จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สมมุติว่า..

    โลกจะแตกภายใน 24 ชั่วโมงนี้ฯ
    พวกเราจะคิด จะพูด จะทำอะไร?

    สติใครจะแตก จิตใครจะตก
    ระวังกันเองเด้อๆพวกเรา ดูแลสติ ดูแลจิตเอากันเองเด้อ

    ปฎิบัติธรรมกันก็มาก รู้ก็มาก
    มีความรู้ท่วมหัว ปัญญาท่วมจิต ว่าจะรอดกันไหม?

    แต่อย่าลืมนะว่า โลกทิพย์หรือโลกหลังความตายนั้น

    เห็นมีแต่บุญกับบาปเท่านั้น ที่จะติดตามดวงจิตไปจุติยังภพชาติใหม่ขิงตน
    ส่วนสติหรอ? ก็ตายไปกับร่างกาย นั่นไง๊!
    ใครเผา หมาแถะเนื้อ แถะกระดูก ก็ยังไม่รู้สึกตัวเลย
    เรื่องตายเป็นเรื่องธรรมดา ก็แค่เปลี่ยนภพภูมิใหม่เท่านั้่น

    สำหรับผู้ที่ไม่ยอมรับไตรลักษณ์ หรือกฎธรรมดา เห็นมีแต่จะทุกข์ เท่านั้นเอง
    เพราะทุกธรรมล้วนไม่พ้น คำว่า เกิดมา ตั้งอยู่ และดับไป เป็นธรรมดา
    แต่ถ้าปัญญาเราไม่พอ ก็จะหลงวิ่งตามดูต่อไป ตามไปก็เหนื่อย ก็ทุกข์เท่านั้นเอง
    ก็ไม่เห็นจะมีอะไร

    แล้วพวกเราจะมาเอาอะไรกันมากมายไปกว่านี้กันอีก
    เกิดมาเพื่อตาย พบกันเพื่อจาก
    ท่องไว้ ตายๆๆๆๆๆๆๆ แน่ๆๆๆๆๆๆๆๆ
    ตายแน่ๆๆๆๆๆ

    ขอให้เรา(สติและจิต)ตั้งมั่นอยู่แต่ฝ่ายบุญ กุศล เท่านี้ ก็พอแล้วนะ

    งูใครงูมัน(อัตตาละเอียด) กำจัดกันเองเด้อ


     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 กุมภาพันธ์ 2013
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ปีชง!

    ปี 2556 นี้ ได้แก่ มะเส็ง วอก ขาน กุน
    ตามความเชื่อของบุคคลทั่วไป ควรหมั่นทำบุญ ทำทานให้มาก เพื่อสะเคราะห์กรรมที่ไม่ดี
    หากผู้ใดปฎิบัติธรรมก็ยิ่งดีใหญ่

    พี่ภู เกิดปีมะเส็ง ก็เลยโดนไปตามธรรมเนียม อิอิ
    ก็ยอมผลของกรรมไปซะ ไหนจะโดนกรรมซ้ำ กรรมซ้อนอีก
    แอ่นอกรับกรรมมันไปเห่อ แต่ทุกข์นั้น ไปถึงจิต ถึงใจ เป็นใช้ได้เน๊อะ
    แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะ ทุกข์ปางตายแน่ๆ

    แต่พวกจิตบุญ ถือว่าโชคดีมาก ที่พากันปฎิบัติธรรม
    นี่ขนาดพวกเราปฎิบัติธรรม แค่บวชจิตเองนะ ยังโดนกันน่วมขนาดนี้

    เพราะอะไร ก็เพราะพวกเราปฎิบัติธรรม ขั้น(เกือบ)อุกฤษฏ์ (ขออนุญาตใช้คำนี้)
    หรือเพื่อจะไปพระนิพพานกัน นั่นไง
    แต่พี่ภูก็ยังยิ้มออกอยู่นะ เพราะเข้าใจ+เข้าถึง "กฎไตรลักษณ์"
    หรือเห็นความเป็นธรรมดาของทุกธรรม นั่นเอง
    และไม่มีผู้ใดจะไปหลีกหนีพ้น คำว่า ทุกข์ไปได้ ตราบใดเรายังมีขันธ์ ๕
    นอกจากออกจากทุกข์หรืออยู่กับตัวทุกข์(ขันธ์ ๕) แบบไม่ต้องร้อนรน หรือเป็นทุกข์ใจ

    ภาคทฤษฎี ก็คือ ไตรลักษณ์ และ อริยสัจจ์ เป็นต้น
    ภาคปฎิบัติ ก็คือ นำจิตมาเดินมรรคมีองค์ ๘ (ศีล สมาธิ ปัญญา)

    แต่จะให้ออกจากทุกข์ได้นั้น ต้องภาคปฎิบัติหรือปฎิบัติธรรม เท่านั้น
    แต่ต้องปฎิบัติธรรมจนสำเร็จ หรือมีดวงตาเห็นธรรม ถึงจะเป็นทุกข์น้อยลงไปตามลำดับ
    ดั่งเช่น พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เป็นต้น
    และไปจนกว่าปราศจากทุกข์ทั้งปวง ดั่งเช่น พระอรหันต์ เป็นต้น

    อะไรจะเปลี่ยนแปลง ใครจะไม่เหมือนเดิม พี่ภูก็ยอมรับได้ทั้งหมดแร๊ะ!
    เพราะเพียงแค่เข้าใจและเข้าถึงกฎธรรมดา เท่านั้นเอง
     
  3. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    สบายดีค่ะคุณภู ขอบคุณค่ะ ช่วงนี้เจอหลวงพ่อบ่อยๆในกระทู้นี้ ก็นึกถึงแต่หลวงพ่อมาหลายวันแล้ว เห็นหลวงพ่อนั่งยิ้มอยู่ในจิตน่ะแหละ กราบหลวงพ่อค่ะ
     
  4. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ...................................................................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)
    ท่านสอนลูกหลานไว้ว่า
    นิพพาน

    ถ้าฉลาดพอ

    ไปได้ทุกคน ไปได้ในชาตินี้

    การไปนิพพาน

    เป็นเรื่อง ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย​


    ลูกขอกราบแทบเท้าหลวงพ่อฯ ด้วยเศียรเกล้า สาธุๆๆๆ
    ลูกจะรักเคารพ ศรัทธาและเลื่อมใส หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตราบชั่วอายุขัยของลูกเอง สาธุๆๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 กุมภาพันธ์ 2013
  6. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    กำลังใจ บารมีทั้ง ๑๐ ประการ คือ

    ๑. จิตพร้อมจะให้ทาน

    ๒. จิตทรงศีลอยู่เสมอ

    ๓. เราพร้อมที่จะระงับนิวรณ์ ๕ ประการ

    ๔. เรามีปัญญาที่จะรู้แจ้งเห็นจริงตามกฎของธรรมดา มีอารมณ์ยอมรับนับถือกฎของธรรมดาเป็นปกติ

    ๕. เรามีความเพียรเพื่อจะทำลายกิเลสให้พินาศไป

    ๖. เรามีขันติคือความอดทน ทนต่อการฝืนอารมณ์ เพราะอารมณ์มันคอยต่ำ เราจะดึงขึ้นสูง มันก็จะคอยลงต่ำ ต้องทนดึงเข้าไว้

    ๗. สัจจะ เมื่อตั้งใจว่าจะทำลายกิเลสแล้ว ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำลายกิเลสกันเรื่อยไป ไม่ถอยหลัง

    ๘. อธิษฐาน ตั้งอารมณ์ไว้ตรงว่า เราจะเข้าไปหาพระนิพพานให้ได้ จะไม่ยอมถอยหลัง จับจุดไว้จุดเดียวเท่านั้น

    ๙. เมตตา ประกาศตนเป็นคนมีความรักปรารถนาในการสงเคราะห์คนทั้งหมดและสัตว์ทั้งหมด ไม่ถือว่าใครเป็นศัตรูร้ายของเรา

    ๑๐. อุเบกขา มีความวางเฉย วางเสียได้เมื่อกฎของกรรมจะเข้ามาสนองตน

    สรุปแล้วก็คือ ถ้าจะทำจิตของเราให้ทรงอารมณ์ เป็นพระนิพพานจริง ๆ ขอบรรดาท่านภิกษุ สามเณร และท่านพุทธบริษัทชายหญิง จงพยายามทรงอารมณ์ บารมี ๑๐ ประการ ไว้ให้ครบถ้วน อันนี้ทิ้งไม่ได้ เกาะบารมี ๑๐ ประการ ว่าสิ่งไหนบ้างที่ยังไม่มีสำหรับเรา เรายังบกพร่อง อย่าให้บกพร่อง และใช้กำลังสมาธิควบคุมให้ทรงตัว ให้มีกำลัง

    พระราชพรหมยานเถระ (หลวงพ่อฤๅษี)
    ที่มา Motanaboon.Com
     
  7. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ปัญญาบารมี

    ท่านสาธุชนทั้งหลาย สำหรับวันนี้ก็มาปรารภกับบรรดาท่านพุทธบริษัทถึง บารมีที่ ๔ ความจริงเรื่องบารมีนี้อาตมาจะไม่พูดเป็นตอนถึง ๑๐ ตอน เพราะว่าเสียเวลาเปล่า เพราะอะไร ก็เพราะว่าบารมีแต่ละบารมีเมื่อปฏิบัติแล้วก็ควบกันอยู่เสมอไป ก็สร้างความเข้าใจให้เกิดแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทอยู่แล้ว

