พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    เดี๋ยวโหลกันบานนะครับท่านพี่

    ถ้าพี่หนุ่มลงชุดใหม่นี่ มีหวัง Web อืดแน่นขนัดแน่

    ทำไมเขาไม่กลัวกันน้า ผมละกลัวๆ ครับ

    สาธุครับ
     
  2. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ลบออกไปแล้ว
     
  3. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    หนังสือผมก็ซื้อมาอ่านเหมือนกันครับ ก็อ่านไปสนุกดี จะได้มีความรู้(ที่เขาว่า) มาพิจารณากันครับ ก็เช่นกันครับ เวลาเราค้นคว้าอ่านอะไร ต้องพิจารณาให้มากๆครับ จริงๆแล้วการอ่านหนังสือถ้าอ่านโดยไม่คิดก็เหมือนไม่ได้อ่านอะไรครับ เสียเวลาเปล่าๆครับ
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    เรื่องแรก เรื่องของคำถามนำ คงต้องไปคุยกันในช่องพิเศษ น่าจะดีกว่า เชิญทั้งคุณnongnooo ,น้องchaipat ,น้องเอ ,คุณตั้งจิต และท่านอื่นๆที่จะเข้าไปคุยกันครับ

    ส่วนเรื่องที่สอง บางสิ่ง บางเรื่อง คงต้องรู้กันภายในกลุ่มเท่านั้น มีบางสิ่ง บางเรื่อง ที่ทางคณะผมได้เรียนรู้และตกตลึงในความพิเศษ ความมหัศจรรย์ ถึงภูมิปัญญาคนสมัยโบราณว่า เก่งมากๆ คนในสมัยนี้ มีความเจริญในเรื่องของวัตถุ แต่ในทางจิตใจนั้น สู้คนโบราณไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

    อีกประเด็นก็คือ การกระทำของคนโบราณ เป็นการกระทำที่ออกมาจากจิตใจ ทุ่มเท และมุ่งมั่นอย่างที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับตัวผมแล้ว ผมยังไม่ได้เศษเสี้ยวของคนโบราณ ที่เป็นบรรพบุรุธของเราได้เลยครับ

    อีกประเด็นก็คือ องค์ความรู้ของคนโบราณ เรื่องของพระพิมพ์และวัตถุมงคล ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง(รวมทั้งการคัดเลือกมวลสาร) ,การนำเข้าพิธีพุทธาภิเษก ,องค์ผู้อธิษฐานจิต ฯลฯ มีความรู้อันยอดเยี่ยมมากๆๆๆๆๆ

    ส่วนประเด็นอื่นๆ คงไม่แจ้งให้ทราบนะครับ เพราะว่ายังมีอีกมากมายครับ

    ผมมาแยกประเด็นให้กับท่านที่เข้ามาอ่าน จะได้ไม่งงงงงงงเหมือนน้องchaipat ครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ไม่เป็นไรน้องรัก ไว้ไปคุยกันตามที่นัดพบกันประจำทุกๆเดือนก็ได้

    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: [​IMG]
    ภาพระฆังโบราณ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ chaipat [​IMG]
    เดี๋ยวโหลกันบานนะครับท่านพี่

    ถ้าพี่หนุ่มลงชุดใหม่นี่ มีหวัง Web อืดแน่นขนัดแน่

    ทำไมเขาไม่กลัวกันน้า ผมละกลัวๆ ครับ

    สาธุครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เรื่องรูปภาพนั้น คงไม่ทัน น่าจะโหลดกันไปแล้ว

    แต่ว่า ระวังจะเหมือนเคสเดิม คือนำรูปจากเว็บอื่นมาลง แล้วโหลดกันไปเพียบเลย เพราะว่า หลายๆรูปแม้แต่พระพิมพ์ที่นำมาลง ก็นำจากเว็บอื่นๆมาลง ไม่ใช่ว่า เป็นพระวังหน้าฯ หรือวัตถุมงคลของวังหน้า ยกเว้นไว้แต่พระพิมพ์ที่นำมามอบให้กับท่านที่ร่วมทำบุญ นะครับ

    อย่างที่เคยบอกแล้วว่า ผมและคุณเพชร จะไม่นำรูปที่เกี่ยวกับพระวังหน้าและวัตถุมงคลของวังหน้าหรือกรุวัดพระแก้ว มาลงในกระทู้นี้อีก

    ผมจึงขอแจ้งให้ทราบกันอีกครั้ง เกรงว่าจะเข้าใจผิดกัน เข้าใจคนละเรื่องเดียวกันครับ

    โมทนาสาธุครับ
    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ระวังตัวนะครับ

    เดี๋ยวจะถูกยัดข้อหา "หน้าม้า" เหมือนคุณตั้งจิต

    ฮี้ ฮี้ ฮี้ เอ้ย คิคิคิ

    .
     
  7. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    ถึงว่า นั่งๆกินไก่อยู่จู่ๆ ทำไมนึกอยากกินหญ้าฉงนใจตัวเองนัก อ๋อ..ที่แท้มีคนจะมาเป็นม้าด้วยกันฮี้ๆๆๆๆ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มิลินทปัญหา

    http://ecurriculum.mv.ac.th/ebhuddismmusiem/religion/dhammathai/milin10.php.htm

    <TABLE cellSpacing=1 width=500 align=center border=0><TBODY><TR><TD height=22>- ตอนที่ ๑๐ -

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <TABLE width=550 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>[​IMG] มิลินทปัญหา วรรคที่ ๖
    [​IMG] ปัญหาที่ ๑ ถามถึงความรักร่างกายแห่งบรรพชิต
    พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2008
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  10. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ผมยังอ่านไม่จบนะครับ เอาเท่าที่จำได้ เล่าให้ฟัง มีพระสมเด็จยุคต้น ยุคกลาง ยุคปลาย อันนี้ผมอ่านแล้วก็เห็นด้วยครับ ส่วนการอธิบายเนื้อหา มวลสารต่างๆว่ามาจากปูนเปลือกหอยอะไรนี่ก็ ไม่ค่อยมีน้ำหนักครับ อ่านแล้วงงๆ อีกเรื่องพระที่ติดเพชรพลอยจะมาเป็นยุคกลาง ก็งงอีกเหมือนกัน(จริงๆไม่งงหรอกครับ)ก็เล่าให้ฟังเล่นๆกันครับ อ่านหนังสือดีครับแต่ต้องคิดดีๆครับ รวมทั้งไม่จำเป็นต้องเชื่อผมด้วยนะครับ(สำนวนเหมือนท่านปา-ทานเลย)
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.kananurak.com/mcontents/marticle.php?headtitle=mcontents&id=89363&Ntype=1

    หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด วัดช้างให้

    "เรื่อง หลวงพ่อทวด" (ตอนที่ ๒ ตอนจบ)



    กาลนานมาปีหนึ่ง ในพระมหานครศรีอยุทธยาเกิดโรคระบาดขึ้นร้ายแรงเช่นอหิวาตกโรค ประชาราษฎรล้มป่วยเจ็บตายลงเป็นอันมาก ประชาชนพลเมืองเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่งนัก สมัยนั้นหยูกยาก็ไม่มี นิยมใช้รักษาป้องกันด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย พระเจ้าอยู่หัวทรงพระวิตกกังวลมาก เพราะไม่มีวิธีใดจะช่วยรักษาและป้องกันโรคนี้ได้ และทรงระลึกถึงพระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์ขึ้นได้ จึงตรัสสั่งให้ศรีธนญชัยไปนิมนต์ท่านเข้ามาเฝ้า ทรงปรารภในเรื่องทุกข์ร้อนของพลเมืองที่ได้รับทุกข์ยุคเข็ญด้วยโรคระบาดอยู่ขณะนี้ ท่านจึงทำพิธีปลุกเสกน้ำพระพุทธมนต์แล้วนำไปประพรมให้แก่ประชาชนทั่วพระนคร ปรากฏว่าโรคระบาดได้ทุเลาเหือดหายไปในไม่ช้า ประชาชนได้รับความร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา ในหลวงทรงพระปรีดาปราโมทย์เป็นอันมาก ทรงเคารพเลื่อมใสในองค์ท่านอย่างยิ่ง วันหนึ่งได้ทรงตรัสปรารภกับท่านว่า ต่อไปนี้หากพระคุณเจ้ามีความปรารถนาสิ่งอันใด ขอนิมนต์แจ้งให้ทราบความปรารถนานั้นๆ จะทรงพระราชทานถวาย ขอพระคุณเจ้าอย่าได้เกรงพระทัยเลย


