ข้อความจากต่างมิติ-ก้าวกระโดดทางวิวัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ไปสู่มิติที่ 5

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 30 มิถุนายน 2010.

  1. nununo

    nununo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +1,096
    ผู้แปล : โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านข้อความแปลข้างล่างนี้

    SaLuSa, January 17, 2014

    From our vantage point your Earth shines out like a jewel in the firmament, and makes it known to all observers that the Light is once again returning. With your input and our assistance it will continue to do so, and no outside influence will be able to stop or hinder it. It has been decreed that this cycle will end in victory for the Light, and this was planned eons of time ago.

    จากความก้าวหน้าของพวกเรา โลกของคุณได้ส่องแสงเหมือนดั่งอัญมณีในนภากาศ และทำให้เป็นที่รู้จักในแวดวงผู้สังเกตการณ์ว่า แสงสว่างกำลังกลับมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว ด้วยความเอาใจใส่ของคุณและด้วยความช่วยเหลือจากเรา มันจะพัฒนาต่อไปอีก และจะไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถหยุดยั้งแสงสว่างได้ มันได้ถูกพิพากษาแล้วว่า วงรอบเก่านี้จะสิ้นสุดลง โดยชัยชนะของฝ่ายแสงสว่าง และสิ่งที่เกิดขึ้นนี้มันได้ถูกร่างพิมพ์เขียวเอาไว้อย่างยาวนานมามากแล้ว

    You can therefore leave the old behind that has served its purpose, and indeed eventually only the higher vibrations will exist. Hitherto, the cycles have ended with massive Earth changes, so much so that little evidence has remained of earlier civilizations. However, now that necessary lessons have been learnt, the experiences have brought about the desired upliftment in the levels of consciousness. This was required to bring those souls who were ready to ascend, to a level where they could do so and complete their experiences in the lower vibrations. This is normal when a cycle reaches a stage of completion.

    ดังนั้น คุณจึงสามารถที่จะสลัดพลังงานเก่าๆที่หมดวาระหน้าที่ของมันได้แล้ว และในท้ายที่สุดแล้ว การสั่นสะเทือนที่สูงกว่าเท่านั้นที่จะอยู่รอด กระทั่งบัดนี้ หลายๆวงรอบใด้ถึงจุดสิ้นสุดไปแล้วพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬารของโลก จนทำให้เหลือความเจริญแบบเก่าๆเพียงเล็กน้อยให้เห็นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ซึ่งบทเรียนที่สำคัญนั้นได้เรียนกันไปแล้ว ประสบการณ์ต่างๆได้ถูกนำมาสู่ความปราถนาที่จะเลื่อนระดับไปสู่มิติของการตระหนักรู้ร่วมกัน เพื่อที่นำพาจิตวิญญาณทั้งหลายผู้ซึ่งพร้อมแล้วกับการเลื่อนระดับนี้ พวกเขาทั้งหลายได้เสร็จสิ้นกระบวนการของประสบการณ์ต่างๆอย่างสมบูณ์แล้วในมิติที่ต่ำกว่า มันเป็นเรื่องปกติเมื่อวงรอบของมันมาถึงจุดที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว

    Now Dear Ones you can focus on the future, and know that there are many changes to come that will prepare you for even higher levels of existence. It is only natural that you will wonder about the future of family and friends, and many of your groups will stay together for some time to come. If a member should go in a different direction it will be right for them, and they should be released with your love and blessings. However, as was pointed out in a previous message - the love link is a powerful bond between souls, that remains regardless of the distance that may separate you.

    ที่รักทั้งหลาย ช่วงเวลานี้ คุณสามารถใส่ใจกับอนาคต และโปรดจงรู้ว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้น เพื่อเตรียมการสำหรับคุณในการเลื่อนละดับในการดำรงชีวิต คุณจะรู้สึกประหลาดกับครอบครัวและเพื่อนของคุณในอนาคต และกลุ่มทั้งหลายของคุณจะอยู่รวมกันในอนาคต (ข้อความที่เหลือในประโยคนี้ ผมเรียบเรียงไม่ถูกจริงๆครับ แปลได้ประโยคนึงคือ สายใยรักคือสิ่งผูกมัดที่มีพลังระหว่างจิตวิญญาณต่างๆ :ผู้แปล

    In fact, the energy of Love is the glue of the Universe and it is indestructible. Indeed, in the final reckoning Love is all there is. Some of you who are recognising the power of love. are beginning to realise that it is the energy behind what you call "miracles". An example is what you call a "Mothers Love" for her children and why she carries so much power with her to heal when the necessity arises. All of you to some degree have such abilities but they lay dormant until you awaken to them.

    อันที่จริงแล้ว พลังงานแห่งความรักนั้นเปรียบเสมือนกาวที่เชื่อมกันของจักรวาล ซึ่งไม่สามารถทำลายได้ เพราะทั้งหมดที่จักรวาลมีคือความรัก พวกคุณบางคนจะจดจำได้ถึงพลังงานแห่งความรัก และกำลังตระหนักว่ามันก็คือพลังงานที่อยู่เบื้องหลังสิ่งที่พวกคุณเรียกมันว่า "ปาฏิหาริย์ หรือ ความอัศจรรย์" ยกตัวอย่างเช่น ความรักของแม่ที่มีต่อลูก ทำไมเธอถึงแบกรับพลังงานมากมายเอาไว้เพื่อเยียวยารักษาเมื่อความจำเป็นต่างๆเกิดขึ้น พวกคุณทั้งหมดในบางช่วงขณะก็มีความสามารถที่หยั่งถึงความรักเช่นนี้ เพราะความรักมันมีอยู่แล้ว แต่คุณจะรู้ก็ต่อเมื่อถูกกระตุ้นให้รู้สึกถึงมัน

    As time progresses you will find that your energies have much more influence upon people around you than you imagined. It can of course be for better or worse, and soon you will learn to take full responsibility for them. If a collective of people take part in a healing meditation and have a single focus in mind, their power is increased many times. It is probably already known to you, but it has to be said that where healing is unsuccessful, it is not normally due to a failure of the Healers. It is other factors such as the karma of the soul who is receiving healing, so do not be dismayed if you are unsuccessful.

    ในอนาคตข้างหน้า คุณจะพบว่าพลังงานของคุณนั้นมีผลต่อผู้คนรอบตัวคุณเกินกว่าที่คุณเคยจินตนาการไว้ แน่นอนว่ามันเกิดขึ้นเพื่อไปในทางดี ไม่ใช่ทางร้าย และในเร็วๆนี้ คุณจะเรียนรู้วิธีที่จะรับผิดชอบพลังงานของคุณทั้งหมด ถ้าผู้คนส่วนใหญ่เข้าไปมีส่วนร่วมในการนั่งสมาธิเพื่อเยียวยารักษา และมีสติอยู่ที่ใจของตัวเอง พลังงานของพวกเขาจะถูกเพิ่มหลายๆครั้ง พวกคุณหลายคนก็ได้เรียนรู้สิ่งนี้แล้ว แต่ต้องขอบอกว่าการรักษาเยียวยานั้นยังไม่ประสบผลสำเร็จ มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลย เนื่องจากความล้มเหลวของผู้เยียวยา และจากปัจจัยอื่น เช่นผลกรรมเก่าของจิตวิญญาณผู้ที่ได้รับการเยียวยา ดังนั้น อย่าพึ่งท้อใจไปถ้าคุณยังไม่ประสบผลสำเร็จ

    As you learn of the way in which you have been controlled, you will understand why for many lives you have lived an illusion. Whilst it is true that you have created what is happening on a daily basis, at the same time you have not done so whilst being aware of the Truth. For eons of time you have been led by souls with their own agenda, who have literally kept you in the dark. You have also been fed lies and misinformation making it extremely difficult for you to know what is true. However, do not despair as soon the dark forces will lose their influence and power over you.

    ขณะที่คุณเรียนรู้ แต่ยังอยู่บนเส้นทางที่คุณนั้นถูกควบคุม คุณจะเข้าใจได้ว่า ทำไมหลายภพชาติของชีวิตคุณนั้นเหมือนมายาหรือสิ่งลวงตา ขณะที่มันคือความจริงที่ว่าคุณได้สร้างสิ่งลวงตาให้มันเกิดขึ้นอยู่ทุกวันจนเหมือนเป็นเรื่องปรกติ ในขณะเดียวกันคุณก็ล้มเหลวที่จะตระหนักรู้ถึงความจริง มันได้เกิดขึ้นมาเนิ่นนานมากจนเกินกว่าจะตีเป็นค่าเวลาได้ ที่คุณถูกชักจูงโดยเหล่าวิญญาณต่างๆและแผนการของพวกเขา ผู้ซึ่งเก็บคุณเอาไว้ในความมืดอย่างแท้จริง คุณยังถูกป้อนข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริงและเรื่องโกหกต่างๆ ซึ่งทำให้คุณยิ่งยากที่จะรู้ว่าอะไรที่เป็นความจริง อย่างไรก็ตาม อย่าพึ่งท้อแท้ เพราะอีกไม่นานพลังงานความมืดทั้งหลายจะสูญสิ้นอิทธิพลที่เคยมีต่อพวกคุณ

    Keep an open mind as the revelations come out, and intuitively you should be able to discard information that does not "feel right". Trust your tried and tested sources of information and be wary of those that create fear, as that is not the way of the higher ones working for the Light. As you must be aware, the dark Ones have a large degree of freedom to carry out their agenda, as they also have freewill. However, they cannot successfully prevent the Light from permeating all levels, and this is why their success will always be limited.

    เปิดใจให้กว้างเข้าไว้ สำหรับช่วงเวลาแห่งการเลื่อนระดับนี้ และจงใช้สัญชาติญาณที่คุณมี คุณควรสามารถที่จะเลิกใส่ใจกับข้อมูลข่าวสารที่คุณรู้สึกไม่ดี จงเชื่อมั่นในความพยายามที่ผ่านมาของคุณและสืบหาเบาะแสที่มาของข้อมูลให้ดี และจงระวังสิ่งที่คอยสร้างความหวาดกลัว เพราะนั่นไม่ใช่วิถีทางของของผู้ที่ทำหน้าที่เพื่อแสงสว่างที่มาจากมิติที่สูงกว่า คุณต้องตระหนักไว้ว่า ความมืดทั้งหลายนั้นมีพลังอำจาจหนุนนำให้มีอิสระในการทำไปตามกำหนดการของพวกเขา ขณะที่พวกเขาก็มีอิสระในการตัดสินใจด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่สามารถประสบความสำเร็จใจการป้องกันแสงสว่างจากการซึมเข้าในทุกๆระดับ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมความสำเร็จของฝ่ายมืดจึงถูกยับย้้งไว้เสมอ

    Many souls lead their lives without the slightest inkling that they are being manipulated. The dark Ones are very clever in hiding their influence behind respectability or acting through lesser Beings. However, it is too late for them to stop the onward march of the Light, and they are fighting a lost cause. Already they can see their power ebbing away and there is no way in which they can recover. So do not fear the dark Ones as they are about to lose control of their power structure.

    หลายจิตวิญญาณที่ใช้ชีวิตโดยไม่มีแม้แต่ความเฉลียวใจซักเล็กน้อย ว่าพวกเขากำลังถูกควบคุมเปลี่ยนแปลง เพราะกองกำลังฝ่ายมืดนั้นฉลาดมากในการซ่อนความมีอิทธิพลของพวกเขาให้อยู่ข้างหลังความน่าเคารพนับถือ หรือการแสดงตัวตนที่ดูเล็กลง ทำให้ไม่เป็นที่เฉลียวใจ อย่างไรก็ตาม มันสายไปแล้วสำหรับฝ่ายมืดที่จะหยุดการเคลื่อนกำลังของฝ่ายแสงสว่าง และฝ่ายมืดกำลังต่อสู้อย่างหมดหวัง และพวกเขายังเห็นพลังที่ถดถอยน้อยลง และไม่มีทางที่พวกเขาจะฟื้นพลังนั้นขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้น จงอย่ากลัวพลังด้านมืดทั้งหลาย เพราะพวกเขากำลังสูญเสียการควบคุมโครงสร้างพลังงานของพวกเขาแล้ว

    Keep looking ahead knowing that your future is assured in the Light. As time passes holding your place in it will become easier, as you will slowly cut your ties to any links that are not connected to the Light. Many carry undesirable baggage from many lifetimes, but inwardly you will know what it is and it will surface for cleansing. It is a fact that anything of the lower vibrations will hold less attraction for you, and you will soon deal with it.

    จงตั้งสติไปข้างหน้าและรู้ว่าอนาคตของพวกคุณได้ถูกรองรับสู่แสงสว่าง เมื่อขั้นตอนในการเคลื่อนย้ายผ่านไปมันจะง่ายขึ้น ขณะที่คุณจะเริ่มค่อยๆตัดการผูกมัดต่างๆที่ไม่ได้เชื่อมโยงต่อแสงสว่าง สัมภาระที่ไม่เป็นที่ปราถนาซึ่งติดมาตั้งแต่ภพชาติก่อนๆ แต่ภายในใจคุณจะรู้ว่ามันคืออะไร มันจะโผล่ขึ้นมาเพื่อถูกชำระให้สะอาด มันคือความจริงที่อะไรก็ตามที่เกิดจากการสะเทือนที่ต่ำกว่าจะดึงดูดความสนใจจากคุณได้น้อยลง และคุณกำลังจะเป็นเช่นนั้น

    I am SaLuSa from Sirius, pleased to give of myself for your upliftment, and leave you with Love from the Galactic Federation.

