สติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกาย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 21 สิงหาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471

    อย่าเปลียนใจเลยครับ.


    แหม ไม่ได้คุยนาน เดี๋ยวพยายามปรับการใช้ภาษาครับ ขออภัยพี่จริงๆ

    (f)
     
  2. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    ที่กลางท้องและทั่วตัว รวมหัว ผมไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรครับ กับความเย็นเพราะมัน

    เป็นเช่นนี้บ่อยมาก จนกลายเป็นเรื่องปรกติ อ้อ ผมเคยฝึกจนเย็นกว่านี้อีกหลายเท่า

    แต่สรุปเป็นว่า ขณะนี้ เย็นทั้งตัวครับ โดยเฉพาะกลางท้อง (ก็ผมฝึกแบบหลวงตาเยื้อนด้วย)
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471

    นอกจากความเย็น มีสภาวะธรรมอย่างอื่นที่ศูนย์กลางกายไหมครับ
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471

    อืมมมม ..ถ้าฝึกของหลวงตาเยื้อนมาด้วย พอได้กำลังจากจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมถะตรงฐานที่7แล้ว จิตก็จะรู้จิต ใจก็รู้ใจ อะไรผ่านเข้ามาก็รู้ทันได้ไวและสลัดออกได้ไว้ ตามที่ท่านสอนแล้วสิครับ ....ท่านพี่จอมยุทธพิชิตมังกร18ท่า
     
  5. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    ตอนนี้ความเย็นที่หัว น่าจะสูงสุด ส่วนที่กลางท้องสภาวะธรรมก็คือ มีสติกับการพิมพ์

    ส่งข้อความไงล่ะครับ จะไปให้ความสนใจมากทำไมที่กลางท้อง เพราะมันคือสิ่งที่ถูก

    จิตรู้ไงล่ะ ขืนยึดอยู่ที่ตรงนี้ ตกลงว่าวิชาการแห่งพุทธะคือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จะวิ่ง

    มาได้เพียงเท่านี้เองหรือ อิอิ
     
  6. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    รู้อะไรมาก หรือมีความรู้สึกตรงไหนมาก ก็ให้วางเสียครับ

    ยึดกับสิ่งที่รู้มาก จิตจะไม่เป็นอิสระ ยึดวิชา ไม่ได้วิชา

    ฝึกแล้วทิ้งวิชา จึงจะสำเร็จครับ


    เพิ่มข้อความให้คุณนักรบครับว่า

    ที่กลางท้องตอนนี้ มีความร้อนเกิดขึ้นครับ จีนเขาเรียก

    พลังหยิน-หยาง เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง จะสลับขั้วกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มกราคม 2015
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471

    ไม่ใช่ "เพียงเท่านี้ " ตามที่พี่เข้าใจหรอกครับ
    แม้บางขั้นตอนจะใช้คล้ายกัน และรายละเอียดปลีกย่อยพี่จะผสมปนเปกันตามถนัด แต่จุดหมาย เบื้องปลายที่ไปถึง คือ การ่ตัดสลัดสังโยชน์ออกได้
    โดยไม่ถอยหลังกลับ ให้มันงอกเงยมาใหม่ ทำได้หรือยังต่างหาก

    นั่นคือ สภาวะที่เรื่มพ้นจริงๆต่างหาก


    ที่พี่บอกว่า วิชาการแห่งพุทธะ ตามที่พี่เข้าใจและเข้าถึงนั้น

    จุดที่ไม่ต้องสนใจนอกจาก จิตผุ้รู้ กับ สิ่งที่ถูกจิตรู้ นั้นเป็นอัตโนมัติ

    ในชีวิตประจำวันมากแค่ไหน โดยไม่ต้องผ่านการปรุงแต่งจากกิเลส

    กระทบปุ๊บ สภาวะธรรมทำให้ถูกเรื่องเหตุผลข้างนอก ข้างใน

    กายข้างนอกเคารพสมมุติ แต่ จิตข้ามพ้นสมมุติ

    รู้วิมุตติ รู้สมมุติ รู้โลกไม่หลงโลก
    รู้ธรรมไม่หลงธรรรม

    นั่นต่างหาก



    ------------


    ส่วนที่ผม ต้องถามถึงศูนย์กลางกายฯ เพราะ

    กระทู้นี้ ผมเน้นตั้งแต่ชื่อกระทู้ แล้วว่า เรียนเชิญผู้ปฏิบัติสติปัฏฐานสี่
    ตามแนววิชชาธรรมกาย ซึ่งไม่พ้นทีต้องกล่าวถึงหลักวิชชาฯไว้ คือ
    ตรงศุนย์กลางกาย เพื่อปูทางที่จะคุยในส่วนธรรมละเอียด ต่อ เท่านั้นเองครับ