    การล่วงมานานประมาณว่า พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์มีวัยชราแล้ว วันหนึ่งท่านได้เข้าเฝ้าถวายพระพรทูลลาจะกลับภูมิลำเนาเดิม พระองค์ทรงเกรงใจท่าน ไม่กล้านิมนต์ขอร้องแต่อย่างใด ได้พระราชทานอนุญาตตามความปรารถนาของท่าน

    เมื่อพระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์กลับภูมิลำเนาเดิมแล้ว ครั้งนั้นปรากฏมีหลักฐานว่าไว้ว่า ท่านเดินกลับทางบกธุดงค์โปรดสัตว์เรื่อยมาเป็นเวลาช้านาน จึงถึงวัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะ ตามแนวทางที่ท่านเดินและพักแรมที่ใด ต่อมาภายหลังสถานที่ท่านพักแรมนั้นเกิดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนในถิ่นนั้นได้ทำการเคารพบูชามาถึงบัดนี้ คือ ปรากฏว่าขณะที่ท่านพักแรมอยู่ที่บ้านโกฏิในอำเภอปากพนัง เมื่อท่านเดินทางจากไปแล้ว ภายหลังประชาชนยังมีความเคารพเลื่อมใสท่านอยู่มาก จึงได้ชักชวนกันขุดดินพูนขึ้นเป็นเนิน ตรงกับที่ท่านพักแรมไว้เป็นที่ระลึก รอบๆ เนินดินนั้นจึงเป็นคูน้ำล้อมรอบเนิน และสถานที่แห่งนี้ต่อมาก็เกิดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จนถึงบัดนี้

    เมื่อท่านเดินทางมาถึงหัวลำภูใหญ่ในอำเภอหัวไทรในเวลานี้ เป็นสถานที่มีหาดทรายขาวสะอาด ต้นลำภูแผ่กิ่งก้านสาขาร่มรื่นเย็นสบาย ท่านจึงพักแรมอาศัยใต้ต้นลำภูนั้น ทำสมาธิวิปัสสนา ประชาชนในถิ่นนั้นได้พร้อมใจกันมากราบไหว้บูชา และฟังท่านแสดงธรรมอันเป็นหลักควรปฏิบัติของพระพุทธศาสนา ต่อมาประชาชนเพิ่มความเลื่อมใสศรัทธาแรงกล้า จึงพร้อมใจกันสร้างศาลาถวายขึ้นหลังหนึ่ง และท่านได้จากสถานที่นี้ไปแล้ว ต่อมาภายหลังไม่นานศาลาหลังนี้เกิดเป็นศาลาศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนชาวบ้านถิ่นนั้นและถิ่นใกล้เคียงจึงชักชวนกันมาทำพิธีสมโภชศาลาศักดิ์สิทธิ์หลังนั้นเป็นการระลึกถึงท่าน ถือเอาวันพฤหัสบดีเป็นวันพิธี ชักชวนกันทำขนมโคมาบวงสรวงสมโภชทุกๆ วันพฤหัสฯ เป็นประจำจนเป็นประเพณีมาจนกระทั่งบัดนี้

    เมื่อท่านจากหัวลำภูใหญ่ เดินทางมาถึงบางค้อน ท่านได้หยุดพักแรมพอหายเมื่อยล้า แล้วก็เดินทางต่อไปจนถึงวัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะ หลังจากที่ท่านจากไปแล้วสถานที่บางค้อนก็เกิดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ปรากฏมาจนบัดนี้

    พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์ หรือพระภิกษุปู่กลับถึงวัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะครั้งนี้ ประชาชนชื่นชมยินดีแซ่ซ้องสาธุการต้อนรับท่านเป็นการใหญ่ ประชาชนได้พร้อมกันขนานนามท่านขึ้นใหม่เรียกกันว่า "สมเด็จเจ้าพะโคะ" ตั้งแต่นั้นมาจนบัดนี้ ต่อมาวัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะ อันเป็นชื่อเดิมก็ถูกเรียกย่อๆ เสียใหม่ว่า "วัดพะโคะ" จนบัดนี้


    ตามตำนานกล่าวไว้ว่า วัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะ นี้ มีพระอรหันต์ ๓ องค์ เป็นผู้สร้างขึ้น คือ
    ๑. พระนาไรมุ้ย


    ๒. พระมหาอโนมทัสสี


    ๓. พระธรรมกาวา

    ต่อมาพระมหาอโนมทัสสี ได้เดินทางไปประเทศอินเดีย อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุพระบรมศาสดากลับมา พระยาธรรมรังคัล เจ้าเมืองจะทิ้งพระในสมัยนั้นมีความเลื่อมใสศรัทธา จัดการก่อสร้างพระเจดีย์องค์ใหญ่สูงถึง ๒๐ วา ขึ้นถวายแล้วทำพิธีสมโภชบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ภายในเจดีย์องค์นั้น และคงมีปรากฏอยู่จนบัดนี้

    ขณะที่สมเด็จเจ้าพะโคะ หรือพระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์ ได้หยุดพักผ่อนนานพอสมควร ท่านได้ตรวจดูเห็นปูชนียสถานและกุฏิวิหารเก่าแก่ได้ชำรุดทรุดโทรมลงไปมาก ควรจะบูรณะซ่อมแซมเสียใหม่ ดังนั้นท่านจึงได้เดินทางเข้าไปยังกรุงศรีอยุธยา เข้าเฝ้าสมเด็จพระมหาธรรมราชาอีกวาระหนึ่ง (ในตำนานมิได้กล่าวไว้ว่าท่านไปทางบกหรือไปทางน้ำ) เมื่อได้สนทนาถามสุขทุกข์กันแล้ว ท่านก็ทูลถวายพระพรพระองค์ ตามความปรารถนาที่จะบูรณะและปฏิสังขรณ์วัดให้พระองค์ทรงทราบ ครั้นได้ทรงทราบจุดประสงค์ ก็ทรงศรัทธาเลื่อมใสร่วมอนุโมทนาด้วย จึงตรัสสั่งให้พระเอกาทศรถ พระเจ้าลูกยาเธอ จัดการเบิกเงินในท้องพระคลังหลวงมอบถวาย และจัดหาศิลาแลงบรรทุกเรือสำเภา ๗ ลำ พร้อมด้วยนายช่างหลวงหลายนาย มอบหมายให้ท่านนำกลับไปดำเนินงานตามความปรารถนา ปรากฏว่าท่านได้ทำการบูรณะซ่อมแซมและปลูกสร้าง (วัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะ) อยู่หลายปีจึงสำเร็จบริบูรณ์


    สมเด็จเจ้าพะโคะ เข้าไปเฝ้าพระมหาธรรมราชายังกรุงศรีอยุทธยาครั้งนี้ ปรากฏว่าพระองค์ทรงเลื่อมใสเคารพต่อท่านเป็นยิ่งนัก ได้ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานที่ดินนาถวายแก่ท่านเป็นกัลปนา ขึ้นแก่วัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะ จำนวน ๙๐ ฟ้อน พร้อมด้วยประชาราษฎรที่อาศัยอยู่ในเขตที่ดินนั้น มีอาณาเขตติดต่อ โดยถือเอาวัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะเป็นศูนย์กลาง ดังนี้
    ๑. ทางทิศเหนือ ตั้งแต่แหลมชุมพุกเข้ามา


