เมื่อลูกของข้าพเจ้าได้พบยมบาลและได้ไปเที่ยวสวรรค์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Supop, 12 สิงหาคม 2014.

  1. อริยะบุคคล

    อริยะบุคคล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +476
    ได้รู้จากสิ่งที่รู้แต่ไม่รู้จากท่านทั้งหลายเรื่องธาตุแล้วชวนให้สงสัยอยากลองเล่นดูบ้าง ส่วนตัวฝักใฝ่ทางธรรมแต่ไม่แน่ใจในทางที่เดิน เลยอยากหาประสพการณ์แปลกใหม่ ท่านที่รู้พอที่จะสอนวิชาเหล่านี้ให้ได้บ้างไหมครับ ขออภัยถ้าล่วงเกิน
     
  2. evanov

    evanov Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +64

    สวัสดีครับ

    ถ้าได้ตามอ่านกระทู้นี้มาตลอด โดยเฉพาะในความเห็นที่ 44 หน้าที่ 3 ของกระทู้นี้ ก็จะมีท่านสมาชิกให้ความเห็นไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า ถ้าหากอยากจะเรียนรู้ในวิชาธาตุจริงๆ ขอเสนอว่า ควรนำพานดอกไม้ ธูปเทียน ไปกราบขอเรียนวิชชากับครูบาอาจารย์ให้เป็นเรื่องเป็นราวจะดีกว่า อย่าได้มาหาเรียนเอาตามหน้าเว็บบอร์ดเลยครับ จะไม่ได้สาระอะไร เสียเวลาเปล่าๆ เพราะการฝึกวิชชาต้องให้ความเคารพและเคร่งครัดในหลักเกณฑ์ของเจ้าของตำรับวิชาเป็นอย่างยิ่ง

    ทุกๆท่าน ที่สืบทอดวิชชานี้มา ต้องเข้าหาครูบาอาจารย์ให้เป็นเรื่องเป็นราว เป็นหลักเป็นฐานด้วยกันทั้งสิ้น ดังในความเห็นที่ 42 หน้าที่ 3 ของกระทู้นี้ ของคุณ anakiz ที่ได้กล่าวสะท้อนเรื่องราวต่างๆ เอาไว้ได้เป็นอย่างดีแล้ว นะครับ

    ในโอกาสนี้ ผมขอส่งข้อมูลให้กับคุณอริยะบุคคล ทาง PM ในส่วนของครูบาอาจารย์สายวิชาธาตุ ที่เป็นพระภิกษุ ที่คุณสามารถเข้านมัสการ เพื่อขอทราบรายละเอียดของวิชาธาตุได้โดยตรง ใกล้ที่ไหน ไปที่นั่นครับ ประเหมาะเคราะห์ดี ขอเสนอให้สมัครเข้าเป็นศิษย์เรียนวิชชาจากท่านเสียเลย ก็จะทำให้ความปรารถนาของคุณสำเร็จลุล่วงได้ต่อไป

    ดังนั้น ขอให้คุณอริยะบุคคลช่วยเช็ค PM ด้วยนะครับ

    สิ่งหนึ่งที่ต้องพึงกล่าวไว้ คือ ถ้าหากคุณได้มีโอกาสศึกษาวิชชาจากท่านครูบาอาจารย์ดังกล่าว ท่านอาจจะสอนให้แค่ในระดับพื้นฐาน ที่จะต้องไปหาทางต่อยอดด้วยตัวเองอีกทีในวิชชาขั้นต่อไป โดยเฉพาะในส่วนของวิชชาขั้นสูงต่างๆ ที่คุณอาจจะเห็นจากที่ท่านสมาชิกได้คุยกันในกระทู้นี้หรือแม้แต่ที่เคยได้ยินมาจากที่อื่นก็ตาม เนื่องจากวิชชาธาตุในขั้นสูงนั้น ผู้ฝึกจะต้องมีคุณสมบัติเหมาะสมและผ่านการทดสอบในด้านต่างๆ จนผู้สอนเกิดความมั่นใจว่ามีคุณสมบัติเพียงพอ ถึงจะถ่ายทอดวิชชาในขั้นต่อไปให้ ซึ่งไม่ใช่ว่าผู้เรียนทุกคนจะมีคุณสมบัติดังกล่าว ดังนั้น กล่าวได้ว่าระดับการฝึกได้ของแต่ละคนจะมีระดับการเข้าถึงวิชชาที่แตกต่างกันนั่นเองนะครับ

    ปล. การฝึกวิชาธาตุ ให้ได้ผลดี ถ้าเป็นวิชาธาตุในแนวพุทธศาสนา ผู้ฝึก ควรมีพื้นฐานต่างๆ ที่สำคัญไว้เป็นเบื้องต้นก่อน ดังนี้ครับ

    1.ความคล่องตัวในกสิณแม่ธาตุทั้ง 4 คือกสิณดิน กสิณน้ำ กสิณลม และกสิณไฟ

    2.ความคล่องตัวในกรรมฐานว่าด้วยธาตุ ในที่นี้คือ “จตุธาตุววัฏฐาน 4” ต้องเข้าถึงอารมณ์ของกรรมฐานกองนี้ให้ชำนาญ

    3.ความเข้าถึงอารมณ์ของ “กายคตานุสติกรรมฐาน” ให้มีความคล่องตัวเป็นปกติวิสัย

    หากผู้ฝึก มีความชำนาญในกรรมฐานทั้งข้อ 1 ถึงข้อ 3 นี้แล้ว ย่อมเป็นพื้นฐานสำคัญ ที่จะทำให้การฝึกวิชาธาตุ มีความเจริญรุดหน้าได้อย่างดียิ่งนะครับ ดังนั้น หากจะเริ่มฝึกวิชาธาตุ เสนอว่าสมควรให้ไปไล่ฝึกกรรมฐานในข้อ 1 ถึงข้อ 3 นี้ให้คล่องเสียก่อน แล้วจึงมาทำการฝึกวิชาธาตุต่อไปครับ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  3. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154


    ผมก็ต้องแสดงแนวทางให้ชัดเจนไว้นะครับ เผื่อว่าท่านครูบาอาจารย์ที่ทำการสอนกรรมฐานในเว็บไซด์พลังจิตแห่งนี้ หากว่าท่านจะมีเมตตากับผมบ้าง ท่านจะได้ให้การสั่งสอนกับผมได้อย่างตรงจุด เหมาะสมกับจริตของผมได้ต่อไปน่ะครับ

    ส่วนเรื่องที่คุณถามมา อย่างนี้ถือว่าถามกันได้ครับ สำหรับเรื่องมนต์ต่างๆ ซึ่ง มนต์คชสาร ก็คือคาถาที่ใช้บังคับช้าง ส่วนมนต์สมิง ก็คือคาถาที่ใช้บังคับเสือ เรื่องของคาถาต่างๆ เหล่านี้ จะว่าเป็นของจำเป็นสำหรับผู้ที่อยู่ป่า อยู่เขา ห่างไกลสิ่งต่างๆ ทั้งหลาย ก็จัดว่าใช่เป็นบางส่วน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่มีความจำเป็นยิ่งยวดอะไรมากมายนัก ซึ่งผมก็มีประสบการณ์กับเรื่องของคาถาเหล่านี้มาบ้าง ในสมัยที่ยังปลีกวิเวก เสาะหาความสงบ เมื่อครั้งอดีต (อ่านรายละเอียดได้ในกระทู้ “ประสบการณ์ธุดงค์” ในห้องอภิญญา xp ) เมื่อคุณถามมาอย่างนี้ ถือว่าถามในสิ่งที่คุ้นเคยมาแต่เก่าก่อนทีเดียว

