จริงหรือไม่ สุราเพียงหนึ่งจอก ทำให้จิตปราศนิวรณ์ได้

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย aapinyah, 12 มีนาคม 2013.

  1. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

    การถอนคำอธิษฐานนั้น ทำได้ตามที่ว่ามาครับ
     
  2. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    พรุ่งนี้วันหยุดเราหนึ่งวัน เราจะต้องระลึกรู้ตัวให้ได้ตลอด จะดูซิว่าจะได้สักกี่นาที

    จะพยายามดับความคิดให้หมด ทิ้งให้หมด

    จะสำรวจนิวรณ์ทั้ง 5 ข้อให้สม่ำเสมอ (เราจำได้หมดแล้วทั้ง 5 ข้อเพราะก่อนหน้านี้หลายอาทิตย์ เราไปท่องเว็ป เจอเรื่องนิวรณ์ 5 เยอะ เราเลยต้องตาม ทำความเข้าใจและจำให้ได้น่ะ)

    จิตคิดไป คือการปรุงแต่งนี้เอง

    แล้วเราจะกลับมารายงานต่อน่ะ ท่านครู
     
  3. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  4. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    เรารับรู้การเคลื่อนไหวของร่างกายได้ไม่นาน ก็รับรู้ได้ว่ากำลังจะฟุ้งซ่าน ก็ต้องตั้งใจมารับรู้การเคลื่อนไหวของร่างกายใหม่ บางทีตั้งใจมากไป สมาธิก็ดิ่งจะแช่นิ่งอีก ต้องสลัดการรับรู้ใหม่ แต่ถ้าเราทำแบบไม่ค่อยตั้งใจทำแบบเบาๆ ความคิดฟุ้งซ่าน ก็จะตามมา จริงอย่างที่ท่านว่า "เขารู้จุดอ่อนเราหมด ไม่ว่าจะทำอะไร เผลอนิดหน่อยไม่ได้" บางทีเราก็เหนื่อย

    เราคิดว่าความฟุ้งซ่านของเรา ไม่มีเรื่องอะไรมาก นอกจากคน โดยเฉพาะคนที่เราไม่ชอบ กลายเป็นเกลียด โกรธ และเคียดแค้นชิงชัง ความอาฆาตพยาบาท มันมาจากตรงนี้นี่เอง เราคิดได้อย่างนี้ถูกไหมท่านครู เลยกลายเป็น 1 ในนิวรณ์ 5 ที่เราควร "ละ" บางทีบางสิ่งเราท่องได้เป็นนกแก้ว นกขุนทอง เราคิดว่าเรารู้ แต่จริง ๆ ไม่รู้เลย แค่รู้ตามตัวหนังสือเท่านั้นเอง

    การเป็นมนุษย์นี่ มีช่องว่างให้ทำความดี กับความชั่ว พอๆ กันเลยเนอะ

    สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้ (การรับรู้อาการเคลื่อนไหวร่างกาย) เราเรียกว่า "การดูจิต" ใช่หรือเปล่า แล้วแตกต่างจากมหาสติปัฎฐานสูตร อย่างไร หรือท่านครู
     
  5. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    การรับรู้ของร่างกายตลอดเวลา เราทำได้ไม่นานหรอกประมาณ 2-3 นาที เราพบว่า ถ้าเราตั้งใจดูร่างกายมากไป จะเป็นสมาธิแบบแช่นิ่งไป ถ้าเราผ่อนความตั้งใจลงมากไป ความฟุ้งซ่านก็จะเข้ามาแทน บางทีกลับไปตรงกลางๆ ใหม่ลำบากเหมือนกัน เราเลยสลัดความคิดใหม่ ใช้วิธีการดูความเคลื่อนไหวร่างกายจากกระจกแทนสักพัก แปลกที่เห็นตัวเองในกระจกไม่คุ้นตัวเองเลย เราพยายามจำให้ได้ที่ท่านว่า "ไม่ต้องคิด ดับความสงสัยให้หมด มารับรู้การเคลื่อนไหวของร่างกายแทน"