    ๒. ทางทิศใต้ ตั้งแต่แหลมสนเข้ามา


    ๓. ทางทิศตะวันออก จดทะเลจีนเข้ามา


    ๔. ทางทิศตะวันตก จดทะเลสาปเข้ามา


    ขณะที่สมเด็จเจ้าพะโคะ กลับจากกรุงศรีอยุทธยา ได้ประจำพรรษาอยู่ ณ วัดพะโคะ ครั้งนี้คาดคะเนว่าท่านมีอายุกาลถึง ๘๐ ปีเศษ อยู่มาวันหนึ่งท่านถือไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ประจำตัว ไม้เท้านี้มีลักษณะคดไปมาเป็น ๓ คด ชาวบ้านเรียกว่าไม้เท้า ๓ คด ท่านออกจากวัดมุ่งหน้าเดินไปยังชายฝั่งทะเลจีน และขณะที่ท่านเดินเล่นรับอากาศทะเลอยู่นั้น ได้มีเรือโจรสลัดจีนแล่นเรียบชายฝั่งมา พวกโจรสลัดจีนเห็นสมเด็จเดินอยู่ คิดเห็นว่าเป็นคนประหลาดเพราะท่านครองสมณเพศ พวกโจรจึงแวะเรือเข้าขึ้นฝั่งนำเอาท่านลงเรือไป เมื่อเรือโจรจีนออกจากฝั่งไม่นาน เหตุมหัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น คือเรือลำนั้นจะแล่นต่อไปไม่ได้ ต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่ พวกโจรจีนได้พยายามแก้ไขจนหมดความสามารถ เรือก็ยังไม่เคลื่อน จึงได้จอดเรือนิ่งอยู่ ณ ที่นั้นเป็นเวลาหลายวันหลายคืน ที่สุดน้ำจืดที่ลำเรียงมาบริโภคในเรือก็ได้หมดสิ้น จึงขาดน้ำจืดดื่มและหุงต้มอาหาร พากันเดือดร้อนกระวนกระวายด้วยการกระหายน้ำเป็นอย่างยิ่ง สมเด็จท่านสังเกตเห็นเหตุการณ์ ความเดือดร้อนของพวกเรือถึงขั้นที่สุดแล้ว ท่านจึงเหยียบกาบเรือให้ตะแคงต่ำลงแล้วยื่นเท้าเหยียบลงบนผิวน้ำทะเล ทั้งนี้ย่อมไม่พ้นความสังเกตของพวกจีนไป เมื่อท่านยกเท้าขึ้นจากพื้นน้ำทะเลแล้ว ก็สั่งให้พวกโจรจีนตักน้ำตรงนั้นมาดื่มชิมดู พวกจีนแม้จะไม่เชื่อก็จำเป็นต้องลอง เพราะไม่มีทางใดจะช่วยตัวเองได้แล้ว แต่ได้ปรากฏว่าน้ำทะเลเค็มจัดที่ตรงนั้นแปรสภาพเป็นน้ำจืด เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก พวกโจรสลัดจีนได้เห็นประจักษ์ในคุณอภินิหารของท่านเช่นนั้น ก็พากันหวาดเกรงภัยที่จะเกิดแก่พวกเขาต่อไป จึงได้พากันกราบไหว้ขอขมาโทษ แล้วนำท่านล่องเรือส่งกลับขึ้นฝั่งต่อไป

    เมื่อสมเด็จเจ้าพะโคะขึ้นจากเรือเดินกลับวัด ถึงที่แห่งหนึ่ง ท่านหยุดพักเหนื่อย ได้เอาไม้เท้า ๓ คดพิงไว้กับต้นยางสองต้นอันยืนต้นคู่เคียงกัน ต่อมาต้นยางสองต้นนั้นสูงใหญ่ขึ้น ลำต้นและกิ่งก้านสาขาเปลี่ยนสภาพจากเดิมกลับคดๆ งอๆ แบบเดียวกับรูปไม้เท้าทั้งสองต้น ประชาชนในถิ่นนั้นเรียกว่า ต้นยางไม้เท้า ยังมีปรากฏอยู่ถึงเวลานี้

    สมเด็จเจ้าพะโคะ หรือพระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์ ครองสมณเพศประจำพรรษาอยู่วัดพะโคะ เป็นที่พึ่งของประชาราษฏร์มีความร่มเย็นเป็นสุข ได้ช่วยการเจ็บไข้ได้ทุกข์ บำรุงสุข เทศนาสั่งสอนธรรมของพระพุทธองค์ ประดุจร่มโพธิ์ร่มไทรของปวงพุทธศาสนิกชนได้ตลอดมา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2008
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    ตอนนี้ได้รับความกรุณาจากพระอุปัชฌาย์ดำ ดิสฺสโร สำนักวัดศิลาลอย อำเภอจะทิ้งพระ เป็นผู้เล่าตามนิยายต่อกันมา โดยท่านพระครูวิริยานุรักษ์ วัดตานีนรสโมสร บันทึกมาให้ผู้เขียน ความดังต่อไปนี้

    ในสมัยสมเด็จเจ้าพะโคะ พำนักอยู่วัดพะโคะครั้งนั้น ยังมีสามเณรน้อยรูปหนึ่ง เข้าใจว่าคงอาศัยอยู่วัดใดวัดหนึ่งในท้องที่อำเภอหาดใหญ่เวลานี้ สามเณรรูปนี้ได้บวชมาแต่อายุน้อยๆ ได้ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดมีความขยันหมั่นเพียร ก่อแต่การกุศลในพระพุทธศาสนา และตั้งจิตอธิษฐานจะขอพบพระศรีอริยะอย่างแรงกล้า อยู่มาคืนวันหนึ่งมีคนแก่ถือดอกไม้เดินเข้ามาหา แล้วประเคนดอกไม้ส่งให้แล้วบอกว่า นี่เป็นดอกไม้ทิพย์ไม่รู้จักร่วงโรย พร้อมกับกล่าวว่า พระศรีอริยะโพธิสัตว์นั้น ขณะนี้ได้จุติลงมาเกิดในเมืองมนุษย์เพื่อโปรดสัตว์ในพระพุทธศาสนา สามเณรเจ้าจงถือดอกไม้ทิพย์นี้ออกค้นหาเถิด หากผู้ใดรู้จักกำเนิดของดอกไม้นี้แล้ว ผู้นั้นแหละเป็นองค์พระศรีอริยะที่จุติมา เจ้าจงพยายามเที่ยวค้นหาคงจะพบ เมื่อกล่าวจบแล้วคนแก่นั้นก็อันตรธานหายไปทันที

    สามเณรน้อยมีความปิติยินดีเป็นยิ่งนัก วันรุ่งเช้าจึงเข้ากราบลาสมภารเจ้าอาวาส ถือดอกไม้ทิพย์เดินออกจากวัดไป สามเณรเดินทางตรากตรำลำบากไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ก็ไม่มีใครทักถามถึงดอกไม้ทิพย์ที่ตนถืออยู่นั้นเลย แต่สามเณรก็พยายามอดทนต่อความเหนื่อยยาก ต้องตากแดดกรำฝนไปเป็นเวลาช้านาน

    วันหนึ่งต่อมา สามเณรน้อยเดินทางเข้าเขตวัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะ ในเวลาใกล้จะมืดค่ำเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ พระจันทร์เต็มดวงส่องรัศมีจ้าไปทั่วท้องฟ้า และเป็นวันที่พระภิกษุสงฆ์ลงทำสังฆกรรมในโบสถ์ สามเณรถือดอกไม้ทิพย์ เดินเข้าไปยืนอยู่ริมประตูโบสถ์ รอคอยพระสงฆ์ที่จะมาลงอุโบสถ พอถึงเวลา พระภิกษุทั้งหลายก็เดินทะยอยกันเข้าโบสถ์ ผ่านหน้าสามเณรไปจนหมด ไม่มีพระภิกษุองค์ใดทักถามสามเณรเลย

    เมื่อพระสงฆ์เข้านั่งที่ในโบสถ์เรียบร้อยแล้ว สามเณรจึงเดินเข้าไปนมัสการถามพระสงฆ์เหล่านั้นว่า วันนี้พระมาลงอุโบสถหมดทุกองค์แล้วหรือ พระภิกษุตอบว่ายังมีสมเด็จอยู่อีกองค์วันนี้ไม่มาลงอุโบสถ สามเณรทราบดังนั้น ก็กราบลาพระสงฆ์เหล่านั้น เดินออกจากโบสถ์มุ่งตรงไปยังกุฏิของสมเด็จเจ้าฯ ทันที ครั้นถึง สามเณรก็คลานเข้าไปใกล้ก้มกราบนมัสการท่านอยู่ตรงหน้าสมเด็จเจ้าฯ ได้ประสพดอกไม้ในมือของสามเณรถืออยู่ จึงถามว่า สามเณร นั่นดอกมณฑาทิพย์ เป็นดอกไม้เมืองสวรรค์ ผู้ใดให้เจ้ามา สามเณรรู้แจ้งใจตามที่นิมิต จึงคลานเข้าไปใกล้ก้มลงกราบที่ฝ่าเท้า แล้วประเคนถวายดอกไม้ทิพย์นั้นแก่สมเด็จฯ ทันที เมื่อสมเด็จเจ้าฯ รับประเคนดอกไม้ทิพย์จากสามเณรน้อยแล้ว ท่านได้สงบอารมณ์อยู่ชั่วครู่ มิได้พูดจาประการใด แล้วลุกขึ้นเรียกสามเณรเดินตรงเข้าในกุฏิปิดประตูลงกลอน และเงียบหายไปในคืนนั้น มิได้ร่องรอยแต่อย่างใดเหลือไว้ให้พิสูจน์ จนเวลาล่วงเลยมาถึงบัดนี้ ประมาณสามร้อยปีแล้ว