    แต่ว่าการตอบคำถาม คงจะตอบตามประเด็นที่คุณถามมานะครับ ซึ่งคุณถามมาได้ดีทีเดียว ในเรื่องของการวิเคราะห์เกี่ยวกับระบบอักขระทั้งหลายของตัวคาถา ในจุดนี้ ยินดีตอบให้ทราบครับ เพราะเป็นเรื่องการคุยในเชิงวิชาการเกี่ยวกับระเบียบวิธีของเวทางคศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องที่สมควรพูดคุยกันอย่างยิ่ง

    ส่วนในแง่ของอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ปาฏิหาริย์ ของตัวคาถา ผมจะยังไม่กล่าวถึง เพราะหากคุณมีกำลังจิตเข้าถึง ก็จะสามารถทราบได้เอง ประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ

    เรื่องที่มีความสำคัญ ก็คือเรื่องที่คุณถามถึง คือเรื่องของระบบอักขระ ซึ่งถ้ามีการศึกษาให้ดี อย่างลึกซึ้ง จะเป็นประโยชน์ในการศึกษาเรื่องทางพระพุทธศาสนาได้ต่อไปนะครับ

    ในสมัยโบราณ นับว่าเรื่องการเรียนอักขระ จะมีอยู่ควบคู่ไปกับการศึกษาด้านพระพุทธศาสนามาตลอด แม้แต่การเรียนพระไตรปิฎก การจะท่องจำเนื้อความที่เป็นปรมัตถ์ หากผู้เรียน มีความเข้าใจในเรื่องของอักขระและเลข ก็จะสามารถเรียนรู้ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น และสามารถต่อยอดไปได้ทั้งการ “ปริยัติ” “ปฏิบัติ” และ “ปฏิเวธ” ได้อย่างต่อเนื่อง ต่อไปด้วยครับ

    หากประสงค์ในเรื่องของเป้าหมายสูงสุดในทางพระพุทธศาสนา เพื่อความรู้แจ้ง เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ก็สมควรจะต้องสนใจในประเด็นนี้ให้มากกว่าเรื่องของอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ ทั้งหลายทั้งปวงนะครับ

    เรื่องที่คุณ mesus ได้ถามมา ผมได้ตอบรายละเอียดให้ทราบแล้ว ทาง PM ทั้งในเรื่องของการวิเคราะห์ระบบอักขระ ระเบียบวิธีการทางอักขระและเลข รวมทั้งวิธีการใช้คาถาให้ได้ผลดีและมีผลในเชิงประจักษ์ (อันนี้แถมให้เป็นพิเศษ จากประสบการณ์ส่วนตัวและที่ถ่ายทอดมาโดยครูบาอาจารย์)

    ดังนั้น ขอเรียนเชิญ คุณ mesus ได้โปรดทำการตรวจเช็ค PM ของคุณ ได้เลยนะครับ
     
  4. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154

    เวลาชักจะงวดเข้ามาทุกขณะแล้วนะครับ การกระทำสิ่งใดที่ต้องแข่งกับเวลา มักนำพาให้ตระหนักถึงสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ อันนี้ก็ยังมี อันโน้นก็ยังไม่ได้จับ อันนู้นก็ยังไม่ได้เริ่ม บางครั้งก็สับสนวุ่นวายไปเปล่าๆปลี้ๆ

    พระเพื่อนของคุณ ท่านปฏิบัติตามมัชฌิมาปฏิปทา แต่มีความเด็ดเดี่ยว เด็ดขาดอย่างยิ่ง วิธีการของท่านนั้น ต้องใช้กำลังใจอย่างมากทีเดียว เรื่องอย่างนี้ หากเป็นพระนวกะ ผู้ยังใหม่ ที่ยังเป็นสมมุติสงฆ์ มีความรู้สึกเฉกเช่นปุถุชน คนธรรมดา หากยกแนวทางแบบนี้มาฝึก บางทีก็อาจจะไม่ได้ผล เพราะใจที่รุมเร้าไปด้วยราคะ อาจชักนำให้ไปหลงใหล แทนที่จะน้อมนำไปสู่การปล่อยวาง ตามเป้าประสงค์ที่ต้องการ

    ไม่ต้องอะไรมากหรอกครับ กามราคะนี้เป็นเรื่องที่มีกำลังอยู่มากทีเดียว บางครั้ง บางที ฝึกกำลังใจอยู่ดีๆ ไปๆมาๆ จักรดิน จักรน้ำ จักรลม จักรไฟ จักรอากาศ พลังงง พลังงาน ธาตุหนึ่ง ธาตุสอง ธาตุสาม ธาตุสี่ จิตมันไม่เอาเสียแล้ว มันไปหลงกับความยวนเย้าของกามราคะเข้า อย่างนี้จิตใจก็จะตกจากกรรมฐานเสียนักต่อนักมาแล้วจริงๆ

    ทางแก้อาจจะต้องใช้วิธีที่คุณเล่ามา ก็เป็นแนวทางที่ดีอย่างหนึ่ง หากจริตของผู้ปฏิบัติสอดคล้องกับแนวทางนี้ นับว่าเป็นการสมควรที่จะเจริญตามข้อกำหนดที่ว่านี้ต่อไปครับ

    เรื่องเวลาที่เหลืออยู่ จะมีมากหรือมีน้อย ก็แล้วแต่ แต่เมื่อมุ่งเน้น “มัชฌิมาปฏิปทา” แล้ว เมื่อตั้งใจทำศึกขั้นแตกหัก ควรต้องวางยุทธวิธีด้วยความรอบคอบ วันนี้กล่าวถึงกันแต่กามราคะ แต่ในเมื่อเวลาชักจะงวดเข้ามาทุกที ก็สมควรจะต้องกล่าวถึง โมหะ และโทสะ กันเสียด้วย

    สำหรับผม เห็นว่ายุทธวิธีที่ดีนั้น คือการรบแบบกองโจร คือซุ่มตีไปทีละเล็ก ทีละน้อย ตัดทอนกำลังย่อยๆของทั้งสามหมวดนี้ไปเรื่อยๆ อย่างแรกที่สมควรตัดเสียเลยก็คือ สังโยชน์ ๓ ตัวแรก หากตัดให้ขาดสะบั้นได้ ค่อยหันไปเข้าตี กามราคะและโทสะ เมื่อจัดการได้แล้ว ค่อยไปจัดการกับรูปราคะ อรูปราคะ มานะทิษฐิ อุทธัจจะ และอวิชชา เป็นการต่อไป

    สิ่งที่ควรทำ คือการโจมตี ข้าศึกตัวเล็กๆ ให้ได้ทั้งหมดเสียก่อน ซึ่งยุทธวิธีในการทำศึกที่ดีนั้นก็คือ การซุ่มโจมตีแบบกองโจร เข้าตีทีละนิด ทีละหน่อย เข้าตีซ้ำไปซ้ำมา ก็ย่อมจะสามารถทำให้กองกำลังย่อยๆของข้าศึกอ่อนแรงลงได้

    การจะมุ่งหักหาญเอาชัยชนะในครั้งเดียวนั้น เป็นเรื่องยาก การสู้กับข้าศึกที่ประจัญเข้ามาทั้งสามทิศ พร้อมๆกัน เป็นเรื่องยากฉันใด การจะตัดกิเลสใหญ่ให้ขาดพร้อมๆกัน สามตัว ย่อมเป็นเรื่องยากฉันนั้น สิ่งที่ควรทำ คือสมควรว่ากันไปเป็นลำดับขั้น การจะทำศึก ก็ต้องมีการวางกลยุทธ์ให้ดี หากวางกลยุทธ์ไม่ดี จะหักหาญบุกไปตีแม่ทัพใหญ่ก่อน ไพร่พลเล็กๆ ก็จะมารุมเราจากทุกทิศทาง ทำให้พะวักพะวน ห่วงหน้า พะวงหลัง จนไม่เป็นอันทำอะไร

