หลงทาง

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 3 พฤษภาคม 2013.

  1. lomdadbaimai

    lomdadbaimai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +1,379
    ตามสมาชิกบ้าน ครอบครัว toplus99 มาค่ะ

    เคยไปฝึกมโนมยิทธิ ผลที่ได้คือ หมอก ๆ ค่ะ เขาเห็นอะไร ตอบอะไรกันไป ก็เห็นอะไรไม่ค่อยชัดค่ะ

    ขอบคุณธรรมทานของบ้านหลังนี้นะคะ
     
  2. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    พี่คงไม่ว่าอะไรหากกาลีนะจะเอาความรู้ทั้งหลายที่พี่ให้มานี้ ไปฝึกจิตตนเองนะคะ ... หากแม้มีวาสนาคงสัมฤทธิ์ผลดังใจ ... ทำไงได้ใจมันตัดไม่ขาด มันชอบทางนี้เสียแล้ว ...
     
  3. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    คำสมาทานพระกรรมฐาน
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ( ว่า ๓ จบ )
    อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจัจชามิ
    ข้าแต่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอมอบกาย ถวายชีวิต แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย สืบ ๆ กันมา มีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคเป็นที่สุด ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้า ขึ้นสู่ภาวะพระกรรมฐาน ทั้ง ๔๐ ทัศ พระปีติทั้ง ๕ และวิปัสสนาญาณทั้ง ๙ ขอพระกรรมฐานทั้ง ๔๐ ทัศ พระปีติทั้ง ๕ และวิปัสสนาญาณทั้ง ๙ จงมาบังเกิดปรากฏ ในกายทวาร ในวจีทวาร ในมโนทวาร ของข้าพระพุทธเจ้า ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
    ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้า ขึ้นสู่ภาวะแห่งเมฆจิต สามารถกำหนดจิต รู้ภาวะการณ์ต่าง ๆ ทั้งเหตุ ผล อดีต อนาคต และปัจจุบัน ได้ทุกขณะจิต ที่ปรารถนาจะรู้ เมื่อรู้แล้ว ขอให้เห็นภาพนั้น ได้ชัดเจนแจ่มใส และพยากรณ์ได้ ตามความเป็นจริงทุกประการ เหตุใดที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้น ได้โดยมิต้องกำหนดจิต แม้แต่ประการใด ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด


    ผมนึกถึงพระคุณครูบาอาจารย์ทุกครั้งที่เจริญภาวนา บทสมาทานพระกรรมฐานหลวงพ่อฤษีนี้ เป็นคำสมาทานที่ผมชอบมาก ผมเห็นความฉลาดของครูบาอาจารย์ที่ท่านผูกเงื่อนเอาไว้ให้ลูกศิษย์ที่ละแล้วซึ่งกิเลส แต่ยังมีตัณหามาก เยี่ยงผมเนี่ย เอาไว้ให้เอาตัวรอดได้...

    ผมเองรอดตายหลายครั้งเพราะอาศัยคำสมาทานนี้ ซึ่งเสมือนอธิษฐานบารมีอย่างหนึ่ง...
    เพราะเวลาจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก็ตาม ด้วยคำอธิษฐานนี้ ทำให้เกิดความรู้สึกทางใจขึ้นว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น อาการทางใจจะรู้สึกอึดอัดทุรนทุราย เป็นอันว่าสิ่งนั้นอย่าทำ ถ้าจะเดินทางก็อย่าไป...ครั้งพอบอกว่าไม่ไปแล้ว ไม่เดินทางแล้ว เอาไว้วันหลังละกัน อาการทางใจนั้นก็จะหายไป...

    เวลาพูดคุยอยู่กับใคร เขาถามอะไรมา ภาพจะปรากฎขึ้นเอง ให้รู้เห็นได้เอง โดยไม่ต้องอธิษฐานหรือเข้าอุปจารสมาธิแล้วอธิษฐานแล้วเข้าฌาณ4 ฯลฯ อย่างที่ตำราท่านว่าไว้ อันนี้ผมลองสังเกตดูแล้ว พบว่าการรู้เห็นในขณะนั้นเป็นกำลังของ เทวดาบ้าง พรหมบ้าง ท่านผู้มีพระคุณหลายๆท่านบ้าง พระผู้มีพระภาคเจ้าบ้าง...ท่านสงเคราะห์ ตามคำสมาทานที่ได้อธิษฐานไว้ ซึ่งไม่ใช่กำลังสมาธิอันไม่เอาไหนของผมจะพึงกระทำได้เลย...แต่ว่าการรู้การเห็นได้นี้ไม่ใช่ว่าจะเอาไปพูดไป ส่วนมากก็จะรู้ไว้ในใจเฉยๆ ไม่ค่อยจะพูดจะเล่าออกไป...

    ผมเชื่อของผมเองว่า คำสมาทานพระกรรมฐานของหลวงพ่อฤษีนั้น มีพรหม-เทวดา ตามรักษาอยู่ การสมาทานด้วยความเคารพในพระรัตนตรัยโดยส่วนเดียวแล้วนั้น ผมก็เชื่อของผมเองว่า ให้ผลมากกว่าคำว่ามาก....

    และด้วยความเคารพในครูบาอาจารย์ผมจะสมาทานตามนี้โดยไม่ไปต่อเติมเพิ่มลดหรือแก้ไขใดๆอีก
    ผมยังเห็นต่อไปอีกว่า หลวงพ่อฤษีท่านเป็นพระที่เคารพครูบาอาจารย์และอ่อนน้อมถ่อมตนต่อครูบาอาจารย์ คำสมาทานที่ให้หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เป็นที่สุด ไม่ได้เอาชื่อของหลวงพ่อเป็นครูบาอาจารย์ให้เป็นที่สุดนั้น ก็เป็นการแสดงความเคารพในครูบาอาจารย์ของท่าน ไม่ยกตนเสมอด้วยครูบาอาจารย์ ซึ่งเป็นคุณธรรมที่หาได้ยาก...

    ฆารวาสสมัยนี้ฝึกกรรมฐานมาไม่กี่วัน ก็ตั้งตัวเป็นอาจารย์กันเสียแล้ว เป็นอาจารย์ใหญ่เสียด้วย จะกล่าวจะสอนกันออกมากมาย จนจำไม่ได้แล้วว่าท่านไปเรียนอะไรจากใครที่ไหนมา บางคนหนักเข้าไปอีกคือบอกว่าศึกษาด้วยตัวเอง ปฏิบัติด้วยตัวเอง คำกล่าวคำสอนก็ไม่ได้อ้างอิงครูบาอาจารย์อีกแล้ว คือว่าเหล่านี้เป็นคำสอนของฉัน

    ผมเองเฝ้าสังเกตปฏิปทาของครูบาอาจารย์แล้วก็ค่อยๆเรียนรู้จดจำเอาไว้ นานๆไปเข้าก็เห็นว่าเดินตามท่านนั้นชอบแล้ว..
    ผมจะไม่เดินไปเสมอท่าน ผมรู้ตัวดีว่าเรายังไปไม่ถึงไหน ยังอีกห่างไกลนัก..
    ผมไม่เดินล้ำหน้าท่านอย่างเด็ดขาด อะไรท่านไม่สอนผมไม่ทำ อะไรท่านสอนไว้ ผมจะทำ ผมลองทำตามท่านสอนหมดแล้ว ผมไม่สงสัยเลยว่าท่านจะสอนผิด ที่ผิดก็เป็นที่ผมเข้าใจผิดบ้าง บ้างเข้าใจถูกแต่ทำผิด หรือเข้าใจถูกแต่ยังทำไม่ได้ก็มีมาก

    ผมเอาคำสมาทานพระกรรมฐานของหลวงพ่อฤษีมาลงไว้อีกครั้ง เพื่อจะบอกว่า เป็นคำสมาทานพระกรรมฐาน ที่มีคุณมาก หากสมาทานด้วยความเคารพแล้วจะมีผลมาก ไม่ใช่เพียงเฉพาะชาตินี้ แต่จะให้ผลดีต่อไปทุกๆชาติจนกว่าจะเข้านิพพานเลยทีเดียว...
     