    การหายตัวไปของสมเด็จเจ้าพะโคะครั้งนั้น ประชาชนเล่าลือกันว่า ท่านได้สำเร็จสู่สวรรค์ไปเสียแล้ว ด้วยอำนาจบุญบารมีอภินิหารท่านแรงกล้า ตามที่กล่าวเล่าลือกันเช่นนั้น เพราะมีเหตุอัศจรรย์ปรากฏขึ้นในคืนนั้นว่า บนอากาศบริเวณวัดพะโคะ ได้มีดวงไฟโตขนาดเท่าดวงไต้ ส่องรัศมีสีต่างๆ เป็นปริมณฑล ดังพระจันทร์ทรงกลดลอยวนเวียนรอบบริเวณวัดพะโคะ ส่องรัศมีสว่างจ้าไปทั่วบริเวณวัด เมื่อดวงไฟดวงนั้นลอยวนเวียนอยู่ครบสามรอบแล้ว ลอยเคลื่อนไปทางทิศอาคเนย์ เงียบหายมาจนกระทั่งบัดนี้

    วันรุ่งเช้าประชาชนมาร่วมประชุมกันที่วัด และต่างคนต่างก็เข้าใจว่าสมเด็จเจ้าฯ ท่านสำเร็จสู่สวรรค์ไป จึงได้พากันพนมมือขึ้นเหนือศีรษะพร้อมกับเปล่งเสียงว่า สมเด็จเจ้าพะโคะโล่ไปเสียแล้วเจ้าข้าเอย

    เมื่อสมเด็จเจ้าพะโคะโล่หายไปจากวัดพะโคะครั้งนั้น สมเด็จเจ้าฯ ท่านได้ทิ้งของสำคัญไว้ให้เป็นที่สักการะบูชาของประชาชนตลอดมาคือ

    ๑. ดวงแก้วที่พระยางูใหญ่ให้ ครั้งเป็นทารกอยู่ในเปล ๑ ดวง และสมภารทุกๆ องค์ของวัดพะโคะได้เก็บรักษาไว้จนถึงบัดนี้ ปรากฏว่าแก้วดวงนี้ไม่มีใครกล้านำออกจากบริเวณวัดพะโคะ เพราะเกรงจะเกิดภัย



    ๒. ก่อนที่สมเด็จเจ้าฯ จะโล่หายไป ปรากฏว่าท่านได้ขึ้นไปทำสมาธิอยู่บนชะง่อนผาบนภูเขาบาท ได้เอาเท้าซ้ายเหยียบลงบนลาดผาลึกเป็นรอยเท้า เป็นที่สักการะบูชาของประชาชนมาจนกระทั่งบัดนี้ (ท่านพระครูวิสัยโสภณ วัดช้างให้ ได้ไปนมัสการมาแล้ว)




    <HR id=null>

    นิยายเรื่องนี้ได้รับความกรุณาจาก ท่านพระครูวิสัยโสภณ (ท่านอาจารย์ทิม ธมฺมธโร) เจ้าอาวาสวัดราษฎรบูรณะ (วัดช้างให้) ข้าพเจ้าบันทึกเรียบเรียงและเพิ่มเติมตามที่ได้สืบทราบมาดังต่อไปนี้

    สมัยที่สมเด็จเจ้าพะโคะ โล่หายไปจากวัดพะโคะ ตำบลชุมพล อำเภอจะทิ้งพระ จังหวัดสงขลา ครั้งนั้นได้มีพระภิกษุชรารูปหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่เมืองรัฐไทรบุรีเวลานี้ พระภิกษุรูปนี้เป็นปราชญ์ทางธรรม และเชี่ยวชาญทางอิทธิอภินิหารเป็นยอดเยี่ยม ชาวเมืองไทรบุรีมีความเคารพเลื่อมใสมาก ซึ่งสมัยนั้นคนมะลายูในเมืองไทรบุรีนับถือศาสนาพุทธ ต่อมาท่านก็ได้เป็นสมภารเจ้าวัดแห่งหนึ่งในเมืองนั้น

    มีเรื่องชวนคิดอยู่ว่า พระภิกษุชรารูปนี้ไม่มีประชาชนคนใดจะทราบได้ว่า ท่านชื่ออย่างไร ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครซักถาม จึงพากันขนานนามเรียกกันว่า "ท่านลังกา องค์ท่านดำ" ท่านปกครองวัดด้วนอำนาจธรรมและอภินิหารอย่างยอดเยี่ยม เป็นที่พึ่งทางธรรมปฏิบัติและการเจ็บไข้ได้ทุกข์ของประชาชน ด้วยเมตตาธรรม ประชาชนเพิ่มความเคารพเลื่อมใสท่านตลอดถึงพระยาแก้มดำ เจ้าเมืองไทรบุรีสมัยนั้น และท่านมีความสุขตลอดมา (ท่านลังกาองค์นี้จะเป็นสมเด็จเจ้าพะโคะใช่หรือไม่ ขอให้อ่านต่อไป)

    เมื่อข้าพเจ้าผู้เขียนยังหนุ่มๆ หรือประมาณ ๔๕ ปีมาแล้ว ได้อ่านหนังสือตำนานเมืองปัตตานี ซึ่งรวบรวมโดยคุณพระศรีบุรีรัฐ (สิทธิ์ ณ สงขลา) นายอำเภอชั้นลายครามของอำเภอยะรัง เรียบเรียง มีข้อความตอนหนึ่งว่า สมัยนั้นพระยาแก้มดำ เจ้าเมืองไทรบุรี ปรารถนาจะหาที่ชัยภูมิดีสร้างเมืองให้เจ๊ะสิตี น้องสาวครอบครอง เมื่อโหรหาฤกษ์ยามดีได้เวลา ท่านเจ้าเมืองก็เสี่ยงสัตย์อธิษฐานปล่อยช้างตัวสำคัญคู่บ้านคู่เมืองออกเดินป่า หรือเรียกว่าช้างอุปการ เพื่อหาที่ชัยภูมิดีสร้างเมือง ท่านเจ้าเมืองก็ยกพลบริวารเดินตามหลังช้างนั้นไปเป็นเวลาหลายวัน วันหนึ่งช้างได้เดินไปหยุดอยู่ ณ ที่ป่าแห่งหนึ่ง (ที่วัดช้างให้เวลานี้) แล้วเดินวนเวียนร้องขึ้น ๓ ครั้ง พระยาแก้มดำถือเป็นนิมิตที่ดีจะสร้างเมือง ณ ที่ตรงนี้ แต่น้องสาวตรวจดูแล้วไม่ชอบ พี่ชายก็อธิษฐานให้ช้างดำเนินหาที่ใหม่ต่อไป ได้เดินทางรอนแรมอีกหลายวัน เวลาตกเย็นวันหนึ่งก็หยุดพักพลบริวาร ทางน้องสาวถือโอกาสออกจากที่พักเดินเล่น บังเอิญขณะนั้นมีกระจงสีขาวผ่องตัวหนึ่ง วิ่งผ่านหน้านางไป นางอยากจะได้กระจงขาวตัวนั้น จึงชวนพวกพี่เลี้ยงวิ่งไล่ล้อมจับกระจงตัวนั้น ได้วิ่งวกไปเวียนมาบนเนินทรายอันขาวสะอาดริมทะเล (ที่ตำบลกิเซะเวลานี้) ทันใดนั้นกระจงก็ได้อันตรธานหายไป นางเจ๊ะสิตีรู้สึกชอบตรงที่นี้มาก จึงขอให้พี่ชายสร้างเมืองให้