    ถ้าจะคุยแบบที่พี่คุย ก็คุยได้ เพียงแต่จะคุยตามหลักเกณฑ์กระทู้
    เพื่อรักษาระเบียบ และ เป็นไปในเรื่องวิชชาธรรมกาย เท่านั้นครับ




    ส่วน จุดเชื่อม จุดต่อ จุดเหมือน ในต่างสายวิชชานั้นคุยได้
    ถ้าไม่หักหาญ และใจกว้าง ไม่มุ่งแต่จะเอาชนะ ปักธงมาว่า ทางฉัน
    ทางเธอ


    เพราะที่จริงแล้ว มีแต่ทุกข์ และทางพ้นทุกข์ เป็นสาระแก่นแท้ เดียวกันจริงๆ
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471


    พายเรือ ไม่ถึงฝั่ง แล้วกระโดดให้เป็นเหยื่อสัตว์ในทะเล

    ไม่ใช่ความคิดบัณฑิต


    เรียนอนุบาล แล้วก็สรุปเองว่า จบปริญญาก็ไม่พ้นตาย เลิกเรียนไปเตรียมตัวตาย ปล่อยวาง ไม่เอาอะไร มีค่าเท่าปริญญาเอก ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนะครับ


    เรียนมาหลายวิชา แต่ อาจไม่ได้เข้าถึง "วิชชา"

    วิชา ไม่ใช่ "วิชชา"


    --------------------


    พระพุทธองค์ ทรงหักวัฏฏะสงสาร ไม่ต้องมาเกิด
    แต่ไม่ได้ทรงทิ้งวิชชาและจรณะทั้งหลาย เพราะ เป็นหน้าที่และสภาวะแห่งท่าน

    โพธิสัตว์ และผู้บำเพ็ญ เมื่อมีสภาวะต้องดำรง
    จะทื้งสภาวะและหน้าที่ แล้วธรรมจะเป็นธรรม ได้อย่างไร ครับ




    พูดว่าอย่ายึด อย่าติด ใครก็พูดได้

    ผู้สำคัญมั่นหมาย ว่า ทำได้ กลับทำไม่ได้เมื่อเผชิญความจริง
    ที่สติสัมปชัญญะตั้งรับไม่ทัน กิเลส อาสวะ อนุสัย ฯลฯ ก็จะโผล่
    ออกมาให้เห็น ว่า ทิ้งวิชา แล้ว ได้"วิชชา" จริงหรือไม่
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    ผู้ปฏิบัติไม่เห็น "นิมิตธรรมกาย" (นี่คิดผิดนะครับ) คือปฏิบัติสายอื่น แต่ระดับจิตถึงพระธรรมกาย นั้นมีไหม ?


    -----------------------
    ตอบ:

    ข้อหนึ่ง คำว่า “นิมิตธรรมกาย” นั้นอย่าพูดเลยนะครับ ธรรมกายไม่ใช่นิมิต นะครับ... ของจริง
    ส่วนนิมิต(สิ่งที่ถูกรู้)มีสองสามอย่างให้เข้าใจ



    ประเภทของนิมิต

    หนึ่ง.. นึกขึ้น นึกให้เห็น เช่น นึกให้เห็นดวงแก้ว เรียกว่าบริกรรมนิมิต เจริญภาวนา ไป ใจมันหยุดรวม ได้อุคคหนิมิตเห็นเป็นดวงใสขึ้นมา แต่เห็นอยู่ไม่ได้นาน ใจก็รวมหยุดแน่วแน่ เข้าไปอีกถึงปฏิภาคนิมิต (นิมิตติดตา) ระดับสมาธิมันก็ชั้นสูงจาก ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ นี่ระดับต่ำสูงขึ้นไปเป็นปฏิภาคนิมิต ก็อัปปปนาสมาธินั่นระดับปฐมฌาน ตรงนั้นชื่อว่านิมิต อย่างหนึ่ง คิดเอาแล้วจิตมันค่อยหยุดนิ่ง ถ้าที่คิดเอานั้น กลายเป็นอุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต นี่ประเภทหนึ่ง