    เราคิดว่า ความฟุ้งซ่านของเรา 70-80 % เกิดจากคนที่ เราไม่ชอบ เหตุการณ์มันผ่านไปแล้ว แต่ก็ยังเก็บมาคิด จากความไม่ชอบ เกิดมีเหตุการณ์สนับสนุน จากความไม่ชอบ กลายเป็นความเกลียด ความเครียดแค้น ชิงชัง และอาฆาตพยาบาท จึงตามมา มันจึงเป็น 1 ในนิวรณ์ 5 ที่เราควร "ละ" ใช่ไหมท่านครู

    การเกิดเป็นมนุษย์นี่ มีช่องว่างของการทำดีและชั่ว พอๆ กันเลยเนอะ

    การที่เรากำลังฝึกดูการเคลื่อนไหวร่างกายอยู่นี่ เราเรียกว่า "การดูจิต" หรือเปล่า แล้วแตกต่างจาก มหาสติปัฏฐานสูตร ยังไงหรือท่านครู
     
  6. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    นี่แหละ ท่านได้ซาบซึ้งแล้ว กับคำว่า "ทางสายกลาง" ของพระพุทธองค์
    ทางใดเล่า คือทางไปสู่ธรรมแห่งการหลุดพ้น

    ก็คือทางเส้นที่ไม่ตึงเกินไป และ ไม่หย่อนเกินไป

    การปฏิบัติทางจิต เมื่อใจไม่เป็นกลาง มันก็จะเอนเอียงไปแต่ในฝ่ายที่มีแต่สิ่งโกหกหลอกลวง
    หากหย่อนเกินไป ก็จะเกิดความฟุ้งซ่านหาสาระไม่ได้ จิตก็จะมีสภาวะเสพความเพลิดเพลินแห่งความเพ้อฝันไปเรื่อยๆ ไม่กล้บมารับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในขณะปัจจุบัน
    หากตึงเกินไป ก็จะเจอแต่สภาวะนิ่ง ที่ไม่เกิดปัญญา จิตก็จะมีสภาวะเสพแต่ความว่างนิ่ง ไม่กล้บมารับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในขณะปัจจุบัน
    และที่สำคัญ ที่ให้อำนาจของความคิด มันคลายลงไปก่อน ก็เพราะว่า ตัวความคิดปรุงแต่งนี่แหละ ที่มันจะบังความจริง
    เมื่อเราพยายามคิดหา เหตุ ผล ในสิ่งต่างๆ เมื่อนั้น จิตไม่ได้กำลังเห็นความจริง แต่มันกำลังดูความปรุงแต่งที่เกิดขึ้นเพราะความคิดมันชักนำพาไป

    ในเมื่อจิตไม่เห็นความจริง จิตเห็นแต่สภาวะปรุงแต่ง จิตจะรู้ เข้าใจ เกิดปัญญาที่แท้จริงได้อย่างไร?

    แต่หากทำให้ใจเข้าสู่ความเป็นกลางได้แล้ว จะเห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิด ดับ ตามความเป็นจริง เมื่อจิตเห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงแล้ว ความรู้ และ ปัญญา ที่แท้จริง ย่อมเกิดตามมา โดยธรรมชาติ (ไม่ต้องน้อมนึก พิจารณาใดๆ ทั้งสิ้น เพราะการน้อมนึก ก็จะเป็นการกวนความคิดให้กลับกำเริบขึ้นมา ปล่อยมันเห็นสิ่งที่เป็นจริงในปัจจุบันขณะไปเรื่อยๆ จิตจะมีการพัฒนาตัวของมันเอง โดยที่เราไม่ต้องไปบังคับยุ่งเกี่ยวอะไรเลย ขอแค่ให้จิตตั้งอยู่ในความเป็นกลาง ให้มันเห็นความจริงไปเรื่อยๆ เท่านั้นก็พอ)

