จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [​IMG]

    จิตเดิมที่ปภัสสร แต่หมองเพราะกิเลสที่จรมา

    จิตที่หมองหม่น, หดหู่, ขุ่นมัว, หรือเศร้าหมองเพราะอาสวะกิเลสความจําอันเจือด้วยกิเลสเป็นปัจจัย อันล้วนเกิดมาแต่ความเศร้าใจ(โสกะ), ครํ่าครวญ อาลัย รําพันในสุข(ปริเทวะ), ทุกข์ทางกาย(ทุกข์), ทุกข์อันเกิดแต่ใจ(โทมนัส), ความคับแค้นขุ่นข้องใจ(อุปายาส) อันเกิดมาจากความทุกข์และสุขทางโลกๆตามที่ได้เคยสั่งสม อบรม ประพฤติ ปฏิบัติมาแต่อดีต, จึงได้ครอบงํา หมักหมม ราวกับ เป็น ตัณหา และ อุปาทาน ที่นอนเนื่องอยู่ในจิต ที่ท่านกล่าวว่า" อาสวะกิเลส" ซึ่งเมื่อผุดขึ้นมา หรือเจตนาขึ้นมา

    อันไปเป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกัน ร่วมกับ

    ความไม่รู้ตามความเป็นจริง, สติไม่รู้เท่าทัน ตามที่มันเกิด ตามความเป็นจริงแห่งธรรม(ธรรมชาติ) อันคือ อวิชชา ความไม่รู้, ความไม่รู้เท่าทันตามความเป็นจริงแห่งธรรมในการดับทุกข์

    จึงเป็นปัจจัยที่ยังให้เกิด

    สังขาร การกระทําทางกาย, วาจา หรือใจ(ความคิดนึก)ต่างๆ ตามที่ได้เคยสั่งสม อบรม เคยประพฤติ ปฏิบัติ เคยชิน มาแต่อดีต หรือจะเรียกสังขารกิเลส หรือสังขารวิบากก็ยังได้

    อันเมื่อเกิดสังขารแล้ว ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิด

    วิญญาณ การรับรู้ใน "สังขาร" ดังกล่าว ที่ได้เกิดขึ้นมานั้นๆ

    อันเป็นปัจจัยให้

    นาม-รูป ครบองค์ประกอบของขันธ์๕ หรือชีวิต อันตื่นตัวพร้อมทํางานตามหน้าที่ของตน

    อันย่อมเป็นปัจจัยทําให้

    สฬายตนะ อันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งเป็นอวัยวะส่วนต่างๆของนาม-รูปตามธรรมชาติจึงตื่นตัวทํางานตามหน้าที่แห่งตน รับการกระทบสัมผัสใน รูป, เสียง, กลิ่น, รส, สัมผัส, ธรรมารมณ์(คิด,นึก) ที่มากระทบนั้นๆ

    อันย่อมเป็นปัจจัยให้เกิด

    ผัสสะ การประจวบรวม(กระทบ)กันของปัจจัย ๓ อย่างอันมี สังขารอันมีทางกาย,วาจา,ใจ + วิญญาณ + สฬายตนะ ดังกล่าวข้างต้น อันล้วนแต่เกิดขึ้นแล้วและพร้อมทําหน้าที่แห่งตน

    จึงย่อมเป็นปัจจัยให้เกิด

    เวทนา การเสวยอารมณ์(ความรู้สึกรับรู้สิ่งที่มากระทบสัมผัสเช่น ความคิด รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส พร้อมทั้งจําและเข้าใจขั้นพื้นฐานในสิ่งที่มากระทบนั้น)

    อันเป็นสาเหตุปัจจัยหลักให้เกิด

    ตัณหา ความรู้สึกทะยานอยาก,หรือไม่อยาก ต่อความรู้สึกรับรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสนั้นๆ(เวทนา)

    ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทําให้เกิด

    อุปาทาน ที่นอนเนื่องนั้น เกิดการทํางาน ในความยึดมั่น ถือมั่นที่จะสนองต่อความรู้สึกตัณหานั้น เพื่อให้เกิดความพึงพอใจในตน,ของตนเป็นหลัก

    อันเป็นปัจจัยให้ต้องเลือก

    ภพ การเลือกบทบาทหรือสภาวะ หรือการตกลงใจ(ในขณะจิต)ที่จะกระทําใดๆ อันเนื่องมาจากอิทธิพลของอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในความพึงพอใจแห่งตนนั้น จะได้รับการตอบสนองเยี่ยงใด

    จึงเป็นปัจจัยให้เกิด

    ชาติ การเกิดขึ้นของทุกข์ หรือการเริ่มกระทําทางกาย หรือทางวาจา หรือทางใจ ตามภพอันคือสภาวะหรือบทบาทที่ได้ตกลงใจเลือกโดยขาดสติเพราะถูกครอบงําแล้วโดยอุปาทาน

    ซึ่งย่อมเป็นปัจจัยให้มี

    ชรา-มรณะ อันคือการแปรปรวน เปลี่ยนแปลง ไปๆมาๆ ของทุกข์ตามกฎอนิจจัง และการดับไปของทุกข์ในที่สุดตามกฎทุกขัง, แต่ก็ยังให้เกิด อาสวะกิเลส ตกตะกอนนอนเนื่องอยู่ในจิตใต้สํานึกอีกด้วย อันเป็นสิ่งที่ทําให้จิตขุ่นมัวและเศร้าหมอง และนอนเนื่องหมักหมมอยู่ในจิต(ใต้สํานึก)สืบต่อไป

    ชึ่งย่อมเป็นปัจจัยที่จักไปกระตุ้นให้เกิด

    อวิชชา ความไม่รู้, ความไม่รุ้เท่าทัน ตามที่มันเกิด ตามความเป็นจริงของธรรม(ชาติ) ทําให้ตัณหา แล อุปาทานที่นอนเนื่องหมักหมมอยู่ในจิต กําเริบ เกิดทํางานขึ้นใหม่อีก

    ชึ่งย่อมเป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร วิญญาณ.......