    ฉันคือ SaLuSa จาก Sirius, มาเพื่อช่วยในการเลื่อนระดับของพวกคุณ และนำความรักจากสหพันกาแลกซี่มามอบให้กับพวกคุณด้วยเช่นกัน

    Thank you SaLuSa.
    Mike Quinsey
    Website: http://galacticchannelings.com/english/mike17-01-14.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2014
  2. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อืมม..ก็ขอกราบอนุโมทนากับข้อความชุดนี้ของคุณลุงเทพฯด้วยความจริงใจนะครับ..ไม่ได้ประชด
    และก็..ต้องขออภัยด้วยที่ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้ใส่ใจอธิบายให้คุณลุงเข้าใจมาตั้งแต่แรก

    เพราะว่าปกติแล้ว ผมจะยึดหลักว่า "ถ้ามีคนถาม ผมถึงจะตอบ"
    และ "ถ้าใครอ่านข้อความที่ผมโพสต์แล้ว และมีความเห็นต่างออกไป
    ผมก็จะวางเฉยเสีย เพราะว่าผมถือว่า มันเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของคนๆนั้นทั้ง 100%
    ที่จะเลือกชอบ หรือ เลือกเชื่อ อะไีรก็ได้ที่เขาเห็นว่า และใช้วิจารณญาณตรองดูแล้วว่า
    มันเหมาะสมสำหรับเขา ดีสำหรับเขา และถูกต้องสำหรับเขา” หนะครับ..

    ผมเคารพในสิทธิ์นั้นของพวกเขา..ผมเลยไม่พยายามไปยัดเยียดความคิด
    และความเชื่อส่วนตัวของผมไปให้พวกเขา โดยที่พวกเขาไม่ได้ร้องขอ

    เอาหละ..พอมาถึงขั้นนี้แล้ว ผมก็จะขออธิบายสิ่งที่ผมอ่านมาและเห็นมาทั้งหมด
    ในกระทู้ชุด "ข้อความจากต่างมิติ" ทั้งหลาย ที่ผมแปลมา และโพสต์มาจะ 5 ปีแล้วนี่ซักหน่อยนะครับ
    เผื่อว่ามันจะช่วยให้คุณลุง และ รวมถึงคนอื่นๆด้วย ที่ยังใหม่ต่อข้อความพวกนี้อยู่ เข้าใจมากขึ้นได้

    ผมเข้าใจในข้อความที่คุณลุงพูดมาทั้งหมดนั้นดี เชื่อผมเถอะว่าผมเข้าใจจริงๆ
    เพราะว่าผมก็คิดว่าตัวผมเอง ก็เป็นนักอ่านและนักศึกษาตัวยงคนหนึ่งอยู่เหมือนกัน
    และมาถึงวันนี้ ผมยืนยันได้เลยว่า สิ่งที่ "สื่อสารมาจากต่างมิติ" พวกนี้นั้น
    มันไม่มีอะไรที่เป็นอย่างที่คุณลุงวิตกกังวลมานั้นเลย แม้แต่นิดเดียว
    ย้ำนะครับว่า ไม่มีเลยแม้แต่นิดเดียว..เดี๋ยวผมจะค่อยๆไล่ไปทีละประเด็นนะครับ

    ประเด็นแรก เอาเรื่อง คำสอนของศาสนาต่างๆ ที่สอนเราว่า
    เราคือคนบาป ที่มีบาปกรรมติดตัวมาแต่กำเนิด
    เราคือคนไร้ค่า ที่ต้องอาศัยและพึ่งพาผู้อื่นซึ่งเป็นผู้ที่ดีกว่าเรา
    วิเศษกว่าเรา และมีคุณค่ามากกว่าเราเสมอนั้น
    อันนี้ผมก็รู้ดีครับ เพราะก็เห็นๆกันอยู่ ว่าศาสนาต่างๆสอนเรามาแบบนี้จริงๆ

    แต่ต่างมิติบอกว่า นั่นแหละ คือคำสอนยุคพลังงานเก่าหละ
    นั่นแหละคือสิ่งที่ถูกบิดเบือนไปหละ
    นั่นแหละคือสิ่งที่เหล่าผู้นำทางศาสนาสมัยก่อน ที่บ้าอำนาจ
    หยิบยกขึ้นมาอ้าง เพื่อที่จะครอบงำสาวก เพื่อที่จะให้สาวกเกรงกลัว
    เพื่อที่จะให้ตัวเองเป็นใหญ่กว่า เพื่อที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการปกครองหละ

    เพราะว่าในความเป็นจริงแล้ว ต่างมิติบอกว่า ไม่มีศาสดาองค์ไหนเลย
    ที่จะสอนเอาไว้เช่นนั้น มันเป็นข้อมูลที่ถูกบิดเบือนไป
    โดยคนในศาสนานั้นๆเองต่างหากหละ

    อันที่จริงผมก็ไม่รู้หรอกนะครับ ว่าที่ต่างมิติพูดมานั้น มันจะจริงหรือไม่จริง
    แต่พอลองๆคิดดูแล้ว มันก็น่าจะมีเค้าอยู่บ้าง เพราะว่าลองคิดดูสิครับ
    ว่าศาสนาคริสต์เป็นยังไงบ้าง ในยุคศาสนจักรเรืองอำนาจ
    พวกพระในศาสนาเป็นใหญ่ซะยิ่งกว่าพระราชาซะอีก จะจับใครมาแขวนคอก็ได้

    แล้วศาสนาพุทธหละเป็นยังไงบ้าง หลังจากการสังคายนาพระไตรปิฏกครั้งที่ 2 เท่านั้นเอง
    ศาสนาก็แตกออกเป็นสองนิกายใหญ่ซะแล้ว ซึ่งถ้ามันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ
    "ความเห็น" ที่แตกต่างกันแล้ว มันก็คงเป็นแบบนั้นไปไม่ได้ถูกไหมหละครับ
    เพราะว่าถ้าทุกๆคน เป็นพระอรหันต์ทั้งหมดจริงๆ ในที่ประชุมนั้น
    ทุกๆคนก็จะต้อง "ยึดมั่น และ ยึดถือ แต่สิ่งที่เป็นสัจธรรม" เหมือนๆกันหมด
    และเพราะฉะนั้น คำว่า "ความคิดเห็นส่วนตัว" ก็จะไม่มามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย
    และการแบ่งแยกนิกายก็จะไม่เกิดขึ้นเลย

    แล้วหลังจากนั้นเป็นยังไงอีกบ้าง? ศาสนาพุทธตกต่ำถึงขีดสุดในอินเดียไป 200 กว่าปี
    จนถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ถึงได้มีการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่
    แล้วลองคิดดูสิครับ ว่าในยุคที่ตกต่ำนั้น อะไรจะเกิดขึ้นกับคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธเจ้าบ้าง?

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมก็จะขอกล่าวอีกครั้งหนึ่งว่า ผมก็ไม่รู้จริงๆหรอกว่าที่ต่างมิติพูดมา
    เกี่ยวกับ "ความบิดเบือน" ที่มีอยู่ในคำสอนของทุกๆศาสนานั้น มันจะจริงหรือเปล่า
    และก็อย่างที่ผมพูดไปแล้วนั่นแหละครับว่า ผมเห็นว่ามันก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นไปได้เท่านั้นเอง
    ตามกาลเวลาที่ผ่านไป

    และก็..อย่างที่เราก็เห็นกันอยู่ตำตาในปัจจุบันนี้ ในประเทศไทยเรานี้เองด้วย
    ว่ามันมีความ "ผิดเพี้ยน" หรืออย่างน้อยก็ "สอนไม่เหมือนกัน" ในระหว่างสำนักต่างๆอยู่จริงๆ
    จะนับประสาอะไรกับเมื่อหลายพันปีที่แล้ว และยิ่งในยุค "ตกต่ำสุดขีด"
    ของศาสนาพุทธในอินเดียแล้วด้วย

    เอาเป็นว่า ต่างมิติเขาบอกข้อมูลที่แตกต่างออกไป ว่า "ตัวตนที่แท้จริงของพวกเรา" นั้น
    คือจิตวิญาณ คือผู้รู้ คือผู้ที่อยู่เหนือมายาการของมิติที่ 3 แห่งนี้
    และดำรงอยู่ในรูปแบบของพลังงานล้วนๆ เราคือพลังงาน เราไม่ใช่ร่างกายเนื้อนี้
    ดังนั้น เราจึงแค่กำลังสวมใส่ร่างกายเนื้อนี้อยู่เท่านั้นเอง

    (ปล.อันที่จริงแล้ว ผมเชื่อว่าในตำราของศาสนาพุทธเรา ก็มีบางส่วนที่กล่าวไว้แบบนี้เช่นเดียวกัน
    แต่ในบางส่วนของตำรา ก็อาจจะกล่าวไว้แตกต่างออกไป นี่แหละจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้
    หลายๆคนที่ได้อ่านพระไตรปิฏกแล้ว มีความรู้สึกว่า ข้อมูลมันขัดแย้งในตัวมันเองอยู่มากมาย
    ซึ่งหนึ่งในนั้น ก็คือตัวผมเอง และก็พระพุทธทาสภิกขุด้วย)

    และเพราะฉะนั้นแล้ว เราจึงคือผู้ที่บริสุทธิ์มาตั้งแต่กำเนิดอยู่แล้ว
    เราคือผู้รู้โดยธรรมชาติอยู่แ้ล้ว ดังนั้น สิ่งที่เราจะต้องไปทำ มันจึงแทบไม่มีอะไรเลย
    เพียงแค่เราจะต้องจดจำตัวตนที่แท้จริงของเราให้ได้เท่านั้นเอง ..พวกเขาใช้คำนี้หนะนะครับ

    โอ..ยิ่งอธิบายไปมันก็จะยิ่งยาว..เอาไงดีหละเนี่ย?..
    อดทนอธิบาย และอดทนอ่านอีกนิดหนึ่งก็แล้วกันนะครับ
    เพราะว่าผมก็คงจะอธิบายยาวๆแบบนี้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นแหละครับ

    หลักการณ์คร่าวๆของ “ชีวิต” จากข้อมูลของต่างมิติก็จะประมาณว่า
    ต้นกำเนิดของทุกสรรพชีวิต คือพลังงาน และแหล่งกำเนิดของพลังงานที่ว่านั้น
    ก็คือสิ่งที่พวกเราเรียกว่า The Source หรือ The Supreme Creator
    แล้วจากนั้น The Supreme Creator ก็ค่อยทำสำเนาตัวเองออกมาเรื่อยๆเป็นระรอกๆ
    จนมาเป็นพวกเรานี่แหละครับ ซึ่งพลังงานของ The Supreme Creator ที่ว่านี้
    ก็คือพลังงานของความรักและแสงสว่างล้วนๆโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
    และเพราะฉะนั้นแล้ว ต่างมิติถึงพูดตรงกันหมดทั้ง 100% ว่า
    ตัวตนแก่นแท้ของพวกเราจึงคือความรักและแสงสว่าง จึงคือส่วนหนึ่งของพระผู้สร้าง
    จึงคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยเนื้อแท้ โดยแก่นแท้ โดยธรรมชาติอยู่แล้ว
    หาใช่สิ่งสกปรกโสโครก หาใช่สิ่งที่มีตำหนิ หาใช่สิ่งที่มีบาปมีกรรมอยู่ในเนื้อแท้แต่อย่างใดไม่

    และการที่เราลงมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่บนโลกใบนี้ ก็เพราะว่าเรา
    “เลือก” ที่จะมาหาประสบการณ์ชีวิตในมิติทางกายภาพนี้เท่านั้นเอง
    หาใช่เพราะถูกบังคับด้วยอะไรก็ตามแต่ มาแต่อย่างใดไม่

    จริงอยู่ พอเราลงมาเกิดที่นี่แล้ว เราก็เลยถูกครอบงำโดยมายาการของมิตินี้
    เพราะว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าในมิติแห่งนี้มันถูกโปรแกรมมาให้เป็นแบบนี้
    ดังนั้น เราจึงหลงลืมตัวตนที่แท้จริงของเราไป
    ดังนั้น เราจึงถูก ego ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการในมิติที่ 3 ของเราครอบงำ
    ดังนั้น เราจึงขาดการเชื่อมต่ออย่างมีสติสัมปชัญญะกับตัวตนที่แท้จริงของเราไป
    ดังนั้น เราจึงทำผิดบ้างถูกบ้าง จนเกิดเครือข่ายกรรมขึ้นระหว่างกันและกัน
    จนเราต้องวนเวียนมาเกิดใหม่เพื่อแก้ไข “บทเรียน” ที่เราทำผิดพลาดไปทั้งหลายเหล่านั้น ซ้ำแล้วซ้ำอีก

