เรื่องเด่น Sungazing เพื่อความสมดุลแห่ง กาย ใจ และจิตวิญญาณ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย kindred, 10 มิถุนายน 2011.

  1. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    Official Trailer - "Eat The Sun"
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=ZM9iDdkKZ7M"]Official Trailer - "Eat The Sun" - YouTube[/ame]​

    พอดีไปเจอเรื่อง เกี่ยวกับ Sun gazing น่ะครับ เอามารวมไว้หน่อย
    เค้ามีการนำไปสร้างเป็นภาพยนต๋เชิงสารคดีออกมาแล้วครับ
    ว่าเราสามารถรับประทานแสงอาทิตย์เป็นอาหารได้ทุกๆเช้า
    จะรู้สึกว่าไม่ค่อยหิวหรือไม่ต้องทานอาหารมามายเหมือนแต่ก่อน

    มีผลจากการวิจัยของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่รายงานว่า การทำสมาธิด้วยการจ้องมองพระอาทิตย์เช่นนี้..
    จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายในการผลิตวิตามิน D และสารสำคัญอื่นๆออกมา
    วิตามิน D เป็นเหมือนฮอร์โมนที่จะเข้าไปควบคุมการทำงานของยีนต้นแบบรวมทั้งควบคุมยีนอื่นๆในร่างกายด้วย

    ประสิทธิภาพสูงสุดของวิตามินดีจะมีผลในการเปิดใช้งาน DNA ให้สมบูรณ์ขึ้น
    โรคหลายของทางตะวันตก ที่ขณะนี้เองก็ได้รับการแก้ไขด้วยการเสริมวิตามิน D3 เสริมเข้าไป
    และมันก็แสดงให้เห็นว่าได้ผลดีมาก ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสุขภาพที่ดีของมนุษย์

    รวมถึงต่อมไพเนียล (ตาที่สาม) ซึ่งทำหน้าที่เหมือนตัวรับพลังงานจากดวงอาทิตย์
    เมื่อเราจ้องมองดวงอาทิตย์ มันจะแปลงและส่งข้อมูลนั้นลงไปในรหัสแบบฟอร์มของร่างกายของเรา
    พลังงานจากดวงอาทิตย์นั้น สามารถทำให้เรารู้สึกสดชื่นได้ง่ายๆโดยแทบไม่ต้องโหยหาสิ่งอื่นใดเลย
    ทั้งนี้เป็นเพราะร่างกายของเราได้รับพลังงานกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกถึงความจริงที่สูงขึ้นไป
    การที่เพลิดเพลินกับมัน เราก็สามารถทำกิจกรรมต่างๆได้โดยปราศจากอาหารได้เป็นเวลานาน
    รวมทั้งเป็นช่วงเวลาแห่งการรู้สึกเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณและความพึงพอใจด้วยวิธีการง่ายๆด้วยครับ ^^
     
  2. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    แบบนี้ต้องระวังหน่อย การทำครั้งแรก

    ครั้งแรก ให้ทำโดยเงยหน้า มองไปทางดวงอาทิตย์กำลังขึ้นหรือกำลังตก โดยไม่มองตรงๆ
    หมายความว่า มองแบบเฉียงๆ แบบเงยหน้า แล้วเร่ตามองลงมาที่เปลือกตาล่าง มองจนกว่าจะเห็นดวงอาทิตย์ เป็นดวงที่นวลตา (ไม่แสบตา) จึงจะปรับมุมมองใหม่ให้มองตรงๆ ได้ สามารถมองเป็นเวลานานๆ ได้
    ดวงที่นวลตาจะมีลักษณะอย่างไร ดูตัวอย่างแสง LED แบบขาว นั่นล่ะ เป็นดวงสว่าง ๆ เทาๆ ใสๆ (บอกไม่ถูก... ลองทำเอง)
    ชำนาญแล้ว มองดวงอาทิตย์ เวลาเที่ยง ยังทำได้เลย ....


    .... ของเด็กเล่น น่ะ
     
  3. tangOAH

    tangOAH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,183
    ค่าพลัง:
    +5,528
    เคยทำเหมือนกันค่ะ เพ่งตอนบ่ายสองโมงกว่าเกือบบ่ายสามโมง
    แสงยังแรงมาก และเพ่งอย่างจริงจังค่ะ อยากเพ่งมากเพราะตอนเย็นจะมีเมฆครึ้มตลอด
    แต่พออ่านอย่างเข้าใจแล้ว ทำให้ทราบว่าการเพ่งเวลาอื่นนั้น
    ไม่เกิดประโยชน์ถึงเราจะฝึกจนสายตาสามารถทนได้ก็ตาม
    ก็เลยไม่ทำอีกค่ะ เพราะเสียเวลาเปล่า
    ดังนั้นหากจะฝึกหรือทำอะไร หากไม่ได้คิดทำเพราะนึกสนุก
    น่าจะศึกษาอย่างจริงจังนะคะ จะเกิดประโยชน์สูงสุดหน่ะค่ะ
    เป็นห่วงนะคะ อย่าฝืนเพ่งตอนรังสียังแรงเลยนะ
    ช่วงพระอาทิตย์ขึ้นหรือตก ปลอดภัยด้วย แถมแสงยังสวยมากมากค่ะ


    :cool::cool::cool:
     
  4. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ดันหน่อยก็ดีนะ..