    อีกประการหนึ่ง..นอนฝัน ฝันก็เป็นนิมิตเรียกว่า สุบินนิมิต ถ้าไม่นอนฝัน..อะไร ๆ ที่เรามองเห็น นี่เรียกว่า นามรูป ก็เห็นเป็นนิมิตก็ได้ อย่างตัวท่านจะเรียกเป็นนิมิตก็ได้.. การมองเห็นข้างในก็เป็นนิมิต คือจากการมนุษย์ เห็นกายมนุษย์ละเอียด ทิพย์ ทิพย์ละเอียด พรหม พรหมละเอียด อรูปพรหม อรูปพรหมละเอียด แต่นิมิตมันมีของปลอมกับของจริง

    ของปลอม คือ ไม่นึกจะเห็น แต่ก็เห็นแปลกประหลาดไป ไม่เป็นไปตามที่เป็นจริง จริงนี้หมายถึงจริงโดยสมมติบางทีนั่งแล้วเห็นเสือกระโดด โฮ้ก..เข้าใส่ แต่เปล่า เสือไม่มี นี่ก็เห็นได้เช่นกัน หรือบางคนนั่งแล้วเห็นผี.. แต่เปล่าผีไม่มี นี่เรียกว่า เห็นของไม่จริง จะเกิดแก่ ผู้ที่เอาใจออกนอกตัว หลวงพ่อวัดปากน้ำจึงให้เอาใจเข้าในตัว เพื่อชำระใจของเราให้สะอาด บริสุทธิ์ หยุดนิ่งเป็นอารมณ์เดียว ปราศจากกิเลสนิวรณ์ จิตใจก็เที่ยง เห็นตามที่เป็นจริง พอ..ใจ หรือเห็น จำ คิด รู้ ที่มันเห็นนะ มันไปวางอยู่ตรงกำเนิดธาตุธรรมเดิม ซึ่งเป็นที่ตั้งของกาย เวทนา จิต ธรรม ณ ภายใน มันก็เห็นตรงตามนั้น สิ่งที่เห็นอย่างนั้น เห็นจริงโดยสมมติ

    นิมิตจริง ก็เห็น นาย ก. นาย ข. เห็นพระ เห็นเณร แม่ชี เห็นของจริงทั้งนั้น ที่เห็น ๆ อยู่นี่ เห็นเข้าไปข้างในตามที่เป็นจริง ก็จริง แต่ว่าจริงโดยสมมติ

    นี่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเมื่อไม่โดดเดี่ยว ยินดียิ่งในความ เงียบสงัดแล้ว จักถือเอานิมิตแห่งสมาธิจิต และวิปัสสนาจิตได้นั้น ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้”

    แต่ถ้ามันเลยนิมิตนี่ไปเห็นธาตุล้วนธรรมล้วน จริง ๆ เขาไม่เรียกว่านิมิต เพราะนิมิต ชื่อว่า เบญจขันธ์หรือนามรูป เกิดแต่อวิชชา แต่ธรรมกาย ไม่ใช่เบญจขันธ์ เป็นธรรมบริสุทธิ์ จึงเรียกว่า ธรรมขันธ์ เหมือนพระรุ่น 4 ที่ว่าดัง ๆ นั่น...พระผงธรรมขันธ์ ก็ธรรมกายนั่นแหละ ไม่เกิดแต่อวิชชา เป็นกายที่พ้นภพ 3 นี้ไป เป็นของจริงครับ เป็นปรมัตถธรรม แต่ว่าจำเพาะส่วน ที่ยังไม่บรรลุ คือจัดเป็น โคตรภู คืออยู่ระหว่างโลกิยะกับโลกุตตระ แต่กำลังจะขึ้นไป แต่ถ้าว่า เป็นธรรมกาย มรรค ธรรมกายผล พระนิพพาน แล้วหละก็เป็นธรรมขันธ์แท้ ๆ ชัดเจน ไม่เรียกว่า นิมิตครับ ไปเข้าใจผิดกันแล้วเอามาโจมตีกันเรื่องนี้แหละครับ เพราะเขาแยกนิมิต แยกของจริง ของปลอมไม่ค่อยชัดเจน ก็มั่วไป ก็ไปคลุมว่าเห็นอะไรเห็นได้ เรียกว่านิมิต จริง ๆ นิมิตอยู่ใน ครรลอง ในสภาวะที่จะสัมผัสได้ด้วยอายตนะของกายในภพ 3 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เช่นเห็นกายมนุษย์ คือ ตาเห็นรูป หรือว่า ทิพพจักขุ เห็นกายทิพย์ พรหมจักขุเห็นกายพรหม อย่างนี้เป็นของในภพ 3