    เมื่อพระยาแก้มดำปลูกสร้างเมืองให้น้องสาว และมอบพลบริวารให้ไว้พอสมควรเรียบร้อยแล้ว ก็ให้ชื่อเมืองนี้ว่า เมืองปะตานี (ปัตตานี) ขณะนั้นพระยาแก้มดำเดินทางกลับมาถึงภูมิประเทศที่ช้างบอกให้ครั้งแรก ก็รู้สึกเสียดายสถานที่ จึงตกลงใจหยุดพักแรมทำการแผ้วถางป่า และปลูกสร้างขึ้นเป็นวัดให้ชื่อว่า วัดช้างให้ มาจนบัดนี้ ต่อมาพระยาแก้มดำ ก็ได้มอบถวายวัดช้างให้แก่ท่านลังกาครอบครองอีกวัดหนึ่ง

    ผู้เขียนขอกล่าวนอกเรื่องเพียงเล็กน้อย เพื่อผู้คนที่ยังไม่ทราบว่า สมัยโบราณกาลนานมานั้น คนมลายูนับถือศาสนาพุทธ พระยาแก้มดำคนมลายู จึงได้สร้างวัดช้างให้ขึ้น ผู้เขียนจึงขออ้างหนังสือของพระยารัตนภักดี ซึ่งกล่าวไว้ในหนังสือเรื่อง ปัญหาดินแดนไทยกับมลายู ซึ่งท่านพิมพ์แจกในการกุศล หน้า ๘ บรรทัดที่ ๑๖ ในหนังสือนั้นกล่าวอ้างตามประวัติศาสตร์ไว้ว่า พ.ศ. ๑๓๐๐ กษัตริย์ครองกรุงศรีวิชัยแห่งปาเล็มบัง มีอานุภาพแผ่อาณาเขตเข้ามาถึงแหลมมลายู ปกครองแผ่นดินส่วนหนึ่งถึงอำเภอไชยา ได้นำลัทธิพระพุทธศาสนาเข้ามาสั่งสอนในแหลมมลายู และได้ก่อสร้างปูชนีย์ฯ ทางพระพุทธศาสนาไว้หลายแห่ง ซึ่งยังปรากฏอยู่บัดนี้

    ตามประวัติศาสตร์มลายูกล่าวว่า มีผู้พบศิลาจารึกแผ่นหนึ่งที่นครศรีธรรมราช จารึกว่า เมื่อ พ.ศ. ๑๓๑๘ เจ้าเมืองศรีวิชัยได้มาก่อพระเจดีย์องค์หนึ่งที่นครศรีธรรมราช และที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาอีกแห่งหนึ่งเกี่ยวกับโบราณวัตถุ คือพระพุทธไสยาสน์ในถ้ำแห่งภูเขา (วัดหน้าถ้ำ) ตำบลหน้าถ้ำ อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา คาดคะเนว่าได้สร้างไว้ในสมัยพระเจ้ากรุงศรีวิชัย ระหว่าง พ.ศ. ๑๓๑๘ - ๑๔๐๐ ต่อมาก็ได้ปฏิสังขรณ์เพิ่มเติม ซึ่งยังคงปรากฏอยู่จนกระทั่งบัดนี้ องค์พระยาวถึง ๘๑ ฟุต ๑ นิ้ว ขนาดใหญ่วัดโดยรอบองค์พระ ๓๕ ฟุต และตามตำนานของคุณพระศรีบุรีรัฐกล่าวไว้ว่า สมัยหลายร้อยปีมาแล้ว คนมลายูนับถือศาสนาพุทธ แต่ได้มาเปลี่ยนนับถือศาสนาอิสลามเสียภายหลัง ผู้เขียนได้อ้างตำนานของท่านผู้มีเกียรติทั้งสองมายืนยันพอสมควรแล้ว ก็ขอย้อนกลับไปวัดช้างให้อีก

    ทำให้ชวนคิดว่า วัดที่ท่านลังกาอยู่ถึงเมืองไทรบุรี ระยะทางที่จะมาวัดช้างให้ก็ไกลมาก ทางเดินก็มีแต่ป่าและภูเขาแสนจะทุรกันดาร ท่านลังกามีวัยชราภาพมากแล้วจะเดินไปเดินมาไหวหรือ แต่ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าต่อๆ กันมาว่า ท่านลังกาเดินทางไปมาระหว่างวัดทั้งสองนี้เดินทางเวลาแรมเดือนแบบธุดงค์ ขณะที่ท่านเดินทางนั้นพบที่ใดเหมาะก็พักแรมหาความวิเวก เพื่อทำสมาธิภาวนา ใช้เวลาพักนานๆ เช่นภูเขาถ้ำหลอด ในกิ่งอำเภอสะบ้าย้อย ก็ปรากฏว่ามีสิ่งที่ควรเชื่อถือได้ว่า ท่านเป็นผู้ทำไว้แต่ครั้งเดินทางพักแรม จากนั้นก็ปรากฏอยู่บนเพิงหินบนภูเขาตังเกียบ เทือกภูเขาน้ำตกทรายขาว ทางทิศตะวันออกของลำธารน้ำตก มีพระพุทธรูปแกะด้วยไม้ตำเสาแบบพระยืนสององค์ ชาวบ้านตำบลทรายขาวเรียกพระพุทธรูปนี้ว่า หลวงพ่อตังเกียบเหยียบน้ำทะเลจืด เขาคาดคะเนกันว่าพระพุทธรูปสององค์นี้ท่านลังกาเป็นผู้สร้างสมัยที่เดินทางและอาศัยพักอยู่ หลวงพ่อสององค์นี้เล่าลือกันว่าศักดิ์สิทธิ์นัก และเป็นที่สักการะบูชาของชาวบ้านในถิ่นนั้นมาถึงบัดนี้ (ผู้เขียนได้ขึ้นไปนมัสการแล้ว)

    พระภิกษุชราองค์นี้ ท่านอยู่เมืองไทรบุรี เขาเรียกว่าท่านลังกา เมื่อท่านมาอยู่วัดช้างให้ ชาวบ้านเรียกว่าท่านช้างให้ เป็นเช่นนี้ตลอดมา

    ขณะที่ท่านลังกาพำนักอยู่ที่วัดในเมืองไทรบุรี วันหนึ่งอุบาสกอุบาสิกาและลูกศิษย์อยู่พร้อมหน้า ท่านได้พูดขึ้นในกลางชุมนุมนั้นว่า ถ้าท่านมรณภาพเมื่อใดขอให้ช่วยกันจัดการหามศพไปทำการฌาปนกิจ ณ วัดช้างให้ด้วย และขณะหามศพพักแรมนั้น ณ ที่ใดน้ำเน่าไหลลงสู่พื้นดิน ที่ตรงนั้นจงเอาเสาไม้แก่นปักหมายไว้ ต่อไปข้างหน้าจะเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ อยู่มาไม่นานเท่าไรก็ได้มรณภาพลงด้วยโรคชรา คณะศิษย์ผู้เคารพในตัวท่านก็ได้จัดการตามที่ท่านสั่งโดยพร้อมเพรียงกัน เมื่อทำการฌาปนกิจศพท่านเสร็จเรียบร้อยแล้ว คณะศิษย์ผู้ไปส่งได้ขอแบ่งเอาอัฐิของท่านแต่ส่วนน้อยนำกลับไปทำสถูปที่วัด ณ เมืองไทรบุรี ไว้เป็นที่เคารพบูชา ตลอดมาจนบัดนี้





    <HR id=null>

    เรื่องสมเด็จเจ้าพะโคะ กับท่านช้างให้ หรือหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดนี้ มีปัญหาว่า จะเป็นองค์เดียวกันหรือไม่ ตำนานโบราณก็มิได้กล่าวไว้ แต่ผู้เขียนคาดคะเนตามนิมิตต่างๆ เชื่อว่าเป็นพระองค์เดียวกัน คือสมัยท่านมีชีวิตเรียกชื่อท่านหลายชื่อ เช่น พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์ และ ท่านลังกา ท่านช้างให้ แต่เมื่อท่านมรณภาพแล้ว เรียกเขื่อนหรือสถูปศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุอัฐิของท่านว่า "เขื่อนท่านช้างให้" แต่ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ผู้เขียนได้สร้างพระเครื่องขึ้นต่างองค์ท่าน ให้ชื่อว่า ท่านช้างให้ แต่ท่านไม่เอา ท่านบอกให้ชื่อว่า "หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด" ดังมีเรื่องกล่าวต่อไปนี้

