เรื่องเล่า ตื่นนอน ตอนสายๆ

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย suwi, 30 มิถุนายน 2010.

  1. ดาวทะเลทราย

    ดาวทะเลทราย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +13,166
    เรื่องของ กรรม สัตว์โลก นั้น หลีกเลี่ยงไม่ได้
    ทั้ง ด้านที่เป็นผู้กระทำ หรือ ด้านที่เป็นผุ้รับผลของกรรม

    ทำอย่างไร ได้รับผล เช่นนั้น เป็น กฏตายตัว

    กรณี ที่ รักษาคนเจ็บป่วย ก็ทำกันไป ตามกำลังความสามารถ
    ส่วน ที่ จะ ช่วย คนป่วยเหล่านั้น ได้ มากน้อย เพียงไร ก็ สุดแล้ว แต่กรรม ของเขา นั่นเอง

    (การที่ เราช่วยรักษา เขา เรา ก็ สร้างกรรม กับเขา เหมือนกันนะ ทั้งในด้าน ที่ มี เมตตา ต่อคนป่วย การให้การรักษา ฯลฯ กับอีกด้าน ที่ เราทำให้ เค้า เจ็บปวด ก็ กรรมเหมือนกัน มันมี ทั้งสองด้าน นั่นแหละ )

    การจะทำดี โดยไม่มี อะไรผิด เลย ดี โดด โดด เป็นธาตุ แห่งความดี คง ทำได้ยาก


    เพียงแต่ ให้ใช้ปัญญา ไตร่ตรอง ดู ว่า อะไร ดี อะไรเหมาสม
     
  2. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    คืนนี้มีสิ่งที่ผู้อ่าน ควรทราบ 2 ข้อค่ะ

    1. ผู้ที่เกิดวันจันทร์ ถ้าไม่มีความจำเป็น ไม่ควรออกไปท่องราตรี และไม่ควรไปอาบแสงจันทร์ หรือมองดูราหูอมจันทร์นะคะ รวมถึงโปรดดูแลลูกหลานที่เกิดวันจันทร์ของท่านด้วย ว่าไม่ควรออกไปชมจันทร์คืนนี้

    สำหรับผู้ที่เกิดวันอื่นๆ ไม่มีข้อห้ามค่ะ



    2.คืนนี้เป็นคืนวันเพ็ญพุธ หลวงพ่อปู่อุปคุต ท่านบำเพ็ญเพียรตลอด จะออกจากการบำเพ็ญเพียรคืนนี้

    อย่างที่กะทิเคยกล่าวไว้แล้วว่า หากท่านไม่สะดวกไปตักบาตรเที่ยงคืน ก็ขอให้สมาธิระลึกถึงท่าน ส่งจิตเข้าไปตักบาตร และกราบท่าน ขอพรจากท่านในคืนนี้กันนะคะ (อย่าลืมบอกกล่าวนิมนต์พระท่าน(พระตัวแทนของหลวงพ่อปู่อุปคุต) ไว้ล่วงนะคะ พระท่านไม่ว่าหรอกค่ะ เพราะถ้าผู้อ่านนิมนต์ท่านอย่างมีเหตุผล นี่ก็ถือเป็นกิจของสงฆ์ในการรับนิมนต์จากญาติโยมค่ะ)


    การตักบาตรก็ให้ระลีกว่าพระท่านที่ผู้อ่านนิมนต์เพื่อใส่บาตรนี้ เป็นตัวแทนของหลวงพ่อปู่อุปคุตในพระพุทธศาสนาอะนะคะ ใส่บาตรแล้วก็อธิษฐานบุญเอาค่ะ แล้วน้อมบุญไปถวายพระพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนานะคะ



    อนึ่งช่วงนี้กะทิเธอไม่ได้หายไปไหนนะคะ แต่เป็นช่วงงานเข้าจัดหนักค่ะ เลยไม่ค่อยได้เข้ามาเขียนนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2014
  3. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    นิทาน พลังอธิษฐานของกะทิ ตอน พลังออร่ามนุษย์ (ตอนต่อ)


    ช่วงหลายปีก่อน แม่ของเพื่อนสนิทได้ทราบข่าวเรื่องแม่ชีท่านหนึ่งที่จังหวัดระยอง มีความสามารถในการรักษาผู้ป่วยด้วยพลังจิตได้ โดยแม่เคยได้พาครอบครัวของท่านไปพบแม่ชีมาแล้ว (กะทิเรียกแม่ของเพื่อนว่าแม่เหมือนกันกับที่เพื่อนเรียกอะนะคะ) ในวันนั้นเป็นวันหยุดพักผ่อน เพื่อนกะทิก็ได้ชวนกะทิไปเที่ยวพัทยากับครอบครัว ซึ่งได้ซื้อบ้านพักทิ้งไว้ที่นั่น บ้านพักไม่ได้ติดทะเลนะคะ เป็นบ้านในโครงการธรรมดาค่ะ ไม่ได้หรูหรามากมายอะไร



    ในระหว่างที่เราพักอยู่ (นั่งเล่น นอนเล่นกันไป) อยู่ดีๆ แม่เพื่อนก็บอกพ่อเพื่อนว่า ไปหาแม่ชีกัน แล้วทั้งหมดก็ขึ้นรถตู้ขับออกไป โดยมีกะทินั่งแถวหลังสุด เป็นเจ้าแม่เบาะสุดท้ายไป เพราะนั่งรถตั้งนานไม่ถึงจุดหมายสักที เลยขอไปนอนเบาะหลังรถค่ะ



    และพอถึงจุดหมาย กะทิก็ยังไม่รู้เรื่องในทันทีเลยว่า พ่อเพื่อนได้ขับรถตู้จากพัทยา จ.ชลบุรีมาถึง จ.ระยองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จนกระทั้งขากลับ กะทิเธอถึงได้สังเกตป้ายต่างๆ บนถนน ว่านี่มันจังหวัดระยอง 55555555 พ่อเพื่อนเขาเป็นคนแบบนี้นะคะ คือเป็นคนที่ชอบขับรถนะคะ ต่อให้คนที่นั่งมาด้วยหลับไปอย่างไร เขากก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองถูกทิ้งให้ขับรถอยู่คนเดียว ทั้งนี้เพราะใจชอบหนะค่ะ



    ย้อนกลับมาถึงสถานที่ที่เรามาพบแม่ชีกันนะคะ บริเวณทางเข้า และพื้นที่โดยรอบเป็นเหมือนเขตวัดค่ะ แต่เป็นพื้นที่ที่แม่ชีสร้างสถานฝึกขึ้นมาเองด้วยเงินบริจาคเพื่อการทำบุญของผู้ที่มาพบแม่ชีล้วนๆ บ้านพักของแม่ชี เป็นบ้านปูนชั้นเดียว หน้าบ้านเป็นดินปนทรายอย่างบ้านๆ แบบคนต่างจังหวัดทั้วไป ไม่ได้มีอะไรผิดแปลก แต่ที่แปลกเราสามารถเห็นได้ตั้งแต่ทางเข้าบ้าน โดยเฉพาะหากว่าคุณสามารถจับคลื่นพลังงานได้


    เพราะที่ทางเข้าบ้านด้านขวามือ มีโต๊ะตัวหนึ่งตั้งเลยออกมาถึงหน้าบ้าน บนโต๊ะนั้นเต็มไปด้วย เทวรูปและรูปภาพต่างๆ ของขลังต่างๆ มากมายเต็มโต๊ะ ซึ่งกะทิมองแต่ไกลก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังงานที่แรงมากๆ มากระจุกอยู่รวมกัน กะทิเดินเข้าบ้านมา ด้วยการพยายามเดินอ้อมโต๊ะตัวนี้


    (ผู้อ่านพอจะเข้าใจรึเปล่าอะนะคะ คือเวลาคนปรกติเดินเข้าบ้าน จะเดินเป็นเส้นตรงผ่านประตูเข้ามา แต่ว่าสำหรับกะทิ จะพยายามเดินห่างจากโต๊ะตัวนี้ จึงไม่ได้เดินเป็นเส้นตรง แต่พยายามเดิมอ้อมโต๊ะเข้าประตูบ้านมาหนะค่ะ)



    กะทิยังไม่รู้ตัวนะคะ ว่าแม่เพื่อนปรารถนามา ณ ที่แห่งใดอย่างแน่ชัด จนกระทั่งได้เข้าไปในบ้าน ภายในบ้าน ไม่มีเครื่องเรือนใดอยู่เลย เพราะจริงๆ แล้วแทบจะไม่มีพื้นที่ให้พวกเรานั่งกันอยู่แล้วค่ะ บนพื้นนั้นเต็มไปด้วยวัตถุมงคลต่างๆ เทวรูป ของขลัง กะทิขออนุญาตเข้าห้องน้ำ ในห้องน้ำนี้มีใยแมลงมุมเยอะแยะ พื้นห้องน้ำก็ดำ และมีเสื้อผ้าดำที่เปียกน้ำ ไม่ได้ซักอยู่ กะทิสัมผัสได้ถึงพลังที่รู้สึกได้ถึงความมืดมัว ถึงตอนนี้กะทิเริ่มจะตื่นเต็มตา และมีสติแล้วว่าเรามาอยู่ที่ไหนกันล่ะเนี่ย


    พอเดินออกมาจากห้องน้ำ และได้นั่งลงบนเสื่อที่ทุกคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว (มีแต่กลุ่มพวกเรากลุ่มเดียวนะคะ ไม่มีคนอื่น) กะทิเธอก็เริ่มสังเกต ถึงวัตถุต่างๆ ที่แทบจะเต็มพื้นบ้าน จนแทบไม่มีพื้นที่ และสังเกตไปถึงอากาศโดยรอบที่อยู่เหนือขึ้นไปในพื้นที่ๆ วางวัตถุต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งสัมผัสได้ชัดเจนว่ามีพลังงานเป็นลูกๆ สีดำอยู่เต็มไปหมด แต่กะทิก็ยังไม่พูดอะไรนะคะ



    แม่เพื่อนก็ให้แม่ชีช่วยรักษาอาการของเธอ อาการของคุณยายของเพื่อน ที่ได้พามาด้วย และนั่งอยู่บนรถเข็นค่ะ (เข็นรถเข้ามาในบ้านด้วย) แล้วก็เพื่อนของกะทิ แล้วก็พ่อเพื่อน และกะทิ(ไหนๆ ก็มาแล้วนะคะ) ตามลำดับ (เท่าที่จำได้ประมาณนี้) ระหว่างที่ทำการรักษา กะทิก็สังเกตหลายอย่าง ตั้งแต่พลังงานที่แม่ชีใช้ในการรักษาผู้ป่วย สาเหตุที่เธอเลือกที่จะมารักษาผู้ป่วย ซึ่งนี่เป็นเหตุให้เธอไม่มีเวลาแม้แต่จะทำความสะอาดบ้าน