    เป็นวงจร วงจักรอุบาทที่ไม่วันจบสิ้น เวียนว่าย ตายเกิด อยู่ในสังสารวัฏ...........



    อ่านรายละเอียดใน

    ปฏิจจสมุปบาท

    กระบวนการเกิดขึ้นและดับไปแห่งทุกข์



    ธรรมชาติของจิตและนํ้า

    (พิจารณาเพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น)

    จิตนั้นเปรียบประดุจดั่งนํ้า,

    นํ้านั้นไร้รูปร่าง แปรปรวนไปตามภาชนะที่บรรจุหรือรองรับ, จิตนั้นก็ไร้รูปร่าง แปรปรวนไปตามสิ่งแวดล้อมทุกชนิดที่กระทบสัมผัส(ผัสสะ),

    นํ้าประกอบด้วยเหตุปัจจัยต่างๆมาประชุมรวมกันชั่วระยะหนึ่งเช่น H และ O, จิตก็ประกอบด้วยเหตุปัจจัยอันมากหลายมาประชุมกันชั่วระยะหนึ่ง

    นํ้ามีคุณสมบัติไหลลงสู่ที่ตํ่าเพราะแรงดึงดูดโลก, จิตก็มีคุณสมบัติเหมือนดั่งนํ้าที่ย่อมไหลลงสู่ที่ตํ่าแต่ตามแรงดึงดูดของความเคยชินที่ได้สั่งสมหรือกิเลสตัณหาแลอุปาทานนั่นเอง,

    นํ้าไม่มีวันไหลสู่เบื้องสูงได้เองฉันใด, จิตก็ไม่มีวันไหลสู่เบื้องสูงได้เองฉันนั้น

    ถ้าเราต้องการยกระดับนํ้าให้สูงขึ้น ย่อมต้องออกแรงพยายามฉันใด, จิตจักสูงขึ้นได้ ก็ย่อมต้องการ การพยายามปฏิบัติฉันนั้น,

    การยกระดับนํ้าให้สูงขึ้นโดยใช้วิธีการที่ถูกต้องเช่นเครื่องกล,ภาชนะหรืออุปกรณ์ที่ถูกต้อง ย่อมยกระดับนํ้าได้รวดเร็วฉันใด, จิตก็ย่อมต้องการการปฏิบัติอันถูกต้องจึงจักยกระดับจิตให้สูงขึ้นได้เร็วฉันนั้น,

    ธรรมชาติของนํ้าเดือดพล่านเพราะไฟฉันใด, จิตย่อมเดือดพล่านเพราะไฟของกิเลสตัณหาอุปาทานฉันนั้น

    นํ้าบริสุทธ์คือนํ้าที่ไม่มีสิ่งเจือปน, จิตบริสุทธ์ก็คือจิตเดิมแท้ที่ไม่เจือด้วยกิเลสตัณหาอุปาทานนั่นเอง หรือจิตเดิมแท้นั่นแหละคือจิตพุทธะ อันมีอยู่แล้วในทุกผู้คน เพียงแต่ถูกบดบังหรือครอบงําด้วยกิเลสตัณหาอุปาทาน

    ข้อสังเกตุ นักปฏิบัติที่เจริญก้าวหน้าแล้วหยุดหรือพอใจแค่นั้น จึงถูกธรรมชาติของจิตเล่นงาน ไหลลงตํ่ากลับลงสู่ความเคยชินที่ได้สั่งสมไว้หรือตามแรงดึงดูดของกิเลสตัณหาอุปาทาน, กลับคืนสู่สภาพเดิมๆในไม่ช้า

    ลองโยนิโสมนสิการแบบสนุกๆดู, บุคคลใดมีทรัพย์สมบัติมากมาย ไม่มีการงานให้ต้องทําหรือรับผิดชอบ มีความสุขทางโลกเต็มที่ ทําบุญครั้งละมากๆ แต่มิได้ปฏิบัติ ท่านว่าบุคคลนี้จักถูกธรรมชาติของจิตดึงดูดลงสู่ที่ตํ่าหรือไม่?

