พบปะ พูดคุย ประสาเพื่อนพ้องน้องพี่ แบบกันเอง

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย tiger-k007, 6 มิถุนายน 2011.

  1. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    อย่ามัวเอาแต่ "เล่นพระ" กันอยู่เลย.... หันมา "กราบไหว้บูชาพระ" ไม่ดีกว่าหรือ
    -----------------------------------------------------
    พระพิมพ์ พระเครื่องทุกองค์ ไม่เพียงแต่พ่อแม่ครูอาจารย์ได้อธิษฐานจิตประจุพลังจิตของท่านลงไปแล้ว ท่านยังอาราธนาอัญเชิญ เทพยดา องค์พรหม เทวดา เทวนารี ทุกชั้นฟ้ามา สถิตในองค์พระพิมพ์ พระเครื่องเพื่อให้เกิดผลในทางปกปักรักษาผู้ครอบครองที่อยู่ในศีลธรรม แต่เมื่อผู้ครอบครองหลงอยู่ในกามกิเลสจนพอกจับหนา เหล่าเทพฯต่างๆ ที่สถิตย์รักษาองค์พระอยู่นั้น ก็มิอาจจะอยู่ลดองค์ลงเกลือกกลั้วกับบุคคลที่หนาและเหม็นไปด้วยกามกิเลสนั้น จึงต้องสละละจากวัตถุมงคลนั้นกลับขึ้นไปยังสรวงสวรรค์ดังเดิม และวัตถุมงคลที่ว่านั้นก็จะกลายเป็นสสารวัตถุธาตุธรรมดาทั่วไป ไม่มีพลังอำนาจใดๆ เหลืออยู่ และนี่คือ "คำตอบ" ที่ว่า พระแท้ๆ รับจากมือพ่อแม่ครูอาจารย์ เซียนน้อยใหญ่ยกนิ้วให้ถึงความแท้ เหตุใดจึงไม่สามารถปกปักรักษาผู้ครอบครองนั้นได้เลย
    ผมเคยชอบเดินสนามพระ เคยเข้าชมงานประกวดพระ และได้เห็นว่า ผู้ที่คนอื่นหรือเรียกตนเองว่า "เซียนพระ" กว่า 90 เปอร์เซ็นต์มีการปรามาสทั้งด้วยวาจา กิริยาการกระทำต่างๆ ต่อองค์พระเครื่อง พระพิมพ์ จึงไม่แปลกใจว่าทำไม "เซียนพระ" ที่คิดว่าตัวเองมีพระแท้ๆ และดูพระเก่งชมัดกลับมีการเป็นไปดังตัวอย่างที่ยกมาจากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ และสื่ออื่นๆ กันบ่อยๆ โปรดวิเคราะห์กันเองว่า ท่านเหล่านั้นมีพระแท้ๆ วงการสากลนิยมยอมรับ ราคาเป็นแสนเป็นล้าน แต่ต้องมามีอันเป็นไปอย่างน่าเวทนา ทำไมถึงไม่เหนียว ไม่แคล้วคลาด ไม่เมตตา
    คุณปู่ประถมย้ำหนักหนาว่า อย่าได้นำพระเข้าประกวด เพราะเทพยดาทั้งหลายท่านจะไม่อยู่ด้วย เพราะท่านไม่ใช่ชายงามหรือนางงามที่ต้องมาส่งประกวดแข่งขันเพื่อเอาตำแหน่งความงามกัน ถ้านำเข้าประกวดแล้ว พระแท้ๆ อิทธิคุณสูง ก็จะกลายเป็นวัตถุธาตุธรรมดา ท่านก็จะได้มีชื่อว่าได้ครอบครอง "ชิ้นดินแพงที่สุดในโลก" "ชิ้นทองแดงแพงที่สุดในโลก" "ชิ้นทองเหลืองแพงที่สุดในโลก"
    สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ ผู้ที่ได้ครอบครองพระหลังการประกวด ด้วยความปลื้มปิติว่าได้รับพระแท้ๆ ที่ผ่านการรับรองโดยปุถุชนธรรมดา.... ข้อเน้นว่า ปุถุชนธรรมดา... แล้วห้อยคอติดตัว นำออกอวดด้วยความภูมิใจ ครั้นเมื่อผ่านความคับขันในชีวิตไปได้กลับเชื่อว่าเป็นเพราะอิทธิคุณของพระเครื่องที่ตนเองรับมาจากงานประกวด โดยลืมนึกถึงเทวดาผู้รักษาตัวกับบุญบารมีที่ตนเองเคยสร้างไว้ ได้มาเป็นเกราะคุ้มตัวไว้ หลงได้ปลื้มกับวัตถุธาตุธรรมดาที่ติดตัวอยู่ หากไม่มีบุญเก่า ไม่ได้เติมบุญใหม่ บุคคลเหล่านั้นถึงแม้จะมีพระแท้ๆ ก็มีอันเป็นไป........

    ทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัว และมีคำสอนครูอาจารย์มาเกี่ยวข้อง มิได้ดูหมิ่นท่านผู้ใด
     
  2. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    [​IMG]
     
  3. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    พระดีนอกกำมือเซียน

    โดย ผศ.ดร.ณัฐนนต์ สิปภากุล อาจารย์สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลนครราชสีมา ท่านเป็นนักสะสมพระ อดีตกรรมการตัดสินพระสมเด็จ และปัจจุบันนักปฏิบัติธรรมขั้นสูง
    -------------------------------------------------------------
    ...พวกเราชาวพุทธคงเคยได้ยินคำสอนของพระพุทธองค์ที่ได้ตรัสกับเหล่าสาวกเมื่อครั้ง พุทธกาลว่า ความรู้หรือธรรมะบางข้อที่พระพุทธองค์นำมาสั่งสอนพระสาวกนั้น เป็นความรู้หรือความจริงแท้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เปรียบเสมือนใบไม้ที่อยู่ในกำมือของพระองค์ แต่ใบไม้ที่อยู่นอกกำมือนั้นมีอยู่มากมาย ลองหันไปดูบนต้นไม้ ในป่านี้ หรือในป่าทั้งโลก และยังมีอยู่ในจักรวาลและอนันตจักรวาลอีกมากมาย ฉะนั้น ในการศึกษาพระเครื่องหรือในเรื่องใดๆก็ตาม ที่เราเรียนรู้มาจากครูอาจารย์ จากเซียน จากคำบอกเล่า หรือจากตำราที่อ้างสืบๆกันมานั้น มันก็เป็นเพียงความรู้เพียงส่วนหนึ่ง ซึ่งอาจมีทั้งถูกต้องและไม่ถูกต้อง (ธรรมะของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ถูกต้องและเที่ยงแท้ไม่เปลี่ยนแปลง) แล้วนับประสาอะไรกับความรู้ของเซียนที่ อ้างสืบๆต่อกันมา มันจะเป็นความจริงไปเสียทั้งหมดเช่นนั้นหรือ แล้วไฉนหลายๆท่านจึงยังคงเชื่อเฉพาะความรู้เก่าๆ โดยไม่เปิดใจไปเรียนรู้ ใบไม้นอกกำมือเซียน บ้าง บางทีท่านอาจพบกับความมหัศจรรย์ของสิ่ง(พระ)ดีๆ อย่างคาดไม่ถึงก็เป็นได้

