พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ครั้นจะพาไปชมเป็นบุญตาก็ไม่ใช่หน้าที่ และจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้ หรือไม่มีก็ไม่ได้ครับ แล้วแต่วาสนา คนที่"รู้"เขาได้แต่หัวเราะความ"ไม่รู้"ในใจ บอกก็บอกไม่ได้ วางอุเบกขา แล้วปล่อยผ่านไปดีกว่า ไม่มีก็ไม่มี...

    ครั้งแรกไปพบก็ตะลึงกับ"หลักเมืองทราวดี" และ"พระอวโลกิเตศวรประทับบนตั่งเตียง" ขนาดเท่าคนจริงแล้ว ผมยังเห็นภาพในมโนสำนึกจนทุกวันนี้เลย หากจะไปสักการะยังดินแดนทราวดี มาที่นี่ก็เฉกเช่นเดียวกัน....


    กลัวไปครั้งที่ ๒ จะตกตะลึงกับความอลังการ ขอทำใจก่อนไปนะ อิอิ...

    "สถานที่นี้" ผมคิดว่า เจ้าของมีความคิดที่ดี เป็นกุศล อาจจะเคยเป็นเจ้าของเก่า หรือเป็นผู้ที่อธิษฐานจิตขอดูแลทรัพย์สมบัติของพระองค์ หรือเกี่ยวเนื่องกับพระองค์ท่านมาก่อนเป็นแน่แท้ ไม่เช่นนั้นจะมีอะไรมากมาย-มหาศาล-มหึมา-อลังการ-มโหฬาร ขนาดนี้ ไม่บรรยายต่อล่ะครับ

    ความดังกล่าวข้างต้นนี้ไม่ควรเปิดเผยออกไปมากมาย ให้เป็นไปตามวาสนา และบารมีของแต่ละท่านเมื่อถึงเวลาดีกว่า แต่"ความต่อมา"ในเรื่องของ"บุญปาก"นี่ท่าทางควรจะเปิดเผยนะครับ มัน"บุญปาก"ขนาดไหน วานบอก และแนะนำในห้อง"ท่องเที่ยว และอาหารการกิน"
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    เรื่องบุญ วาสนา บารมี เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลจริงๆ ต่อให้มีเงินมากมาย แต่ไม่มีวาสนา บารมี ที่เกี่ยวเนื่องกันมา คงได้พบ ได้เจอ ได้เห็น ใช่หรือเปล่าครับคุณเพชร ,คุณnongnooo

    ดีใจสำหรับวันนี้ บอกตามตรงว่า อลังการจริงๆ

    ขอบคุณสำหรับพี่ที่นำผมไปชม ได้เป็นบุญตา
    ขอบคุณสำหรับอาหารอร่อย ได้เป็นบุญปาก

    โมทนาสาธุครับ

    .

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ต้องบอกย้ำคำที่คุณเพชรบอก ว่า "โคตรอภิมหามหึมาอลังการมโหฬารมากมายมหาศาล" ครับ

    ถึงขั้นติดตาตรึงใจมิรู้ลืม เกินคำบรรยายใช่ไหมครับคุณnongnooo ครับ

    .
     
  3. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ใช่เลยท่าน ปา-ทานผมเรียงตามข้อดังนี้ครับ
    1.ถ้าท่านปา-ทานเปรียบเป็นเด็กอนุบาล ผมก็ต้องเป็นเด็กน้อยที่ยังอยู่ในครรภ์มารดาครับ
    2.บุญปากนี่ตอนแรกผมนึกว่าผมคิดไปเองเลยไม่กล้าเอ่ย ถ้าท่านปา-ทานว่า นั่นแสดงว่าผมไม่ได้คิดไปเองครับ
    3.ผมเพิ่งรับรู้ว่าคำว่าติดตาเป็นอย่างไรก็คราวนี้ครับ
    4.คำว่าที่สุดคงไม่เพียงพอ ผมเปลี่ยนเป็น 1เดียวในโลกรึกันครับไม่ต้องบรรยายให้เห็นภาพ
    ขอบคุณจริงๆครับเป็นบุญตาบารมีที่ได้ชมครับ
    (สำหรับผมหลักเมือง ผมให้ในแง่โบราณวัตถุครับ สำหรับผมเป็นองค์...นั้นครับ ผมยืนดูทุกรายละเอียดทั้งองค์ไม่น้อยกว่า10นาทีครับ)(good) (good) (good) (good) (good)
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    เรื่องบุญ วาสนา บารมี เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลจริงๆ ต่อให้มีเงินมากมาย แต่ไม่มีวาสนา บารมี ที่เกี่ยวเนื่องกันมา คงได้พบ ได้เจอ ได้เห็น ใช่หรือเปล่าครับคุณเพชร ,คุณnongnooo

    ดีใจสำหรับวันนี้ บอกตามตรงว่า อลังการจริงๆ

    ขอบคุณสำหรับพี่ที่นำผมไปชม ได้เป็นบุญตา
    ขอบคุณสำหรับอาหารอร่อย ได้เป็นบุญปาก

    โมทนาสาธุครับ

    .


    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    ต้องบอกย้ำคำที่คุณเพชรบอก ว่า "โคตรอภิมหามหึมาอลังการมโหฬารมากมายมหาศาล" ครับ

    ถึงขั้นติดตาตรึงใจมิรู้ลืม เกินคำบรรยายใช่ไหมครับคุณnongnooo ครับ

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    คนโบราณ(นับย้อนจากสมัยรัชกาลที่ 6 ขึ้นไปจนถึงทวาราวดีหรือก่อนหน้านั้น) มีศีลมากกว่าคนในสมัยนี้มากมายจริงๆ การสร้างพระพิมพ์และวัตถุมงคล จีงมีอานุภาพมาก อีกทั้งองค์ในก็ยิ่งใหญ่ ใหญ่มากๆ

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  5. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    อ้างจาก sithiphong
    คนโบราณ(นับย้อนจากสมัยรัชกาลที่ 6 ขึ้นไปจนถึงทวาราวดีหรือก่อนหน้านั้น) มีศีลมากกว่าคนในสมัยนี้มากมายจริงๆ การสร้างพระพิมพ์และวัตถุมงคล จีงมีอานุภาพมาก อีกทั้งองค์ในก็ยิ่งใหญ่ ใหญ่มากๆ

    โมทนาสาธุครับ

    เพียงแค่สมัยรัชกาลที่ 5 ข้อความตอนหนึ่งที่ปู่เล่าว่าหลวงปู่มักปรากฎให้เห็นเป็นกายธรรม ส่วนปัจจุับันนั้นไม่ เพราะคนสมัยนั้นกับสมัยนี้ศีลไม่เหมือนกัน

    โมทนาสาธุ

     
  6. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ถูกต้องครับ

    ไปนอนแล้วครับ พรุ่งนี้เดินทางแต่มืด ราตรีสวัสดิ์ครับ
     
  8. kittipongc

    kittipongc เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2006
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +3,648
    จาไปเที่ยวไหนกันคร้าบ อิอิ

    ส่งใจไปร่วมแจม [​IMG]
     
  9. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เราคงเคยได้ยินแต่การไหว้พระ ๙ วัด คราวนี้มาดูว่า การไหว้พระ ๙ องค์ เป็นอย่างไร

    พระพุทธรูปในสมัยสุโขทัยมีความงดงามที่สุด มากกว่าพระพุทธรูปในสมัยอื่นๆ ซึ่งสุโขทัยร่วงโรยและตกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาในพุทธศควรรษที่ ๑๙ หลังสิ้นสุดสมัยสุโขทัย จนมาถึงปีพ.ศ. ๒๓๓๗ ตามที่ระบุในจดหมายเหตุ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ได้ทรงเห็นว่า โบราณวัตถุในเมืองสุโขทัย และใกล้เคียงถูกทอดทิ้ง ไม่มีผู้ดูแลรักษา จึงโปรดเกล้าฯให้เจ้าเมืองกรมการเมืองสวรรคโลก เมืองสุโขทัย และเมืองพิษณุโลก ผูกพ่วงแพนำพระพุทธรูปโบราณลงมาไว้ยังวัดวาอารามต่างๆ ณ กรุงเทพมห่นคร ศิลปกรรมของสุโขทัยส่วนหนึ่งจึงได้รับการเก็บรักษาอยู่ในกรุงเทพฯจนถึงทุกวันนี้