    สังขารขันธ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น ในชีวิตประจําวันนั้น ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากความเคยชิน คิดสั่งการใดแล้ว ก็จักกระทําไปตามความเคยชินหรือการเรียนรู้ ที่ได้ประพฤติปฏิบัติมาแล้ว แต่แยกไม่ออก จึงไม่รู้ว่าความเคยชินนี้แหละหรือสังขารในปฏิจจสมุปบาทมีอิทธิพลเยี่ยงไร ดังจะไปกินข้าว เพียงคิดขึ้นมาจะเกิดสังขารขันธ์ต่างๆหลายอย่างเช่นลุกขึ้น, เดิน, หาจาน ช้อน,ทานอาหาร อันเป็นการประพฤติปฏิบัติโดยอัติโนมัติไม่รู้ตัว เพราะอิทธิพลของความเคยชิน ที่ได้ประพฤติปฏิบัติ เรียนรู้ อันได้สั่งสมไว้ อันทํางานอยู่เบื้องหลังโดยไม่รู้ตัว ด้วยเหตุนี้นักปฏิบัติหลายๆท่านที่ปฏิบัติก้าวหน้าดีแล้ว จนจางคลายจากทุกข์ได้ผลตามควรแก่ตนแล้ว แต่หยุดปฏิบัติเพราะความพอใจแล้ว หรือหยุดเพราะฤทธิ์ของความเคยชินแล้ว จึงเกิดสภาพไหลลงสู่ที่ตํ่า กล่าวคือกลับสู่สภาพเดิมๆอันได้สั่งสมอบรมไว้เป็นเวลานาน นี้แหละคือธรรมชาติของจิต ดังนั้นความเพียรจนเกิดเป็นความเคยชินดังเช่นการปฏิบัติให้เห็นเวทนาและความคิด(จิต) จึงเป็นสิ่งจําเป็นควบคู่ไปกับความเข้าใจในสภาวะธรรม



    ข้อคิดให้เห็นเป็นรูปธรรมในปฏิจจสมุปบาท

    จิตที่ขุ่นมัวเศร้าหมองเพราะอาสวะกิเลส เปรียบประดุจดั่ง กองไฟ

    ตัณหาแลอุปาทานที่นอนเนื่อง(ยังคงมีในจิตแต่ยังไม่ทํางาน)ในอวิชชา เปรียบประดุจดั่ง นํ้ามัน

    สังขาร(คิด)ที่สั่งสม อันเป็นทุกข์ เปรียบประดุจดั่ง สะเก็ดนํ้ามันที่เดือดพล่านกระเด็นออกมา

    ถ้าเราพึงโหมไฟ(อาสวะกิเลส)ให้แรงขึ้น นํ้ามัน(อวิชชา)อันปกติราบเรียบสงบ จักมีการเดือดพล่าน แล้วกระเด็นออกมาเป็นสะเก็ดนํ้ามัน(สังขารคิด)อันเป็นของร้อน ซึ่งย่อมก่อทุกข์ กล่าวคือ ถูกที่ไหน สะดุ้งที่นั่น, ถูกที่ไหน ร้อนที่นั่น, ถูกที่ไหน พองที่นั่น.

    จิตขุ่นมัวเศร้าหมองไปโหมกระพือให้ อวิชชาที่มีตัณหาแลอุปาทานที่นอนเนื่องกลายเป็นของร้อนเดือดพล่านขึ้นมาเป็นสังขาร(คิด)ที่สั่งสมไว้ อันเป็นของร้อนเช่นกัน แล้วย่อมเป็นไปตามวงจรแห่งทุกข์ " ปฏิจจสมุปบาท "....ฯลฯ.
     
  2. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [​IMG]

    ({) พ่อฉันเป็นหมอ อยู่กระทรวงสาธารณสุข ท่านมักจะมีเมตตาต่อฉันเสมอ ๆ ท่านใจดี ให้กำลังใจฉันเสมอ ๆ ทุกครั้งที่ฉันเศร้า ทุกข์ ท่านหาวิธีทางออกให้ฉันเสมอ ๆ ฉันเคารพบูชาท่านมาก ๆ

    :cool: แม่ฉันเป็นทหารท่านทำงานอยู่กระทรวงกลาโหม ท่านจัดระเบียบ การดำรงชีวิตให้ฉัน ท่านเคี่ยวเข็ญ ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง..ท่านเป็นเพศหญิงเพศเดียวกับฉัน และฉันรู้ว่าภายในจิตใจท่านแข็งแกร่ง..เปรียบหญิงเหล็กไม่ปาน..ท่านสอนการใช้ชีวิตอยู่บนโลก ท่านเป็น Idol ของฉัน..

    :boo:ฉันภูมิใจเหลือเกินที่มีท่านทั้งสองคอยปกป้อง และสั่งสอนฉัน และพี่ ๆ น้อง ๆ อีกหลาย ๆ คน พวกเราพี่น้องทุก ๆ คน รู้ว่าท่านอ่อนหล้า..เหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ..บางที..ท่านทั้งสองก็มีความเห็นขัดแย้งกันเรื่องลูก ๆ พวกเราเข้าใจท่านทั้งสองเสมอ ๆ พวกเราลูก ๆ ให้สัญญาค่ะว่า เราจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่านทั้งสอง โน้มนำมาปฏิบัติ เพราะลูก ๆ รู้ว่าสิ่งที่ท่านสอนมีแต่สิ่งดี ๆ สำหรับลูก ๆ ท่าน เราให้คำมั่นสัญญา เราจะก้าวเดินตามรอยท่านทั้งสอง สู่หนทางแดนสงบ แดนพระนิพพาน..รู้ตัวทั่วพร้อมทั้งกายใจ..