    ...อย่างไรก็ตาม การเสนอความคิดเห็นในบทความนี้ ก็นับเป็นความรู้ที่เกิดจากการเรียนรู้หรือ ประสบการณ์ และความมหัศจรรย์จากการปฏิบัติธรรม(ปัจจัตตัง)ของผู้เขียน จึงเป็นเพียงมุมมองหนึ่งเท่านั้น ขอให้ทุกท่านจงใช้สติปัญญา อย่าพึ่งเชื่อ จนกว่าท่านจะได้พิสูจน์ด้วยตัวของท่านเอง(ตามหลักกาลามสูตร) หรือจนกว่าท่านจะได้ประมวลความรู้จากแหล่งต่างๆอย่างถี่ถ้วนแล้ว จึงควรจะเชื่อไปตามนั้น แนวทางการศึกษาพระเครื่องจึงมีหลายแนวทาง ผู้เขียนจึงขอสรุปดังนี้

    แนวทางการศึกษาพระเครื่อง

    1. ด้านพุทธศาสตร์และวัฒนธรรม ได้แก่ คติความเชื่อและประเพณีนิยมในการสร้างพระ เช่น การสร้างพระสมเด็จของเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ท่านมีเจตนาในการสร้างพระเพื่อสืบต่อพระพุทธศาสนา การอธิษฐานจิตทุกครั้งจึงต้องอาศัยพุทธบารมี ธรรมบารมี สังฆบารมี และในบางครั้งได้อาราธนาอัญเชิญองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาร่วมใน การอธิษฐานจิตด้วย (เป็นเรื่องเหนือโลกหรือเหนือความรู้ของเซียน) ฉะนั้น ผู้ใดปรามาสพระพิมพ์ที่แท้ แต่ไปกลับบอกว่าเป็นพระปลอมด้วยอกุศลจิต ย่อมถือว่า เป็นการปรามาสหรือลบหลู่พระพุทธเจ้า จึงนับเป็นบาปที่หนักหนามาก ขอจงพึงระวังให้มาก อย่าให้เงินมาผูกขาดอัตตาของตัวเอง จนเดินไปสู่ขุมนรก หรือความวิบัติในบั้นปลายของชีวิต

    2. ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี ได้แก่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในสมัยนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น มีบางคนบอกว่า พระสมเด็จที่มีเหรียญรัชกาลที่ 5 ติดอยู่ด้านหลัง เป็นพระสมเด็จวัดระฆังที่ปลุกเสกและอธิษฐานจิตโดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์ในการสร้างเหรียญกษาปณ์ จะพบว่ามีการสร้างเหรียญพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ครั้งแรกใน ประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2417 ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากสมเด็จโตมรณภาพไปแล้ว 2 ปี (2415) อีกอย่างเหรียญรัชกาลที่ห้ามีพระพักตร์แก่แล้ว หรือแม้จะมีพระพักตร์หนุ่มก็ยังไม่ทันปี 2415 อยู่ดี ฉะนั้น ในแง่ของประวัติศาสตร์จึงเป็นไปไม่ได้ว่า พระดังกล่าวจะทันสมเด็จโตเป็นผู้ปลุกเสก ประวัติศาสตร์จึงบิดเบือนไม่ได้

    3. ด้านพุทธศิลป์ จะบอกให้รู้ว่า พุทธลักษณะและศิลปะที่ปรากฏเป็นองค์พระนั้น สามารถบอกยุคสมัย และกรรมวิธีในการสร้างได้ มีร่องรอยให้ค้นหาความจริงคล้ายด้านประวัติศาสตร์ อีกทั้งลักษณะที่งดงามขององค์พระ(พุทธศิลป์)นั้น จะเป็นสิ่งเสริมบารมีให้แก่ผู้สร้างและเสริมความสง่างามให้แก่พระพิมพ์นั้นๆ อาทิเช่น พระสมเด็จวัดระฆังของเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์(โต) นั้น มีความสง่างามอันเนื่องด้วยมีสัดส่วนที่ลงตัวมากที่สุด ดังเช่น สัดส่วนทอง หรือโกลเด้นเซ็คชั่น (Golden section) ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เกิดตามกฎแห่งความงามที่ชาวกรีกโบราณใช้มานาน ดังจะเห็นได้จากสัดส่วนของกระดาษเอ 4 หน้าจอทีวี จอโน๊ตบุ๊ค และอีกมากมาย สัดส่วนทองมีขนาดกว้าง 3 ส่วน และยาว 4 ส่วน จะย่อหรือขยายเท่าไหร่ก็ได้ เมื่อนำเอาพระสมเด็จวัดระฆังมาทาบกับสัดส่วนทองจะได้ขนาดพอดีกันอย่าง มหัศจรรย์ ฉะนั้นอย่าแปลกใจเลยว่า ทำไมพระสมเด็จวัดระฆัง จึงเป็นยอดแห่งจักรพรรดิของพระเครื่อง

    4. ด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ นี่สำคัญที่สุด เพราะเป็นการศึกษาคน จะแท้จะปลอมก็อยู่ที่ตัวคน ซึ่งจะเป็นผู้กำหนดวาทกรรมว่า "แท้" หรือ "ปลอม" ผู้มีอิทธิพลในวงการจึงเป็นพระเจ้า(god) ที่จะตีพระแท้พระปลอมได้โดยไม่ต้องส่องพระ ถ้าศึกษาให้ลึกซึ้งจะเห็นความเคลื่อนไหวของวงการพระที่ผูกติดอยู่กับการตลาด ยุคโลกาภิวัตน์อย่างแนบแน่น เป็นธุรกิจเดียวที่มีกำไรมากที่สุดในโลก ซื้อมาร้อยอาจขายได้ถึงห้าสิบล้าน ฉะนั้น อิทธิพลของคนบางกลุ่มจึงเกิดขึ้น อย่าลืมว่า การศึกษาจากตำราและคำบอกเล่าของเซียนโบราณ ก็เป็นความจริงเพียงส่วนหนึ่ง เป็นใบไม้ในกำมือเซียน แต่ใบไม้นอกกำมือเซียนนั้นมีอีกตั้งมากมาย ลองเปิดใจศึกษาให้ดีๆ เราจะเข้าใจบางสิ่งบางอย่างว่า กลุ่มใดอยู่เบื้องหน้าเบื้องหลัง และกลุ่มใดมีพลังในการซื้อขายพระ(ธุรกิจ) ก็ย่อมสร้างวาทกรรมที่ผู้คนนอกกลุ่มต้องฝืนยอมรับ เมื่อเขาต้องการที่จะซื้อจึงจะบอกว่าแท้ หากเขาไม่ต้องการที่จะซื้อก็ย่อมจะบอกว่าไม่แท้ เงินบวกจิตอกุศลหรืออัตตา เป็นตัวสร้างวาทกรรมที่ว่า “แท้” และ “ไม่แท้” รวมถึงการประกวดพระก็เช่นกัน ประกวดกันไปเพื่ออะไร รูปพระพุทธเจ้าที่อยู่ในองค์พระ เอามาล้อเล่นได้อย่างนั้นหรือ ลองพิจารณาดูให้ถ้วนถี่ แล้วท่านจะเห็นว่า เงินนั้นแหละที่อาจทำให้หลายๆคนเกิดกรรมโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

    5. ด้านวิทยาศาสตร์ ก็สำคัญไม่ว่าจะเป็นมือเก่าหรือมือใหม่ เพราะการศึกษาทางด้านกายภาพ (Physical) ด้วยตาเนื้อ ด้วยกล้อง 10x หรือกล้องจุลทัศน์และเครื่องมือสมัยใหม่ จะทำให้เห็นมวลสาร ส่วนผสม แร่ธาตุต่างๆ และธรรมชาติความเก่าที่อยู่บนผิวพระ (Surface) องค์นั้นๆ แต่ถ้าเป็นพระที่มีอายุเก่านับพันปีขึ้นไป อาจใช้การตรวจคาร์บอนได้ หากต่ำกว่านั้นจะได้ค่าผิดพลาด (error) ถึง 80% เขาจึงไม่นิยมตรวจคาร์บอนในวัตถุที่มีอายุน้อย ในปัจจุบันจะมีเครื่องมือวิทยาศาสตร์มาช่วยตรวจสอบหาเนื้อมวลสารได้ และยังสมารถตรวจสอบพลังออร่า (aura) และสเคลาร์ (scalar) เป็นต้น