  4. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ท่องญาณ 8
    หลังจากได้รับการยืนยันจากหลวงพี่อาจิณต์ แล้วก็ลงมาฝึกต่อกับครูฝึก เปี๊ยก ก็ทำเหมือนเดิมแต่ตอนนี้พาเที่ยวนรกว่ามีกี่ขุม แต่และขุมเป็นอย่างไร พวกเป็นนางแบบโป๊ ลงไปในนรกแล้ว ก็ปรากฏภาพเป็นทางเดิน Cat Walk สวยงามให้เดิน สักพัก นางแบบก็ค่อยๆถอดเสื้อผ้าออกจนหมด แต่ในสมาธิไม่เกิดอารมณ์กำหนัดยินดีอย่างไร สักครู่ก็ปรากฏไฟลุกท่วมทางเดิน นางแบบแต่ละคนก็กรีดร้องโหยหวน บางคนล้มลง บางคนกระโดดลงไปข้างล่างลึกลงไปก็เป็นเปลวไฟร้อนมาก พอถูกเผาจนไหม้เกรียม ไฟก็ดับไปเฉยๆ สักพัก พวกนางแบบก็กลับมามีชีวิตพร้อมเสื้อผ้า แล้วก็ เริ่มเดินเปลื้องผ้ากันต่อไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็เกิดซ้ำๆกันไปอย่างนั้น


    ไปเยี่ยมเทวทัตย์ ท่านผู้นี้มีความดีไม่ธรรมดา เพราะเกิดร่วมภพจองเวรพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราได้ทั้งห้าร้อยชาติก็ต้องทำความดีตามมาได้ไม่ธรรมดา ภายหลังยังได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจะได้เป็นพระปัจเจกกะพุทธเจ้าในภายเบื้องหน้า แต่เบื้องที่เห็นนี้ อยู่นรกขุมสุดท้าย คือขุมที่ สิบแปด แต่ละขุมนี้ไม่ได้อยู่ว่าใครลึกกว่าใครแต่เท่าที่เห็นอยู่ระนาบเดียวกัน แต่เป็นเหมือนโพรง เมื่อชะโงกมองไปจึงเห็นเหมือนเมืองๆหนึ่ง กว้างขวางใหญ่โตมาก มีเครื่องทรมานแต่ละขุมก็แตกต่างกันไป

    ว่าถึงท่านเทวทัตนี้ ท่านมีเพื่อนภิกษุ ลงไปอยู่เป็นเพื่อนเยอะมากไม่เหงาดี ฆารวาสก็มีมากเหมือนกันพวกทำร้ายบุพการี พวกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ก็ไปอยู่รวมกันในนั้น ท่านลุงพุฒิเป็นท้าวพญายมราชต้องนำไปดู จะคุยด้วยต้องท่านอนุญาตก่อน ไฟจึงดับลง อุปกรณ์พันธนาการทั้งหลายจึงหลุดออก จึงได้เห็นสภาพ ผอมบักโกรกเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ตาโปนแดงเหลือกผมเผ้ากระเซิง นุ่งกางเกงยอดฮิตสีดำขาสั้นอยู่ตัวเดียว ไม่ได้ถามว่านุ่งกางเกงในหรือเปล่า ดูขาก็ยังมีขนแต่แห้งหุ้มกระดูกอยู่อย่างงั้น ไม่ได้ใส่รองเท้า เห็นคนอื่นที่ฝึกมโนฯไปอยู่ในบริเวณนั้นด้วยดูสนใจซักถาม ครูฝึกก็นำถามถึงเรื่องที่กระทำไว้ในขณะมีชีวิต ความทุกข์ทรมานที่ได้รับในนรกนี้ เป็นต้น

    พอจบเสร็จท่านท้าวพญายมราชก็ให้กลับคืนสภาพเดิม พวกเราก็อุทิศส่วนกุศลให้ แต่ก็ลอยอยู่อย่างนั้นรับไม่ได้ มีสภาพหอกปักเข้าปาก ไฟลุกท่วม ร้อนเป็นเปลวออกม่วงอ่อนๆ มีพยัพคล้ายๆไอร้อนตอนอยู่ทะเลทราย แต่ตรงนี้ร้อนจัด สักพักตัวก็แดง ว่าถึงหอกนี่ก็ปักอกด้วย ปักหลังด้วย มีศาสตราอาวุธ ทิ่มแทง ขยับเขยื้อนไม่ได้ แม้ใต้ฝ่าเท้าก็ยังมี ทรมานสิ้นดีจริงๆ เหลียวมองไปยังเจอภิกษุอีกหลายองค์ มีทั้งฮิตเลอร์ เชอร์ชิล ฯลฯ แต่พวกนี้อยู่ในนรกหน้าตา เหมือนกันหมดแยกไม่ออก ต้องถามท่านลุง ก็ทำให้ภาพสมัยที่มีชีวิตอยู่ได้ปรากฏ จึงได้รู้

    เยี่ยมบ้านเก่า ไปดูเขาปีนต้นงิ้ว ก็เห็นต้นงิ้วสูงสักตึกห้าชั้นเห็นจะได้ ลำต้นมันใหญ่กว่าคนโอบ อันนี้นึกขึ้นได้ว่าอย่าเอาไปใช้อ้างอิงที่อื่นๆเพราะเป็นการเห็นในขณะฝึกก็ไม่ยืนยันนะว่าถูกต้องหรือถูกต้ม ก็ถือว่าเป็นการบันทึกช่วงนึงของชีวิตข้าพเจ้า เอาว่าอย่าไปเอาเป็นสาระจริงจัง

    ต่อมานั้น เห็นหนามยาวสักศอกนึงจะได้สักฟุตกว่าๆ ไม่ได้เอาตลับเมตรไปวัดไม่ได้แน่นอน ต้นมันไม่ได้มีใบแลปลายยอดก็ไม่ได้เรียวเล็กลงแต่อย่างใด ข้างล่างก็มีคนถือหอกบ้าง สามง่ามบ้าง คอยแทงใครลงมาที่พื้นก็แทงให้ปีนขึ้นไป ไอ้คนปีนก็รีบปีน ด้วยกลัวโดนแทง ที่ปีนไม่ทันก็โดนแทงพรุนตรงนั้นก็มี ปีนไปได้สักสามในสี่ ก็มีหนามสปริงพุ่งใส่อกตกมาตายก็มี อีกาปากเป็นเหล็กมั๊งไม่รู้ตัวใหญ่ยังกะนกอินทรีย์ปากก็ใหญ่หนักเข้าไปอีก สีดำจิกตาบ้างจิกกินเนื้อตูดบ้างหลุดกันเป็นชิ้นๆ คมเสียไม่มี คือแต่ละคนปีนไม่ทันถึงยอด ไม่พอได้ไปปักธงก็มีอันล่วงลงมาตาย สักพักก็กลับฟื้นขึ้นมาใหม่ ก็วนเวียนอยู่อย่างนั้น ตลอดเวลา

    ถามท่านลุงพุฒิว่าที่นี่เรามาอยู่บ่อยไหมท่านก็หัวเราะอย่างใจดีว่า ชอบมาเรื่อย นิยมมามากกว่าขุมอื่น แล้วสงสัยต่อไปว่า ท่านที่แทงเขาอยู่ข้างล่างนี่ทำความดีอะไรถึงต้องมาคอยแทงชาวบ้านแบบนี้ ดูหน้าตาก็ไม่ได้บอกว่าสนุกหรือเร้าใจมีอารมณ์ร่วม มันเหนื่อยเหมือนกันนะพวกพี่เลี้ยงนี่ ได้ความว่าบางท่านเป็นเทวดาชั้นผู้น้อยอาสามาทำหน้าที่ บางท่านคือมีกรรมบ้างแต่ยังไม่ถึงเวลาไปเกิดจึงมาช่วยทำหน้าที่บ้าง บางท่านในบางขุมคือเป็นสัตว์เดรัจฉานคือมีหัวเป็นวัว บ้าง ไก่บ้าง แพะบ้าง ยังไม่ได้ถึงเวลาไปเกิดก็มาอยู่ทำหน้าที่กันไปบ้าง ว่าแล้วก็ลาขุมนี้กันไป ว่าถ้าไม่จำเป็นจริงๆจะไม่กลับมาใช้ชีวิตขุมนี้หรอก

    ไปดูขุมนึงจำชื่อขุมไม่ได้ แต่มองลงไปเห็นมืดดำไปหมด มีภูเขาลูกไม่ใช่เล็กสักตึกสิบห้าหรือยี่สิบชั้นได้ วิ่งเข้ามาไล่บดทับคน คนพวกนั้นก็หนีไปอีกทาง ก็ไปเจอภูเขาอีกลูกวิ่งไล่ทับอีก ใครหนีไม่ทันก็โดนทับแบนเละเลือดกระจายอยู่นั่น ส่วนพวกที่หนีทันก็ไปเจออีกลูก จนท้ายที่สุดเมื่อมาบรรจบกันทั้งสี่ลูกสี่ทิศ ก็แหลกเละไปหมด แล้วก็กลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่ ก็วิ่งหนีกันต่อ มองไม่ถนัดนักกับขุมนี้มันมืดๆยังไงชอบกล คงเป็นเพราะไม่มีเปลวไฟช่วย ครูฝึกนำไปก็ถามท่านลุงได้คำตอบว่าพวกนี้ เป็นพวกคอรัปชั่น โกงบ้าน โกงเมือง โกงที่ดิน ทั้งฉ้อราษฏ์ทั้งบังหลวง เอาว่าพวกขี้โกงทั้งหลายอยู่กันที่นี่หมด