    ดังนั้นถือเป็นบุญวาสนาของชาวกรุงเทพที่มีพระพุทธรูปสำคัญ ๙ องค์จากสุโขทัยแท้ๆองค์ดั้งเดิม จึงกลายเป็นว่า ที่สุโขทัยเป็นองค์จำลอง หากต้องการจะกราบสักการะบูชา"องค์พระพุทธรูปสุโขทัยจำลองครบทั้ง ๙ องค์"โดยครบถ้วนในที่เดียวนี้ ก็เห็นทีจะต้องเป็นที่ "พระพุทธอุทยานสุโขทัย" จ.สโขทัย แล้วละครับ

    ดังนั้นเมื่อทราบที่มาที่ไปกันแล้ว หากมีโอกาสได้เดินทางไปกราบสักการะเป็นศิริมงคลกับตนเอง และครอบครัวภายใน ๑ วัน ผมก็คิดว่าคุ้มค่าครับ เพียงแต่ขอให้วางแผนการเดินทางให้ดี ไม่ต้องย้อนกลับไปกลับมาให้เปลืองค่าน้ำมันกัน และขอให้ตั้งจิตอาราธนากระแสพระบารมีของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พรหม เทพ เทพยดาที่ปกปักรักษาพระพุทธรูปครั้งเป็นเมืองสุโขทัยแต่ดั้งแต่เดิมนั้น

    พระพุทธอุทยานสุโขทัย
    [​IMG]

    <TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#111111 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%">พระพุทธรูปสมัยสุโขทัยเป็นที่ยอมรับและได้รับการยกย่องว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะงดงามที่สุด เมื่อเทียบกับพระพุทธรูปในสมัยอื่น ๆ ในอดีตองค์พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย และประชาชนชาวสุโขทัย มีความศรัทธาเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง จึงได้มีการก่อสร้าง พระพุทธรูปทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่เป็นจำนวนมากนับพันองค์ หลังจากอาณาจักรสุโขทัยร่วงโรย พระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ในเมืองสุโขทัย จึงถูกปล่อยทิ้งร้างเป็นจำนวนมาก และได้รับการอัญเชิญไปประดิษฐานยังวัดต่างๆ มากกว่า 200 องค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพมหานคร<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p> </O:p>
    พระพุทธรูปจำลองจำนวน 9 องค์ ที่จังหวัดสุโขทัยสร้างขึ้น ประกอบด้วย<O:p> </O:p>
    1. พระพุทธรูปปางลีลา ขนาดความสูง 2.03 เมตร ทำพิธีเททองหล่อองค์พระเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 เวลา 18.19 น. องค์เดิมประดิษฐาน ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร<O:p></O:p>
    2. พระร่วงโรจนฤทธิ์ ขนาดความสูง 7.72 เมตร ทำพิธีเททองหล่อองค์พระ เมื่อวันที่ 15 <O:p></O:p>พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 เวลา 17.39 น. องค์เดิมประดิษฐาน ณ วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร จังหวัดนครปฐม<O:p></O:p>
    3. พระศาสดา ขนาดหน้าตักกว้าง 3 ศอก ทำพิธีเททองหล่อองค์พระ เมื่อวันที่ 16 <O:p></O:p>พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 เวลา 19.19 น. องค์เดิมประดิษฐาน ณ วัดสุวรรณาราม กรุงเทพมหานคร<O:p></O:p>
    4. พระพุทธชินสีห์ หรือ พระนาคปรก ขนาดหน้าตักกว้าง 3 ศอก ทำพิธีเททองหล่อองค์ พระเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 เวลา 19.19 น. องค์เดิมประดิษฐาน ณ วัดพระเชตุพนวิมล<O:p> </O:p>มังคลาราม กรุงเทพมหานคร<O:p></O:p>
    5. พระพุทธสิหิงค์ ขนาดหน้าตักกว้าง 3 ศอก ทำพิธีเททองหล่อองค์พระ เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 เวลา 19.19 น. องค์เดิมประดิษฐาน ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพมหานคร<O:p></O:p>
    6. หลวงพ่อร่วง ขนาดหน้าตักกว้าง 3 ศอก องค์เดิมทำพิธีเททองหล่อองค์พระ เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 เวลา 19.19 น. องค์เดิมประดิษฐาน ณ วัดมหรรณ พาราม กรุงเทพมหานคร<O:p> </O:p>
    7. พระสุโขทัยไตรมิตร ขนาดหน้าตักกว้าง 6 ศอก 5 นิ้ว สูง 7 ศอก 9 นิ้ว ทำพิธีเททองหล่อ องค์พระเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ.2542 เวลา 19.19 น. องค์เดิมประดิษฐาน ณ วัดไตรมิตรวิทยาราม กรุงเทพมหานคร<O:p></O:p>
    8. พระศรีศากยมุนี ขนาดหน้าตักกว้าง 3 ศอก ทำพิธีเททองหล่อองค์พระ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 เวลา 19.19 น. องค์เดิมประดิษฐาน ณ วัดสุทัศน์เทพวราราม กรุงเทพมหานคร<O:p></O:p>
    9. พระพุทธไสยาสน์ ขนาดความยาว 6 ศอก ทำพิธีเททองหล่อองค์พระ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 เวลา 19.39 น. องค์เดิมประดิษฐาน ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร
    </TD></TR><TR><TD width="100%">
    [​IMG]
    พระพุทธอุทยานสุโขทัย ได้เริ่มก่อสร้าง เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 ณ บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดสุโขทัย ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบวิหารพระปรางค์ห้ายอด ภายในวิหารปูด้วยหินอ่อน พื้นภายนอกปูด้วยหินแกรนิต ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างได้จากประชาชนผู้มีจิตศรัทธาบริจาคและรายได้จากการจำหน่าย 9 พระพุทธสุดแผ่นดิน และ 9 พระเครื่องเฟื่องสุดกรุ
    http://www.sukhothai.go.th/tour/tour_14.htm

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  10. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    คุณหนุ่มโทรแจ้งเข้ามาว่า น้องเอ บวชเป็นพระเรียบร้อยแล้วครับเมื่อเวลา ๑๑.๓๐ น. ขอโมทนาบุญบวชพระมา ณ ที่นี้ด้วยครับ รับไปกันคนละ ๘ กัปป์ พระเอรับไป ๒๔ กัปป์

    อานิสงส์ถวายสัพพทาน
    ..."ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ทานของสัปบุรุษเหล่านี้ ๘ อย่าง คือ
    ๑. ให้ของที่สะอาด
    ๒. ให้ของประณีต
    ๓. ให้ถูกกาล
    ๔. ให้ของที่สมควร
    ๕. เลือกให้
    ๖. ให้เสมอๆ
    ๗. กำลังให้ยังจิตให้เลื่อมใส
    ๘. ครั้นให้แล้วปลื้มใจ

    สัปปุริสทาน ๘ อย่างนี้ประเสริฐยิ่งนักหนา" ในกาลครั้งนั้น องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าก็สถิตสำราญอยู่ในป่าเชตวันอันเป็นอารามของนายอนาถปิณฑิกมหาเศรษฐีอยู่ในที่ใกล้ๆ นครสาวัตถี พระยาองค์หนึ่ง ชื่อ มหานามะ เอาประธูปประทีปคันธรสของหอม แล้วพาหมู่บริวารทั้งหลายเข้าไปสู่ที่เฝ้าพระสัพพัญญูเจ้า แล้วก็นั่งในที่ควรแห่งหนึ่งจึงทูลถามพระสัพพัญญูเจ้าว่า

    "ภนฺเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าบุคคลผู้ใดเลื่อมใสศรัทธา มาก่อสร้างสัพพาทานหลายๆ ชนิด ก็จักมีอานิสงส์ดังฤาพระเจ้าข้า"