    6. ด้านพลังพุทธานุภาพ ซึ่งเป็นเรื่องอจินไตย เป็นเรื่องเหนือโลก ที่กลุ่มเซียนส่วนใหญ่หรือผู้มีอิทธิพลไม่ได้สนใจในด้านนี้ เพราะถือเป็นความเชื่อส่วนบุคคล อีกอย่างมันอาจไปเปิดเผยพระที่พวกเขาทำปลอมขึ้นมาก็ได้ ในปัจจุบันผู้ปฏิบัติธรรมมีจำนวนมากขึ้น ผู้มีฌานสมาบัติก็มีมากขึ้น พระอริยเจ้าก็มี ผู้มีองค์เทพ องค์บารมีที่มีตาที่สามก็มีจำนวนมาก จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งในการตรวจสอบว่า พระเครื่ององค์นั้นมีพลังพุทธานุภาพหรือไม่ ซึ่งนับเป็นวิธีการตรวจสอบว่าเป็นพระแท้หรือพระปลอมที่เที่ยงแท้อีกวิธี หนึ่ง แต่ถ้าให้ดีท่านต้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานให้รู้ให้เห็นด้วยตัวท่านเองเป็น ปัจจัตตังจะดีที่สุด แล้วท่านจะเห็นสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นมากมาย ผู้ที่เชื่อในเรื่องพุทธานุภาพ จึงเป็นชนกลุ่มน้อย หรือ “เป็นพวกอกหัก” ในสายตาของเซียน ผู้มีบุญและตระกูลที่ครอบครองพระมาก่อนที่กลุ่มเซียนจะเกิด จึงกลายเป็นกลุ่มนอกกำมือเซียน ซึ่งที่จริงบุคคลกลุ่มนี้มีมากกว่ากลุ่มอิทธิพลตั้งหลายเท่า เพียงแต่ผู้มีบุญเหล่านั้นไม่ได้สนใจในวาทกรรมของเซียน เพราะพระดีที่ท่านมี เป็นเพียงเครื่องแสดงถึงบุญบารมีของผู้ครอบครองเท่านั้น

    7. ด้านจิตใจ จะอยู่ที่ตัวท่านว่าจะ "เปิด" หรือ "ปิด" ในการรับรู้ใบไม้นอกกำมือเซียน ถ้าปิดก็ย่อมไม่เชื่อ จึงไม่มีโอกาสได้รับพระแท้ที่หายาก ถ้าอยากได้พระแท้ตามเกณฑ์ของเซียนก็ต้องไปบูชาจากเซียนในราคาสูงๆ ถ้าเปิดก็ย่อมมีทั้งเชื่อและไม่เชื่อจึง จะมีโอกาสได้รับพระแท้ราคาถูกอยู่บ้างตามบุญบารมี หรือถ้าเป็นพระปลอมแต่จิตของท่านก็ยังเคารพว่าเป็นพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ หรือพระอริยเจ้าแท้ เมื่อศรัทธาพระ บารมีของพระท่านย่อมคุ้มครอง เช่น พระหลวงปู่ทวด พระสมเด็จวัดระฆัง พระกริ่งปวเรศ เป็นต้น แม้จะไม่ผ่านพิธีปลุกเสก แต่ดวงจิตของท่านจะมาสถิตอยู่ในพระของคนดีที่ศรัทธาท่านอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าท่านยึดพระเป็นตัวเงินเมื่อไหร่ ความทุกข์ก็จะตามมามากมาย ดังข้อความที่ผู้เขียนขอนำมาเป็นสติเตือนใจดังต่อไปนี้

    "คนคุ้มครองพระ" คือ เมื่อผู้ใดมีพระเครื่องที่ราคาแพงและหายาก มักจะเกิดความทุกข์ตามมาอาทิเช่น กลัวถูกปล้น ถูกขโมย จึงนำไปฝากธนาคาร หรือใส่ตู้เซ็ฟไว้ไม่นำติดตัวไปไหน ขอยกตัวอย่างความจริงที่เล่ากันมาว่า มีท่านหนึ่งมีพระสมเด็จวัดระฆังที่มีผู้รู้บอกว่าเป็นพระแท้และมีราคาแพงตาม สภาพในขณะนั้น จึงนำไปฝากตู้เซ็ฟของธนาคารไว้ ต่อมาอีกหลายปีจึงนำออกมาจากธนาคารเพื่อไปปล่อยให้เซียนพร้อมกับหาคนคุ้มกัน พระไปด้วย แต่เมื่อเซียนตีเป็นพระเก๊ก็ถึงกับเป็นลม อันนี้เรียกว่า คนคุ้มครองพระ เพราะมองพระเป็นเงิน จึงเกิดความทุกข์ตามมามากมาย

    "พระคุ้มครองคน"
    คือ เมื่อผู้ใดมีพระเครื่องราคาแพงและหายาก แต่ตัวเองได้มาราคาถูกหรือได้มาแบบปาฏิหาริย์ จึงเชื่อมั่นในพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และศรัทธาว่าพระนั้นเสด็จมาเพื่อช่วยคุ้มครองตัวเองจากภัยอันตรายต่างๆ จึงนำติดตัวไปโดยไม่เกรงกลัวว่าพระจะอยู่หรือจะไป เพราะเชื่อว่า ถ้าพระองค์นั้นเป็นของเราและเรามีบุญแล้ว ก็ย่อมอยู่กับตัวเรา อันนี้จึงเรียกว่า พระคุ้มครองคน

    "พระเลือกคน"
    คือ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หรือผู้มีบุญ มักเจอเหตุการณ์และพบเห็นพระดีแบบมหัศจรรย์ เช่น มักมองเห็นพระองค์นั้นๆเด่นมาแต่ไกล พอจับจะมีพลังวิ่งเข้าสู่ตัวจนเกิดปีติ หรือดลใจให้ได้รับพระองค์นั้นๆด้วยวิธีแปลกๆ บางครั้งก็ได้ด้วยวิธีอธิษฐานจิต หรือได้รับมาด้วยราคาถูก เป็นต้น อันนี้เรียกว่า พระท่านทรงเลือกคน หรือคนดีจึงถูกพระเลือกนั่นเอง

    "คนเลือกพระ" คือ เกิดจากกิเลสของคนที่อยากได้พระองค์นั้นๆ จึงพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มา ไม่ว่าจะเป็นมุกของเซียนที่ตีพระของเขาปลอมแต่ลับหลังกลับหาวิธีให้ได้มา หรือยอมทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อให้ได้มา จึงเกิดความทุกข์ตามมา บางครั้งจึงมักได้ข่าวว่าเซียนพระถูกตี ถูกฆ่า หักหลังกัน หรือเจ้าพ่อใหญ่ถูกยิงถล่มตายคาที่ทั้งที่ห้อยพระชุดเบญจภาคีราคาแพงก็ตาม นั่นเป็นเพราะกิเลสที่ทำให้คนผิดศีลธรรม แม้จะเป็นพระแท้แต่พระท่านไม่คุ้มครองคนชั่ว แม้บางคนจะร่ำรวยจากการซื้อขายพระโดยไม่สุจริตในภพนี้ แต่ในบั้นปลายหรือในภพหน้าก็มิอาจหลีกเลี่ยงกฎแห่งกรรมไปได้