    ก็ขอฝากไว้เพียงเท่านี้ครับ
     
  5. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ข้าพเจ้าขอขอบคุณ คุณ yooyut อีกครั้งครับ และข้าพเจ้าขออนุญาติต่อ

    ทางสายกลาง คือ มัชฌิมาปฏิปทา อืม..ข้าพเจ้าลืมคำบาลีไป ต้องขออภัยด้วยครับ

    เมื่อก่อนนั้น ข้าพเจ้าไม่เคยเข้าใจคำว่า มัชฌิมาปฏิปทา ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะอยู่ตรงกลางยังไง จนประสบการณ์ต่างๆที่ผ่านมามันหล่อหลอมรวมกัน ทำให้เข้าใจใน ทางสายกลางนี้

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้านั่งอยู่กับเพื่อน มีขี้เมาแถวบ้านมาหาเรื่อง พูดจาเหน็บแนมถากถาง ข้าพเจ้ารู้สึกโกรธมาก ข้าพเจ้าเถียงอยู่กับเขาพักหนึ่ง เพื่อนจึงห้ามไว้ พร้อมเตือนสติข้าพเจ้าว่า นั่นหน่ะคนเมา คนไม่มีสติ เขาก็เป็นอยู่อย่างนี้ประจำ พอหายเมาก็ลืมว่าเคยทำอะไรไปบ้าง แล้วเราจะไปโกรธไปโทษคนเมาทำไม นั่นเองข้าพเจ้าจึงฉุกคิดได้ เลยหยุดแล้วระงับอารมณ์โกรธของตน
    พร้อมกับแปลกใจในความมีสติของเพื่อน ทำไม เขาไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติธรรมแท้ๆ แต่ทำไมเขาถึงมีสติมากกว่าเรา หรือภูมิธรรมของเขาจะสูงกว่าเรามาก่อนแต่แรก ไม่น่าจะใช่ เขายังติดเล่นการพนันอยู่ ยังเสพของมึนเมาอยู่ นั่นคือศีลเขายังพร่องอยู่ แล้วจะมีภูมิจิตที่สูงได้ยังไง (การคิดนี้ ข้าพเจ้าเพียงแต่แปลกใจในเรื่องศีล แต่ไม่ได้คิดว่าตนเองดีเลิศกว่านะครับ)

    ต่อมา คราวนี้เพื่อนของข้าพเจ้าเป็นฝ่ายโดนหาเรื่อง เพื่อนของข้าพเจ้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นกัน ข้าพเจ้าเป็นฝ่ายห้ามปรามบ้าง

    แล้วข้าพเจ้าก็เข้าใจ

    ที่เราไม่โกรธ ที่เรามีสติพิจารณาถึงเหตุถึงผลได้โดยจิตที่เป็นกลางนั้น เพราะจิตเราไม่ถูกกระทบให้หวั่นไหว จิตที่ไม่ถูกกระทบ ไม่กระเพื่อมไหวไปตามเหตุที่กระทบ จึงดูเห็นได้ถึงเหตุถึงผลของสิ่งนั้น เหมือนเรานั่งอยู่บนเครื่องบินที่บินผ่านเหตุการณ์สึนามิถล่มอยู่บนแผ่นดินข้างล่าง มองดูสึนามิที่ท่วมถล่มพื้นดิน พัดพาเอา บ้าน รถ คน สัตว์ ฯลฯ ไปต่อหน้าโดยที่เราไม่ได้รู้สึกร่วมกับเหตุการณ์นั้นๆ......แล้วเราจะทำเช่นใดให้จิตมั่นคงต่อสิ่งที่มากระทบได้หล่ะ

    เมื่อปฏิบัติต่อมาเรื่อยๆ ข้าพเจ้าก็เริ่มที่จะเข้าใจ สติ คือการทำให้รู้ว่าจิตเราไปไหน อยู่ข้างในหรือข้างนอก มีสิ่งใดเข้ามากระทบ สมาธิ คือ การสร้างฐานให้จิตเพื่อให้เกิดความมั่นคงไม่หวั่นไหว เมื่อสองสิ่งนี้ค่อยๆหลอมรวมกัน จึงทำให้เรารู้ละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ รู้ความจริงเข้าไปเรื่อยๆ จนถึงที่สุดของความจริงของธรรมชาติ

    ส่วนการกำหนดสติในระหว่างการดำเนินชีวิตประจำวันนั้น ข้าพเจ้ากำหนดโดย ยึดที่การรู้ที่ฐานส่วนหนึ่ง (ของข้าพเจ้าคือ รู้ลม) และรู้ตัวในระหว่างการดำเนินชีวิตประจำวันอีกส่วนหนึ่ง แรกๆ เราอาจจะรู้ในฐานได้เพียงน้อยนิด และหลุดจากฐานบ่อยๆ แต่เมื่อทำไปบ่อยๆ ทำนานไป เราจะเริ่มรู้ในฐานมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง การรู้ในระหว่างการดำเนินชีวิตประจำวันจะรู้แบบเป็น แบ็คกราวน์ แล้วเราจะรู้เห็นเหตุและผลชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ตัดหรือระงับอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ดีเรื่อยๆ

    ข้าพเจ้าต้องขออภัยสำหรับท่านผู้ที่มีธรรมสูง สำหรับเรื่องราวเหล่านี้ แต่สำหรับข้าพเจ้านั้น มันกำลังหลอมรวมประสบการณ์ที่ผ่านมา จากหยาบสู่ละเอียดอยู่ จากที่ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ ไม่เคยรู้ แต่มีหลายสิ่งหลายอย่างจากการปฏิบัติที่ผ่านมา กำลังบอกกำลังสอน กำลังขัดเกลาข้าพเจ้าอยู่ จึงได้เข้าใจ "มัชฌิมาปฏิปทา"

    สุดท้ายนี้ขออย่าได้เชื่อถือหรือยึดมั่นในสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปเลย

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ สวัสดี.
     
  6. mesus

    mesus Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2014
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +35
    ขอขอบคุณสำหรับการแนะนำความรู้ให้เป็นวิทยาทานนะครับ เรื่องเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นความรู้เสริมประกอบการฝึกปฏิบัติได้เป็นอย่างดี แต่เป้าหมายที่แท้จริงก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงนะครับ ซึ่งก็ต้องพยายามฝึกฝนตัวเองเพื่อเดินทางไปให้ถึงจุดหมายปลายทางให้ได้ต่อไป

    เมื่อหลายวันก่อน ได้คุยกับคุณ evanov แลกเปลี่ยนกันตามประสาคนเล่นกสิณ ผมก็กำลังฝึกกสิณสีขาว ส่วนคุณ evanov นั้น เป็นทางกสิณไฟ ก็ดีครับได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ผมเองก็ยังไม่ได้อะไร แต่อุคหนิมิต ได้ไว้ติดตาแล้ว ตอนนี้ก็จะพยายามประคับประคองรักษาไว้ให้อยู่กับเราตลอดเวลา ก็ทำตามที่คุณ yooyut บอกไว้ว่าในระหว่างวัน ให้หมั่นประคับประคองนิมิตไว้ แบ่งความรู้สึกสัก 20 % ไปใช้ดูแลนิมิต และอีก 80 % ก็เอาไปใช้ทำงานทำการตามปกติของชีวิตประจำวันไป อย่าให้เสียงานเสียการอย่างเด็ดขาด พยายามรักษา ประคับประคองอย่างนี้ให้ได้ตลอดวัน และให้คอยดูอากัปกิริยา ความเปลี่ยนแปลงของนิมิตไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปเร่งรัดให้มากความ ก็จะพยายามนะครับ