    เสียงแว่วดังมาแต่ไกลโพ้น..สำหรับพวกเราเหล่าชาวจิตบุญ จิตเกาะพระ

    กลับบ้านเถิดลูก.......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 กุมภาพันธ์ 2013
  3. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  4. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  5. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  6. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ::: ร่างกายเหมือนหนี้ยืมเขามา :::

    “... จงลืมตามองเห็นความจริงซักที อย่ามัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดองมองไม่เห็นอะไรเลย อย่ามานั่งเป็นบ้าเป็นบอกันอยู่ ความจริงปรากฏขึ้นอยู่กับเราทุกวัน แก่ลงไปทุกวัน ป่วยลงไปทุกวัน มีอะไรดีขึ้นมาบ้าง นึกเอา จะหาอะไรกับชีวิต ไม่มี เกิดมาทำไม สัตว์โลกทั้งหลายเกิดมาตายหมด เกิดเท่าไหร่ตายเท่านั้น ไม่มีตายน้อย อย่าหลงอยู่กับสมบัติเหล่านี้ อย่าคิดว่ามันเป็นของเรา ไม่มี ถ้ามันเป็นของเราเอาไปได้มั้ย ร่างกายยังเอาไปไม่ได้ หนี้ของยืมมา ยืมเขามา ถึงเวลาเขาต้องเอาคืน อย่าร้องเวลาเขาขอเอาคืน เห็นให้จริง ปฏิบัติให้จัง ทำจริงได้จริง ทำไม่จริงไม่ได้จริง เกิดมาเสียชาติเกิดไม่ได้อะไร พากันเข้าใจ ครูบาอาจารย์ก็ร่วงไปทีละองค์ๆ หมดไปแล้ว จะเหลือซักกี่องค์ มานั่งหลับไหลกันอยู่ เบิ่งตาดูให้มันเห็นจริง แหกตาดูให้มันเห็นจริงๆ

    วันคืนล่วงไปๆ เราทำอะไรอยู่ ร่างกายนี้ยืมเขามาเช่าเขามา เหมือนรถเราเช่าเขามาขับเราเก็บไว้อย่างดีไม่ขับ ถึงเวลาเขามาเอาคืนไป ทำประโยชน์ได้น้อย ไม่ได้อะไร พิจารณาเอาจะอยู่ยังไง อยู่แบบสุนัขอ่ะ กิน มันอิ่มมันก็นอนไม่ทำอะไร เดินไปนู่นเดินไปนี่เมื่อยก็นอน หิวมันก็ไปกิน กินแล้วมันก็นอน ถ้ามีหมาหลายตัวก็ไปคลุกคลีกัน ผสมพันธุ์กันมีลูก ชีวิตของเราทุกวันนี้ก็เหมือนกับสุนัขเต็มทีแล้ว พิจารณาเอา แล้วมันจะดีอะไรกว่าสุนัขล่ะ ทั้งๆ ที่เราเกิดมาได้อัตภาพร่างกาย มาเช่าร่างกายนี้อยู่ ยืมร่างกายนี้มาใช้ประโยชน์ เราทำพอเพียงมั้ย? นึกให้ดี เราตายจริงๆ นะ ไม่ใช่ตายเล่นๆ เวลามันจะตายน่ะ เราเห็นคนอื่นตายมันยังไม่สลด มันยังกลัวไม่ถึงขี้ขึ้นหัว ยังไม่เสียวสันหลังเท่าเห็นตัวเองตาย วันนั้นจะมาถึงแก่พวกเราทุกคน ไม่ว่าผู้เทศน์ ผู้นั่งฟังอยู่ก็ตาม ต้องเป็นอย่างนี้หมด ตายหมด จะรวยเท่าไหร่ เก่งเท่าไหร่ ฉลาดแค่ไหน จนขนาดไหน ขี้ครอกขนาดไหน ตายเหมือนกันหมด มีอาการเดียวกันหมด เอาอะไรไปไม่ได้ แล้วตอนนี้พวกเราเป็นอย่างไร พากันพิจารณาเอามันสำคัญตอนยังมีชีวิตอยู่ ตายแล้วทำอะไรไม่ได้

    อย่ามาพูด “หมดกรรม” พูดได้ไง? รู้เหรอว่าเขาหมดกรรมจริงๆ อ่ะ เขาไปเกิดที่ไหนรู้เหรอ นี่มันจะประมาทกันอยู่ พากันพิจารณา ร่างกายเป็นเหมือนของยืมมา เหมือนของเช่าชั่วคราวเท่านั้นแหละ ถึงเวลาเขาก็เอาไป อย่ามาร้องมาโอดครวญ ... อย่าได้ประมาทกันอยู่ อย่าได้หลงกันอยู่ ... ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ก็สิ้นไปๆ จะหมดอยู่แล้ว หาพระดีพระปฏิบัติดีน่ะยาก ยิ่งกว่าหาเงินอีกนะ ... ไม่อยากให้หลงกัน เดี๋ยวนี้แสดงธรรมนิ่มๆ มันไม่ค่อยได้ หลับหมด เจี๊ยวจ้าวหมด เกิดมาตั้งหลายปี ไม่รู้จะคุยอะไรกันมากมายไม่จบไม่สิ้นซักที จะตายกันอยู่แล้ว พากันพิจารณาพากันดูเอาร่างกายนี้ มันเป็นบ่อนโรค เป็นรังของโรค มันเป็นก้อนโรค มันเป็นตัวอมโรค มันเป็นแกนของทุกข์ เป็นที่มาของทุกข์ อย่าคิดว่าร่างกายเป็นของดี หาเป็นเช่นนั้นไม่ ... เรามาครั้งหนึ่งก็อยากมากระแทกกิเลสในใจให้มันหลุดออกไป ไม่ได้มาเพื่อเสริมกิเลส สร้างกิเลส ปลูกฝังกิเลส เพาะเลี้ยงกิเลส เรามาเพื่อกำจัดกิเลส ธรรมกับกิเลสเป็นข้าศึกกันมาช้านานแล้ว...”

    ตอนหนึ่งของพระธรรมเทศนา
    เรื่อง กรรมอันเป็นสมบัติแห่งสัตว์โลกทั้งหลาย
    โดย หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน
    ที่มา fb ธรรมคำสอน หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน
     
  7. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151

    พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า...