    และหลักการณ์ใหญ่อีกอย่างหนึ่งที่ต่างมิติบอกเอาไว้ตรงกันหมดทั้ง 100% อีกก็คือ
    ในมิติที่สูงกว่าทั้งหลายนั้น นับตั้งแต่มิติที่ 5 เป็นต้นไป มันไม่มีกาลเวลาอยู่
    และดังนั้น มันจึงไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดที่แท้จริงอยู่ ตามนัยยะที่พวกเราเข้าใจ
    และดังนั้น เราจึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นอมตะตลอดกาล จิตวิญญาณคือสิ่งที่เป็นนิรันดร์
    และดังนั้น มันจึงไม่มีการมาและการไป เพราะว่าพวกเขาดำรงอยู่เหนือช่องว่างและกาลเวลา

    และอีกหลักการณ์ใหญ่อีกอย่างหนึ่งที่ต่างมิติบอกเอาไว้ตรงกันหมดทั้ง 100% อีกก็คือ
    ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นจาก และมีแก่นแท้ เป็นพลังงานทั้งสิ้น ไม่มีข้อยกเว้น
    และพลังงาน ก็คือสิ่งที่เป็นหลากมิติทั้งสิ้น สามารถไปไหนมาไหน ในทุกๆสถานที่ ได้พร้อมๆกันหมด
    และในเวลาเดียวกันด้วย และพลังงานทุกๆชนิด ก็คือสิ่งที่มีชีวิตซะด้วย
    (นิยามของสิ่งมีชีวิตของต่างมิติ จะไม่เหมือนกับเรา เพราะว่าพวกเขาหมายถึง
    สิ่งที่มีการรับรู้ มีสติสัมปชัญญะ มีความคิดความอ่าน ไม่ได้หมายถึงสิ่งที่มีร่างกายที่เป็นชีวภาพแต่เพียงอย่างเดียว)

    และ “ความคิด” และ “อารมณ์ความรู้สึก” ก็คือพลังงานรูปแบบหนึ่งด้วย
    และเพราะฉะนั้น เมื่อใดก็ตามที่เรา “คิด” และใส่อารมณ์ความรู้สึกเข้าไป
    มันก็จะไปก่อเกิด “สิ่งต่างๆ” ตามที่เราคิดนั้น ขึ้นมาเสมอ ไม่ช้าก็เร็ว ขึ้นอยู่กับว่า
    เรากำลังอยู่ในมิติไหนอยู่ ซึ่งถ้าอยู่ในมิติที่สูงๆความคิดของเราก็ยิ่งถูกเนรมิตออกมาเร็วตามไปด้วย
    แต่ถ้าเราอยู่ในมิติที่สามนี้ มันก็จะถูกเนรมิตออกมาช้าหน่อย อาจจะเป็นวัน เป็นเดือน หรือเป็นปีก็แล้วแต่

    ซึ่งคำว่า “สิ่งต่างๆ” ในที่นี้ก็หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มีอยู่เป็นอยู่
    ไม่ว่าจะเป็นบุคคล เหตุการณ์ หรือวัตถุธาตุทางกายภาพก็ตาม
    เพราะว่าพวกเขาจะบอกประมาณว่า ตอนนี้เรากำลังอาศัยอยู่ในจักรวาลแห่งภาพโฮโลแกรมอยู่
    ดังนั้น มันจึงไม่มีอะไรที่เป็นของจริงเลย เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่าง
    ล้วนเป็นภาพลวงตาของแมตริกซ์ของมิตินี้ด้วยกันทั้งสิ้น..มันไม่มีอะไรเป็นของจริง
    และมันก็ไม่มีความสำคัญที่เราจะไปยึดมั่นถือมั่นเอามาแต่อย่างใดเลย
    เพราะว่าตัวตนที่แท้จริงของเรานั้นคือพลังงาน เราเพียงมาหาประสบการณ์ในร่างมนุษย์นี้
    เพียงชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้นเอง และดังนั้น ก็เลยไม่มีใคร หรือ สิ่งใดเลยที่เป็นของๆเรา

    และดังนั้นพวกเขาถึงพูดอยู่เสมอว่า “จงเป็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง”
    ซึ่งนั่นก็คือ “พลังงานแห่งความรักและแสงสว่าง” และด้วยเหตุนี้
    พวกเรา ใครก็ตาม ที่เข้าถึงตัวตนแก่นแท้ของตัวเองได้แล้ว
    จึงจะเป็นผู้ที่มีแต่ความรักความเมตตาให้แก่ทั้งตนเองและผู้อื่นอยู่เสมอ
    มันจะไม่มีเลยความเห็นแก่ตัว และความโอ้อวดโอหัง หรือความคิดที่จะไปทำร้ายผู้อื่น

    “ความรัก” คือพื้นฐานของทุกสิ่งทุกอย่าง นี่ไงหละครับ “พื้นฐาน” ที่ลุงเทพฯถามหา
    และพื้นฐานที่ว่านี้ มันก็อยู่ภายในตัวเราเองอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วซะด้วย
    เราไม่ต้องไปหาจากภายนอกที่ไหน หรือจากใครเลย

    ในทางตรงข้ามกับที่ลุงบอกว่า "มันเป็นทางยาก" แต่ผมกลับมองเห็นว่า
    นี่แหละคือทางตรงและทางง่ายหละ เพราะว่าเราก็เห็นกันมานักต่อนักแล้ว
    ที่ "ผู้ปฏิบัติจิต" หลายคน ไม่มีความก้าวหน้าเท่าที่ควร หรือใช้เวลานานมาก
    หรือต้องปฏิบัติกันอย่างอุกฤษ ถึงจะสำเร็จได้ระดับหนึ่งนั้น ก็เพราะว่า
    ไม่มีพื้นฐานด้านความรักและความเมตตา มีแต่ยึดหลักยึดเกณฑ์ตามที่ถูกสอนต่อๆกันมาเท่านั้น

    ถือศีล ก็เพราะว่าถือศีล ไม่ใช่เพราะว่ามีจิตใจเมตตา แล้วก็เลยไม่เบียดเบียนใครโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
    ถือศีล 227 ก็ภาคภูมิใจที่ได้ถือศีลมากกว่าคนธรรมดา ห่มจีวรณ์สีเข้มกว่า
    ก็ภาคภูมิใจมากกว่า ฉันข้าวน้อยมื้อกว่าก็ภาคภูมิใจมากกว่า
    ถือนิกายธรรมยุติ ก็ภาคภูมิใจมากกว่า ไม่ยอมร่วมอุโบสถกับมหานิกาย
    ทำบุญ ก็เพื่อหวังว่าจะได้บุญ ฯลฯ

    นั่งสมาธิก็เพราะ "อยาก" จะบรรลุอะไรซักอย่าง ถึงได้นั่งสมาธิ
    ไม่ใช่เพื่ออยากจะชำระระบบพลังงานของตัวเองให้บริสุทธิ์เพื่อที่จะได้
    ทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้โลกเลย

    ดังนั้น ต่างมิติทั้งหลายจึงบอกให้เราจดจ่ออยู่กับจักระหัวใจของตัวเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
    เพราะว่าเมื่อใดที่เรามีสติอยู่กับตรงนั้น เมื่อนั้นเราก็จะอยู่กับตัวตนที่แท้จริงของตัวเราเอง
    และเมื่อนั้น “ความรัก” ก็จะค่อยๆเบ่งบานมากขึ้นเรื่อยๆตามไปด้วย

    ต่างมิติไม่เคยบอกให้เราไปเที่ยวแสวงหาครูบาอาจารย์ หรือสิ่งภายนอกที่ไหนเลย
    พวกเขาไม่เคยสอนให้เราเที่ยวไปยกพลังอำนาจของตัวเองไปให้คนอื่นเลย
    เพราะว่าในระดับจิตวิญญาณแล้ว ทุกจิตวิญญาณมีความบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์เสมอเหมือนกันหมด
    ไม่มีใครดีหรือชั่วไปกว่าใครเลย เพียงแต่ว่าเมื่อต่างคนต่างหลงอยู่ในมิติทางกายภาพนี้
    ก็อาจจะมีหลงลืมตัวตนที่แท้จริงของตัวเองไปบ้าง มากน้อยต่างกัน เป็นธรรมดา

    และก็..เมื่อตระหนักรู้แล้วว่าเรากำลังอาศัยอยู่ในจักรวาลแห่งภาพโฮโลแกรมอยู่
    ดังนั้น พวกเขาจึงเตือนพวกเราให้มีสติรู้ถึงข้อเท็จจริงนี้ด้วย
    และดังนั้น พวกเขาจึงบอกว่าเราไม่ควรที่จะไปอินกับบทละครชีวิตของตัวเองมากนัก
    เราควรจะมองมันด้วยการไม่ยึดติด ด้วยความเข้าใจ และด้วยการปล่อยวาง
    ให้ทำตัวเสมือนเป็นผู้สังเกตการณ์ก็พอ ไม่เที่ยวไปตัดสินชี้ถูกผิดให้กับใครหรือสิ่งใด อะไรแบบนั้น

    และการมีชีวิตอยู่ด้วยความเข้าใจเช่นนี้ จึงเป็นเหตุให้ผู้ที่เข้าใจเช่นนี้
    ไม่มีความคิดเลย ว่าตัวเองตกเป็นเหยื่อของบาปและกรรม หรือของใครๆทั้งสิ้น
    เพราะรู้อยู่แล้วว่า ตัวเองทำอะไร คิดอะไร พูดอะไรออกไป อย่างไร
    มันก็จะกลับมาหาตัวเองอย่างนั้นเหมือนกัน หรือมันจะไปดึงดูดเอา
    สิ่งที่มีระดับพลังงานเดียวกัน กับระดับพลังงานแห่งความสั่นสะเทือน
    ของความคิด อารมณ์ความรู้สึก คำพูด และการกระทำนั้นๆกลับมาหาตัวเอง นั่นเอง

    และมุมมองของการมีชีวิตอยู่ มันจึงไม่ใช่มุมมองที่ว่า เราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม
    และก็เลยไม่ทำให้เราไปโทษร่างกายเนื้อของเรา ว่าเป็นเพราะมันแท้ๆเราถึงต้องถูกกุมขังอยู่ในมิตินี้
    อะไรแบบนั้นหนะนะครับ และก็..มันจึงทำให้เราไม่เบื่อหน่ายการมีชีวิตอยู่
    ไม่มานั่งทอดอาลัยตายอยากเพราะเข้าใจและปักใจเชื่อว่าตัวเองเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม
    เพราะว่าตัวเองคือคนบาปหนา เพราะว่าตัวเองคือคนเลว อะไรแบบนั้น

    แต่ก็ไม่ใช่ว่าให้เราไปหลงไหลได้ปลื้มไปกับความสุขที่ได้จากประสาทสัมผัสหรอกนะครับ
    เพราะว่ามันจะเป็นความเข้าใจ และรู้สึกขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มีอยู่
    และที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราเองต่างหาก เพราะว่าความจริงมันก็เป็นเช่นนั้น

    ว่า..ร่างกายเนื้อนี้ มันไม่ได้ทำผิดอะไร ทำไมเราจะต้องไปจงเกลียดจงชังมันด้วย
    ทำไมเราจะต้องไปสะกดจิตตัวเอง โดยการจินตนาการให้เห็นมันว่ามันชั่ว มันเลว มันน่ารังเกียจ
    มันเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกโสโครกด้วยหละ เราน่าจะขอบคุณมันซะด้วยซ้ำไป ที่มันรับใช้เรามาตลอด
    มันมีอุบาย หรือ วิธีอย่างอื่น ที่ดีกว่า และสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ และความเป็นจริงอยู่ไม่ใช่หรือ
    ที่จะทำให้เราไม่ไปยึดติดกับร่างกายเนื้อนี้หนะ..ซึ่งนั่นก็คือ ความเข้าใจในความเป็นจริงข้อนี้นั่นเอง

    เพราะฉะนั้นแล้ว การดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันจึงจะเป็นไปในทิศทาง
    ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรับผิดชอบ ที่มีต่อระดับคลื่นความสั่นสะเทือน
    ที่ตัวเองจะส่งออกไป มันจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจแห่งความเชื่อมั่นในตัวเอง
    ในขณะที่ก็จะมองเห็นคนอื่นๆ ว่าก็มีพลังอำนาจและความศักดิ์สิทธิ์เสมอเหมือนกันด้วย

    และด้วยเหตุนี้ มันจึงจะมีแนวโน้มไปในทิศทาง "ปราศจากการแบ่งแยก"
    ว่านี่คือพุทธ นี่คือคริสต์ นี่คือฝรั่ง นี่คือคนไทย นี่คือมนุษย์ นี่คือสัตว์เดียรัจฉานผู้ต่ำต้อยด้อยค่ากว่าเรา ฯลฯ

    และเพราะฉะนั้น ผมจึงบอกไงครับว่า ผมให้เคารพในการเลือกของทุกๆคน
    ไม่ว่าท่านจะเชื่ออย่างไร คิดอย่างไร ผมไม่บังคับให้ท่านเชื่อตามผม
    และแน่นอนว่า ผมเอง ก็ไม่ชอบที่จะถูกบีบบังคับให้ต้องเชื่อตามท่านด้วย