    ...อย่างไรก็ตาม ข้อเขียนทั้งหมดนี้ เป็นเพียงการนำเสนอมุมมองหนึ่งที่ได้จากประสบการณ์ของผู้เขียน ที่ได้เข้าไปคลุกคลีกับวงการพระเครื่องของเมืองไทยในช่วงเวลาหนึ่ง จนเข้าใจในสภาวธรรมหรือสัทธรรมของสรรพสิ่งซึ่งล้วนเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และการสะสมพระเครื่องก็เป็นดังนั้นเช่นกัน ผู้เขียนได้เรียนรู้จากหลายๆแหล่ง จากกิเลสที่อยากมีอยากได้ นำไปสู่การค้นคว้าทั้งจากตำรา ผู้รู้ ผู้ไม่รู้ ของจริงของแท้ ของไม่จริงของไม่แท้ ผสมปนเปกันไป เสียเวลา เสียเงินไปก็มาก ได้รับทั้งพระแท้และพระปลอมคละเคล้ากันไปนับพันๆองค์ มีทั้งสุขและทุกข์ อยู่ในโลกอีกมิติหนึ่ง จนหลงเข้าไปสู่วงการพระเครื่องเกือบเต็มตัว ได้รับเกียรติไปบรรยายพระก็หลายครั้ง เห็นความทุกข์ของคนเล่นพระก็มาก(เกือบทั้งหมด) ซึ่งหนีไม่พ้นสองคำอมตะคือ "แท้" กับ "ไม่แท้"

    ...ในปัจจุบันเราต้องยอมรับกันว่า คติความเชื่อและการสร้างพระได้เปลี่ยนไปจากคติดั้งเดิมมาก ในอดีตท่านผู้สร้างพระมีเจตนาเพื่อเป็นการสืบต่อพระพุทธศาสนา จึงไม่ได้ผูกติดกับการตีค่าเป็นเงินตรา แต่ในกาลปัจจุบัน ผู้คนได้แปรค่าจากอริยทรัพย์(บุญฤทธิ์) ไปเป็นโภคทรัพย์(เงิน)เรียบร้อยแล้ว จึงไม่แตกต่างอะไรกับสินค้าชนิดหนึ่ง ผู้เขียนจึงอยากให้ท่านทั้งหลาย ลองกลับมาพิจารณาให้ดีว่า เราควรแสวงหาพระดีๆสักองค์ เพื่อเป็นสิ่งมงคลหรือเป็นอริยทรัพย์ เพื่อช่วยปรับภูมิภายในของผู้แขวนให้มีความเป็นอริยทรัพย์ไม่ดีกว่าหรือ เมื่อผู้ใดมีศีลและความเป็นอริยทรัพย์ภายในดีแล้ว คลื่นพลังงานดีย่อมแผ่ออกมาดึงดูดโภคทรัพย์ภายนอก ให้หลั่งไหลเข้ามาสู่ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หรือหากท่านมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงิน หรือมีหลายๆองค์ ก็อาจขออนุญาตและขอพระบารมีพระองค์นั้นๆ เพื่อแบ่งให้ผู้อื่นเช่าก็ย่อมได้ แต่ขอให้กระทำด้วยจิตอันเป็นกุศล ให้เป็นไปโดยธรรมชาติ และตามบุญบารมี ท่านจึงจะไม่เกิดความทุกข์ หากได้เงินหรือปัจจัยมาก็ขอให้แบ่งไปทำบุญ แล้วอุทิศให้แก่องค์ผู้สร้าง ตลอดจนเทวดาผู้รักษาพระองค์นั้นๆด้วย จึงจะนับว่า เป็นการสะสมพระที่ถูกทาง และถูกต้อง แล้วท่านจะได้รับแต่สิ่งดีๆ อย่างคาดไม่ถึง การศึกษาตามแบบของนักปฏิบัติธรรมและนักวิชาการ จึงเป็นการศึกษาแบบนอกกำมือเซียน แล้วท่านล่ะจะเลือกแบบใด
     
  4. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    [​IMG]
     
  5. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    ผมชอบปรัชญาธรรมของหลวงปู่ประโยคนี้มากครับ
    [​IMG]
     
  6. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    อานิสงส์การบริจาคเงินบำรุงโรงพยาบาลสงฆ์และโรงพยาบาลอื่นๆ เพื่อประโยชน์ในการรักษาพยาบาลภิกษุสงฆ์หรือสามเณรอาพาธ
    ๑. ชื่อว่าเสมือนอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า "ผู้ใดต้องการอุปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นจงไปอุปัฏฐากภิกษุไข้เถิด"
    ๒. อกุศลกรรมในอดีตชาติ จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ ถือเป็นการสะเดาะเคราะห์อย่างหนึ่งได้
    ๓. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติ เมื่อได้รับส่วนบุญนี้จะเลิกจองเวรจองกรรม ช่วยให้พ้นเวรพ้นกรรม
    ๔. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง เทวดารักษา สรรพวิญญาณเมตตาปราณี
    ๕. เหล่าวิญญาณร้ายไม่อาจเบียดเบียนบีฑาได้
    ๖. จิตใจสงบร่มเย็น ปวงภัยไม่เกิด ฝันร้ายไม่มี มีสง่าราศีผ่องใส สุขภาพเเข็งเเรง กิจการงานเป็นมงคลแก่ตัว อายุยืนยาว ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย
    ๗. คุณธรรมเจริญมั่นคง ปฏิบัติธรรมก้าวหน้า ปัญญาเกิด
    ๘. ไม่พลัดพรากจากคนรัก ของรัก ก่อนเวลาอันควร
    ๙. ชื่อว่าได้อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาให้มั่นคง ยั่งยืน
    ๑๐. ถือเป็นการทำสังฆทานอย่างหนึ่ง เพราะเป็นการถวายการอุปัฏฐากบำรุงแก่พระภิกษุสงฆ์จำนวนมาก
    ๑๑. จะไม่ไร้ญาติขาดมิตร เวลาแก่ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยจะมีคนคอยดูเเล ไม่ถูกทอดทิ้งให้อยู่คนเดียว
    ๑๒. มีเดชบารมีมาก มียศวาสนา เป็นใหญ่เป็นโต ไม่มีใครข่มขี่เบียดเบียนได้
    ๑๓. จะเป็นที่รักแก่คนทั้งปวง ไปที่ใดจะมีผู้คอยช่วยเหลือเกื้อหนุน ไม่ถูกปล่อยให้ขัดข้องในเรื่องทั้งปวง
    ๑๔. จะมีสมบัติมาก และสมบัติจะไม่ถูกทำลายโดยราชภัย โจรภัย อัคคีภัย อุทกภัย วาตภัย ฯลฯ
    ๑๕. จะได้พบพระอริยสงฆ์ ได้พบพระอรหันต์ ได้พบพระดี ได้พบพระเครื่องพระบูชาที่มีความศักดิ์สิทธิ์ ไม่เจอพระปลอม ไม่เจอพระเก๊ พระทุศีล
    ๑๖. จะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้า และเข้าถึงธรรมได้โดยง่ายดาย
    ๑๗. จะได้เจอครูบาอาจารย์และเพื่อนที่ทรงคุณธรรม
    ๑๘. ด้วยบุญที่อุปัฏฐากภิกษุอาพาธนี้จะเป็นปัจจัยแก่สวรรค์และนิพพาน
    ๑๙. ด้วยบุญที่อุปัฏฐากภิกษุอาพาธนี้ สามารถอธิษฐานให้เป็นปัจจัยแก่การบรรลุเป็นพระมหาสาวก พระอัครสาวก พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคตกาลได้
     
  7. tiger-k007

    tiger-k007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,204
    ค่าพลัง:
    +1,597
    ขออนุโมทนาบุญกับผู้ร่วมทำบุญทุกท่านเทอญ และกระผมก็ได้ร่วมทำบุญดังกล่าวด้วยเช่นกัน เพื่อความสุข สาธุ
     