    สัตว์ทั้งหลายที่เราพบเห็น โดยเฉพาะมนุษย์ด้วยกัน
    ซึ่งเกิดมาพบกันในชาตินี้ ที่ไม่เคยเป็นพ่อแม่
    ญาติพี่น้องกัน ในวัฏสงสารนั้นหายาก
    ในวัฏสงสารอันยาวนาน
    ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน

    ดังนั้น ในการดำเนินชีวิต เราจึงไม่ควรประมาท
    สร้างศัตรู แบ่งพรรคแบ่งพวก ต่อสู้ แก่งแย่งชิงดีกัน
    แต่ควรที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
    และมีความเมตตากรุณาต่อสัตว์ทั้งหลาย
    โดยเฉพาะเมื่อเกิดมาในครอบครัวเดียวกัน
    เราควรมีความรัก มีเมตตา กรุณาต่อกัน ช่วยเหลือ
    เกื้อกูลกัน และพัฒนาชีวิตให้มีความสุข

    ชีวิตคนเราในชาติหนึ่ง ต่างมุ่งแสวงหาหลายสิ่ง
    หลายอย่าง ทั้งทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ ชื่อเสียง ฯลฯ
    แต่ในที่สุด สิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดในชีวิตคือ ความรัก

    ความรักที่หมายถึงความปรารถนาดี เอื้ออาทรต่อกัน
    ยอมรับได้ทุกสิ่งทุกอย่างในความเป็นเขา
    รักอย่างไม่มีเงื่อนไข เป็นมิตรภาพที่ยั่งยืน
    เป็นความรักที่มีแต่ให้ ให้ด้วยความพอใจ สุขใจ
    ชีวิตที่มีความรักเช่นนี้ ย่อมอบอุ่นใจ สบายใจ
    ถึงแม้ว่าตาย การตายด้วยความสบายใจ สุคติ

    [จากหนังสือ "สาระแห่งชีวิต คือ รักและเมตตา" พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก]
     
  8. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ยิ่งอยากได้ ก็ยิ่งสูญเสีย
    ยิ่งยึดมั่นถือมั่น ก็ยิ่งกลับเป็นทาส

    แต่เมื่อสละไป กลับได้มา
    เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นเจ้าของสิ่งใด
    สิ่งนั้นก็กลับมาเป็นของเรา

    เมื่อคืนทุกอย่างให้แก่โลก
    ทุกอย่างในโลกก็กลับเป็นของเรา
    นี้คือความจริงของโลก ที่ดูเหมือนเล่นตลกกับเรา

    พระไพศาล วิสาโล
     
  9. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    พุทธศาสนาแนะวิธีเกี่ยวข้องกับความสุขความทุกข์อย่างนี้

    ประการแรก คือ “ไม่เอาทุกข์ทับถมตน” เช่น เสียของไม่เสียใจ โดยส่วนใหญ่เสียของแล้วยังไม่พอ ยังเสียใจด้วย เรื่องของหายหรือเงินหายนั้น เป็นเรื่องที่เราควบคุมได้ยาก เพราะบ่อยครั้งของหายเพราะมีคนเอาไป แต่เรื่องการทำใจไม่ให้เสียอกเสียใจนั้น เราสามารถทำได้ถ้ามีสติ

    ประการที่สอง คือ “ไม่ปฏิเสธความสุขที่ชอบธรรม” ความสุขอะไรที่ได้มาอย่างชอบธรรม ด้วยนพักน้ำแรงของตนเองก็อย่าปฏิเสธ เช่น เราทำงานหาเงินได้ เราก็ซื้อหาสิ่งอำนวยความสะดวกตามสมควร เช่น มีพัดลม มีตู้เย็น มีบ้านที่อบอุ่นเย็นสบาย … อย่างพระสงฆ์ที่มีคนนำอาหารที่ประณีตมาถวายด้วยความศรัทธาท่านก็ไม่ได้ปฏิเสธ นำจีวรที่ทำด้วยผ้าเนื้อดีมาถวาย ท่านก็ไม่ได้ปฏิเสธ แต่เมื่อไม่ปฏิเสธแล้วก็ต้องมีข้อที่สาม

    ประการที่สาม คือ “ไม่หมกมุ่นในสุขนั้น” ต้องรักษาใจให้เป็นอิสระจากสิ่งนั้นให้ได้

    พระไพศาล วิสาโล
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เอ๊ะ! ว่าแต่ว่า ลูกคนนี้ชื่อไรหรอ?
    น่าตีจริงๆเชียว
    แหม๊ๆ ฟ้องท่านพ่อถึงข้างบนเลยหรอเนี๊ย! ไม่เบาๆ ท่านลูกคนนี้
    อย่าให้รู้นะว่า เด็กคนหนึ่ง คือใคร? อิอิ
    catt3

    ปล.ขอขอบพระคุณทุกท่านเป็นอย่างสูง ที่นำธรรมะดีๆ เพื่อธรรมาทานกับพวกเรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 กุมภาพันธ์ 2013
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เตือนความทรงจำ!