    ระหว่างที่จะรักษาพ่อของเพื่อน และกะทิเป็นรายต่อๆ ไป (ไหนๆ กะทิก็มาแล้วอะนะคะ ลองสักหน่อย) แม่ของเพื่อนก็นำเอากล่องๆ หนึ่งที่ติดตัวมาด้วย มาเปิดให้แม่ชีดู ภายในมีของขลังที่ตามบ้านชอบมี (คล้ายๆ ช้างม้าของไทย แต่เป็นนกแกะสลัก และน้ำเต้าแบบจีน อะไรทำนองนั้นอะนะคะจำไม่ค่อยแม่นแล้ว) แม่ชีเห็นก็บอกว่าให้ทิ้งไว้ที่นี่ ไม่ให้เก็บกลับบ้านค่ะ กะทิก็เลยพูดขึ้นมาให้ทุกคนได้ยินว่า ที่บ้านของแม่เพื่อนบริเวณชั้นบนห้องพระนั้น เรียกว่าตั้งแต่หัวบันไดชั้นบนก็แรงแล้ว เวลากะทิเดินไปที่ชั้นบนนี้ กะทิยังเดินเลี่ยงไม่กล้าเข้าใกล้เลย


    (สาเหตุที่กะทิเดินเลี่ยงพลังวัตถุต่างๆ นั้นเป็นเพราะว่า กะทิไม่ทราบว่าพลังต่างๆ ที่สัมผัสได้นั้น ดีจริงหรือเป็นพลังงานไม่ดีนะคะ ตัวของกะทิจะเป็นเหมือนเครื่องดูดฝุ่นค่ะ คือดูดพลังงานทุกอย่างที่เธอสัมผัส ยังไม่สามารถควบคุมตนเองได้หากสัมผัสพลังงานไม่ดี แล้วไม่รู้วิธีจะป้องกันตัวเองยังไง ดังนั้นจึงเป็นอันตรายกับตัวเอง วิธีที่ดีที่สุด จึงพยายามเลี่ยงพลังงานทุกอย่างเอาไว้ก่อน ปลอดภัยไว้ก่อนนั่นเอง โดยเฉพาะหากไม่มีผู้ที่ไปกับกะทิด้วย เป็นผู้มีพลังสัมผัสได้เป็นเพื่อนอยู่ด้วยในขณะนั้น)



    ระหว่างที่แม่ชีกำลังทำการรักษาพ่อของเพื่อน กะทิก็เห็นว่าเป็นพลังสีแดงใสเป็นไอ ลอยออกมาจากการรักษานะคะ ซึ่งกะทิก็ถามแม่ชีว่า "พลังงานนี้มาจากใครคะ?" แม่ชีก็บอกว่า "มาจาแม่ชีเอง" แม่ชีพูดต่อไปว่า "ดูสิว่าแม่ชีเป็นใคร?"



    นี่ก็เป็นอีกครั้งนะคะ ที่กะทิไม่ได้ขอดู แต่ว่าผู้ที่เป็นตัวของท่าน อนุญาตให้ดูเองค่ะ กะทิก็เลยดูนะคะ (และขออนุญาตแม่ชี กะทิขออนุญาตท่านนำมาเล่าไว้ ณ ตรงนี้นะคะ) พอกะทิดูเสร็จแล้ว กะทิคิดว่าแม่ชีจะถามว่าเห็นแม่ชีเป็นใคร แต่ก็เปล่าค่ะ ท่านไม่ได้ถามอะไรเลย ท่านไม่ได้ต้องการคำตอบว่ากะทิเห็นหรือไม่เห็นนะคะ แต่ท่านกลับเล่าเรื่องอื่น


    ท่านได้เล่าที่ไปที่มาของเหตุที่มาเป็นผู้รักษาคนไข้ ว่าต้องผ่านด่านการทดสอบจากเทวดาที่มาชี้ให้ท่านเลือกทางเดินชีวิตของท่านที่สดใส หรือขุ่นมัวด้วยการเสียสละตัวเองเพื่อสิ่งนี้นะคะ ท่านเลือกหนทางที่ลำบาก และมืดมั่ว โดยไม่กลัวเกรงต่อสิ่งใด (ประมาณนี้นะคะ จำไม่ค่อยได้แล้วเพราะว่าคุยกันหลายเรื่องมากๆ) แต่เรียกว่าเป็นผู้หญิงที่ใจเด็ดใจกล้ามากค่ะ



    พอท่านรักษาพ่อของเพื่อน แม่ชีก็พูดถึงอดีตที่พ่อของเพื่อนเคยทำเอาไว้ ซึ่งพ่อก็ยอมรับว่าเคยได้ทำเช่นนั้นจริง และแม่ชีก็ขอให้จุดธูปขอขมาและขออโหสิกรรม ตรงบริเวณหนึ่งที่จัดไว้ในบ้านนี้นะคะ ส่วนของกะทิแม่ชีจับที่ขาแล้วถามว่าเวลาเดินมันหนักมากใช่ไหม? คำตอบคือใช่ค่ะ เวลากะทิเดินจะรู้สึกหนักเท้า ข้อเท้ามาก คล้ายใส่ลูกตุ้มขาไว้มากมาย แม่ชีก็ช่วยให้มีน้อยลงในตอนนั้นนะคะ


    แล้วแม่ชีก็บอกกับกะทิเธอต่อไปอีกว่า นอกจากอาการจากเรื่องดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีอีกเรื่อง ที่กะทินี้มีม้าสีขาวอยู่ เธอเคยไปไหว้ไปคุยให้เขามาอยู่ด้วยใช่รึไม่? ตอนแรกกะทิยังนึกไม่ออกนะคะ แต่คิดนึกไปมา ก็นึกได้ค่ะว่าเคยไปไหว้ที่พระบรมรูปทรงม้า เนื่องจากได้ยินอาจารย์สามตาบอกว่า พระองค์ทรงไปใช้ม้าขวางป้องกันน้ำท่วม ไม่ให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ และม้าก็หนาวสั่นมาก กะทิก็เลยไปไหว้ แล้วใช้ดอกกุหลาบที่มีคนนำมาถวายท่าน อุทิศเป็นอาหารม้าค่ะ แต่จำได้เลือนรางแล้วว่าไปสัญญาอะไรไว้ด้วยรึเปล่า จำไม่ค่อยได้แล้ว


    ก่อนกลับพัทยา กะทิเธอได้ฟังมาว่า ด้านหลังนี้ที่พักแห่งนี้ มีสระน้ำขนาดใหญ่ แม่ชีจะสร้างรูปของพญานาคที่สระน้ำแห่งนี้นะคะ กำลังค่อยๆ นำสตางค์ที่มีผู้นำมาใส่ตู้ทำบุญนำไปเป็นงบประมาณในการสร้างค่ะ ก่อนกลับกะทิเลยแวะไปดูนะคะ แล้วก็กำหนดจิตขออนุญาตดูว่า มีอะไรอยู่ในสระน้ำบ้างรึเปล่า? ปรากฎว่าก็ได้เห็นจริงๆ ค่ะ และไม่พยายามอยู่นานนักกับในสิ่งที่เห็น เพราะมันก็เริ่มเป็นเวลาเย็นแล้ว แถมสถานที่ยังทำให้รู้สึกมัวซัวยังไงไม่รู้อะ



    พอกลับมาถึงบ้านพักที่พัทยา กะทิก็พยายามเล่าในสิ่งที่เห็นให้พ่อของเพื่อนฟัง แต่พ่อก็เหมือนยังไม่พร้อมที่จะฟังนะคะ เมินๆ ไป เพื่อนก็ไม่ถามอะไรกะทิ แม่ก็ไม่ถาม ไม่มีใครถามอะไรกะทิ แม้แต่แม่ชีเองที่แสดงตัวให้กะทิดู แต่ไม่เคยถามเลยว่ากะทิเห็นไหม? เห็นอะไร? แล้วกะทิจะระบายเรื่องนี้กับใครล่ะคะ ที่บ้านไม่มีใครรู้ค่ะว่ากะทิเป็นแบบนี้ ดังนั้นกะทิก็บอกใครไม่ได้ นอกจากเก็บไว้กับตัวเอง จนเวลาผ่านไปประมาณ 5 ปีค่ะ



    เมื่อช่วงปีใหม่ เพื่อนได้ชวนกะทิไปทำบุญถวายโดมไฟที่วัดแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด มีพ่อและแม่ของเพื่อนไปด้วยอย่างเคย ขากลับจากทำบุญ ไม่รู้เป็นไงมาไง แม่เพื่อนก็ถามว่าเรื่องแม่ชีขึ้นมา และถามว่าแม่ชีเป็นใคร (กะทิขออนุญาตแม่ชีนะคะ ที่จะเล่าเรื่องของแม่ชีไว้ ณ ตรงนี้ค่ะ)


    สิ่งที่กะทิเห็นในตอนนั้น คือ "โครงสร้าง " รวมกับ "ออร่าสีแดงฉาน" ของงูใหญ่ที่มีหัวสองชั้น ซึ่งจริงๆ ไม่น่าจะใช่หัวสองชั้นค่ะ ตามที่กะทิเข้าใจในตอนนั้นคือ เป็นหัวที่แผ่แม่เบี้ย หรือก็คือพญานาคนั้นเอง (ที่กะทิเห็นแต่สีแดงเพลิง อาจเป็นเพราะในขณะที่ดูแม่ชียังคงทำการรักษาพ่อเพื่อนอยู่ จึงเห็นแค่สีเดียว หรืออีกกรณีไม่แน่ใจว่าแม่ชีเธอต้องการให้กะทิเห็นแบบนั้นรึเปล่านะคะ)



    กะทิก็เลยตอบแม่เพื่อนไปว่า “เป็นพญานาคค่ะ” แม่เพื่อนก็บอกว่าถูกต้อง แม่ก็ถามต่อไปอีกว่า แล้วทำไมตอนนั้นไม่บอกแม่ล่ะ กะทิก็บอกว่า “ก็ไม่มีใครถามค่ะ กะทิก็เลยไม่รู้จะบอกยังไง?” (หรือบอกทำไม เพื่ออะไร ในเมื่อ ณ ขณะนั้นไม่ได้มีใครสนใจอยู่อะนะคะ คงต้องเป็นช่วงของกาละ เวลา กาละเทศะจริงๆ) แม่เพื่อนก็บอกว่า “ถูกต้อง” และยังย้ำถามว่า “ทำไมตอนนั้นไม่บอกแม่”