    เรื่องการละ นิวรณ์ นั้น ให้ยกเอาไว้ก่อน เมื่อถึงเวลาที่จิตมันพร้อม มันเกิดปัญญาด้วยตัวของมันเองแล้ว มันจะเห็นโทษภัยของนิวรณ์ และเมื่อนั้น ตัวจิตเองนั่นแหละ ที่มันจะปฏิเสธนิวรณ์ทั้งสิ้น สลัดหลุดจากนิวรณ์ทั้งหลาย ด้วยตัวมันเอง โดยที่เราไม่ต้องไปพยายามละอะไรเลย แต่ในขั้นนี้ ให้จิตมันเห็นความจริงไปเรื่อยๆ ก่อน เมื่อมันเห็นของมันเต็มที่แล้ว จิตมันจะตัดสินได้เอง ว่า สิ่งใดเป็นโทษภัย

    ปัจจุบันที่ทำอยู่ เป็นส่วนหนึ่งของสติปัฏฐาน 4 ในส่วนที่เรียกว่า กายานุปัสสนา
    สติปัฏฐาน 4 มี 4 ส่วน คือ กาย เวทนา จิต ธรรม

    ไม่มีความจำเป็นต้องสงสัย หรือ พยายามเทียบเคียง ว่า สิ่งที่ทำอยู่นั้นเรียกว่าอะไร จะเป็นนิวรณ์กวนใจในการปฏิบัติเปล่าๆ
    ในการปฏิบัติสายสติ จะเริ่มต้นที่ใดก็ตาม จะเริ่มที่กาย เมื่อถึงเวลา จิตมันจะละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ และเห็นในชั้นจิตได้เอง ตามธรรมชาติของมันครับ
     
  7. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    ครั้งแรก # 65 พิมพ์ไปแล้วหาย เลยพิมพ์ใหม่ #66 ไม่คิดว่าจะขึ้นมา 2 # เลย

    เราชอบการอธิบายของท่านนะ บางครั้งท่านพูดเหมือนท่านเห็นเราปฏิบัติน่ะ ท่านคงเป็นผู้นำสาส์นจากครูบาอาจารย์ มาให้เราน่ะ (จำสำนวนคนอื่นมา)

    เราพยายามจำวิธีให้ได้ ทำให้อยู่กลางๆ น่ะ เวลากลางวันอยู่กับผู้คน มากเรื่องราว อยากปิดประสาทสัมผัสทั้งหมด แต่ท่านครูจะต้องบอกว่า ไม่ควรทำ เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามต่อไป คือต้องไม่เก็บมาคิดในตอนเย็น จะพยายามทำให้ได้

    ก่อนนอนให้เรากลับมานั่งสมาธิ หรือยืนสมาธิ ก่อนนอนได้อีกหรือเปล่า
     
  8. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    หากยังมีสติครองอยู่ในฐาน ออกมาจากสมาธิ แล้วรับรู้กายได้ สภาวะของสติไม่ลบเลือนถดถอย ก็ปฏิบัติได้ตามปกติครับ

    แต่หากถอนออกจากสมาธิ แล้วสภาวะของสติลบเลือนลงไป ถ้าให้ดี ควรจะงดปฏิบัติสมาธิแช่นิ่งอีกสักระยะหนึ่งต่อไป

    เพราะในผู้ที่ชำนาญในสมาธิ และ ติดสมาธิ
    การปฏิบัติเข้าสมาธิแช่นิ่ง จะเปรียบเหมือนการดื่มสุราก็ไม่ผิด
    หากดื่มแล้ว มัวเมาลงไปในอารมณ์ของความนิ่ง ไปเคลิบเคลิ้มกับมัน ถอนไม่ออก มันก็จะเป็นการปิดบังสภาวะของสติ ที่จะทำให้ก้าวหน้าทางปัญญาธรรมครับ

    ข้อนี้ ให้ท่านตรวจสอบตัวเองได้เลยครับ ใช้ตัวชี้วัด คือ ระดับของสติตนเอง
     
  9. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    ขอบคุณมากนะท่านครู เราเข้าใจถึง "ทางสายกลาง" จริงๆ คงเป็นตอนนี้ล่ะ
    แล้วเราจะมาเล่าให้ฟังต่อ
     