    วันนี้เรามาพูดกันถึงบารมีที่ ๔ คือ ปัญญาบารมี ดีไม่ดีก็อาจจะยกเลิกกันไปเสียเลยเรื่องบารมี ทั้งนี้เพราะอะไรก็เพราะว่าถ้าถึงปัญญาบารมีแล้วก็ควรจะจบกันได้ เพราะปัญญาบารมีนี่เป็นบารมีครอบจักรวาล ถ้าเรามีปัญญาเสียอย่างเดียวบรรดาท่านพุทธบริษัท อย่างใดทั้งหมดไม่ต้องมีก็ได้ เพราะว่าปัญญานี้เหมือนกับ รอยเท้าช้าง รอยเท้าสัตว์ทั้งหลายที่ในป่าถ้าเหยียบลงไปก็เล็กกว่ารอยเท้าช้างทั้งหมด ฉะนั้นในมรรค ๘ องค์สมเด็จพระบรมสุคตจึงเอา สัมมาทิฏฐิ คือตัวปัญญาเป็นที่ตั้งอยู่ตัวหน้า

    ทีนี้การที่เราจะรักษาศีลได้ จะมีสมาธิได้ จะให้ทานได้ จะทรง เนกขัมมบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี ทั้งหมดก็อยู่ที่ ตัวปัญญา ตัวเดียว เพราะอาศัยที่เรามีปัญญาเท่านั้นเราจึงทรงได้ ถ้าเราไม่มีปัญญาเราก็ทรงไม่ได้ ฉะนั้นเรื่องบารมีเราจบกันตรงนี้ดีไหม จะได้ไม่ยืดยาดเกินไปปัญญา ตัวนี้ก็ต้องจัดว่าเป็นปัญญาตัวสำคัญ แยกไว้เป็นสองปัญญาด้วยกัน คือ ปัญญาที่เป็นโลกีย์ กับ ปัญญาที่เป็นโลกุตตระ

    ปัญญาที่เป็นโลกีย์ ก็เรียกว่า รู้จักรักษาตัวรอดเป็นยอดดี ในเรื่องการทำมาหากินอาตมาจะไม่พูด จะพูดแต่เฉพาะปฏิบัติเพื่อ เอาตัวรอดจากอบายมุข ก่อน

    ทีนี้คนที่เขามีปัญญาจริง ๆ เขาก็จะมองเห็นว่าการให้ทานเป็นของดี และการให้ทานนี่เป็นการผูกมิตร ดึงกำลังจิตของคนให้เข้ามาเป็นมิตรเป็นเพื่อนกัน ดีกว่าการทำลายคนที่ให้ทานไว้เสมอนี่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายไปที่ไหนย่อมเป็นที่รักของบุคคลผู้รับ เว้นไว้แต่คนที่มีสันดานเยี่ยง เทวทัต เท่านั้น ก็มีอยู่ในโลกนี้ ไม่น้อยเหมือนกัน ถ้าเป็นอย่างคนประเภทนี้มีแต่ความอกตัญญูไม่รู้คุณคน เราก็ต้องใช้ปัญญาหลีกเลี่ยงเสีย ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา

    ธรรมดาเราจะยกย่องขึ้นมาว่านี่เป็น กฎของกรรม เพราะเราโง่เกิดมาในโลก คำว่าโลก แปลว่า มีอันที่จะต้องฉิบหายไปไม่มีอะไรเป็นการทรงตัว เอาแน่นอนกันไม่ได้

    ทีนี้คนที่มีปัญญาจริง ๆ จึงได้คิดว่า การให้ทานเป็นการสงเคราะห์ เขาจะรู้คุณเราหรือไม่รู้คุณเห็นช่าง เรามีความสบายใจเพราะการให้ทานก็แล้วกัน อย่างนี้เรียกว่า ปัญญาเอาตัวรอด เรียกว่า รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีทีนี้คนที่มีปัญญาก็ทราบด้วยว่าศีลเป็นของดี เพราะปกติเรามีความต้องการความสุขในด้านไหน ก็ด้านที่เรียกว่าไม่ต้องการให้ใครเขามาทำร้ายเรา มาลักขโมยเยื้อแย่งทรัพย์สมบัติของเรา มายื้อแย่งความรักเรา มาโกหกมดเท็จเรา และเราไม่ต้องการความเป็นบ้า

    ถ้าเราทรงศีลไว้เราก็จะพ้นจากเหตุทั้งหมดทั้งหลายเหล่านี้ หรือคนทั้งหมดรักษาได้ทุกคนก็จะมีความสุข ยิ่งไปกว่านั้น ตัวปัญญาก็มองเห็นว่าถ้าเราทรงศีลบริสุทธิ์แล้ว อบายภูมิเราไม่ไป ตายแล้วเราก็มีความสุข นี่เรียกว่า ปัญญาขั้นรักษาตัวรอดเป็นยอดดี

    มาใน เนกขัมมบารมี คือการระงับนิวรณ์ ๕ ยังไม่ตัด ทั้งนี้ก็เพราะว่าเพื่อทำจิตใจของเราให้มีความสุข ทำอารมณ์จิตให้เยือกเย็น เมื่อจิตมีความสุข จิตมีความเยือกเย็นก็เป็นที่พอใจของเรา คนมีปัญญาจึงจะทรงเนกขัมมบารมีได้เห็นว่าเนกขัมมบารมีเป็นของดี

    ส่วน วิริยบารมี ปัญญาก็มองเห็นว่า จิตใจของเรามันทรามอยู่เป็นปกติ เราก็ต้องฝืนอารมณ์ข่มจิต ใช้ความพากเพียรที่จิตมันจะไหลลงต่ำ เราก็ดันให้ขึ้นมาสูง ถึงจะลงไปหาความชั่วเราก็พยายามดันเข้าหาความดี ต้องมีความเพียร มีปัญญาเสียตัวเดียว ปัญญาเห็นว่าความเพียรในการที่กั้นจิตไม่ให้ไปสู่ความชั่ว ให้ทรงตัวไว้ในความดีเป็นของดี จึงทรงวิริยบารมีไว้เป็นปกติ ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา กรรมที่เราทำ ทำด้วย กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มันก็เหมือนกัน ใช้ปัญญาพิจารณาก่อนแล้วจึงทำ ว่ามันดีหรือมันชั่วนี่มีปัญญาตัวเดียวมันก็พอแล้วนี่บรรดาท่านพุทธบริษัทเขาเรียกว่า บารมีครอบจักรวาล

    สำหรับด้าน ขันติ ความอดทนต่ออารมณ์ที่เราไม่พอใจ จะเป็นความทุกข์ความกระทบกระเทือนทางกายหรือทางใจก็ช่าง เราทรงขันติความอดทนไว้ เพราะเราเชื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า ถ้าเราอดทนเข้าไว้ไม่ปล่อยให้จิตใจมันไหลไปสู่ความชั่ว ไปมัวเมาในขันธ์ ๕ มากเกินไป องค์สมเด็จพระจอมไตรกล่าวว่า ท่านผู้นั้นมีความสุขทั้งในชาติปัจจุบัน และ สัมปรายภพ ปัญญาก็จะมองเห็นได้ชัด

    ถ้าเขาด่าเรามา เราก็ด่าเขาไป เรื่องการด่ามันก็ไม่จบ ถ้าเขาด่าเรามา เรานิ่งเฉย การด่ามันก็จบ เพราะคนด่ามันเหนื่อยไปเอง นี่ยกตัวอย่างให้เห็นง่าย ๆ

    ทีนี้เมื่อมีปัญญาแล้ว ด้าน สัจจบารมี ก็ครบถ้วนเต็มกำลังใจ เพราะอะไร เพราะเราเป็นคนฉลาด ใช้ปัญญาพิจารณาดูแล้วว่าสิ่งใดมันดีสิ่งใดมันชั่ว อะไรก็ตามเป็นเหตุของความชั่ว เราตั้งใจไว้แล้ว มีสัจจะ เราจะทรงความจริงไว้ว่า ความชั่วเราจะไม่ให้มายุ่งกับใจของเรา

    นี่คนมีปัญญาก็ใช้ปัญญาพิจารณาว่า อะไรมันเป็นจุดหมายของความชั่วหรือความดี เมื่อเห็นว่าสิ่งนี้เป็นของดีแน่ เราก็ตั้งใจตั้งสัจจะไว้ว่า เราจะไม่ยอมละความดี ตัวนี้เป็น สัจจธรรม จะทรงทาน ทรงศีล ทรงเนกขัมมะเข้าไว้มันเป็นผลของความสุข แล้วก็มีความจริงไว้เฉพาะเท่านี้ นี่อาศัยปัญญาเท่านั้นเป็นตัวควบคุมแล้วมา อธิษฐานบารมี เราตั้งใจไว้แล้วนี่ว่า เราจะไม่ยอมทำจิตใจของเราให้ไปสู่ความชั่ว เราจะไม่ยอมให้จิตของเราคลาดเคลื่อนไปจากหลักของจิตที่เราปักเข้าไว้ เราปักไว้ตรงไหน เราปักไว้ว่า

    เราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ เราจะให้ทานเป็นปกติ เราจะมีเมตตาอยู่เสมอ เราจะมัวเมาหรือไม่ยอมเป็นทาสของนิวรณ์ทั้ง ๕ ประการในด้านเนกขัมมบารมี

    อารมณ์ตัวนี้ปักไว้ให้ตรง ไม่ยอมขยับเขยื้อนเหมือนกับหลักที่ปักแน่นแล้ว อย่างนี้ก็ชื่อว่า เราเป็นสาวกขององค์สมเด็จประทีปแล้ว แต่ต้องอาศัยปัญญาเข้าควบคุมสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะมีได้ก็เพราะอาศัยปัญญาเข้าคุม