    พ่อก็เลยพูดย้ำค่ะว่า “ก็เขาบอกแล้วไงว่าตอนนั้นไม่มีใครถาม แล้วเขาจะบอกยังไง” แม่เพื่อนยังถามต่อไปอีกว่า "แล้วลูกไม่กลัวรึ?" กะทิเธอตอบกลับไปประมาณว่า "กะทิเคยเห็นน่ากลัวว่านี้อีกค่ะ" (ในความจริงก็คือ ในโลกของมิติอื่นที่ตาปรกติหรือตาเนื้อของมนุษย์จะมองเห็นได้นั้น ในมิติอื่น มันมีความหลากหลายและความแตกต่างทางชาติพันธ์ุ รูปร่างหน้าตา และพลังงาน รวมถึงพฤติกรรม และเรื่องราวการสู้รบ ที่น่ากลัวมากมายกว่ามนุษย์โลกเยอะ ก็บอกเล่าให้พ่อแม่เพื่อนกับเพื่อนฟังไปประมาณนั้นอะนะคะ)


    นอกจากนี้เราก็ยังพูดเรื่องของที่กองอยู่ที่พื้นห้อง และสระด้านหลังที่กะทิไปเห็นมา ซึ่งภายในสระนั้น กะทิรู้สึกว่าเห็นงูไหว้น้ำอยู่ในสระค่ะ แต่เข้าใจว่าน่าจะเป็นพญานาคค่ะ กะทิก็เล่าให้พ่อแม่เพื่อน และเพื่อนฟังดังที่เล่าให้คุณผู้อ่านแล้วนี้ค่ะ(รอที่จะเล่ามาตั้ง 5 ปี อิอิ)


    /ยังมีต่อ



    ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจาก การเขียนข้อความให้ความรู้ ในการช่วยให้บุคคลผู้อ่านข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนไว้นี้ทั้งหลาย ได้มีความรู้เพิ่มเติมเสริมตัว หรือมีพัฒนาการในการฝึกปฏิบัติสมาธิสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ในพระพุทธศาสนา ที่ดีขึ้นไม่ว่าด้วยประการใดประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญนี้สรรเสริญและบูชาแด่องค์พระปฐมในพระพุทธศาสนา แด่พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ในพระพุทธศาสนา และแด่พระธรรมในพระพุทธศาสนาทุกๆ พระองค์ในทุกๆ จักรวาล และขอบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายนี้ จงเป็นพลังบุญส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญในชีวิต อันประกอบด้วย กายธาตุ ทั้งกายหยาบและกายละเอียด มโนธาตุ กายทิพย์ และดวงจิต และขอบุญนี้จงคุ้มครองป้องกันข้าพเจ้าให้ปลอดภัยจากการเบียดเบียนจากมนุษย์ และอมนุษย์ทั้งปวง ตลอดสิ้นกาลนานเทอญ ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2014
  4. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    นิทาน พลังอธิษฐานของกะทิ ตอน พลังออร่ามนุษย์ (ตอนต่อ ประเด็นแม่ชี จ.ระยอง)


    ลืมเขียนเล่าประเด็นสำคัญไปค่ะ ในการตรวจรักษากะทิเธอนั้น ที่แม่ชีช่วยรักษากะทิเธอที่มีอาการคล้ายมีลูกตุ้มถ่วงข้อเท้าไว้จำนวนมาก ให้ออกไปมากพอสมควร และนอกจากเรื่องม้าขาวที่ตามกะทิเธอมาด้วยจากการที่เคยไปพูดจากับม้าของเสด็จฯ เอาไว้แล้วนั้น แม่ชียังได้พูดอีกว่า "เวลากะทิพูดอุทิศบุญให้ผู้อื่น กะทิพูดว่าอย่างไร?"


    ตอนแรกที่ได้ยินคำถาม กะทิเธอก็ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่นะคะ ว่าแม่ชีมีวัตถุประสงค์อะไรในการถามเช่นนี้ กะทิก็พยายามคิดหาคำตอบให้ตรงกับคำถาม ทั้งๆ ที่เจ้าตัวยัง งงๆ อยู่ แม่ชีก็เลยพูดขึ้นมาเองว่า "ขอให้พวกเขามารับบุญจากเธอไปใช่รึเปล่า?"



    คำตอบของแม่ชีสำหรับกะทิแล้ว ยัง งง ต่อไปนะคะ แต่สิ่งที่แม่ชีพูดหนะถูกต้องแล้วค่ะ กะทิจะอุทิศบุญโดยบอกให้พวกเขามารับเอาไปค่ะ ภาพที่ขึ้นมาให้กะทิเห็นในขณะที่คิดถึงเรื่องนี้ก็คือ ในช่วงที่เกิดสึนามิที่ญี่ปุ่น มีคนตายเป็นจำนวนมาก หลายคนยังไม่คิดว่าตัวเองตายไปแล้ว หลายคนตายแล้วแต่ไปไหนไม่ได้ พวกเขาหนาวเหน็บและหิวโหย กะทิก็พิเรณเนอะ กำหนดจิตพาตัวเองไปใต้สมุทร ไปหาพวกเขาเหล่านั้น และอุทิศบุญให้พวกเขามารับเอาไปค่ะ



    พวกเขาก็มาล้อมรอบตัวกะทิมากมายเลย สำหรับกะทิแล้ว ยิ่งเขามารวมกันมากเพื่อมารับบุญกันนั้น ยิ่งมากยิ่งดี(ในความคิดตอนนั้นนะคะ) เพราะกะทิเธอรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่ไม่พร้อมจะตาย ความเหนื่อย หิวโหย รับรู้อารมณ์ต่างๆ เหล่านั้น จึงอยากอุทิศบุญให้พวกเขาไปภพภูมิที่ดีกว่า โดยไม่ได้ห่วงหรือดูตัวเองเลย ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวกะทิเธอเองบ้างรึเปล่า?




    (มิน่าล่ะ (กะทิเธอเพิ่งจะคิดออก ณ ขณะที่พิมพ์ข้อความอยู่นี้) ตอนไป ปท.ญี่ปุ่น เมื่อปีที่แล้ว มาทักทายกะทิเธอเยอะเป็นพิเศษ โดยเฉพาะบริเวณที่กะทิเธอไปเที่ยวใกล้อ่าวทะเล มาสะกิตให้ตกบันได แต่รีบมาช่วยรับร่างกะทิเธอเอาไว้ไม่ให้ตกจากบันไดลงมาบาดเจ็บจนเหมือนไม่ได้ตกลงมา เป็นทิวแถว ขา ข้อเท้าก็ไม่มีอาการแพลงแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่การตกบันไดส่วนใหญ่ อย่างน้อยต้องขาแพลง บ้างหนะ แต่นี้เหมือนไม่ได้เกิดอะไรขึ้นเลย ลงมายืนกับพื้นได้ปรกติเฉยเลย และยังอื่นๆ อีกมากมาย มาทักทายเยอะแยะ จนหมอสุวิที่ได้เห็นรูปถ่ายบอกกับกะทิว่า นี่เธอไปเที่ยวทัวร์ผีมาเหรอ เฮ่อๆๆๆ)




    แม่ชียังคงพูดกับกะทิเธอต่อไปเรื่อยๆ นะคะว่า "เปลี่ยนคำพูดใหม่ซะนะ เวลาอุทิศบุญ ขอให้บอกว่า มารับบุญไป(จากเรา) ไม่ใช่พูดว่าให้มารับบุญ(จากเรา)นะ" แม่ชีพูดแค่นี้ กะทิเธอ Get(เข้าใจ) ทันทีค่ะ รีบกล่าวสาธุ ขอบพระคุณแม่ชีเธอในทันที



    แม่ชีเธอพูดถูกต้องแล้วค่ะ กะทิพูดอย่างนั้นในการอุทิศบุญจริงๆ ด้วย และนี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งในหลายๆ สาเหตุที่อาจทำให้วิญญาณหลายๆ ดวง พอมารับบุญแล้ว ก็อยู่กับกะทิเธอนี่แหละไม่ไปไหน ก็กะทิเธอเรียกให้มารับนี่นา ชิมิคะ แต่ถ้าเราเปลี่ยนคำพูดซะใหม่ กลายเป็น โปรดรับบุญไปเป็นของท่าน เช่นนี้ บุญที่เราอุทิศจะวิ่งไปหาผู้ที่อนุโมทนา สาธุบุญจากเรา แทนที่เขาจะต้องวิ่งมาหาเราด้วยตัวเอง เพื่อรับบุญจากเราหนะค่ะ



    ท่านผู้อ่านเห็นความแตกต่างในข้อที่ที่กะทิพยายามอธิบายแล้วชิมิคะ ถ้ามองเห็น(เข้าใจ)แล้ว ก็ช่วยอนุโมทนาว่า "สาธุ" ขอบพระคุณแม่ชีท่านกันค่ะ ที่ให้ความรู้ที่เป็นประเด็นประโยชน์นะคะ




    ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจาก การเขียนข้อความให้ความรู้ ในการช่วยให้บุคคลผู้อ่านข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนไว้นี้ทั้งหลาย ได้มีความรู้เพิ่มเติมเสริมตัว หรือมีพัฒนาการในการฝึกปฏิบัติสมาธิสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ในพระพุทธศาสนา ที่ดีขึ้นไม่ว่าด้วยประการใดประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบุญนี้สรรเสริญและบูชาแด่องค์พระปฐมในพระพุทธศาสนา แด่พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ในพระพุทธศาสนา และแด่พระธรรมในพระพุทธศาสนาทุกๆ พระองค์ในทุกๆ จักรวาล และขอบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายนี้ จงเป็นพลังบุญส่งเสริมให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญในชีวิต อันประกอบด้วย กายธาตุ ทั้งกายหยาบและกายละเอียด มโนธาตุ กายทิพย์ และดวงจิต และขอบุญนี้จงคุ้มครองป้องกันข้าพเจ้าให้ปลอดภัยจากการเบียดเบียนจากมนุษย์ และอมนุษย์ทั้งปวง ตลอดสิ้นกาลนานเทอญ ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2014
  5. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    เงินกฐิน วัดป่ากังวาลไพร ในสายหมอสุวิ มีสามสาย
    และได้โอนเงินผ่านคุณดาวทะเลทรายไปใหวัดแล้ว ดังนี้

    ๑. สายคุณ พัชรินทร์ วงค์เอนกอนันต์ ได้ยอดเงิน ดังนี้ ๑๗,๐๐๐.- และเงินตกค้าง ๕๕๖.- และ ๕๐๐.-
    ๒. สาย ทพ.หญิง โชติกาคำพันธ์ จำนวนเงิน ๔,๔๔๔.- และ ๑,๕๐๐.-
    ๓. และในสาย คุณหนึ่ง นันทวรรณ จรูญพิพัฒน์กุล มียอดเงิน ๑๐๑,๔๕๖.-

    รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๒๕,๔๕๖.-

    โดยโอนผ่านบัชชีคุณดาวทะเลทราย สี่ครั้งมียอดเงินดังนี้
    ครั้งที่ ๑. ยอดเงิน ๑๗,๐๐๐.-
    ครั้งที่ ๒. ยอดเงิน ๑๐๑,๔๕๖.-
    ครั้งที่ ๓. ยอดเงิน ๕,๐๐๐.- (๔,๔๔๔.-+ ๕๕๖.-)
    ครั้งที่ ๔. ยอดเงิน ๒,๐๐๐.- (๑,๕๐๐.- + ๕๐๐.-)

    จึงแจ้งให้ทุกท่านได้ทราบ และร่วมอนุโมทนาบุญร่วมกัน

    มีผู้ใจบุญ หลายท่าน ได้ร่วมบุญสร้างพระกับหมอสุวิ เป็นประจำทุกเดือน มากบ้างน้อยบ้างเช่น ป้าเพ็ญ คุณ suntorn_ta ฯ หมอขอกราบอนุโมทนาสาธุการ ด้วย
    และในการร่วมบุญในสองสามเดือนหลังนี้ หมอได้เอาเงินที่ท่านบริจากมา เข้าร่วมกับเงิน กฐินเลย ด้วยเงินที่ได้นี้ทางวัดมีเจตนาเพื่อใช้ในการสร้างพระ
     
  6. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    งานกฐิน เสร็จเรียบร้อยแล้ว ยอดเงินของพวกเราที่ร่วมบุญกัน มียอดโอนไปให้วัด 125,456.-
    ส่วนยอดรวมทั้งวัด ยังไม่ทราบ อีสักวันสองวัน ท่านดาวทะเลทราย คงสรุปให้พวกเราทราบกัน

    ในส่วนของเรา เราก็อธิษฐานบุญกันก่อนเลย โดยหมอขอเป็นตัวแทนทุกท่านนำอธิษฐานบุญในครั้งนี้
    และตรงที่หมอสุวิได้ละไว้ ก็ให้ต่างตนต่างอธิษฐานเอาตามแต่เจตนาของตน

    ด้วยอำนาจ แห่งเสมา ข้าหมอสุวิ ขอเป็นตัวแทนผู้ร่วมบุญในการสร้างพระและงานกฐินเพื่อสร้างพระประธาณ ณ วัดป่ากังวาลไพร จ.ชัยภูมิ
    ข้าฯขอนำบุญทั้งหมดที่พวกเราได้ร่วมกันสร้างนี้ ขึ้นอธิษฐานน้อมบูชา องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าทุกๆพระองค์
    น้อมบูชา พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
    น้อมบูชา พระอริยะเจ้าทุกระดับชั้น ทุกๆพระองค์
    และขอน้อมบูชาพระพุทธจักรพรรดิ ฝ่ายปกครองทุกๆพระองค์
    และน้อมบูชาพระธรรมที่ท่านทั้งหลาย ได้ตรัสรู้แล้ว เห็นแล้ว เป็นแล้ว และยังให้ท่านหลายบริสุทธิ์
    ข้าพเจ้า ขอน้อบบูชาท่านเหล่านั้น อันมากกว่าเม็ดทรายในท้องมหาสมุทรทั้งสี่ ที่สถิตอยู่ในสามโลกธาตุแห่งนี้
    ที่สถิตอยู่ในทุกๆโลกธาตุ ในทุกๆทวีป ทุกๆจักวาล มหาจักวาล ทั้งปวงอันไพศาล
    และขอน้อมบูชาท่านเหล่านี้ที่สถิตอยู่ในที่ว่าง ในสุญญตาธาตุ และในอนัตตาธาตุทั้งปวงที่แทรกอยู่ในสามโลกธาตุแห่งนี้ และในทุกๆโลกธาต ทุกๆจักรวาลมหาจักวาลอันไพศาล

    บุญใดที่ได้ ก่อเกิดขึ้นแล้วนี้ ปวงข้าพเจ้า ขออนุโมทนาซึงกันและกันว่า สาธุ สาธุ บุญเหล่านี้จงสำเร็จแก่ปวงข้าพเจ้าด้วยเถิด

    และด้วยอำนาจแห่งบุญทั้งหมดนี้ จงสำเร็จแก่ตัวข้าพเจ้า เติมเต็มมหาสมุทรแห่งบุญที่ได้สะสมไว้ดีแล้ว ให้เต็มเปี่ยม อยู่เสมอ ใช้ไปอย่างไร ก็อย่าได้รู้พร่อง
    มีดวงบุญประดุจดังมณีโชติรส ใสกระจ่างดังพระจันทร์วันเพ็ญ
    ด้วยอำนาจแห่งบุญนี้ จงหล่อเลี้ยง กายธาตุจิตวิญญานข้าพเจ้า ให้อยู่เย็นเป็นสุข ประกอบไปด้วยทรัพย์ มีใช้ผ่านมือไม่รู้หมดสิ้น
    ด้วยอำนาจแห่งบุญนี้ จงเป็นเกราะคุ้มครองปกป้องข้าพเจ้า(และครอบครัว)ให้ปลอดภัยจากอุบัติภัยภิบัตทั้งปวง ปลอดภัยจากการเบียดเบียนจากเหล่า มนุษย์และอมนุษย์ทั้งหลาย
    ด้วยอำนาจแห่งบุญนี้ จงเป็นเกราะปกป้องภัยจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง โรคภัยที่เป็นอยู่ จงเปิดทางรักษา ขอให้ได้พบ หมอดี ยาดี รักษาให้หายขาดโดยง่าย

    ด้วยอำนาจแห่บุญนี้จงสำเร็จแก่ .................(อธิษฐานให้ครอบครัว ลูกเต้าปู่ยาตายาย ฯลฯ)
    ด้วยอำนาจแห่งบุญนี้จงสำเร็จแก่......(ครูอุปปัชชาอาจารย์ และผู้มีคุณ)

    ด้วยอำนาจแห่งบุญนี้จงสำเร็จ แก่เหล่าเจ้ากรรมนายเวร และเหตุแห่งวิบากกรรมทั้งปวงขอให้ท่านมีความสุขและ ........(จะขอขมากรรม ขอโทษ อะไรก็ว่าไป เพื่อให้เกิดการอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน)
    ด้วยอำนาจแห่งบุญนี้ จงสำเร็จแก่เจ้าหน้าที่กฏแห่งกรรม(ผู้ควบคุมวิบากกรรมของเรา) ขอให้ท่านมีความสุข และขอเมตตาให้เปิดทาง ......(การรักษาโรค การดำรงค์ชีวิตที่ยากแค้น การวาน การเงิน ฯลฯ)
    ด้วยอำนาจแห่งบุญนี้ .................
     
  7. ดาวทะเลทราย

    ดาวทะเลทราย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +13,166
    เมื่อเย็นวาน ทางวัด ยังไม่ได้ รวบรวมยอดเงิน ที่ ชาวบ้าน ใส่เป็นซองๆ มาก
    ผมจึง ยังไม่ทราบยอด สุทธิ

    แต่ ที่ ท่างฝ่าย เรา คือ มี อ.สุวิ และ คุณหนึ่ง กับผม รวมได้ 138,256.00 บาท

    ได้นำส่ง เข้าบัญชีทางวัด เรียบร้อยแล้ว ครับ

    กราบ อนุโมธนาบุญ กับ ทุกๆ ท่าน ที่ มีส่วน ในบุญนี้ ครับ


    ขอบุญนี้ จง ติดตามรักษาท่าน ให้พบแต่ ความสำเหร็จ ทั้งงานทางโลกก็ดี ทางธรรมก็ดี
    จะเป็นงานเล็กหรือใหญ่เพียงใดก็ตาม ของให้ สำเหร็จ.
    ขอให้ท่านจง มี พร้อม ด้วยทรัพย์สมบัติ ทิพยสมบัติ และ นิพพานสมบัติ
    ขอให้ท่านจงเป็นผุ้ มี ความบริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา ใจ ได้ สร้างคุณความดี อันเลิศ ยิ่งๆ ขึ้นไป
    ให้ได้ สำเหร็จมรรคผล เข้าสู่พระนิพพาน จนถึงที่สุดแห่งธรรม เทอญ...................สาธุ
     
  8. chaivat chinkidjakar

    chaivat chinkidjakar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    1,601
    ค่าพลัง:
    +21,664
    ขออนุโมทนาในบุญทั้งหมดทั้งมวลด้วยครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  9. padome

    padome Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +58
    ขออธิบายในทางโลกนะครับ
    ในทางกฏหมายอาญานั้น ป.อ.มาตรา ๕๙ วรรคแรก มีหลักกฏหมายดังนี้ "บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญา ต่อเมื่อ กระทำโดยเจตนา ..."
    และ ป.อ.มาตรา ๕๙ วรรคสอง มีหลักฏหมายดังนี้
    "กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำและในขณะเดียวผุ้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล้งเห้นผลของการกระทำนั้น"
    สรุปคือ บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา
    โดยเจตนา แบ่งเป็นสองประเภท
    1 เจตนาประสงค์ต่อผล คือ ผู้กระทำต้องการให้ผลเกิดขึ้น เช่น แดงต้องการฆ่าดำ ใช้ปืนยิงไปที่ดำ ดำตาย
    2 เจตนาเล็งเห้นผล คือผู้กระทำไม่ได้ต้องการให้ผลเกิดขึ้น แต่จากการกระทำของตนเองผู้กระทำสามารถคาดหมายได้ว่า ผลสามารถเกิดขึ้นได้
    เช่น นั่งในร้านอาหาร ต้องการ ยิงขวดเหล้าเล่น ด้วยปืน ซึ่งผู้ยิงมองเห็นได้ชัดเจนว่า มีคนนั่งอยู่โต๊ะข้างๆใกล้ๆกับโต๊ะที่วางขวดเหล้า มีโอกาศที่กระสุนจะพลาดไปถูกคนข้างๆ แม้ไม่ได้ มีเจตตาจะฆ่าคนข้าง แต่เมื่อลงมือยิงแล้วกระสุนพลาดไปถูกคนนั่งข้างๆ ถึงแก่ความตาย จึงเป้นการฆ่าคนตายโดยเจตนาโดยเล็งเห็นผล
    กรณีทียกมาคุยบ้างคือ ฆ่าด้วยความเมตตา (mercy killing)
    การที่ คนไข้อาการสาหัส ขั้นตอนการรักษานั้น ทรมานคนไข้ เนื่องจากคนไข้อายุมาก หรือร่างกายอ่อนแอ ญาต สงสาร จึงตัดสินปลดเครื่องช่วยหายใจ เพื่อให้คนไข้พ้นจากความทรมาน
    กรณีข้างต้นนี้ ก็เข้าองค์ประกอบความผิดตาม ประมวลกฏหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบ มาตรา ๕๙ ผู้เป็นญาติฆ่าคนไข้ตายโดยเจตตาโดยประสงค์ต่อผล(คือมุ่งให้ผลคือความตายเกิด) ต้องระวางโทษ........"
    จะเห้นว่า แม้ผู้กระทำจะทำไปด้วย จิตเมมตา ประสงค์ดีก็ตาม ก้ยังมีความผิด
    นั่นคือในทางโลก