    ที่สนใจก็เป็นเรื่องกสิณของแนวฤาษี ที่คุณ evanov เคยมีประสบการณ์มาก่อน ได้คุยกันในเรื่องของวิชาธาตุและเรื่องของอัตตา อาตมัน แต่คุณ evanov ก็ออกตัวว่าไม่มีประสบการณ์แบบนี้มากนัก ถ่ายทอดสิ่งใดไปเกรงว่าจะไม่เหมาะไม่ควร (แต่ผมว่าคุณเขาคงจะถ่อมตัวมากกว่า) จึงถ่ายทอดประสบการณ์ของคุณ yooyut ที่ประสบพบเจอกับเรื่องวัตรปฏิบัติของฤาษี ในบริเวณป่าลึกแถบเทือกเขาตะนาวศรี ว่ามีแนวปฏิบัติในเรื่องของธาตุอย่างไร เรื่องกสิณอย่างไร มาให้ผมได้รับฟังด้วย ตอนแรกผมก็ตกใจว่าคุณ evanov เอาเรื่องมาเล่าให้ผมฟังอย่างนี้ เจ้าของเรื่องเขาจะไม่ว่าเอาหรือ? แต่คุณ evanov ก็บอกว่า ไม่เป็นไร เพราะคุณ yooyut ได้อนุญาตไว้แล้ว ผมก็เลยได้รับความรู้เกี่ยวกับสมาธิในแนวฤาษีเพิ่มมากขึ้น แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมก็รับรู้ไว้ แค่ประดับความรู้เท่านั้น เพราะส่วนตัวก็ยังนิยมสมาธิในแนวพระพุทธศาสนาอยู่เช่นเดิม และหวังว่าสักวันหนึ่ง คงจะไปได้ถึงจุดมุ่งหมายตามที่ได้ตั้งใจไว้ต่อไป

    ก็ขอขอบคุณ คุณ yooyut ที่ไม่หวงวิชาความรู้นะครับ ถ่ายทอดให้ไปกับสมาชิกท่านหนึ่ง และทำให้ผมได้รับทราบความรู้เป็นวิทยาทานต่อเนื่องกันไปด้วย วันนี้จึงต้องเข้ามาขอบคุณให้เป็นกิจจะลักษณะ ส่วนตัวผมเองตัดสินใจแล้วว่าน่าจะไปในทางของเตวิชโช ฝึกกสิณสีขาวแล้วก็จะต่อด้วยทิพยจักขุญาณ เรื่องนี้ เมื่อถึงเวลาคงจะต้องมาขอคำแนะนำอีกครั้งนะครับ ทราบมาว่าคุณ yooyut ให้แบบฝึกทิพยจักขุญาณ กับคุณ evanov ไว้ด้วย เห็นว่ากำลังคร่ำเคร่งฝึกอยู่เลย (ถึงว่า ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นคุณ evanov แวะเวียนมาในบอร์ดบ้างเลย ที่แท้ก็กำลังเก็บตัวฝึก ทั้งวิชาธาตุและทิพยจักขุญาณอยู่นี่เอง) มีที่ไหนนะครับนี่ มาแอบดูเขาแล้ว แต่ไม่แนบเนียนพอ คนถูกแอบดูเขาก็ไม่กระโตกกระตาก แล้วหลังจากนั้น คนที่ถูกแอบดู ยังบอกไปอีกว่า ยังทำได้ไม่ดี แล้วให้แบบฝึกกลับไปฝึกใหม่ อย่างนี้ก็มีด้วย คุยกันกับคุณ evanov ทีไร ก็หัวเราะตลกโปกฮา กันไปทุกที ผมว่าคุณ yooyut นี่อาจจะดูขึงขัง เจ้าระเบียบ บางทีก็เหมือนจะเป็นคนเคร่งครัดกับชีวิต รักพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่งและมุ่งเน้นฝึกปฏิบัติตัวเองตามแนวทางขององค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสำคัญ แต่ผมว่าคุณ yooyut เป็นคนใจดีมากๆ เลยครับ ใครถามอะไร ถ้าตอบได้ เป็นตอบให้ทั้งหมด อะไรพอจะช่วยเหลือกันได้ ก็ให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ตรงนี้ต้องขอขอบพระคุณกันอีกครั้งนะครับ

    ช่วงนี้กระทู้นี้ออกจะเงียบเหงากันไปหน่อย สมาชิกที่เคยมาคุยกันอย่างคุณ anakiz หรือว่าจะเป็นคุณ evanov ที่เคยเข้ามาสอบถามข้อสงสัยกันบ่อยๆ ก็ห่างๆกันไป ส่วนหนึ่งเข้าใจว่าท่านๆทั้งหลาย คงจะไปเก็บตัวฝึกปฏิบัติเป็นการส่วนตัว ตามที่คุณ yooyut ได้แนะนำไว้ สำหรับท่านที่ฝึกในแนวของเจโตวิมุตติทั้งหลาย ว่าไม่ควรจะเข้าบอร์ดบ่อยๆ แต่ให้เอาเวลาไปฝึกฝนจิตใจ คอยควบคุมอารมณ์ใจให้เกาะอยู่กับสิ่งที่เป็นกุศลไว้ เพราะความตายจะมาถึงในตอนไหนก็ไม่ทราบ ดังนั้น ควรจะดำรงตนด้วยความไม่ประมาท จึงจะเป็นการดีที่สุด ตรงจุดนี้ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ

    แต่อย่างไรก็ตาม ท่านๆทั้งหลาย ทั้งคุณ Supop เจ้าของกระทู้ คุณ yooyut คุณ anakiz คุณ evanov ยังไงๆ ก็ขอให้อย่าหายไปนานๆนะครับ เมื่อได้เวลาสมควร ขอให้แวะมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันสักที พอเป็นกระสาย บ้างนะครับ

    ซึ่งในโอกาสนี้ ต้องเรียนขออนุญาตเจ้าของกระทู้ คือคุณ Supop ขอใช้กระทู้นี้ เป็นสื่อกลางในการเข้ามาคุยกันด้วยนะครับ ซึ่งคุณ Supop ก็เป็นเจ้าของกระทู้ที่ดีมาก มีการเข้ามาแวะเวียนดูแลกระทู้อยู่อย่างสม่ำเสมอ ไม่มีการทอดทิ้งกัน ซึ่งทราบว่าท่านก็มีภารกิจประจำตัวเยอะแยะมากมาย แต่ก็ยังเจียดเวลา แวะเวียนมาดูแลกระทู้ของท่านอยู่เสมอ ตรงจุดนี้ ผมต้องขอขอบคุณ คุณ Supop เป็นอย่างยิ่งนะครับ ที่ให้ความเอื้อเฟื้อใช้พื้นที่กระทู้ในครั้งนี้ด้วยครับ

    วันนี้ร่ายยาวมาก เพราะห่างหายไปนาน แต่ก็ไม่มีอะไรนะครับ หายไปบ้างก็เพราะไปซุ่มฝึกวิชา เหมือนๆกับทุกท่าน ยังไงๆ ระหว่างนี้ ถ้ามีอะไรคิดถึงกัน จะเข้ามาในกระทู้นี้เกรงว่าจะชักช้าไม่ทันการณ์ ก็ PM คุยกันได้เหมือนเดิมนะครับ ขอขอบคุณครับ
     