    อันที่จริง มันยังมีจุดใหญ่ๆหรือประเด็นใหญ่ๆที่ผมยังไม่ได้พูดถึงอยู่อีก
    แต่ผมคิดว่า เมื่อผมอธิบายมาถึงตรงนี้แล้ว ก็น่าจะเพียงพอให้พอจับประเด็นได้แล้ว
    ว่า ความยึดมั่นถือมั่น หรือความอหังการ มันจะเติบโตขึ้นมาจากไหน
    เมื่อเรารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างคือสิ่งมีชีวิต และมีต้นกำเนิดมาจากที่เดียวกันหมด
    เมื่อเรารู้ว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีความศักดิ์สิทธิ์เสมอเหมือนกันหมด
    แล้วความเป็น “มาร” มันจะมาจากไหน เมื่อเราคือ “ความรักและแสงสว่าง”
    เมื่อตัวตนที่แท้จริงของเราคือผู้ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา

    เฮ้อ..ผมเหนื่อยแล้วหละครับ..ขอพอแค่นี้ก่อนนะครับ
    และก็..ท่านใดที่ติดตามอ่านข้อความจากต่างมิติมาตลอด
    ที่เห็นว่าผมน่าจะพูดถึงเรื่องไหนอีกด้วย แต่ผมลืมไป
    ก็ขอได้โปรดช่วยอธิบายเสริมให้ผมด้วยนะครับ

    ขอขอบพระคุณล่วงหน้าด้วยนะครับ
    ..................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2014
  3. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    "นั่งสมาธิก็เพราะ..อยาก..จะบรรลุอะไรซักอย่าง ถึงได้นั่งสมาธิ
    ไม่ใช่เพื่ออยากจะชำระระบบพลังงานของตัวเองให้บริสุทธิ์
    เพื่อที่จะได้ทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้โลกเลย"
    (โดนใจประโยคนี้มากค่ะ เพราะที่เห็นและเป็นอยู่ส่วนใหญ่ก็ทำบางสิ่ง..เพื่อบางอย่างและบางอย่างที่ว่าก็เพื่อตัวเองแทบทั้งสิ้น)
     
  4. talkjoss

    talkjoss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2010
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +2,252
    :cool: :cool: :cool: เป็นกำลังใจให้คุณเสมอครับ :cool: :cool: :cool:
     
  5. chevasit

    chevasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +424
    แนวคิดใดๆ ก็ตามขอให้มันเป็นไปตามหลักธรรมชาติและมีเหตุ มีผลในตัวของมันเอง ไม่เลื่อนลอย ไร้หลักการ ผมยินดีรับฟัง โดยไม่ต้องอาจเทพ อาจเจ้า มาประกอบให้ดูน่าเชื่อถือ
    เพียงแต่ตัว เราเอง ต้องเปิดใจ ให้กว้างด้วย แต่ถ้าตัวเรายึดเฉพาะแนวคิด หรือศาสนาของเราอย่างเดียวแล้ว ผมขอแนะนำเลยว่า ออกจากห้องนี้เถอะครับ มันไม่เหมาะกับท่านจริงๆ
     
  6. อจิตตะ

    อจิตตะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2012
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +1,840
    [​IMG]

    THE HILARION’S WEEKLY MESSAGE 2014
    January 19-26, 2014
    วันที่โพสท์ _Tue ,21/1/2014

    ผู้แปล: อจิตตะ

    ในขณะที่คุณยังคงวนเวียนไปตามวงจรชีวิตในแต่ละวัน
    คุณต้องไม่ลืมที่จะชื่นชมและให้รางวัลแก่ตัวเองเสมอ
    สำหรับภารกิจที่กำลังทำและที่ยังได้เดินอยู่บนโลกใบนี้...
    บทบาทที่คุณต้องเล่นในการเปิดเผยแผนของพระเจ้า
    ด้วยการปรากฏตัวของคุณนี้เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง
    เพราะ “พวกคุณคือความรัก”
    ซึ่งมีเหล่าทวยเทพและผู้ที่คอยให้คำแนะนำอยู่รอบๆตัวคุณมากกว่าที่ผ่าน ๆ มา
    เรารู้สึกยินดีที่คุณรับฟังและตอบสนองในสิ่งที่เราพูด
    ซึ่งการเปิดเผยที่จะเกิดขึ้นในปีนี้มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆที่จะเกิดขึ้นได้ทุกวัน
    ดังนั้นการสื่อสารที่ดีและชัดเจนด้วยมุมมองของมิติที่สูงขึ้น
    ย่อมยังประโยชน์ให้แก่คุณ...แก่คนที่คุณรัก...และแก่โลกของคุณ
    อีกทั้งคำแนะนำต่าง ๆ และในสิ่งที่ต้องทำที่คุณสมควรได้รับ
    เพื่อการก้าวไปข้างหน้าของคุณและผู้คนในแวดวงของคุณ...
    ซึ่งบัดนี้...ก็มีความพร้อมแล้ว

    คุณอย่าได้เคลือบแคลงในสิ่งที่ได้รับจากเราเลยนะ
    หากคำพูดนั้นเป็นไปเพื่อการนำทางและให้คำแนะนำแก่คนใกล้ชิดของคุณ
    เพราะสิ่งที่คุณบอกพวกเขา บางทีก็อาจเป็นสิ่งที่ผู้รับจำเป็นต้องรู้
    เพื่อนำไปใช้เป็นแนวทางในการปรากฏตัวของพวกเขา
    และมีความเป็นไปได้อย่างมากที่บางสิ่งที่คุณได้บอกไป
    จะเป็นคำตอบที่ ”ใช่เลย” สำหรับพวกเขาด้วย
    ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเพียงคำแนะนำหรือการบอกใบ้ก็ตาม
    ซึ่งก็อาจเป็นสิ่งที่พวกเขากำลังตามหาอยู่ก็เป็นได้...


    สิ่งเดียวที่จะช่วยให้คุณไม่ใส่อารมณ์ลงไปในข้อความที่คุณต้องแบ่งปัน คือ “อุเบกขา”
    และหากคุณไม่ลืมว่าคุณเป็นเพียง”ผู้ส่งสาร”
    สิ่งที่คุณพูดและส่วนที่คุณทำ ณ.ขณะนั้น ก็จะบรรลุผลสำเร็จ
    แต่หากผู้รับทำเหมือนไม่ได้ยินในสิ่งที่คุณพูด
    ก็ขอให้เชื่อเถอะว่าอย่างน้อยเขาก็ได้รับข้อมูลที่เขาต้องการแล้ว
    และก็จงปล่อยไว้งั้นแหละ...ดีสุด...

    การสื่อสารที่ตรงไปตรงมาและลุ่มลึกโดยผ่านจากผู้หนึ่ง
    หรือผ่านคนอย่างคุณสู่ผู้ที่คุณต้องดูแลด้วยการให้คำแนะนำ...
    นั่นเป็นสิ่งที่ผู้มีระดับจิตสำนึกที่สูงกว่าต้องการและต้องทำ
    ขอให้คุณพูดด้วยความรักและความเมตตา
    และก็ปล่อยให้ผู้รับตัดสินใจเอาเอง
    ว่าเขารับได้กับสิ่งที่ได้รับโดยผ่านคุณหรือไม่
    และนี่คือการบริการส่งต่อซึ่ง”ความรัก” แด่ผู้ที่อยู่ในแวดวงของคุณ
    ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ก็ยินดีรับ”ความรัก”นี้ด้วยความซาบซึ้งใจ...


    ทุกวันนี้ เหล่าจิตวิญญาณบนโลกก็ยังคงวนเวียน
    เพื่อค้นหาการคำตอบจากคำถามที่พวกเขาไม่เคยได้รับ
    แต่หากทันทีที่ความคิดในมุมมองใหม่ได้มีโอกาสเข้าไปสู่ความตื่นรู้
    เขาก็จะนำมาเรียงลำดับเพื่อผนึกเข้าสู่ศูนย์รวมความรู้ของเขา
    และความช่วยเหลือของคุณก็จะได้รับการขอบคุณอย่างมากมาย
    ถึงแม้ว่าคุณจะไม่เคยได้ยินคำชื่นชมจากปากของพวกเขาเหล่านั้นก็ตามเถอะ
    แต่สิ่งที่คุณพูดออกไปมันเหมือนเป็นยาบรรเทาความเจ็บปวด
    และปลอบประโลมใจให้แก่เหล่าจิตวิญญาณที่มีปัญหาเหล่านั้น...
    นี่แหละ...ที่เราเคยเรียกคุณว่า “ทูตของเรา” ในสารฉบับต้นๆ

    และในขณะที่โลกต้องการความรัก ความเมตตากรุณา
    และ”ขันติ”จากคุณมากกว่าที่ผ่านมา
    ซึ่งคุณคุณต่างก็ได้รับการฝึกฝนจนเชี่ยวชาญพอที่จะเป็น”ผู้ให้”ในลักษณะนี้แล้ว
    เราบอกคุณได้เลยนะว่า “ต่อไปนี้ไม่มีใครจะมาพูดว่าคุณแอบหลับในขณะทำงานได้อีก”
    เพราะความเป็นจริง "แม้กระทั่งยามหลับ...คุณก็ยังคงปฏิบัติภารกิจนี้อยู่เลย"

    ความหลากมิติของคุณยังคงเดินเครื่องอยู่ตลอดเวลา
    เพื่อประโยชน์ของผู้คนมากมายที่ยังต้องการ โดยไม่จำเป็นต้องพัก
    ดังนั้น ในแต่ละวัน คุณสามารถขอรับความช่วยเหลือ
    จากกระบวนการเลื่อนระดับของคุณ
    ในสิ่งที่คุณต้องการด้วยตัวคุณเองเสมอ
    คำตอบจากมิติที่สูงกว่าของคุณกับคำแนะนำที่พระเจ้าเห็นชอบ
    จะจัดส่งและตอบคุณในทันทีทันใด
    ซึ่งคุณก็ต้องเปิดใจรับกับคำตอบนั้นและส่งต่อในสิ่งที่คุณได้รับด้วยนะ
    แต่ในบางครั้งคำร้องขอกับคำแนะนำที่คุณต้องการอาจมาล่าช้าไปบ้าง
    ซึ่งคุณต้องฝึกสังเกตุโดยใช้“ขันติ” และ “ความเพียร” เข้ามาช่วย
    แต่หากคุณมีความมานะอุตสาหะในเรื่องนี้
    ความตระหนักรู้ของคุณก็จะเพิ่มขึ้น
    จนคุณอดที่จะขอบคุณกับสิ่งที่คุณได้รับไม่ได้
    และยังทำให้คุณมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า
    “แท้จริงแล้วคุณมิได้เดินอยู่บนโลกนี้คนเดียวหรอกนะ”

    “เรา” คือหนึ่งในครอบครัวแสงสว่างของคุณ
    ที่ได้ตัดสินใจเข้ามาช่วยขจัดปัญหาต่างๆที่ยังอุดตัน
    ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการติดขัดในการเลื่อนระดับจิตให้สูงขึ้นไปของคุณ
    “เรา”สามารถทำงานร่วมกับคุณได้ตลอดวันตลอดคืน
    เพื่อช่วยให้คุณได้ทำความเข้าใจ ว่าอะไรคือสิ่งที่คุณต้องทำเพื่อก้าวไปข้างหน้า
    กับพลังงานและคลื่นแสงสว่างจากจักรวาล
    ที่กำลังไหลบ่ามาอย่างท่วมท้นเพื่อส่องสว่างให้แก่ดาวเคราะห์ดวงนี้
    เพราะเมื่อใดก็ตามที่แสงสว่างเหล่านี้มาถึง
    ก็มักจะต้องเร่งเปิดตัวรูปแบบของจิตสำนึกที่ดี
    และวิธีการปฏิบัติที่พร้อมจะพาคุณก้าวขึ้นสู่ความเข้าใจยิ่งขึ้น
    เพื่อให้คุณนำความเข้าใจนั้นมาปรับใช้กับอาณาจักร(จิตสำนึก=ผู้แปล)ของคุณเอง

    ขณะนี้พวกคุณส่วนใหญ่ก็เริ่มเข้าใจในความเป็นจริงแล้วว่า
    คุณและทุกผู้ทุกนามต่างก็เป็นส่วนหนึ่งในอาณาจักรของจักรวาลนี้
    ดังนั้นถึงแม้ว่าตอนนี้คุณยังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงตัวคุณเอง
    แต่คุณก็สามารถเป็นผู้ช่วยเปิดทางให้แก่ผู้ที่กำลังตื่นรู้
    ได้ค้นหาคำตอบด้วยจิตวิญญาณของเขาเองกับเส้นทางที่คุณเคยได้เดินผ่านมา
    ...เช่นกรณีที่ได้เคยพบเห็นมาแล้ว
    กับผู้ที่ได้ค้นพบอิสระภาพจากกงล้อของการเวียนว่ายตายเกิด
    และสามารถปลดปล่อยตัวเองได้แล้ว
    ก็กลับมาและยื่นมือเข้าช่วยเหลือพี่พี่น้องๆของตน
    เพื่อให้พวกเขาทุกคนได้รับ”อิสระภาพ”นั้นร่วมกัน...