    แต่ว่าเห็นโดยพุทธจักขุ ตรงนี้ไม่ใช่นิมิตหละ ของจริง..มันเข้าเขตปรมัตถ์ ที่โจมตีกัน มันไม่ถูกหรอกครับ เพราะมันเข้าไม่ถึง มันเลยไม่รู้เรื่อง ก็ตีกันไป ก็ไม่ว่ากระไร เป็นเรื่องของท่าน จะเข้าใจอย่างไรก็ว่ากันไปตามเรื่อง แต่ว่าจะได้ผลเป็นบุญเป็นบาปอย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องของท่าน อีกเหมือนกัน

    สรุปว่า เขาถามว่าปฏิบัติสายอื่น แต่ระดับจิตถึงธรรมกายน่ะ มีไหม?

    มีครับ..ต้องมีครับ อันนี้ไม่ปฏิเสธนะครับ จะสายพุทโธ ยุบหนอ พองหนอ สัมมา­อะระหังหรือว่าอะไร ๆ ก็ตาม ถ้าจิตถึงก็ถึงครับ ไม่มีปัญหาครับ

    ถ้ามีจะหลุดพ้นหรือไม่ ? หลุดสิครับ ทำไมจะไม่หลุด
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ส2.JPG
      ส2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      46.3 KB
      เปิดดู:
      334
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    พระอริยะเจ้า ในกลุ่มสายวิชชาอื่น แม้ท่านไม่ได้มีวิธีการฝึกฝนธาตุขันธ์ เจริญมรรคผลมาแบบวิชชาธรรมกาย แต่พอท่านดำรงค์องค์อริยมรรคมีองค์แปด ผ่านเข้าองค์วิปัสสนาคืออริยสัจจ์สี่ ขันธ์ห้า อายตนะ ฯลฯ เป็นต้น จนกิเลส อาสวะ อนุสัย สังโยชน์ ไม่สามารถร้อยรัดบงการจิตท่านได้อีกต่อไป นั่นค่ือ ท่านถึงสภาวะที่เป็นธรรมกายโลกุตตระแล้วครับ

    แม้ไม่ได้เห็นด้วยวิมุตติญาณทัศนะในองค์ประกอบรายละเอียดของธรรมขันธ์ที่เป็นธรรมกายก็ตาม แต่พ้น ก็คือ พ้น


    ส่วนผู้ที่เ่จริญวิชชาธรรมกายที่เดินมรรคผ่านกลางของกลางกาย และธรรมละเอียด ภพ และ อายตนะนิพพาน จะรู้ เห็น และเป็น ครบสามประการ

    แม้เห็น และยังครองกายโลกียะเช่นกายมนุษย๋ แต่ ไม่ได้มีอุปาทานใดๆ ( สำหรับผู้ได้เอาแค่มรรคผลตัดตรงเข้านิพพานปัจจุบัน)


    หลายชีวิตเอาแค่วิธีการ หรือยี่ห้อพาหนะที่ต้องอาศัย มาตัดสินกัน นั่่น เป็นการแสดงสภาวะบางอย่างที่ยังมีอุปาทานในโลกียะอัตตามากอยุ่

    ......สวนทางกับการยืมภาษาครุอาจารย์มาใช้ถกเถียงกันเปล่าๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 มกราคม 2015
  12. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    ถ้าพรุ่งนี้ว่าง จะเข้ามาคุยกับคุณนักรบต่อครับ
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    [​IMG]



    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 มกราคม 2015
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    ... เห็นนิมิตภายนอก ที่เป็นตัวตนสมมุติว่าเป็นกายเนื้อตนบ้าง คนรุ้จักบ้าง ครูบาอาจารย์ พระอริยสงฆ์บ้าง แล้วทำให้จิตใจตนดีขึ้น ประเสริฐขึ้น????