  7. takun

    takun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2014
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +54
    กระทู้นี้มีประโยชน์อย่างมาก สำหรับผู้ที่ต้องการฝึกกรรมฐานเกี่ยวกับธาตุและการประสานกายกับจิตให้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ตามแนวทางของธาตุกรรมฐานคือ จตุธาตุววัฏฐาน 4 ควบคู่ไปกับ กายคตานุสติกรรมฐาน ผนวกไปกับธาตุกสิณ เพื่อความประสงค์ในการหลุดพ้นจากวัฏฏะเป็นสำคัญ ท่านทั้งหลายอย่าเพิ่งไปไหนไกลนะครับ ช่วยกันอยู่ให้ความรู้กันก่อนดีกว่า อยากจะขอถามคุณ yooyut หน่อยครับว่า ปกติ ผมมักจะมีความพอใจกับการเพ่งความว่างเปล่าอยู่เสมอ พอรู้ความเข้า จึงเข้าใจว่าน่าจะเทียบได้กับการเพ่งดูอากาศ หรือกสิณอากาศนั่นเอง ซึ่งอาจจะเป็นสัญญาแต่เก่าก่อนก็เป็นได้ เพราะนิมิตมันขึ้นมาของมันเอง ไม่ต้องไปบังคับให้มันเกิดขึ้นมา อยากเห็นก็เรียกดูได้ตลอดทุกเมื่อ และก็มีความสงบใจจากการเพ่งความว่างเปล่าอย่างนี้ตามอัธยาศัย ทีนี้ ปัจจุบันชักจะมีปัญหากับความว่างเปล่าดังกล่าวนี้เหมือนกัน ในเรื่องของการจัดการกับกำลังของ “อากาสธาตุ” จึงอยากจะขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการควบคุมความว่างเปล่าที่ว่านี้ รวมทั้งการควบคุม “จักรอากาศ” ในเบื้องต้นด้วยครับ
     
  8. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154

    เรียนคุณ takun ครับ

    การฝึกปฏิบัติเกี่ยวกับจักรอากาศและอากาสธาตุ มีข้อรายละเอียดปลีกย่อยค่อนข้างมาก ผู้ฝึกควรจะมีความพร้อมจริงๆ ซึ่งผมก็มีความยินดีจะให้การแนะนำกับคุณ แต่อย่างไรก็ตาม ผมขออนุญาต ทดสอบและตรวจสอบความพร้อมของคุณในเบื้องต้นก่อนนะครับ เพื่อจะได้ให้การแนะนำได้อย่างตรงจุดต่อไป ถ้าหากว่าคุณยินดีจะให้ความร่วมมือตรงจุดนี้ โปรดทำการเช็ค PM ของคุณด้วยครับ
     
  9. takun

    takun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2014
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +54

    ได้รับรายละเอียดที่ส่งมาให้ทาง PM แล้วครับ ยินดีให้ความร่วมมือครับ (ว่าแต่ว่าแบบทดสอบยากจังเลย) ยังไงจะรีบดำเนินการปฏิบัติตามแบบทดสอบและส่งผลให้กับทางคุณ yooyut โดยเร็วต่อไปครับ ขอขอบคุณครับ
     
  10. anakiz

    anakiz Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +67

    เข้ามายืนยันว่าเห็นด้วยกับคุณ mesus อีกหนึ่งเสียงนะครับ ที่จะให้พวกเราเข้ามาพูดคุย แลกเปลี่ยนกัน โดยใช้กระทู้นี้เป็นสื่อกลาง (ขออนุญาตเจ้าของกระทู้ คือ คุณ Supop ด้วยคนครับ) ที่จริงพวกเราก็ไม่ได้หายไปไหนหรอกครับ เพียงแต่ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปปฏิบัติเพื่อเร่งความเพียร ตามกำลังของแต่ละท่าน จึงอาจจะห่างหายไปจากกระทู้บ้าง แต่เชื่อว่าก็ไม่ได้ไปไหนไกลนักนะครับ

    สำหรับผมเอง ก็อยากจะหาโอกาสมาคุยกันอยู่แล้ว ที่จริงผมก็มาทางสายอนุสติ ที่ไม่ได้สนใจเรื่องธาตุมาก่อน แต่เนื่องจากผมมีเป้าหมายไว้ว่า จะต้องเก็บกรรมฐานให้ครบทั้ง 40 กองให้ได้ ดังนั้น การศึกษากรรมฐานว่าด้วยเรื่องธาตุ คงจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในอนาคต เมื่อมาเจอกับกระทู้นี้เข้า จึง “คลิ๊ก” กันพอดี ยิ่งคุณ Supop เปิดเรื่องราวว่าด้วยธาตุ มาอย่างนี้ เลยเข้าทางผมพอดี ดังนั้น ก็จะขอเข้ามาคุยกับท่านทั้งหลายเป็นระยะๆ แน่นอนครับ

    เร็วๆ นี้ ก็ว่าจะหาโอกาส ไปกราบหลวงปู่ พระอาจารย์ของ ท่าน yooyut สักที ผมเองผ่านการเดินสายกราบครูบาอาจารย์มาบ้าง โดยเฉพาะครูบาอาจารย์สายวิชาธาตุ ที่เป็นผู้สืบทอดวิชาธาตุจากครูบาอาจารย์ในอดีต ก็เลยอยากไปกราบพระผู้เป็นครูบาอาจารย์ของ ท่าน yooyut บ้าง เพราะอยากจะทราบปฏิปทาของท่าน ว่าเป็นอย่างไร ถึงสอนศิษย์มาได้อย่างนี้ ประเหมาะเคราะห์ดีอาจจะได้รับคำสอนดีๆ มาด้วยก็เป็นได้ ก็ว่ากันไป

    อีกเรื่อง ขอเป็นกำลังใจให้คุณ takun ด้วยนะครับ ขอให้ผ่านการทดสอบไปได้ด้วยดี เชื่อว่าท่านผู้ออกแบบทดสอบ คงจะไม่ได้ต้องการถึงขั้นเอาเป็นเอาตายกันหรอกครับ เพียงแต่แค่ต้องการทราบความเป็นมา เป็นไปในเบื้องต้นเท่านั้น เพื่อจะได้ให้คำแนะนำได้อย่างตรงจุดต่อไป ซึ่งจะเป็นผลดีกับคุณ takun แน่นอน ดังนั้น ขอให้ตั้งใจให้มากๆ เข้าไว้นะครับ

    วันนี้ขอคุยเท่านี้ก่อนครับ โอกาสหน้าคงได้เข้ามาคุยกันอีก ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  11. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154
    ได้อ่านที่คุณ Supop เล่าเรื่องการปฏิบัติมานี้ ทำให้ผมได้ระลึกถึงเรื่องของการฝึกสติในระหว่างการดำเนินชีวิตประจำวันอยู่เหมือนกัน ซึ่งถ้าเป็นการฝึกด้านธาตุกรรมฐานนั้น ตามปกติจะใช้การจับเอาจตุธาตุววัฏฐาน ๔ มาควบด้วยกันกับ กายคตานุสสติกรรมฐาน ซึ่งสาเหตุที่สำคัญของการจับกรรมฐานข้อนี้ เห็นจะไม่มีอะไรมากไปกว่าที่ในแต่ละช่วงเวลาของการดำรงชีวิต จิตใจมันชักจะมีความกำหนัดในทางกามารมณ์เป็นที่ตั้งและความยึดถือในตัวตนอย่างเต็มที่ หากจะต้องการหาทางแก้ ก็เห็นจะมีแต่การพิจารณาร่างกายของตัวเองว่าประกอบไปด้วยอาการทั้ง ๓๒ ตามอาการของความเป็นธาตุ เมื่อจับเอามาลงกับไตรลักษณ์ เพื่อให้เห็นความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้น ก็พอจะทำให้รู้สึกคลายความกำหนัดยินดีไปได้บ้าง ซึ่งการคลายความกำหนัดนี้ คงจะต้องค่อยเป็นค่อยไปนั่นล่ะครับ ต้องอาศัยความขยันเข้าว่า พิจารณาไปวันละเล็ก วันละน้อย ต่อเนื่องกันไป ผมว่าอาการคลายออกนี้ ก็จะสะสม ทบทวีกันไปเรื่อยๆ จนถึงอาการคลายได้อย่างมากในที่สุด