  10. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    ไม่ไหว ไม่ไหว ความตั้งใจบางทีก็ไม่ดีเลย ส่วนใหญ่จะเผลอมากไปนน่ะท่านครู แต่รู้ตัวทันก็รีบสลัดมันทิ้งไป

    อีกอย่าง เหมือนที่ท่านเคยว่าไว้ อ่านมากก็ไม่ดี มันชอบออกมาบอกว่าต้องอย่างนั้น อย่างนี้ หรือมาถามว่า ทำไมต้องเป็นแบบนี้ แบบนั้น ทำแล้วดีหรือ
    เพราะวันนี้ ไม่มีเรื่องคนอื่นมาวุ่นวายใจ แต่ที่แท้ความลำบากใจกลับเป็นตัวเอง ซะนี่
    ต้องสลัดหัวทิ้งเหมือนเดิม มันไม่ง่ายนะท่านครู ทำได้และเห็นได้ชัด ๆ แค่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง
     
  11. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    เราจะพยายามต่อไป ถึงยากแค่ไหนจะพยายาม มันเป็นข้อสอบที่เราต้องสอบให้ผ่าน เราค่อยๆ เริ่มเข้าใจ ในบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่เข้าใจมานาน คือการรับรู้ของประสาทสัมผัสเรา ตอนนี้เริ่มดีขึ้น แต่ยังไม่ปกติ ยังคงอีกห่างไกล

    หลังจากพยายามให้ประสาทตื่นทุกอวัยวะ แล้วไม่เกร็งพบว่ากล้ามเนื้อเริ่มผ่อนคลาย แต่ยังคงมีอาการปวดอยู่ และจิตยังคงเผลอแว่บ และดิ่ง บ้าง เกือบตลอดเวลา

    เรารู้ว่า ต้องทำแบบสบายๆ นั่นเอง ทำให้เป็นปกติให้มากที่สุด (เริ่มโปรแกรมหัวตัวเองอีกแล้ว ก็ดีอย่างเอาไว้ให้เขาออกมารีเพลย์ให้เราฟัง แต่ไม่ให้ถามเราแล้ว)

    ขอบคุณท่านครู ที่ให้ "ธรรมทาน" แก่เรา

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  12. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ท่านได้ค้นพบธรรมะในตัวเองแล้ว สภาวะของใจตัวเอง ที่มันยุ่งวิ่งไปวิ่งมาไม่หยุด อยู่ไม่สุขเหมือนลิง อยากจะให้ใจมันทำตามที่เราต้องการ แต่มันก็ไม่ยอมตามเราต้องการ อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา

    ธรรมภายในนี้แหละ ที่เป็นตัวก่อเกิดชาติภพ ก่อเกิดความยุ่งวุ่นวายทั้งหลาย ทั้งการยึดมั่นถือมั่น กิเลสตัณหา การไม่สบายกายไม่สบายใจทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่เกิดเพราะมันทั้งสิ้น

    การเพียรมีสติเพื่อศึกษาพฤติกรรมของ ธรรมภายในนั้น เป็นเรื่องประเสริฐอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เราสลัดพ้นจากอำนาจของสิ่งที่เคยครอบงำเรามานาน ได้ทีละขั้นๆ ตามลำดับชั้นไป

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ...
     
  13. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ ท่านพูดเหมือนพระเลย
    ขอสรงน้ำ ท่านครูก่อน...
    ธรรมทานที่ท่านครูให้ไว้ หากสำเร็จและก้าวหน้าขอผลบุญที่เกิดขึ้น
    จงโน้มนำให้ท่านพร้อมครอบครัว ได้สำเร็จตามที่ท่านปรารถนาด้วยเทอญ

    เราได้เรียนรู้อะไร หลายๆ อย่าง ใน 1-2 วันมานี้
    เราเพิ่งรู้ว่า ในอดีตทำไมเราถึงไม่รู้เรื่องอะไร ความหมายคือเราปิดประสาทสัมผัสตัวเอง เมื่อพบสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ
    เราก็ไม่รับรู้ ยกเว้นตา
    ทำให้ตาเรา นี่แหละมาโยงถึงประสาทสัมผัสตัวอื่น เกิดจินตนาการไปเองทั้งดีและไม่ดี ร่างกายก็เลยเกร็ง