    ......ถ้าเห็นนิมิตแล้วน้อมถึงคำสอนท่านมาขัดเกลากิเลส อนุสัย อาสวะ เครื่องร้อยรัดจิตให้เวียนว่ายตายเกิดลดน้อยลงได้ ก็ดีตรงนั้น... แต่เห็นแล้วอุปาทาน ความปรุงแต่ง ขันธ์ห้า อัตตาตัวตน กลับหนาแน่นขึ้้น จะมีประโยชน์อะไร


    .......... ธรรมเบื้องต้นเพื่อรู้
    เบื้องกลางเพื่อเห็นความเป็นจริง
    และเบื้องปลายคือ เป็นธรรมที่พ้นจากสภาพปรุงแต่งทั้งมวล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 มกราคม 2015
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    ขอถือโอกาสเล่าการฝึกแบบหลวงตาเยื้อนให้ฟ้ง โดยเอาแต่เท่าที่พอจะจำได้ครับ ผมเข้าปิติโดยจับความรู้สึก

    ถึงอาการเย็นบ้าง โดยการหมุนของพลังงานที่เป็นรูปวงกลม ที่ปรากฏตรงกลางท้องบ้าง (เคยเห็นการหมุน

    ในลักษณะคล้ายน้ำทะเล หรือกระแสน้ำวนเข้าเป็นเกลียวที่กลางท้อง) พอฝึกไประยะหนึ่ง รู้สึกกายท่อนล่าง

    ตั้งแต่ระดับสะดือลงมาเริ่มจางหาย คือตรงนั้นมันเป็นเนื้อรูปร่างบางๆ แบบลักษณะของวิญญาณนั่นแหล่ะครับ

    และเห็นมันลอยหายเข้าไปที่กลางท้อง(ตกใจนิดนึง เพราะไม่รู้ว่าฝึกแล้วจะเป็นเช่นนั้น) เสร็จแล้วก็เลิกฝึก

    ด้วยความขี้เกียจ พอวันหลังฝึกอีกคราวนี้ กายท่อนบนก็หายตามเข้าไป สรุปเป็นว่าทั้งเนื้อตัวลอยเข้าไปที่

    กลางท้องจนหมด พอหลังจากนั้นปรากฏภาพคล้ายอุโมงค์ดำๆมืดๆ แต่รอบๆของอุโมงค์ คล้ายมีสิ่งต่างๆ

    ให้เห็นมากมาย...จิตของผมตอนนีี้ มันเหมือนยานอวกาศที่กำลังขับเคลื่อนไปข้างหน้า และถอยหลังได้..แต่

    ผมเลือกที่จะขับยานลำนี้พุ่งตรงไปข้างหน้า ทั้งๆที่ในใจมีความรู้สึกว่าในอุโมงค์นี้ รวมแหล่งความรู้ต่างๆ

    มากมาย เช่น ป้ายนั้นหูทิพย์ ป้ายอันนี้ตาทิพย์ หรือนั่นเจโต อันนี้ถอดกาย สารพัดที่จะหยุดเลือกดู..ครับ


    ผมขับยานลำสมมุติ จนไปถึงสุดอุโมงค์ ปรากฏเป็นท้องฟ้ามืดมิดที่มีดวงดาวน้อยใหญ่ประดับมากมาย ซึ่งเป็น

    อวกาศนั่นแหล่ะครับ ผมอยู่ตรงนั้นได้สักพัก จึงถอยออกจากสมาธิ เพราะสภาวะนี้เคยเข้ามาแล้วครับ คือฌานที่4

    เพราะถ้าลึกกว่านั้น จะเป็นสภาวะของแสงสว่างรอบตัว ที่มีลักษณะเย็นอย่างประหลาด ไม่มีทิศทางของต้นกำเนิด


    (ไม่แน่ใจว่าจะเป็นปัญจมฌานไหม หากคุณนักรบมีข้อมูล หาให้ผมด้วย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 มกราคม 2015
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
    .....ได้คุยนอกกระทู้ กับผู้ปฏิบัติสติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกายท่านหนึ่ง



    ....มีกายละเอียด ของครูบาอาจารย์ หรือ พระพุทธรูปต่างๆ เกิดขึ้น
    มาในจิตจะทำอย่างไร

    1. ถ้านอกศูนย์กลางกาย

    ไม่จำเป็นไม่ต้องยุ่ง ทำใจเฉยๆ เราก็ทำหน้าที่ของเรา เข้ากลางของกลางของกายเราไปเรื่อยๆ


    2. ถ้าเกิดขึ้นมาที่ศูนย์กลางกาย

    ถ้าไม่ขาว ไม่ใส แม้แต่เห็นว่าขาวขุ่นๆ

    ให้วางใจ เข้ากลางของกลาง จุดเล็กใสกลางกายเรา

    ดับหยาบไปหาละเอียด ไปเรื่อยๆ

    ของไม่จริง จะหยาบขึ้นและหายไป

    หรือ สำหรับผู้เข้าถึงกายธรรมแล้ว

    ให้อธิษฐานที่ศูนย์กลางกายกายธรรมที่ละเอียดที่สุดที่จะเข้าได้ของเรา

    แล้วอธิษฐานให้กายธรรมหรือดวงธรรมเป็นอัศนีย์ธาตุ ละลาย
    ซ้ายขวาหน้าหลังล่างบน กายที่เห็นนั้น
    ถ้าเป็นธาตุธรรมอกุศลสร้างขึ้นมา หลอกให้เราออกจากทางสายกลาง
    ก็จะถูกละลาย แยกออกไปหมด