    มาตัว เมตตา บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าหากว่าเราขาดปัญญาเสียตัวเดียว เมตตาก็ทรงอยู่ไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าถ้าเราเมตตาในเขา แต่บางทีหรือว่าหลาย ๆ คราวอาจจะมีเป็นจำนวนมากที่เราไปพบกับคนอกตัญญูที่ไม่รู้คุณคน ไม่รู้อะไรมันเป็นปัจจัยของความดีหรือความชั่วเมตตาเขาแล้ว เขากลับอกตัญญูสนองตอบด้วยความโหดร้าย แต่ทว่าอาศัยคนที่มีปัญญาเท่านั้น บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จะถือว่านี่มันเป็นโลกธรรมดา นินทา ปสังสา ความสุขความทุกข์มันเป็นเรื่องธรรมดาของชาวโลก ที่เราต้องมาเกิด มากระทบกระทั่งพบกับคนที่หาความดีไม่ได้ไม่รู้จักคุณคนทำความดีมองไม่เห็นความดี ก็เพราะอาศัยเราโง่
    คนที่มีปัญญาเขาไม่โทษคนอื่นเขาโทษตัวเอง ว่าเพราะอาศัยเราโง่มาในชาติก่อน ในกาลก่อนเราไม่ทรงความดีเข้าไว้ เราไม่แสวงหาความฉลาด เราจึงได้ตกมาเป็นทาสของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และ อกุศลกรรม ต้องกลับมาเกิดใหม่

    นี่คนที่มีปัญญาเขาคิดอย่างนี้ แทนที่จะไปเจ็บใจคนที่สร้างความไม่มี เป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณคนมีจิตประกอบไปด้วยอกุศล แทนที่เขาจะคิดอย่างนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัทเขาไม่คิด คนที่มีปัญญาน่ะไม่คิดอย่างนั้น เขาจะโทษตัวเองว่าเรามันโง่เกินไป ถ้าเราฉลาดเชื่อคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตร เข้าไปนิพพานเสีย แล้วมันจะมีอะไรล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัท มันก็ไม่มีอะไรอีก

    สำหรับด้าน อุเบกขาบารมี นี่ใช้ปัญญาเข้าควบคุมจิตใจของเราให้เฉยเข้าไว้ อะไรที่มันเกิดขึ้น ศิษย์ทำผิดวินัยและเป็นไปเพื่อความทุกข์ จิตใจจะหาความสุขไม่ได้ถ้าเราไปเกาะ เราก็ใช้ปัญญามาเป็นเครื่องพิจารณาว่า

    เราอยู่ในโลก ถ้าเราหมุนไปตามนั้น เราไม่วางเฉยเสียไม่ทรงตัวเฉยเข้าไว้จิตใจก็จะประกอบไปด้วยกุศล การที่เราต้องการปฏิบัติตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระทศพล ต้องการเป็น พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ มันจะเป็นได้ยังไง และเมื่อมีอะไรที่ไม่ชอบใจไม่ถูกใจ ก็ถือว่า ช่างเถอะ ตามเดิม วางเฉยเข้าไว้
    นี่ปัญญาที่ใช้แบบนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เป็นปัญญาที่รู้จักรักษาตัวรอดเป็นยอดดีเท่านั้น ยังไม่พ้นอำนาจ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และ อกุศลกรรม

    ทีนี้เรามาใช้ปัญญาเบื้องสูงกัน เอาเป็นตัวจบ พูดกันง่าย ๆ นี่จบบารมีกันเสียเลยก็ดี จะได้ไม่พูดกันเลอะเทอะไป มาจบบารมีกันเสียเลย

    ปัญญาเราใช้ทานบารมีเราใช้ในด้านไหน การที่เราจะให้ทาน บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าเรามีปัญญา ปัญญาของเราเต็ม เราก็คิดอย่างเดียว ไม่ใช่ว่าเราจะสงเคราะห์คนอื่น การให้ทานเราสงเคราะห์ตัวเราเอง สงเคราะห์ตรงไหนล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัท สงเคราะห์ตรงที่เราให้ทาน เราตัดโลภะความโลภ เพราะความโลภมันเป็นรากเหง้าของกิเลส

    ถ้าเราเป็นทาสของความโลภ เราก็ต้องเกิดมามีความทุกข์ ให้ไปแล้วคนเขาจะรู้คุณเราหรือไม่รู้คุณช่างเขา เขาจะเห็นว่าเราดีหรือเราชั่วไม่สำคัญ เราให้เพื่อทำลายความชั่วที่มันจมอยู่ในสันดานของเราให้มันหมดไป คือ ความโลภ หรือว่า มัจฉริยะ ความตระหนี่แน่นเหนียว เมื่อความโลภไม่มีเสียตัวเดียว ความเบาใจมันก็เกิด ลอยตัวได้แล้วบรรดาท่านพุทธบริษัท เราเป็นคนใกล้พระนิพพานเต็มที นี่ปัญญาเขาใช้กันอย่างนี้

    ทีนี้ตอนที่เรามารักษาศีลรักษาเพื่ออะไรกัน การรักษาศีลนั้นมันเป็นพื้นฐานที่เราจะได้เข้าถึงพระนิพพาน เพราะเป็นบันไดขั้นที่ ๒ ที่เรานำมาเป็นการระงับ โทสะ กับ พยาบาท ทำลายอารมณ์ชั่ว ความวุ่นวายของใจ ความเร่าร้อนข้องใจ ความโหดร้ายของใจ
    การรักษาศีลนี่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เราไม่รักษาเพื่อความโลภ เพื่อให้ใครเขามาบูชา ไม่ต้องการให้คนเขามาบูชา ไม่ต้องการให้เขามาสรรเสริญ ใครเขาจะบูชา ใครเขาจะสรรเสริญเราหรือไม่ไม่สำคัญ เรารักษาศีลนั้น เราต้องการอย่างเดียวคือ แงะรากฐานของโลภะให้พินาศไป เรายังขุดรากไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ตัดต้นโค่นต้นลงมาเสียให้ได้ ให้มันเหลือแต่ตอ

    ต่อไปก็ใช้ปัญญาพิจารณาในด้าน วิปัสสนาญาณ ละขันธ์ ๕ เสีย ให้หมด เป็นอันว่าไอ้ตัวแห่งความโลภ ความโกรธ มันก็จะสิ้นรากสิ้นเหงา สิ้นโคนลงไป ต้องใช้ปัญญาตัวนี้เข้ามาพิจารณาเรื่องการรักษาศีล ต้องคุมศีลให้บริสุทธิ์ คือ

    ไม่ทำเอง ไม่ยุให้คนอื่นเขาทำลาย ไม่ยินดีเมื่อทำลายแล้ว หรือเมื่อคนอื่นเขาทำลายแล้ว นี่ใช้ปัญญาพิจารณาตัวเดียว

    มาตอน เนกขัมมบารมี ตอนถือบวช ตอนนี้มี กามฉันทะ เราระงับไว้ได้ด้วยอำนาจ อสุภกรรมฐาน กับ กายคตานุสสติ กดคอมันเข้าไว้ แล้วก็ห้ำหั่นมันด้วยอำนาจของปัญญา พิจารณาว่ากามคุณ ๕ มีกายเป็นตัวนำ เราพอใจในกายแล้วพิจารณาดูในกายว่ามันสกปรกแล้วเอามันไว้ทำไม นอกจากจะสกปรกมันยังทำลายจิตใจเราด้วย แล้วมันก็ไม่ช่วยให้เรามีความสุข เป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์ โยนทิ้งมันไปเสียเลย ขึ้นชื่อว่าร่างกายที่ประกอบไปด้วยขันธ์ 5 แบบนี้ จะไม่มีสำหรับเราต่อไป เลิกคบกันไป เลิกติดใจในกายไม่ว่ากายของใครทั้งหมดนี่เนกขัมมบารมีที่เขาใช้กันด้วยอำนาจของปัญญา เขาใช้ตัวนี้ นี่มันเป็นของไม่ยาก ทำใจให้มันเต็ม คำว่า เต็ม เราอย่าให้มันบกพร่อง อย่าให้จิตอื่นอารมณ์อื่นเข้ามายุ่ง ทำอารมณ์ให้มันเต็มให้มันเป็นปกติ คิดอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา การเป็นอรหันต์เป็นของไม่ยาก ตานี้ตัวปัญญาไม่ต้องมาพูดกัน มาไล่เบี้ยอย่างอื่นกันต่อไป

    เอาปัญญาเข้าไปใช้ใน วิริยะ ความเพียรอีก ตอนนี้เพียรตรงไหน เพียรตัดสังโยชน์ 10 ประการให้พินาศไป ใช้สักกายทิฏฐิตัวเดียวเข้าประหัตประหาร พิจารณาว่า สภาพร่างกายนี่มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา และเมื่อมันไม่เป็นเราไม่เป็นของเราเสียอย่างเดียวแล้ว สิ่งอื่นทั้งหลายในโลกจะมีอะไรเป็นของเราอีก นี่ต้องใช้ความเพียร เอาปัญญาเข้ามาจับ ใช้ความเพียรให้มีประโยชน์ อย่าเอาความเพียรไปประกอบสิ่งที่เป็นโทษเข้ามายุ่ง ไม่เอา

    นี่ปัญญาตัวนี้เป็นปัญญาที่เป็น ปรมัตถบารมี จับความเพียรตัวนี้เข้ามายึดสังโยชน์เป็นสำคัญ ทำลายให้พินาศไป ส่วนร่างกายคือขันธ์ 5 ทิ้งเสียได้แล้ว อย่างอื่นไม่เหลือ บรรดาท่านพุทธบริษัท หากความเหลือไม่ได้ ความเป็นอรหันต์ปรากฎกันตอนนี้ จะไปคุยกันทำไมเรื่อง พระโสดาบัน มันเป็นของง่าย ๆ ของเล็ก ๆ ของเด็ก ๆ นี่ง่ายเกินไป