    เมื่อพวกเราอ่านหรือฟังธรรมะของพระพุทธองค์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย
    อย่าผ่านเลยไปเฉยๆ ขอให้น้อมนำ(สติและจิต)มาปฎิบัติตามด้วย
    พวกเราถึงจะได้ชื่อ พุทธบุตร หรือลูกหลานของพระพุทธเจ้า หรือลูกหลานของครูบาอาจารย์ของพวกเรา
    อันได้แก่ พระเดชพระคุณองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน เป็นต้น

    พวกเรารู้กันบ้างไหม๊ว่า...องค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    องค์ท่านได้ตั้งอธิษฐานหรือภาวนาจิตของท่านว่าอย่างไร?

    หลวงพ่อฯ เฝ้าขอภาวนาต่อสมเด็จพ่อองค์ปฐม ให้มาช่วยตามหาดวงจิตลูกหลาน กลับขึ้นไปยังพระนิพพาน
    ไม่ว่าจะหลงไปอยู่ที่ใด ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เพราะหลวงพ่อและแม่ศรีฯ ยังตั้งหน้า ตั้งตารอคอยการกลับมาของลูกๆทุกคน
    ความมีพระเมตตาและห่วงใยต่อลูกๆนั้น มีมากแค่ไหน พวกเรารู้กันบ้างไหม๊

    แต่การไปพระนิพพานนั้น มิใช่เรื่องง่ายๆ แต่องค์หลวงพ่อฯ แนะนำให้พวกเราพยายามเกาะกลุ่มกันไป
    แต่ถ้าจะไปด้วยตนเองนั้น แสนจะยากเหลือเกิน เพราะต้องรอสะสมบุญ บารมีให้เต็มเปี่ยม เสียก่อน
    แต่ถ้าพวกเราเอาตามพระอริยเจ้าหรือพระอรหันต์ ก็น่าจะยากอยู่ คงต้องใช้เวลานาน หลายภพชาติอยู่
    แต่นี่นับเป็นโอกาสทองของพวกเราโดยแท้จริง
    แต่ถ้าจิตบุญมีกำลังใจไม่ถึง ก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะจะมีบบ. หรือผู้มากด้วยบารมีมารับช่วงต่ออีกทีนึง
    ฯลฯ
    (ขออนุญาตพูดได้มากสุด เพียงแค่นี้)

    และขอขอบใจคุณแนทUK ที่ได้นำคำอธิษฐานของพ่อฤาษีลิงดำ มาลงเพื่อเตือนใจกันอีกครั้ง
    และนั่นแหล่ะ ก็คือความปรารถนาของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ที่แท้จริง!
    ขอให้พวกเรา จงจำคำสั่งสอนและความปรารถนาดีต่อท่านให้มากๆ
    (อย่าลืมท่าน!)

    ต่อไปนี้ ผมจะไม่พร่ำหรือเตือนจิตพวกเราบ่อยเกินไปแล้วนะ เพราะจะกลายเป็นล่วงเกินจิตของพวกเรา
    เพราะฉะนั้น จึงกราบขออภัยและได้โปรดอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วย
    เพราะตราบใด ที่ข้าพเจ้ายังมีขันธ์ ๕ จึงนับว่ายังเลวอยู่มาก

    ต่อไปนี้ ขอให้พวกเรารักกันๆ สงเคราะห์หรือช่วยเหลือกันๆ เช่นดั่งเดิมด้วยเทอญ
    ข้าพเจ้าฯ จึงขอโอกาสกราบขออภัยครูเพ็ญและจิตบุญทุกๆท่าน มา ณ ที่นี้ด้วย โดยไม่มีข้อแม้นใดๆทั้งสิ้น
    ข้าพเจ้าไม่มีหน้าตา ไม่มีฟอร์ม ไม่มีชื่อเสียงหรือเกียรติยศใดๆ ทั้งสิ้น (อนัตตาพยายาม)
    ข้าพเจ้าจึงไม่มีสิ่งใด ที่จะไปยึดถือเอาเป็นของตนได้ ยึดแต่พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง

    เหตุผลที่แสดงออกเช่น ก็เพราะว่า
    เห็นแด่..สมเด็จพ่อองค์ปฐม พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ครูบาอาจารย์ทุกท่าน
    โดยเฉพาะ องค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    (ท่านกำลังมองพวกเราอยู่ ขอให้พวกเราก้าวข้ามให้พ้นกันเอง)
    ข้าพเจ้ากระทำเป็นตัวอย่างไป คิดว่ามีเหตุผลก็เพื่อส่วนรวมแทบทั้งสิ้น
    ด้วยความบริสุทธิ์ใจแทบทั้งสิ้น ไม่มีอะไรแอบแฝงหรืออยู่เบื้องหลัง
    ข้าพเจ้าจึงยอมถอยไปหนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว หรือกี่ก้าวก็ ย่อมได้ ทำได้หมด
    ถ้าหากทำเพื่อท่านพ่อ เพื่อหลวงพ่อฯ เพื่อพวกเราทุกคน
    ข้าพเจ้าได้มอบกายถวายชีวิตที่เหลืออยู่นี้ เพื่อภารกิจยกกิจลูกหลานของท่านพ่อ ของหลวงพ่อฯ
    ไปหมดแล้ว และจะทำตามสัจจะที่ให้ไว้กับ บบ.นั้น มิอาจเปลี่ยนแปลง

    ขอให้พวกเราทำอะไร จงระลึกถึงท่านพ่อ ครูบาอาจารย์ทุกท่านของพวกเรา และนึกถึงส่วนรวมให้มาก
    ขอให้พวกเราตั้งอยู่เหนือขันธ์ ๕ ได้จริงๆ หรือได้เด็ดขาดจริงๆ หมายความว่า
    ให้เราอยู่เหนือความรู้สึกใดๆ(สติหรือคราบมนุษย์) และความคิดนึกใดๆ หรืออารมณ์ของจิต(เจตสิก)