    อันว่าองค์สมเด็จพระศาสดาจารย์เจ้าจึงเทศนาว่า
    "ดูกร มหาบพิตร นรชนหญิงชายทั้งหลายมีใจเลื่อมใสศรัทธามาก่อสร้างสัพพาทานหลายๆ ชนิดเป็นต้นว่า
    ๑. สร้างพระพุทธรูป ก็จักได้อานิสงส์ ๙ กัลป์
    ๒. สร้างพระไตรปิฏกธรรมคำสั่งสอนของ
    พระพุทธเจ้า ก็จักได้อานิสงส์ ๑๐ กัลป์
    ๓. ผู้ใดได้บวชตนเป็นสามเณร ก็จักได้อานิสงส์ ๑๒ กัลป์
    ๔. ผู้ไดได้บวชตนเป็นพระภิกษุ ก็จักได้ อานิสงส์ ๒๔ กัลป์
    ๕. ผู้ใดได้สร้างพระธาตุเจดีย์ ก็จักได้อานิสงส์ ๘๐ กัลป์
    ๖. ผู้ใดได้ปลูกไม้ศรีมหาโพธิ์ ก็จักได้อานิสงส์ ๙ กัลป์
    ๗. ผู้ใดให้โภชะนังยังข้าวน้ำ โภชนะอาหารให้เป็นทานแก่ภิกษุสามเณร ก็จักได้บริวารแสนหนึ่ง
    ๘. ผู้ใดได้สร้างเจดีย์ทราย ก็จักได้อานิสงส์ ๖๐ กัลป์
    ๙. ผู้ใดสร้างกุฏีให้เป็นทาน ก็จักได้อานิสงส์ ๔๐ กัลป์
    ๑๐. ผู้ใดสร้างอุโบสถให้เป็นทาน ก็จักได้อานิสงส์ ๔๐ กัลป์
    ๑๑. ผู้ใดสร้างกฐินให้เป็นทาน ก็จักได้อานิสงส์ ๘๐ กัลป์
    ๑๒. ผู้ใดสร้างอารามให้เป็นทาน ก็จักได้อานิสงส์ ๔๐กัลป์
    ๑๓. ผู้ใดสร้างพัทธสีมาให้เป็นทาน ก็จักได้อานิสงส์ ๑๐๐ กัลป์
    ๑๔. ผู้ใดได้บวชบุรุษผู้อื่นให้เป็นพระภิกษุ ก็จักได้อานิสงส์ ๘ กัลป์
    ๑๕. บวชบุตรตนเองให้เป็นภิกษุ ก็จักได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป์
    ๑๖. ภรรยาบวชสามีของตนให้เป็นสามเณร ก็จักได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป์
    ๑๗. ภรรยาบวชสามีของตนให้เป็นพระภิกษุ ก็จักได้อานิสงส์ ๓๒ กัลป์
    ๑๘. สามีบวชภรรยาให้เป็นภิกษุณี ก็จักได้อานิสงส์ ๖๔ กัลป์
    ๑๙. ผู้ใดได้สร้างพระเจดีย์ธาตุข้าวเปลือกให้เป็นทาน ก็จักได้อานิสงส์ ๓๑ กัลป์
    ๒๐. ผู้ใดสร้างพระเจดีย์ธาตุข้าวสารให้เป็นทานก็จักได้อานิสงส์ ๔๒ กัลป์
    ๒๑. ผู้ใดได้สร้างพระเจดีย์ธาตุเหลือให้เป็นทาน ก็จักได้อานิสงส์ ๖๔ กัลป์
    ๒๒. ผู้ใดสร้างรั้วล้อมอาราม ก็จักได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป์
    ๒๓. ผู้ใดปัดกวาดขยะมูลฝอยถอนเสียจากเขตอาราม ก็จักได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป์
    ๒๔. ผู้ใดสร้างศาลาสะพานบ่อน้ำให้เป็นทาน ก็จักได้อานิสงส์ ๓๐ กัลป์
    ๒๕. ผู้ใดได้ถวายดอกไม้ธูปเทียน ก็จักได้อานิสงส์ ๘ กัลป์
    ๒๖. ผู้ใดได้สร้างอัฏฐให้เป็นทาน ก็จักได้อานิสงส์ ๓๖ กัลป์
    ๒๗. ผู้ใดได้ถวายจีวรเถราภิเษก ก็จักได้อานิสงส์ ๓๒ กัลป์
    ๒๘. ผู้ใดถวายผ้าป่า ก็จักได้อานิสงส์ ๔๐ กัลป์
    ๒๙. ผู้ใดให้ฝาผนังและเพดานเป็นทานได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป์
    ๓๐. ผู้ใดสร้างธงฝ้าย ธงผึ้ง ธงชัย ธงชาย ธงเหล็ก บูชาพระรัตนตรัย ก็จักได้อานิสงส์ ๖๔ กัลป์
    ๓๑. ผู้ใดสร้างขันหมากเบ็งบูชาระรัตนตรัย ก็จักได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป์
    ๓๒. ผู้ใดถวายซึ่งข้าวพันก้อนบูชาพระรัตนตรัย ก็จักได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป์
    ๓๓. ผู้ใดถวายผ้าอาบน้ำฝน และผ้าจำนำพรรษา ก็จักได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป์
    ๓๔. ผู้ใดสร้างปราสาทดอกผึ้งให้เป็นทาน ก็จักได้อานิสงส์ ๓ กัลป์
    ๓๕. ผู้ใดสร้างต้นกัลป์พฤกษ์ให้เป็นทาน ก็จักได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป์
    ๓๖. ผู้ใดสร้าง ฆ้อง กลอง แคน ซอ หอยสังข์ ปี่ แตร แตรวง ดนตรีให้เป็นทาน ก็จักได้อานิสงส์ ๖๐ กัลป์
    ๓๗. ผู้ใดได้ถวายเสื่อสาดอาสนะ ก็จักได้อานิสงส์ ๔ กัลป์
    ๓๘. ผู้ใดถวายเตียงเก้าอี้ฟูกเบาะให้เป็นทาน ก็จักได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป์
    ๓๙. ผู้ใดได้ปลูกกุฏีกรรมให้พระภิกษุเข้าปริวาสกรรม และมานัตตกรรม ก็จักได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป์
    ๔๐. ผู้ใดได้สร้างบั้งไฟจุดบูชาพระรัตนตรัย ได้อานิสงส์ ๔ กัลป์
    ๔๑. ผู้ได้สร้างพัทธสีมาน้ำ ก็จักได้อานิสงส์ ๖๗ กัลป์
    ๔๒. ผู้ใดได้สร้างธรรมาสน์ ได้อานิสงส์ ๓๒ กัลป์
    ๔๓. ผู้ใดได้สร้างเวจกุฏี ก็จักได้อานิสงส์ ๔๐ กัลป์
    ๔๔. ผู้ใดได้เผาซากศพที่ตกเรี่ยราดอยู่ตามป่าตามดงก็จัก ได้บริวารหมื่นหนึ่ง
    ๔๕. ผู้ใดได้เผาศพญาติมิตรสหาย ก็จักได้บริวาร ๓ หมื่น
    ๔๖. ผู้ใดได้เผาศพบิดามารดา ก็จักได้บริวารหนึ่งแสน
    ๔๗. ผู้ใดได้เผาศพอุปัชฌาย์อาจารย์ ก็จักได้บริวารโกฏิหนึ่ง
    ๔๘. ผู้ใดได้ถวายโอ่งน้ำ และส้วมอาบน้ำ และครุตักน้ำ ก็จักได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป์

