันนั้น ก็จะรักษาศีลได้ถูกต้อง ตามหลักการตามความมุ่งหมาย กลายเป็นอริยกันตศีล คือ ศีลที่อริยชนชื่นชมยอมรับ สีลัพพตปรามาสก็พลอยสิ้นไป เมื่อจาคะเจริญขึ้น มัจฉริยะก็หมดไป เมื่อราคะ โทสะ โมหะเบาบางลง ก็ไม่ตกไปในอำนาจของอคติ และ ราคะ โทสะ โมหะเบาบางลง ก็เพราะปัญญาที่มองเห็นความจริงของโลกและชีวิต ทำให้คลายความยึดติด เมื่อสิ้นยึดติด ความทุกข์ก็ผ่อนคลาย และรู้จักความสุขที่ประณีตยิ่งขึ้น
     
  9. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ลุงแมวละเหล้าเบียร์เลย
    ที่ละไม่ใช่เพราะหมอสั่งหรือเป็นโรคต้องห้ามดื่ม
    แอลกอฮอล์
    แต่ละเพราะเหตุโทษมากกว่าคุณ

    ส่วนความเชื่อหรือ มโนคติ
    ที่ว่าเพื่อสังคมที่ดีขึ้น หรือหน้าที่การงานจะก้าวหน้า
    ถ้าเสวนาด้วยน้ำเมา
    ถ้าเป็นตามนั้นจริงๆ ก็ควรดื่มกันให้มากอีกหน่อยนะฮะ
    เพราะความสุขมวลรวม ณ โลกปัจจุบันมันทรุดมากกว่าทรงครับ ไม่รุ่งฮะยังไม่รุ่ง นี่ความเห็นลุงแมวส่วนตัวครับ
    ต้องดื่มให้หนักกว่านี้นะฮะ
     
  10. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    ผู้จะละสักกายทิฏฐิ ต้องเริ่มจากเห็นกายทำนองนี้จากภาคปฏิบัติ ตย.

    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:TrackMoves/> <w:TrackFormatting/> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:DoNotPromoteQF/> <w:LidThemeOther>EN-US</w:LidThemeOther> <w:LidThemeAsian>X-NONE</w:LidThemeAsian> <w:LidThemeComplexScript>TH</w:LidThemeComplexScript> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> <w:SplitPgBreakAndParaMark/> <w:DontVertAlignCellWithSp/> <w:DontBreakConstrainedForcedTables/> <w:DontVertAlignInTxbx/> <w:Word11KerningPairs/> <w:CachedColBalance/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> <m:mathPr> <m:mathFont m:val="Cambria Math"/> <m:brkBin m:val="before"/> <m:brkBinSub m:val="--"/> <m:smallFrac m:val="off"/> <m:dispDef/> <m:lMargin m:val="0"/> <m:rMargin m:val="0"/> <m:defJc m:val="centerGroup"/> <m:wrapIndent m:val="1440"/> <m:intLim m:val="subSup"/> <m:naryLim m:val="undOvr"/> </m:mathPr></w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:TrackMoves/> <w:TrackFormatting/> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:DoNotPromoteQF/> <w:LidThemeOther>EN-US</w:LidThemeOther> <w:LidThemeAsian>X-NONE</w:LidThemeAsian> <w:LidThemeComplexScript>TH</w:LidThemeComplexScript> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> <w:SplitPgBreakAndParaMark/> <w:DontVertAlignCellWithSp/> <w:DontBreakConstrainedForcedTables/> <w:DontVertAlignInTxbx/> <w:Word11KerningPairs/> <w:CachedColBalance/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> <m:mathPr> <m:mathFont m:val="Cambria Math"/> <m:brkBin m:val="before"/> <m:brkBinSub m:val="--"/> <m:smallFrac m:val="off"/> <m:dispDef/> <m:lMargin m:val="0"/> <m:rMargin m:val="0"/> <m:defJc m:val="centerGroup"/> <m:wrapIndent m:val="1440"/> <m:intLim m:val="subSup"/> <m:naryLim m:val="undOvr"/> </m:mathPr></w:WordDocument> </xml><![endif]-->
    ซึ่งต่างจากผู้นั่งคิดเอาว่า กายไม่ใช่ของเราๆๆๆๆ ฯลฯ (ไม่รู้จึงติด พอรู้ก็หลุด)
     