    ไม่ค่อยได้ไปดูครบทุกหลุมทุกขุมเพราะไม่ค่อยน่าพิสมัยเลย ไปดูราวเหล็กที่เขาบอกว่าขนาดเท่าลำต้นตาลไว้วางพาดจีวรพระที่จะลงนรก เพราะจีวรนี่ของสูง ถ้าลงนรกนี่ก่อนลงต้องเอามาพาดเก็บไว้ที่นี่ก่อน เขาเล่ากันว่าจีวรนี่หนักมากขนาดเหล็กเท่าลำตาลยังแอ่น อันนี้เฮียโหงวแกเล่าให้ฟัง ฟังดูเหมือนจะกลายเป็นจีวรเหล็กถึงได้หนัก แกว่าเหมือนพอจีวรอยู่ตรงนั้นแล้วจีวรจะมีน้ำหนักมาก เลยแวะไปดูก็ปรากฏในมโนฯนะ ว่าเป็นจีวรธรรมดานี่เอง มีทั้งสีเข้มสีอ่อนวางพาดกันซ้อนกันก็เป็นระเบียบดี ก็เป็นผ้าธรรมดานี่เอง เพียงแต่เยอะมากๆซ้อนกันมากๆเสียจนเหล็กที่ใช้พาดรับจีวรนี่แอ่นไปหน่อยไม่ได้แอ่นเป็นแอ่งกระทะหรอก แล้วก็ไม่ได้มีแค่ราวเดียวก็มีอยู่หลายราว มืดๆ ทึมๆ อีกแล้ว


    ตานี้ไปแวะดูสวรรค์กันบ้าง เผื่อมีนางฟ้าโปรยดอกไม้ไม่ได้ใส่เสื้อ เหมือนข้างถุงกระดาษสมัยก่อน จิตขณะนั้นไม่ได้คิดชั่วเหมือนขณะนี้ ต้องการรู้เพียงเพื่อการพิสูจน์ตามหลักสูตรที่ครูฝึกแกนำไป ในสวรรค์ทั้ง 6 ชั้นนั้น ก็ไม่ได้เป็นชั้นเหมือนคอนโดฯบ้านเรา แต่เป็นเขตแดนดังหลวงพ่อว่า เหมือนมีอยู่ 6 จังหวัดที่มีเขตแดนขยับต่อๆกันไป แต่ว่ากว้างมาก รื่นเริงบันเทิงใจสุดเห็นจะเป็นเขตดาวดึงษ์ เรียกเป็นชั้นก็ได้จะได้เหมือนชาวบ้านเขา ที่นี่วันๆเขาร้องรำทำเพลงกัน มีดนตรี มีขับฟ้อนกันสวยงาม ใส่เสื้อผ้ารัดกุมไม่ได้โป๊แบบข้างถุงโชคดีเลย มีสระน้ำครูฝึกบอกว่าเป็นสระอโนดาต มีต้นไม้ดอกไม้หอมอยู่ทั่วไป ไม่มีแสงอาทิตย์แต่มีความสว่างเหมือนเวลาเช้าตรู่บ้านเราที่มีเมฆคือไม่มีแสงแดด ไม่เห็นดวงอาทิตย์แต่มีความสว่างแต่ไม่มากถึงกับแยงตา บรรยากาศทั่วไปก็เย็นสบายดี

    มีท่านปู่ท่านย่านั่งอยู่บนแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ครูฝึกว่าอย่างงั้น ดูปู่พระอินทร์ใส่ชุดสีเขียว ท่านย่านี่มีด้วยกันสี่คน ใส่ผ้าสีสันแตกต่างกัน ชมพูบ้าง น้ำเงินบ้าง ก็สงสัยว่าทำไมพระอินทร์ถึงต้องตัวเขียวด้วย เจอคนขี้สงสัยมันก็น่ารำคาญเหมือนกัน ท่านก็ไม่ได้รำคาญก็ทำให้รู้ว่าจริงๆแล้วจะให้เป็นสีอะไรก็ได้ แล้วก็สงสัยว่าแล้วสีจริงๆเป็นสีอะไร ท่านก็ทำให้ดูว่าเป็นสีใสๆเหมือนแก้วผลึกมีประกาย สวยงามยังกะเพชร มีชฎา มีรองเท้างอนๆ ท่านย่าทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน จึงเป็นอันหมดสงสัย แต่ก็มาสงสัยว่าอุปทานไปเองหรือเปล่า ซึ่งปรากฏว่าคนอื่นก็เห็นเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมาย

    พอนึกถึงแม่ขึ้นมา น้ำตาไม่ได้ไหลเหมือนเพลง LOSO ก็ขอท่านปู่พระอินทร์ช่วยโปรดสงเคราะห์ให้ได้พบด้วย ท่านก็ใจดีให้คนไปตามมาหา เห็นแม่ใส่ชุดสีขาวประดับด้วยเพชร ทั่วไป สภาพเป็นสาวสักยี่สิบสองยี่สิบสี่นี่แหละหน้าตาก็สวยเหมือนนางฟ้าคนอื่นๆ ไม่บอกแยกไม่ออกเลย ต้องขอดูภาพตอนเป็นคนก็ปรากฏให้เห็นเลยรู้กันว่าใช่แม่ก็กราบได้ไม่เขินเหมือนตอนมีชีวิต ไม่ด่าแบบตอนมีชีวิต แกว่าอยู่นี่มีความสุขดี ได้อานิสงค์จากการทำบุญใส่บาตร ตอนล้มลงไม่ได้ตายทันทีหรอก อยู่อีกพักใหญ่จึงได้ตายมีพระสงฆ์มาปรากฏแล้วก็มาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เลย ถามหาพี่สาวที่ตายไปแม่ก็ว่าไปใช้กรรมอยู่หลายวันเหมือนกันเพราะฆ่าตัวตาย แต่ได้อานิสงค์จากการบวชช่วยไว้ตอนนี้อยู่ชั้นจาตุมหาราช คือเทวดาภาคพื้นดิน พอพูดถึงก็ปรากฏให้เห็นยิ้มเผล่อยู่เอาว่าบุญน้อยก็ค่อยๆไป ว่าแล้วก็ต้องไม่ลืมอุทิศส่วนกุศลไปให้ สวัสดีแล้วก็ขอลาไปดูสวรรค์ชั้นอื่นๆต่อไป ด้วยครูฝึกนำไปเร็วๆ


    ชั้นนิมมานรดี ชั้นนี้ชอบนุ่งขาวห่มขาวสวดมนต์กัน ไม่สนใจใคร ไม่มีอะไรน่าสนใจเราไปก็สวัสดีแล้วก็ลากันไป ว่าชั้นนี้พวกชอบสวดมนต์ไหว้พระจะได้มาอยู่สวดกันให้หนำใจ


    ชั้นดุสิต ชั้นนี้ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ สาวกภูมิ อัครสาวกทั้งหลายจะมาอยู่รวมกันที่นี่ มีวิมานเป็นปราสาทแก้วสวยงาม มีแท่นบรรทมกันแบบว่าเป็นผลึกแก้ว ที่จริงก็สงสัยอีกว่าเป็นผลึกแก้วนอนนั่งไม่เจ็บไม่เมื่อยหรือไง ก็ต้องลองจับดูก็นิ่มดี แล้วที่นั่นเขาไม่มีรูปสังขาร มันจะไปปวดเมื่อยได้ไง โง่จริง ใครแอบด่ามาไม่รู้


    ชั้นจาตุมหาราช ชั้นนี้เจ้อ้วนตายแล้วมาอยู่นี่ แบ่งออกได้เป็นสองพวกคือเทวดาภาคพื้นดิน หรือภูมิเทวดา และเทวดาภาคอากาศ หรือ รุกขเทวดา ท่านทั้งหลายเหล่านี้มีวิมานเป็นของตัวเอง ที่เป็นภูมิเทวดาก็ลอยไปลอยมาเตี้ยหน่อย ที่เป็นรุกขเทวดา ก็ลอยสูงกว่า มีบุญฤทธิ์มากกว่า พวกคนฑัณต์ วิทยาธรก็อยู่แถวนี้ มีทั้งพวกสัมมาฑิฐิ และมิจฉาฑิฐิ ก็ปนกันไป (มาภายหลัง ก็พบว่าอาปา ตายไปก็มาอยู่ที่ชั้นนี้ ก็ถือว่ายังโชคดีไม่ลงนรก หวาดเสียว )

    เรื่องทัวร์สวรรค์และนรกจึงจบกันไว้แต่เพียงเท่านี้ ก็ขอได้โปรดอย่าเอาเป็นสาระไปอ้างอิงทะเลาะกับใครเพราะมันเป็นเรื่องเล่าของคนสติไม่ดีคนหนึ่งเท่านั้น สวัสดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มิถุนายน 2013
  5. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ***** กาลีนะยังเป็นแฟนคลับเหนี่ยวแน่นคะ เกาะติดขอบกระทู้ทุกวันเลย .. ถ้าหายไปนาน ๆ อาจจะมีการฝึกถอดจิตตามไปเรียกนะคะ 55555555555 ล้อเล่นนะคะ .. ถ้าหายไปนานจะส่งความระลึกถึงไปเรียกหาเลยคะว่ามีคนรออ่านอยู่เยอะม๊ากกกกกกก อิอิ
     