    สัพพทานทั้งหลายชนิดเหล่านี้ บุคคลผู้ใดมีศรัทธากล้าหาญอาจ สละสมบัติออกสร้างวัตถุประสงค์ดังแสดงมานี้ ก็มีอานิสงส์ผลบุญพูนสุขในชั่วนี้และชั่วหน้า อานิสงส์ที่ได้ปัจจุบันนี้คือ จะไปมาทางใดก็มีคนนับหน้าถือตา ไม่ได้เป็นที่รังเกียจของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง มีแต่ผู้อยากให้ร่วมกินร่วมอยู่ทั้งนั้น เราจะเข้าไปสู่สมาคมใดๆ ก็ไม่ครั้นคร้ามสยดสยองเกรงกลัวต่ออำนาจผู้ใด การทำมาหากินก็สมความมุ่งมาตรปรารถนาสมประสงค์ ครั้นสิ้นบุพพกรรมมนุษย์ในโลกนี้แล้ว ก็จะถือเอาตนเมื่ออุบัติขึ้นบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสายามาตุสิตาโดยลำดับจนถึงพรหมโลก ครั้นจุติจากพรหมโลกลงมาเกิดในมนุษย์โลก ก็ไม่ได้ไปเกิดในหิเนกุลชั่วร้าย และจักได้ไปเกิดในตระกูลท้าวพระยามหากษัตริย์ หรือตระกูลพราหมณ์ผู้มั่งคั่งมั่งมีเศรษฐีกฎุมพีแล้วก็จักได้ทัวระวัดไปมาบารมีแก่กล้า ก็จะได้บ่ายหน้าเข้าสู่เมืองแก้วนิรพาน"

    พอจบธรรมเทศนาแห่งองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าลง สมเด็จพระเจ้ามหานามะ ก็ได้ตั้งอยู่ในไตรสรณคมณ์สาม ส่วนบริษัททั้งหลาย ก็ได้ถึงโสดาสกิทาคา อนาคา อรหันต์


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2008
  11. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    มีความเห็นที่พาดพิงถึง จึงจำเป็นต้องตอบ ผมขอตอบไปตามหลักวิชาการของโหราศาสตร์ที่ท่านโหราจารย์ได้ถ่ายทอดไว้ ไม่เข้าข้างผุ้ใด ทำใจเป็นกลาง แต่ด้วยประสบการณ์ที่น้อยนี้ อาจจะมีบางประเด็นที่ยังครอบคลุมไปไม่ทั่ว จึงเอาแต่หลักๆนะครับ...

    กระทู้ชื่อ "พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้....."
    วันเกิดกระทู้คือ วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๘ เวลา ๖.๕๙ น. กรุงเทพฯ
    วันที่สอบถามคือ วันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๑ เวลา ๑๗.๓๔ น.
    ชื่อผู้ตั้งกระทู้คือ sithiphong

    ข้อมูลมีเท่านี้ และขอบอกไว้ก่อนว่า การตั้งกระทู้นี้คุณ"หนุ่ม""สิทธิพงศ์"ไม่มีความรู้ในเรื่องของโหราศาสตร์แต่อย่างใด ก็ลองพิจารณาดูว่าเป็นเพราะความ"บังเอิญ" หรือเป็นเพราะ"วาระ"กันแน่ครับ

    ผมขอเขียนแบบให้ผู้ไม่รู้โหราศาสตร์อ่านนะครับ เพื่อให้ง่ายแก่ความเข้าใจ อาจจะไม่ตรงใจท่านผู้รู้โหราศาสตร์บ้างก็ขออภัย

    พิจารณาแล้ว"ชื่อกระทู้"นี้มีความพิเศษ สอดคล้องกับ"วันเกิด"มาก
    - วันศุกร์เป็นตำแหน่ง"บริวาร"หมายรวมถึง บุคคลที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน ชื่อของ"ผู้ตั้งกระทู้"ไม่ว่าจะเป็นชื่อเล่น"ห" หรือชื่อจริง"ส" ชื่อนามสกุล "ส" ทั้งนี้หากนับชื่อภาษาอังกฤษเข้าไปร่วมแล้ว ทั้งชื่อ และนามสกุลภาษาอังกฤษ ก็ล้วนสะกดด้วย"s" ทั้งคู่ ล้วนอยู่ในตำแหน่งนี้ซึ่งเป็นแรงบวกที่รุนแรงมากๆๆๆ ยังไงก็หลุดพ้นจากการเป็นบริวาร หรือวงศ์วานของกระทู้นี้ไม่ได้อย่างแน่นอน เรียกว่า"ทาสรับใช้ที่ซื่อสัตย์" ยังไงก็จะไม่มีทางปันใจเป็นอื่นอย่างเด็ดขาด ยังไงหัวเด็ดตีนขาด ก็ไม่ยอมไปไหน จุดดีมีมาก และจุดเสียก็มีหากนำมาใช้ไม่ถูกทาง(คอยอ่านต่อไปในภาคการแปลความละเอียด)

    - ชื่อกระทู้ "พ" อยู่ในตำแหน่ง"มนตรี" หมายรวมถึงบิดามารดาอาจารย์ ความมีชื่อเสียง ความเป็นมงคล สิ่งดีงาม และตรงกับพระพฤหัสซึ่งถือเป็น"ครู" อีกทั้งพระเกตุ(๙)ทับพฤหัส เป็นอะไรที่สุดยอดมากหากใช้ในงานเกี่ยวกับวิชา หรือศาสตร์ลึกลับ โหราศาสตร์ เรื่องพระเรื่องเจ้า การเผยแผ่ธรรมะ พระเครื่อง อะไรทำนองนี้ครับ การที่เกตุมาทับพฤหัสยังเป็นเรื่องของความเป็น"อมตะ" หรือ "คงกระพัน"

    - โครงสร้างร้าย คือ ตนุ-ปิตา-วินาศ มาจับที่ "อายุ" หากเป็นเรื่องราวทางโลก แบบนี้ถือว่าเกิดการพลัดพราก ตายจากไปข้างหนึ่ง แต่กระทู้นี้เป็นเรื่องทางธรรม ผลร้ายจึงสะท้อนความจริง หรือสัจธรรมของชีวิตว่า ไม่เที่ยงจริงๆ เป็นไปตามกำหนดเวลาของการได้พบ ได้จาก ดังนั้นโครงสร้างร้ายนี้หากเกิดกับกระทู้นี้จึงเป็นผลที่ดีมาก

    - เวลา (๖.๕๙ น.)ของการตั้งกระทู้นี้ก็แปลกมากอีกเช่นกัน หากกดส่งกระทู้นี้ในเวลา ๗.๐๑ น. คืออีกเพียง ๒ นาทีข้างหน้า ลัคนาของกระทู้นี้จะไม่ใช่ตำแหน่งของ"สัจธรรม" หรือ"วาระ"ที่ถูกกำหนดมา(ตนุ-ปิตา-วินาศ)ดังกล่าวข้างต้น แต่จะเลื่อนมาที่ตำแหน่ง "มรณะ"คือการพลาดพรากชั่วคราวคือเป็นผลที่ไม่ดีจริงๆเลยครับ ผมจึงเชื่อว่ากระทู้นี้มีวาระ

    - โครงสร้างร้าย คือ พยายะ-อริ-อัตตะ มาจับที่ "บริวาร" ตรงนี้คือจุดเสียจริงๆ และเสียหายมากด้วย แปลความว่า ความถือตัวตน(EGO)ว่าเหนือคนอื่นนี้ หรือการไปพูดจากระทบกระทั่ง EGO หรือความรุ้สึกของคนอื่นล้วนแต่เป็นผลให้เกิดการทะเลาะวิวาท และหนักหนาจนถึงขั้นเกิดการท้าทายขึ้น เกิดศัตรูทั้งทางตรง และทางอ้อม แต่เนื่องด้วย "มหาอุด"(๙ หรือเกตุ กุมครู อาจารย์ หรือพฤหัสนี้จึงรอดได้ด้วยดี และยังอยู่ดีกินดีอีกด้วย หากเป็นคนอื่นอาจดับไปแล้ว) จึงเรียกว่ากระทู้นี้ก่อให้เกิดความขัดแย้งกับชาวบ้านมากมาย เพราะอัตตะคือตัวเองนั่นเอง

    - โครงสร้างดีมีหลายจุด คือ "สุภะ-สหัชชะ-โภคา" จับที่ "ศรี" เพื่อนฝูง หรือคนที่รู้จักกันในกลุ่ม ในคณะล้วนจะนำทั้งทรัพย์สิน และเกียรติมาให้ เทวดา ๓ คืออังคาร เสมือนกลุ่มคนที่มาร่วมกันนี้มีลักษณะของ"นักรบ"ที่มีทั้งเกียรติ และทรัพย์สิน เราจะทำนายเป็นการทำลายล้างไม่ได้เพราะ เป็น"ศรี"

    - "ปุตตะ-ลาภะ-อนันตะ" จับกับ "มนตรี" แปลความว่า การบอกบุญ(ปุตตะ) จะได้ปัจจัย(ลาภะ)จำนวนมากมายมหาศาล(อนันตะ) และอย่าลืมว่า พระพฤหัส หรือดาวครู ที่เป็นมหาอุดกุมตำแหน่งนี้อยู่ จึงทายว่า จะบอกบุญไปได้เรื่อยๆ และได้ในจำนวนมากๆด้วย

    - พระศุกร์เสวยอายุ ๒๑ ปี ดังนั้น ยังดำเนินการไปได้เรื่อยๆอยู่ครับ แต่อย่าลืมว่าเมื่อถึงวาระจบกิจก็จากกัน ตามวาระที่ถูกกำหนดแล้วนั่นเอง

    ผมขอจบการพยากรณ์ไว้เพียงเท่านี้ก่อน..