  11. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ในเมื่อเป็นดังว่านั้น ทำไมรัฐบาลไม่เขียนกฎหมายห้ามตั้งโรงผลิตเหล้าผลิตเบียร์ เจ้าของโรงเหล้าโรงเบียร์รวยติดอันดับฮะ

    ยังไม่พอนะฮ่ะ สมาชิก สปช. (ชุดนี้) ยังเสนอตั้งบ่อนคาสิโนถูกกฎหมาย (เขียนกฎหมายรองรับว่าถูก) เพื่อเอาเงินมาพัฒนาประเทศเปลี่ยนจากบาปเป็นบุญ :z12
     
  12. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ลุงแมวยังไม่ถึงขั้นโสดา
    แต่ไม่เคยร้องขอหรือรบ
    กวนให้ใครๆช่วยจัดหา
    ของที่อยากกินโน่นนี่
    มาฝากด้วยนะ
    บางครั้งออกรำคาญที่
    คนปรารถนาดี ถามทาง
    โทรศัพท์ว่า พ่อ พี่อยาก
    กินอะไรจะหิ้วไปฝาก!!!

    จึงบอกว่า"ยากซื้ออะไรล่ะ"ซื้อเลย
    !!!
     
  13. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    สวัสดีครับ คุณมาจากดิน วันนี้ ผมมาขอแจมสักหน่อยครับ ขอเริ่มเรื่องเลยนะครับ ผมอ่านของคุณนิดเดียว แต่พอเข้าใจ มันมากเกินไปครับ เอาแค่คร่าวๆพอ ขอแสดง แบบนี้ครับ คนเราในโลกนี้ ไม่ใช่ ในยุคแบบ พุทธกาล ยุคนี้ คนเราและสัตว์ มัน ยุคของ หลายร้อยพ่อพันแม่ เอาแค่ รักษา ศิล ๕ ให้ได้ ก่อน แล้วค่อยมาคุย กันเรื่อง ของ องค์ของพระอริยเจ้า พระโสดาบัน ในส่วน ที่ท่านทำได้ ทำถึง แล้ว ท่านเหล่านั้น เป็นคนมีปัญญา อยู่แล้ว จำพวกที่ว่า มีฤทธิธานุภาพ เหาะเหิร เดินอากาศได้ ยังทรงคุณธรรมไม่ได้ เหมือนพระโสดาบันเลย ท่านทรงคุณธรรม ของ พระโสดาบัน ท่านเป็นผู้ใหญ่แล้ว ท่านมีหนทางของท่านแล้ว มีแต่จะก้าวเข้าไปสู่ หนทางพระนิพพานอย่างเดียวไม่มีคำว่า ถอยหลัง


    เอาแค่ ศิล ๕ ครบนี่ ผมว่า ทั้งประเทศ ทั้งโลกนี้ จะอยู่กันอย่างมีความสุขแล้ว แหละครับ ไม่จำเป็นต้อง มี กษัติย์ ประธานาธิบดี นายก อำมารย์ ตำรวจ ทหาร ผู้ว่า นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพราะว่า สัตว์ ที่เกิดมาบนโลก นี้ มีทั้งคนดี และคนชั่ว ปะปนกัน อยู่ อย่างมากมาย มันจำเป็น ต้องมี ผู้ปกครองบ้านเมือง มีกษัติย์ ประธานาธิบดี นายก อำมาตรย์ ตำรวจ ทหาร ผู้ว่า กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ปกครองบ้านเมือง ดูแล ประชาชนทั่วไป ให้อยู่ในกรอบ ขอบเขตุ ถ้าบ้านเมืองใด ไร้ คุณธรรม เจ้าหน้าที่บ้านเมือง บางคน โกงกิน คอรับชั่น ทำร้ายประชาชน ชาวบ้าน ชาวเมือง เดือดร้อน ข้าวยาก หมากแพง


    ทุกวันนี้ ที่เดือดร้อน เพราะอะไร เพราะว่า มันขาด ศิลธรรม จริยธรรม ไร้ จารีตประเพณีอันดีงาม มันขาด ศิล ๕ นั่นเอง เอาแค่ เอาแค่ ๒ ข้อ ก็ยังดี กินเหล้า กับ ลัก ทรัพย์ เดี๋ยว อีก ๓ ข้อ มันค่อยๆมาเอง แหมแถม กรรมบถ ๑๐ ไปอีกหน่อยดีไหม ถ้าทำได้ ไม่ต้องไปถึง พระโซดาบันหรอก เอ้ยไม่ใช่ พระโสดาบัน หรอก แค่ศิล ๕ ยังทำกันไม่ค่อยจะได้เลย แม้คนเข้าวัด ยัง ให้ร้ายป้ายสี กัน เหมือนดอกเห็ด ฮ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ กฎหมาย กับ คุณธรรม มันต้อง เดินคู่กัน แค่นี้พอ
     