  8. poman

    poman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    12,300
    ค่าพลัง:
    +35,301
    :cool::cool::cool::cool:


    [​IMG]
     
  9. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    คุยกันเรื่องพระ โดยอาจารย์ปู่ประถม อาจสาคร

    มายาอิสตรีที่ว่ากัน 500 เล่มเกวียนยังแพ้สนามพระ เพราะมีทุกอย่างสิ่งปลอมแปลง การพนัน ซ่องโจร เคยมีคดีเกิดขึ้นบ่อยๆ รับจำนำเถื่อน ขายตั๋วจำนำและโปรดปรานที่สุดก็คือการเล่นม้า เรื่องศีลธรรมไม่ต้องนำมาพูด ถ้าเรื่องโรงน้ำชา เรื่องมวย เรื่องม้า ไปคุยกันได้ ไม่มีการไว้ใจกัน ถ้าเผลอก็ทุบกัน การใช้ถ้อยคำเกี่ยวกับพระเครื่องหรือพระบรมฉายาลักษณ์แห่งพระพุทธองค์เป็นการเปรียบเทียบกับสัตว์ตัวเล็กๆ หรือจำนวนมหาโจร ทั้งเป็นที่รับรองและนิยมว่าถูกต้อง เช่น ของชิ้นนี้ “ตี” มาจากคนนั้น ซึ่งคิดแล้วเหมือนกับไปตีผึ้งตีแตน ของนี้ “จับมา” ได้ในราคาไม่สูง เขาใช้ศัพท์เหล่านี้กับมหาโจร ถ้าใครมาจับเรา เราคงตกใจว่าไปทำอะไรผิดมา บางทีเขาก็ใช้คำว่า “ร่อนมา” “หิ้วมา” “ยิงมา” แล้วท่านจะไปคุ้มครองอะไรได้...............
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 กุมภาพันธ์ 2013
  10. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    คำสอนอาจารย์ปู่ประถม
    อันพระภายนอกมีไว้ก็ขอให้รำลึกถึงพุทธานุสติเป็นอารมณ์ อย่างน้อยควรมีศีลห้า การที่แขวนพระเครื่องแล้วไปนั่งดื่มสุรานั้นควรใช้ปัญญาไตร่ตรองพิจารณาว่าควรหรือไม่ ไม่อายพวกมุสลิมถือบวชบ้างหรือทั้งๆ ที่คุยว่าพุทธศาสนาประเสริฐไม่มีอะไรเทียม แล้วพวกเธอส่งเสริมหรือทำลายพระพุทธศาสนา หิริโอตัปปะ ความละอายใจและความเกรงต่อบาปเท่านั้นนับว่าเป็นธรรมคุ้มครองโลก ทำอะไรให้สมกับที่มีวาสนาได้เกิดมาในร่มโพธิ์แห่งพระพุทธศาสนา พระเครื่องท่านก็มีหัวใจหรือทิพยอำนาจหรือเรียกง่ายๆ ว่าเทพสถิตอยู่และออกได้ เชิญได้ คัดได้ เรารักท่านเคารพท่านเท่าใด ผลสะท้อนก็จะมาถึงเราเท่านั้น การเหยียดหยามจนสิ้นคารวะอย่าว่าแต่องค์เทพเลย แม้แต่สัตว์เดรัจฉานที่รู้ภาษาคนยังไม่ชอบใจ ขืนเล่นกันแบบนี้ อำนาจแห่งกฤตยาคมย่อมอ่อนจางลงทุกขณะ มีประโยชน์เพียงการซื้อขายแลกเปลี่ยนเป็นวัตถุชนิดหนึ่งเท่านั้น โดยไม่คำึนึงถึงอิทธิคุณ เพราะสภาพจิตอันหยาบหนาย่อมไม่เข้าถึงคุณพระได้..........
     
  11. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    พระแก้วหินแกะ สีแดง บุทองคำและบุเงิน ฝีมือช่างระดับวังหลวง
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  12. tiger-k007

    tiger-k007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,204
    ค่าพลัง:
    +1,597
    สวยงามครับผม คมชัดลึกจริงๆ กับภาพนี้ เยี่ยมครับ:cool:
     
  13. tiger-k007

    tiger-k007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,204
    ค่าพลัง:
    +1,597
    สุดยอดของพระที่ปรารถนา และหายากมากๆแบบนี้ เป็นบุญตาที่ได้ชื่นชมครับผม (kiss)(ping-love:VO
     
  14. poman

    poman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    12,300
    ค่าพลัง:
    +35,301
    สายอีสาน สายกรรมฐาน ^^​



    [​IMG]
     
  15. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    ค้นไปค้นมา...อ่านเจอแล้วสนุกดีก็เลยนำมา้เผื่อสำหรับท่านที่ยังไม่ได้รับรู้
    ที่มา - พระสมเด็จกรุวัดขุนอินทประมูล : แผนสกัดดาวรุ่ง | นานาทัศนะกับพระเครื่อง | กระดานข่าว | ดีดีพระดอทคอม
    --------------------------------------------------------------
    พระสมเด็จกรุวัดขุนอินทประมูล : แผนสกัดดาวรุ่ง

    ปั่นป่วนกันพอสมควร เมื่องานประกวดพระครั้งล่าสุดที่รับรองโดยสมาคมพระเครื่องมีการถอนรายการรับรอง (Certification) พระพิมพ์สมเด็จชุด วัดขุนอินทประมูลออก โดยอ้างว่าสมาคมพระเครื่องไม่สามารถรับรองได้หรือที่เรียกกันว่าออก “ใบเซอร์” ได้
    จากนั้นก็มีการลงข่าวกันอย่างครึกโครมในหนังสือพิมพ์รายวันชื่อสั้น ๆ ๓ พยางค์ โดยมีการสัมภาษณ์เจ้าอาวาสวัด และผู้ชำนาญการพระเนื้อผงตามที่ต่าง ๆ ผู้อ่านที่สนใจสามารถอ่านข่าวได้ตามหน้าหนังสือพิมพ์ดังกล่าว และหนังสือพิมพ์รายวันฉบับหัวเขียวก็เล่นข่าวนี้ด้วย

    หรือจะดูตามอินเตอร์เน็ตก็ได้ แต่ค้นหา (Search) คำว่า “พระสมเด็จกรุวัดขุนอินทประมูล” ในกูเกิ้ลก็จะได้ข้อมูลมากมาย

    ผู้ทำเว็บขอวิจารณ์ในฐานะคนนอก ที่ไม่ใช่นอกเวทีอย่างเดียว ต้องเรียกว่าอยู่นอกสนามแบบข้างถนนเลยทีเดียวว่าเป็น "แผนสกัดดาวรุ่ง" หรือจะเรียกให้เป็นธุรกิจว่า "เมื่อไม่มีผลประโยชน์ จะรับรองไปทำไม" เข้าทำนองว่า "เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง ทำไมต้องเอากระดูกมาแขวนคอ"

    แผนสกัดดาวรุ่ง

    พระสมเด็จกรุวัดขุนอินทประมูลเป็นวัดที่มีสปอนเซอร์ คือมีนายทุนหนุนหลังในการโปรโมท และทำกันเป็นเรื่องเป็นราว ทั้งเปิดเว็บไซต์ และโฆษณาลงหนังสือพระเครื่องและหนังสือพิมพ์รายวันฉบับสุดสัปดาห์
    การโปรโมท มีแผนเป็นขั้นเป็นตอน ระดับมืออาชีพที่ทุนหนา เหมือนกับการโปรโมทพระเครื่องในยุคปัจจุบัน
    แต่ที่ต่างกัน ก็คือ พระสมเด็จกรุวัดขุนอินทประมูลเป็นพระเก่า ประเภทลงกรุ ไม่ใช่พระใหม่ที่ออกแบบและสร้างโดยโรงงานจิวเวลรี่ที่ทันสมัย