    ถ้าเราใช้ปัญญาในด้าน ขันติบารมี ความอดทนอดใจ อดทนเข้าไว้ว่าอารมณ์อันใดที่มันเป็น อุปกิเลส กิเลสเล็กก็ดี กิเลสใหญ่ก็ดี เรื่องความไม่ดีที่มันจะเข้ามา ยับยั้งมันด้วยอำนาจขันติบารมี วิริยบารมีมาทางวิ่งหนี แต่บังเอิญมันจะกวดทัน ยั้งมันเข้าไว้ ไม่ยอมให้มันเข้ามายุ่งในใจ อดทนอดกลั้น ไม่ยอมหวั่นไหวไปตามด้วย อำนาจของกิเลส มีความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้น ยันมันด้วยอำนาจขันติ มันจะเข้าประตู เฉยเสีย ไม่เปิดยอมรับมัน เมื่อเราไม่เปิดประตูยอมรับมัน มันจะมาได้ยังไง จะเข้าได้รึ มันก็เดินวนมาวนไป วนไปวนมา เข้าไม่ได้มันก็กลับไปเอง นี่ปัญญาต้องใช้ความเฉียบขาด เรียกว่าถ้าเราทรงความอดทนไม่ได้เราตายเสียดีกว่า นี่เป็นปัญญาตัวสุดท้าย บารมียกยอดกันเพียงแค่นี้

    ทีนี้มาด้าน สัจจบารมี ความจริงใจ ใช้ปัญญาควบคุมความจริงเข้าไว้ เราเลือกไว้แล้วนี่ว่าสิ่งนี้มันเป็นของดีของเลว เลือกเอาของดีเข้าไว้ ทรงแต่ความจริงว่า เราจะค้นคว้าหาแต่ความดีเท่านั้น ทำลาย สักกายทิฏฐิ คือร่างกายให้พินาศไป ตัดว่าร่างกายไม่เป็นที่พอใจของเรา ความโลภมันก็ไม่มี ความโกรธมันก็ไม่มี ความหลงมันก็ไม่มี ไอ้ตัวที่หลงใหญ่ก็คือ หลงกายว่าเป็นเราเป็นของเรานี่แหละ มันก็เลยหลงตัวอื่นต่อไป นี่เราทรงสัจจะเข้าไว้ว่า เราจะจริง คือการทำลายกิเลสทั้ง 3 ประการให้พินาศไปด้วยอำนาจของ อริยสัจทีนี้มา อธิษฐานบารมี เราตั้งใจไว้โดยเฉพาะว่าเราต้องการพระนิพพาน อย่างอื่นไม่ไป ใครจะมายกยอปอปั้นยังไงเราไม่เอา เพราะว่าเราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระจอมไตรพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธเจ้าท่านดีกว่าเรา เป็นกษัตริย์ และก็มีทรัพย์สมบัติมาก มีความดี มีปัญญาทุกอย่าง ทุกสิ่งสมบูรณ์บริบูรณ์ พระองค์ยังไม่หลง ตั้งใจเฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ แล้วก็ไปจริง ๆ ในเมื่อเราเป็นพุทธบริษัทชายหญิงของพระพุทธเจ้า ในเมื่อพระองค์ทิ้งอย่างอื่นได้เราก็ทิ้งได้ เราจะเก็บมันไว้ทำไม เราก็ตั้งใจตรงเฉพาะพระนิพพาน ใครจะชวนไปทางไหนฉันไม่ยอมไป ไปทีเดียว คือพระนิพพานเท่านั้น ตั้งใจไว้โดยเฉพาะ ทำอะไรนิดทำอะไรหน่อยเราทำเพื่อพระนิพพาน นี่คนที่มีปัญญาเขาใช้อย่างนี้ ปัญญาเป็นบารมีครอบจักรวาล

    และองค์สมเด็จพระประทีปแก้วบอกว่า จงมีเมตตาเป็นปกติ เมตตานี่เป็นตัวยืนสำคัญบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เลี้ยงทั้งทาน เลี้ยงทั้งศีล เลี้ยงทั้งวิปัสสนาญาณ เพราะเมตตาเป็นอาการที่สร้างอารมณ์ใจให้เยือกเย็น ไม่มีกังวลใยอย่างอื่น มีจิตคิดอย่างเดียว คือคิดสงเคราะห์ รักคนอื่น สงสารคนอื่น เกรงว่าเขาจะมีทุกข์เราไม่ต้องการยัดเยียดความทุกข์ให้แก่บุคคลอื่น ต้องการอย่างเดียวยัดเยียดความสุขให้แก่เขาด้วยอำนาจของ เมตตาแล้วก็ใช้ปัญญาเข้ามาพิจารณาว่า การที่เมตตานี่เราไม่ได้คิดในเขาเราสงเคราะห์ให้เขาข้ามฟาก คือพ้นจากบ่วงทุกข์ไปได้ชั่วขณะ หรือจะตลอดกาลก็ตามใจ นี่มันเป็นเรื่องของเขาเราอย่าไปผูกพัน ช่วยแล้วเขาปฏิบัติได้หรือไม่ได้นี่มันเรื่องของเขา นี่มันก็ของไม่ยาก ถ้ามีปัญญาเข้ามาพิจารณาแล้วเมตตามันก็ไม่สลายตัว มันทรงตัว มันเต็ม มันอิ่มบริบูรณ์ ใช้ปัญญาตัวเดียวบรรดาท่านพุทธบริษัท

    สำหรับ อุเบกขาบารมี ตัวนี้ขั้นสูง อุเบกขานี่แปลว่าความวางเฉย ต้องใช้เป็น สังขารุเปกขาญาณ คือวางเฉยในสังขารคือร่างกาย มันจะเป็นอะไรก็ช่างหัวมัน โลกทั้งโลก ทรัพย์สินทั้งหลายมันจะเป็นอะไรก็ช่างหัวมัน ร่างกายมันป่วยจะตายมีทุกขเวทนาสาหัส เราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ จะไปแยแสอะไรกะมัน ช่างมัน มันอยากป่วยเชิญมันป่วยไป มันอยากตายเชิญมันตายไป ตัดตัวนี้ได้มันก็มีความสุข เราเฉยเข้าไว้เพราะเรารู้อยู่แล้ว
    ว่า อัตภาพร่างกายหรือว่าขันธ์ ๕ นี่มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน สำหรับวันนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒน
    มงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน สวัสดี

    จาก หนังสือ บารมี ๑๐
    พระราชพรหมยานเถระ (หลวงพ่อฤๅษี)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กุมภาพันธ์ 2013
  8. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151

    “รู้ตัวทุกระยะ”

    ...ของเหล่านี้หละ เป็นสิ่งที่มาเป็นอุปสรรค ขัดขวางในทางเดินของจิตใจ ที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ มันจะค่อย ๆ แทรกสิงเข้ามานะ ถ้าหากจิตใจของเรา เป็นผู้ที่มีปัญญาบ้าง หรือใคร่ครวญ พินิจพิจารณาจนถึงให้มีจิตละเอียดสักหน่อยหนึ่ง หรือได้ผ่านลงสู่ความสงบสักครั้งสองครั้ง จนรู้จักเรื่องของจิตว่าเป็นไปในรูปไหน วิธีไหน อันนี้เราจะสังเกตเห็นธรรมะฝ่ายต่ำ คือตั้งแต่ขั้นนิวรณ์อย่างที่กล่าวแล้ว ความจริงมันมาทีละตัวนะ ไม่มาพร้อมกันหรอก ลักษณะอาการซึ่งมันเข้ามาแทรกสิงในจิตใจของเรา เราเห็นชัดเลยนะ ว่าสิ่งนี้มาแล้ว ถ้าหากเรามีสติบ้าง มีความระลึกรู้ ติดตามอยู่ทุกจริตทุกระยะ ก็รู้จักเลยนะว่ามาแล้ว เมื่อมาแล้ว เรามีวิธีแก้ไขอย่างไร พอทำความรู้สึกตัว พอทำความรู้ตัวปั๊บ ว่าสิ่งนี้มา ความรู้จะขยายตัวออกไปทันที ไม่ค่อยอยู่หรอกถ้าเรารู้จัก ถ้าเราไม่รู้จัก ก็มานอนแช่อยู่อย่างนั้นหละ สิ่งไหนมาแบบไหน สิ่งไหนมารูปไหน วิธีไหน เราอ่านได้อยู่ทุกระยะ...

    หลวงปู่ศรี มหาวีโร
    เทศนา เรื่อง รู้เอง เห็นเอง
    ที่มา fb หลวงปู่ศรี มหาวีโร
     
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ขอพูดถึงการแยกของกายและจิต มีสภาวะเป็นขั้นตอนดังนี้คือ

    1 เป็นสภาวะที่แยกกันระหว่ากายและจิต ที่แยกกันอย่างหยาบและปานกลาง
    2 แยกออกจากกันอย่างละเอียด
    3 แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง

    สภาวะทั้ง3ข้อนี้นั้น เกิดขึ้นได้ด้วยต้องอาศัยเหตุปัจจัย คือกำลังสมาธิอันเป็นทั้งฌาณและญาณ กล่าวคือ

    ด้วยกำลังสมาธิย่อมก่อให้เกิดฌาณเบื้องต้นเมื่อเราปฏิบัติต่อไปเราจะพบว่า

    1เมื่อเรานำกำลังฌาณเปลี่ยนเป็นวิปัสนาญาณ จิตรู้การเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับปของกาย รู้ทันกายว่ากายนี้เป็นเพียง ธาตุวัตถุ เกิดการเบื่อหน่ายในกายธาตุของตนจิตจึงเกิดสภาวะละปล่อยว่างกายธาตุ อันนี้เป็นการแยกจิตออกจากกายอย่างหยาบ สภาวะนี้จิตแยกจากกายก็จริงด้วยจิตรู้ทัน แต่กำลังจิตยังไม่ทรงตัว ยังไม่สามารถแยกเวทนาแห่งกายได้ทั้งหมด

    2ต่อเนื่องจากข้อ1 พร้อมด้วยเมื่อจิตมีกำลังทรงตัวมากขึ้นดำรงตั้งอยู่ด้วยอุเบกขาฌาณ และพร้อมด้วยความสงบละปล่อยว่างแล้ว จิตรวมเป็นหนึ่งและกายอันเป็นรูปธรรมทั้งหลายดับแล้ว ในสภาวะนี้คือสภาวะจิตว่าง ตัดแยกจากกายได้อย่างละเอียด เป็นขั้น2 สภาวะนี้เวทนาวิญญาณดับแล้ว สภาวะนี้ต้องอาศัยกำลังฌาณและวิปัสนาญาณที่แก่กล้ามีกำลังมากพอ จึงจะทำได้ แต่ยังไม่ใช่ขั้นที่3เพราะจิตยังยึดเกาะ ตั้งอยู่ในกาย