    Until next week…
    I AM Hilarion


    ©2014 Marlene Swetlishoff/Tsu-tana (Soo-tam-ah) Keeper of the Symphonies of Grace
    Permission is given to share this message as long as the message is posted in its entirety
    and nothing has been changed, or altered in any way and Scribe's credit, copyright and websites are included.
    WELCOME! - The Rainbow Scribe
    MOVING INTO LUMINOSITY
    Thank you for including the above website link when posting this message.
     
  7. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความของท่าน Hilarion นี่ มาได้ถูกที่ถูกเวลาเสมอเลยนะครับ
    ยังกะรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่อยู่อย่างนั้นแหละ
    มันช่างบังเอิญเข้ากันได้กับสถานการณ์ตอนนี้ของกระทู้เราพอดีเลย ฮิฮิ..


    .......

    "คุณอย่าได้เคลือบแคลงในสิ่งที่ได้รับจากเราเลยนะ
    หากคำพูดนั้นเป็นไปเพื่อการนำทางและให้คำแนะนำแก่คนใกล้ชิดของคุณ
    เพราะสิ่งที่คุณบอกพวกเขา บางทีก็อาจเป็นสิ่งที่ผู้รับจำเป็นต้องรู้
    เพื่อนำไปใช้เป็นแนวทางในการปรากฏตัวของพวกเขา
    และมีความเป็นไปได้อย่างมากที่บางสิ่งที่คุณได้บอกไป
    จะเป็นคำตอบที่ ”ใช่เลย” สำหรับพวกเขาด้วย
    ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเพียงคำแนะนำหรือการบอกใบ้ก็ตาม
    ซึ่งก็อาจเป็นสิ่งที่พวกเขากำลังตามหาอยู่ก็เป็นได้...


    สิ่งเดียวที่จะช่วยให้คุณไม่ใส่อารมณ์ลงไปในข้อความที่คุณต้องแบ่งปัน

    คือ “อุเบกขา”

    และหากคุณไม่ลืมว่าคุณเป็นเพียง”ผู้ส่งสาร”
    สิ่งที่คุณพูดและส่วนที่คุณทำ ณ.ขณะนั้น ก็จะบรรลุผลสำเร็จ
    แต่หากผู้รับทำเหมือนไม่ได้ยินในสิ่งที่คุณพูด
    ก็ขอให้เชื่อเถอะว่าอย่างน้อยเขาก็ได้รับข้อมูลที่เขาต้องการแล้ว
    และก็จงปล่อยไว้งั้นแหละ...ดีสุด...

    การสื่อสารที่ตรงไปตรงมาและลุ่มลึกโดยผ่านจากผู้หนึ่ง
    หรือผ่านคนอย่างคุณสู่ผู้ที่คุณต้องดูแลด้วยการให้คำแนะนำ...
    นั่นเป็นสิ่งที่ผู้มีระดับจิตสำนึกที่สูงกว่าต้องการและต้องทำ
    ขอให้คุณพูดด้วยความรักและความเมตตา
    และก็ปล่อยให้ผู้รับตัดสินใจเอาเอง

    ว่าเขารับได้กับสิ่งที่ได้รับโดยผ่านคุณหรือไม่
    และนี่คือการบริการส่งต่อซึ่ง”ความรัก” แด่ผู้ที่อยู่ในแวดวงของคุณ
    ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ก็ยินดีรับ”ความรัก”นี้ด้วยความซาบซึ้งใจ...


    ทุกวันนี้ เหล่าจิตวิญญาณบนโลกก็ยังคงวนเวียน
    เพื่อค้นหาคำตอบจากคำถามที่พวกเขาไม่เคยได้รับ
    แต่หากทันทีที่ความคิดในมุมมองใหม่ได้มีโอกาสเข้าไปสู่ความตื่นรู้
    เขาก็จะนำมาเรียงลำดับเพื่อผนึกเข้าสู่ศูนย์รวมความรู้ของเขา
    และความช่วยเหลือของคุณก็จะได้รับการขอบคุณอย่างมากมาย
    ถึงแม้ว่าคุณจะไม่เคยได้ยินคำชื่นชมจากปากของพวกเขาเหล่านั้นก็ตามเถอะ
    แต่สิ่งที่คุณพูดออกไปมันเหมือนเป็นยาบรรเทาความเจ็บปวด
    และปลอบประโลมใจให้แก่เหล่าจิตวิญญาณที่มีปัญหาเหล่านั้น...
    นี่แหละ...ที่เราเคยเรียกคุณว่า “ทูตของเรา” ในสารฉบับต้นๆ"
    [/COLOR]

    ..............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2014
  8. talkjoss

    talkjoss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2010
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +2,252
    [​IMG]

    ขอให้คุณพูดด้วยความรักและความเมตตา
    และก็ปล่อยให้ผู้รับตัดสินใจเอาเอง
    ว่าเขารับได้กับสิ่งที่ได้รับโดยผ่านคุณหรือไม่
    และนี่คือการบริการส่งต่อซึ่ง”ความรัก” แด่ผู้ที่อยู่ในแวดวงของคุณ
    ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ก็ยินดีรับ”ความรัก”นี้ด้วยความซาบซึ้งใจ...


    <((ขอขอบคุณผู้ส่งสารนี้ด้วยครับ))>
     
  9. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    ตอบพ่อหนุ่มChayutt(ตอนหนึ่ง)

    ที่ว่าศาสนาพุทธตกต่ำนะ ทางต่างนิกายเขาว่าศาสนาพุทธพัฒนาขึ้นต่างหาก อย่างเช่นทางธิเบตเขาถือว่าการปรากฏตัวขึ้นมาของฝ่ายตันตระหรือพุทธแบบตันตระ นั้นแลคือพัฒนาการอันสูงสุดของพระพุทธศาสนา แลทางนิกายอื่นทั้งฝ่ายมหายานแลเถรวาทก็ถือว่า เป็นยุคเสื่อมของพระพุทธศาสนาเพราะมีการนำเอาไสย์ศาสตร์แบบฮินดู ปรัชญา เขามาปลอมปนเป็นอย่างมาก ทางพุทธแบบตันตระ เขาถือว่าเป็นการขัดเกลาพุทธธรรมให้วิเศษสูงส่งยิ่งขึ้นไป ทางมหายานนั้นเล่าที่ปรากฏขึ้นมาราวเจ็ดร้อยปีก่อนก็ถุกมองว่า เป็นความเสื่อมจากฝ่ายหินยาน แต่ทางมหายานก็มองว่าเป็นการพัฒนาเพราะเปิดโอกาสให้ ใครก็ตามสามารถดำเนินไปตามโพธิสัตว์วิถีเพื่อความหลุดพ้นของทุกสรรพชีวิต จะมีประโยชน์อะไรที่จะมุ่งความหลุดพ้นส่วนตัวเยี่ยงฝ่ายหินยาน(ทั้ง18นิกายโดยประมาณ)

    แลฝ่ายหินยานทั้ง18นิกาย นั้นเล่าต่างก็ถือว่าฝ่ายตนคือคำสอนเดิมแท้ยิ่งกว่าฝ่ายอื่น ทีนี้อะไรคือความจริงล่ะ


    ย้อนกับไปที่ประเด็นนี้นิดหนึ่งในการสังคายนาครั้งที่สองนั้น แม้พุทธศาสนาจักมิได้แตกเป็น18นิกายอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ปรากฏว่ามีสามนิกายใหญ่คือสถวีระอันเป็นต้นกำเนิดฝ่ายเถรวาทในปัจจุบัน อีกสองนิกายคือ มหาสังฆิกะ แลวัชชีบุตร จุดมุ่งหมายก็คือการวิพากษ์ฝ่ายวัชชีบุตร นั้นแล เรื่องวินัยนั้นยังเป็นเรื่องเล็ก แลขอให้ตราไว้ว่าเรื่องวินัยนี้ก็อย่างที่รู้ว่าพระพุทธเจ้าให้ถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้ ก็เลยมีความสับสนว่าควรจะถอนสิกขาบทไหน ทีนี้ฝ่ายพระมหากัสสปะก็ว่า ไม่ควรจักถอนเลย แลขอให้ตั้งข้อสังเกตว่า ในการสังคายนาครั้งที่1นั้น มีภิกษุอรหันต์สาวก500รูปเข้าร่วมนั้นก็หมายความว่ามีท่านที่ไม่ไดเข้าร่วมอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เพราะท่านเหล่านั้นอาจจะอยู่ใกล้จึ่งไม่รับรู้ข่าว ทีนี้ก็เลยเกิดความไม่ยอมรับขึ้น นำโดยท่านพระยสะ ซึ่งท่านไม่ยอมรับการสังคายนาครั้งนั้นท่านยอมรับเฉพาะพระธรรมวินัยที่ตัวเองได้ฟังมาจากหูเท่านั้น แลท่านก็ไปรวมพระอรหันต์สาวกที่ไม่ได้เข้าร่วมในครั้งนั้น ซึ่งมีจำนวนมาก เพื่อทำการสังคายนาของท่านเอง ทีนี้ในครั้งนี้ไม่ได้เปิดโอกาสให้พระอรหันต์เท่านั้น แต่เปิดโอกาสให้อริยบุคคลรองๆๆลงไปแม้จนปุถุชนได้มีโอกาสเข้าร่วมแลเรียกว่าการสังคายนาครั้งที่1 แลกลุ่มที่ยอมรับการสังคายนาครั้งนี้เรียกตัวเองว่ามหาสังฆิกะ หรือ สงฆ์หมู่มาก ที่นี้ในคัมภีร์ว่ามีพระโพธิสัตว์ร่วมด้วย ตลอดจนเทพเทวา ครุฑ นาคอะไรนองนี้ แต่ประเด็นก็คือ ตอนนี้ก็มีสองกลุ่มแล้วคือที่ยอมรับการสังคายนาของพระมหากัสสปะ กับที่ยอมรับครั้งหลังของสังฆะหมู่มาก

    โดยการร่วมมือกันของทุกนิกายในสมัยนั้น อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าฝ่ายวัชชีบุตรนั้นเชื่อว่า มีตัวตนที่แท้จริงอยู่ คือจิตวิญาณ คือผู้รู้ ที่อยู่เหลือโลกวัตถุนี้ไปเราไม่ใช่ร่างกายเนื้อนี้ ดังนั้น เราจึงแค่กำลังสวมใส่ร่างกายเนื้อนี้อยู่เท่านั้นเอง แลคล้ายๆๆปรัชญาของข้อความต่างมิติหรือไม่ นี้แลคือปรัชญาของฝ่ายฮินดู ที่พุทธศาสนาสมัยนั้นปฏิเสธ พูดง่ายๆๆก็คือ ฝ่ายวัชชีบุตร นั้นรับมติของฝ่ายฮินดูเรื่องการมีอยู่ของตัวตนที่แท้จริง จัดเป็นสัสสตทิฏฐิ หรือ เป็นมิจฉาทิฏฐิ คำนี้หมายความว่า ปรัชญาเช่นนี้คือปรัชญาที่ไม่ใช่ว่าผิดแต่ยังไม่เห็นความจริงครบทุกด้านหรือไปที่สุดเลยยังไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ นี้แลคือประเด็นของพระพุทธเจ้า

    ทีนี้ก็มาที่การสังคายนาครั้งที่สาม เรื่องนี้ส่วนใหญ่ได้อิทธิผลของข้อมูลมาจากมาจากฝ่ายใต้คือปกรร์บาลีแลฝ่ายสันสกฤตมิได้พูดถึง ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดรับมาจากพุทธศาสนาที่ลังกา ดังนั้นจึ่งได้อิทธิผลมาจากคัมภีร์ของชาวลังกาที่เขียนขึ้นหลังจากยุคพระเจ้าอโศกนานมากเลยทีเดียว ตราตรงนี้ไว้ก่อน แลข้อมูลภาษาไทยที่สอนกันอยู่ก็มาจากฝ่ายนี้เสียมาก(หัวเราะก็เรามันฝ่ายนี้นี่)