  6. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    บันทึกการฝึกอสุภกรรมฐานของข้าพเจ้า

    ฝึกอสุภกรรมฐาน

    ด้วยเป็นคนมักมากในกามคุณ จึงคิดว่าตัวเราสมควรจะฝึกกรรมฐานในกองนี้ แต่ก็ด้วยความกลัวผี จึงรู้สึกว่าจะกินแรงไปหน่อย

    ที่จริงเคยเจอกรรมฐานกองนี้มา สองครั้งแล้วตอนเด็กกับตอนวัยรุ่น คือ ตอนเด็กนั่งสมาธิแล้วเห็นโครงกระดูก ก็หนีด้วยกลัวผี ตอนวัยรุ่นเห็นหัวแม่พุ่งเข้าใส่ก็กลัวด้วยแม่ตายไปแล้ว ตอนนั้นไม่รู้ว่านั่นเป็นนิมิตกรรมฐานในกองอสุภกรรมฐาน

    อยู่มาจึงไปเพ่งภาพซากศพของผู้หญิงที่เสียชีวิตตอนอยู่วัดท่าซุง นั้นคงเป็นปี 2531-2532 เห็นจะได้ พยายามไปทำให้เกิดเป็นนิมิต ทำเท่าไรก็ไม่เห็นจะมีอะไร ตอนนั้นมันบังเอิญเหลือบไปเห็นรูปผู้ชายนอนตายขึ้นอืด พอตอนเย็นเข้าไปเจริญกรรมฐานที่ตึกกรรมฐานก็ได้เรื่องเลย


    ขึ้นต้นปรากฏเป็นผู้ชายที่เห็นในภาพว่าเป็นศพนั้นมาปรากฏต่อหน้าในสภาพเปลือยกายยืนตรงห่างออกไปสักสามสี่เมตรเห็นจะได้ สักพักก็เริ่มหมุนไปรอบๆตัวเราที่นั่งสมาธิอยู่ ในสมาธินั้นดีอย่างคือถึงแม้เขาจะอยู่หลังเรา เราก็ยังมองเห็น หมุนได้พักใหญ่ก็พุ่งตรงเข้าชนอย่างรวดเร็ว ความจริงถ้าชนตรงๆแบบนั้นท่าทางจะต้องแหลกด้วยกันทั้งคู่ ทั้งนี้ก็ได้เคยเจอเหตุการณ์อย่างนั้นมาก่อนตอนที่เห็นหัวแม่ลอยพุ่งเข้ามาจะชน ตอนนั้นกลัวรีบลืมตาขึ้นมาเสียก่อน

    แต่ครั้งนี้ตั้งใจมอบกายถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ขอบอกว่าตอนนั้นนึกในใจว่าคนเราทุกคนเกิดมาก็ต้องตายทุกคนไม่เคยมีใครเลยที่รู้จักที่เกิดมาแล้วไม่ตาย การตายก็มีทั้งตายปกติ ตายโหง ตายห่า สารพัดจะตาย แต่รวมความแล้วทุกคนที่เกิดมาต้องตายด้วยกันทุกคน ถ้าไปตายแบบอื่นก็ไม่รู้จะมีที่ไปเป็นอย่างไร แต่ถ้าตายในกรรมฐานยังมีหวังว่าสุขคติเป็นที่ไป ซึ่งดีกว่าไปถูกรถชนตายหรือโดนกระทืบตายเป็นแน่ จึงคิดว่าเราเกิดมามีชีวิตเดียวก็ขอทำความดีครั้งใหญ่ไว้ในพระพุทธศาสนาเถิด วันนี้ถ้ามันจะชนเราตายเราก็พร้อมยอมตายแต่ถ้าตายจริงจะขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็แล้วกัน นึกดังนั้นจึงยอม ชนเป็นชน มันก็ชนจริงๆ แต่ทะลุผ่านออกไปอยู่ข้างหลังเราอีกที

    ตานี้แกเริ่มหมุนวนอย่างรวดเร็ว สักพักแกคงเหนื่อย แต่เราไม่เหนื่อยเพราะว่านั่งอยู่เฉยๆ แกมาหยุดอยู่เบื้องหน้า หนังค่อยๆหลุดออก เห็นเนื้อแดงๆหมดทั้งตัวมีเส้นเลือดขึ้นเต็ม ดวงตาพอไม่มีหนังปิดมันเห็นเป็นลูกกะตากลมโตเท่าลูกปิงปอง เห็นตาดำเล็กกว่าตาขาวเยอะ ปากพอไม่มีหนังหุ้มแล้วมันประคองตัวไม่อยู่ปากล่างมันห้อยเห็นฟันล่างเลย สักพักเนื้อก็หลุดออก เห็นเหลือแต่ลูกกะตาติดกับกะโหลก จมูกโป๋ เข้าไป ฟันสวยงามเห็นชัดไม่มีอะไรหุ้ม

    และก็เจอหลอดลมยังกับหลอดลมหมูที่แม่ซื้อมาต้มกับผักกาดดองให้กิน เจอปอดอยู่ใต้ซี่โครง เห็นตับ ไม่เห็นหัวใจมันคงซ่อนข้างหลังปอด เจอกระเพาะเจอลำไส้เป็นขดอยู่เรียงกันมีระเบียบใช้ได้ทั้งไส้เล็กไส้ใหญ่ จนกระเพาะปัสสาวะแล้วก็เป็นโครงกระดูกขามีเอ็นยึดติดอยู่ จนยันฝ่าเท้า แล้วอวัยวะต่างๆก็หลุดออกมากองรวมกัน เป็นส่วนๆ มีน้ำเลือดน้ำเหลืองน้ำ อยู่เป็นกองๆ แล้วเส้นเอ็นก็หลุดจากกัน กระดูกกองอยู่ตรงนั้นเป็นกองๆหนึ่งมีหัวกะโหลกเป็นต้น

    ใคร่ครวญดูก็เห็นว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่ในตัวคนทุกคน เมื่อเห็นดังนี้แล้วจึงคิดว่าแม้กองกระดูกเหล่านี้มันก็ไม่เที่ยงมันต้องผุพังไป กระดูกนั้นก็ผุพังไปกลายเป็นกองผงกองหนึ่ง แล้วคิดต่อไปว่าแม้กองผงกระดูกกองนี้ก็ยังคงต้องสลายหายไปเป็นอากาศธาตุ เมื่อนั้นได้มีลมมาหอบหนึ่งพัดหายไป จึงปรากฎให้เห็นว่าเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ ชีวิต การเกิดมันก็เท่านั้น ไม่เห็นมันมีอะไร

    เมื่อจิตวางเฉยต่ออารมณ์ต่างๆจึงพบว่า กองขี้ผงได้เริ่มก่อเกิดกลับขึ้นมาใหม่ แล้วกองขี้ผงก็ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นกระดูกเป็นท่อน แล้วต่อเข้ากันด้วยเอ็นขึ้นมาเป็นโครง แล้วอวัยวะต่างๆก็เกิดขึ้นเข้ามาต่อประกอบกันจนท้ายสุดหนัง เข้าไปหุ้มกลับร่างมาเป็นคน จึงนั่งดูกันต่อไป ร่างกายที่ทึบหนาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นใสขึ้น ใสขึ้น แล้วกลายมาเป็นแก้ว แต่ไม่ได้เห็นว่าเป็นประกายพรึกอะไร เห็นเป็นเหมือนหุ่นแก้ว ตอนนั้นอยากจะเห็นอวัยวะอะไรก็เห็นอวัยวะนั้นๆปรากฏอยู่ให้เห็น แล้วกายแก้วนั้นก็ไม่ปรากฏว่ามีเสื้อผ้าใส่แต่อย่างใด และเครื่องเพศที่แสดงความเป็นชายก็หายไป มันเหมือนกันกับหุ่นรูปปั้นที่เขาไว้ใช้แขวนผ้าขาย

    จากนั้นเขาผู้นั้นก็เดินเข้ามาคุกเข่ากราบสามที จึงได้ตั้งจิตอุทิศส่วนกุศลให้ไป ในขณะนั้นรู้ว่านี้เป็นอารมณ์อสุภกรรมฐาน แต่การพิจารณาแค่นี้นั้น คงไม่สามารถตัดเรื่องกามราคะได้เป็นแน่
    จึงเริ่มต้นพิจารณาใหม่คราวนี้เริ่มจับภาพก็เป็นกายแก้วมาปรากฏเมื่อต้องการให้เห็นภาพปกติ ก็ปรากฏเป็นภาพปกติแล้วเริ่มขึ้นอืดพอง จนหนังปริ ออกเขียวช้ำ เลือดช้ำหนอง ปรากฏ ให้เห็น จึงไล่ไปตามลำดับแล้วก็ไล่กลับ พิจารณาไปจบที่ตรงไตรลักษณ์ คืออนิจจัง ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ทนอยาก สุดท้ายมาจบที่อนัตตาไม่มีตัวตน เป็นอันจบ