    3การแยกกายและจิตอย่างสิ้นเชิง สภาวะนี้มีได้แค่3อย่างคือ
    คนที่ตายดับจิตแล้ว จิตจึงเคลื่อนออกจากกาย เพราะกายดับแล้วจิตไม่สามารถเกาะยึดติดอยู่กับกายได้ อันนี้เป็นไปตามธรรมชาติ และ
    อีกรณีหนึ่งคือ การที่จึงมีกำลังสมาธิจากข้อที่2ที่แก่กล้ายิ่งขึ้น และผู้ปฏิบัติสามารถหาวิธีการให้จิตเคลื่อนออกจากกายไปสู่ภายนอกและสามารถบังคับจิตให้เคลื่อนไปและดำรงจิตอยู่ได้ในสภาวะที่ไม่มีกายหรือที่เราเรียกว่าการถอดจิตครับ ส่วนวิธีการบังคับให้จิตเคลื่อนออกจากกายนี้เราไม่ขอกล่าวเพราะมีหลายวิธีทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะกายธาตุนั้นๆและจริตของจิตผู้นั้น
    อีกนิดหนึ่งครับ ตามข้อ3ว่าด้วยเรื่องการแยกกายและจิตออกจากกันอย่างสิ้นเชิง นอกจาก กรณีของการตายดับกายสังขารแล้ว และการถอดจิต
    การถอดจิตกระทำได้สองวิธีให้ปรากฏได้คือด้วยการอาศัยกำลังของสมาธิในระดับฌาณและญาณที่แก่กล้าและรู้วิธีกำหนดบังคับให้จิตเคลื่อนออกจากกายแล้ว
    ยังมีอีกสภาวะหนึ่งที่กระผมไม้ได้กล่าวถึง คือการนอนหลับเป็นการตกภวังค์แห่งจิต แต่ด้วยสภาวะแห่งกายและจิตมีพละกำลัง พร้อมด้วยประตูทวารแห่งกายเปืดออก จึงทำให้จิตเคลื่อนออกจากกายได้โดยบังเอิญ เหตุการณ์นี้เกิดได้แต่ก็ไม่บ่อยมากเพราะจะต้องอาศัยเหตุปัจจัยทุกอย่างเกิดมีพร้อมกันในเวลานั้นครับ


    แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดคือ หากเราแยกกายและจิตได้แล้ว ปัญญา ควรจะเกิดรู้แจ้งเห็นความจริง หรือสัจจะธรรมที่ว่า แท้จริงแล้วที่พระท่านสอนไว้ จิตเรานั้นมันคนละส่วนกับกาย จิตมันแค่มาอาศัยกาย ก็เท่านั้นเอง หากมีปัญญามากยิ่งขึ้นอย่างนี้แล้ว พึงรู้ไว้เลยว่า กายนี้ไม่ใช่ของเรา หรือของใคร ไม่มีอะไรให้ยึดมั่นในกายว่าเป็นเราเป็นของเราอีกต่อไป สาธุครับ
     
  10. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444

    ละเอียด ชัดเจน แจ่มแจ้ง ...ขอโมทนา สาธุ ในธรรมทานค่ะ...:cool:
     
  11. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    การทำบุญก็เหมือนกัน

    ต้องมีจุดหมายปลายทาง

    จึงต้องปรารถนา ปรารถนาพ้นทุกข์

    ไปนิพพานนั้นแหละคือจุดหมายปลายทาง

    ของความปรารถนาที่เราปราถนาพ้นทุกข์

    นี่เป็นการปรารถนาเพื่อละกิเลสตัณหา.

    ธรรมะพาสุข.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กุมภาพันธ์ 2013
  12. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713

    สาธุค่ะ คุณภู ที่นำธรรมะมาเป็นธรรมทาน ขออนุโมทนาค่ะกับธรรมะ

    ที่ท่านเมตตานำมาเป็นธรรมทาน และขออนุโมทนากับธรรมะของทุกๆท่านที่

    นำมาลงเป็นธรรมทาน ธรรมะของพระพุทธองค์ และของพ่อแม่ หลวงปู่

    หลวงตาครูบาอาจารย์ ที่ให้ลูกได้มีวันนี้. คือเมื่อก่อนดิฉันไม่กล้าแม้แต่จะ

    อธิษฐานที่จะขอไปนิพพาน เพราะคิดว่านิพพานสูงเกินไปที่จะขอ เมื่ออธิษฐาน

    ทุกครั้งก็จะขอให้มีดวงตาเห็นธรรม และให้ตัวเองได้เป็นคนดีมีศีลมีธรรมพร้อม

    ที่จะปฏิบัติตนตามรอยของพระพุทธองค์ และพ่อแม่ครูอาจารย์ แต่มาถึงขณะ

    นี้ได้มีความมั่นใจ และทราบว่าตนเองได้เดินทางเข้าสู่นิพพานแล้วตั้งแต่ได้เข้ามา

    ร่วมปฏิบัติกับจิตเกาะพระ เพราะเป็นทางเดียวกันกับที่ปฏิบัติมาก่อนอยู่แล้ว

    การปฏิบัติจึงได้ผลเพิ่มขึ้นเป็นทวีคุณ แล้วก็ได้ประจักย์ แก่ตนเอง และทำให้ได้รู้

    ว่าการปฏิบัติของตนเอง ตอนนี้รู้แล้วว่านิพพานนั้นอยู่กับตนเองตลอดเวลา

    ไม่ต้องรอไปถึงภพหน้า นี่ก็คือนิพพานทางใจเพราะทำอะไรก็เป็นความสุข

    ไปหมด. การที่จะไปนิพพาน จะไปได้ยาก หรือง่ายอยู่ที่การปฏิบัติตนของตน

    เอง บางคนคิดว่าทำความดีเพื่อชาติหน้าแต่ดิฉันคิดว่า ไม่ต้องรอถึงภพหน้า

    หรือชาติหน้าตั้งใจทำเสียตั้งแต่บัดนี้เลย แล้วท่านจะได้พบกับตัวท่านเองค่ะ

    จึงนำสิ่งดีๆมาเล่าสู่กันฟังค่ะ. ลูกขอน้อมกราบพระพุทธเจ้าพ่อแม่ครูอาจารย์

    ทุกๆพระองค์ด้วยความระลึกถึงด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ.สาธุ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กุมภาพันธ์ 2013
  13. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ความสงสัย และคำอธิษฐาน

    เมื่อผู้เขียนได้อ่านธรรมะของหลวงปู่ดู่ ท่านได้กล่าวไว้ว่า.

    แม้เจ้าไม่เคยรู้จักข้าไม่เคยเห็นข้า แต่เคยเป็นศิษย์เป็นอาจารย์

    เป็นลูกเป็นหลานข้าเคยสร้างบุญกุศลมากับข้า

    แม้ในชาติที่ไม่ได้พบสังขารธรรมของข้า

    แต่พอเจ้าพบเห็นหลักธรรมคำสั่งสอนของข้าแล้ว

    แล้วเจ้าเกิดศรัทธาคนผู้นั้นแหละเคยสร้างบุญ

    สร้างกุศลกับข้าเคยเป็นศิษย์เป็นอาจารย์หรือ

    เป็นลูกหลานของข้า. เมื่อผู้อ่านทบทวนคำสอนของท่าน

    จึงตอบกับตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัยว่า เราใช่ลูกหลานท่านแล้วล่ะ

    เพราะท่านรับเราเป็นลูกตั้งแต่เราอ่านและเข้าใจธรรมะของท่านแล้ว

    และก็อธิษฐานอีกว่าธรรมะของทุกๆพระองค์และของหลวงปู่หลวงตาที่

    บางองค์บางท่านเราก็ไม่รู้จักรแต่เราก็ติดตามอ่านธรรมะของท่านและนำ

    มาปฏิบัติเราก็ได้เป็นลูกเป็นหลานท่านแล้ว โดยไม่มีอะไรสงสัยอีก.

    ส่วนคำอธิษฐานนั้น เคยคิดนะแค่คิดนะ นึกในใจว่าเรานี่อายุก็

    ปานนี้แล้วทำไมเราไม่เคยไปกราบหลวงพ่อฤาษีลิงดำเลย ถามตัวเองว่าเรา

    ใช่ลูกท่านหรือปล่าว แต่ก็ตอบแบบเข้าข้างตัวเองนะว่าใช่เราก็เป็นลูกเป็นหลาน

    ท่านคนหนึ่งเหมือนกันถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่พบกับจิตเกาะพระ และได้มาศึกษา

    ธรรมะของท่าน สิ่งที่ได้ทำให้กล้าพูดว่าใช่เลยท่านรับเราเป็นลูกแล้วนั้นคือ

    ไม่นานเลยที่คิดและสัย ก็มีสิ่งที่เกิดขึ้นคือมีญาติธรรมคนหนึ่งเขาบอกว่าเป็นลูกของ

    พ่อฤาษีลิงดำเขาส่งรูปภาพเก่าๆของหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาให้ดูเย้อะเลยที่สำคัญ

    เป็นภาพที่ท่านมรณะภาพ และภาพงานพิธีเพลิงศพขององค์ท่านมาให้ดู ยิ่งทำให้เรา

    ได้รู้ได้เห็นโดยไม่ต้องสงสัยอีก จึงนำมาเหล่าสู่กันฟัง ถึงธรรมะของหลวงปู่ดู่

    และคำอธิษฐานของผู้เขียน แล้วก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ได้พบเห็นได้เกิดขึ้นกับตัวเอง

    อาจจะมีหลายๆท่านที่ได้พบได้เห็นได้รู้แบบนี้เหมือนกันแต่ไม่ได้นำมาเล่า

    เพราะผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แล้วต้องพบด้วยตนเองค่ะขอบคุณนะคะที่

    ติดตามอ่านหวังว่าคงมีประโยชน์และร้องอ๋ออย่างนี้เองไปตามๆกัน.สวัสดีค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กุมภาพันธ์ 2013
  14. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    เหมือนกันเลยค่ะ ..คุณลินดา ..อีกครั้ง...ที่อยากจะ สรรเสริญ คุณงามความดีของท่าน และ ระลึกว่า ตัวเรานี่ โชคดีมหาศาลที่เกิด มาชาตินี้ ได้พระธรรมคำสอน ที่ถ่ายทอดโดย พระเดชพระคุณหลวงพ่อผู้ เป็นเนื้อนาบุญที่แท้จริง ในพระพุทธศาสนา ยุคนี้ ...