    เรื่องของการพิจารณาถึงความเป็นธาตุ ร่วมไปด้วยกับการเจริญด้านสติในการสำเหนียกถึงความเป็นไปของร่างกายนี้ คือจุดสำคัญของเรื่องการเจริญธาตุ จัดว่าเป็นการเอาจิตกลับคืนสู่ที่เดิม คือนำเอาจิตมาทำการพิจารณาภายในกาย ซึ่งการกระทำอย่างนี้ ไม่มีทางที่จะเกิดเป็นอาการวิปลาสได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าเกิดมีความประพฤติพิเรนทร์ เช่นพวกร้อนวิชาทั้งหลาย ที่เอาจิตมุ่งออกไปสู่ภายนอก อย่างนี้ต้องระวังว่าจะมีแนวโน้มทำให้เกิดอาการวิปลาสได้อย่างมากเลยทีเดียวนะครับ

    การกำหนดสติที่ยึดการรู้ที่ฐานใดๆก็ตาม (อย่างเช่นของคุณ Supop ก็คือการตามรู้ลม) เราสามารถอาศัยการฝึกสติ เพื่อใช้ในการตามหา “ผู้รู้” ที่เข้าไปยึดถือ ยึดโยงสภาวะต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เมื่อพบแล้ว ก็ทำการพิจารณาอย่างต่อเนื่องไปได้เลย

    อาการที่ “ผู้รู้” เข้าไปยึดถือ ยึดโยง สภาวะต่างๆ เหล่านี้นี่เอง ที่จะเป็นตัวบ่งชี้อย่างสำคัญว่าสภาวะนั้นๆ ไม่ใช่เรา และ เราไม่ใช่สภาวะนั้นๆ เมื่อทำการพิจารณาบ่อยครั้งเข้า ก็จะทำให้เกิดเป็นความเข้าใจและการยอมรับนับถือตามความเป็นจริงของธรรมชาติไปได้อย่างเรื่อยๆมาเรียงๆ อย่างพอเหมาะ พอดี ทีเดียวล่ะครับ

    ชักจะเข้าเค้าแล้วสิครับคุณ!!!!

    การทำอย่างนี้ มีประโยชน์โดยตรงในการฝึกอบรมเรื่องของสักกายทิฏฐิ ซึ่งเป็นเรื่องเบื้องต้นของธรรมในหมวดของสังโยชน์ ๑๐ หากสามารถ ลด ละ ความยึดถือในเรื่องนี้ได้ จากน้อยไปหามาก ก็จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่งในการฝึกขั้นต่อไป

    เรื่องอย่างนี้ ในสมัยที่ผมยังเดินทางปลีกวิเวก เข้าสู่ป่าเขาลำเนาไพร เพื่อเสาะหาความสงบสงัดสำหรับการประพฤติพรหมจรรย์เมื่อครั้งอดีตนั้น ครูบาอาจารย์มักจะสอนและเน้นย้ำในเรื่องดังกล่าวนี้อยู่เสมอ ให้ประพฤติปฏิบัติไว้ให้เป็นวิสัยประจำใจตลอดเวลาและตลอดไป

    จึงขอนำประสบการณ์ที่เคยผันผ่าน มาเล่าสู่กันฟังไว้ให้อ่านเล่นๆ ยามว่างๆ นะครับ
     
  12. takun

    takun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2014
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +54
    ขอขอบคุณที่ได้ให้กำลังใจมานะครับ ผมนั้นไม่เป็นไร เพราะเมื่อได้มาพิจารณาแบบทดสอบอย่างละเอียดแล้ว ก็รู้สึกว่า ท่านผู้ออกแบบทดสอบนี้ เหมือนจะมานั่งอยู่กลางใจของผม ( ท่านจะใช้เจโตปริยญาณด้วยหรือเปล่า อันนี้ก็ไม่อาจจะทราบได้) แล้วก็ทำการออกแบบทดสอบชุดนี้ขึ้นมา เพราะว่ายิ่งดู ก็ยิ่งคล้ายกับว่า แบบทดสอบนี้ ออกมาสำหรับใช้ทดสอบกับผมโดยเฉพาะ เห็นแล้ว ตัวสั่นๆๆๆๆ เลย แต่เป็นสั่นสู้นะครับ ยังงี้ ไม่มีปัญหาแล้วครับ การเพ่งอากาศของผม มีแต่ตัวกับลมหายใจ ตอนเริ่มแรก ผมมาจากอานาปนสติ ก่อน จากนั้น พอใจสงบได้บ้าง นิมิตของอากาศ อยู่ๆ ก็โผล่พรวดเข้ามา ผมเลยไม่ฟังอีร้า ค่าอีรม จัดการจับลมหายใจเข้าออก ภาวนา อากาศ อากาศ ควบกับนิมิตของอากาศอยู่อย่างนี้ จนใจสงบดีมาก ซึ่งความสงบในความว่างเปล่านั้น ดูเหมือนว่าไม่มีอะไร แต่ความสงบที่ว่านี้ พอนานๆเข้า ก็จะมีอาการเหมือนกับจิตมันมีกำลังมากขึ้น แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับมันได้ต่อไป ผมก็มีของผมอยู่แค่นี้ หากว่าจะต้องเดินต่อ ถ้ามันจะไปต่อได้จริงๆ แบบทดสอบแค่นี้ ที่ว่ายากๆ ก็กลายเป็นเรื่อง ชิล ชิล และเมื่อรู้สึกว่า ท่านผู้ออกแบบทดสอบ ได้กำหนดแบบมาให้เหมาะสมกับตัวเราอย่างที่สุดไว้ด้วย แค่นี้ก็ โป๊ะเช๊ะ เลยครับ งานนี้บอกได้เลยว่า ต้องทำใจให้สู้ๆลูกเดียว ไม่มีลูกอื่นใดๆ แน่นอนครับ
     
  13. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ข้าพเจ้าขอขอบคุณทุกท่านครับ ที่เมตตา

    ถ้าท่านใดมีประสบการณ์อันใดที่ประสงค์จะเล่า ขออนุญาติเชิญครับ ข้าพเจ้าจะได้อ่านด้วย ส่วนข้าพเจ้าประสบการณ์เก่าๆที่เคยลงไว้นานแล้วถ้าเห็นว่ามีประโยชน์อาจจะนำมาเล่าใหม่บ้างนะครับ

    ส่วนเรื่องของข้าพเจ้าในตอนนี้ คงมีแค่ ข้าพเจ้าเพิ่งเข้าใจในสิ่งที่พระเพื่อนย้ำกับข้าพเจ้าเสมอๆทุกครั้ง เมื่อมีโอกาสได้คุยกัน คือ อย่าทิ้งการปฏิบัติ ตอนนั้นข้าพเจ้าเข้าใจว่า อาจจะหมายถึง ให้ปฏิบัติสม่ำเสมอ อย่าเลิกปฏิบัติไปเลย แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าเข้าใจอีกอย่างว่า ท่านอาจจะหมายถึง ไม่ให้จิตทิ้งฐานเลย ก็ให้จิตมันอยู่ในฐานตลอดเวลานั่นหละหนา คือไม่หลุดจากสติและสมาธิเลยนั่นแหละ อืม.....