    ...............
     
  5. ศารทวิศุวต

    ศารทวิศุวต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    249
    ค่าพลัง:
    +368
    คุณชยุตปฎิบัติแล้วผลเป็นอย่างไรบ้างครับ
    โดยปกติผมก็เป็นคนชอบจ้องมองไปที่แสง ไม่ว่าจะเป็น หลอดไฟ แสงเทียน ดวงอาทิตย์ช่วงแสงอ่อนๆ บางครั้งก็มองโดยไม่รู้ตัว อย่างหลอดไฟนี่หากนอนเล่นคิดอะไรเพลินๆ ตามันก็จะหันไปมองเอง ขนาดย้ายหลอดไฟไปแล้ว มันก็ยังเผลอไปมองเองอีก แต่ไม่เคยฝึกปฎิบัติแบบนี้อะครับ
    แล้วอย่างโพสนี้ ที่กล่าวถึงต่อมต่างๆที่ถูกกระตุ้น มันจะมีอาการอะไรไห้รับรู้ได้บ้างใหมครับ คืออย่างเสียง หรือ การสั่นสะเทือนแหลมๆสูงๆภายในศรีษะอะไรแบบนี้
     
  6. PShinex

    PShinex เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +382
    ผมก็กำลังลองฝึกอยู่ เพิ่งฝึกได้ 30 วิ ยังไม่รู้สึกอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน และตำแหน่งที่มอง
    จะมีพวกกิ่งไม้เล็กบังด้วย เพราะบ้านมีต้นไม้เยอะ แต่พอจ้องมองที่พระอาทิตย์ก็จะ
    ไม่เห็นอะไรนอกจากพระอาทิตย์ รู้สึกว่าตอนแรก ๆ นี่ต้องมองตอนพระอาทิตย์แรก
    ขึ้นจริง ๆ เคยลองตอน 7.30น. แสงจะแรงไปหน่อย แ่ต่มองครั้งนี้รู้สึกว่ารอบดวงอาทิตย์
    จะมีรัศมีสีรุ้งด้วย เคยฝึกมองตอนเป็นวัยรุ่น ไม่เป็นแบบนี้
     
  7. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    เท่าที่ผมจำได้นะครับ การฝึก Sun Gazing นี้ มีผมกับคุณโอ๋ ที่ฝึกอยู่
    แต่ว่าผมฝึกได้ราวๆ 6 เดือน ผมก็เลยค่อยๆเลิกไป เพราะฤดูกาลเปลี่ยน
    คือที่ภาคใต้ของเวียดนามนี่ มันจะมีแค่ 2 ฤดูเท่านั้นแหละครับ
    คือฤดูฝน กับฤดูไม่ฝน ดังนั้น ช่วงที่ก่อนที่จะเลิกก็เพราะว่า
    เมฆมาบังพระอาทิตย์แทบทุกวันเลย เลยทิ้งการฝึกไปหลายวันติดต่อกัน
    นานเข้าก็เลยขี้เกียจด้วย

    สาเหตุที่สองที่ทำให้เลิกฝึกก็คือ ไปทำงานสายครับ เพราะว่าเวลาฝึกแล้ว
    ไม่ค่อยอยากจะเลิก นั่งสมาธิตากแดดต่อซะเลย จนบางที 8 โมงเช้าแล้ว
    ถึงลงมาอาบน้ำ ไปทำงาน คนที่ทำงานด้วยกันเขาก็ค่อนแค่ กระแนะกระแหน
    ผมก็เลยเลิก

    สาเหตุที่สามก็คือ เจ้านายทักว่า ไปทำอะไรมา ทำไมหน้าตาหมองคล้ำจัง
    ซึ่งอันที่จริงแล้วไม่ใช่หน้าตาหมองคล้ำหรอกนะครับ แต่เป็นเพราะว่า
    ตัวดำลงมากเท่านั้นเอง เพราะว่านั่งสมาธิตากแดดตอนเช้าอยู่ 6 เดือน
    ตอนนั้นแทบจะกลายเป็นคนผิวดำไปเลยหละครับ..
    ใครบอกว่าตากแดดตอนเช้าก่อน 8 โมง จะไม่ทำให้ตัวดำ
    ผมลองมาแล้วครับ คุณโอ๋ก็น่าจะรู้ผลเรื่องนี้ด้วยเหมือนกันใช่ไหมครับ