    เมื่อเปรียบเทียบในทางพุทธศาสนามีหลักที่สำคัญ คือ" กัมมุนา วัตตติ โลโก "
    หรือ "สัตว์โลกย่อมเป้นไปตาม "
    เฉพาะในภพมนุษย์นี้ การที่แต่ละคนเกิดมานั้น ล้วนด้วยผลของ บุญและกรรมประกอบมา ส่งผลให้เรามาเกิด โดยแต่ละคน ล้วนมีบุญกรรมแตกต่างกัน แม้ทุกคนจะรู้ว่า วันนึงทุกคนต้องตาย แต่จะตายวันไหนนั้น ย่อมเป็นตามกรรมของแต่ละคน คนบางคนอาจมีชีวิตสุขสบาย ก้มาจากกรรมและบุญ บางคน มีชีวิตทุกข์ทรมานเจ็บปวด ทรมานทางร่างกายหรือจิตใจ ก็เกิดจาก กรรมและบุญที่ตกแต่งตัวเขามา นั่นคือแต่ละคนต้องเป้นผู้รับผลของกรรมนั้นๆ
    ในเคสข้างต้นนั้น หากหยุดรักษา โดยรู้อยู่แล้วว่า การหยุดรักษา จะเกิดผลคือ คนไข้ต้องเสียชีวิต นั่นคือ รุ้ว่าถ้ากระทำอย่างนี้แล้วผลคือความตายเกิดขึ้น แม้จะทำด้วยเจตนาดี ด้วยความเมตตาไม่อยากเห็น คนไข้ต้องทรมานจากการรักษา นั่นก้ถือว่า เป้นการฆ่าผู้อื่นแล้ว ส่วนเจตนาที่ว่าทำเพราะไม่อยากเห้นเขาทรมาน ก็คงจะแค่บรรเทาลงเท่านั้น แต่ก้อาจได้เพียงนิดเดียว
    อยากให้เทียบกับเคส เดินไปตามถนน เห้น คนตาบอด เห็น เด็กยากจน ขาดโอกาสในชีวิต พอเราเห็นคนเหล่านี้ แน่นอนเราจะสงสารและเกิดจิตเมตตา และเราคิดต่อไปว่า เขาอยู่ในโลกนี้ต่อไปคงทุกข์ทรมาน จากความพิการหรือ
    อดยาก งั้นเราช่วยเขาดีกว่า จากนั้นก็ลงมือ ใช้ปืนยิง คนเหล่านี้ เมื่อเทียบกับเคสนี้แล้วคุณคงจะเห็นได้ชัดเจนว่า การกระทำเช่นนี้เป็นบาปหรือไม่
    ดังนั้นผมสรุปนะครับ ว่า การทำเช่นนั้น ก็เท่ากับเป้น มาตุฆาต เพราะ ผู้กระทำได้ลงมือ คือหยุดการรักษา โดยรู้ว่า เมื่อหยุเลงมือก็เพื่อให้คามตายเกิดขึ้นและ ฐานะของคนที่ถูกระทำคือ บิดาหรือมารดา ครับ
    สำหรับผลของกรรมในทางพุทธศานา ผมขอยก บางส่วนของอกุศลกรรมมาครับ
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:TrackMoves/> <w:TrackFormatting/> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:DoNotPromoteQF/> <w:LidThemeOther>EN-US</w:LidThemeOther> <w:LidThemeAsian>X-NONE</w:LidThemeAsian> <w:LidThemeComplexScript>TH</w:LidThemeComplexScript> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> <w:SplitPgBreakAndParaMark/> <w:DontVertAlignCellWithSp/> <w:DontBreakConstrainedForcedTables/> <w:DontVertAlignInTxbx/> <w:Word11KerningPairs/> <w:CachedColBalance/> </w:Compatibility> <m:mathPr> <m:mathFont m:val="Cambria Math"/> <m:brkBin m:val="before"/> <m:brkBinSub m:val="--"/> <m:smallFrac m:val="off"/> <m:dispDef/> <m:lMargin m:val="0"/> <m:rMargin m:val="0"/> <m:defJc m:val="centerGroup"/> <m:wrapIndent m:val="1440"/> <m:intLim m:val="subSup"/> <m:naryLim m:val="undOvr"/> </m:mathPr></w:WordDocument> </xml><![endif]-->[FONT=&quot]<ins>อกุศลกรรม สิบ คือ ทางที่ไม่ควรดำเนิน ๑๐ ประการ เพราะให้ผลไปในทางเสื่อม เมื่อผู้ใดได้กระทำลงไปจะเป็นเหตุให้ชีวิตผู้นั้นต้องได้รับผลดังต่อไปนี้</ins>[/FONT][FONT=&quot]<ins> และอกุศลกรรมสิบนั้น เป็นทางไปสู่ อบายภูมิ เพียงแค่กระทำหรือมีจิตคิดที่จะกระทำ อบายภูมิก้มรอตรงหน้าแล้ว แม้ผู้กระทำจะเป้นระดับพระอริยเจ้าก้ตาม ก็จะตกสู่อบายภูมิทันที (ได้รับความรู้ในส่วนตัวเอียงนี้ผมได้รับมาจากท่านอาจารย์สุวิได้เมตตามอบความรู้ให้ครับ)
    </ins>[/FONT]
    [FONT=&quot]<ins>๑. เข่นฆ่าชีวิต คนสัตว์ไม่ละเว้น</ins>[/FONT][FONT=&quot]<ins>
    </ins>[/FONT]
    [FONT=&quot]<ins>ผล ที่จะได้รับจากการกระทำเหตุเช่นนี้ มากน้อยแตกต่างกันขึ้น อยู่กับความรุนแรงของการกระทำเช่น ผู้ที่ฆ่าสัตว์ใหญ่จำพวก วัว ควาย หมู จะบาปและรับผลรุนแรงกว่าการฆ่า มด ปลวก ยุง ฯ ทั้งนี้เพราะ กรรมวิธีและระยะเวลาของการกระทำบาปนั้นมีมากกว่า ทำให้จิตเก็บ อารมณ์นั้นได้มากกว่า ผลต่าง ๆ ที่จะได้รับจากการฆ่าสัตว์นี้มีมากมาย แตกต่างกัน ซึ่งจะเป็นไปตามลักษณะและอาการของสัตว์ที่เราได้ทำร้าย หรือทรมานเพื่อให้ตาย เพราะการที่เราได้กระทำปาณาติบาตออกไปนั้น จะทำให้เราต้องได้รับผลหรือโทษอย่างเบาที่สุดเมื่อมาเกิดเป็นคนแล้ว คือ</ins>[/FONT][FONT=&quot]<ins>
    </ins>[/FONT]
    [FONT=&quot]<ins>๑. ร่างกายทุพพลภาพ</ins>[/FONT][FONT=&quot]<ins>
    </ins>[/FONT]
    [FONT=&quot]<ins>กล่าวคือ เกิดมาพิการแต่กำเนิด หรือได้รับอุบัติเหตุแล้วเสียอวัยวะกลายเป็น คนพิการ</ins>[/FONT][FONT=&quot]<ins>
    </ins>[/FONT]
    [FONT=&quot]<ins>๒. รูปไม่งาม</ins>[/FONT][FONT=&quot]<ins>
    </ins>[/FONT]
    [FONT=&quot]<ins>เช่น ขี้ริ้วขี้เหร่ รูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ ไม่มีเสน่ห์ เป็นเหมือนอาการของสัตว์ ที่ถูกทำร้ายหรือกำลังบาดเจ็บ</ins>[/FONT][FONT=&quot]<ins>
    </ins>[/FONT]
    [FONT=&quot]<ins>๓. กำลังกายอ่อนแอ</ins>[/FONT][FONT=&quot]<ins>
    </ins>[/FONT]
    [FONT=&quot]<ins>กล่าวคือ มีอาการอยู่ในสภาพเดียวกับสัตว์ที่ได้ทำร้ายและใกล้ตายนั่นเอง</ins>[/FONT][FONT=&quot]<ins>
    </ins>[/FONT]
    [FONT=&quot]<ins>๔. กำลังปัญญาไม่ว่องไว</ins>[/FONT][FONT=&quot]<ins>
    </ins>[/FONT]
    [FONT=&quot]<ins>เพราะสัตว์ที่กำลังจะตาย ย่อมมีแต่ความมืดบอด คิดอะไรก็ไม่ออก</ins>[/FONT][FONT=&quot]<ins>
    </ins>[/FONT]
    [FONT=&quot]<ins>๕. เป็นคนขลาดหวาดกลัวง่าย</ins>[/FONT][FONT=&quot]<ins>
    </ins>[/FONT]
    [FONT=&quot]<ins>เพราะสัตว์ทุกชนิดย่อมรักชีวิต เมื่ออยู่ในภาวะที่กำลังถูกทำร้ายเพื่อให้ตาย ย่อมมีความขลาดหวาดกลัวอย่างรุนแรง</ins>[/FONT][FONT=&quot]<ins>
    </ins>[/FONT]
    [FONT=&quot]<ins>๖. กล้าฆ่าตนเอง หรือถูกฆ่า</ins>[/FONT][FONT=&quot]<ins>
    </ins>[/FONT]
    [FONT=&quot]<ins>เพราะ เราได้ฆ่าชีวิตอื่นไว้ ชีวิตของเราก็อาจต้องถูกฆ่าในชาติต่อ ๆ ไป แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นสัตว์ตัวที่เราฆ่านั้นกลับมาฆ่าเรา เพียงแต่เป็นเหตุผลผลักดันให้เราถูกฆ่าโดยใครหรือสัตว์ใดก็ได้ และ การฆ่าสัตว์บ่อย ๆ จากสัตว์เล็ก ๆ จะทำให้มีอำนาจกล้าฆ่าสัตว์ที่ใหญ่ ขึ้น ในที่สุดความกล้านี้จะมีอำนาจทำให้สามารถกล้าฆ่าตนเองซึ่งเป็น ชีวิตที่เรารักที่สุดได้</ins>[/FONT][FONT=&quot]<ins>
    </ins>[/FONT]
    [FONT=&quot]<ins>๗. พินาศในบริวาร</ins>[/FONT][FONT=&quot]<ins>
    </ins>[/FONT]
    [FONT=&quot]<ins>กล่าว คือ ทำให้ชีวิตของเรานั้นไม่มีใครอยากอยู่ด้วย เช่นมีคนใช้ก็อยู่ ไม่ทนต้องเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก หรือเป็นหัวหน้างาน ก็มีลูกน้องที่ไม่ จริงใจ ไม่ซื่อตรง เป็นต้น</ins>[/FONT][FONT=&quot]<ins>
    </ins>[/FONT]
    [FONT=&quot]<ins>๘. โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน</ins>[/FONT][FONT=&quot]<ins>
    </ins>[/FONT]
    [FONT=&quot]<ins>กรณี นี้แล้วแต่อาการที่ได้กระทำต่อสัตว์นั้น เช่น คนบางคนชอบฆ่าสัตว์ โดยการใช้ไฟหรือน้ำร้อนลวกพวกมด หนู ฯลฯ คนเหล่านี้มักจะได้รับผล จากการถูกไฟครอก หากไม่ตายก็ถึงขึ้นพิการ หรือเสียโฉมไปตลอดชีวิต </ins>[/FONT][FONT=&quot]<ins>
    </ins>[/FONT]
    [FONT=&quot]<ins>๙. อายุสั้น</ins>[/FONT][FONT=&quot]<ins>
    </ins>[/FONT]
    [FONT=&quot]<ins>โดย ปกติคนเราจะมีอายุขัยประมาณ ๗๕ ถึง ๑๐๐ ปีทั้งนี้ถ้าผู้ใดตายก่อนอายุ ขัยแสดงว่าผู้นั้นได้เคยฆ่าสัตว์ แล้วแต่ความรุนแรงของกรรมที่กระทำมา การรับผลของกรรมในการกระทำเช่นนี้ หรือที่คนทั่ว ๆ ไปเรียกกันว่า "ชด ใช้หนี้กรรม" นั้นไม่มีวันหมดสิ้นถ้าตราบใดที่เรายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่</ins>[/FONT][FONT=&quot]<ins>
    </ins>[/FONT]
    [FONT=&quot]ก การที่คนในครอบครัวเจ็บป่วย เราทุกคนย่อมรู้สึกทุกข์ไปกับผู้เจ็บป่วย
    ผมอยากให้ลองนำ พรหมวิหารสี่ไปปรับใช้ดูนะครับ กับกรณีมีสมาชิกในครอบครัวเจ็บป่วย
    1 เมตตา คือ ปราถนาให้ผู้อื่นมีสุข
    2 กรุณา อยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์(อยากให้ ญาติเราพ้นจากความ เจ็บป่วยทรมาน)
    3 มุทิตา<ins></ins>[/FONT]
    ยินดีที่เขาพ้นจากความเจ็บป่วย
    หากมีเพียงสามข้อข้างต้น ญาติของคนไข้ จะรุ็สึก ทุกข์ ที่เห้นคนไข้ต้องทรมานจากการเจ้บป่วย จึงจำเป้นต้องมีข้อสี่
    4 อุเบกขา นี้ คือ สัตว์โลกย่อมมีกรรมเป้นของของตน ให้คิดไว้เช่นนี้เสมอ จะเข้าใจว่า ญาตของเราที่ป่วยเพราะเขาเองก็มีกรรมและเป้นผู้รับผลของกรรมนั้น เมื่อคิดได้เช่นนี้เราจะไม่ทุกข์ไปด้วย แต่ไม่ไช่ให้ ช่างหัวมัน ทิ้งไปเลย
    แต่เมื่อเราเข้าใจแล้วว่า ญาติของเรามีกรรมเป้นของๆตน เราไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ในส่วนที่เราทำได้ เรามีจิต เมตตา กรุณา มุทิตา พยายามช่วยรักษา เป็นกำลังใจ ดูแล ในยามที่เขาเพลียจากการฟอกไต เราก้คอยดูแล ให้กำลังใจ คอยปลอบโยน แสดงความกตัญญู เช่นนี้ไปเรื่อยๆ นั่นคือสิ่งที่เราทำได้
    ห่ากเห็นเขาทรมานก้ให้บอกตัวเองไว้เสมอ ว่าทุกคนล้วนมีกรรมของตน เราจะไ้ดเข้าใจสภาพนั้นและจิตเราจะไม่ทุกข์
    และในท้ายที่สุด หากผลเกิดขึ้น คือความตาย ก็จงเข้าใจและวางอุเบกขาได้
    หากผมเป็นคนป่วย สิ่งที่ผมต้องการ คืออยากให้พ่อแม่ มาอยุ่ข้างๆในเวลาที่ผมทำการรักษา ในเวลาผมทุกข์เจ็บปวดจากการรักษาก็อยากให้พ่อแม่มาอยู่ข้างๆผม ให้กำลังใจผม ดูแลผม แม้จะเจ็บปวดทางกาย แต่ทางใจผมรุ้สึกไม่กลัวสิ่งใดเลย
    [FONT=&quot]<ins></ins>[/FONT]
    [FONT=&quot]<ins> อย่างไรก็ตาม ผมขอให้คุณ </ins>[/FONT]itou และคุณแม่ของคุณ เข้มแข็ง ไว้นะครับ ช่วงเวลาเช่นนี้เป็นช่วงที่คุณกว่าจะผ่านไปได้นั้นลำบากมากทีเดียว แต่ขอให้คุณอดทนจนทุกสิ่งผ่านพ้นไปนะครับ
    สำหรับ คุณยายของคุณ ผมขอเป็นกำลังใจ และขอเยี่ยมไข้ท่านมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ท่านคงลำบากมากทีเดียว คุณ itou ต้องเข้มแข็งเพื่อเป้นกำลังใจให้ คุณแม่และคุณยายนะครับ
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:TrackMoves/> <w:TrackFormatting/> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:DoNotPromoteQF/> <w:LidThemeOther>EN-US</w:LidThemeOther> <w:LidThemeAsian>X-NONE</w:LidThemeAsian> <w:LidThemeComplexScript>TH</w:LidThemeComplexScript> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> <w:SplitPgBreakAndParaMark/> <w:DontVertAlignCellWithSp/> <w:DontBreakConstrainedForcedTables/> <w:DontVertAlignInTxbx/> <w:Word11KerningPairs/> <w:CachedColBalance/> </w:Compatibility> <m:mathPr> <m:mathFont m:val="Cambria Math"/> <m:brkBin m:val="before"/> <m:brkBinSub m:val="--"/> <m:smallFrac m:val="off"/> <m:dispDef/> <m:lMargin m:val="0"/> <m:rMargin m:val="0"/> <m:defJc m:val="centerGroup"/> <m:wrapIndent m:val="1440"/> <m:intLim m:val="subSup"/> <m:naryLim m:val="undOvr"/> </m:mathPr></w:WordDocument> </xml><![endif]-->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 ตุลาคม 2014
  10. itou