    ดังนั้น จึงขอนำบทความที่น่าสนใจ เกี่ยวกับท่าน มาให้ทุกคนได้อ่านบันทึกที่หาอ่านได้ยากยิ่ง..

    เรื่อง พระสุปฏิปัณโณกล่าวถึงองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษี)​


    หลวงปู่ดาบส สุมโณ

    "พระคุณเจ้าองค์นั้นเป็นอรหันต์องค์เอกองค์หนึ่งของโลกในปลายศาสนา ๕๐๐๐ ปี
    จะหาใครสอนเสมอเหมือนพระคุณท่านหาไม่ได้แล้ว พระคุณท่านองค์นั้นสอนได้คล้ายพระพุทธเจ้าสอน เพราะท่านปรารถนาพระโพธิญาณ ถ้าท่านไม่ลาพุทธภูมิหักใจเป็นพระอรหันตสาวกเสียก่อน
    ท่านเทศน์คราวไร เรา..พวกเรานี้ที่บำเพ็ญบารมีตามท่านมา ก็จะฟังเทศน์จากท่านเพียงครั้งเดียว
    ก็จะเป็นพระอรหันต์ตามได้

    "จำไว้นะ ! กลับไปฟังคำสอนของพระคุณท่าน ฟังเทปของท่าน ดูวีดีโอของท่าน ให้ส่งจิตคิดตามเสียงท่านประหนึ่งว่าเป็นเสียงในใจเรา ก็อาจจะบรรลุมรรคผลได้ตามที่ตัดสินใจ ตามเสียงนั้นเฉพาะหน้า เหมือนฟังจากพระพุทธเจ้านั่นแหละ องค์นี้หาใครสอนได้เสมือนท่านยากนักหนาแล้ว"

    หลวงปู่ดาบส สุมโณ ท่านเป็นพระอริยะเจ้า ที่บำเพ็ญพระโพธิญาน บารมีท่านสูงมากๆ ครูบาอาจารย์หลายท่าน ให้ความยกย่อง บางท่านให้ศิษย์ไปกราบไว้ ไปทำบุญ ไปเรียนวิชากับท่าน เช่น หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงปู่เกษม เขมโก หลวงปู่ครูบาอิน วัดฟ้าหลั่ง หลวงปู่ดู่ วัดสะแก เป็นต้น..
    ขนาดหัวใจของท่าน ยังเผาไม่ไหม้ แถมยังแปรสภาพเป็น สีเขียวมรกต อีกด้วย

    ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินธโรมหาเถระ)
    วัดสามพระยา ปรารภกับหลวงพี่ ท่านพระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ เจ้าอาวาส วัดท่าซุง
    ว่า " คำสอนของท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ใช้เป็นตำราได้ทั้งหมดนะ "

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านเจ้าคุณพระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร มหาเถระ)
    บอกว่า "หลวงพ่อมหาวีระ(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ท่านเป็นโลกวิทู แจ้งทั้งโลก แจ้งทั้งธรรม"

    หลวงปู่บุดดา ถาวโร ยังปรารภถึงหลวงพ่อว่า " หลวงปู่น่ะเหมือนหิ่งห้อย
    หลวงพ่อมหาวีระ(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) นั้นเหมือนพระอาทิตย์"

    ครูบาคำแสนเล็ก ท่านบอกว่า “หลวงปู่ บวชมา 60 กว่าพรรษาเข้านี่แล้วยังไม่เคยพบ
    พระองค์ไหนเหมือนหลวงพ่อ(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ”


    หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๒

    ในปีพ.ศ. ๒๕๑๕ หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก หลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร กำลังสนทนาธรรมกันที่วัดป่าดอนมูล อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้เขียนกำลังรับฟังธรรม จากพระเดชพระคุณท่านฯ ทั้งสองอยู่ หลวงปู่ชุ่มก็หันหน้ามาบอกผู้เขียนว่า
    “ท่านบุญรัตน์ ให้ไปกราบหลวงพ่อใหญ่ วัดท่าซุงหน่อย ท่านเป็นพระทอง หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ท่านเปี่ยมด้วยเมตตาบารมี ใครได้กราบไหว้ก็เป็นบุญกุศลใหญ่นัก”

    หลวงปู่คำแสนซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ ก็กล่าวเสริมขึ้นว่า
    “เออ ดีมาก หลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นผู้ประกอบไปด้วยเมตตาธรรมอันสูงส่ง
    เหมือนกับครูบาศรีวิชัย หาที่ไหนไม่ได้แล้ว”
    ผู้เขียนได้รับฟังหลวงปู่ทั้งสององค์บอกกล่าว ดังนั้นก็ก้มกราบเท้าทั้งสองหลวงปู่ด้วยความอิ่มอกอิ่มใจจนน้ำตาไหล

    หลังจากนั้นมา ผู้เขียนก็หาเวลาไปกราบเท้านมัสการพระเดชพระคุณเจ้าประคุณหลวงพ่อหลายครั้งหลายหน เมื่อไปกราบคราวใดก็รู้สึกอิ่มใจ และได้ฟังธรรมจากพระเดชพระคุณท่านฯ จึงทำให้เกิดศรัทธามากขึ้น เพราะว่าคำสอนของพระเดชพระคุณท่านฯ ฟังง่าย ปฏิบัติก็ง่าย ฟังได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ตลอดถึงปี พ.ศ.๒๕๑๗ ผู้เขียนได้ลงไปพักวัดอภัยทายาราม (วัดมะกอก) ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กรุงเทพฯ ก็หาเวลาไปกราบฟังธรรมที่ซอยสายลมมิได้ขาด

    เมื่อผู้เขียนกลับไปเชียงใหม่ก็ไปนมัสการหลวงปู่ชุ่ม และกราบเรียนเรื่องราวที่ได้มีโอกาสไปนมัสการและสดับฟังธรรมจากพระเดชพระคุณเจ้าประคุณหลวงพ่อฯ ถวายแด่หลวงปู่ชุ่มฟัง หลวงปู่ท่านก็บอกว่า “ดีมาก ท่านบุญรัตน์ได้พบของดีแล้ว”

    นอกจากนั้นหลวงปู่ท่านเมตตาเล่าให้ผู้เขียนฟังอีกว่า
    “พระเดชพระคุณหลวงพ่อวีระ วัดท่าซุงนี่ท่านเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมอันสูงมาก บารมีสูง
    ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของท่าน ท่านจะไม่มาอีกแล้ว จะเข้าสู่พระนิพพาน
    เพราะฉะนั้นท่านจึงสั่งสอนให้ลูกหลานและศิษย์ท่านปฏิบัติให้เข้าถึงพระนิพพานกันหมด”

    หลวงปู่ชุ่มบอกกับผู้เขียนว่า
    “ขอให้ท่านจงได้ปฏิบัติติดตามคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเถอะ จะได้ถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้” ผู้เขียนก็น้อมรับว่า “สาธุ” ตั้งแต่นั้นมาผู้เขียนก็ได้มีโอกาสได้ไปกราบเท่าพระเดชพระคุณเจ้าประคุณหลวงพ่อฯ อีกหลายครั้ง

    กระทั่งเดือนมิถุนายน ปีพ.ศ. ๒๕๒๑ พระเดชพระคุณท่านฯ ก็ได้รับอาราธนาจากหลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร มาในพิธีพุทธาภิเษกที่วัดดอนมูล ณ ที่นี้เอง ผู้เขียนก็ได้มีโอกาสกราบแทบเท้าพระเดชพระคุณเจ้าประคุณหลวงพ่อฯ ท่านก็ได้เอามือลูบหัวผู้เขียน และให้พรว่า “จงถึงนิพพานในชาตินี้นะ โชคดีมีสุข” นับว่าเป็นพระเมตตาของพระเดชพระคุณท่านพ่อที่มีต่อผู้เขียนเป็นล้นพ้น สุดที่จะเขียนพรรณนาได้

    วัดโขงขาว เมื่อสมัย ๑๐ กว่าปีก่อนนั้น มีสภาพทรุดโทรมมาก ถาวรวัตถุที่ไม่ถาวรของวัดในสมัยนั้นก็มีพระวิหารและกุฏิสงฆ์หลังเล็กๆ ซึ่งมีอยู่เพียงหลังเดียว มีสภาพที่แทบจะไม่สามารถประกอบสังฆกรรมหรือพำนักอาศัยได้ ทุกคนที่สัญจรผ่านไปๆ มาๆ มองดูสภาพวัด ด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความกล้าๆ กลัวๆ เพราะคิดว่าคงจะเป็นวัดร้างกระมัง

    แม้แต่ชาวบ้านซึ่งอยู่ในย่านใกล้เคียง ก็มิได้มีความคิดที่ผิดแผกไปจากผู้สัญจรต่างถิ่นสักเท่าใด ต่างก็นำสภาพวัดที่ตนได้ไปพบไปเห็นมาวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานา สุดท้ายก็ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า วัดโขงขาวมิอาจที่จะฟื้นตัวขึ้นได้ และในไม่ช้าก็จะกลายเป็นวัดร้างไปจริงๆ อย่างมิต้องสงสัย