    ส่วนเรื่องผลการฝึก ที่มีต่อสุขภาพร่างกายและสมองนั้น
    ผมก็เห็นแต่ด้านบวกนะครับ คือร่างกายกระฉับกระเฉงขึ้น กินก็ได้ นอนก็หลับ
    และช่วงนั้นตาจะไวต่อแสงมาก อย่างที่คุณว่ามานั่นแหละครับ
    คือฝึกไปได้ซักระยะหนึ่ง เห็นแสงอาทิตย์ไม่ได้เลย
    สมองมันจะซู่ซ่าขึ้นมาทันทีเลย แล้วไอ้เจ้าพลังกุณฑลิณีจากจักระที่ 1 นี่ก็ด้วย
    มันก็คอยแต่จะวิ่งจู๊ดขึ้นมาถึงสมองอยู่เรื่อยเลย

    แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่ามันเกิดจากการฝึกจ้องดวงอาทิตย์เพียงอย่างเดียวนะครับ
    เพราะว่าทุกวันนี้ผมก็มีกิจวัตรประจำวันของผมเองหลายอย่าง
    ที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน จนไม่รู้อาจบอกได้ว่ามันมาจากสาเหตุไหนบ้าง
    เช่น ตอนเช้าผมก็จะนั่งสมาธิ ช่วงนั้น ก็จะฝึกจ้องดวงอาทิตย์ก่อน
    แล้วค่อยนั่งสมาธิตากแดดไปเลย ส่วนตอนเย็นผมก็จะไปออกกำลังกาย
    แล้วก็นั่งสมาธิต่อเลย ราวๆ 30 - 60 นาที แล้วแต่วัน
    ในขณะที่เพิ่งออกกำลังกายเสร็จนั่นแหละ
    เพราะว่ารู้สึกว่าสมาธิจะลงง่าย และลึกกว่าเวลาปกติ
    ความฟุ้งซ่านก็น้อยกว่าด้วยครับ แม้ว่าผมจะนั่งอยู่ในสถานที่สาธารณะ
    ที่มีเสียงดังรบกวนมาก และมีคนเดินไปเดินมาตลอดก็ตาม
    แต่ดูเหมือนว่า สิ่งเหล่านั้นจะไม่มีผลกระทบอะไรต่อผมเลย

    เคยมีคนถามผมเหมือนกัน ทำไมนั่้งสมาธิในที่แบบนี้ได้
    เสียงเพลงดังออกจะตาย แถมคนก็เดินตลอด รถก้วิ่งตลอดด้วย
    ผมก็ตอบว่า ผมไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้น เพราะเวลาผมนั่งสมาธิ
    ผมจะไม่ว่างเลย ผมมีงานภายในที่จะต้องทำอยู่ตลอด
    ไหนจะจดจ่อสมาธิไปทีละจักระ ไหนจะฝึกกลั้นหายใจ
    ไหนจะจินตนาการถึงแสงสว่าง ไหนจะเปลวไฟสีม่วงแห่งการเปลี่ยนรูปแบบ
    ไหนจะปิระมิดแห่งแสงสว่าง ไหนจะเชื่อมโยงกับโครงข่ายคริสตัลไลน์ของโลก
    และไหนจะนึกแผ่ความรักและแสงสว่างไปให้กับใครต่อใครอีก
    สรุปว่า ไม่ว่างเลย มีงานทำอยู่ตลอดแบบเต็มเอี๊ยดเลย
    แต่เป็นงานภายใน ที่นุ่มนิ่ม เบาสบาย และอิ่มอกอิ่มใจหนะนะครับ

    มาที่เรื่อง Sun Gazing ต่อนะครับ..ช่วงก่อนที่ผมจะฝึกนั้น
    ผมได้ฝึกกระตุ้นพลังกุณฑลิณีด้วยตัวเองมาก่อนแล้วพักหนึ่ง
    จนมันเริ่มจะรู้สึกถึงพลังที่วิ่งขึ้นมาจนทำให้ซู่ซ่าแบบกินวาซาบิได้แล้ว
    แต่ก็ยังเป็นแค่ระดับ ค่อยๆขึ้นหนะนะครับ ยังไม่รุนแรงถึงขั้น
    ทะลุทะลวงทุกๆจักระได้ในคราวเดียว และผมก็ชอบ
    และเลือกที่จะให้มันเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปแบบนี้มากกว่าด้วย
    เพราะปลอดภัยกว่า

    ปกติเวลาผมนั่งสมาธิ แม้ทุกวันนี้ด้วยนะครับ พอเข้าที่ระดับหนึ่งแล้ว
    พลังมันก็จะวิ่งขึ้นมาซู่ๆขึ้นมาที่หัว จนเหมือนกินวาซาบิทุกครั้งอยู่แล้วใช่ไหมครับ
    ในช่วงฝึกจ้องดวงอาทิตย์นั้น มันยิ่งขึ้นมาใหญ่เลย และก็ขึ้นมาพร่ำเพรื่อด้วย
    ไม่เฉพาะในช่วงที่ฝึกสมาธิเท่านั้น นั่งๆทำงานอยู่นี่ ก็ซู่ๆขึ้นมาอีกแล้ว
    จนต้องขยับตัวให้กระดูสันหลังตรง และหายใจเข้าลึกๆ
    ไล่มันขึ้นมาให้สุดอยู่บ่อยๆ พอมันขึ้นมาถึงหัวแล้ว ก็จะรู้สึกโปร่งโล่งมาก
    เบาสบายตัวมาก จนผมกลัวว่าผมจะติดมัน เหมือนติดยาเสพติดซะด้วยซ้ำไป