    เราต้องเพียร พยายามฝึกดูความเคลื่อนไหวของร่างกายอย่างนี้ไปตลอดใช่ไหมท่านครู

    เราต้องฝึกใช้อิทธิบาท 4 เยอะๆ แล้วเราก็จะมองเห็นความทรมานของตัวเอง
    แล้วเราก็รู้ว่า ควรจะทำอย่างไรต่อไปใช่หรือเปล่า

    มีพรรคพวกมาหาประมาณ 7-8 คน บางกลุ่มก็เล่นเกมส์ บางกลุ่มก็สนทนา บางกลุ่มก็สังสรรค์
    เราพยายามรับรู้ให้หมดทุกอย่างทั้งหู ตา จมูก ทุกอย่าง เรานั่งอยู่ตรงนี้ เราได้ยินแล้วเพื่อนอีกกลุ่มคุยอะไรกันข้างๆ และไกลออกไปหน่อย
    เรามองเห็นด้วย ว่าทุกกลุ่มย่อยๆ ทำอะไรกัน

    แต่ต้องบอกใจตัวเองให้เวียนดูทีละอย่างเรามีความรู้สึกว่า ยังรับพร้อมกันไม่ได้ทั้งหมดทีเดียว
    เวลาเราพูดกับเพื่อน เราก็จะลืมดูร่างกาย ถ้าไม่พูด เราบอกตัวเองได้ว่าแต่ละประสาทเป็นไง

    ตอนนี้เรารับรู้การเคลื่อนไหวตัวเอง เหมือนเรามองตัวเองในกระจกน่ะ ซึ่งเหมือนว่า ไม่ใช่เป็นตัวเอง แต่เป็นหุ่นอะไรสักตัว
    เรายอมรับว่า ดีขึ้นบ้างทั้งกายและใจ สบายดี

    เริ่มใช้ได้ไหมท่านครู
     
  14. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    สาธุ ดีแล้วครับ
    ระวังอย่าให้เคร่งเครียดเกินไปเท่านั้นครับ

    เราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง หากพยายามจะไปรู้ทุกอย่าง มันจะเครียดเกินไป
    ให้เรารับรู้ เท่าที่มันรู้ได้ โดยธรรมชาติ
    โดยการปล่อยใจให้มันว่างๆ สบายๆ แล้วเปิดการรับรู้ ให้มันไหลเข้ามาหาเรา โดยเราไม่ต้องไปพยายามตามดูในสิ่งใดๆ

    เมื่อใจเป็นกลาง ปล่อยให้การรับรู้ไหลเข้ามาหาเราโดยธรรมชาติ โดยเราไม่เข้าไปหามัน ไม่ไปวิ่งไล่ตามมัน จะเกิดสภาวะแห่งการรู้ขึ้น คือ รู้เฉยๆ รู้ทั่วๆ รู้โดยไม่ต้องไปตีความ ให้ความหมายอะไรกับมัน สภาวะนี้ จะบอกว่าไม่รู้ก็ไม่ได้ เพราะมันรู้อยู่ตลอดเวลา แต่มันรู้แบบไม่ได้ไปปรุงแต่งให้ความหมายในสิ่งใด

    ให้ลองสังเกตจิตของตัวเอง จิตที่อยู่ในสภาวะกลางๆ เปิดการรับรู้ ให้การรับรู้ไหลเข้ามาหาเรา ลักษณะของจิต จะไม่มีความวุ่นวาย ไม่มีความสับสน เป็นกลาง เบา โปร่ง โล่ง สบาย แต่มีกำลังมาก จิตจะแทบไม่มีการเคลื่อนไหวเลย เหมือนจิตอยู่นิ่ง ไม่วิ่งไปตามสิ่งใดๆ แต่สิ่งเหล่านั้นวิ่งเข้ามาหาจิตเอง