    แต่ทว่า การคาดคะเนของชาวบ้านเหล่านั้น ซึ่งมีแต่เพียงความคิดว่าวัดโขงขาวจะร้าง แต่ไม่มีความคิดที่จะช่วยกันทะนุบำรุงจัดให้เจริญขึ้นก็ต้องมีอันผิดพลาดไปหมด เพราะตั้งแต่พระเดชพระคุณเจ้าประคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร ในสมัยนั้น) ได้เหยียบเท้าลงสู่พื้นแผ่นดินวัดโขงขาวแล้ว ท้องฟ้าเหนือวัดโขงขาว ซึ่งเคยมีแต่ความมืดสลัวอยู่เป็นนิจก็พลันสว่างไสวในทันใด

    อาณาเขตของวัดอันคับแคบด้วยเนื้อที่เพียง ๒ – ๓ ไร่ ในขณะนั้น ดูเหมือนจะไม่เพียงพอให้พระเดชพระคุณท่านพ่อประทับรอยเท้า อาณาเขตของวัดได้ขยายออกไปทุกๆ ปี วัตถุที่ไม่ถาวรซึ่งมีอยู่ในสมัยนั้นก็กลับกลายเป็นถาวรวัตถุซึ่งปรากฏแก่สายตาบรรดาลูกหลาน ศิษยานุศิษย์ และประชาชนทั่วไป ทั้งนี้เพราะ พระเดชพระคุณท่านฯ เมตตาสงเคราะห์อนุเคราะห์ ทะนุบำรุง บูรณปฏิสังขรณ์วัดโขงขาวขึ้น ให้มีสภาพเป็นวัดที่มีความสวยงาม สมศักดิ์ศรีของวัดที่มีความสำคัญวัดหนึ่งในประวัติศาสตร์

    พระเดชพระคุณท่านฯ ทรงให้ความเป็นกันเองกับทุกคนอย่างลูกกับพ่อ ไม่คำนึงถึงฐานะว่าใครจนหรือร่ำรวย ทุ่มเทชีวิตเพื่ออุทิศแด่พระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ยอมทนต่อทุกขเวทนากับร่างกายที่เจ็บป่วย ทนต่อการถูกกลั่นแกล้งทุกรูปแบบด้วยระยะเวลาอันยาวนาน ทนเพื่อแนะนำพร่ำสอนให้ลูกหลานและศิษย์รู้จักพระนิพพาน แนะนำตั้งแต่บุญขั้นพื้นฐาน ให้รู้จักการเสียสละ การรักษาศีล ยืนยันว่านรก สวรรค์ มีจริง ให้ทุกคนพิสูจน์ได้ด้วยการฝึกมโนมยิทธิ

    ขอพระเดชพระคุณเจ้าประคุณท่านพ่อจงเป็นมิ่งขวัญร่มโพธิ์แก้วโพธิ์ทองของลูกหลานมวลสาธุชนทั้งในและต่างประเทศตลอดกาลนานที่แสนนานด้วยเทอญ


    ที่มา..fb โมกขทรัพย์ ลุกหลวงพ่อฤาษี พุทธบุตร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กุมภาพันธ์ 2013
  15. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    โมทนาสาธุ ค่ะ..คุณแม่มาลินี..
    ทุกถ้อยคำที่กล่าวมา..สัมผัสได้ถึงความสุขในจิตตน
    รู้จักแล้ว...ปฏิบัติแล้ว...ถึงแล้ว...ไม่พอ..ยังบอกต่อ...
    เมตตาต่อเพื่อนสหธรรมิก...ให้มาปฏิบัติ จิตเกาะพระ ...
    ส่งเพื่อนถึงฝั่ง...กลับบ้านพระนิพพาน...
    สมกับคำว่า กัลยาณมิตร จริงๆ ค่ะ ...
    ขอสรรเสริญท่าน มา ณ ทีนี้ด้วย สาธุค่ะ
    :cool:
     
  16. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=xmn1FlBQsAY]เข็มทิศของชีวิต.mp4 - YouTube[/ame]

    หลวงปู่ทองใบ ปภัสฺสโร
    ลูกขอน้อมกราบหลวงปู่ด้วยเศียรเกล้าค่ะ.
     
  17. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=qu7mtlbVBOA]Ajahn Chah - Mindful Way - YouTube[/ame]

    หลวงปู่ชา สุภทฺโท
    ลูกขอน้อมกราบหลวงปู่ด้วยเศียรเกล้าค่ะ.
     
  18. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [​IMG]

    การปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระ.. โดยสังเขป

    โดย จิตเกาะพระ เมื่อ 18 สิงหาคม 2012 เวลา 21:38 น. ?.ครูลูกพลัง

    สืบเนื่องมาจากมีผู้คนสงสัยในการปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระกันมาก คือว่าเป็นของใหม่สำหรับท่านๆเหล่านั้น จึงมีการดำริขึ้นมาว่าควรที่จะทำการรวบรวมข้อมูลอธิบายความการปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระโดยสังเขป เพื่อเป็นธรรมทานแก่ผู้อ่านทั่วไปหรือผู้สนใจจะปฎิบัติธรรมอย่างจริงจัง จะได้รับทราบโดยองค์รวมของการปฎิบัติรวมถึงเป้าหมายปลายทางว่าเป็นเช่นไร

    ที่มา: สมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้าทรงมีเมตตา แนะนำถ่ายทอดผ่านท่านพี่ภูลงมา โดยมีท่านพี่ภูเป็นผู้ปฎิบัติสำเร็จเป็นคนแรกแล้วก็ถ่ายทอดต่อมายังบุคคลท่านอื่นๆตามลำดับต่อมา แล้วในวันหนึ่งกาลภายภาคหน้า การปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระนี้จะเป็นที่แพร่หลายแก่พุทธศาสนิกชนสืบต่อไป ตั้งแต่ยุคกึ่งพุทธกาลนี้เป็นต้นไป..

    วัตถุประสงค์: เป็นการปฎิบัติธรรมซึ่งเจริญรอยตามอริยมรรควิธีของพุทธศาสนา (ศีล สมาธิ ปัญญา) เพื่อนำไปสู่ความหลุดพ้นมีดวงตาเห็นธรรมโดยใช้เวลาไม่นานนัก คือนอกจากจะเป็นทางสายตรงแล้วก็ยังเป็นทางลัดด้วย..(คำว่าทางลัดในที่นี้หมายถึง ผลแห่งการปฎิบัติจะเกิดประสิทธิผลด้านเวลาอยู่มาก)

    อานิสงค์: มีดวงตาเห็นธรรม สามารถตัดสิ้นอาสาวะกิเลสทั้งปวง ถึงมรรค ผล นิพพานในภพชาตินี้

    อรรถาบรรยาย: ความจริงแล้วก็เป็นการปฎิบัติธรรมเชกเช่นเดียวกับการปฎิบัติธรรมในรูปแบบอื่นๆ สายอื่นๆสำนักอื่นๆ แต่ที่มีความต่างอย่างเห็นได้ชัดเจนคือ รูปแบบการปฎิบัติสามารถเข้ากับภาระกิจทางโลกได้ง่ายไม่ยุ่งยาก สามารถปฎิบัติได้ทุกที่ทุกเวลา มีความคล่องตัวในการปฎิบัติไม่มีเงื่อนไขมาก ทำแบบสบายๆ ทำไปเรื่อยๆ และที่สำคัญคือ ประสิทธิภาพประสิทธิผลแห่งการปฎิบัติเมื่อเทียบกับเวลาที่สูญเสียไปทุกวันๆ (ลองไปหาดูในกระทู้เก่าๆที่เขียนข้อเด่นเอาไว้แล้ว)
     
  19. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    "จิตเกาะพระ"
    ทำไม?ต้องมีครู


    อ.ใหญ่ภู..