    ก่อนที่เขื่อน หรือ สถูปจะปรากฏความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นครั้งแรก เล่าต่อๆ กันมาว่า มีเด็กชายลูกชาวบ้านคนหนึ่ง พ่อเขาไล่ตี เด็กนั้นวิ่งหนีเข้าไปในบริเวณวัดช้างให้แล้วหายตัวไป ซึ่งขณะนั้นเป็นวัดร้าง เมื่อพ่อของเด็กไล่ตามเข้าไปในวัดก็มิได้เห็นตัวเด็ก เขาค้นหาจนอ่อนใจก็ไม่พบ จึงกลับบ้าน ชวนเพื่อนบ้านช่วยกันค้นหา ขณะพวกชาวบ้านผ่านเข้าเขตวัด ก็เห็นเด็กนั้นเดินยิ้มเข้ามาหาและหัวเราะพูดขึ้นว่า พ่อของมันดุร้ายไล่ทุบตีลูกไม่มีความสงสาร กูเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้จึงเอามันไปซ่อนไว้ พวกชาวบ้านก็ตื่นตกงกงัน เพราะเด็กนั้นพูดแปลกหูผู้ฟัง เป็นเสียงของคนแก่ แต่เด็กพูดต่อไปว่า พวกสูไม่รู้จักกูหรือ กูชื่อว่าท่านเหยียบน้ำทะเลจืด ผู้ศักดิ์สิทธิ์เจ้าของเขื่อนนี้ (สถูป) พวกสูจะลองดีก็จงเอาน้ำเกลือใส่อ่างมากูจะทำให้ดู มีชาวบ้านผู้หนึ่งปฏิบัติตามคำสั่งนั้น เด็กชายนั้นก็ยื่นเท้าลงเหยียบน้ำเกลือในอ่างทันที และบอกให้ชาวบ้านชิมน้ำเกลือนั้นดู ได้ประจักษ์ว่า น้ำนั้นมีรสจืดเป็นน้ำบ่อ เป็นที่อัศจรรย์นัก เด็กนั้นพูดอีกว่า พวกสูยังไม่เชื่อกูก็ให้ก่อไฟขึ้น ชาวบ้านก็ทำตาม ขณะกองไฟลุกโชนเป็นถ่านแดงดีแล้ว เด็กประทับทรงท่านเหยียบน้ำทะเลจืดก็กระโดดเข้าไปยืนอยู่ในกลางกองไฟอันร้อนแรง ยิ้มแล้วถามว่า สูเชื่อหรือยัง พ่อของเด็กตกใจ เกรงลูกจะเป็นอันตราย จึงก้มลงกราบไหว้ขอโทษ เด็กนั้นจึงเดินออกจากกองไฟเป็นปกติ

    ครั้นท่านพระครูวิสัยโสภณ (ท่านอาจารย์ทิม ธมฺมธโร) เข้ามาครองวัดช้างให้ใหม่ๆ ท่านข้องใจเรื่องวัดของเดิม เพราะถามชาวบ้านไม่มีใครรู้ คืนวันหนึ่งท่านฝันว่า พบคนแก่ยืนอยู่กลางลานวัด ท่านถามถึงเขตวัดตามความข้องใจ คนแก่นั้นบอกว่า ให้ไปถามท่านเหยียบน้ำทะเลจืดในเขื่อน คนแก่จึงนำท่านพระครูฯ ไป เห็นพระภิกษุผู้เฒ่าเดินออกมาจากในเขื่อนสามองค์ ปรากฏว่า ๑. หลวงพ่อสี ๒. หลวงพ่อทอง ๓. หลวงพ่อจันทร์ องค์หลังสุดถือไม้เท้าใหญ่ ๓ คด เดินยันออกมางกงันเพราะความชรามากกว่าองค์ใดๆ คนแก่จึงบอกว่าองค์นี้แหละ ท่านเหยียบน้ำทะเลจืด ท่านจึงเอาแขนกอดคอท่านพระครูฯ นำเดินชี้เขตวัดเก่าให้ทราบทั้ง ๔ ทิศ ตลอดถึงเนินดินซึ่งเป็นโบสถ์โบราณ และบันดาลให้ท่านอาจารย์ฯ ได้เห็นวัตถุต่างๆ ในหลุมนิมิตซึ่งเป็นของไม่มีค่า เช่นพระพุทธรูปหล่อด้วยเงิน ๑ องค์ เมื่อจะกลับเข้าไปในเขื่อน ท่านได้สั่งว่าต้องการอะไรให้บอก แล้วเข้าในเขื่อนหายไป

    "คำว่าเอาอะไรให้บอก คำนี้สำคัญมาก คราวต่อมาโบสถ์ก็สำเร็จ พระเครื่องก็ศักดิ์สิทธิ์"


    By: นายอนันต์ คณานุรักษ์ - หนังสือประวัติหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด และคุณอภินิหารพระเครื่องหลวงพ่อทวดฯ วัดช้างให้ (พ.ศ. ๒๕๐๔)
    <A href="http://javascript<b></b>:history.back(1)" target=_blank><<BACK< a> Go to หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด วัดช้างให้

    views[8179]
    <TABLE style="FONT-SIZE: 10pt; FONT-FAMILY: MS Sans Serif" width="100%"><TBODY><TR><TD width="100%" colSpan=2>All contents</TD></TR><TR><TD vAlign=top width="50%">[​IMG]ประวัติการสร้างพระเครื่อง สมเด็จหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด
    [​IMG]สถูปหลวงพ่อทวดฯ
    [​IMG]"เรื่อง หลวงพ่อทวด" (ตอนที่ ๑)
    [​IMG]"เรื่อง หลวงพ่อทวด" (ตอนที่ ๒ ตอนจบ)
    [​IMG]วัดช้างให้ (วัดราษฎร์บูรณะ)
    [​IMG]พระครูวิสัยโสภณ (อาจารย์ทิม ธัมมธโร)
    [​IMG]พระครูธรรมกิจโกศล (พระอาจารย์นอง ธมฺมภูโต) วัดทรายขาว
    [​IMG]คุณอภินิหารพระเครื่องหลวงพ่อทวด ( หลวงปู่ทวด )
    [​IMG]พงศาวดารเกี่ยวกับ หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. sira

    sira เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    239
    ค่าพลัง:
    +1,331
    update ความคืบหน้า การก่อสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง

    รูปความคืบหน้า การก่อสร้างพระเจดีย์ และทำบันไดพญานาคครับผม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • PIC_1743.JPG
      PIC_1743.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.5 MB
      เปิดดู:
      178
    • PIC_1745.JPG
      PIC_1745.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.5 MB
      เปิดดู:
      154
    • PIC_1746.JPG
      PIC_1746.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.5 MB
      เปิดดู:
      138
    • PIC_1748.JPG
      PIC_1748.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.5 MB
      เปิดดู:
      130
    • PIC_1749.JPG
      PIC_1749.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.5 MB
      เปิดดู:
      128
    • PIC_1775.JPG
      PIC_1775.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.5 MB
      เปิดดู:
      133
    • PIC_1759.JPG
      PIC_1759.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.5 MB
      เปิดดู:
      134
    • PIC_1760.JPG
      PIC_1760.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.5 MB
      เปิดดู:
      136
    • PIC_1761.JPG
      PIC_1761.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.4 MB
      เปิดดู:
      131
    • PIC_1767.JPG
      PIC_1767.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.5 MB
      เปิดดู:
      133
  14. sira

    sira เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    239
    ค่าพลัง:
    +1,331
    update ความคืบหน้า การก่อสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง (ต่อ)

    รูปภาพการก่อสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • PIC_1761.JPG
      PIC_1761.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.4 MB
      เปิดดู:
      86
    • PIC_1786.JPG
      PIC_1786.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.5 MB
      เปิดดู:
      74
    • PIC_1788.JPG
      PIC_1788.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.5 MB
      เปิดดู:
      76
    • PIC_1789.JPG
      PIC_1789.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.5 MB
      เปิดดู:
      108
    • PIC_1790.JPG
      PIC_1790.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.5 MB
      เปิดดู:
      61
    • PIC_1792.JPG
      PIC_1792.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.5 MB
      เปิดดู:
      74
    • PIC_1794.JPG
      PIC_1794.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.5 MB
      เปิดดู:
      72
    • PIC_1795.JPG
      PIC_1795.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.5 MB
      เปิดดู:
      77
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2008
  15. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    โอ้ โมทนาสาธุ งดงามจริงๆ ซักวันต้องไปกราบบูชา
     