    สิ่งที่ท่านให้ข้าพเจ้าค้นหานั่นคือ ผู้รู้ นั่นเอง อย่างที่คุณ yooyut บอกไว้ ท่านให้ข้าพเจ้าหาสิ่งนี้ให้เจอ ให้ได้ พบผู้รู้ก็คือพบธรรม ตอนนี้ธรรมที่ทำมันมีแต่สัญญาที่ยัดเข้าไป ไอ้ที่เรายัดเข้าไปเราก็หาที่เก็บไม่เจอ มันก็เลยหลุดปลิวออกมาหมด อย่างนี้ไง ไม่ว่าเราจะพิจารณาเท่าไหร่ มันถึงไม่จำเสียที มีแต่ต้องสลัดทิ้งเอง หรือเพิกเฉยเอาเอง เมื่อไหร่ที่เราเจอที่เก็บมันก็จะเก็บของมันเอง เราไม่ต้องไปขวนขวายหาเก็บเอามาเอง ไม่รู้เมื่อไหร่จะเจอแฮะ แต่ก็เข้าเค้าแล้วเช่นกันนะ

    ไม่รู้ว่าใครจะไปทางไหน เส้นทางที่ข้าพเจ้ากำลังไปจะถูกหรือผิด ข้าพเจ้าก็จะไปให้รู้เสียก่อนละกันนะครับ

    อืม....มีอีกอย่างหนึ่ง พระเพื่อนข้าพเจ้าท่านเคยพูดไว้ว่า ท่านหน่ะเป็นประเภทค่อยๆฟันไปทีละนิด ทีละหน่อย จนต้นไม้นั้นขาดลง (เหมือนแนวทางของคุณ yooyut ที่เคยกล่าวไว้เลยครับ)
    แต่ของข้าพเจ้า มันเป็นพวกฟันทีเดียวขาดเลย ไม่ได้มาจากความเป็นผู้มีความพิเศษเหนืออื่นใคร แต่มันเป็นเพราะ ข้าพเจ้านั้นลับขวานด้ามนี้มานานแล้ว เมื่อถึงเวลาที่พร้อมจะฟัน มันจะฟันทีเดียวขาดเลย

    ส่วนเรื่องธาตุ ข้าพเจ้าอาจจะไม่มีอะไรใหม่ๆมาพูดแล้วหล่ะครับ แต่ขอให้ทุกท่านปรึกษากันได้ตามสบายครับ

    อืม....ขออีกอย่างหนึ่ง เมื่อเรายังไม่มีความมั่นคงในชีวิต หรือรู้สึกว่าเรายังไม่มั่นคงยังไม่ปลอดภัย เราจะยังเป็นผู้แสวงหาความรู้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกันกับเราไม่ เราก็หาความรู้อยู่อย่างนั้นไปทั่ว คิดหาวิธีสร้างเกราะป้องกันตนเองไปเรื่อยๆ เพื่อเป็นฐานรองรับเมื่อยามที่เส้นทางนี้เราทำผิดพลาด แต่เมื่อไหร่ที่เราเป็นผู้มั่นคงไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด เรารู้แล้วว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้ถูกต้องและจะสำเร็จในวันข้างหน้าแน่นอน เราจะทิ้งความรู้อื่นๆทุกอย่าง เราจะไม่เป็นผู้แสวงหาความรู้อื่นใดอีก นอกจากสิ่งที่ควรรู้เฉพาะหน้านี้เท่านั้น....

    เมื่อรู้เราก็รู้เขา เมื่อรู้ในความเป็นเราก็รู้ในความเป็นไปของสัตว์ เมื่อเข้าใจโลกก็เข้าใจธรรม โลก สวรรค์ นรก ก็เป็นธรรม หยาบ กลาง ละเอียด ก็เป็นธรรม ไม่ต้องไปเที่ยวนรก สวรรค์ หรือบนชั้นบรรยากาศ แค่ยืนอยู่บนโลกเราก็เข้าใจได้ในทั้งหมด....

    ไม่มีอะไร ก็แค่เพ้อเจ้อไปวันๆครับ

    สุดท้ายนี้ขออย่าได้เชื่อถือหรือยึดมั่นในสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปเลย

    ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านครับ
     
  14. anakiz

    anakiz Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +67
    “ การเจริญธาตุ ที่เน้นการพิจารณาภายในกาย เป็นการเอาจิตกลับคืนสู่ที่เดิม อย่างนี้ไม่มีทางวิปลาสแน่ๆ แต่การเอาจิตมุ่งออกไปสู่ภายนอก จะมีโอกาสเกิดเป็นความวิปลาสได้ “ หุหุหุหุหุๆๆๆๆๆ ตรงนี้ ครูบาอาจารย์ที่ผมไปกราบนมัสการมาหลายต่อหลายท่าน ก็จะสอนมาไว้ว่าอย่างนี้เหมือนกัน หุหุหุๆๆๆๆ ท่าน yooyut นี่สำมะคัญนัก หลักการแน่นอนจริงๆ ไม่ได้จ้องจะมาจับผิดนะครับ แต่เชื่อว่าน่าจะดูไว้ไม่ผิดจริงๆ 55555555555

    ขอขอบคุณ คุณ Supop ที่เอื้อเฟื้อให้ใช้พื้นที่ในกระทู้มาพูดคุยกันด้วยนะครับ

    คุณ takun ครับ หากสนใจในเรื่องธาตุอื่นๆ ด้วย เอาไว้ผมจะส่งข้อมูล รายละเอียดของครูบาอาจารย์ด้านวิชาธาตุ ที่เป็นพระภิกษุ ให้คุณนะครับ เผื่อจะได้ไปกราบนมัสการและขอศึกษาความรู้ สรรพวิชชาต่างๆ กับท่านได้ต่อไป แต่จะสามารถศึกษาได้ถึงขั้นไหน จะทำได้เหมือนกับ ท่าน yooyut หรือเปล่า? อันนี้ก็ขึ้นกับโอกาสของแต่ละคน โดยจะขอส่งให้หลังจากทำการทดสอบเสร็จเรียบร้อยแล้วนะครับ เพราะตอนนี้อยากจะให้คุณมีสมาธิอยู่กับภารกิจในปัจจุบันนี้ก่อนครับ
     
  15. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,116
    ค่าพลัง:
    +3,084
    มีเรื่องเล่านิดนึง

    มีคนรู้จักคนหนึ่งเสียชีวิตไป ผมรู้ว่าเค้าเป้นผุ้ใช้ อวิชชา หรือที่คนชอบเรียกว่า ไสยศาสตร์

    หลังจากเค้าเสียชีวิตประมาณ 9 เดือน ผมอยากรู้ว่าเค้าไปอยู่ที่ไหน

    จึงได้ไปดู พบว่า ถูกล่ามโซ่อยู่ในกองไฟ และโดนหอกแทงเป็นระยะ

    ถามเจ้าหน้าที่ว่าที่นี่เรียกว่าอะไร เจ้าหน้าที่แจ้งว่า โลกันต์

    ดูได้ไม่นาน เพราะไม่ไหวเหมือนกัน น่ากลัวมาก โดนหอกแทงแต่ละครั้ง

    ดิ้นไปดิ้นมา

    อย่าไปผิดทางกันเน้อ
     
  16. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    585
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ข้าพเจ้าขออนุโมทนากับคุณ hastin ด้วยครับ

    ว่าแต่คุณสัมผัสอะไรอย่างอื่นในนั้นได้บ้างหนอ นอกจากเห็นแค่ภาพ อารมณ์ ความรู้สึก บรรยากาศ อะไรประมาณนั้นหน่ะครับ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  17. takun

    takun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2014
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +54

    ขอขอบคุณ คุณ anakiz ครับ สำหรับความปรารถนาดีที่มีให้ ก็ขอรับข้อมูลไว้ แต่ตอนนี้ขอทำเรื่องเฉพาะหน้าให้แล้วเสร็จก่อนครับ ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มทำแบบทดสอบแล้ว ก็มีเรื่องที่ต้องฝึกอีกเยอะในเรื่องพื้นฐานก่อนที่จะเข้าทำการทดสอบความพร้อมในการเข้าสู่การฝึกปฏิบัติในโหมดเสริมสร้างกำลังจิต ในการเก็บ รวบรวมและใช้พลังงานของอากาสธาตุ ซึ่งจะต้องทำตรงนี้ ให้ได้ก่อนที่จะก้าวไปสู่การทดสอบในขั้นตอนต่อไปครับ ในการทำแบบทดสอบดังกล่าว อาจจะทำให้มีโอกาสเข้ามาคุยที่บอร์ดได้น้อยลงบ้าง ก็ไม่เป็นไร จะพยายามทำการติดตามกระทู้อยู่เป็นระยะๆเหมือนเดิมครับ
     