    จะโปรโมทพระกรุที่เก่าเป็นร้อยปีไม่ใช่ง่าย

    ประการแรก คุณจะต้องมีพระจำนวนมากพอสมควรในมือ คนเดียวก็ทำไม่ได้ ต้องเป็นกลุ่มของคนขายพระที่มีเครือข่าย (network) ที่กว้างไกลพอสมควรเพื่อให้มียอดขายในมือและกระจายรายได้

    ประการที่สอง คุณต้องมีพรีเซนเตอร์ (Presenter) คือผู้ออกโรงสนับสนุน ในกรณีนี้ก็คือสถาปนิกใหญ่นั่นเอง

    ประการที่สาม คุณต้องมีเงินทุนพอสมควร ไม่ต่างอะไรกับการสร้างพระใหม่ จำนวนพระต้องมีเยอะ ยอดขายจากการตั้งราคาพระเป็นหมื่นตั้งแต่ต้น ก็ต้องคาดว่าจะปั่นราคาให้ถึงระดับไหน แบบว่าต้องไปไกลขนาดน้อง ๆ บางขุนพรหม ๐๙ คือต้องทะลุหลักแสนสำหรับองค์สวย ๆ ยอดขายสูง เงินทุนที่จะช่วยกันลงขันก็สูงตาม

    ประการที่สี่ คุณต้องมีการประกันว่าเป็นพระในกรุจากวัดจริง ผู้ที่จะยืนยันที่ดีที่สุดก็คือตัวเจ้าอาวาส ซึ่งในกรณีนี้ท่านได้ทำหน้าที่แล้ว ในการรับรองว่าเป็นพระจากกรุในวัดจริง ไม่ใช่พระยัดกรุ

    เมื่อมีทุกอย่างครบ กลไกการตลาดก็เริ่มทำงาน คนเริ่มถามถึงและถามหา ราคาพระก็วิ่งสูงขึ้น ๆ จากพิมพ์พระประธานที่เคยลงขายพร้อมราคา ก็กลายเป็นให้เบอร์โทรเพื่อจะเลือกตั้งราคาได้ตามใจชอบ

    ขาใหญ่ที่อยู่หลังสมาคมเริ่มไม่แฮปปี้

    แผนสกัดดาวรุ่งจึงเกิดขึ้น สมาคมอยู่ในมือก็ใช้เสีย หาเหตุผลต่าง ๆ นานาที่จะไม่ออกใบรับรอง บางเหตุผลจากเซียนผู้ชำนาญพระสมเด็จบางคนก็ใช้ไม่ได้ เพราะเห็นได้ชัดว่ามีอคติ และไม่ได้วิจารณ์ตามวิชาการ ค่อนข้างจะข้าง ๆ คูๆ เสียด้วยซ้ำ

    เบื้องหน้าเบื้องหลัง

    ก่อนอื่นต้องออกตัวว่า ผู้ทำไม่ได้อยู่ในวงการและไม่ได้รู้ข้อมูลลึก ๆ กว่าที่จะหาอ่านตามหน้าหนังสือพิมพ์หรืออินเตอร์เน็ตได้

    เป็นการวิเคราะห์และคาดคะเนตามสไตล์ นักสืบปฏิบัติการล่าความจริง แบบคนนอกที่ไม่รู้เรื่องจริงและไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ กับพระชุดนี้

    พระพิมพ์พระประธานฐานขาโต๊ะราคาทุนหลักร้อยที่เคยได้มาหลายองค์ ก็แลกพระกับพรรคพวก เหลืออยู่แค่ที่เคยโชว์ท่านในเว็บนี้เท่านั้น

    ผู้ทำจึงขอวิเคราะห์เบื้องหลังความขัดแย้งแบบคนนอกดังนี้
    ๑. เมื่อไม่มีผลประโยชน์จะรับรองไปทำไม ก็เพราะเป็นพระกรุพระเก่านะสิ ลองเป็นพระใหม่ที่ลอกแบบได้ป่านนี้ท่านคงเห็นวัดอื่นหรือที่อื่นสร้างตามกันเป็นแถวแล้ว
    แบบเดียวกับจตุคามรามเทพ ใครใคร่สร้างก็สร้าง คนทำพิธีก็มีหลายคนทั้งพระทั้งคนทรง สถานที่ก็เปิดกว้างทั้งที่วัดและที่ศาลหลักเมือง ทางราชการก็สนับสนุนแบบให้เป็นสินค้าโอทอปประจำจังหวัดทีเดียว

    เมื่อเป็นพระกรุเก่า ก็สร้างใหม่ไม่ได้ แล้วจะเซอร์ไปทำไม ไม่ได้อะไร
    เข้าทำนอง เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ

    ขอยกตัวอย่างพระเครื่องที่สร้างจากวัดดังย่านเสาชิงช้าให้ฟัง ความจริงเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าพระเครื่องในยุคปัจจุบันไม่ได้สร้างโดยวัด และไม่ได้สร้างที่วัดแบบสมัยก่อน
    ทุกอย่างมีสปอนเซอร์อย่างที่เล่าให้ฟังมาแล้ว มีนายทุนลงทุนสร้างให้ ไม่ได้ใช้เงินวัด เพราะวัดไม่มีสตางค์ และการใช้เงินวัดต้องผ่านกรรมการวัดและมีกฎหมายดูแล ในเมื่อวัดไม่ได้เป็นคนลงทุน ก็เป็นผู้รับผลประโยชน์ในฐานะเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า (Trademark) และความเชื่อถือ (Goodwill) เท่านั้น
    นายทุนที่สร้างให้วัดแถวเสาชิงช้าก็เป็นที่รู้จักกันดีว่ามีความสามารถเป็นมือโปรในการสร้างและมีผลงานโปรโมทพระเครื่องให้วัดดัง ๆในกรุงเทพมาเยอะแล้ว คอลัมนิสต์พระเครื่องในหนังสือพิมพ์รายวันฉบับหัวเขียวก็เคยทำงานร่วมกันมา แต่เกิดขัดผลประโยชน์บางอย่าง ไม่ได้อย่างที่เคยได้ หรือผลประโยชน์ตกลงกันไม่ได้
    แผนสกัดดาวรุ่งก็เกิดขึ้น จุดชนวนติดตรงที่จี้จุดอ่อนของพระชุดนี้ที่ต้องปลุกเสกสองแผ่นดิน เพราะร่วมงานกันมา รู้ข้อมูลและรู้ไส้รู้พุงกันดี เลยออกข่าวเรื่องหนีภาษีและยัดข้อหาหลอกลวงประชาชน พอเป็นข่าวก็เกิดกระแสลบต่อพระที่สร้าง ลามกันมาเป็นคดีความอาญาที่พระสงฆ์องค์เจ้าระดับพระราชาคณะอาจจะต้องติดคุกเอา ดีที่คดีสิ้นสุดลงแล้ว แต่เจ้าอาวาสก็ต้องรับวิบากกรรมไปจากปัญหาโรคร้ายต่อสุขภาพ

    จตุคามรามเทพ ใครก็สร้างได้ ผลประโยชน์แบ่งกันทั่วถึง การประกวดหรือการรับรองจึงเกิดขึ้น พระกรุวัดขุนอินทประมูล อยู่ในมือคนกลุ่มเดียว และไม่ใช่คนในแวดวงสมาคมด้วย จะออกใบเซอร์ไปทำไม ไม่ได้อะไร