    ตรงกันข้าม คือ จิตที่พยายามกำหนดการรับรู้มากเกินไป จะมีสภาวะการเคลื่อนไหวของจิตตลอดเวลา จิตจะวิ่งไปวิ่งมา ตามการรับรู้ เดี๋ยวก็ไปทางโน้น เดี๋ยวก็ไปทางนี้ จิตจะมีลักษณะไม่หยุดนิ่ง จะไม่ค่อยมีกำลัง และรู้สึกอ่อนแรง

    เมื่อทำถูกวิธี เจริญสติต่อเนื่อง เนืองๆ จิตนิ่ง สว่าง เปิดการรับรู้อยู่ จะเกิดสภาวะเช่นที่ท่านว่า คือ รู้สึกว่า ร่างกายนี้ ไม่ใช่ของเรา จิตใจนี้ ไม่ใช่ของเรา

    เพราะเรานั้น เป็นผู้ รู้อยู่ นิ่งอยู่ สงบอยู่ แต่สิ่งที่เคลื่อนไหว สิ่งที่วุ่นวาย นั้นกลับไม่ใช่ตัวเรา และตัวนี้จะเป็นบาทฐานสำคัญ สำหรับขั้นต่อไปครับ
     
  15. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    สิ่งหนึ่งที่เรายังทำไม่ได้คือ ประสาทหู เรายอมรับว่ากังวลมาก
    เรากำลังอยู่ในวงสนทนา ฟังไปฟังมา รู้ตัวว่า ประสาทหูกำลังปิดการรับรู้ และเริ่มดิ่ง
    เราปลุกประสาทหูไม่ทัน ปล่อยมันดิ่งเลย แต่ตายังเห็น เห็นปากคนพะงาบ พะงาบ เห็นคนชึ้ไม้ชี้มือ ประกอบคำพูด แต่ไม่ได้ยินเสียงอะไร เราคุมตัวเองด้านหู ไม่ได้
    สักพักหูกลับมาเอง เมื่อคนที่เราสนใจอยู่ถามเรา หรือสะกิดเรา

    อีกสถานการณ์หนึ่งที่พบในวันนี้ คือ การถูกถามด้วยคำถามที่ไม่อยากตอบ ประสาทหูปิดตัวเอง ไม่รับรู้ ดิ่งเข้าสมาธิเลย รู้ตัวแต่คุมไม่ได้ แต่กลับมาเองเมื่อถูกถามอีกครั้ง

    ประสาทด้านอื่นยังไม่ค่อยมีปัญหา เราคิดอย่างนั้นน่ะ เราห่วงเรื่องหูอย่างเดียว
     
  16. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    ตอนนี้เราเริ่มไม่ชอบตาเรา ถ้าเราหลับตาแล้วรู้สึกว่ารับรู้การเคลื่อนไหว ได้ดีว่าลืมตา
    ตาเรา พาให้จิตออกไหลออกไปข้างนอก
    อยากจะควักลูกตาออก เหมือนถอดหลอดไฟ แต่คงทำอย่างนั้นไม่ได้เนอะ เพราะหลอดถอดเข้าถอดออกได้

    เราเข้าใจแล้วว่า สิ่งที่ก่อให้เกิดภพชาติ คืออะไร เราเข้าใจแล้วว่า ใจเราเองนี่แหละที่วุ่นวาย ก่อกิเลส ตัณหา ความไม่สบายความสบายใจ นี่เอง

    เราต้องพยายามรับรู้กายให้เป็นปกติแบบนี้ ฝึกแบบนี้ไปตลอดเวลาเลยใช่ไหม
    นี่แค่เริ่มต้นใช่ไหม
     
  17. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    สิ่งใดมีอยู่ สิ่งนั้นมีอยู่
    สิ่งใดไม่มี สิ่งนั้นไม่มี

    ความชอบ หรือ ไม่ชอบ ทั้งหลาย ล้วนเกิดจากการปรุงแต่ง
    เมื่อใด มีความชอบในร่างกายของเรา หรือของผู้อื่น
    หรือมีความไม่ชอบ ในร่างกายของเราเอง หรือของผู้อื่น
    เมื่อนั้น เกิดชาติภพอยู่ตลอดเวลา