    itou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +1,196
    ขอบคุณครับ
    ตอนนี้ญาติทั้งหลายก็ตกลงว่าไม่ฟอกไต เพราะหมอ บอกปกติจะไม่ทำในคนแก่
    และต้องเตรียมตัวเป็นเดือน ถ้าจะทำก็เสี่ยง(ตาย)มาก ก็เลยรักษาตามอาการไปครับ
     
  11. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    นี่เป็นกระทู้ "เรื่องเล่า ตืนนอน ตอนสายๆ"
    สิ่งที่เอามาเล่า จะมีอะไรมากไปกว่าความฝัน
    จะให้สนุก ก็ต้องมี ใส่ไข่ระบายสีบ้าง มันจึงจะแซบ

    ก็เล่าเลยแล้วกัน ว่ากาละครั้งหนึ่งนมนาน แต่ไม่ยายโตงเตง
    มีหญิงชราท่านหนึ่ง ปฏิบัติธรรมได้ดีพอควร
    ครั้นใกล้หมดอายุขัย ทุกคำคืน แกก็ถอดจิตเที่ยวไปหาที่จุติใหม่ ตามอำนาจบุญกรรมของแก
    เที่ยวไป ๆ ก็พบสถานที่ที่น่าอยู่เป็นหมู่บ้านใหญ่ แกก็ดีใจพบที่น่าอยู่แล้ว ก็ติดต่อขอจับจองพื้นที่ เพื่อเข้าอยู่อาศัย
    เจ้าของหมู่บ้านก็ให้เจ้าหน้าที่มาพูดคุย เรื่องค่าใช้จ่าย มีเงินดาวน์ ค่าใช้จ่ายส่วนกลางประจำเดือน และการผ่อนส่งบ้านในกรณีที่ไม่มีเงินสดมาจ่าย
    พอสรุปตัวเลขได้ คุณยายก็ถึงกับกลืนน้ำลายไปเอือกใหญ่ หันไปมองบ้านที่น่าอยู้น่าอยู่ ด้วยสายตาละห้อย
    แล้วนางก็ลำลาเจ้าหน้าที่ขายบ้านหลังนั้น แล้วว่าจะมาใหม่เมื่อพร้อม

    นางก็ท่องเที่ยวไป เรื่อยๆ ก็มีเจ้าหน้าที่มาพบเข้า ว่านางเป็นคนพเนจรเยี่ยงนี้ไม่ถูกต้องจึงกุมตัวไปสอบสวน ก็พบว่า แกมีบุญมากพอควร มีบ้านช่องอันเกิดจากอำนาจบุญของแกรองรับอยู่
    จึงพาแกไปส่งบ้านที่ถูกต้อง
    แกก็มาอยู่มาพัก ได้ไม่เท่าไร(ไม่ถึงวันซะด้วยซ้ำ)
    แกก็พบว่า ทำเลบ้านไม่น่าอยู่ เพื่อนบ้าน ก็ไม่น่าคบ ส่งเสียงกันล้งเล้ง แกก็ถอนใจ กูไปหาที่อื่นอยู่ดีกว่า แกก็เลยขายกรรมสิทธิ์บ้านไปได้บุญมาก้อนหนึ่ง

    แล้วนางก็ท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ บางวันก็กลับบ้าน บางวันก็เที่ยวเพลิน ทำเอาลูกหลานที่ดูแลนางอยู่ ใจหายใจคว่ำไปตามๆกัน ว่านางจะกลับบ้านเก่าละหรือ
    และนางก็เป็นอยู่เช่นนี้ ลูกหลานเหลนโหลน ก็ดูแลประคับประคองไป หมอก็ว่าไม่น่าจะรอด เกิน ๓ วัน ๗ วัน

    แต่นางก็อยู่มาได้เป็นเดือนๆ เป็นปี ไม่ไปสักที ทำเอาเงินลงขันเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลนาง ก็หมดไป
    ไอ้ลูกหลาน ก็เชียรกันใหญ่ ว่าวันนั้นวันนี้ คุณยายจะไปแล้ว (นี่ก็ก่อกรรมให้ตนเอง)
    บ้างก็ทำบุญขอให้ยายหายป่วยอยู่เป็นขวัญกำลังใจให้ลูกหลาน (นี่ก็ทำบุญต่ออายุให้)
    มันก็ยื้อกันอยู่เช่นนี้