    ๒. สมาคมพระเครื่องมี ๒ สมาคม

    ท่านผู้อ่านทราบไหมว่าสมาคมที่พูดกันทุกวันนี้เป็นสมาคมพระเครื่องที่มาทีหลัง
    สมาคมเก่ามีมาเป็นสิบปีก่อนหน้านั้น มีนายกสมาคมเพียง ๒ คน ก็เพราะกฎระเบียบมีช่องโหว่ทำให้ไม่มีการประชุม ไม่มีกิจกรรมต่อเนื่อง รู้ไหมว่าใครเป็นนายกสมาคมเก่าคนที่สอง ปัจจุบันยังเป็นอยู่ ซึ่งก็เป็นนายกสมาคมมาหลายปีแล้ว สถาปนิกคนดังนั่นเอง

    สมัยตั้งสมาคมที่สอง ผู้ที่อยู่เบื้องหลังต้องใช้กำลังภายในผ่านผู้หลักผู้ใหญ่ในกระทรวงพอสมควร จึงได้รับการอนุญาตให้จดทะเบียนได้ ทั้ง ๆ ที่มีผู้คัดค้านว่าสมาคมเดิมก็มีอยู่แล้ว ไม่ active ก็ทำให้ active ก็ได้ แรก ๆ ก็จะไม่ยอมให้จด จนต้องมีการเจรจาจึงจดทะเบียนได้

    สมาคมใหม่ก็มีช่องโหว่เช่นกัน ท่านผู้อ่านคอยดูเถิด ไม่ว่าเลือกตั้งกี่ครั้ง ๆ ก็ตาม นายกสมาคม และอุปนายกคนที่หนึ่งก็จะเป็นคนเดียวกันตลอด ไม่เหมือนสมาคมวิชาชีพที่ดี ที่มีกฎห้ามเป็นนายกติดต่อกันเกิน ๒ สมัย เพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาดอำนาจ
    แบบเดียวกับสมัยก่อน ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ที่ผู้ยิ่งใหญ่ในราชการมีสองจอมพลคนดังผลัดกันเป็นผู้นำ สมาคมพระเครื่องใหม่ก็เช่นกัน ลองนายกปัจจุบันเป็นจนเบื่อ อุปนายกคนที่หนึ่งก็จะขึ้นมาแทน ไม่ปล่อยให้บังเหียนเปลี่ยนมือแน่นอน
    เพราะสมาคมพระเครื่องก็คือ เรื่องของผลประโยชน์ อย่าไปหาอะไรที่เป็นเรื่องเป็นราว หรือเป็นวิชาการให้เสียเวลา เพราะเป็นแค่ผักชีโรยหน้าปกปิดผลประโยชน์จากความเป็นตรายางประทับรับรองพระแท้ในกลุ่มตัวเอง เพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตัวเองเท่านั้น กลุ่มอื่นคนอื่นเข้ามาไม่ได้

    เมื่อต่างกลุ่มเข้ามาในพื้นที่ตัวเอง โดยเฉพาะจากกลุ่มสมาคมเดิมที่มีสถาปนิกคนดังที่ดวงตำต่ำจากคดีความ เรื่องอะไรจะ “ทำเขารวย ช่วยเขาวิ่ง” แล้วกลุ่มตัวเองไม่ได้อะไร

    ยิ่งมีความขัดแย้งลึก ๆ จากกรณีสมาคมเก่ากีดกันสมาคมใหม่ กลุ่มศูนย์พระริมแม่น้ำเจ้าพระยา ขัดกับศูนย์ในห้าง ดีที่ต่อมาตกลงผลประโยชน์ได้จึงรอมชอมกันบ้าง ไม่เช่นนั้นท่านอาจจะเห็นตัวอย่างแบบงานประกวดพระที่มหาวิทยาลัยเหลืองแดงไม่รับพระสมเด็จองค์ฮ่องกงอย่างไม่ไว้หน้ากันมาแล้ว ก่อนที่จะมีการเจรจาหลังฉาก รอมชอม หรือภาษาจีนที่เรียกว่า “เกี้ยเซี้ย” กันได้

    ทุกวันนี้ศูนย์พระที่ไม่อยู่ในกลุ่มสมาคมเริ่มมีการรวมตัวกันบ้าง กลุ่มที่เล่นหาพระสมเด็จพิมพ์แปลก ๆ เนื้อแปลก ๆ ก็ไปประกวดที่ศูนย์การค้าถิ่นตัวเอง ศูนย์อื่นก็มีข่าวจะตั้งสมาคมขึ้นมาบ้าง เพียงแต่ตอนนี้ใช้ชื่อชมรมก่อน ถ้ายังไม่มีการรุกรานจากกลุ่มสมาคมมากกว่านี้ ก็ยังพออยู่กันได้ เพราะกลุ่มชมรมนี้ไปหากินจากอินเตอร์เน็ตมากกว่า ผู้อยู่เบื้องหลังมีพื้นฐานเทคโนโลยีมากกว่าของสมาคม และการค้าขายพระเครื่องทางอินเตอร์เน็ตก็ยังเป็นตลาดที่จะโตอีกเยอะ รอให้พวกนี้ตั้งตัวได้ก็คงจะมีอำนาจต่อรองมากขึ้น หรือถ้าคุยกันไม่ได้ ก็อาจตั้งสมาคม ตั้งตรายางสำหรับพวกตัวเองบ้าง

    กลุ่มโปรโมทพระกรุวัดขุนอินทประมูลก็ยังมีศักยภาพในการตอบโต้ ดีไม่ดีถ้าสามารถรวบรวมกำลังเงินได้ ท่านอาจเห็นมาตรการตอบโต้จากกลุ่มนี้
    ไม่ว่าจะเป็นการออกใบเซอร์ของกลุ่มตนเอง หรือไปไกลขนาดปลุกผีสมาคมแรกมาเป็นคู่แข่งในความเป็นตัวแทนของธุรกิจนี้

    สรุป

    เรื่องการไม่รับรองพระกรุวัดขุนอินทประมูลของสมาคมพระเครื่องไม่จบแค่นี้หรอกครับ ผู้ทำคาดว่าท่านคงจะได้เห็นการตอบโต้จากกลุ่มวัดขุนอินท์แน่นอน ถ้าไม่ใช่โดยตรงจากกรณีพระกรุนี้ก็อาจเป็นการเปิดแนวรบใหม่ และถ้ากลุ่มนี้มีนายทุนและแนวร่วมก็อาจขยายแนวรบให้มีผลถึงความเป็นตัวแทนธุรกิจพระเครื่อง ท่านอาจเห็นสมาคมพระเครื่องแห่งแรกออกโรงกลับมามีบทบาทใหม่ก็ได้

    ขอให้มีอะไรกระตุ้นสักนิดแบบที่เรียกว่า Catalyst ปฏิกิริยาเคมีก็จะเกิดขึ้น

    ดังนั้น การที่สมาคมไม่รับรองพระสมเด็จกรุวัดขุนอินทประมูล จึงเป็นเรื่องของผลประโยชน์ของคน ไม่ใช่เรื่องความแท้ไม่แท้ของพระ ถ้าท่านพอจะจำได้ ผู้ทำได้สรุปพระกรุนี้ไว้ดังนี้

    1. พระสมเด็จกรุวัดขุนอินทประมูลเป็นพระแท้
    2. ผู้สร้างไม่ใช่สมเด็จโต ข้อมูลใหม่ที่ผู้ทำได้มาคือ พิมพ์ทรงเป็นแบบของหลวงปู่อยู่ วัดดักคะนน แต่ท่านปลุกเสกหรือเปล่า ทันท่านหรือไม่ ยังไม่แน่ชัด
     