    ร่างกายของเรานั้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันไม่ได้มีอะไรผิดปกติเลย
    ร่างกายมันก็ทำงานของมันเช่นนั้น ตามหน้าที่ของมัน
    สิ่งที่เข้ามากระทบร่างกายของเรา มันก็ทำงานของมันเช่นนั้น ตามหน้าที่ของมัน
    กรรม และ วิบาก ต่างๆ ก็ทำงานเช่นนั้น ตามหน้าที่ของมัน

    มนุษย์ทั้งหลายนั้น เป็นผู้มีความเป็นปกติ ในร่างกาย ในสิ่งกระทบ และ ในวิบากกรรม
    เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น มันทำงานเป็นปกติของมัน เช่นนั้นเอง

    แต่ผู้ที่มีจิตทำงานเป็นปกติที่สุดนั้น คือ พระอรหันต์ เพราะจิตท่านทำงานเที่ยงตรง รู้สิ่งใด เห็นสิ่งใด ก็รู้เห็นตามจริงเช่นนั้น ไม่มีความอยาก ไม่มีความไม่อยาก สิ่งใดเกิดขึ้น ท่านก็รับรู้สิ่งนั้นตามจริงไม่มีผิดเพี้ยน ตลอดเวลา

    เราๆ ท่านๆ ที่เป็นปุถุชนนี่แหละ ที่มีความผิดปกติ วิปริตของจิต
    แม้ร่างกาย สิ่งกระทบ และ กรรมวิบาก ทำงานของมันตามปกติ
    แต่จิตของเรานั้นผิดปกติ ปรุงแต่งให้เกิดความชอบ ไม่ชอบ เกิดการยึดมั่นถือมั่นเอาไว้ เกิดการอยากจะเลือก ว่า สิ่งนี้เราชอบใจ เราจะรับมัน สิ่งนี้เราไม่ชอบใจ เราจะไม่รับมัน

    ดังนั้นแล้ว การจะแก้ไขสิ่งผิดปกติ ให้เรากลับไปเป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญ เฉกเช่นพระอรหันต์ท่าน เราก็ต้องแก้ที่จิต ให้จิตเห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง

    ผู้ใดเริ่มเห็นธรรมะที่แท้จริง ผู้นั้นจะเริ่มระลึกรู้ได้ด้วยตัวเองว่า โลก ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ แต่ใจตนเองต่างหาก ที่ผิดปกติ ความรู้นี้ เป็นความรู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้โดยการนึกคิด แต่สามารถเข้าถึงได้โดยการเพียรมีสติ ระลึกรู้ไปเรื่อยๆ จนเกิดปัญญาในส่วนนี้ได้เอง

    สิ่งสำคัญในชั้นนี้ คือ การระลึกรู้ไปเรื่อยๆ แบบไม่ต้องคาดหวังสิ่งใด ไม่ต้องคิดว่าปฏิบัติได้ดีแล้วหรือยัง ไม่ต้องพยายามรับรู้ทุกอย่าง แต่ให้ระลึกรู้ไปเรื่อยๆ ให้เกิดเป็นปกตินิสัยของการรู้ และระลึกรู้ถึง ความชอบ และ ไม่ชอบที่เกิดขึ้นในจิต ตามปัจจุบัน ตามความเป็นจริง

    สภาวะของท่านในชั้นนี้ เปรียบได้เหมือนกับที่ครูบาอาจารย์ท่านอุปมา ว่า เป็นการหยดน้ำลงทีละหยดในตุ่ม ค่อยๆ เติมกำลังของสติลงไปเรื่อยๆ ในเวลาอีกไม่นานนัก น้ำในตุ่มของท่าน ก็จะเต็มอย่างแน่นอน

    หากเร่งรีบ พยายามจะวิ่งในขณะที่ยังไม่พร้อม มันก็จะหกล้ม ให้ค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ แล้วมันจะเดินเร็วขึ้นไปตามลำดับขั้นด้วยตัวมันเอง
     
  18. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155


    เข้าใจแล้วล่ะ
    ขอบคุณท่านครูที่เตือนสติ
    เป็นธรรมดาของมันดีเอง ตอนแรกว่าจะฝึกระบบประสาทใหม่ ให้รับรู้ใหม่ แต่ท่านครูได้เตือนสติเราไว้ เราเห็นดีด้วย