  18. evanov

    evanov Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +64

    ขอขอบคุณ คุณ hastin ที่ได้เตือนสติให้กับสมาชิกทุกท่านในที่นี้นะครับ แต่โดยส่วนตัวแล้ว มีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าทุกท่านที่เข้ามาคุยกันอยู่ในที่นี้ ต่างมีความประสงค์ตรงกันอยู่ว่า ต้องการที่จะศึกษา อบรมจิตใจ ตามแนวทางของพระพุทธศาสนาเพื่อนำไปสู่การหลุดพ้นจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองด้วยกันทั้งสิ้น แม้แต่การคุยกันเรื่องธาตุก็ตามที เราทุกคนต่างแสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนแล้วว่า จะศึกษาวิชชาธาตุตามแนวทางของพระพุทธศาสนา เพื่อนำไปสู่ความหลุดพ้น เพียงแนวเดียวเท่านั้น

    วิชาธาตุตามแนวทางของไสยศาสตร์ กับวิชชาธาตุตามแนวทางของพระพุทธศาสนา นั้น มีเส้นแบ่งแยกกันอย่างชัดเจนอยู่แล้ว ผู้ที่ฝึกอบรมจิตใจตามแนวทางขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมทราบดีว่าการละเล่นฌานวิชาทั้งหลายนั้น ไม่ใช่แก่นแท้ของพระธรรมคำสั่งสอน เป็นแค่ส่วนประกอบ เหมือนเปลือกที่มีส่วนช่วยในการห่อหุ้มแก่นไว้เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งสองส่วนก็ยังต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน การจะเข้าถึงแก่นธรรมให้ได้นั้น หนทางหนึ่งที่จะพึงกระทำได้ (เฉพาะในกรณีที่กำลังคุยกันในกระทู้นี้) ก็คือการเจริญ “ธาตุกรรมฐาน” ที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้อย่างชัดเจนแล้ว เพื่อให้เกิดการคลายความยึดมั่นถือมั่นในสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งหากดวงจิตมีการพัฒนาให้มีภูมิธรรมที่สูงขึ้น สามารถแยกธาตุ แยกขันธ์ รู้แจ้งแทงตลอดในวิปัสสนาญาณ ย่อมจะมีโอกาสได้ก้าวเข้าสู่กระแสของพระนิพพาน ได้ในที่สุดอย่างแน่นอน

    สิ่งที่ได้กล่าวมานี้ คือแนวทางที่กระทู้นี้กำลังคุยกันอยู่ หลักๆ ก็มีประมาณนี้ คิดว่าคงจะพอทำให้ คุณ hastin มีความเข้าใจในเรื่องแนวทางของวิชชาธาตุ ตามแนวทางของพระพุทธศาสนาได้มากยิ่งขึ้น และคงจะทำให้ คุณ hastin ได้สบายใจและผ่อนคลายความเป็นห่วง เป็นใย ต่อท่านสมาชิกที่ได้เข้ามาคุยกันในกระทู้นี้ไปได้บ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ
     
  19. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,116
    ค่าพลัง:
    +3,084
    แค่มาเล่าให้ฟังเฉยๆครับ

    ส่วนตัวก็ศึกษาธาตเหมือนกัน

    เมื่อมีกำลังมาก ก็ต้องมีสติมาก เพื่อที่จะควบคุมจิตได้ให้อยู่ในแนวทาง

    เหมือนดังที่ท่าน evanov กล่าวครับ

    โดยส่วนตัวของผม ไม่มั่นใจตัวเอง จึงปฎิบัติแบบหลวงพ่อพระราชพรหมยานสอน

    เลือก ปฎิบัติ ศีล 5 กุศลกรรมบท 10 ก่อนครับ เพื่อมัดปลายไว้ก่อนครับ
     
  20. anakiz

    anakiz Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +67
    ทั้งสองท่านข้างบนกล่าวไว้ได้ค่อนข้างเหมาะสมกับกาลเทศะแล้ว ตรงนี้ขอชื่นชม

    การฝึกปฏิปัติเพื่อความดีนั้น ควรจะต้องมองให้เห็นเรื่องราวในภาพรวมเสียก่อน ถึงจะมามองหาข้อปฏิบัติที่เข้ากับวิสัยของเรา ที่เรารู้สึกว่าถูกใจ และยึดถือเอาไว้เป็นที่ตั้ง ที่มั่นหมายอันสำคัญ ซึ่งในทางปฏิบัติ เราควรจะต้องทราบว่าเราเป็นผู้สังกัดอยู่ในวิสัยใด เพื่อให้การปฏิบัติของเรา มีความเจริญก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว และในแต่ละวิสัย ก็จะมีกรรมฐานกองที่เราจะต้องทรงให้ได้เป็นขั้นต่ำกำหนดเอาไว้อยู่ ที่มีความแตกต่างกันออกไป

    ในตามความเป็นจริงนั้นก็คือ แต่ละคนก็มีวิสัยที่ต่างๆกันไป เราจะเอาเกณฑ์ของเราไปวัดระดับของคนอื่นย่อมจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น หากวิสัยของเราเป็น ฉฬภิญโญ ผู้อื่นที่เป็นสุกขวิปัสสโก จะกล่าวว่าเราปฏิบัติผิดก็ย่อมไม่ได้ และในทางกลับกัน หากวิสัยของเราเป็น สุกขวิปัสสโก ผู้อื่นที่เป็น ฉฬภิญโญ ก็จะมากล่าวหาว่าเราปฏิบัติผิดย่อมเป็นไปไม่ได้เช่นเดียวกัน

    ผมเห็นทุกท่านในที่นี้ ที่มาคุยกันในระยะหลังๆ ของกระทู้นี้ จะมีใคร รายชื่อใดบ้าง คงจะไปไล่ดูได้ ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงให้เสียเวลา ก็เน้นแต่การปฏิบัติในแนวทางของตัวเองที่ได้รับการสั่งสอนมาจากครูบาอาจารย์ของตน เป็นที่ตั้งด้วยกันทั้งนั้น ก้มหน้า ก้มตาทำกันไป โดยไม่ได้ไปสนใจในเรื่องของใครๆ ให้มากความ ถึงกับมีการกล่าวเตือนกันในกระทู้ว่า ให้เพลาๆ การเข้ากระทู้บ้าง และให้ไปมุ่งการปฏิบัติเพื่อเร่งความเพียรให้มากๆ ให้สมกับความเป็นผู้ปฏิบัติในสายเจโตวิมุตติ ก็เห็นสมาชิกทุกท่านที่กล่าวถึง น้อมนำเอาคำเตือนของท่านผู้มากประสบการณ์ ไปปฏิบัติกันได้อย่างเข้มแข็งและได้อย่างดียิ่ง

    เรียกว่าวิสัยทางโลกไม่ยุ่ง มุ่งแต่ทางธรรม ชัดเจนเลยกับกระทู้นี้

    ดังนั้น เราเป็นนักปฏิบัติในสายใด ก็มุ่งไปเถอะครับ กับทางสายที่เลือก เพราะเรื่องการปฏิบัติ เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล เป็นเรื่องของคน คนเดียว ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับผู้อื่น คนอื่น แต่อย่างใดทั้งสิ้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...