    อนุโมทนาสาธุ....
     
  12. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เมนูพระราชทานแบบพอเพียงจากแปลงทฤษฎีใหม่
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message --><TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD class=contentheading width="100%">เมนูพระราชทานแบบพอเพียงจากแปลงทฤษฎีใหม่ </TD><TD class=buttonheading align=right width="100%">[​IMG] </TD><TD class=buttonheading align=right width="100%">[​IMG] </TD><TD class=buttonheading align=right width="100%">[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=2>
    [​IMG] อรอนันต์ วุฒิเสน

    แสงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าได้ไม่นาน ราษฎรตำบลหนองหม้อและตำบลใกล้เคียง เช่น มาจากบ้านหนองสีซอ บ้านโคกหว้า ต่างกุลีกุจอหอบลูกจูงหลานเดินทางมายังโครงการพัฒนาที่ดินของมูลนิธิชัยพัฒนา ตำบลหนองหม้อ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ด้วยมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ มารอเฝ้ารับเสด็จฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่จะเสด็จฯ มาถึงในช่วงบ่าย


    โครงการพัฒนาที่ดินผืนนี้ ดำเนินการตามพระราชกระแสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรูปของแปลงสาธิตทฤษฎีใหม่ โดยคำนึงถึงเกษตรกรเป็นสำคัญว่าพืชที่ปลูกเป็นตัวอย่างและวิธีการต่างๆ ที่ดำเนินการอยู่นั้น เกษตรกรจะต้องนำไปปรับใช้ในพื้นที่การเกษตรของตัวเองได้จริง และที่สำคัญที่ดินที่นี่จะไม่ใช้สารเคมีใดๆ เลย เน้นการใช้ปุ๋ยคอกและปุ๋ยพืชสดที่หาได้ในพื้นที่ของตนเอง

    พื้นที่ส่วนหนึ่งยกร่องทำสวนปลูกไม้ผลต่างๆ เช่น มะม่วงพันธุ์เขียวเสวยและหนองแซง ฝรั่งไร้เมล็ด ทับทิม ส้มโอพันธุ์ขาวแตงกวา กระท้อนเป็นพันธุ์ปุยฝ้าย มะกอกน้ำ พุทราพันธุ์จัมโบ้ ส่วนพื้นที่แปลงเกษตรผสมผสาน ได้คัดเลือกพันธุ์พืชมาปลูกหลากหลายชนิด เช่น ข้าวโพดหวาน ข้าวโพดเทียน เห็ดนางฟ้า มะเฟือง มะกอก ตะลิงปลิงที่มีรูปทรงของต้นคล้ายต้นมะยม เพียงแต่ตะลิงปลิงจะมีผลยาวกว่าและรสชาติไม่ฝาดเฝื่อนเท่ามะยม รวมไปถึงพืชยอดนิยมของเกษตรกรที่ดูแลง่ายและโตเร็ว ก็คือ กล้วย ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน และช่วยเป็นไม้พี่เลี้ยงและร่มเงาให้ต้นไม้ผลต่างๆ ในช่วงปลูกใหม่ๆ ด้วย มีทั้งกล้วยน้ำว้า กล้วยหอม และกล้วยไข่ พืชผักสวนครัว ได้แก่ มะเขือเปราะ มะเขือม่วง พริก บวบ ชะอม ฟักทอง และผักหวาน


    [​IMG]ส่วนบนคันดินรอบสระน้ำ ก็ปลูกต้นแคและมะพร้าวน้ำหอม ได้ทั้งผลผลิตและเป็นร่มเงาได้อย่างดี ส่วนในบ่อน้ำก็เลี้ยงปลาทับทิบ เพื่อเป็นอาหารโปรตีนเสริม ความหลากหลายของพืชพันธุ์เหล่านี้ และช่วงระยะเวลาของการออกดอกออกผลที่แตกต่างกันไป ทำให้ "
    มีกินตลอดทั้งปี" เพราะสามารถเก็บผลผลิตต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จนสามารถนำผลผลิตออกขายให้แก่ชุมชนได้อาทิตย์ละ ๒ วัน คือ ในวันอังคารและวันศุกร์ รายได้จากการขายผลผลิตเหล่านี้ นำกลับมาใช้ในการพัฒนาพื้นที่เพื่อเป็นตัวอย่างให้เกษตรกรได้เห็นว่า การพัฒนาปรับปรุงพื้นที่ควรเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามกำลังทรัพย์และกำลังแรงที่มีอยู่

    สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสนพระทัยในแปลงเกษตรมาก ตลอดเส้นทางพระดำเนินนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในสายพระเนตรทั้งสิ้น ทอดพระเนตรแปลงข้าวโพดที่กำลังแข่งกันออกฝักท้าทายให้เก็บไปชิมรส ได้รับสั่งถึงเมนูอาหารที่สามารถทำกันเองง่ายๆ จากผลผลิตนานาพันธุ์ เมื่อทอดพระเนตรเห็นต้นแค ที่กำลังออกดอกสีขาวอยู่ละลานตา ได้รับสั่งถึง "แกงส้มดอกแค" แม้แต่พริกที่ขึ้นแซมไปทั่วบริเวณ ทั้งสีแดง สีเขียวนั้น ได้รับสั่งถึง "น้ำพริก" จนทำให้คิดถึงข้าวสวยร้อนๆ คลุกน้ำพริกที่รสชาติกลมกล่อม ได้ทั้งความหอมและความเผ็ดของพริกในเวลาเดียวกัน

    [​IMG] ครั้นเมื่อทรงสังเกตว่ามีต้นกะเพรา ได้รับสั่งถึง "ผัดกะเพรา" ทรงหยุดพระดำเนินที่สวนไม้ผล รับสั่งว่า "ในท้องร่องมีปลาช่อนนา ปลาช่อนนาอร่อย" ผู้ที่ตามเสด็จฯ ต่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ นึกภาพตาม เพียงนำปลาช่อนมาห่อด้วยใบตองแล้วย่าง ความหอมกรุ่นของปลาย่างที่สุกแล้วลอยแตะจมูก เท่านี้ก็ได้อาหารโปรตีนแสนอร่อยและดีต่อสุขภาพอีกด้วย

    แม้แต่แปลงผักหวานที่ใบเขียวสดใสสะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามบ่าย ก็กลายเป็น "แกงผักหวานไข่มดแดง" อีกหนึ่งเมนูพระราชทานในวันนี้

    เมนูอาหารจานเด็ดหลายจานนี้ มีความเรียบง่ายจากวัตถุดิบที่หาได้จากทางเดินสองข้างทางในแปลงทฤษฎีใหม่นี้ ไม่ต้องซื้อหา เป็นอาหาร ๕ หมู่ ที่ครบครันไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ และยังปลอดภัยจากสารเคมีใดๆ ทั้งสิ้น

    วันนั้น หลายคนที่ได้ตามเสด็จฯ ต่างมีใจที่ตรงกัน ก็คือ คิดถึงข้าวสวยร้อนๆ คนละจานสองจานก็ได้อีกหนึ่งมื้ออาหารคุณภาพที่แสนเอร็ดอร่อย