  16. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    พระพิมพ์หลวงปู่เทพโลกอุดร
    [​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กุมภาพันธ์ 2013
  17. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    พระปัญจสิริ วังหน้า ดูแล้วเหมือนมองไปบนท้องฟ้าแล้วเห็นทางช้างเผือก (ความเห็นส่วนตัว)
    [​IMG]
     
  18. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    พระพิมพ์หลวงปู่เทพโลกอุดร เนื้อว่าน
    [​IMG][​IMG]
     
  19. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    พระพิมพ์สมเด็จฯ หลังลายดอกพิกุล[​IMG]
     
  20. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    ที่มา : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ - หน้า 2 - กระดานสนทนาวัดท่าขนุน
    -------------------------------
    ลวดลายของเซียนพระ
    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๕

    พระอาจารย์ กล่าวถึงวงการพระเครื่องว่า "มีพวกเซียนพระบางคนเล่นเฉพาะพระเนื้อทองคำ เขายืนยันว่าอย่างไรเขาก็มีกำไร มีอยู่รายหนึ่งได้พระเป็นมรดกจากพ่อ ๓๐๐ กว่าองค์ อยากจะได้เงินไปลงทุนทำธุรกิจ ก็เลยเอาพระไปให้เซียนเขาดู ปรากฏว่าปลอมทุกองค์ แต่พอแกะกรอบไปขายแล้วได้มาเกือบ ๓ ล้านบาท เพราะพ่อเลี่ยมทองไว้ทุกองค์เลย แสดงว่าพ่อรักพระจริง พระ ๓๐๐ กว่าองค์เลี่ยมทองนี่ปาไปเท่าไรแล้ว ตีเสียอย่างน้อยทอง ๑๕๐ บาทแล้ว สรุปว่าพระปลอมแต่ทองแท้ ได้เงินไปลงทุนจนได้

    จะว่าไปแล้วคำว่าปลอมหรือไม่ปลอมอยู่ที่ตัวเราเอง ถ้ากำลังใจเราเห็นเป็นรูปพระพุทธเจ้า มีความเคารพเป็นปกติ ต่อให้ปลอมแค่ไหนก็เป็นของจริง แต่ถ้าหากว่าไม่มีความเคารพพระ คิดอยู่แต่เรื่องของการค้าขายเอากำไรอย่างเดียว จริงแค่ไหนก็เหมือนกับปลอม เพราะว่าไม่ได้ประโยชน์จากพระเลยนอกจากขายเอาเงินมาใช้

    วงการพระเครื่องเป็นวงการของเสือสิงห์กระทิงแรด หาคนที่ซื่อสัตย์จริงใจยากมาก ใครที่มีของต่อให้แท้แค่ไหน เข้าไปถ้าเจอพวกขี้โกงก็กลายเป็นของปลอม เขาจะมีพวกเขาอยู่ ๘ - ๑๐ คน พอเขาบอกว่าปลอม ส่งต่อไป ทำท่าไม่สนใจ รายที่ ๒ ก็บอกปลอม รายที่ ๓ ก็บอกปลอม รายที่ ๔ ก็บอกปลอม พอเจ้าของหมดกำลังใจ เก็บพระลงกระเป๋าทำท่าจะกลับ “พี่ๆ ปลอมได้เจ๋งมากเลย ขอซื้อไว้ดูเป็นตัวอย่างหน่อยเถอะ พี่จะเอาเท่าไร ?”

    ต้องขายให้เขาถูกๆ เขาจะเอาเป็น "องค์ครู" ว่าอย่างนั้น ใช้คำว่าซื้อความรู้ แต่ถ้าขายเมื่อไรเราเองจะกลายเป็นฝ่ายซื้อความรู้ ซื้อแพงด้วย เพราะมารู้ทีหลังว่าโดนหลอก"

    " มีพระบางรุ่นเขาตีว่าแท้ สร้างประวัติขึ้นมา พอคนฮือฮาก็ขายต่อในราคาสูง คนรับช่วงก็จุกไปตามระเบียบ หรือไม่ก็เที่ยวไปกว้านซื้อพระใหม่นี่แหละ สมมติว่าเป็นพระของ วัดท่าขนุน ก็แล้วกัน ไปถึงก็กว้านซื้อ พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน รุ่น ๒ ไว้ พอถึงเวลากว้านซื้อไปเยอะๆ เข้า คนเห็นว่าเซียนใหญ่กว้านซื้อต้องมีราคาแน่ ก็วิ่งไล่ซื้อเอาบ้างจนราคาสูงไปเรื่อยๆ

    พอสูงได้ระดับที่เขาต้องการ เขาก็ปล่อยที่ซื้อมา คนที่รับช่วงต่อไปก็จุกสนิท เพราะราคาสูงจนกระทั่งคนเขาไม่ตามกันแล้ว ก็เลยมีอนาคตแน่ๆ เพียงแต่เป็นอนาคตลงดิ่งเหว วงการนี้เขี้ยวลากดิน ไม่จำเป็นอย่าเข้าไป หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านไม่คบพวกนี้เลย

    ประมาณปี ๒๕๑๘ อาจจะหลังจากปีนั้นหน่อยหนึ่งก็ได้ หลวงพ่อท่านสร้าง พระปิดตา ตชด. เป็นปิดตาลักษณะเดียวกับพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านที่อาตมาทำองค์เล็กนั่น แหละ เพียงแต่ของท่านตัดมุมเป็นเหลี่ยม ไม่ได้ทำมุมมนแบบพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน ท่านสั่ง ๓๐,๐๐๐ องค์ ปรากฏว่าเขาทำเกินเก็บไว้ถึง ๒๐,๐๐๐ องค์ พอเอาพระไปส่ง หลวงพ่อท่านสั่งเก็บเลย ท่านบอกว่าทางโรงงานผลิตเกิน จะว่าปลอมก็ไม่ได้เพราะเนื้อก็ใช่ พิมพ์ก็ใช่

    ตอนนั้นหนังสือลานโพธิ์เขาไปลงว่า “ฤๅษีลิงดำรู้ด้วยญาณ โรงงานโกง สร้างพระเกินจำนวนที่สั่งไว้ ระงับการพุทธาภิเษก” หลังจากนั้นหลายปี พอเรื่องซาลงแล้ว ไม่มีใครใส่ใจแล้ว หลวงพ่อท่านค่อยเอาออกมาแจก ไม่อย่างนั้นทันทีที่ออกท้องตลาด เขาก็จะวางขายตามไปเลย

    แบบเดียวกับ พระขรรค์โสฬสวัดท่าขนุน ขนาดทำสัญญารัดกุมมากเลยว่าห้ามทำซ้ำ เขาก็ยังทำหน้าตาเฉย เพียงแต่เขาลดขนาดลง เขาทำเล็กกว่าของทางวัดหน่อยหนึ่ง เพียงแต่ชื่อเดียวกัน วัดเดียวกัน โรงงานเดียวกันอีกต่างหาก แล้วที่แสบกว่านั้นคือมีการถวายวัดมาอีก ๒๐๐ เล่ม เขาจะดูว่าวัดปล่อยออกมาราคาเท่าไร เขาจะได้ใช้ราคานั้นเป็นหลัก

    อาตมาก็เลยให้โยมไปถามว่าที่โรงงานเขาออกราคาเท่าไร เขาบอกว่าโรงงานออก ๑๙๙ บาท จึงให้ทางวัดออก ๒๐๐ บาท ให้กำไรเขา ๑ บาท ในเมื่อเขาให้มา เราก็เลยช่วยเขาหน่อย ช่วยให้เขาได้กำไรไป ๑ บาท หลังจากนั้นมาอาตมากับโรงงานนี้ก็เลิกคบกัน ความดีเขาเยอะเกินไป ถ้าคบต่อไปเดี๋ยวจะดีตามไปด้วย..!"

     

แชร์หน้านี้

Loading...