    สองวันมาแล้ว เราพยายามคอยรับรู้ร่างกายเราตลอด โดยเฉพาะหู ไม่อย่างให้มันนิ่งและดิ่ง อีกแล้ว เหมือนคนขี้ขลาด ไม่ชอบก็หนี เราคิดอย่างนั้นน่ะ
    เราก็เลย รับรู้ความรู้สึกตลอด พยายามตลอดที่หูเรา วันแรกรู้สึกว่าหูหนักๆๆ
    วันที่สอง ปวดหูเลย กะว่าเอาไงเอากัน
    ท่านเตือนสติแบบคงต้องพักก่อนใช่ไหม

    เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังต่อนะท่านครู
     
  19. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
  20. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    เริ่มพอเข้าใจอีกนิดแล้วล่ะ
    นั่งคิดอยู่ว่า ร่างกายมันทำงานของมันปกตินี่มันเป็นอย่างไร แล้วใจเราเอาไปคิดตามผลกระทบ และวิบากกรรมมันเป็นอย่างไร

    ตอนนี้เริ่มพอเข้าใจบ้างแล้ว การปล่อยใจให้ไหลออกข้างนอก ตอนที่ประสาทสัมผัสร่างกายกำลังทำงาน และความคิดสิ่งโน้นนี้เกิดขึ้นตามผลกระทบและวิบากกรรมมันเป็นอย่างนี้ กับคำพระที่ท่านว่า (ตามที่อ่านเจอในหนังสือของหลวงพ่อจรัญ)
    "เห็นก็ให้สักแต่ว่าให้เห็น ได้ยินก็ให้สักแต่ว่าได้ยิน" มันเป็นอย่างนี้นี่เอง

    แปลว่า ไม่ต้องคิดอะไรเพิ่มเติมจากสิ่งที่มันเกิดอยู่ ใช่ไหม

    พระพุทธเจ้าของเรา คิดได้อย่างไรน่ะ ช่างลึกซึ้งจริงๆ

    แต่ตอนนี้ การรับรู้ของประสาทหูของเรา มันชินกับการถ่วงๆ หูแล้วล่ะ เหมือนกับรูหู เริ่มขยายออก ๆ แต่ไม่ปวดหูแล้ว เหมือนมีน้ำกำลังไหลออกมา แต่จริงๆ ไม่มี
    คงเครียดไปหน่อย

    ตาก็เหมือนเดิม พยายามไม่ให้สร้างจินตนาการมาก

    แต่ มีบางเรื่องที่ยังทำ ใจไม่ได้ ที่ต้องเก็บไปคิดตอนเย็น ในใจเก็บเรื่องได้เยอะเหมือนกันแฮะ บางเรื่องต้องคิดทันที ก็เริ่มมีสมาธิดิ่งอีก
    ตอนนี้เราเริ่มรู้สึกตัว แต่บังคับไม่ทัน เพราะไม่สนุกด้วยเล้ย
    อาการฟุ้งซ่านก็บ่อยน่ะตอนนี้ มันอ่อนแรงจริงๆ อย่างท่านว่า

    จมูกไม่ค่อยมีปัญหา ได้กลิ่นปกติ บางทีก็ดีกว่าคนอื่นเช่น ได้กลิ่นแก็สก่อนคนอื่น อันนี้ดีนะ แต่บางทีได้กลิ่นธูป ในขณะที่คนอื่นไม่ได้กลิ่น (อันนี้นานๆ ที ต้องเดินหาว่ามาจากไหน อันนี้ไม่ดี ใช่ไหม)

    ปาก ลิ้น รับรสชาติ ได้ตามปกติ รู้ว่าชอบหรือไม่ชอบ

    จะพยายามไปเรื่อยๆ

    แล้วจะมาเล่าอาการให้ฟังอีกเรื่อยๆ นะท่านครู
    ขอบคุณมากนะ ดีนะท่านครูเตือนสติทัน เกือบสอบตกแน่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...