    หรืออีกวิธี

    -ปักใจเข้ากลางของกลาง ดับหยาบไปหาละเอียด เรื่อยๆ
    พิสดารกาย ซ้อน สับ ทับทวี นับไม่ถ้วน คือกระดิกจิตนิดเดียว
    แล้วนิ่งในนิ่งที่ศูนย์กลางกายไปเรื่อยๆ ของปลอมจะแยกออกไปเอง

    แล้วตรงจุดศูนย์กลางกาย อาราธนาพระพุทธเจ้าในนิพพาน(พระธรรมกาย)
    ทุกพระองค์ ทับทวี ซ้อนกายสับกายขึ้นมาเก็บเหตุปลอมๆ เหตุอกุศล
    ผ่านศูนย์กลางกายเราขึ้นมา


    หรือ อีกวิธี

    กระดิกจิตดับอธิษฐาน ถอนปาฏิหาริย์ ( กายปลอม ธาตุธรรมปลอมๆ ที่ภาคอกุศลสอดละเอียดแทรกเข้ามาให้สำคัญผิด เฉแออกนอกกลาง)ไปสุดหยาบสุดละเอียด
    แล้วปักใจเข้ากลางของกลางไปเรื่อยๆ




    หมายเหตุ ทำไม ต้องเข้ากลางไปเรื่อยๆ ไม่แช่ไว้ และอย่าไว้ใจในสิ่งที่เห็น

    เพราะ ถ้าเราแช่ไว้ที่กาย หรือ สภาวะปลอมๆ

    อกุศลเดิมในใจเราที่ยังเอาออกไม่หมดจะฟูขึ้นมา

    และอาจถูกหลอกให้คิดผิด เห็นผิด ทำอะไรผิดๆได้

    โดยนึกว่า เป็นพระ เป็นครูบาอาจารย์สัมมาทิฐิท่านมาบอก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 มกราคม 2015
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,122
    ค่าพลัง:
    +70,471

    ความจริง ฝึกแบบท่าน ก็ควรถามท่าน ถ้าเราเคารพท่านเป็นครู ไม่ใช่แค่ขอเป็นเพียงครูพักลักจำ แต่หาแก่นวิชาที่เป็นไป เพื่อเจริญจนถึงที่สุด(แห่งแก่นวิชาที่ท่านสอนทั้้งโลกียะและโลกุตระ) ไม่ได้ ...ผมไม่บังอาจก้าวล่วงในสิ่งที่ท่านสอนครับ...



    .......แต่บอกได้ประการหนึ่งว่า ถ้าใครเดินวิถีจิตเข้ากลางของกลางตรงกลางกาย กลางดวง ที่ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ด แล้วไม่ทิ้งหลักสติปัฏฐานที่ครูถ่ายทอดแนะนำ จะทราบได้ชัดเอง ทั้งรู้ ทั้งเห็น และทั้งเป็นว่า เป็นโลกียะฌาณ โลกียธรรมระดับใด ปรุงแต่งด้วยเหตุอะไร ปัจจัยอะไร จะสร้างอย่างไร จะดับอย่างไร

    ........เมื่อเจริญสมาบัติ ทบไปทวนมา พิจารณาอริยสัจจ์และกิเลสไปด้วย
    จะเกิดอาการจางคลาย โลกียธรรมต่างๆ แม้ฌาณสมาบัติที่ทรง จิตจะละ ปล่อยความยินดี ความเพลินในโลกียยะปรุงแต่ง เข้าไปสุ่สภาวะธรรมกายที่เป็นสภาพธรรมที่มีจริง พ้นการปรุงของขันธ์ห้า แม้ชั่วขณะ ที่กิเลสดับชั่วคราว

    แล่้วจะทราบว่า ยังมีอะไรที่ละเอียดลึกซึ้งไปอีก

    ศัพท์เทคนิค ก็แค่ สมมุติภาษาที่ทราบในกลุ่มเพื่อเข้าถึงสภาวะพ้นทุกข์ เหมือนกัน แต่ต่างเทคนิคกัน ก็แค่นั้น

     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...