    ส่วนคุณยาย นางก็โฉบไปดูไอ้บ้านจัดสรรน ที่ต้องใจ แต่หมดปัญญา เงินดาวน์ยังมีไม่พอเลย ก็ใช้บุญที่เหลืออยู่และที่ลูกหลานอุทิศให้ เป็นค่าใช้จ่ายทู่ซี้อยู่ไปวันๆ
    วันใหนมีบุญเหลือพอก็ นั่งแทกซี ไปชะเง้อดูบ้านที่หมายตาไว้ด้วยสายตาละห้อย

    เฮ้อ...
    โถถถถถ....น่าฉงฉานนิ
     
  12. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    มีคนไข้ของหมอสุวิท่านหนึ่ง มาให้รักษาโรคแปลกพิศดารของแก นาม"พุทธันดร"
    รักษาไปรักษามา ทั้งหมอและตัวแก ก็เห็นพ้องต้องกันว่า
    สอนวิธีรักษาโรคไว้ให้อีดีกว่า ดึกดื่นเที่ยงคืนเวลาแกเป็นอะไรกระทันหันนี่ อีจะได้พอรักษาตัวเองได้บ้าง ไม่ต้องมาปลุกหมอสุวิตอนตีหนึ่งตีสอง
    หยองขวัญนะนี่ มีหลายรายมาปลุกตอน ตีหนึ่งตีสองนี่ ผบ.ทบ. อีก็จะเหยียบอกหมอเอา

    ไม่นาน แม่นางพุทธันดร ก็เริ่มรู้เรื่องพอรักษาตนเองได้ มีบุญฤทธิ์พอควร
    จากพอรักษาตนเองได้ อีก็เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไปให้คนรอบข้าง อันได้แก่ หมู หมา กา ไก่ นก และทุกสรรพสัตว์
    อะไรป่วย ไม่สบาย มาให้แกเห็น แกจับมารักษาหมด

    อยู่ไป อีก็มาไถ่ถามหมอถึงเรื่องแปลกๆ ที่นางหาคำตอบไม่ได้
    แกว่า ตอนเริ่มรักษาโรคให้ผู้ป่วยไข้ของแก ใหม่ๆนี่ แก่ก็รักษาได้ฟื่นคืนชีพทุกตัวตน ไม่พลาดเลย
    พออุทิศบุญและให้หยูกยาในมิติ ไอ้เจ้าสัตว์พวกนั้น ก็หายในไม่กี่อึดใจ

    แต่ปัจจุบัน ไม่ว่าแกจะรักษาอย่างไร ให้ยาวิเศษแค่ใหน มันรีบชิงกันตายหมดทุกตัว
    ยิ่งตั้งใจอุทิศบุญนี่ ยิ่งตายเร็ว ทั้งๆที่อาการป่วย ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรเลย มันน่าจะรอดนะ
    แต่นี่มันเหมือน รีบชิงเวลาตายกัน

    นางมาถามหมอเช่นนี้ ก็ทำเอางงนะ
    พอดูๆไปก็เลยฝันไปว่า
    ไอ้สัตว์เหล่านั้น มีกรรมตัดรอนจะให้ตาย
    แรกๆนางก็อุทิศบุญ ตามที่นางมี และใสหยูกยารักษา ก็ทำให้กรรมที่ตัดรอนชีวิตของสัตว์เหล่านั้นหยุดชะงัก เกิดการต่อชีวิตให้

    แต่ระยะหลังๆมานี่ ยิ่งอุทิศบุญ ยิ่งตายเร็วขึ้น ยิ่งมีสมาธิอุทิศบุญนี่ ตายทันทีคามือเลย
    มองๆดูนะ ไม่เห็นสัตว์ที่นางรักษานะ เห็นแต่ดวงจิตวิญญานเทวดาบ้าง คนบ้าง
    เอะมันอย่างไรกัน ถามดูก็รู้ว่า เดิมไอ้พวกนี้ก็เป็นสัตว์ต่างๆที่นางผู้นั้นรักษาให้นะ แต่นางเล่นอุทิศบุญแบบเทน้ำคว่ำขันเลย
    ก็บุญของนางในระยะหลังนี่ นางประกอบการบุญมากปริมาณบุญก็มากตามเกินพอที่ผู้ได้รับจะโยกย้ายภพภูมิ ทีเดียว

    ไอ้พวกนี้ มันบอกว่า มีบุญขนาดนี้แล้ว อยู่เป็น หมู หมา กา ไก่ ฯ ก็ไง่ซิ ไปเป็นคนดีก่า ไปเป็นเทวดา ยิ่งดีใหญ่ รีบๆตายดีกว่า อยู่เป็นเดรัฉฉานไปทำไมกัน

    เลยถามแม่นางพุทธันดรดู นางก็ว่า อุทิศบุญขอรักษาโรคและ ให้สัตว์เหล่านั้น มีปัญญามีดวงตาเห็นธรรมด้วย จะได้ไม่ต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัฉฉานอีก

    เรื่องเลย อ้อ.....มันแย่งกันตายด้วยเหตุนี้เอง จึงสอนนางใหม่ ให้ใช้คำว่า "อุทิศบุญอันควร แก่...." ของเก่า แกเล่นอุทิศบุญหมดหน้าตักเลย

    เรื่องก็ เอวัง... ด้วยประกาละฉะนี้
     
  13. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ยังมีนิทานอีกเรื่อง แม่นาง หนึ่ง วรรณนันท์ มาถามหมอสุวิ ด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องแปลกดี
    นางเล่าว่า นางมีเพื่อนคนหนึ่งญาติผู้ใหญ่ของเพื่อนผู้นี้ มีศักดิ์ เป็นย่าหรือยายประมาณนี้
    เอาเป็นท่านยายก็แล้วกันนะ ป่วยนอนซมมาเนินนาน ลูกหลานระอาใจหมดเงินทอง รักษาแทบจะหมดตัวไปตามๆกัน ท่านยายก็ไม่ดีขึ้นและก็ไม่เลวลง
    ลูกหลานก็รักษาไป ทำบุญอุทิศบุญกุศลให้มิได้ขาด

    อยู่วันหนึ่ง เพื่อนคุณหนึ่ง ก็ได้ไปทำบุญที่วัดวัดหนึ่ง แกก็บ่นๆเรื่องคุณยายว่าจะทำบุญอุทิศให้ยาย
    หลวงพ่อที่มารับการถวายทานนี่ ก็นั่งมองดูอยู่พักหนึ่ง
    ก็เลยให้เพื่อนคุณหนึ่งจากถวายทานธรรมดา เปลี่ยมาเป็นถวายเป็นสังฆทานชุดใหญ่มี จีวร พระพุทธรูป ฯลฯ เต็มยศเลย
    แล้วท่านนั่งเป็นประธาน รับสังฆทานเองพร้อมพระภิกษุ อีก ๔ รูป
    เมื่อทำเสร็จท่านก็เป็นผู้นำกล่าวถวายและอุทิศบุญให้เจ้าภาพและคุณยายท่านนั้น

    สรุป ในคืนนั้น ท่านยาย ก็จากไป โดยสงบ ด้วยใบหน้ายิ้มกลิ่ม

    แม่นางหนึ่งก็มาถามหมอสุวิว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ บทจะจากไป ก็ไปกันง่ายๆเช่นนี้

    หมอสุวิ ก็นั่งยิ้มกลิ่มเช่นกัน ไม่ว่ากะไร
     
  14. นามจงกล

    นามจงกล Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +70
    คุณหมอคะ วรรณนันท์ เค้าเข้าเวปไม่ได้ตั้งแต่เปลี่ยนชื่อเวปเป็นดอท org ละค่ะ เลยต้องเปิดชื่อใหม่ เป็นนามจงกลนะคะ

    เรื่องทุ่มบุญสร้าง (แบบหนังทุ่มทุนสร้าง) นี่ เห็นมาหลายรายแล้วค่ะ ญาติๆฉลาดทำบุญ ไปก่อนกำหนดทีเดียว ไอ้ที่ต้องเจ็บไปอีกเดี๋ยวเวลาสวรรค์ (แต่หลายเดี๋ยวเวลามนุษย์) นี่ เป็นอันไปเสวยบุญเลยไม่รอละนะ แต่อธิษฐานให้เป็นนะคะ

    มีเพื่อนคนนึงดันอธิษฐานว่าขอแลก แม้ต้องทอนอายุตน เพื่อให้แม่ที่ชราหง่อมเต็มที่แล้ว ให้อยู่ต่อไป ทรุดทีก็รีบไปทำบุญที บังเอิญแกเป็นคนดี มีความกตัญญูเป็นเลิศ ดูแลพ่อแม่เป็นอย่างดี คำอธิษฐานมีกำลัง แม่ก็อยู่ไปเรื่อยๆ จนวันนึง แกมาเล่าว่า สายตาของแม่ที่มองมา มันวิงวอน เหมือนให้ช่วยปล่อยแกไปเถอะ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2014
  15. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    เรื่องอุทิศบุญแบบแปลกๆผมก็เคยครับ ตอนคุณพ่อท่านเสียใหม่ๆ ผมและครอบครัวก็พยายามทำบุญให้คุณพ่อ และอุทิศบุญของตนเองที่เคยทำมาทั้งหมดไปให้ด้วย ตอนนั้นคาดเอาเองว่าท่านน่าจะไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ ก็เลยอธิษฐานบุญเป็นวิมานและสิ่งต่างๆรองรับท่านไว้ แต่พอได้ไปถามท่าน อ.suwi ท่านก็บอกว่าคุณพ่อผมไปอยู่ที่ดาวดึงส์ไม่ได้ กำลังบุญไม่พอ แต่วิมานที่ผมอธิษฐานไว้มีอยู่จริงที่ดาวดึงส์ คุณพ่อเลยไม่ได้ไปอยู่ครับ ช่วงแรกนั้นคุณพ่อท่านอยู่ชั้นจาตุมหาราช ประมาณระดับที่สาม จากห้าชั้นย่อย เป็นบริวารของท่านท้าวธตรฐมหาราช สงสัยคุณพ่อจะเป็นคนธรรพ์มั้ง เพราะชอบด้านศิลปะ เขียนตัวหนังสือสวยมาก อ.suwi ท่านเลยให้ผมอธิษฐานบุญใหม่ เปลี่ยนจากวิมานบนชั้นดาวดึงส์เป็นอุทิศตรงให้คุณพ่อเลย ท่านจะได้เอาบุญนี้ไปใช้ประโยชน์ได้ พออธิษฐานบุญอุทิศให้คุณพ่อใหม่ คุณพ่อผมก็เลื่อนระดับจากระดับสามไปอยู่ที่ระดับห้าครับ