    นี่คือ จุดเริ่มต้นของความพอเพียงที่เรียบง่ายที่สุดของชีวิตมนุษย์




    เจ้าหน้าที่ของกรมวิชาการเกษตรได้ปรับพื้นที่ตามแนวทฤษฎีใหม่ ความโชคดีของบริเวณนี้ คือน้ำท่าค่อนข้างอุดมสมบูรณ์เพราะอยู่ใกล้คลองชลประทาน จึงสามารถทำนาได้ถึงปีละ ๓ หน ข้าวที่ปลูก ใช้ข้าวพันธุ์ชัยนาท ๒ ซึ่งให้ผลผลิตดีมาก แล้วยังปลูกถั่วเขียวและถั่วเหลืองเป็นพืชสลับหลังนาเพื่อปรับปรุงบำรุงดิน

    http://www.chaipat.or.th/chaipat/ind...d=57&Itemid=70

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    [​IMG] หลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด
    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->
    หลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด
    พระผู้บูชาไฟ-เผากิเลสในใจมนุษย์

    เวบหนังสือพิมพ์สยามรัฐ - 3/12/2548

    สมัยสงครามอินโดจีน พระเกจิอาจารย์ดังหลายรูปต่างเป็นที่พึ่งทางกายและใจ ของบรรดาทหารหาญ และชาวบ้าน ดังนั้น วัตถุมงคล-เครื่องรางของขลังของพระเกจิในยุคนั้น จึงโด่งดังมาจนทุกวันนี้ และมีมูลค่าในการเช่าหาที่ค่อนข้างสูง

    “ผ้าประเจียด” ของ “หลวงพ่อโอภาสี แห่งอาศรมบางมด กทม.” เป็นเครื่องรางอย่างหนึ่งที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำข องผู้คนสมัยนั้น เพราะมีคุณานุภาพอันวิเศษยิ่ง

    ท่านจัดพิธีปลุกเสกที่วัดบวรนิเวศฯ โดยอาราธนาพระเถระผู้ทรงวิทยาคมมาร่วมพิธีด้วย 3 รูปคือ หลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพัง นนทบุรี หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อยุธยา และหลวงพ่อจาด วัดบางกะเบา ฉะเชิงเทรา เมื่อทหารนำไปใช้ปฏิบัติการในสมรภูมิ ปรากฏว่ายิงไม่ออกบ้าง ยิงไม่ถูกบ้าง ข้าศึกเห็นทหารไทยก็พากันเสียขวัญ ถึงขนาดตั้งฉายาให้ว่า “ทหารผี” ไม่เพียงเท่านั้น พระเครื่องต่างๆ ของท่าน ยังสร้างประสบการณ์ให้ผู้คนร่ำลือมากมาย และเชื่อในความขลังไม่รู้คลาย

    หลวงพ่อโอภาสี เป็นศิษย์เอกรูปหนึ่งของหลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา จ.นครนายก ซึ่งสำเร็จทางเตโชกสิณ มีนามเดิมว่า “ชวน” เป็นชาว จ.นครศรีธรรมราช บุตรของนายมิตร นางล้วน นามสกุล “มลิวัลย์” อายุได้ 5 ขวบ บิดาและมารดานำไปฝากไว้กับอาจารย์ ณ สำนักวัดใต้ เพื่อที่จะได้เล่าเรียนหนังสือ ก่อนจะนำไปฝากบวชเป็นสามเณร ณ สำนักวัดโพธิ์ โดยมีท่านอาจารย์ที่วัดนี้เป็นพระอุปัชฌาย์

    เล่าเรียนพระปริยัติธรรมอยู่เป็นเวลานานพอสมควรจนควา มรู้แตกฉาน จึงได้ลาบิดาและมารดาเดินทางมาศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ โดยฝากตัวเป็นศิษย์ของ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ วัดบวรนิเวศวิหาร ศึกษาได้ระยะหนึ่งจึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ และเล่าเรียนทางด้านพระพุทธศาสนาในวิชาการต่างๆ เป็นเวลานานหลายปี จึงได้เข้าสอบไล่แปลพระปริยัติธรรม สอบได้เปรียญ 3 ประโยค กระทั่งถึงเปรียญ 7 ประโยคตามลำดับ

    ท่านมหาชวนได้เป็นที่เคารพของประชาชน ทำให้คนรู้จักท่านมากขึ้น เพราะเห็นว่าการปฏิบัติภารกิจประจำวันของท่านเริ่มเป ลี่ยนไป เพราะแทนที่จะนั่งหลับตาภาวนาเหมือนกับพระเกจิอาจารย ์อื่นๆ แต่ท่านกลับบูชาเพลิงพร้อมกันไปด้วย ไม่ว่าของสิ่งนั้นจะเป็นทรัพย์สินเงินทองมีค่าใดๆ ก็ถูกนำเอาไปโยนเข้ากองไฟเสียหมด ไม่มีการเสียดายด้วยประการใดทั้งสิ้น แม้ท่านจะเผาไปมากเท่าใด ก็มีผู้ศรัทธานำไปถวายให้เผามากยิ่งขึ้น

    สิ่งของที่ท่านนำไปบูชาเพลิงนั้น หากท่านผู้ใดต้องการจะขอ ท่านก็ยินดีให้ การกระทำของท่าน ประชาชนจึงนำไปวิพากษ์วิจารณ์กันทั่วกรุง บางคนก็มองในแง่อัศจรรย์ ซึ่งไม่เคยพบเห็น

    บางคนก็คิดว่าท่านวิกลจริต เพราะได้เห็นท่านมุ่งการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน โดยจะจุดธูปเทียนบูชาพระมีควันตลบอบอวนไปทั่วห้อง ทำให้บางคนคิดว่าไฟกำลังไหม้กุฏิของท่าน

    แต่เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ จะเห็นท่านนั่งสงบอยู่ที่หน้าบูชาพระในลักษณะของผู้ท ี่กำลังทำสมาธิ จึงจะเข้าใจว่าท่านเริ่มปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน โดยที่ตัวท่านเองไม่มีความกังวลใดๆ ทั้งสิ้น แต่จะยึดมั่นความสันโดษเป็นที่ตั้ง และท่านจะฉันอาหารเพียงมื้อเพลมื้อเดียวเท่านั้น

    สิ่งที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ ที่หน้าโต๊ะบูชาในกุฏิของท่านและบริเวณรอบๆ จะเต็มไปด้วยพระบรมรูปหล่อ และพระบรมรูปฉายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอย ู่หัว เป็นจำนวนมากมาย ทุกวันเมื่อฉันเพลเสร็จท่านจะเข้าห้องเพื่อทำสมาธินา นจนกระทั่งถึง 4 โมงเย็น หลังจากนั้นก็จะไปทำวัตรสวดมนต์เย็นในโบสถ์ เสร็จแล้วก็จะกลับเข้าห้องบำเพ็ญภาวนาทำสมาธิต่อไปจน เช้าของอีกวันหนึ่ง

    เมื่อท่านปฏิบัติเช่นนี้นานเข้า ได้มีผู้ที่เคารพไปหา ท่านมักจะกล่าวเสมอๆ ว่า “มหาชวนนั้นตายไปแล้ว อาตมาไม่ใช่มหาชวน”

    แต่ถ้าถามถึงอายุ ก็จะได้รับคำตอบว่า “อายุของอาตมานั้นไม่ทราบ แต่เวลานี้ 60 ปีเศษแล้ว” ทุกคนที่ได้ฟังต่างก็แปลกใจและตีความหมายไม่ออก จึงทำให้มีผู้เชื่อกันไปว่า หลวงพ่อโอกาสีมิใช่ตัวของมหาชวนโดยแท้จริง แต่เป็นวิญญาณของเทพเจ้าหรือผู้วิเศษองค์หนึ่งที่มาอ าศัยร่างของมหาชวนอยู่เท่านั้น

    ประมาณปีพ.ศ. 2484 หลวงพ่อโอภาสีได้ออกจากสำนักวัดบวรนิเวศวิหาร นัยว่าเสด็จพระอุปัชฌาย์ไม่ทรงโปรดการกระทำของท่าน และได้จาริกธุดงค์ไปยังจังหวัดต่างๆ จนพบกับองค์พจนสุนทร พระอาจารย์ที่เชี่ยวชาญในการค้นคว้าเรื่องวิญญาณ และได้รับคำแนะนำให้ไปอยู่ที่ ต.บางมด อ.บางขุนเทียนซึ่งมีศาลเจ้าอยู่ด้วย