  14. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    บางครั้งก็ออกสับสนนะฮะ
    แนวทางกระแสโลกก็ต้องพิจารณาด้วยเหตุด้วยผลทางโลก นะฮะคำว่าโลกคือความมั่ว สมมุติ บัญญัติ สารพัด
    เอาของจริงมาทำเป็นของเล่น
    และเอาของเล่นมาทำเป็นของจริง
    คนเล่นเก่งก็ยืนอยู่ในแถวหน้า
    เป็นผู้ชนะ

    พอผลกรรมส่งผลก็โวยวายว่าถูกกลั่นแกล้ง
    โดยไม่รู้ตัวเองว่าเล่นเอาเปรียบคนอื่น จนฟ้า
    ดินรับไม่ได้ เพราะตนเองไม่รู้ขอบเขตว่าธรรม
    กับอธรรมขอบเขตมันอยู่ตรงไหน!!
     
  15. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ลุงแมวพอจะบอกได้ไหมว่ามันอยู่ตรงไหน ขอบเขตธรรม กับ อธรรม
     
  16. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ตอบให้แบบง่ายๆเลยนะฮะ
    เมื่อใดที่เราละเมิดศีลด้วยความไม่รู้หรือด้วยจงใจ
    ทั้งทางกายและวาจา
    เมื่อนั่นเราจะออกนอกขอบเขตธรรม และล้ำเข้าไปในเขตอธรรม

    ยิงละเมิดศีลยิ่งออกนอกเขตธรรม และล้ำเข้าไปในเขตอธรรมมาก
    ดังนั้น ธรรมหรืออธรรม ต้องเอาศีลเป็นเครื่องวัดฆราวาสก็วัดด้วยเบญจศีลก็พอฮะ
     
  17. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    มีหรือฮะ?
    การกระทำใดๆที่ทำลงไปด้วยการละเมิด
    ศีลแล้วยังคงทรงความเป็นธรรมอยู่ได้ด้วย
    ไม่น่ามีนะฮะ
     
  18. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    มีธรรมะของพระพุทธเจ้าอะไรบ้างฮะ
    ที่ไม่ต้องเริ่มต้นด้วยศีล
     
  19. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ธรรมะแท้ๆอะไรบ้างที่บังเกิดขึ้น
    โดยไม่ต้องสำรวมกาย วาจา ใจ
    และมีธรรมะแท้ๆอะไรที่ไม่ได้เกิดขึ้นที่ใจของตนเองก่อน!!
     
  20. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ตายฮา !!

    เอ้ย อันนี้บอกก่อนนะว่า การเห็นอริยาบทเนี่ยะ เขาถือว่าเห็น " วิญญติรูป "

    ไปเห็นมันไม่ใช่เรา มันเดินเอง เหมือนหุ่นยนต์นี่ ยังจัดว่า เห็น วิญญติรูป ไม่ใช่เห็น รูป(ขันธ์) นะเว้ยเฮ้ย

    ดังนั้น

    ยังไม่สามารเห็น รูป(ขันธ์)ไม่เที่ยง ไม่ใช่เรา อย่ารีบร้อนไปบอกว่า ละสักกายทิฏฐิ

    เห็น วิญญติรูปเนี่ยะ เขาถือว่า ยังคิดอยู่ ยังนึกๆ เปรียบเทียบเอาอยู่ จาก อริยาบทที่มันเปลี่ยน

    หาก สำคัญไปว่า เห็นอริยาบท เดินเป็นหุ่น แล้ว ไปเผลอ งับปิติ สุข แล้วปล่อยจิตเกาะ
    อยู่ภายนอก กาย แล้วสำคัญว่า เจอสุญญตา ตายฮา ทันที

    ภาวนาไปเป็น เดรัจฉานโน เข้าแล้ว !!! หมา แมว มันก็ ภาวนาได้ ไอ้กายไม่ใช่เรา
    เนี่ยะ พอกายไม่ใช่เรา ขี้กลาก ขี้เกลือน เต็มตัวเลย แต่ จิตมีความสุข ยิ้มได้
    อย่างหมา เกาได้อย่างหมา เหม่อทั้งวัน " ว่างๆ ว่างๆ "
     

แชร์หน้านี้

Loading...