    ถ้าถามว่าแล้วโดยรวมแล้วทุกวันนี้เป็นยังไง ผมก็จะบอกว่า
    ถ้าเทียบกับตัวเองเมื่อในอดีต ปีหนึ่ง หรือสองปี หรือก่อนหน้านั้น
    ผมว่าผมก้มีวิวัฒนาการในทางบวกเพิ่มมากขึ้นหลายด้านอยู่นะครับ
    แต่ไม่อาจเทียบกับคนอื่นได้ แล้วก็ยังไม่ถึงกับบรรลุอะไร
    เพราะว่าอันนั้นก็แล้วแต่กรรม แล้วแต่วาระของมันเอง
    ผมแค่จะทำ จะปฏิบัติ และจะฝึก สิ่งที่ตัวเองคิดว่าเหมาะสมกับตัวเอง
    และที่ตัวเองชอบ ไปเรื่อยๆ โดยไม่เร่งรัด ไม่เร่งรีบ
    แต่ก็จะไม่หยุดนิ่ง หนะนะครับ..

    ผมก็ยังคิดอยู่ว่า ซักวันจะกลับไปฝึกจ้องดวงอาทิตย์ใหม่อีกรอบ

    เล่าสู่กันฟังครับ ท่านใดมีประสบการณ์ทางด้านนี้บ้าง
    ก็เล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ...
    ...........................................
     
  8. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    การฝึกจองดวงอาทิตย์ ใหม่ๆ (ทั้งฝึกเก่า และ ใหม่) ให้จ้องโดยแหงนหน้า ทำมุมกับแสง ที่สาดส่องมาก่อน คือ มองดูดวงอาทิตย์ ผ่านแนวเปลือกตาล่าง มองจนกระทั่ง
    แสงที่เขามาเปลี่ยนแสง คล้าย กับ แสง LED เป็นกลมๆ ก่อนแล้วจึงจะค่อยๆ ปรับมุม
    หรือการมองตรง หลังจากนั้น ก่ มอง นานเท่าใด ก่ มองไป จะมองตอนเที่ยง
    ตอนไหนก่มองได้..... การมองหากเป็นแสงจ้าสาดเข้าตา ยังไม่ควรเปิดมองตรงๆ

    แต่เมื่อมองเห็นแสงเปลี่ยน(ตามวิธีที่บอก) เป็นดวงกลมขาวๆ ใสๆ(คือไม่เหมือนเดิม)
    สามารถมองตรงๆ ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มกราคม 2013
  9. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    ผลจากการมอง เป็นอย่างไร ก่ ต้อง ให้มืออาชีพ มาอธิบายดีกว่า

    เพราะที่ทำไป แค่ทดสอบตนเอง เท่านั้น

    เลิกทำเพราะ ไม่มีประโยชน์ต่อการ ลด ละ เลิก

    จึงเลิกทำ(เล่น)ไป....


    อ้าว เคย โพสต์ ไปแล้ว .....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มกราคม 2013
  10. ศารทวิศุวต

    ศารทวิศุวต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    249
    ค่าพลัง:
    +368
    คือผมคิดว่าผมมีปัญหาเกี่ยวกับหูหรือภายในหู ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้ แต่มาชัดเจนเอาก็ 2-3 เดือนมานี้ แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรนะครับ การได้ยินของหูจริงๆยังปกติ แล้วบางครั้งยังไวกว่าปกติซะด้วย แต่ที่ผมสงสัยคือไอ้เจ้าเสียงที่ผมได้ยินอยู่นี้ จริงๆน่าจะต้องพูดว่ารู้สึกอยู่นี้มันคืออะไรแน่ อาการคือ ความรู้สึกจี๊ดๆวี๊ดๆสูงๆบางห้วงก็ขึ้นๆลงๆวิ่งไปจากกระโหลกซีกซ้ายไปขวาขวาไปซ้ายภายในกระโหลกแถวๆโหนกกระดูกหลังใบหู มันเหมือนการสั่นสะเทือนที่ถี่มากๆสูงมากๆจนเป็นเสียงยาวไปเลย ผมเองก็ไม่เคยฝึกอะไรเลย มาสดุดตากับรูปนี้เข้าอะครับ เลยทำไห้สงสัยว่ามันจะเกี่ยวข้องกันใหม เพราะความรู้สึกมันคล้ายกับจะเกิดแถวๆนั้น พอจะมีข้อมูลอะไรที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันมั๊ยครับ หรือ เป็นแค่ความไม่ปกติของระบบประสาทระบบสมองเฉยๆก็ไม่รู้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. tangOAH