    เมื่อเดินทางไปยังสถานที่ดังกล่าวก็เกิดความพอใจและไ ด้ปักกลดลงในที่ของนายเนียม คหบดี ซึ่งเป็นผู้ที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาคนหนึ่งในย่านนั้ น ในตอนกลางคืน ท่านได้ใช้ความสงบวิเวกในบริเวณสวนนี้ทำกิจของท่านด้ วยการนั่งหลับตาพนมมือเข้าสมาธิอยู่ใกล้กับกองไฟที่ท ่านสุมไว้อย่างสว่างไสว

    ต่อมาเจ้าของสวนและชาวบ้านละแวกนั้นได้เรียกชื่อท่าน ว่า “หลวงพ่อโอภาสี” และได้พร้อมใจกันสร้างกุฏิเล็กๆ ถวายเพื่อป้องกันแดดฝน แต่ท่านก็ไม่ได้สนใจมากนัก และก็ยังคงเคร่งครัดการสุมไฟไว้ตลอดทั้งคืนเช่นเดิม

    ในเวลาต่อมา การก่อไฟของหลวงพ่อได้กลายมาเป็นการเผาจตุปัจจัยสิ่ง ของต่างๆ ที่ประชาชนนำมาถวาย เป็นต้นว่า ธนบัตรนับจำนวนหมื่นๆ ผ้าที่ประชาชนนำมาทอดเครื่องอุปโภคบริโภค เครื่องกระป๋อง หรือแม้แต่เครื่องประดับต่างๆ ก็โยนเข้ากองเพลิงทั้งสิ้น

    เหล่าชาวบ้านที่รู้จุดประสงค์ของท่านก็ต่างนำน้ำมันก ๊าซไปถวายเพื่อใช้ในการเผาปัจจัยต่างๆ นั่นเอง ซึ่งหลวงพ่อเคยกล่าวว่า

    “โดยปกติ แสงไฟที่เผาผลาญสรรพสิ่งอื่นๆ จนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านไปนั้นก็จัดเป็นธาตุที่มีความร ้อนสูงอยู่แล้ว แต่ทว่าจิตใจของมนุษย์เรายังมีความร้อนยิ่งไปกว่า กล่าวคือ ร้อนด้วยความโลภ โกรธและหลง ไม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้น การที่อาตมานำเอาจตุปัจจัยไทยทานทั้งหลายที่มีผู้นำม าถวายมาเผาเสียเช่นนี้ ก็เพื่อเป็นพุทธบูชาขอให้ช่วยดับความร้อนในกายใจของม นุษย์ให้หมดไป หรือกล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ เผากิเลสทั้งหลายให้หมดไปนั่นเอง”

    หลวงพ่อโอภาสีมรณภาพไปเมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2498 เป็นเวลาเกือบ 60 ปีแล้ว แต่สังขารยังมิได้มีการเผา ยังคงอยู่ในสวนอาศรมบางมด มีพุทธศาสนิกชนผู้เคารพศรัทธาไปกราบไหว้บูชามิได้ขาด ประหนึ่งท่านยังมีชีวิตอยู่

    http://www.samathi.com/meditation/showthread.php?t=1086

    ธรรมะหลวงพ่อโอภาสี (พระมหาชวน มลิพันธ์)

    หลวงพ่อโอภาสี
    ( พระมหาชวน มลิพันธ์)
    สวนอาศรมบางมด
    เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร
    " ฉันน้อย ทำความเพียรมาก ขัดเกลากิเลสออกจากจิตใจ ไม่คำนึงถึงลาภสักการะยศฐานบรรดา ศักดิ์...ขอกำจัดพญามาร และเสนามารน้อยใหญ่ ที่คอยมารบเร้าจิตใจให้ราบคาบสิ้นไปเท่านั้น..."

    แหล่งที่มาบทความ : www.buddha-dhamma.com
     
  14. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ล็อกเก็ตหลวงพ่อโอภาสีครบ ๗ สี สร้างแจกกรรมการปีพ.ศ. ๒๔๙๕ ด้านหลังบรรจุพระธาตุ และสตางค์แดง สยามรัฐ...

    พระคาถาอยู่เย็น หลวงพ่อโอภาสี วัดสวนบางมด ธนบุรี
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->อิติสุคะโต อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ ปะฐะวีคงคา พระภุมมะเทวะ ขะมามิหัง

    ภาวนาอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง คือ เมื่อตื่นนอนเข้า และหลังสวดมนต์ก่อนนอน ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1010460.JPG
      P1010460.JPG
      ขนาดไฟล์:
      79.9 KB
      เปิดดู:
      69
    • P1010461.JPG
      P1010461.JPG
      ขนาดไฟล์:
      165.6 KB
      เปิดดู:
      68
    • P1010469.JPG
      P1010469.JPG
      ขนาดไฟล์:
      230.4 KB
      เปิดดู:
      71
    • P1010462.JPG
      P1010462.JPG
      ขนาดไฟล์:
      156.6 KB
      เปิดดู:
      67
    • P1010470.JPG
      P1010470.JPG
      ขนาดไฟล์:
      198 KB
      เปิดดู:
      68
    • P1010463.JPG
      P1010463.JPG
      ขนาดไฟล์:
      188.6 KB
      เปิดดู:
      72
    • P1010471.JPG
      P1010471.JPG
      ขนาดไฟล์:
      166.3 KB
      เปิดดู:
      73
    • P1010464.JPG
      P1010464.JPG
      ขนาดไฟล์:
      243.5 KB
      เปิดดู:
      74
    • P1010472.JPG
      P1010472.JPG
      ขนาดไฟล์:
      188.7 KB
      เปิดดู:
      67
    • P1010465.JPG
      P1010465.JPG
      ขนาดไฟล์:
      133.9 KB
      เปิดดู:
      67
    • P1010473.JPG
      P1010473.JPG
      ขนาดไฟล์:
      217.4 KB
      เปิดดู:
      75
    • P1010466.JPG
      P1010466.JPG
      ขนาดไฟล์:
      137.8 KB
      เปิดดู:
      67
    • P1010474.JPG
      P1010474.JPG
      ขนาดไฟล์:
      195.9 KB
      เปิดดู:
      72
    • P1010467.JPG
      P1010467.JPG
      ขนาดไฟล์:
      107.2 KB
      เปิดดู:
      70
    • P1010475.JPG
      P1010475.JPG
      ขนาดไฟล์:
      196.3 KB
      เปิดดู:
      68
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    คุณเพชรครับ

    ผมรบกวน ฝากดูให้ผมหน่อยว่า วันที่ผมขึ้นกระทู้นี้ เป็นฤกษ์อะไร มีอะไรที่เกี่ยวข้องบ้างครับ ขอบคุณมากครับ

    <TABLE class=tborder id=post167195 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">23-12-2005, 06:59 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#1</TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE class=tborder id=threadslist cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead colSpan=2></TD><TD class=thead width="100%">คะแนน ชื่อกระทู้ / ผู้ตั้งกระทู้ </TD><TD class=thead noWrap align=middle width=150>ข้อความล่าสุด [​IMG]</TD><TD class=thead noWrap align=middle>คำตอบ </TD><TD class=thead noWrap align=middle>เปิดอ่าน </TD></TR></TBODY><!-- show threads --><TBODY id=threadbits_forum_15><TR><TD class=alt1 id=td_threadstatusicon_22445 style="CURSOR: hand">[​IMG] </TD><TD class=alt2>[​IMG]</TD><TD class=alt1 id=td_threadtitle_22445 title="พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ถ้าต้องการที่จะได้......................<O[​IMG]</O:p<O:p</O:pแนะนำ พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้..... (4 คน กำลังดูอยู่) ([​IMG] 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 ... หน้าสุดท้าย)
    [​IMG] sithiphong



    </TD><TD class=alt2 title="จำนวนตอบ: 13,636, จำนวนอ่าน: 282,636">วันนี้ 07:07 PM
    โดย sithiphong [​IMG]