    ทีนี้ เราจะทำเช่นไรดี แลเราก็ควรที่จักศึกษาให้กว้างไกลถูกไหมเล่า แลก็โชคดีที่มีคนศึกษาเรื่องนี้ไว้ แบบเป็นกลางๆๆ ซึ่งก็คือฝรั่งนี่ก็น่าชมเชยอย่างหนึ่งคือพวกนี้สนใจอะไรมันกัดไม่ปล่อย ที่นี้ก็เลยมีการวิจัยเรื่องนี้ ซึ่งหลายท่านได้ใความเห็นว่า การสังคายนาครั้งที่สาม เป็นเพียงเรื่องแต่งขึ้นมาของฝ่ายลังกา เช่น อ. อี.เอ.สมิท ศ.เคิทส์ ศ.โอลเดนเบริ์ก เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้เราคงจะไม่เคยได้ยินในภาษาไทยดอก(หัวเราะ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคุณภาพการศึกษา บ้านเรา แลรปิดหูปิดตากบในกะลาของนักวิชาการไทย) แต่ในภาษาอังกฤษหรือในต่างประเทศมีการวิจัยสอนศึกษากันอย่างจริง ซึ่งลุงก็ชอบหาข้อมูลตรงนี้มาอ่านก็รู้สึกสนุกดี.....ที่นี้ทำไมล่ะ ก็เพื่อโยงให้ตัวเองเชื่อมโยงกับนิกายทางอินเดีย ในที่นี้คือฝ่ายสถวีระที่อินเดียให้ได้ เพราะไม่มีศิลาจารึกถึงเรื่องนี้เลย แลจากจารึกเขียนว่าพระเจ้าอโศกนั้นนับถือทุกศาสนาเท่าเทียมกันคือแม้ฮินดู เชน เองก็นับถือไม่แพ้พุทธ แม้ว่าจะเอนมาทางพุทธมากที่สุด แล้วนับประสาอะไรที่ท่านจะเห็นนิกายใดดีกว่านิกายอื่นเล่า ก็ในเมื่อต่างศาสนาท่านยังให้ความเคารพเท่าเทียมกับศาสนาที่พระองค์ทรงเลื่อมใสเลย ทีนี้ฝ่ายสถวีระนี้ ในยุค18นิกายนี้ ฝ่ายนี้ได้แยกออกไปหลายนิกายทีเดียวใน18นิกายนี้ แต่ฝ่ายสถวีระนิกายที่ทรงอิทธิผลที่สุดคือเถรวาทินซึ่งก็คือต้นนิกายของลังกาที่ไทย พม่า ลาว แถวนี้ไปรับมา กับอีกนิกายก็คือสรวาสติวาทิน หรือ นิกายอภิธรรมเพราะเชี่ยวชาญพระอภิธรรมยิ่งกว่าผู้ใดแลนิยมรจนาปกรณ์ทางอภิธรรม แลสองนิกายนี้ถือว่าทรงอิทธิผลมากทีสุดในบรรดา18 นิกายในยุคนั้นหากไม่นับมหาสังฆิกะ ที่นี้ปกรณ์ของฝ่ายสรวาสติวาทิน(ต้นฉบับสันสกฤตสาปสูญไปแล้วแต่คัมภีร์นิกายนี้มีแปลเป็นจีนและทิเบตมาก)ก็อ้างว่า พระเจ้าอโศกนับถือฝ่ายตน พึ่งตราไว้ว่าในยุคนั้นมีอ.ที่เป็นที่นับถือของพระเจ้าอโศกอยู่สองรูปคือ พระโมคลลีบุตรติสสะเถระ แลท่านนี้คืออ.ฝ่ายเถรวาทิน แลเป็นผู้แต่ปกรณ์กถาวัตถุอันนับเนื่องเป็นหนึ่งในคัมภีร์ทั้ง7ของพระอภิธรรม ฝ่ายสรวาสติวาทินั้นเล่าก็มีพระอุปคุปต์ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กันแลเกี่ยวข้องกับพระเจ้าอโศกไม่ใช่น้อย เพราะท่านคือผู้นำในการสร้างอโศการาม

    แต่ในคัมภีร์มหาวังสะ อันเป็นปกรณ์ที่ชาวลังกาแต่งในอีกหลายร้อยปีจากนั้น แลเป็นที่มาของข้อมูลที่นักวิชาการไทยมักอ้างถึงเรื่องสังคายนาครั้งที่สามนี้ ก็หาได้พูดถึงพระอุปคุปต์ไม่ราวกับว่าไม่มีตัวตน ฝ่ายสรวาสติวาทินนั้นเล่าก็มีการแต่งอโศกาวทาน ก็ไม่ได้พูดเรื่องพระโมคลลีบุตรติสสะเถระ ทำนองว่าทั้งสองฝ่ายต่างเห็นว่าไม่ใช้เรื่องที่จะพูดยกย่องฝ่ายตรงข้าม

    แลกถาวัตถุนั้นเล่าความนี้ก็ไม่ต่างจากการแต่งปกรณ์ของฝ่ายอื่นๆๆเพื่ออธิบายปรัชญาของฝ่ายนิกายตนว่าต่างจากฝ่ายอื่นตรงไหน แลโต้แย้งฝ่ายอื่นอย่างที่คัมภีร์ของฝ่ายสรวาสติวาทิน ก็หักล้างปรัชญาของฝ่ายเถรวาทมิใช่น้อย ดังนั้น กล่าวโดยสรุปนักวิชาการชั้นนำบางท่านก็ให้ความเห็นว่า ไม่มีการสังคายนาครั้งที่สามจริงอย่างที่ฝ่ายลังกาว่า สักแต่เพียงว่าเป็นการชำระภายในนิกายเถรวาทินเท่านั้น หาได้เป็นไปตามที่มหาวังสะอ้างไม่ แลพระมหินทระที่ฝ่ายลังกาอ้างว่าพระเจ้าอโศกทรงส่งมาเผยแพร่พระธรรมที่ลังกา ก็สักแต่ว่าเป็นเพียงเรื่องแต่ง แลข้อที่เขียนโจมตีนิกายอื่นก็เป็นรูปแบบการเขียนของชาวลังกาที่จักหาว่าฝ่ายตรงข้ามมิใช่ชาวพุทธเหมือนนิกายตนอยู่แล้วมิแปลกอะไร

    ดังนั้นกล่าวโดยสรุปก็คือ ต้องยกหลักกาลามสูตรขึ้นมาอีกครา.....อันนี้ถือว่าเป็นการพูดให้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งและกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 มกราคม 2014
  10. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    สรุปว่า

    1. มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันจริง
    2. มีการแบ่งแยกนิกายอยู่จริง
    3. มีการโจมตีซึ่งกันและกันระหว่างนิกายอยู่จริง
    4. มีการ "แต่ง" ตำราทางศาสนาบางส่วนขึ้นภายหลังจริง
    เพื่อให้เข้ากับนิกายของตัวเอง ในแต่ละนิกาย
    ตาม "ความเห็น" ของผู้ที่นับถือนิกายนั้นๆ

    และ ฯลฯ ใช่ไหมครับ และก็..ดังนั้น..จึง..

    5. ไม่มีใครกล้ายืนยันได้ทั้ง 100% ว่าตำราที่แต่ละนิกายใช้อยู่นี้
    มีส่วนที่เป็นคำสอนดั้งเดิมอยู่จริงๆทั้ง 100%

    พอจะสรุปแบบนี้ได้ไหมครับ?? ดังนั้น พวกเราผู้เป็นชนรุ่นหลัง
    ก็เลยยังต้องพึ่งพา "วิจารณญาณ" ของใครของมันเอาเองอยู่ต่อไป

    และเพราะฉะนั้น การใช้วิจารณญาณ กับตำราทางศาสนา
    กับการใช้วิจารณญาณกับข้อความจากต่างมิติพวกนี้
    ในสายตาของผม จึงไม่มีความแตกต่างกันเลย

    และเพราะฉะนั้น มันก็เลยเป็นไปได้ว่า ภายในข้อความจากต่างมิติเหล่านี้
    มันอาจจะมีความเป็นจริงปะปนอยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย
    และในทางตรงกันข้าม มันก็มีความเป็นไปได้ว่า ในตำราทางศาสนาทั้งหลายนั้น
    มันก็อาจจะมีส่วนที่ไม่จริง ปะปนอยู่ด้วยจริงๆ ไม่มากก็น้อย เช่นเดียวกัน
    .......................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2014
  11. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    กะจะเลิกเล่นเว็บนี้แล้วเชียว เพราะหาอะไรดีๆ ได้ยาก (มีแต่กระต่ายตื่นตูม)


    มาได้เจอข้อความของลุงเทพอภิบาล ก็คิดว่า เออ พอมีอะไรดีๆ สาระดีๆ ที่หาได้
    ยากในที่อื่นหน่อย (ถ้าอยากอ่านตำรา ก็มีอยู่แล้ว ก็คงไม่เข้ามาอ่านในเว็บหรอก)


    แต่ขอหน่อยอ่า แบบว่ามันยาวมาก เยอะจัด เอาแบบเป็นซีรี่ย์สั้นๆ ทีละประเด็นสิ
    คนฟังมันมึนโคตรมึนเลย แต่ว่านะ เราต้องเปิดใจว่า ถ้าจักรวาลจะสื่อกับเราจริง ก็
    อาจสื่อผ่านใครก็ได้ อย่าเพิ่งไปไล่คนแปลกหน้าที่เขาอาจจะเห็นต่างจากเราน่ะคับ


    เอ้าต่อๆ แบบสั้นๆ ทีละประเด็น จะขอบคุณมากคับ
     
  12. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    ตอบพ่อหนุ่มChayutt

    ข้อความในกระทู้นี้นะมันเป็นการผสมหลายลัทธิศาสนาทีเดียว ซึ่งมันไม่ได้มีประเด็นเหมือนกันซะทั้งหมดหรอกนะ

    งั้นมันก็คงเป็นศาสนาเดียวกันไปแล้ว ไม่ทะเลาะกันจนวุ่นวายไปเป็นฝ่ายดอก ขนาดศาสนาเดียวกันมันยังทะเลาะกันเลย(หัวเราะ)
    เราก็แค่ต้องรู้ให้ทันว่า ตรงไหนมาจากไหนบ้าง ข้อความเหล่านี้อาจจะมาจากต่างมิติจริงๆๆก็ได้ แต่ถ้าเราโต่งไปทางนั้นซะหมดเราก็คงดูเป็นไอ้บ้าไปเสีย เราก็มองว่าเอ้าบางทีมันอาจจะมาจากตาบ้าที่ไหนสักคนทีอ่านหนังสือหรือศึกษาศาสนาต่างๆๆแล้วเอามาพูดใหม่ก็ได้

    มองมันอีกด้านหนึ่งก็ไม่เสียหายอะไร ไม่จำเป็นต้องเลือกฝ่ายเลย แนวทางผสมก็ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีมันอาจจะช่วยทำลายความคับแคบออกไปได้ ช่วยให้คนเข้าใจมากขึ้น ก็มีคนพยายามชี้ประเด็นเหล่านี้ไว้มากมาย แต่มันก็มีอีกด้านหนึ่งก็คือมันก็อาจจะทำให้คนสับสนยิ่งขึ้น ทีนี้ ข้อความจากต่างมิติเหล่านี้ มีประโยชน์แน่นอนและก็มีโทษด้วยเป็นของธรรมดา ก็เหมือนคำสอนของพระพุทธเจ้ามันก็มีโทษมีคุณได้ขึ้นกันคนเข้าใจแลเอาไปใช้ว่าไปทางไหน อย่างพระอภิธรรมที่ปราชญ์ทั้งหลายช่วยกันเกลาขึ้นมาให้คนรุ่นหลังได้ร่ำเรียนมีการกระจายหัวข้อธรรมใช้ตรรกะวิธีเป็นจำนวนมาก บางคนที่ศึกษาก็อาจจะเห็นอะไรยิ่งขึ้น แต่บางคนอาจจะสับสนยิ่งขึ้นห่างไกลจากจุดที่พระพุทธเจ้าพยายามชี้ให้คนในยุคของพระองค์เห็นก็ได้

    อย่างเรื่องตัวตนที่แท้ ปรัชญาแบบนี้ของฮินดู ไม่ใช่ฝ่ายพุทธธรรม แต่ไม่ใช่ว่าผิดพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ว่ามันผิด แต่ท่านว่ายังไม่ใช่สิ่งที่ท่านหา ประเด็นก็คือ มันช่วยให้คนปลดความยึดถือเรื่องทางวัตถุ หรือการสักแต่ว่าเป็นทาสของฝ่ายเนื้อหนังได้(หัวเราะอันนี้ข้าแลใช้คำของพระคริสต์)
    แต่ก็มีจุดอ่อนตรงที่อาจจะกลายเป็นทิฏฐิใหม่ แบบที่ครูของพระพุทธเจ้าติดอยู่ตรงนี้ ท่านถึงว่า สองท่านนั้นนะเป็นคนที่มีปัญญามีความเข้าใจที่สูง ถ้าท่านไปชี้ให้เห็นที่ติดนิดเดียวก็จะข้ามประตูไปได้ ซึ่งนั้นก็คือ อิสรภาพที่แท้จริงจะเข้าถึงได้(ถ้าใช้คำนี้ได้นะหัวเราะ) จิตจะหยั่งได้ต้องไปพ้นจากทิฏฐิทั้งปวงเสียก่อน หรือก็คือ ผู้ตรัสรู้แล้ว เขาไม่อิงกับความคิดว่า " ฉันเป็นภาวะที่ตรัสรุ้แล้ว " เพราะท่าน พ้นไปจากความคิดว่า " ตัวฉัน " ดาบสทั้งสอง นั้นยังไม่ไปพ้นจากตรงนี้ ท่านยังคงเข้าใจว่าท่านคือ ผู้ตรัสรู้แล้ว เพราะเข้าถึงภาวะนั้น ซึ่งสำหรับพระพุทธเจ้าแล้วผู้ตรัสรู้แล้วนั้นท่านพ้นไปจากความคิดว่า " ตัวฉัน " และท่านเพียงแต่แค่มีชีวิตอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ไปพ้นแล้วจากการแบ่งผู้กระทำกับผู้ถูกกระทำออกจากกัน นี่คือสาระที่พระพุทธเจ้าเห็น