    tangOAH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,183
    ค่าพลัง:
    +5,528
    เคยอ่านเรื่องซันเกซิ่งครั้งแรกตอนยังเล่นเว๊บเขากะลาค่ะ
    คุณหมู มหาชัยแกเอามาเผยแพร่ค่ะ มีเพื่อนคนนึงเป็นเว๊ปบอร์ดที่นั่นเค้าชวนฝึกค่ะ
    ตอนแรกโอ๋ก็ไม่อยากฝึกเลยเป็นคนไม่ชอบแสง แม่บอก ทำตัวเหมือนผีดิบ อิอิอิ
    ก็เลยคอยดูตารางเวลาการฝึกที่ปลอดภัยให้เพื่อนรักคนนี้อยู่หลายวัน
    หลังๆชักทนคำชักจูงจากเพื่อนไม่ไหว เค้าอยากให้ฝึกเป็นเพื่อน
    ก็เลยเริ่มจาก สิบวิ เพิ่มขึ้นทุกวัน วันแรกๆ น้ำตาไหลพราก ก็คนไม่ชอบแสงนี่นา
    แต่พอชักฝึกได้เป็นสิบๆวันขึ้นชักชิน และเราสองคน ก็แทนตัวเรากันเล่นๆว่าเราเป็นลูกสาวพระอาทิตย์ อิอิอิ
    พอจากนั้นไม่นานเพื่อนมีเหตุให้ต้องเลิกฝึก เลยเพ่งอยู่คนเดียวและรู้สึกอบอุ่นและรักพ่อพระอาทิตย์มากขึ้นทุกวันค่ะ
    พออากาศเริ่มแปรปรวนก็รู้สึกกังวลใจว่าเราจะฝึกไม่ได้ตามกำหนด เลยทำนอกกฎ
    เพ่งตอนบ่ายบ้าง ตอนยังไม่เย็นพอบ้าง อยากเปิดตาที่สาม ตอนนั้นยังฝึกด้วยความอยากในตัวเองอยู่
    อยากมีอะไรที่พิเศษขึ้นหน่ะค่ะ มีอยู่ช่วงนึง อ่านในกระทู้ต่างมิติพี่ชยุต
    มีคนกล่าวถึงแม่พระไกอา ท่านกำลังต้องการกำลังใจ ให้ทุกคนส่งแรงใจไปให้ท่านเพราะท่านทำงานหนักมาก
    ก็เลยรู้สึกว่าเราอยากช่วยท่านจัง รุ่งขึ้นก็เพ่งพ่อพระอาทิตย์แล้วส่งกำลังใจให้แม่ไกอาให้ท่านคลายความเศร้า
    และขอให้ท่านมีกำลังใจส่งต่อความรักให้ทุกสรรพสิ่งบนโลกของเรา
    พอทำเสร็จ รู้สึกมีความสุขมาก รู้สึกว่านี่หล่ะคือความสุขที่แท้จริง
    สุขกว่าตอนเพ่งเพื่อตัวเองเป็นหลายร้อยเท่าเป็นความสุขที่อธิบายไม่ได้
    ว่าคนเล็กๆอย่างเรามีส่วนในการช่วยให้กำลังใจแก่แม่พระไกอาเพื่อทุกสรรพสิ่งได้
    เลยตั้งใจไว้ว่า นี่เรามาถูกทางแล้ว เราจะมานั่งกังวลทำมัย ว่าจะเพ่งเก็บกิโลไมล์ (เป็นเวลาในการสะสมการเพ่ง จนครบคอร์สหน่ะค่ะ) ได้รึเปล่า
    เราจะฝึกสำเร็จมั้ย ตอนที่เพ่งได้เวลาสูงสุด โอ๋นับเป็นวิหน่ะค่ะ นับหนึ่งถึงร้อยกะให้จังหวะสม่ำเสมอ แล้วมาหารเป็นนาที ก็น่าจะเพ่งได้ราวครึ่งชั่วโมงแล้ว
    แต่พอหันมาเพ่งให้แม่ไกอา ก็เลยไม่สนที่จะนับเวลาแล้วค่ะ เพราะบางวันก็มีเมฆ ฟ้าไม่เปิดบ้างหล่ะ
    เลยไม่ได้รู้สึกว่ามีความพิเศษเกิดขึ้นกับตัวเองอย่างไรหน่ะค่ะ
    ถ้าจะถามเรื่่องตาที่สาม อะไรเนี่ยก็ไม่เห็นผลอะไรหรอกค่ะ
    จากวันนั้นจนวันนี้ก็ปีครึ่งได้แล้วค่ะ ก็ยังเพ่งพระอาทิตย์อยู่ แต่ไม่ได้เพ่งเพื่อตัวเองแล้วค่ะ
    เพ่งเพื่อโลกใบนี้เพื่อแม่ไกอาค่ะ
    เคยบ่นกับพี่มี๊ดเหมือนกันว่าอยากปลูกบ้านบริเวณที่เห็นพ่อพระอาทิตย์ชัดๆ และเท้าได้สัมผัสกับพื้นดิน
    อยากลองฝึกดูให้เต็มตามหลักสูตรหน่ะค่ะ เพราะที่บ้านมีบ้านติดๆกันบางทีก็บังแสงกว่าจะเห็นก็เลยเวลาที่ปลอดภัย
    พี่มี๊ดก็สัญญาว่าถ้ามีโอกาสจะไปปลูกบ้านที่ชุมชนแสงสว่างกัน หาทำเลเหมาะไว้ฝึกซันเกซิ่งกันหน่ะค่ะ
    ส่วนผิวก็คล้ำแน่นอนค่ะ แถมเป็นจุดกระและริ้วรอยด้วย อิอิอิ แต่ก็ช่างมันเถอะค่ะ เพ่งแล้วสบายใจออกค่ะ
    ต้องขอโทษด้วยนะคะ เพราะที่เล่ามาทั้งหมดแทบไม่มีสาระเลยหน่ะค่ะ แต่ก็อยากแบ่งปันประสบการณ์หน่ะค่ะ