    จากนั้นจึงขอดูภาพว่าถ้าเป็นผู้หญิงจะเป็นอย่างไร ก็ปรากฏให้เห็นผู้หญิงนอนเปลือยกาย มีรอยผ่าจากลิ้นปี่มาถึงช่องท้องน้อย เปิดออกให้เห็นซี่โครงและกระเพาะตับ ไส้ เปิดออกอยู่ข้างหนึ่ง เปิดแบบการผ่าตัดทั่วไปทั้งหนังทั้งเนื้อถูกเปิดออกด้านหนึ่ง ตอนนั้นก็นึกถึงผู้หญิงในอดีตที่ผ่านมาคนไหนบ้างที่เราคิดว่าสวย ก็ปรากฏภาพผู้หญิงที่เราเคยคิดว่าสวยดีแล้ว หน้าเปลี่ยนไปเรื่อยๆ มี ศิริพร บ้าง และคนอื่นๆบ้างก็จำชื่อไม่ได้หมดแต่ก็ปรากฏขึ้นมาแต่ละคน

    จนสุดท้ายนึกว่าใครหนอที่เขาคิดว่าสวยที่สุดตอนนั้น ก็ปรากฏรูปปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก ขึ้น เธอยิ้มเผล่ให้ มีเสียงจากปากเธอว่าสวยไหม (แต่จริงๆน่าจะเป็นเทวดาท่านมาเล่นด้วย) ก็ตอบไม่ได้พูดไม่ออกงงๆอึ้งๆ จึงไม่ได้ตอบไป แต่ไม่เห็นมันจะมีอะไรสวยตรงไหน จึงได้จบกรรมฐานกองนี้ ซึ่งพอดีกับเวลาที่ท่านให้ฝึกช่วงเย็น

    ออกจากกรรมฐานมาก็ยังเจอพี่แต๋ว แกมานั่งด้านหลังถัดเราไป เวลานั้นก็นึกว่าเรานี้ติดในกามราคะมานับภพชาติไม่ถ้วน การมาฝึกให้ได้เห็นความจริงนี้เพียงครั้งเดียวคงไม่เพียงพอต่อการตัดมันให้ขาดจากจิตได้คงต้องพิจาณาเป็นพันเป็นหมื่นเที่ยว เพื่อให้จิตยอมรับความเป็นจริง จึงจะคลายความกำหนัดลงได้

    อันนี้ก็ขอบอกก่อนว่าเป็นคนรู้ตัวว่าไม่เก่ง ไม่ได้แน่จริงมาจากไหนและได้สำเหนียกตัวเองอยู่เสมอว่ายังมีความชั่วอยู่ในใจนั้นท่วมภูเขาหิมาลัยไอ้ที่ว่าจะมาลูบเบาๆแบบนี้แล้วจะให้ความชั่วในใจมันหมดไปง่ายๆคงเป็นไปไม่ได้ คงต้องเพียรให้ยิ่งๆขึ้นไป ทำให้มาก และไม่ได้คิดว่าที่ทำไปนั้นดีอย่างไร คิดเพียงว่าพระท่านสงเคราะห์ให้เราได้เห็นให้ได้สิ้นสงสัยในกรรมฐานกองนี้

    อันเนื่องจากว่ากรรมฐานกองนี้นั้นโดยเนื้อแท้แล้วทำได้ถึงเพียงอุปจารสมาธิเท่านั้นคือพอให้จิตเห็นภาพแล้วติดตาเมื่อเห็นใครสวยภาพเหล่านี้ก็จะซ้อนขึ้นมาปรากฏ และเป็นกรรมฐานที่อยู่ในหมวดสมถะ ซึ่งพอจะเอาไปสนับสนุนด้านวิปัสสนาได้บ้างอยู่

    แต่ท่านที่ฝึกในแนววิปัสสนามานั้นมักไม่ค่อยเห็นด้วยและไม่ค่อยฝึกกัน อาจเนื่องด้วยความน่ากลัวของกรรมฐานกองนี้แล้วก็อาจทำให้คนฝึกเป็นบ้าได้ แต่การฝึกครั้งนี้คงจะได้รับการสงเคราะห์จากพระจากเทวดาที่ท่านปกปักรักษาวัดท่าซุงอยู่ก็เป็นได้ เพราะเมื่อพิจารณาไปก็พบว่าขณะนั้นมีเรื่องกสิณเข้ามาร่วมด้วย ทำให้กายที่พิจารณาอยู่นั้นเปลี่ยนเป็นแก้วทีละน้อย ทีละน้อย จนกลายเป็นแก้วใสทั้งหมด ซึ่งเป็นอารมณ์ในญาณ 4 แต่ก็เป็นญาณ 4 อย่างหยาบ เพราะความใสนี้ไม่ได้เป็นประกายแวววาว ออกจากวัดมาเดินไปทางไหน เห็นเป็นแต่ซากศพเดินได้ไปหมดไม่มีอารมณ์ทางเพศกำเริบเลย ต่อให้ไปดูหนังโป๊ก็ไม่เกิดอารมณ์ มันสงบสงัดมาก เป็นอย่างนี้อยู่ได้เพียง 3-4 เดือน


    เอาบันทึกเก่าๆสมัยรุ่นๆมาเล่าสู่กันฟัง...อย่าไปจริงจังนะครับ...เพราะผู้บันทึกยังหลงทางอยู่...วันนี้อย่างนี้ วันหน้าอาจจะอีกอย่างหนึ่ง...หากเห็นว่าตรงไหนที่เป็นข้อผิดพลาดอยู่ก็ขอให้คิดเสียว่า บันทึกไว้เป็นอุทธาหรณ์ ให้ท่านที่สนใจนั้น เลือกเดินให้ถูกทาง ไม่ต้องหลงทางอย่างกระผม ให้ต้องเสียเวลา...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2013
  7. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    เริ่มการจับพลังพระเครื่อง นำพระเครื่องต่างฯมาวางใว้มากเท่าที่เรามีหรือพอจะหาได้ เริ่มจับกำใส่มือครั้งละองค์ไม่ต้องให้แน่นนักให้องค์พระอยู่ที่กลางฝ่ามือ แล้วทำจิตให้เป็นกลาง แล้วค่อยฯน้อมจิตเข้าไปสัมผัสที่องค์พระ ลองไปฝึกกันดู
    จะรู้สึกไม่เมือนกันในแต่ละองค์ เช่น
     เหมือนไฟซ๊อตอ่อนฯ  หรือมีพลังวิ่งขึ้นมาที่แขน ร้อนบ้าง หรือรู้สึกพลังแผ่กระจายออกจากมือ เย็นบ้าง หนัก เบา
    ชามือ หรืออาจจะทำให้มือสั่นบ้าง จะรู้สึกสัมผัสพลังที่ถูกบรรจุใว้ในองค์พระ
    ขึ้นอยู่กับความนิ่งของจิตของผู้ที่จับพลัง และสิ่งที่ถูกบรรจุใว้ในองค์พระแต่ละองค์ใช้เวลาสักสามนาทีโดยประมาณ
    ข้อดีของการจับสัมผัสพลังในพระเครื่อง 
    ๑  เป็นการฝึกสมาธิทางอ้อม
    ๒  จิตเราจะรวมตัวได้เร็ว
    ๓  เป็นการฝึกจิตโดยใช้ของที่ถูกบรรจุด้วยพลังจิตโดยตรง
    ๔  จะทำให้เราหัดปรับระดับของจิตได้เร็วจะช่วยได้มากเวลาเรานั่งสมาธิ
    ๕  ถ้าฝึกจนชำนาญจะทำให้เห็นแสงพลังออร่าจากองค์พระเครื่องด้วยตาเปล่า
    ส่วนมากเราจะสอนให้หัดจับพระเครื่องก่อน สำหรับคนที่ต้องการฝึกสายอภิญญา
    พระเครื่องนั้นเราใช้เป็นพุทธานุสติ และระลึกถึงครูบาอาจารย์ แต่บอกใว้เสียก่อนน๊ะ ว่า ผีหรือวิญญาณ ต่างฯมันไม่กลัวพระเครื่องหรอก พระองค์ราคาหลายแสนบาท ผีมันยังกัดจนแตก ละเอียดมาแล้ว อย่าไปเข้าใจผิด ว่าจะกันผีได้
    บางราย เป็น วิญญาณชั้นสูง มาเข้าสิงคนในวัด พระสงฆ์ทีวัดทั้ง ๕ รูปหมดปัญญามาแล้ว ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • PICT0080.JPG
      PICT0080.JPG
      ขนาดไฟล์:
      888.3 KB
      เปิดดู:
      52
    • P4270190.JPG
      P4270190.JPG
      ขนาดไฟล์:
      972.8 KB
      เปิดดู:
      44
    • PICT0130.JPG
      PICT0130.JPG
      ขนาดไฟล์:
      935.1 KB
      เปิดดู:
      41
    • DSC08951.JPG
      DSC08951.JPG
      ขนาดไฟล์:
      568.3 KB
      เปิดดู:
      49
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2013
  8. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    นั่งอ่านบันทึกการฝึกอสุภกรรมฐานของท่านระมิงค์
    ขณะกำลังกินก๋วยเตี๋ยว+สุกี้ ได้อรรถรสมากเลยค่ะ ภาพขึ้นชัดดดเลย
    :d
    _/l\_ สาธุในธรรมทานค่ะ
     