    ท่านก็เลยสอนให้ปลดความยึดถือตรงนี้เสียคือให้เห็นว่าตัวตนนี้จะที่แท้หรือไม่แท้เป็นเพียงความคิด เป็นมายาทั้งคู่ คือตัวตนที่แท้เกิดจากตัวตนที่ไม่แท้ มโนทัศน์นี้ไม่ได้เป็นอิสระในตัวมันเองดังนั้น จึ่งไม่ได้มีสาระในตัวมันเอง นี่แลคือความว่างหรืออนัตตา ไม่ใช่ว่าอนัตตาคือความจริง แต่หมายความว่าอนัตตาคืออุบาย คนยุคนั้นเขาเชื่อเรื่องตันตนที่แท้ เขาเพ่งหากัน พระพุทธเจ้าท่านก็ว่าตราบที่จิตยังติดที่ตรงนี้ก็ยังบรรลุอิสรภาพไม่ได้ท่านจึ่งออกอุบาย บัญญัติธรรมขึ้นสอน คือหลักอนัตตานี้

    ก็เหมือนความดี บางคนคิดว่าความดีเป็นสิ่งๆๆหนึ่งและวิ่งไปหาความดีนี้ และหนีจากความชั่วมองว่าไม่เกี่ยวกัน พระพุทธเจ้าบอกเธอต้องมองให้ลึกซึ้งกว่านี้ คือมองให้เห็นซิว่า ความดีนมันก็เกิดจากความชั่ว ถ้าเธอไม่มีความคิดเรื่องความชั่วว่าอะไรนะที่ชั่ว เธอจะรู้ได้ไงว่าอะไรที่เรียกว่าดี แล้วเธอจะว่าความดีเป็นจริงมากกว่าความชั่วได้ไง ทั้งสองเกี่ยวกันอย่างลึกซึ้งเหมือนเหรียญสองด้าน ก็เหมือนของคู่ทั้งหลายอย่างจิต-วัตถุ สังสาระ- นิพพาน

    ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านชี้ประเด็นให้ไปพ้นทิฏฐิทั้งหมด
    ไม่ใช่ให้ปฏิเสธว่าไม่จริง แต่ให้ไม่ยึดถือแล้วเราจะช่วงใช้ได้อย่างอิสระมากขึ้น

    ทีนี้ประเด็นเรื่อสอนให้เห็นว่า เราบริสุทธิ์ตั้งแต่แรกเริ่มนี้ก็คล้ายกับพุทธมหายานฝ่ายภูตภาตาวาทิน ฮินดู เต๋า ทีนี้เพราะปกติเราคิดว่าเราต้อยต่ำ ทีนี้ก็ปลดความคิดนี้ซะ ก็เลยสอนว่าเราคือเต๋า คือพระเจ้า คือพุทธมาแต่แรกแล้ว เราแค่ต้องจำให้ได้ วัชรยานไปไกลกว่านั้นคือเอาประเด็นนี้มาพัฒนา คือมาเพ่งจนผู้ปฏิบัติรู้สึกว่าเราเป็นพระพุทธเจ้าไปเลย ก็ประเด็นเดียวกัน คือ แทนที่เราจะคิดว่าเราต้อยต่ำ ก็ปลดความคิดนี้ซะ เราเป็นตัวตนที่สมบรูณ์อยู่แล้ว เราคือเทพตันตระอยู่แล้ว ไอ้นาย ก นาย ขนะเป็นมายาเห็นประเด็นไหมคือ การปลดความยึดถือ ทีนี้ถ้าเราเกิดยึดถือความคิดใหม่ว่าเราสูงส่ง เราเป็นพระเจ้าอยู่แล้ว เป็นพุทธะเราก็อาจจะกลายเป็นคนไม่ที่อะไรเพื่อพัฒนาตัวเองอีก หรือ กลายเป็นคนที่มีอติมานะสุดยอดก็ได้ นี่คือนรกวัชระ
    อย่างฮิตเล่อร์แกว่าแกเป็นศาสดาในอดีตกลับชาติมาเพื่อสร้างอณาจักรของพระเจ้าต่อจากงานของพระเยซู เป็นสุดยอดแห่งอารยัน เป็นซูเปอร์แมนที่นิชเช่พูดถึง นี้แลที่การฝึกฝนพื้นฐานจึ่งจำเป็นคือต้องเรียนรู้เรื่องนั้นนี้ก่อนแล้วค่อยไปขั้นต่อไป นี่คือประเด็นคราวที่แล้ว ต่างมิตินี้ไม่เป็นระบบแล้วกระโดดไปนู้นทีนี่ที จะว่าเหมือนกันไม่ได้ดอก ไม่ใช่ว่าไม่พูดถึง แต่อยู่ในรูปที่แล้วกระโดดไปนู้นทีนี่ที ทีนี้การเสนอไม่เป็นระบบมันอันตรายอย่างไร
    อย่างเซน พระเซนไม่ได้ตรัสรู้เพราะถูกถีบอย่างเดียวก่อนหน้านั้นก็มีการฝึกหลายอย่าง จนถึงหน้าประตูธรรม แล้วอ.ก็ช่วยอย่างฉับพลัน จนผ่านเข้าไปได้ ทีนี้เห็นไหมนิกายเซนถูกนำเสนอในบ้านเราฉาบฉวยไหมล่ะ คือในรูปเหมือนนิทานตลกๆๆ บางคนก็เชื่อ บางคนก็ว่าไร้สาระแค่ถูกถีบ ได้ยินคำพูดบ้าๆๆแล้วตรัสรู้บ้าเปล่า.... บางคนก็อ่านไปเรื่องหนึ่งแล้วคิดว่า ตัวเองตรัสรู้แล้วก็มีอย่าง(หัวเราะ) นิทานเซนที่ศิษย์ไปถามพระอ.ว่าพุทธะคืออะไร อ.บอกเทพเจ้าไฟมาหาไฟ คือแกเป็นพุทธะอยู่แล้วแล้วแกมาถามหาอะไรมิทราบ ทีนี้บางคนก็อ่านตรงนี้แล้วเข้าใจว่าตัวเองบรรลุธรรมแล้วไม่ต้องทำอะไรอีกเพราะเป็นอยู่แล้ว พุทธะนะ นี่มันผิดประเด็นไปเลย

    ปรัชญาที่ว่าทุกอย่างศักดิ์สิทธิ์เป็นการสำแดงออกของพุทธ พระเจ้า อะไรทำนองนี้ก็เช่นกันก็มีประโยชน์ที่ทำให้เราปลดความคิดว่านี่สูงส่งนี้ต้อยต่ำ อะไรทำนองนี้ แต่ก็มีจุดอ่อนตรงที่ถ้าเรายึดถือความคิดเช่นนี้ เราก็อาจจะจนแต้มตรงที่เราหลงไปอยู่ในโลกที่เราหลอกตัวเองก็ได้ เพราะ ถ้างั้นความชั่วร้าย ความรุนแรง ความเจ็บปวด อะไรทำนองนี้ล่ะมาจากไหนในเมื่อทุกอย่างบริสุทธิ์ เป็นพุทธ พระเจ้า จะบอกว่าเป็นมายา ก็ดูจะละเลยความจริงไปว่ามีความชั่วร้าย ความรุนแรง ความเจ็บปวด อะไรทำนองนี้อยู่ เหมือนกาเป็นสีดำคุณจะว่ามันเป็นสีขาวได้อย่างไร?

    อันที่จริงไม่มีคำสอนไหนจริงดอก มันเป็นเพียงความคิด เป็นภาษาที่กั้นกรองมาเพื่อชี้ประเด็นบางอย่างแต่ไม่ใช่ตัวสิ่งที่ชี้นั้น

    ดังนั้นจะบอกว่า ไม่มีอะไรที่เป็นสาระหรือความจริงอยู่ในคำสอนเหล่านั้นเลยก็ได้ เหมือนโบราณท่านว่า คนที่รู้รสเค็มจะเห็นว่าคำบรรยายเรื่องความเค็มนะมันต่างจากตอนที่ลิ้นรู้รสแค่ไหน นี้แลคือหัวใจของการวิปัสสนา (คือให้เห็นความคิดว่ามาจากไหน ครอบงำชีวิตเราแค่ไหน ให้รู้ทัน รู้กัน รู้แก้ รู้จัภาวะที่เหนือไปจากความคิดนะเป็นยังไง )ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยวิธีปฏิบัติเพื่อเป็นอุบาย ให้เห็นตรงนี้ แค่คำพูดนะยังไม่พอดอก แค่อ่านยังไม่พอดอก มันต้องเอามาประยุกต์กับอารมณ์ กับจิตใจของเธอ กับชีวิตกับสัมพันธภาพทุกประการที่มี อย่างความกรุณา เรามีศักยภาพเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่เราจะทำอย่างไรให้มันเติบโตขึ้นเราก็ต้องอาศัยการปฏิบัติเพื่อค่อยๆๆพัฒนาศักยภาพขึ้น แน่นอนไม่ใช่การนั่งหลับตาหรือเพ่งอะไรสักอย่าง อันนั้นไม่ช่วยให้ความกรุณาเติบโตขึ้นสักเท่าไหร่ดอก เราต้องออกไปไปสัมผัสความทุกข์ของผู้คนไปร่วมรับใช้ผู้คน นี่คือประเด็นสำคัญมาก

    อย่างเพื่อนลุงคนหนึ่งเป็นพระ ท่านเข้าเงียบปฏิบัติหายใจเข้าออกเพื่อบ่มเพาะความกรุณา เรียกว่าทองเลน หายใจเข้าเอาความทุกข์เข้ามาหายใจออกเอาความสุขความดีงามออกไป ท่านก็ว่าท่านยังไม่รู้สึกว่าความเห็นแก่ตัวของท่านลดลง ไม่รู้สึกว่าท่านรักได้มากขึ้น(หัวเราะ) ท่านทำมา16ปีท่านรู้สึกว่าท่านหลอกตัวเองอยู่ ท่านก็เลยสึก แล้วอาสาไปเป็นผู้ช่วยแม่ชีชาวคริสต์ดูแลคนป่วย ท่านไปขอองค์ทะไลลามะ ท่านทะไลลามะก็ว่าได้สิ เธอสึกได้เลย ไปเรียนรู้มา แล้วถ้าเธอเข้าใจอะไรมากขึ้นเธอจะบวชใหม่ก็ได้ แล้วท่านก็ไป ท่านไปพยาบาลคนป่วยใกล้ตายไม่มีญาติอะไรทำนองนี้ ซึ่งแน่นอนว่าอารมณ์ไม่ดีเลยล่ะ บางรายไม่ได้คิดว่า เรากำลังช่วยเขาแต่ไม่พอใจก้าวร้าวเสียด้วย ทีนี้ท่านก็เรียนรู้จากการลงมือทำ ว่าแม่ชีเหล่านี้ทนได้ยังไงท่านก็ได้เคล็ดลับมาว่าพวกเธอไม่ได้มีความคิดว่าเธอนะมาช่วยคนนะ หรือมีความสงสาร แต่เธอมาเพื่อปฏิบัติพระเยซูในร่างคนป่วย เป็นความเคารพคนป่วย อะไรนองนี้ และท่านก็เข้าใจเรื่องความกรุณาเป็นครั้งแรกในชีวิต(ท่านว่าอย่างงี้นะ หัวเราะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 มกราคม 2014
  13. มนตะระเทวะ

    มนตะระเทวะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +126
    ข้าอ่านมิได้นานดอก ข้าอ่านแค่ศักราช ละ ๒ บรรทัด 555+
     
  14. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    ช่ายเลย


    เรามักเห็นว่าคนอื่นแย่ ต่ำต้อย ต้องรอเราที่เป็น "ฮีโร่" มาช่วย
    แล้วเราก็คิดว่านั่นแหละ คือ "ความกรุณา" (จริงๆ หลงตัวเอง)
    ในขณะที่แม่ีชี ไม่ได้มองแบบนั้น เพราะเขาไม่ได้มองว่าผู้ป่วย
    ต่ำต้อยกว่าตัวเองเลย ตั้งแต่แรก แต่กลับมองเขาเ้ป็นพระเยซู!


    ไอ้แบบว่า โอ้ ประชาชนคนไทยนี่น่าสงสาร เราจะช่วยเขา ...
    แบบนี้ มันก็สร้างเรื่องละครหลอกตัวเองตั้งแต่แรกละ เรายังไม่
    รู้เลยว่าเขาแย่กว่าเราจริงเหรอ? เผ่าผีตองเหลืองอาจมีธรรม ดี
    กว่าเราก็ได้ เราก็ไปมองว่าเขาต่ำ ล้าหลัง เราเป็นผู้สูงส่ง เลย
    ไปทำให้เขาเป็นแบบเรา เออนะ ผมเห็นเยอะ พวกที่ไปเยี่ยม
    ชาวเขาอ่ะ เอามือถือไปใช้ ของดีๆ ไปใช้ ไปไม่นาน ชาวเขา
    ก็รู้สึกมีปมด้อย อยากมีอย่างนั้นบ้าง สุดท้าย ก็เลยค้ายาบ้าน่ะ


    เรื่องความกรุณา อันนี้ ใช้ได้อ่า โอเค กดไลท์ ...
     