    ไม่มีผู้ใดผิดหรือถูก เห็นมีแต่ถูกใจตนเองเท่านั้น ความถูกต้องไปไหนกันหมด
    ทางโลกเห็นมีแต่ถูกใจ แต่ทางธรรมนั้น เห็นมีแต่ความถูกต้อง หรือถูกครรลองคลองธรรม
    เพราะฉะนั้นแล้ว ให้พวกเราหวนกลับไปดูจิตตนเอง แล้วไปดูกิเลสตนเองกันจะดีกว่า
    หรือ พวกเราคงลืมการวางกำลังใจตน หลังจิตยก
    โดยเฉพาะ คำว่า อิทธิบาท ๔ และ พรหมวิหาร ๔ กันไปแล้ว

    นอกจากข้าพเจ้ามาเตือนใจพวกเรา โดยเฉพาะจิตบุญแล้ว ยังเตือนใจตนเองเสมอๆ

    สวัสดีและโชคดี ทุกๆท่าน
     
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=-A5wrqc7v9Q]ยังยิ้มได้ - YouTube[/ame]

    คุณพี่พอใจ ร้องสู้ได้..ป่าวเนี๊ย!
     
  13. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    โลกนี้ยุติธรรม

    พระพุทธเจ้า หรือธรรมชาติ

    ก็ปฏิบัติเหมือนกันทุกสิ่งทุกอย่าง

    และทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน

    ไม่ว่าคนแก่ชรา วัยกลางคน วัยรุ่น

    หรือแม้แต่เด็กไร้เดียงสา

    เราต่างเกิดมาเพื่ออยู่ภายใต้

    กฏแห่งการเท่าเทียม...นั่นคือ

    เราทุกคนต้องตายในที่สุด.

    ธรรมะรักษา.
     
  14. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=vbWQuwylfD4"]bualeangnum pporjai 23 9 55 - YouTube[/ame]

    เพลงนี้..จำได้ว่า อ.ใหญ่ภูชอบมาก ๆ ขออนุญาตโพสให้ อ.ใหญ่ภูอีกทีนะคะ เพลงมีความหมายมาก ๆ

    บัวแล้งน้ำ - พอใจ
    คนเราต้องมีหัวใจ ต้องมีเลือดเนื้อข้างใน ต้องมีความดีคู่กาย ต้องมีความหมายในตัวเอง

    อดีตที่เคยผ่านมา เราคงต้องผ่านพ้นไป จะดีหรือเลวอย่างไร ขึ้นอยู่กับใจเราเอง

    *กระเสือกกระสน ดิ้นรนกันไป ก่อนเคยเลวร้าย ก็ลืมให้ลง มีเพียงพรุ่งนี้ เรื่องเก่า เก่าก็คง
    ด้วยใจซื่อตรงเราคงได้ดี

    ถ้าบัวไม่มีรากใบ คงมองไม่สวยเท่าไร ถ้าบัวแล้งน้ำแห้งตาย ไม่เหลือความหมายให้ชวนมอง

    คนเราก็คงเหมือนกัน นึกฝันแต่ความยิ่งใหญ่ หลงลืมว่าเคยเป็นใคร สุดท้ายก็บัวแล้งน้ำ...
    (ซ้ำ*)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 กุมภาพันธ์ 2013
  15. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    sai kup tale - YouTube

    เพลงนี้มอบให้อาจารย์ภู กับ ครูเพ็ญ ทรายกับทะเลต้องอยู่คู่กันค่ะ

    [​IMG]

    ทรายกับทะเล - นันทิดา แก้วบัวสาย

    จะเหนื่อยเพียงไหน.. จะทุกข์เพียงใดโปรดรู้
    ตรงนี้ยังมีฉันอยู่ พร้อมจะดูแลหัวใจ
    หากมรสุม จะทำเธอเหน็บหนาวใจ
    พายุจะแรงแค่ไหน.. จะคอยอยู่ข้างเคียงเธอ

    หากมีวันไหน.. ที่เธอไปไกลจากฉัน
    ในหัวใจไม่เคยหวั่น และจะคอยเธอย้อนมา
    ก็ใจมันรู้ คลื่นลมจะคอยพัดพา..
    คอยซัดทะเลเข้าหา.. หาดทรายแห่งนี้ดังเดิม

    * คือ.. ผืนทรายที่โอบทะเลไว้..
    จะวันใด มั่นคงเหมือนดังที่เป็น
    อยู่เคียงข้างเธอ.. ใจไม่ไหวเอน
    และยังคงชัดเจน อย่างนั้น

    ** หาดทรายยังสวย.. รายล้อมทะเลด้วยรัก
    คงไว้ด้วยใจแน่นหนัก.. ไม่หวั่นยามพายุผ่าน
    จะมีเพียงฉัน และเธอตราบนานเท่านาน
    มีรักในใจผสาน.. ดั่งทรายอยู่คู่ทะเล..
    (ซ้ำ * , ** )

    (จะมีเพียงฉัน และเธอตราบนานเท่านาน)

    มีรักในใจผสาน.. ดั่งทรายอยู่คู่ทะเล..