    ต่อมาอีกไม่นานนัก ผมได้เล่าเรื่องการอุทิศบุญถวายพระพุทธเจ้าที่ท่าน อ.suwi เล่าไว้ให้ภรรยาฟัง ภรรยาผมเคยได้มโนมยิทธิเต็มกำลังมาก่อนและสามารถไปเที่ยวพระนิพพานได้ สมัยไปปฏิบัติธรรมที่วัดท่าซุง แต่ทำได้ยากเหมือนกันส่วนใหญ่มักไปได้แค่ครึ่งกำลังมากกว่า ปกติถ้าทำที่บ้านจะทำไม่ได้เพราะสมาธิไม่ค่อยดีพอ แต่ช่วงนั้นเธอทำให้สมาธิได้ดีและเข้ามโนมยิทธิเต็มกำลังได้ที่บ้านเลย เลยชวนคุณพ่อผมไปพระนิพพานด้วย แล้วเธอก็ไปที่สมเด็จองค์ปฐมแล้วนึกน้อมนำบุญถวายบูชาสมเด็จองค์ปฐม พอนึกถวายบุญปุ๊บก็เกิดความปลื้มปีติมากมายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอก็นำบุญนั้นมาหล่อเลี้ยงตนเองและอุทิศบุญให้คุณพ่อผมที่อยู่ข้างๆด้วย พอคุณพ่อโมทนาบุญนี้ก็ปรากฏว่าจากชุดขาวก็เปลี่ยนเป็นเครื่องทรงเทวดาเต็มพิกัดเลย น่าจะได้บุญใหญ่พอสมควร แต่ก็ไม่ทราบว่าคุณพ่อยังอยู่ชั้นจาตุมหาราชเหมือนเดิมหรือย้ายไปอยู่ชั้นดาวดึงส์แล้วเพราะยังไม่ได้ถามท่าน อ.suwi เลยหลังจากที่ทราบว่าไปอยู่ที่ระดับห้าของชั้นจาตุมหาราชแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2014
  16. นามจงกล

    นามจงกล Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +70
    หมอคะ อาการที่คล้ายหวัด จริงๆไม่ใช่หวัดใช่ไหมคะ หรือเป็นหวัดด้วย เชื้อไวรัสอย่างอื่นด้วย
     
  17. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    ว่าด้วยนิทานเรื่อง "วิธีรักษาโรค"


    ช่วงอาทิตย์ก่อนที่ผ่านมานี้ มีคนข้างตัวหลายๆ คนที่กะทิรูัจัก ป่วยหลักเข้า รพ. กันถึง 3 คน นี้รวมถึงน้าสาวที่เคยช่วยเลี้ยงกะทิเธอตอนเด็กๆ ด้วย


    เดือดเนื้อร้อนใจ ถามไปยังหมอสุวิถึงวิชาช่วยให้น้าพ้นออกมาจาก ICU เธอนอนเป็นอาทิตย์เลย


    ว่าแล้วหมอก็บอกวิธีมาค่ะ แต่ตอนแรกนี่ขอบอกเลยว่ากังวลมาก เรพาะตัวเองในช่วงหลังๆ ไม่ได้เคร่งปฏิบัติให้เพรียบพร้อมฝุดๆ อย่างช่วงก่อนหน้านี้

    ดังนั้นพอหมอสุวิบอกว่า จะขอกำลังบุญกะทิเธอไปใช้ ร่วมกับกำลังบุญของหมอ กะทิก็เกิดหวาดเกรงขึ้นมา เลยทำท่างกอยู่ เพราะไม่รู้ว่าจะต้องใช้จำนวนมากน้อยประการใด


    แต่พอได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นจากการที่หมอสุวิอธิบาย ก็เริ่มจะเข้าใจกระบวนการแล้ว ก็เลยทำการส่งบุญและยา ตามที่หมอสุวิอธิบายไว้


    ที่เล่าให้ฟังเพราะมีวัตถุประสงค์จะบอกว่า อย่างที่กะทิเธอกลัว ว่าบุญมันจะต้องใช้มากเท่าไหร่ และจะหมดไปรึไม่? (กลัวเข้ากระดูกซะ 5555 เพราะช่วงหลังๆ นี้เธอซุกซนเหลือเกิน)


    แต่ถ้าเรารู้จักวิธีการอธิษฐานบูชาบุญ ไม่กระต่ายตื่นตูมอย่างยัยกะทิเธอ เราก็จะได้บุญที่ได้ช่วยเขาเหมือนกันค่ะ วิธีการอธิษฐานบุญ ให้ลอกเอาจากที่หมอสุวิอธิษฐานบุญไว้ด้านบนในหน้านี้ไว้เลยค่ะ อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ตุลาคม 2014
  18. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    หลังจากย้อนกลับไปอ่านวิธีการอุทิศบุญของคุณ "พุทธันดร" ที่หมอสุวิได้เขียนไว้เป็นนิทานว่า แรกๆ ก็รักษาสัตว์แล้วหาย

    หลังๆ รักษาแล้วตาย ด้วยเธอได้ไปอธิษฐานบุญ ขอให้สรรพสัตว์เหล่านั้นมีดวงตาเห็นธรรมด้วย จะได้ไม่ต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัฉฉานอีก จึงพากันรีบตาย เพื่อจะได้เกิดไปในภพภูมิที่ดีกว่าเดิม (ภพภูมิที่สูงขึ้น)



    และเมื่ออ่านข้อความของพี่หนึ่ง วรรณนันท์(นามแฝง นามจงกล) กล่าวว่า "แม่(เพื่อน)ก็อยู่ไปเรื่อยๆ จนวันนึง แกมาเล่าว่า สายตาของแม่ที่มองมา มันวิงวอน เหมือนให้ช่วยปล่อยแกไปเถอะ.... "



    เช่นนี้แล้ว เพื่อไม่ให้เป็นการปิตุฆาตมารดาบิดา หรือผู้มีพระคุณที่กำลังป่วยยืดเยื้อ รังแต่ตัวท่านจะเจ็บปวด และพาลูกหลานเจ็บปวดทั้งใจ และทรัพย์


    ดังนี้กะทิจึงตั้งคำถามว่า...

    1.หากเราถามท่านได้ และท่านพอพยักหน้าได้ ขอให้ถามความต้องการของท่านเทอญฯ


    2.หากถามไม่ได้ ท่านอยู่ในภวังตลอดเวลา ก็ขอให้ลูกหลานอุทิศให้ท่านมีบุญ มีดวงตาเห็นธรรมในระหว่างที่อาการยังยืดเยื้ออยู่ เพราะถ้าท่านจากไประหว่างนี้ ย่อมน่าจะไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่า สบายกว่า

    ดังที่คุณพุทธันดรได้รักษาสรรพสัตว์แล้วพากันตาย จากที่เคยหายป่วยกันมาก่อนหน้านี้ เพราะต่างก็อยากหลุดจากสภาพเดิมของตน


    ไม่ทราบว่าวิธีเช่นนี้จะมีผู้เห็นด้วยบ้างรึไม่นะคะ กะทิเธอก็เพียงแค่แสดงความคิดเห็นหนะค่ะ เพราะรู้สึกว่าไปๆ มาๆ เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นร้อนในกระทู้ตอนนี้ไปซะแล้ว แต่ดีมากๆ เลยนะคะ เป็นประโยชน์ในการต่อยอดทางความคิดมากๆ ค่ะ
     
  19. นามจงกล

    นามจงกล Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +70
    มาเฉลยค่ะ
    วันที่ทราบ คือสวนกะเพื่อนตรงหน้าลิฟท์ ตอนยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน เพื่อนเลยบอกว่าจะรีบไปทำบุญให้แม่ แม่เข้าร.พ.อีกแล้ว พอถามต่อข้อมูลก็พรั่งพรูออกมา เราเลยบอกว่าเอางี้ ทำบุญเต็มที่เลยนะ แต่อธิษฐานใหม่ ขอให้แม่มีความสุขไม่ว่าท่านจะยังมีอายุไข หรือสิ้นอายุไข ขอให้ท่านมีแต่ความสุข ปราศจากทุกข์ทั้งปวง แล้วเลยเสนอว่า กำลังจะไปทำบุญร.พ.สงฆ์ จะฝากไปทำด้วยมั้ย เอาชื่อแม่มา เค้าก็ทำ ตอนนั้นพลังงานจากไหนไม่รู้ ผ่านมาจนลืมตาไม่ขึ้น และเป็นทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้

    เช้าวันรุ่งขึ้น เราได้ทราบข่าวว่าคุณแม่เธอไม่ต้องทุกข์ทรมานอีกแล้ว เธอจากไปอย่างสงบหลังจากเพื่อนทำบุญเสร็จ

    ถ้าได้ปรึกษาคุณหมอก่อน เธอคงจะทำอะไรให้คุณแม่ได้มากกว่านี้ค่ะ
     
  20. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    กะทิเธออยากพูดได้สวยหรู ในมุมจำกัดความของคำว่า พลังจิต(พลังจากจิต) ได้อย่างนี้บ้าง แต่ไม่สามารถอธิบายได้ สวย หรู ครบ ใจความได้แบบนี้ จึงจำต้องขอก๊อปมาให้ผู้อ่านเข้าใจกัน แบบที่เรากำลังหาคำอธิบาย ในสิ่งที่ "เราๆ กำลังเป็น อยู่"

    มันไม่ได้มีพิเศษกว่าคนอื่น เพราะคนอื่นๆ ก็มีเหมือนๆ กัน เพียงแต่จะเอาออกมาใช้ด้วยวิธีใด (จึง ถึง ได้เรียกออกมาใช้ได้)

    ........................................

    ดังนี้ค่ะ....


    ในแง่‹นี้ ในฐานะศาสนา แฮปปี้‚œไซเอนซ์จำต้องแน่‹วแน่‹ที่จะเชื่อในสิ่งลี้ลับว่‹าเป็นพลังอย่างหนึ่ง สิ่งลี้ลับและเรื่องเหนือธรรมชาติ มีพลังที่จะมอบความกล้าหาญให้Œแก่‹ผู้Œคน กระตุ้Œนพวกเขาให้ทลายข้อจำกัดของตน และนำมาซึ่งปาฏิหาริย์ พร้อมกับสร้Œางปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ นี่ไม่ใช่‹เรื่องเหลวไหล แต่เป็นธรรมชาติที่แท้Œจริงของจักรวาล

    การเชื่อในสิ่งลี้ลับเท่‹ากับเป็นการพัฒนา และการใช้พลังที่แท้จริงของมนุษย์ ซึ่งถูกจำกัดให้Œเหลือเพียงหนึ่งส่วนสิบของศักยภาพที่แท้จริง


    [​IMG]


    ถ้าศาสนาเดินมาถึงทางตันในโลกนี้ ก็จำเป็นต้Œองกลับไปสู่‹จุดเริ่มต้นของมันใหม่



    (ปล.คำโปรยจากหนังสือชื่อ กฎแห่งความลี้ลับ โดย ริวโฮ โอคาวา ส่วนภาพประกอบจากhttp://www.hypnosishappy.com/ศักยภาพของจิตใต้สำนึก.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...