  16. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    สวยงามมากครับ ขอโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สวยงดงามมากครับ

    ผมได้นำรูปที่น้องชา นำมาลงให้ทราบความคืบหน้าการสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ได้นำไปลงในกระทู้ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาลาดพร้าว 102 บช.ออมทรัพย์เลขที่ 1890-13128-8 ชื่อบัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีชญา ,นายอุเทน งามศิริ ,นายสิรเชษฏ์ ลีละสุนทเลิศ

    http://palungjit.org/showthread.php?t=68899&page=52

    ขอกราบโมทนาบุญอย่างสูงกับทุกๆท่านครับ
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ระเบิดจิต แก้กรรม โชว์ใน รายการตีสิบ

    http://hilight.kapook.com/view/19291

    <CENTER>
    ระเบิดจิต ที่นำเสนอใน ตีสิบ หรือ รายการตีสิบ เป็น ระเบิดจิต แก้กรรม ร่วมพิสูจน์ ระเบิดจิต ใน รายการตีสิบ ตีสิบ และ ชม คลิป คลิปวิดีโอ รูปภาพ ระเบิดจิต ที่นี่
    [​IMG]
    เรียบเรียงโดยกระปุกดอทคอม
    ภาพประกอบจากรายการตีสิบ
    เรื่องของกรรมเวรยังเป็นประเด็นยอดฮิตที่ถูกนำมาตั้งคำถามถกเถียงกันอยู่เสมอ เวรกรรมมีจริงหรือไม่? สิ่งที่เราเป็นอยู่คือผลจากกรรมที่ก่อไว้เมื่อชาติที่แล้ว และเจ้ากรรมนายเวรที่ยังคงติดตามเราอยู่นั้นมีจริงหรือ? หลายคนอาจจะเชื่อบ้าง ขณะที่อาจมีบางคนไม่เชื่อกับเรื่องดังกล่าว…!!!
    อย่างไรก็ตามเมื่อคืนวันอังคารที่ 8 ม.ค. รายการตีสิบ ทางช่อง 3 ได้นำอาจารย์จุฬาพร้อม 4 อาสาสมัครมาท้าพิสูจน์ความจริง ซึ่งอาจารย์ท่านนี้บอกว่า สามารถดูได้ว่าใครมีเวรกรรมกับใคร กรรมที่ก่อคืออะไร ก่อไว้เมื่อชาติไหน ด้วยพิธีที่เรียกกว่า "การระเบิดจิต"
    โดยในการพิสูจน์ครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมพิธี 4 ท่าน คือ ภูชิชย์ อัครฐานาชีวะ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัทมีทิเน่ คอมพันนี ของนางแบบสาวลูกเกด เมทินี, พีระดา สิทธิธรรม พนักงานขายด้านวิศวกรรมอุตสาหกรรม, ทีมงานของรายการตีสิบ และจอห์น ม๊กจ๊ก ภรรยาของตลกแคระ โจ๊ ม๊กจ๊ก ที่โดนมือดีขว้างหินใส่รถจนเสียชีวิตเมื่อปี 2549
    พิธีการระเบิดจิตเริ่มด้วยการให้ผู้เข้าบริกรรมคาถาตามว่า "โอ มะ สิ ริ" โดยหลังจากท่องไปได้สักครู่นายภูชิชย์ก็เริ่มพูดลิ้นรัวไม่เป็นภาษา ทำท่าทางเหมือนโดนเข้าสิง ระหว่างนั้นอาจารย์จุฬาก็ได้พูดแทรกเป็นระยะ ๆ สุดท้ายนายภูชิชย์ก็ล้มลงไปนอนร้องครวญคราง พูดไม่รู้เรื่อง จนกระทั่งอาจารย์ต้องท่องคาถาจึงได้สติ ภายหลังได้บอกว่าห้ามเข้าพิธีภาณยักษ์อย่าเด็ดขาด
    หลังการระเบิดจิต นายภูชิชย์ ยอมรับว่า ตอนแรกก็ไม่เชื่อ แต่พอไปพิสูจน์แล้วก็รู้ว่าเป็นเรื่องจริง ระหว่างพิธีรู้ตัวแต่บังคับตัวเองไม่ได้ เหมือนวิญญาณจะออกจากร่าง เป็นทหารอยู่ภาคเหนือ สมัยร.5 แล้วไปฆ่าช้างซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่ ทำให้กรรมติดมา อาจารย์ให้แก้กรรมโดยการปล่อยปลา 100 บาท ใส่บาตร ถวายภัตตาหารพระสงฆ์ เอาปัจจัยไปถวายพระสงฆ์ที่อาพาธ และทำบุญโรงศพ หลังจากทำแล้วก็รู้สึกดี มีสติ มีสมาธิมากขึ้น
    ต่อมาพีระดา เป็นรายที่สองที่ร่วมพิสูจน์ ซึ่งอาจารย์จุฬาให้เริ่มบริกรรมคาถา หลังจากภาวนาไปครู่หนึ่ง จากเสียงก็หญิงสาวก็กลายเป็นเสียงเด็ก ซ้ำยังออกอาการทำท่าทางเหมือนเด็กอีกด้วย อาจารย์จุฬาจึงเผยว่าชาติที่แล้วเป็นทหารเมืองหริภุญชัย ออกไปรบกลับมาเห็นภรรยามีชู้ จึงบันดาลโทสะฆ่าลูก เด็กที่ตายมากับเราตั้งแต่เกิด กรรมหนักคือไปทำลายศาสนสถานที่เวียงกุมกาม
    ด้านอิทธิพล น้ำจันทร์ พนักงานตัดต่อรายการตีสิบ ผู้ร่วมพิสูจน์อีกรายยืนยันว่า ไม่มีการเตี๊ยมแต่อย่างใด เพราะได้เตรียมตัวอย่างดี รู้ต้วทุกอย่าง หลังท่องคาถาแล้วก็เกิดอาการผิดปกติ คือภาวนาไม่ออก เหมือนมีอะไรติดคอ หมอจุฬาอธิบายว่าเพราะไปกินหมูป่าซึ่งเป็นสัตว์ที่ไม่ใช่อาหารมนุษย์ หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนคาถาภาวนาใหม่ คราวนี้ทีมงานเริ่มพูดไม่เป็นภาษา พูดไปก็แลบลิ้นไป ซึ่งหมอจุฬาได้เผยว่า นายอิทธิพล เคยก่อกรรมกับงูไว้เมื่อชาติก่อน แล้วไม่ได้อโหสิกรรม ผลกรรมทำให้ปวดเอวบ่อย ให้แก้กรรมด้วยการทอดผ้าป่า
    ขณะที่ทีมงานที่รับอาสาพิสูจน์ครั้งนี้ก็ยอมรับในรายการว่า สมัยเป็นเด็กอยู่บ้านต่างจังหวัด งูชอบเข้ามาในบ้าน ตนชอบตีงู เห็นที่ไหนไม่ได้เป็นต้องตี และเคยมีปัญหาปวดหลังจริงๆ นอกจากนี้ก็ยอมรับว่าตนทานหมูป่าจริงและทานบ่อยอีกด้วย
    สุดท้ายคือตลกแคระ จอห์น ม๊กจ๊ก ซึ่งหมอจุฬาได้นำผนังกั้นไว้ไม่เพื่อไม่ให้เห็นว่าเป็นใคร โดยฟังแต่เสียงเท่านั้น หลังจากท่องคาถาแล้ว หมอจุฬาได้บอกว่ามีจิตของเด็กติดตามตัวอยู่ และมีกรรมเกี่ยวกับการฆ่าสัตว์พวก ไก่ กบ หนู อีกด้วย ส่งผลให้ชาตินี้มีอาการปวดขาปวดตัวบ่อยๆ ภายหลังจอห์น ม๊กจ๊ก ยอมรับว่าตนเป็นคนชอบกินกบมากและจับกบมากินบ่อย ๆ
    ไม่ว่าการพิสูจน์ครั้งนี้จะทำให้ใครหลายคนเชื่อหรือยังกังขา แต่ที่สำคัญวิธีที่จะน่าจะช่วยให้เราอยู่เป็นสุขใจสบายก็คือการลดบาปและทำความดีให้มาก ๆ … ใครที่มีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ลองเข้ามาแชร์ความคิดกันนะคะ