    :cool::cool::cool:
     
  12. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ลองอ่านข้อมูลในกระทู้นี้ดูนะครับ
    คิดว่าคุณน่าจะได้คำตอบในนี้แหละ

    "ข้อความจากต่างมิติ-–-การกระตุ้น-light-body-ทั้ง-12-ระดับ-เพื่อเลื่อนระดับขึ้นไปสู่มิติที่-5"

    http://palungjit.org/threads/ข้อควา...-เพื่อเลื่อนระดับขึ้นไปสู่มิติที่-5-a.302490/


    ......................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มีนาคม 2014
  13. ศารทวิศุวต

    ศารทวิศุวต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    249
    ค่าพลัง:
    +368
    อะโห!!!รู้อะไรขึ้นมาอีกเยอะ แต่ขอเก็บไว้คนเดียวก่อน กะลังพิสูจน์ว่าไม่ไช่อุปทาน
     
  14. ศารทวิศุวต

    ศารทวิศุวต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    249
    ค่าพลัง:
    +368
    ขอบคุณ คุณชยุตมากๆครับ
     
  15. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    .

    ท่านชยุต
    ปกติเวลาผมนั่งสมาธิ แม้ทุกวันนี้ด้วยนะครับ พอเข้าที่ระดับหนึ่งแล้ว
    พลังมันก็จะวิ่งขึ้นมาซู่ๆขึ้นมาที่หัว จนเหมือนกินวาซาบิทุกครั้งอยู่แล้ว
    ใช่ไหมครับ



    ขอโม้ด้วยคนนะครับ เจ้าซู่ซ่าที่ว่านั่นเราเรียกมันขึ้นมาได้ตลอดเวลา
    แค่หายใจให้ลึกลงไปให้เลยจักระที่สอง นับหนึ่งไม่ถึงสามมันก็ซู่ซ่าได้แล้ว
    เมื่อก่อนโน้น ก็ต้องใช้เวลานานหลายนาทีเหมือนกัน กว่ามันจะวิ่งขึ้นมาได้

    แล้วเวลาท่านฝึก เห็นขอบพระอาทิตย์เป็นวงเล็กๆ รึเปล่าครับ
    มันจะเป็นแบบแว๊บๆ หรือกระพริบวิบๆ เป็นวงขอบเล็กๆ รอบๆ
    ผมฝึกมองบ่อยๆ แล้วบางทีก็นึกเอาก็ได้นะครับ
    แม้จะไม่เห็นพระอาทิตย์ แต่จิตก็นึกเอา ว่าเรากำลังมองเขาอยู่
    หลัีบตาก็เห็นในจิต ชัดเจนดี ตาไม่เห็นนะ แต่ในจิตรู้สึกได้ดี
    แล้วมีความรู้สึกเหมือนตอนกำลังมองดูอยู่จริงๆ ให้ผลใกล้เคียงกัน

    เพ่งมองบ่อยๆ ตอนหลังลืมกระพริบตาไปเลยล่ะ
    เหมือนกับว่าไม่จำเป็นต้องกระพริบตาแล้ว

    ฝึกมาไม่กี่เดือนเอง จากที่นี่แหละครับ
    แต่ก็ไม่ได้ทำทุกอย่างตามตำรานะ ทำตามใจ ไม่ครบถ้วน

    กระต่ายป่า ข้างวัด

    .
     
  16. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    จริงอย่างที่ท่านพูดมาทั้งสองประเด็นครับ
    ทั้งเรียกพลังขึ้นมา และ ที่จินตนาการเห็นพระอาทิตย์เอาก็ได้
    ผมก็เป็นด้วยครับ แต่ไม่ขนาดว่าทำได้ดีมากนัก
    แค่พอรู้ว่ามันก็เป็นคล้ายๆแบบนี้แหละ เฉยๆครับ

    แล้วก็ ประเด็นที่ท่าน phudit999 โพสต์ไว้เมื่อวานนี้
    ผมก็อดไม่ได้ที่จะขอแชร์ข้อมูล
    ตามความเข้าใจของตัวเองด้วยซะหน่อยนะครับ ว่า..