  9. สาวอุทัย

    สาวอุทัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    2,293
    ค่าพลัง:
    +6,620
    ขอบคุณค่ะ ที่แนะนำ..วันนั้นที่จับพระฯ ก็นึกๆ ท่าไหนไม่รู้ เลยลองจับพระเครื่องของเพื่อนดู
    ก็รู้สึกว่า แปลกดี ที่รู้ถึงพลังที่มาในรูปต่างๆ วันนั้น ได้จับไป ๓ องค์
    มีอาการหนักหน่วงที่จมูก..ผะอืดผะอม..และก็เย็นที่มือแบบเนื้อเย็นทีเดียวเชียว
    วันหลังเจอเพื่อน ก็จะให้จับอีก (เราก็นึกในใจ อยากจะร้องจ๊าก.กกก
    ฉันไม่ใช่เครื่องจับพลังนะเฟ้ย.ยย) ได้แต่บอกเค้าไปว่า..ไม่ได้หรอก สมาธิไม่ดี นิ
    คือ บางเรื่องที่รู้..เราก็รู้สึกว่า สิ่งที่รู้นั้น จะมาจะไป เราไม่สามารถกำหนดได้
    บางครั้งก็รู้ (เรื่องแปลกๆ) บางครั้งก็ไม่รู้ แต่จะกำหนดให้รู้ เราทำไม่ได้ นิ
    เลยว่า..อยู่เฉยๆ ดีกว่า
     
  10. บุษบรรณ

    บุษบรรณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2010
    โพสต์:
    2,212
    ค่าพลัง:
    +8,603
    หลายเดือนก่อนเพื่อนนำพระร่วงมาให้ชมพอจับองค์พระรู้สึกมีกระแสวิ่งผ่านมือมาถึงปลายแขน เพื่อนถามว่ารู้สึกได้อย่างไร ก็ตอบไม่ได้เพราะไม่รู้ค่ะ และบางที่เพียงนำองค์พระหลายองค์มาวางตรงหน้าก็ปวดหัวสุดๆเลย
     
  11. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    พระร่วงรางปืนสมัยสุโขทัย พระสมเด็จ ทั้งสององค์ ที่มีพลังสูง
    ทั้งสาม องค์ ที่มีลำแสงทองพุ่ง ออกจากองค์พระ นำมาโพสต์ให้ชมกันครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • PICT0780.JPG
      PICT0780.JPG
      ขนาดไฟล์:
      981.1 KB
      เปิดดู:
      47
    • PICT0789.JPG
      PICT0789.JPG
      ขนาดไฟล์:
      993.4 KB
      เปิดดู:
      48
    • PICT0797.JPG
      PICT0797.JPG
      ขนาดไฟล์:
      997.1 KB
      เปิดดู:
      57
  12. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    คำอุทิศส่วนกุศล

    หลังจากจับพลังพระเครื่องกันแล้ว...ก็ชวนกันมาแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล...ตามคำแนะนำของหลวงพ่อฤษี....

    คำอุทิศส่วนกุศล​
    อิทัง ปุญญะผะลัง....

    ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวร ทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่วันนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน

    และข้าพเจ้าทั้งหลาย ขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลาย ที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลายทั่วสากลพิภพ และพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลาย และพระยายมราช จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศล ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด
    และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
    ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้บำเพ็ญมาแล้ว ณ โอกาสนี้ ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัย ให้ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ในชาติปัจจุบันนี้เถิด...




    ผมชอบคำอุทิศส่วนกุศลที่หลวงพ่อฤษี รจนาไว้ สาเหตุก็เพราะว่า ท่านผูกเงื่อนไขหลายอย่างไว้ให้ลูกศิษย์ ไม่ต้องไปคิด...

    อย่างหนึ่งคือการอุทิศส่วนกุศลให้กับเทวดาที่ปกปักษ์รักษาเรา ซึ่งจำเป็น ท่านจะคอยอยู่คุ้มครองเรา และยังคอยเตือนเวลามีภัย ให้ได้รู้สึกทางใจบ้าง ฝันเห็นบ้าง ...

    การอุทิศส่วนกุศลให้กับท่านพระยายมราชนี้ก็เป็นความฉลาดของครูบาอาจารย์ เพราะลูกศิษย์ยังเป็นผู้หลงทางอยู่ ยังสนุกสนานกับเรื่องโลกๆ พลาดท่าเสียทีไป จะไปยังสำนักพระยายมราช เวลานั้นมันมึนไปหมด มันคิดเรื่องดีๆไม่ออกจริงๆ การทำอุทิศส่วนกุศลเช่นนี้ ถึงเวลานั้นพระยายมราชจะมาเป็นสักขีพยานให้ ทำให้ได้ไปเสวยผลบุญก่อน เพราะถ้าเวลามึนๆอยู่ขณะนั้นท่านไม่เอ่ยขึ้นแล้ว ให้นึกอย่างไรก็นึกถึงผลบุญไม่ออกจริงๆ...

    เว้นเสียแต่กรรมหนักจริงๆอย่างท่านเทวฑัตนี่ ลงดิ่งไปที่ขุมนรกโดยตรง ไม่ผ่านสำนักพระยายมราช อันนี้ก็จนใจ...
    แต่ผมว่าใครก็ตามที่ทำความดีแล้วหมั่นอุทิศส่วนกุศลอย่างนี้ จะดิ่งลงไปเลยก็เป็นเรื่องยากเหมือนกันนะ....
    ผมจึงขอเอาคำอุทิศส่วนกุศลที่ครูบาอาจารย์ท่านรจนาไว้ได้อย่างชาญฉลาดแล้วมาฝากกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2013
  13. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ผมเคยคิดน้อยอกน้อยใจเหมือนกันนะครับ...ว่าทำไมนะ เราเกิดมานี่ บุญน้อย วาสนาไม่มี บารมีไม่ได้ ฝึกกรรมฐาน เจริญภาวนายังไงมันก็ไม่ก้าวหน้าเหมือนคนอื่นๆเขาบ้างเลย...

    แต่ความจริงแล้ว ผมเป็นคนจำพวก ทำบุญ สิบบาท อยากถูกหวยรางวัลที่ 1 ครับ...
    ผมลองมานั่งนึกๆดูนะครับ..

    พระอานนท์ ท่านเป็นพระอุปฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ กว่า 40 ปี...
    คำสอนทุกคำขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น พระอานนท์จำได้ทั้งหมด...
    ไม่ได้จำได้เฉพาะเนื้อหา เท่านั้น ยังจำได้แม้กระทั่งว่าไปเทศน์ที่สถานที่ไหน มีใครอยู่ที่นั่นด้วย ท่านเป็นอัครสาวกที่เป็นเลิศด้านความจำ ซึ่งก็สมควรแล้วจริงๆ...

    พระภิกษุหลายรูปได้ฟังธรรมจากพระอานนท์แล้วสำเร็จอรหัตผลได้นี่มีจำนวนมาก..
    แต่ว่าพระอานนท์ท่านเป็นพระโสดาบัน ณ เวลานั้น...

    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสพยากรณ์ว่า พระอานนท์จะบรรลุ อรหัตผลหลังพระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานไปแล้ว 3 เดือน...

    นี่ถ้าผมเป็นพระอานนท์ในสมัยนั้น ผมจะเซ็งจิตมากๆเลยนะขอรับ...
    คนอื่นเขาไปไหนถึงไหนกันแล้ว บางคนฟังเทศน์จบเดียวเป็นพระอรหันต์ไปกันหมด
    เหลือท่านที่ฟังแล้วฟังอีก จำได้ทุกอย่างแต่ว่าเป็นพระอรหันต์ในเวลานั้นไม่ได้..
    แล้วไม่ใช่เวลาน้อยๆนะ กว่า 40 ปีทีเดียว...
    ดังนั้นถ้าคนอย่างกระผมมันจะไม่ก้าวหน้า ก้าวหลังกับเขาบ้าง นี่ถ้าเทียบกับพระอานนท์แล้วผมก็ไม่น่าน้อยใจสักเท่าไรนะครับ...ว่าไหม?

    ผมมาใคร่ครวญดูว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม....
    ผมเข้าใจของผมเองว่า กรรมนี้ชักนำสัตว์ให้เป็นไป...
    การจะบรรลุธรรม จะช้า จะเร็ว จะได้สุกขวิปัสโก หรือ ปฏิสัมภิทัปปัตโต กันนั้น

    กรรมนั่นเองเป็นผู้กำหนด....

    เราทำอะไรของเราทุกวันนี้ ก็เป็นด้วยกฎของกรรมบังคับให้เป็นไป...