    [​IMG]

    ไฟล์เพลง
    ................................................................................​
     
  16. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490

    [​IMG]

    [​IMG]

    ฟังอีกเพลง...เพลงนี้เศร้านิดนึง จินตนาการว่า อ.ภูร้อง...ถึงครูเพ็ญ ..อาจหวานเศร้า..อ.ภู..ยิ้มหวานสู้ค่ะ...ฟังเพลิน ๆ คอยครูเพ็ญ เข้ามาทักทายทุก ๆ คนนะคะ ....ทำยูทู้ปไม่ทัน เลยส่งเสียงสดมาลงไว้ก่อน...
    คิดถึงเธอฉันอยากร้องไห้
    อรวี/ธานินทร์


    คิดถึงเธอ ฉันอยากร้องไห้
    โธ่เอ๋ยดวงใจ ป่านนี้ เธออยู่ไหนกัน
    อยู่ในความทุกข์ หรือความสุขสันต์
    อยู่ในความฝัน ของใจใคร คิดถึงเธอ แล้วใจฉันโศก
    ฉุดโลกทั้งโลก โศกศัลย์พิร่ำพิไร โอ้ป่านฉะนี้ เธอไปอยู่ไหน
    รู้หรือไม่ ใครคิดถึง เธอทุกเวลา
    จากวันเดือนปี ที่เวียนผ่านไป เหตุใด เธอจึงไม่จดหมายมา
    หรือพบคนใหม่ จึงลืมสัญญา ลืมแม้จนคำว่า
    จะรักกันชั่ว นิรันดร์ คิดถึงเธอ ฉันอยากร้องไห้
    บาปกรรมอันใด พรากเราให้ไกลจากกัน
    ค่ำคืนตื่นเพ้อ ละเมอใฝ่ฝัน แล้วเธอ
    คิดถึงฉัน บ้างหรือเปล่า
    คิดถึงเธอ ฉันอยากร้องไห้ บาปกรรมอันใด
    พรากเราให้ไกลจากกัน ค่ำคืนตื่นเพ้อ ละเมอใฝ่ฝัน
    แล้วเธอ คิดถึงฉัน บ้างหรือเปล่า

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 กุมภาพันธ์ 2013
  17. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    สวัสดีครับพี่พอใจ แหมเสียงยัง หวานซึ้งเหมือนเดิมเลยนะครับ
     
  18. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ชีวิตจุดน้อย ๑๕
    ๑.เทนํ้าลงในดินทราย หายวับไปในกระพริบตาของเรา
    ๒.ก้อนเนื้อที่กากิน ชราแก่ไปพยาธิเก็บไป มรณภัยเอา
    ๓.โคนําไปสู่ที่ฆ่า วัน เดือน ปี ไม่เกี่ยว รอชีวีต้องหนีจากไป
    ๔.หยาดนํ้าค้าง พอถูกแสงอาทิตย์ก็หายไปไม่มีเหลือ
    ๕.ขึ้นสะพาน หันไปหน้า อายุน้อยลงๆจนจบอายุไขย
    ๖.สตรีทอหูก ยาวตามหลัง เบื้องหน้าหมดไป เช่น เผาฟืน
    ๗.ไม้กรีดลงในนํ้า ขณะน้อยนิด ชีวิตก็ด้อยดับนับต่อมิได้
    ๘.นํ้าไหลจากภูเขา เกิดแน่ แก่เหน็บ เจ็บตายวอดวายไป
    ๙.นํ้าลายบ้วนจากปาก พอเกิด ตั้ง ดับ ไม่กี่ชั่วโมงเลย
    ๑๐.ใบไม้แก่แล้วร่วง วัยผ่าน กาลหนี เดือนตี ปีตาย
    ๑๑.ผลไม้สุก อายุไออุ่นอยู่ด้วยของบูดเน่าเปื่อย
    ๑๒.ฟองสบู่ ตา-ใจ รูป-อารมณ์ สิ้นสลายไปแล้ว
    ๑๓.พยัพแดด รักชัง ดีชั่ว สุกๆดิบๆขาวดําก็ดับไป
    ๑๔.ต่อมนํ้าลาย กองกระดูกไม่มีรองรับต้องกระจายแน่
    ๑๕.ต้นกล้วย ผุๆ พังๆ อะไรจะเหลือไว้ท่านเอย...
    ที่มา หนังสือ ธรรมะสาระของชีวิต.
     
  19. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ปลูกศรัทธาทั่วไปมี ๕ อย่าง
    ๑.หูหนัก ฟังด้วยปัญญาวิมุตติ
    ๒.รักงาน ฉันทะ ธัมโม
    ๓.หวานคํา สุภาษิตา จยาวาจา
    ๔.ฉํ่าเมตตา คํ้าจุนโลกด้วยเมตตา
    ๕.เลิกลาอามิส เป็นกลางอุเบกขา
    ที่มา หนังสือ ธรรมะสาระของชีวิต.
     
  20. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    คติธรรมคำสอนของท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตโต.

    ผู้เห็นคุณค่าของตัวเอง จึงเห็นคุณค่าของผู้อื่น

    ว่ามีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ไม่เบียดเบียนทำลายกัน

    ผู้มีศีลสัตย์เมื่อทำลายขันธ์ ในที่สุคติโลกสวรรค์

    ไม่ตกต่ำเพราะอำนาจศีลคุ้มครองรักษาและสนับสนุน

    จึงควรอย่างยิ่งที่จะพากันรักษาศีลให้บริบูรณ์

    ธรรมก็สั่งสอนแล้วจำให้ดี ปฏิบัติให้มั่นคง

    จึงจะเป็นผู้ทรงคุณสมบัติทุกอย่างแน่นอน.

    กราบหลวงปู่ด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2013

แชร์หน้านี้

Loading...