    เท่าที่ผมเคยอ่านมา ใช้คำว่าอ่านมานะครับ ซึ่งหมายถึง
    อาจจะผิดก็ได้ หรืออาจจะถูกก็ได้
    เพราะว่าประสบการณ์ของตัวเอง ก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะเอามาพูดได้

    จากข้อความในลิงค์ข้างล่างนี้ โพสต์ที่ 26

    "ข้อความจากต่างมิติ-รวมเทคนิกต่างๆเพื่อช่วยในการยกระดับขึ้นจากท่านมหาเทพมิคาเอล"

    http://palungjit.org/threads/ข้อควา...ยกระดับขึ้นจากท่านมหาเทพมิคาเอล.403530/page-2

    ...เป้าหมายของพวกคุณก็คือ “จิตสำนึกอันเป็นเอกภาพ”
    (Unity consciousness) หมายถึง การรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
    ของทุกๆแง่มุมของความเป็นคุณ ซึ่งก็ได้แก่

    - ผสานรวมพลังงานของจิตใจทั้ง 7 ของระบบจักระของพวกคุณ ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
    และให้ทำงานสอดประสานกลมกลืนกัน
    - ผสานรวมกายแห่งจิตใจ, กายแห่งอารมณ์ และกายทิพย์ของพวกคุณ ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
    และให้ทำงานสอดประสานกลมกลืนกัน
    - ผสานรวมพลังงานแห่งเพศชายและพลังงานแห่งเพศหญิงของตัวเองให้เข้ากัน
    และให้ทำงานสอดประสานกลมกลืนกัน
    - ผสานรวมสมองทั้งสองซีกของตัวเองให้เชื่อมต่อกัน และให้ทำงานสอดประสานกลมกลืนกัน
    - ผสานรวมกายธาตุละเอียด (Body elemental), จิตไร้สำนึก/จิตใต้สำนึกส่วนลึก, จิตสำนึก
    และ จิตเหนือสำนึกของพวกคุณเข้าด้วยกันอีกครั้งหนึ่งด้วย

    เมื่อใดที่พวกคุณทำได้เช่นนี้แล้ว มันก็จะไม่มีความขัดแย้งจากภายในเกิดขึ้น
    และมันก็จะไม่มีการต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่เกิดขึ้น ระหว่างส่วนย่อยต่างๆเหล่านี้ด้วย
    เพราะว่าทุกๆส่วนของความเป็นพวกคุณ จะตื่นขึ้นมาสู่ความรู้ที่ว่า ทุกๆส่วนก็คือส่วนหนึ่ง
    ของส่วนรวมเหมือนๆกันหมดนั่นเอง และรู้ว่าอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนย่อยใดส่วนย่อยหนึ่ง
    ก็คือสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อตัวตนทั้งหมด หรือต่อส่วนรวมทั้งหมดนั่นเอง...

    ...พวกคุณจะต้องเข้าถึงและสามารถใช้งาน
    สมองทั้งสองซีกของตัวเองให้ได้ก่อน
    พวกคุณถึงจะสามารถเข้าถึง
    ศักยภาพในการสรรสร้างแบบเต็มพิกัดของตัวเองได้

    กระแสความคิดที่แน่วแน่เป็นสมาธิ
    จะไปดึงดูดเอาภูมิปัญญาของตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณ
    และภูมิปัญญาของรูปธรรมชีวิตแห่งแสงสว่าง
    ที่อยู่ในมิติสูงๆกว่าทั้งหลายเข้ามาได้...

    .................................................

    ที่ยกมานี่ เป็นแค่ส่วนหนึ่งหนะนะครับ
    และผมก็เข้าใจตามที่ท่านมิคาเอล และท่านอื่นๆบอกว่า
    การที่เราจะบรรลุธรรมขั้นใดๆได้นั้น มันต้องประกอบกันทั้งกายและจิตด้วย
    กายก็มีหลายระดับที่เกี่ยวข้องอยู่อีก ไม่ว่าทางศาสนาจะสอนเอาไว้หรือไม่ก็ตาม
    จิตก็มีอยู่หลายระดับเช่นเดียวกัน เช่น จิตสำนึก, จิตใต้สำนึก, จิตไร้สำนึก
    และจิตเหนือสำนึกเป็นต้น

    และคำว่าจิตต่างๆเหล่านี้ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ หรือถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้
    ให้ทำงานอยู่บน Hardware ที่ชื่อว่าสมองแต่ละส่วนอยู่ด้วย
    ดังนั้น อย่างที่ท่านบอกนั่นแหละครับ เราต้องผสานรวมเอาทั้งหมดนี้
    ให้มันทำงานสอดประสานกลมกลืนกันให้ได้ทั้งหมด ในระดับใดระดับหนึ่งซะก่อน
    เราถึงจะสามารถบรรลุธรรมขั้นที่สัมพันธ์กับระดับความสอดประสานกลมกลืนกัน
    ของทุกๆระบบที่เราสามารถผสานรวมกันได้แล้ว ได้