    คลิป คลิปวิดีโอ ระเบิดจิต ในรายการตีสิบ
    [​IMG] ระเบิดจิต รายการตีสิบ ตีสิบ มาพิสูจน์กัน ตอนที่1

    [​IMG] ระเบิดจิต รายการตีสิบ ตีสิบ มาพิสูจน์กัน ตอนที่2

    [​IMG] ระเบิดจิต รายการตีสิบ ตีสิบ มาพิสูจน์กัน ตอนที่3

    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    </CENTER>
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สธ.จับตา 7 โรคร้ายคุกคามคนไทยปี 51
    http://www.thairath.co.th/news.php?section=education&content=74648


    [​IMG]

    นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ ผอ.สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ในปี 2551 แนวโน้มการเกิดโรคระบาด อาจจะมีปัญหาเพิ่มมากขึ้น โดยพบว่า มีโรคที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด 3 กลุ่ม คือ โรคติดต่อผ่านทางอาหารและน้ำ กลุ่มโรคอาศัยพาหะ และกลุ่มโรคติดต่อทางเดินหายใจ ในส่วนของโรคติดต่อผ่านทางอาหารและน้ำ ที่น่าเป็นห่วง คือ อหิวาตกโรค ที่ในปีที่ผ่านมาถือว่ามีการแพร่ระบาดของโรคที่รุนแรง และเกิดระบาดผิดปกติอย่างมากในช่วงเดือนตุลาคม ซึ่งแพร่ระบาดพร้อมกัน 20 จังหวัด ตั้งแต่บริเวณภาคกลางไปจนถึงภาคอีสาน สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมการกินของคนในปัจจุบันแตกต่างจากอดีต ทั้งนี้ จากการสอบสวนอหิวาตกโรคพบว่า สาเหตุเกิดจากหอยแครง ที่ชาวบ้านนิยมกินแบบสุกๆ ดิบๆ รวมถึงหอย 2 ฝาอื่นๆ ที่เป็นแหล่งเชื้อโรค ทั้งอหิวาต์ ตับอักเสบเอ ซึ่งเมื่อลงไปดูยังฟาร์มเลี้ยงหอย พบว่าเกิดจากการมีระบบสุขาภิบาลที่ไม่ดี มีส้วมตั้งอยู่บริเวณที่เลี้ยงหอย เมื่อผู้ที่มีเชื้ออหิวาต์ถ่ายลงน้ำ ทำให้เชื้อไปเกาะที่แพลงตอนซึ่งเป็นอาหารหอยแครง และเมื่อคนกินหอยแครงที่ปรุงไม่สุกทำให้เชื้ออหิวาต์ แพร่สู่คน ทั้งนี้ การป้องกันไม่ให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายโดยวิธีที่ดีที่สุด คือการเลิกกินดิบ และปรุงอาหารให้สุกที่สุด เพื่อความปลอดภัย
    ผอ.สำนักระบาดวิทยากล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีโรคที่ต้องเฝ้าระวังอีกหลายโรค อาทิ โรคบิด เนื่องจากได้รับรายงานเหตุการณ์จากประเทศเดนมาร์ก โดยมีผู้ป่วยด้วยอาการปวดท้องนำส่งโรงพยาบาลกว่าร้อยคน หลังกินข้าวโพดอ่อนที่นำเข้าจากไทย หลังสอบสวนโรคก็พบว่า เกิดจากขั้นตอนการแกะเปลือกข้าวโพดและคัดขนาดส่งโรงงาน ซึ่งทำโดยชาวบ้าน เนื่องจากมีสุขาภิบาลที่ไม่ดีพอ เพราะมีส้วมตั้งอยู่ใกล้ นอกจากนี้ยังมีโรคสเตปโตค็อกคัส ซูอีส โรคที่เกิดจากพฤติกรรมกินหมูดิบ เช่น ลาบ หลู้ ที่นำเลือดหมูสดๆ มาราดก่อนกิน ทำให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายโดยตรง ส่วนการเฝ้าระวังในกลุ่มโรคอาศัยพาหะ โดยเฉพาะไข้เลือดออก พบว่าเป็นปัญหาในหลายประเทศ นอกจากนี้ยังมีโรคริสมาเนีย ซิส ซึ่งมีการรายงานผู้ป่วยโรคริสมาเนียถึง 3 รายแล้ว เสียชีวิต 1 ราย ถือเป็นโรคอุบัติใหม่ในประเทศไทยขณะนี้ ส่วนโรคที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เช่น โรคมือเท้าปาก รวมทั้งโรคไข้หวัดนก และซาร์สด้วย.
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01eco03100151&day=2008-01-10&sectionid=0103


    วันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10897

    สินค้าทยอยขึ้นราคายุ่บยั่บรายวัน


    แป้งมันปรับ10-15%พิษเอทานอล ปลากระป๋องขยับอีก2บาทก.พ.นี้



    ราคาสินค้าขึ้นยุ่บยั่บรายวัน ล่าสุดพลังงานทดแทนแผลงฤทธิ์หนัก มันสำปะหลังราคาพุ่งอีก 10-15% ดันราคาแป้งมันขยับตาม แถมปลายข้าว ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ขึ้นกระสอบละ 200 บาท หลังข้าวโพดราคาแพง ปลากระป๋องตั้งท่าขึ้นอีกรอบกุมภาพันธ์นี้ ชี้ไม่มีคนกักตุน เพราะเงินตึงมือ

    นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าปลีกส่ง เปิดเผยว่า จากกรณีที่ความต้องการพืชในกลุ่มพลังงานประเภทมันสำปะหลังเพื่อไปทำเอทานอลเพิ่มขึ้นนั้น ส่งผลให้ราคาแป้งมันปรับเพิ่มขึ้นด้วย โดยล่าสุดแป้งมันสำปะหลังได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 10-15% นอกจากนี้ในส่วนของปลายข้าวซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของวัตถุดิบอาหารสัตว์ราคาได้ปรับเพิ่มขึ้นกระสอบละ 200 บาทหรือเพิ่มจาก 1,200-1,500 บาทหลังข้าวโพดวัตถุดิบหลักในการผลิตอาหารสัตว์แพงขึ้นจึงหันมาใช้ ส่วนผสมของรำข้าวผลิตอาหารสัตว์กันมากขึ้น

    นายสมชายกล่าวว่า ในส่วนสินค้าอุปโภคบริโภครายการอื่นๆ ส่วนใหญ่ผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์จะทยอยปรับราคาขึ้นเพื่อไม่ให้กระทบกับจิตวิทยาการซื้อของผู้บริโภค โดยการปรับจะทยอยปรับครั้งละ 4-5% ซึ่งล่าสุดทางบริษัทเนสท์เล่ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเนสกาแฟได้แจ้งราคาจำหน่ายเพิ่มอีก 4% นอกจากนี้ในส่วนของนมข้นหวาน นมสดตราคาร์เนชั่น ได้ปรับราคาเพิ่มอีกเฉลี่ยกระป๋องละ 2 บาท ขณะที่ในส่วนของปลากระป๋องทุกแบรนด์ ซึ่งราคาปรับเพิ่มเฉลี่ยกระป๋องละ 2 บาทแล้วในปีที่ผ่านมา ล่าสุดได้แจ้งว่าจะปรับเพิ่มราคาอีกครั้งในราวเดือนกุมภาพันธ์นี้ โดยราคาจะปรับเพิ่มใหม่อยู่ที่เฉลี่ยกระป๋องละ 2 บาทเช่นเดียวกัน

    "ส่วนใหญ่สินค้าอุปโภคบริโภคหรือของกินของใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน จะทยอยปรับราคาขึ้น เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคช็อค จนส่งผลต่อยอดขาย อย่างไรก็ตามหลังจากสินค้าหลายรายการปรับเพิ่มขึ้นยังไม่เห็นว่ามีการกันตุนสินค้าเกิดขึ้นเนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่เงินตึงมือ กำลังซื้อลดเพราะราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น จะมีก็แต่น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์เท่านั้นที่ราคาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเพราะผลปาล์มขาดแคลน"

    นายสมชายกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า สินค้าที่เป็นผลผลิตจากพืชพลังงานทดแทนเช่น แป้งมัน สำปะหลัง และน้ำตาล ซึ่งใช้อ้อยสำหรับผลิตเอทานอลจะมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอีก
     

แชร์หน้านี้

Loading...