    แล้วจะกลับมาเล่าสู่กันฟังครับว่า...
    เวลาคนเรามันดวงตก ชะตาขาด ซวยมากๆ แล้วมันเป็นยังไง...
    ผลของกรรมที่บังคับบัญชามานั้นมันเป็นอย่างไร...
    แล้วจะทำใจวางจิตอย่างไรดี...
    แล้วถ้าเจ้ากรรมนายเวรเข้ามาซ้ำช่วงนั้นเข้าให้อีกหลายๆที...
    จะหนีอย่างไร...หรือจะปฏิวัติเจ้ากรรมนายเวร อย่างชนิดบูรณาการเลย จะดีไหม?
    ถ้าทำได้ จะทำอย่างไร...
     
  14. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    อนุโมทนาสาธุ ด้วยครับ เดินตามครูบาอาจารย์ ใว้ก่อนเป็นดีจะได้ไม่หลงทาง
    ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • PICT0541.JPG
      PICT0541.JPG
      ขนาดไฟล์:
      853.4 KB
      เปิดดู:
      33
    • PICT0716.JPG
      PICT0716.JPG
      ขนาดไฟล์:
      880.9 KB
      เปิดดู:
      32
  15. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    บทกลอน เครดิตคุณหนึ่งชีวิต แค่สองก้าว's photo. จากเฟสต์บุด
    ทำกรรมชั่วตายไปในภพอื่น..ต้องขมขื่นแหวกแนวเป็นแมวหมา..
    เป็นกบเขียดเต่าหนูเป็นปูปลา..
    เป็นนาคาเกลื่อนกล่นล้นสาคร..
    เป็นเสือสีงห์กระทิงแรดในป่าลึก..
    เป็นโคถึกเฝ้านาเป็นกาสร..
    เป็นอูฐลาเต่าตุ่นเป็นกุญชร..........
    เป็นอัสดรมิ่งม้าอาชาไนย
    เป็นสัตว์ชดใช้กรรมกี่ภพชาติไม่อาจรู้
    ทำกรรมดีดีไว้ก่อนดีกว่า เผื่อวันข้างหน้าจะได้เสวยผลบุญ

    ตอบ
    เป็นสัตว์มนุษย์สุดเลิศประเสริฐนัก
    ได้รู้จักสร้างต้นทุนบุญกุศล
    ยากยิ่งนักที่จะเกิดมาเป็นคน
    รีบฝึกตนข้ามพ้นภพจบชาติกัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1 universe.jpg
      1 universe.jpg
      ขนาดไฟล์:
      130.5 KB
      เปิดดู:
      35
    • DSC04720.JPG
      DSC04720.JPG
      ขนาดไฟล์:
      547.5 KB
      เปิดดู:
      31
  16. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    [​IMG]


    หมาประเทศอิสลาม....ม้าลำปาง...ช้างสุรินทร์...
    เป็นสิ่งที่ทรมานมั่กๆ...

    หลายคนได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วคิดสั้นฆ่าตัวตาย สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง ยังไม่ทันจะลงมือบ้าง...ก็ขอให้นึกไว้ว่าการเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากลำบากนัก...และแม้ว่าไม่ฆ่าตัวตาย ตัวเรามันก็ต้องตายของมันอยู่ดีนี่เอง คงหนีไม่พ้นต้องตายภายใน 7 วันเป็นแท้...
    แต่จะว่าไป เวลาผมเห็นตัวเองนอนลงก็เห็นเหมือนคนตายไปทุกที...
    เช้าตื่นมาเหมือนคนเกิดใหม่...
    ดำเนินชีวิตไปตลอดทั้งวัน...
    ตกค่ำกลับมาอาบน้ำอาบท่า...
    ล้มตัวลงนอน...สิ้นสติ สมประดี..
    มันเหมือนคนตายเสียจริง เพราะทำประโยชน์อันใดมิได้ คิดอะไรก็ไม่ได้ ช่วยอะไรก็มิได้.

    ดังนั้นมันตายอยู่แล้วทุกๆวัน ไม่ต้องไปฆ่ามันให้เสียขวัญเสียกำลังใจเลย...
    หนักไปกว่านั้นหน่อยคือ หายใจเข้ามันไปสร้างชีวิต สร้างเซลใหม่ๆ มีการเกิดขึ้น...
    ยามเมื่อหายใจออก ของเสีย และเซลหลายๆเซลได้ตายไป มีการดับไปเป็นธรรมดา..
    มันก็เกิดๆตายๆ กันทุกลมหายใจเข้าออกอยู่แล้วนะ...

    ดังนั้นใครที่คิดจะฆ่าตัวตาย ก็ลองมานั่งดูตัวที่มันตายอยู่ทุกวี่ทุกวันนี้ให้เข้าใจเสียก่อน
    เข้าใจดีแล้วจะไม่ต้องเสียเวลาไปฆ่ามันเลย...
     
  17. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    ยามรุ่งเช้าเทพเทวามองหาบาตร
    เตรียมจัดถาดใส่ข้าวทิพย์หยิบสิ่่งของ
    สร้างบุญใว้แสงสีใครหมายจับจอง
    เป็นเจ้าของในกองบุญทบทุนมา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2013
  18. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ยังไม่ถึงเวลา
    สตรีท่านหนึ่ง พึ่งเข้าหาทางธรรม ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนัก แม้ว่าจะอายุ 47 ปีแล้ว และเป็นสตรีเพศก็ตาม เนื่องด้วย ทาน ศีล ภาวนา มรรคผลนิพพานนั้น ไม่ได้แบ่งจำกัดด้วยเพศ วัย

    เธอบ่นเสียดายว่า เธอมาเริ่มเอาช้าไป ผมจึงเล่าให้เธอฟังว่า เรื่องบางเรื่อง มันยังไม่ถึงเวลาของมัน เราจะดิ้นรนขวนขวายทุรนทุรายเพียงใด มันก็ไม่ได้เรื่องอยู่ดี ต่อเมื่อถึงเวลาของมัน แม้เราไม่ได้ดิ้นรนขวนขวายมันก็ย่อมได้มา ดังตัวอย่างเช่น เราปลูกมะม่วงต้นหนึ่ง กิ่งตอนนี้ต้องใช้เวลา 3 ปีจึงจะออกดอก ออกผล เราปลูกได้ยังไม่ทันถึงปี เราก็อยากจะเร่งให้มันออกดอกออกผลให้ได้ แม้จะเพียรพยายามอย่างไร คาดหวังอย่างไร มีความปรารถนาแรงกล้าอย่างไร มันย่อมไม่ออกดอกออกผล...

    ต่อเมื่อถึงเวลาของมัน มะม่วงเมื่อได้อายุ 3 ปีไปแล้ว ย่อมออกดอก ออกผล แม้จะไม่ปรารถนาจะได้ผล ไม่สนใจว่าจะมีผลหรือไม่ ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ดอกได้ผล มันย่อมได้ดอกได้ผลของมันตามเหตุตามปัจจัยนั้นๆ

    ดังนั้นอย่าไปมัวเสียดายกับเวลาที่ผ่านมาแล้วเลย เพราะที่ผ่านมามันยังไม่ถึงเวลา แต่ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว ก็ให้หมั่นทำความเพียรเข้า จากนั้นผมจึงให้บทสมาทานพระกรรมฐานและอุทิศส่วนกุศลของหลวงพ่อฤษีไปให้ พร้อมกับแนะนำว่าให้สวดบทจักรพรรดิ์ของหลวงปู่ดู่ ที่หลวงตาม้านำมาเผยแพร่ เธอผู้นี้นำกลับไปทำตามทุกอย่าง

    ผ่านไปได้ 1 สัปดาห์ก็มารายงานผลว่า สมาธิทำได้ดีขึ้น เธอไม่ได้ดูเวลา แต่เมื่อก่อนนั่งได้ 10 นาทีก็ปวดเมื่อยจะแย่แล้ว ตอนนี้ทำได้ 40 นาทียังรู้สึกสบายๆ นี่ก็เป็นเรื่องน่ายินดีน่าโมทนาอย่างยิ่ง


    เมื่อการปลูกมะม่วงเป็น มรรค
    ผลของมะม่วงคือ ผล
    การรดน้ำ ใส่ปุ๋ย คือ ทาน
    การเฝ้าระวัง มอด แมลงไม่ให้เจาะทำลาย คือ ศีล
    การตัดแต่งกิ่ง ที่เสีย แห้ง และไม่มีประโยชน์ คือ ภาวนา

    เมื่อเหตุปัจจัยทั้ง3ได้เกื้อกูลต่อมรรค จนเมื่อเวลาอันสมควรแล้ว ผลย่อมเกิด ต่อบุคคลผู้มีสัมมาฑิฐิเป็นที่ตั้ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2013
  19. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ไม่มีเวลา​

    ผมได้เล่าเรื่องเฮียแช ให้เป็นอุทธาหรณ์ กับสตรีท่านหนึ่งว่า เฮียแช ทำธุรกิจส่วนตัว เวลาผมชวนไปวัด ไปปฏิบัติธรรมก็มักจะอ้างว่าไม่มีเวลา งานยุ่งมาก ถ้าหยุดไปจะไม่มีคนคอยดูแลเลย

    เมื่อผมเรียนจบ ป.ตรี ผมและเฮียผมก็ไปชวนเฮียแช บวชด้วยกัน คำตอบเดิมคือว่า ไม่มีเวลา แม้ผมจะได้ยกตัวอย่างโดยอ้างเอา มรณานุสติเป็นฐานให้ฟังแล้วว่า หากเรารู้ล่วงหน้าว่าเราจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 7 วันแล้ว เราอยากจะทำอะไร?? แกก็หัวเราะแหะๆ หากว่าเรานอนลงคืนนี้หลับไปแล้ว ไม่ตื่นขึ้นมาอีก กิจการนี้จะเป็นอย่างไร พ่อแม่พี่น้อง ทรัพย์สมบัติ ข้าวของต่างๆที่มีจะเป็นเช่นไร? มันย่อมเป็นของมันอยู่เช่นนั้น กิจการก็จะมีคนในครอบครัวมาดูแลต่อ พ่อแม่พี่น้องย่อมมีชีวิตสืบต่อไป ทรัพย์สมบัติข้าวของเหล่านี้ย่อมอยู่คู่โลก และเสื่อมโทรมไปตามกาลสมัย ....