  15. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    พ่อหนุ่ม ที่เอ็งพูดบ้านลุงเรียกว่า ความรักของคุณยาย (หัวเราะ) ทุกวันนี้คนเราคาดหวังกับความกรุณารูปแบบนี้กันมาก คืออยากให้เพื่อนมนุษย์เป็นแบบ ใจดีและอบอุ่น นุ่มนวลสุดจะพรรณนา เอาใจเราอย่างถึงที่สุดไม่ขัดใจอะไรเราทั้งนั้น เป็นมิตรกับเรา เขาจะไม่ตบแม้แต่ยุงที่บินมากัดที่ตัวเขา จะว่าไปความกรุณารูปแบบนี้ก็ไม่ต่างจากคุณพ่อที่ไม่รู้ประสีประสา ตามใจลูกไปเสียทุกอย่าง เขาจะให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่จะทำให้ลูกเขาเป็นสุข โดยไม่สนใจว่า สุดท้ายแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกสุดที่รักของเขา......

    กล่าวโดยสรุปเป็นอย่างเอ็งว่า บุคคลจะหลอกตัวเองด้วยการใช้ กรุณาอย่างไม่ปราณีปราศรัยนี้ บางทีเขาอาจคิดว่าเขากำลังกรุณา แต่ในขณะที่จริง ๆ แล้ว เขากำลังปล่อยความ ก้าวร้าวของเขาออกมากำลังเล่นตลกกับตัวเอง เขาสร้างอณาจักรแห่งรักขึ้นมาในความคิดและพยายามยัดเยียดให้ผู้คนเป็นส่วนหนึ่งของอณาจักรแห่งนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 มกราคม 2014
  16. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772

    ขอตอกย้ำด้วยข้อความล่าสุดจากท่าน Hilarion อีกครั้งนะครับ
    เพราะว่า มันเป็นแบบนี้เสมอมา และก็คงจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปด้วย

    ที่..ถ้าเราไม่ชอบอะไรแล้ว เราก็จะไม่ชอบอยู่นั่นแหละ
    อย่างตัวผมเองเป็นต้น ที่ไม่เคยคิดแม้แต่จะคลิ๊กเข้าไปอ่าน
    ข้อความในหลายกระทู้ที่ผมไม่ชอบนั่นเลย

    และผมก็เข้าใจว่า ท่านอื่นๆก็คงจะเหมือนกันด้วย
    และดังนั้น จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมจึงไม่เคยพบเลยว่า
    การสนทนาโต้แย้ง หรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่ต่างกันแบบนี้
    มันจะจบลงด้วยการ "เออ..จริงด้วย มันเป็นอย่างที่ท่านว่ามาจริงๆด้วย" อะไรแบบนั้นเลย
    เพราะว่าต่างคนก็ต่างสวมแว่นกันแดดกันคนละสีอยู่
    ดังนั้น มุมมองที่มองโลก จึงแตกต่างกันตามไปด้วย

    และดังนั้น ผมจึงจะขออนุญาตจบการสนทนากับทุกๆท่านไว้เพียงแค่นี้นะครับ
    เพราะว่าก็คงจะไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก..เพื่อที่จะสงวนพื้นที่
    เอาไว้เพื่อโพสต์เนื้อหาที่พวกผมจะแปลและโพสต์มาแบ่งปันให้ท่านอื่นๆที่สนใจอ่านกันต่อไป

    และผมก็จะไม่ลืมว่า และก็อยากจะให้ท่านไม่ลืมด้วยว่า
    ผมเป็นแต่เพียงผู้นำเอาข้อความของเขามาแปลแล้วแบ่งปันให้ท่านอ่านด้วยเท่านั้นเอง
    และไม่เคยเลยซักครั้ง ที่ผมจะไปบังคับจับมือท่านให้คลิ๊กเข้ามาอ่านข้อความในกระทู้นี้
    และกระทู้นี้ มันก็อยู่ถูกที่ถูกทางของมันดีอยู่แล้ว

    ดังนั้นสิทธิของท่าน จึงมีอยู่เต็มทั้ง 100% ว่าท่านจะเลือกอ่านมันหรือไม่
    หรือจะเลือกที่จะคิดเห็นกับมันประการใดก็แล้วแต่ นั่นก็เป็นสิทธิ์ของท่าน
    ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ และก็ไม่เคยใช่ หน้าที่ของผมแต่อย่างใดเลย
    ที่จะต้องไปใส่ใจกับทางเลือกนั้นของท่าน เพราะว่ามนุษย์ทุกๆคน
    ต่างก็มีวิถีแห่งจิตวิญญาณที่เฉพาะตัวเป็นของตัวเองอยู่แล้ว
    และสำหรับผมแล้ว มันก็ไม่มีอะไรผิดอะไรถูกด้วย

    และท่านเห็นอย่างที่ผมเห็นไหมครับ ว่า "ความแตกต่าง" เป็นเรื่องธรรมดาในโลก
    และท่านเห็นอย่างที่ผมเห็นไหมว่า สิ่งใดก็ตามที่เราไม่ชอบเอาซะเลย
    หรือแม้แต่เกลียดด้วยซ้ำไป บางที ก็ยังมีบางคนที่ชอบมันอยู่นะ

    และเพราะฉะนั้น การเที่ยวไปตัดสินชี้ถูกผิดให้กับความชอบ หรือ ความเชื่อของใครเขา
    มันจึงสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในโลกเสมอมา นับตั้งแต่ยุคบรรพกาลแล้ว
    และดังนั้น ในฐานะที่แต่ละจิตวิญญาณ ต่างก็มีเส้นทางเดินเป็นของตัวเอง
    อย่างที่ตัวเขาได้เลือกมาเอง เพื่อที่จะมาเรียนรู้มันอยู่แล้ว
    ท่านจะยอมไม่ได้เชียวหรือ ที่จะให้เขาได้เดินบนทางที่เขาได้เลือกมาแล้วอย่างที่ว่านี้
    และในทางกลับกัน พวกเขาเหล่านั้น ก็ไม่ได้ไปก้าวก่ายในทางที่ท่านเลือกเดินอยู่ไม่ใช่หรือ?

    ลองไตร่ตรองดูนะครับ ว่าท่านยอมได้ไหม๊ ท่านอดทนได้ไหม๊
    ที่จะเห็นใครเขาคิด และ เชื่อแตกต่างจากท่าน
    ท่านไม่สังเกตบ้างเลยหรือว่า สิ่งใดก็ตามที่คนเราจะ "เลือก" เอามานั้น
    นั่นก็เพราะว่าเขาคนนั้น เล็งเห็นแล้วว่า มันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เหมาะสม
    และดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว แม้ว่าสิ่งนั้น มันจะไม่ใช่สิ่งเดียวกับที่ท่านเลือกก็ตาม

    ครั้งนี้ ไม่รู้่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว ที่ผมโพสต์ข้อความทำนองนี้หนะนะครับ
    ก็หวังว่าท่านผู้มีปัญญา และ มีภูมิจิตภูมิธรรมสูงแล้วทั้งหลาย
    ท่านคงจะมีความเมตตา และเข้าใจในสิ่งที่ผมอธิบายมานี้ได้ไม่ยากนะครับ

    ผมขอแสดงความนับถือ และ เคารพในสิ่งที่ท่านเลือกครับ
    และก็หวังว่า..ท่านจะด้วยเช่นเดียวกัน..

    ..............................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2014
  17. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    เหตุการณ์แบบนี้เห้นจนชินและ อิอิ

    หวังว่าคงจะมี อุเบกขา กันนะ กะทู้จะได้ไม่กลายพันธุ์
     
  18. Lastquarter

    Lastquarter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    386
    ค่าพลัง:
    +272
    คนเก่งมันเยอะครับต้องเข้าใจ
     
  19. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารประจำวันจากท่าน Gabriel
    ประจำวันที่ 20 มกราคม 2014


    ที่มา: Daily Message ~ Monday January 20, 2014 | Trinity Esoterics

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)


    พวกเราเฝ้าสังเกตการณ์ดูปรากฎการที่น่าพิศวงงงงวยของมนุษย์โลกบางคนอยู่
    พวกเราจะเห็นอยู่บ่อยๆว่า มนุษย์โลกมักจะพบกับความผิดหวังอย่างมาก
    เมื่อคนอื่นๆไม่สามารถเติมเต็มความต้องการด้านอารณ์ของพวกเขาได้

    แต่แทนที่เขาจะแค่ยอมรับมัน ว่าคนๆนั้น
    ไม่สามารถให้ในสิ่งที่เขาต้องการได้
    เขากลับใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีอยู่ มากขึ้นไปอีก
    เพื่อที่จะทำให้ได้สิ่งนั้นมาจากคนๆนั้น
    พวกเขาจะพยายามแล้วพยายามอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า
    เพียงเพื่อที่จะต้องพบกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    เท่านั้นเอง เพราะพวกเขาจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไป

    พวกเขาดูเหมือนจะเชื่อว่าคนๆนั้นมีโกดังลับ ที่ใช้เก็บสิ่งที่พวกเขารัก
    และพึงพอใจด้านอารมณ์ อยู่ที่ไหนซักแห่งหนึ่ง เพียงแต่ว่าบุคคลคนนั้น
    แค่ใจร้ายจนเกินไป หรือดื้อรั้นจนเกินไป หรือเห็นแก่ตัวจนเกินไป
    ที่จะแสดงมันออกมาเท่านั้นเอง

    ซึ่งในกรณีนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่คนๆหนึ่ง
    เดินเข้าไปในร้านขายเสื้อผ้าสุภาพบุรุษ
    แล้วก็ไปถามซื้อกล้วยหอม แล้วก็ต้องพบกับความผิดหวังอย่างมาก
    เมื่อได้รับคำตอบว่าไม่มีกล้วยหอมขายในร้านนี้
    แต่แทนที่พวกเขาจะยอมรับความเป็นจริงในข้อนี้
    พวกเขากลับหวนกลับมาใหม่อีกครั้ง วันแล้ววันเล่า
    แล้วก็มาถามซื้อกล้วยหอมครั้งแล้วครั้งเล่า
    และก็ต้องพบกับความผิดหวัง
    และความท้อแท้มากขึ้นไปอีกเรื่อยๆๆ
    เพราะว่าร้านนี้ไม่มีกล้วยหอมขายให้เขา

    พวกคุณเห็นไหม?

    บุคคลคนๆหนึ่ง สามารถที่จะได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างง่ายดาย
    ถ้าเพียงแต่เขาเข้าไปในร้านที่ขายสิ่งๆนั้นอยู่เท่านั้นเอง
    ซึ่งก็จะทำให้ทุกๆฝ่ายได้พบกับประสบการณ์
    ที่น่าพึงพอใจมากขึ้นไปกว่านี้อีกเยอะ

    ที่รักทั้งหลาย พวกคุณกำลังตกอยู่ในความผิดหวังอยู่ใช่ไหม?
    พวกคุณกำลังท้อแท้ใจอยู่ใช่ไหม?

    มนุษย์โลกส่วนใหญ่จะแสดงตัวตนที่พวกเขาเป็นจริงๆให้พวกคุณได้เห็น
    แต่ปัญหาก็คือ การไม่ยอมรับความเป็นจริงอันนั้นของพวกคุณ

    และถ้าพวกคุณกำลังพบกับความเจ็บปวดอย่างใดอย่างหนึ่ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่
    และได้แต่คาดหวังถึงผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไปอยู่หละก็
    มันก็ควรที่จะถึงเวลาแล้วที่จะรักตัวเองให้มากพอแล้วก้าวต่อไป
    และเมื่อพวกคุณกลายเป็นพระเอกของตัวคุณเองแล้ว
    และให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นแก่ตัวเองแล้ว
    พวกคุณก็จะไปดึงดูดเอาสิ่งที่เหมือนๆกันนี้เข้ามามากขึ้นไปอีก
    อย่างไม่ต้องใช้ความพยายามแต่อย่างใดเลย
    แล้วพวกคุณก็จะเริ่มมีความสุขกับสัมพันธภาพที่สมปราถนามากขึ้นไปอีก

    Archangel Gabriel,

    ............................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • disappoint.jpg
      disappoint.jpg
      ขนาดไฟล์:
      13.5 KB
      เปิดดู:
      521
  20. (อโศก)

    (อโศก) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +445

    โดนใจตรงไหนครับ ก็ไม่เห็นว่าจะต่างกันตรงไหนเลย มันก็นั่งสมาธิก็เพราะ..อยาก..จะบรรลุอะไรซักอย่าง ถึงได้นั่งสมาธิ เหมือนกันนั้นแหละ คืออยากบรรลุภาวะที่จะชำระระบบพลังงานของตัวเองให้บริสุทธิ์

    ไม่เห็นจะต่างกันเลย ก็อีหรอกเดิมอย่างบรรลุอะไรสักอย่างเพื่อตัวเอง แล้วก็เอาคนอื่นมาอ้างว่า จะบรรลุเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้โลก ไม่ต้องเป็นผู้บรรลุมีระบบพลังงานบริสุทธิ์หรอก ตอนนี้ ก็ทำได้

    ขอให้ทำจริงๆๆเถอะ

    เหอๆๆๆๆๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...