    </TD><TD class=alt1 align=middle>13,636</TD><TD class=alt2 align=middle>282,636</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ผมอยากจะรู้และลองวิเคราะห์ดูว่า ฤกษ์และดวงดาวตามตำราโหราศาสตร์ มีผลแค่ไหน ,ความเชื่อ ความศรัทธา มีผลแค่ไหน , สิ่งที่เราศรัทธาและมีความประสงค์ที่จะได้ไว้ มีผลแค่ไหน หรือมีสาเหตุอื่นๆที่เป็นองค์ประกอบด้วย

    คุณเพชร มีความเห็นอย่างไร ลองวิเคราะห์ให้หน่อยนะครับ ส่วนท่านอื่นๆ ลองแสดงความคิดเห็นกันด้วยครับ


    .
    ผมว่า งานนี้ไม่มีใครตอบแหง๋เลย

    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    อย่าลืมนะครับคุณเพชร (y) :love: (y)

    (ping-love
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอบคุณ คุณเพชร มากครับ

    อืม "จบกิจ" ก็จากกัน
    หรือ "วาระจบกิจ" ก็จากกัน

    ถ้าเรื่องของพระนิพพาน ก็ตัวใครตัวมัน
    แต่ถ้าเรื่องของการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ผมว่ายังคงมีต่อไปครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ไปงานบวชของพระเอ ที่โคราชครับ

    ตอนนี้พระเอ บวชเรียบร้อยแล้ว คงอยู่ที่โคราชไม่กี่วัน แล้วคงจะเดินทางไปอยู่กับพระอาจารย์รูปหนึ่งครับ

    และขอขอบคุณ คุณกุ้งมังกอน สำหรับกาแฟโบราณ(ไม่ใช่กาแฟปัจจุบัน คุณกุ้งมังกอนย้ำมา) ที่เลี้ยงผม ,น้องchaipat และผบทบ.ของน้องchaipat ครับ

    โมทนาบุญกับพระเอ และทุกๆท่านที่ได้ร่วมทำบุญและร่วมไปในงานครับ
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    กราบหลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน) ครับ

    กราบ กราบ กราบ กราบ กราบ

    .
     
  18. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,560
    ล็อกเก็ตหลวงพ่อโอภาสีครบ ๗ สี ใส่อัฐิท่านรึป่าวสครับ
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    การบริจาคเลือด , ดวงตา , อวัยวะ , ร่างกาย ให้สภากาชาดไทย

    http://palungjit.org/showthread.php?p=925842#post925842

    สธ. ชวนคนไทยบริจาคอวัยวะต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์

    http://www.matichon.co.th/news_detai...16928&catid=28


    นายแพทย์ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมมือกับศูนย์บริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย สืบสานพระปณิธานสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ องค์ประธานมูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย เชิญชวนคนไทยทำบุญครั้งใหญ่ในชีวิต ร่วมบริจาคอวัยวะภายหลังเสียชีวิต เพื่อช่วยผู้ป่วยที่อวัยวะล้มเหลวให้ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะทดแทน สามารถมีชีวิตอยู่ได้ โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ให้โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปในสังกัด 95 แห่งทั่วประเทศ เป็นศูนย์ประสานงานรับแจ้งการบริจาคอวัยวะจากประชาชนที่อยู่ในภาวะสมองตายแล้ว เชื่อมโยงกับศูนย์บริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการจัดสรรอวัยวะบริจาคให้ผู้ป่วยที่รอการผ่าตัด
    นายแพทย์ปราชญ์ กล่าวต่อว่า การปลูกถ่ายอวัยวะเป็นการรักษาขั้นสุดท้าย ช่วยชีวิตผู้ป่วยที่อวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ ปอด ตับ ตับอ่อน ไต ล้มเหลว เพื่อให้กลับมามีชีวิตใหม่เหมือนคนปกติ ซึ่งในร่างกายคนปกติที่สมบูรณ์เพียง 1 ร่าง อวัยวะภายในทั้งหัวใจ ตับ ตับอ่อน ปอด และไต สามารถนำไปปลูกถ่ายช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้ถึง 7 คน โดยเฉพาะผู้ป่วยโรค ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย นับว่าเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดที่ใช้วิธีฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมและล้างไตทางช่องท้อง เพื่อรอเปลี่ยนไตทดแทน ซึ่งขณะนี้ทั่วประเทศมีถึง 91,888 ราย ไตที่นำมาปลูกถ่าย นอกจากเป็นของญาติหรือคู่สมรสแล้ว ยังได้จาก ผู้บริจาคที่เสียชีวิตจากสมองตาย
    “ปัญหาสำคัญของประเทศไทยขณะนี้คือ ขาดแคลนอวัยวะที่จะใช้ปลูกถ่าย เนื่องจากมีผู้บริจาคอวัยวะจำนวนน้อย ส่วนหนึ่งเกิดจากความเชื่อ กลัวว่าเมื่อเกิดใหม่ในชาติหน้าจะมีอวัยวะไม่ครบ จึงต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจ โดยกระทรวงสาธารณสุขจะให้บุคลากรทางการแพทย์ เสนอทางเลือกแก่ญาติ เมื่อผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าสมองตายแล้ว ให้บริจาคอวัยวะที่ยังสมบูรณ์ ให้ผู้ป่วยที่รอความหวังปลูกถ่ายอวัยวะทดแทนเพื่อต่อชีวิต โดยเฉพาะผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เนื่องจากอวัยวะส่วนต่างๆ ยังมีความสมบูรณ์ หากบริจาคอวัยวะเพื่อนำไปปลูกถ่ายต่อชีวิตให้กับผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่รอรับการบริจาค ก็จะเป็นกุศลแก่ผู้เสียชีวิตอย่างยิ่ง” นายแพทย์ปราชญ์กล่าว
    นายแพทย์ปราชญ์ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้มีผู้ป่วยขึ้นทะเบียนรอรับบริจาคอวัยวะ 2,241 ราย มากที่สุดคือ ไต 2,014 ราย รองลงมาเป็น ตับ 162 ราย หัวใจ-ปอด 28 ราย หัวใจ 17 ราย ปอด 8 ราย ไต-ตับและไต-ตับอ่อน อย่างละ 6 ราย ระหว่าง 1 มิถุนายน 2549-31 ธันวาคม 2550 ที่ผ่านมา มีผู้บริจาคอวัยวะที่อยู่ในภาวะสมองตายแล้วเพียง 140 รายเท่านั้น สามารถนำอวัยวะไปทดแทนในผู้ป่วยได้ 621 อวัยวะดังนี้ ไต 246 ราย ตับ 44 ราย หัวใจ 8 ราย หัวใจ-ปอด 1 ราย ไต-ตับ 2 ราย ไต-ตับอ่อน 1 ราย ลิ้นหัวใจ 168 ลิ้น ดวงตา 150 ดวง กระดูก 1 ราย เฉลี่ยผู้บริจาคอวัยวะ 1 ราย สามารถนำอวัยวะไปใช้ได้ 4.4 อวัยวะ ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขมีแผนพัฒนาโรงพยาบาลราชวิถี ให้เป็นศูนย์เชี่ยวชาญด้านการปลูกถ่ายอวัยวะ สามารถทำการปลูกถ่ายไต ตับ หัวใจและปอดได้ ขณะนี้มีโรงพยาบาลในสังกัดที่อยู่ในภูมิภาค ที่สามารถผ่าตัด ปลูกถ่ายไตได้แล้ว 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลชลบุรี โรงพยาบาลพุทธชินราช จ.พิษณุโลก โรงพยาบาลระยอง และโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    เมื่อกี้ดู สะเก็ดข่าว ในข่าวบอกว่า มีการจับปลาปั๊กเป้าได้ 3 ตัน เนื้อปลาปั๊กเป้า ทนความร้อนได้ไม่น้อยกว่า 200 องศาเซลเซียล

    ไม่น้อยเลยจริงๆ เวลาที่จะทานปลา ต้องดูด้วยนะครับว่าเป็นปลาอะไร เกิดเป็นเนื้อปลาปั๊กเป้า จะยุ่งนะครับ

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...