    ไม่ใช่เฮียแชจะไม่รู้ เพียงแต่ว่ามนุษย์เป็นอันมาก เมื่ออ่านมาก รู้มาก ก็มักจะมีความประมาทมากไปด้วยเช่นกัน เมื่อผมบวชจนกระทั่งลาสิกขาออกมาแล้ว เฮียแชก็ยังไม่ว่างเหมือนเดิม

    จนอยู่มาวันหนึ่ง เฮียแกขี่มอเตอร์ไซด์ไปเข้าใต้ท้องรถเมล์ กระเพาะปัสสาวะแตก กระดูกสะโพกแตก ไส้แตกทะลักออกมาทางทวารหนัก แต่ไม่ตาย ต้องนอนโรงพยาบาลอยู่ 4 เดือน ผมเองได้เคยไปเฝ้าไข้คืนหนึ่ง ได้ถามเฮียว่าจะเอางานมาทำด้วยไหม แกยิ้มแหยๆ ถามว่าไม่มีเวลา งานยุ่ง แล้วมานอนอยู่นี่ 4 เดือนเข้าไปแล้ว ไม่ห่วงงานบ้างหรือ แล้วกิจการจะเป็นอย่างไร ใครจะดูแล แกหัวเราะไม่ออกเพราะเจ็บแผลมาก ต้องเจาะหน้าท้อง ระบายทั้งอุจจาระ ปัสสาวะ ออกทางถุง ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วทั้งห้อง ร้องบ่นว่าอยากตายๆ เพราะอยู่อย่างนี้มันทรมานมาก

    ผมเองไม่สงสาร ผมยังซ้ำเติมไปอีกว่า การไปปฏิบัติธรรมเพียง 7 วัน 15 วันนั้น บ่นว่าไม่มีเวลา งานยุ่ง แต่เวลามานอนเฉยๆอย่างนี้ 4 เดือน นอนได้ ไม่เป็นไร ทีแบบนี้ว่างใช่ไหม? อย่างนี้มีเวลาใช่ไหม? นี่ยังดีที่ไม่ตาย ไม่เช่นนั้นจะเกิดเปล่าตายเปล่าเสียแล้ว ได้เกิดบนแผ่นดินพุทธ ได้เพศบุรุษ ในเวลาที่พระพุทธศาสนายังสถิตอยู่นั้น แต่กลับไม่ประพฤติปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม เอาแต่บ่นว่าไม่มีเวลา...


    หลังจากออกจากโรงพยาบาลและพักฟื้นได้พอสมควรแล้ว เฮียแชจึงไปบวชพระอยู่ 15 วัน แม้จะเป็นช่วงสั้นๆแต่หากได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วนั้น ก็เป็นที่น่ายินดียิ่ง น่ายินดีกว่าบวชนานแต่ไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ


    เมื่อเล่าเรื่องไม่มีเวลาให้สตรีท่านนี้ฟังจนจบ เธอตัดสินใจโทรไปบอกเพื่อนที่เคยชวนให้เธอไปปฏิบัติธรรมหลายครั้งแล้วแต่เธอปฏิเสธมาตลอด ให้จองคิวให้เธอทันที เพื่อนเธอนั้นทั้งแปลกใจและทั้งดีใจที่เกิดการเปลี่ยนแปลงกระทันหันนี้

    สตรีท่านนี้บอกว่า ระหว่างที่คุยกับผมในเรื่องไม่มีเวลานี้ บังเอิญไปกระแทกใจเธอเต็มๆ เพราะเธอก็ชอบพูดคำนี้บ่อยๆ เวลาฟังผมพูดแล้วขนลุกตลอดเวลาเหมือนมีพลังขึ้นมาทำให้เกิดอยากไปวัดปฏิบัติธรรมอย่างแรง

    ผมจึงได้เตือนเธอว่า เวลาปฏิบัติธรรมนั้นอย่าคุย เธอว่าที่นี่ถือเรื่องปิดวาจา จึงเตือนเธอว่าแม้ว่าปากเราไม่พูดนั้นก็ดีอยู่ แต่ให้ระวังที่ใจเพราะมันจะพูดไม่หยุด พูดมากยิ่งกว่าปากของเราเสียอีก เธอก็รับคำ และยังได้เตือนเธอว่า ในวันที่ 4 ของการปฏิบัตินั้น เธอจะเกิดอารมณ์เบื่อหน่ายไม่อยากฝึก มีความคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิบัติธรรม ขอให้เธอระวัง

    เธอถามว่าจะให้ระวังอย่างไร ก็บอกไปว่า ให้นึกถึงพระพุทธรูปที่ตนเองรัก และให้นึกถึงคำเตือนที่ผมเตือนอยู่นี้ เพราะเมื่อเกิดอารมณ์เช่นนี้ขึ้น นึกถึงพระพุทธเจ้าแล้วจิตจะมีความเกษมยินดีหนึ่ง และเมื่อนึกถึงคำเตือนของผมแล้วก็จะรู้ทันขึ้นมาทันทีว่า นี่เจ้ากิเลสเรารู้เจ้าก่อนแล้ว มีคนบอกเราแล้วว่าเจ้าจะมาทำร้ายเราแบบนี้ เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว กิเลสเหล่านี้ย่อมทำอะไรเราไม่ได้ เพราะเรารู้ทันก่อนเสียแล้ว

    เธอกลับไปพร้อมกับใจที่ยินดีที่จะได้ไปปฏิบัติธรรม เธอผู้ที่เจอหน้าผมเป็นครั้งแรกและยอมรับว่ามีประโยชน์มากกับการที่ได้สนทนากันในครั้งนี้ ผมเองก็พลอยยินดีที่ชีวิตและประสบการณ์เล็กๆน้อยๆผมนี้สามารถช่วยให้คนอีกคนหนึ่ง มีกำลังใจเดินสู่เส้นทางธรรมอย่างห้าวหาญเข้มแข็ง ผมจึงบันทึกเรื่องราวนี้ไว้ เพื่อพอจะเป็นกำลังใจให้กับท่านทั้งหลายที่คิดจะปฏิบัติธรรมแต่ยังไม่มีเวลา ได้อ่านเป็นอุทธาหรณ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2013
  20. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    สายใครก็สายมัน...​


    สตรีท่านนี้ ถามถึงเรื่องสายบุญใครก็สายบุญมันใช่หรือไม่? อย่างเช่นเธอผู้นี้ ได้ยินเรื่องบทสวดจักรพรรดิ์ ของหลวงปู่ดู่ ได้ยินเรื่องหลวงตาม้า ก็ยินดี เธอสวดได้บ้างแต่ไม่คล่อง เมื่อได้ยินผมพูดเรื่องบทสวดจักรพรรดิ์กับเธออีกครั้ง เธอจึงมั่นใจว่า เธอจะมาสายนี้...

    ผมเองเลือกที่จะขอไม่ตอบคำถามนี้ เพราะพูดไปก็จะไปขัดใจบางคนเสียเปล่า เพื่อไม่ต้องเป็นการทะเลาะ ถกเถียงกัน ผมจึงได้ยกตัวอย่างบางประการพอจะเป็นสัญลักษณ์ ไว้ให้เธอผู้นี้พิจารณา

    ผมให้เธอนึกถึงรูป พระธรรมจักร ในวงพระธรรมจักรนี้ มีซี่ของวงล้อ อยู่หลายซี่ด้วยกัน แต่ละซี่ของวงล้อ ล้วนมุ่งตรงไปที่จุดศูนย์กลางของวงล้อธรรมจักรที่เดียวกัน

    เธอผู้นี้เป็นผู้มีปัญญา เหมือนทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ เธอพยักหน้าแสดงว่าเข้าใจแล้ว เธอจะมุมานะทำความเพียรต่อไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...