    ครูสอนจิตเกาะพระนั้น ก็เปรียบเสมือนพ่อแม่ของเรา(จิต)
    เพราะจิตที่ยังไม่ได้รับการฝึกฝนนั้น
    จะมีลักษณะคล้ายเด็กเล็ก หรือลิง
    แต่ถ้าคงปล่อยให้พวกเราทำ/ฝึกทำจิตเกาะพระกันเอง
    ยากที่จะสำเร็จได้ ทำไมถึงได้กล่าวเช่นนั้น
    เพราะผู้เขียนมั่นใจเลยว่า แทบจะไม่มีทาง คำว่า สำเร็จเองได้อย่างแน่นอน
    แต่ถ้าไม่เชื่อก็ลองดู ลองปฎิบัติ หรือบางท่านที่กำลังแอบฝึกเองในกระทู้
    อย่างเก่งก็แค่ ทำให้จิตนิ่ง จิตเป็นสมาธิ หรือจิตทรงฌานได้เท่านั้นเอง
    แต่ยังไม่จบแค่นั้น เพราะหลังการเจริญปัญญา หรือที่จิตกำลังเข้าสู่วิปัสสนา
    ท่านจะงงมาก การฝึกจิตเราปล่อยให้งงนานไม่ได้ เราจะต้องรีบหาคำตอบ
    แต่ถ้าไม่หาคำตอบ อีกไม่นานนัก จิตก็จะเปลี่ยนไปรับรู้อย่างอื่นใหม่มาแทน
    และสิ่งที่ผ่านไปนั้น ก็คือ ความลังเล ความสงสัย(อาการหรืออารมณ์)ของจิต
    เรื่องจิตเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ก็เปรียบเสมือนเด็กอ่อน
    ที่จะต้องมีผู้ปกครองดูแลอย่างใกล้ชิด
    เพราะแต่ละขั้นของการเดินจิตนั้น ส่วนใหญ่มักมีปัญหากันตลอด
    เพราะความสงสัยของผู้ปฎิบัตินั่นเอง แต่ไม่ได้แปลก เป็นธรรมดา
    จิตไม่รู้ ก็ย่อมมีความสงสัยเป็นธรรมดา เป็นชาติแห่งจิต
    แต่สงสัยกันได้ ครูมิได้ห้าม แต่ขอให้ลงมือปฎิบัติตามที่แนะนำในเบื้องต้นก่อน
    แต่ถ้าติดขั้นตอนไหน หรือสงสัยสิ่งใด ก็ค่อยส่งการบ้านมาถาม(e'mail)
    นี่ไง จึงมีเรื่อง มีเหตุผลจะต้องมาตอบโจทย์ให้กับผู้ปฎิบัติทั่วไปได้รับรู้กันทั่วไป
    ขนาดมีครูฝึกก็แล้ว พอมีปัญหามาก
    ไหนจะปัญหาจากภายในจิต คือ มีความทุกข์ใจซึ่งเป็นปกติทุกวันกันอยู่แล้ว
    ไหนจะปัญหาจากภายนอกจิต คือ มีปัญหาจากการงาน การเงิน ความรัก
    เป็นต้น
    ในขณะพวกเราปฎิบัติกัน จะมาสร้างบุญใหญ่ทั้งที ก็มีความอยาก ความหวังต่างๆนานา
    เพราะพวกเราเคยชินกับ คำว่า ทำแล้วจะต้องได้ แต่ถ้าหากทำแล้วไม่ได้
    พวกเราก็จะล้มเลิกทำทันที เพราะว่า ทำแล้วไม่ได้ผล
    *ทีจีบกันใหม่ (เป็นการสร้างกรรมร่วมกัน) ก็ยังใช้เวลาทุ่มเทกันเข้าไปทั้งชีวิต
    แต่พวกเราก็ยังไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า การมีคู่นั้น มันเป็นการสร้างกรรม
    มีทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดีอยู่ในนั้นเบ็ดเสร็จ
    แต่ที่เห็นกันส่วนใหญ่ มักเป็นเนื้อคู่กันจริงๆนั้น มีน้อยมาก แต่ที่เห็นจะมีแต่คู่เจ้ากรรมนายเวรซะมากกว่า
    แล้วทีนี้มาเถียงสิว่า ขนาดกรรมทั้งดีและไม่ดี
    พวกเราก็พยายามสร้างกันขึ้นมาโดยที่ไม่เคยจะคิดว่าเป็นการเสียเวลาเลย
    ทีจะให้มาทำแต่กรรมดีฝ่ายเดียวเองนะ บุญกรรมฐาน(จิตเกาะพระ)เป็นสิ่งที่ดีล้วนๆ
    หรือเป็นการสร้างบุญ กุศลล้วนๆ ทำไมพวกเราถึงไม่เอากัน ไม่ตั้งใจปฎิบัติกัน
    ครูก็พยายามย้ำหนักย้ำหนาว่า ขอให้ตั้งใจปฎิบัติกันนะ เพราะไม่ได้เพื่อใครเลย
    ก็เพื่อตัวของผู้ปฎิบัติโดยแท้ บุญทำแทนกันไม่ได้ บรรลุธรรมแทนกันก็ไม่ได้
    หรือจิตยกแทนกันก็ไม่ได้ เหมือนใครกินใครอิ่ม แบบนั้นเลย
    จำไว้นะ ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ
    จิตเกาะพระนี้ ก็ถือว่า พวกเรากำลังทำบุญใหญ่ ก็คือ
    บุญจากการเจริญกรรมฐาน แต่ของเราเป็นกรรมฐานแบบ พุทธานุสสติ+กสิณ
    สองกรรมฐานนี้จึงเป็นจุดเด่น ก็คือ จิตจะรวม จิตจะเป็นสมาธิได้ไว+ต่อเนื่อง
    แต่จะรวมได้ไวแค่ไหน และต่อเนื่องแค่ไหน ก็จะต้องอยู่ที่ผู้ปฎิบัติเท่านั้น
    เพราะครูเป็นได้มากก็อย่างแค่ พี่เลี้ยง คือทำหน้าที่คล้ายๆสติที่ติดตามดูแลจิต
    ผู้เขียนจะบอกให้นะ สำหรับผู้ที่ยกจิตแล้วนั้น ท่านสามารถบก หรือสอนได้เกือบจะ100%
    เพราะอะไร ก็เพราะว่า แต่ละท่านเดินด้วยขาตนเอง ปฎิบัติด้วยตนเอง
    ที่เดินกันี่ก็หมายถึง จิตของผู้ปฎิบัติเอง แต่ถ้าจิตยังสงสัยอยู่
    แต่ถ้าเราไม่พยายามหาคำตอบให้ไวนะ จิตก็จะก้าวข้ามไปทันที
    เพราะฉะนั้น มาถึงกันตรงนี้ ผู้เขียนก็สงสารครูขึ้นมาทันที
    ผู้ปฎิบัติทุกท่าน จงอย่าลืมนะว่า ครูที่กำลังสอนจิตเกาะพระกันอยู่นี้
    ส่วนใหญ่จะมีงานประจำ หรือถ้าไม่มีงานประจำ เช่นเป็นแม่บ้าน ก็หนักเหมือนกัน
    แค่เอาจิตตนเองให้รอดมาได้ก็จะตายให้ได้อยู่แล้ว
    บางคนรู้สึกว่า เราได้หลุดวงโคจรกิเลสทั้งปวงก็ว่าได้
    เพราะมนูาญ์ส่วนใหญ่ที่เกิดกันมานี้ล้วนก็เก่งกันทุกคน
    อะไรยากก็ทำกันมานักต่อนักแล้ว จนจะเข้าโลงแล้ว
    ก็มีอยู่สิ่งเดียวที่มนุษย์ส่วนใหญ่สอบไม่ผ่านกัน ปฎิบัติได้ยากนัก
    นั่นก็คือ การปฎิบัติดี การปฎิบัติชอบ การปฎิบัติธรรม หรือการปฎิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์
    หรือการทำดวงตาให้เห็นธรรม หรือเปลี่ยนดวงจิตใหม่นี้มันแสนยากเข็นเอาการ
    สรุปแล้วทำอารมณ์ให้เป็นกลางดั่งพระอรหันต์นั้นแสนยากนัก
    ธรรมะแค่ฟังก็สามารถรู้ด้วยกันทุกคน แต่ถ้าถามว่าปฎิบัติตามได้ไหม๊
    ส่วนใหญ่ตอบว่าไม่ได้ นี่ไง ที่มาของการเจริญสติภาวนา
    ทำไม? พระพุทธเจ้าท่านจึงคิดค้นวิธีการเจริญสติภาวนาให้กับพวกเรามา
    ก็เพราะว่า จิตของพวกเราไม่นิ่ง
    นี่คือเหตุผลหลัก เพราะฉะนั้นพวกเราจำเป็นจึงต้องเจริญสติก่อนภาวนา
    (การเจริญสติ+ภาวนา) เพราะถ้าจิตไม่นิ่ง ผู้ปฎิบัติก็จะทำภาวนากันต่อไปไม่ได้
    การปฎิบัติธรรมนั้น ไม่ยาก แต่จะยากตรงที่ว่า จะทำอย่างไรให้จิตนิ่ง
    ตรงนี้ยากมากๆ
    สรุปแล้ว...
    จิตเกาะพระจำเป็นจะต้องมีครูผู้สอน+ดูแล(จิต)อย่างใกล้ชิดด้วย
    เพราะว่า จิตเหมือนเด็ก เหมือนลิง เหมือนปู สาระพัดจะเป็น
    เพราะอันเป็นบุคคลิกธรรมชาติของจิต ที่มีนิสัยชอบไม่อยู่นิ่งเฉย
    แต่ถ้าจิตไม่ฝึก จิตก็จะไม่นิ่ง จิตก็จะทุกข์ แต่ถ้าเราฝึกจิตให้นิ่ง จิตก็จะสุข
    เพราะด้วยเหตลผลนี้ ที่จะต้องเจริญสติภาวนากันก็เพราะว่า เป็นวิธีเดียว
    จะทำให้จิตมีความสุข พ้นทุกข์ได้ จำเป็นจะต้องนำอุบายพวกนี้มาทำให้จิตนิ่งเสียก่อน
    แต่ถ้าจิตนิ่งแล้ว ต่อไปก็จะยากที่จะตามหาดวงจิตเดิมแท้ของตน
    ต่อไปก็จะรู้ธรรม หรือมีดวงตาเห็นธรรมก็ไม่ยาก
    ต่อไปใครอยากจะไปพระนิพพานก็ไม่ยาก เพราะมีพื้นดีแล้ว(ศีล+ภาวนา)
    อย่าลืมนะ พระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์านั้น
    พระองค์ท่านตรัสรู้ธรรมในขณะที่ จิตท่านทรงฌาน ไม่ใช่จิตแกว่งหาแต่เรื่อง หเมือนจิตปุถุชน พอจะเข้าใจกันนะ
    เพราะฉะนั้น ทั้งครู ทั้งลูกศิษย์ จะต้องขยันทั้งคู่ จะขยันฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งไม่ได้
    คือจะต้องสมดุลย์กัน มิฉะนั้นยาก
    มีหลายท่านสงสัยว่า ทำไม? จิต(บางคน)ยกกันง่ายจัง
    อย่าเพิ่งมาถามให้ท่านลองลงมือปฎิบัติกันดูบ้างจะได้รู้ว่ายากหรือง่าย
    ตอบแทนกันไม่ได้ เพราะว่า ไม่ใช่แฟนกัน ฮ่าๆ
     
  20. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ขออนุญาติประกาศจิตบุญดวงที่ ๑๓๒ ณ วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖​

    ขอท่านทั้งหลายจงโมทนา
    กับจิตบุญดวงที่ ๑๓๒
    ของกลุ่มจิตบุญเทอญ
    สาธุ สาธุ สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1342593968.jpg
      1342593968.jpg
      ขนาดไฟล์:
      129.2 KB
      เปิดดู:
      32
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 กุมภาพันธ์ 2013

แชร์หน้านี้

Loading...