    เพราะฉะนั้น สมองก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง เช่น ต่อมไพเนียล เป็นต้น
    คือประตูสู่จิตใจที่สูงส่งกว่า คือประตูมิติที่เชื่อมต่อกับ พุทธจิต หรือกับอะไรก็ตามแต่
    ที่เป็นจิตวิญญาณของเราเอง หรือที่เป็นสิ่งที่เราเรียกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์

    ผมเข้าใจว่า ตราบใดที่ต่อมไพเนียล ยังไม่ถูกกระตุ้นให้ทำงานได้เต็มที่ถึงระดับหนึ่งแล้ว
    ตราบนั้น ท่านก็มิอาจจะหลุดพ้น หรือมองเห็นสัจธรรมตามความเป็นจริงของมันได้
    เพราะว่าสมองส่วนที่ทำหน้าที่อยู่บน ego ของท่าน ก็จะครอบงำท่านอยู่ร่ำไป และตลอดเวลาด้วย
    จนทำให้จิตวิญญาณของเราเอง หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่สามารถนำพา
    และไม่สามารถถ่ายทอดภูมิปัญญามาให้เราได้

    ดังนั้น ผมจึงค่อนข้างเห็นด้วย อย่างที่ผมเคยอ่านมาว่า
    ไม่มีการฝึกฝนและปฏิบัติด้านจิตวิญญาณใดหรอก ที่จะสูญเปล่า
    เพราะว่าอย่างน้อย มันก็จะเป็นทุนรอนสะสมเอาไว้ให้เราก้าวสู่ขั้นต่อไปได้เรื่อยๆ

    และถ้าวกกลับมาที่เรื่องการฝึกจ้องมองดวงอาทิตย์ที่ว่านี้
    ผมก็ค่อนข้างที่จะเห็นด้วยกับเขาอีกหนะแหละ ที่เขาอ้างหลักการณ์ขึ้นมาว่า
    แสงสว่างจะสามารถไปกระตุ้นต่อมไพเนียล หรือต่อมใต้สมองอื่นๆของเรา
    ให้ทำงานได้ดีขึ้นได้ เพราะมันก็น่าจะสมเหตุสมผลอยู่จริง

    ดังนั้น มันจะไม่เกี่ยวข้องกับการรู้แจ้ง หรือ รู้ธรรมได้อย่างไร
    ก็เพราะการฝึกนี้ มันก็มีส่วนช่วยกระตุ้นต่อมใต้สมองของเราเหมือนกันนี่นา
    และอย่าลืมนะครับ ว่าการฝึกจ้องพระอาทิตย์นี้ ก็เป็นการฝึกสมาธิแบบหนึ่งด้วย
    แทบจะเรียกว่า ฝึกกสินแสงสว่างด้วยซ้ำไป แทบไม่ต่างกันเลย

    นอกจากนี้ วิธีการฝึกจิต หรือ ฝึกสมาธิแบบอื่นๆก็ด้วย ในความเห็นส่วนตัวผมแล้ว
    ผมว่ามันมีประโยชน์ของมันเองทั้งนั้นแหละ อย่างน้อยก็ประเด็นเรื่องนี้แหละ
    เพราะฉะนั้นแล้ว ผมจึงเห็นว่า ไม่ควรจะมีวิธีไหนที่ควรถูกดูหมิ่นเหยียดหยามทั้งสิ้น

    การปล่อยวางคืออะไร กลไกของมันคืออะไร?
    การหลุดพ้นคืออะไร หลุดพ้นจากอะไร กลไกของมันคืออะไร?
    สมถะคืออะไร กลไกอะไรที่มันช่วยให้เราบรรลุธรรมได้?
    วิปัสสนาคืออะไร กลไกอะไรที่ทำให้เราบรรลุธรรมได้?

    ผมแค่ถามทิ้งไว้เฉยๆนะครับ และผมก็เน้นคำว่ากลไกด้วย
    เพราะว่าผมอยากรู้คำอธิบายแบบวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่แบบศาสนา
    แต่ถ้าจะมีส่วนไหนที่ผมจะพออธิบายให้ตัวเองฟังแบบกร้อมแกร้มได้บ้าง
    ผมก็จะบอกว่า..

    พวกเราก็รู้กันดีอยู่แล้วใช่ไหมครับว่า ลำพังการรู้เพียงทฤษฎีนั้น
    ไม่อาจทำให้บรรลุอะไรได้ และก็ปล่อยวางอะไรก็ไม่ได้ด้วย หลุดพ้นก็ไม่ได้ด้วย
    มันต้องเป็นประสบการณ์ตรงที่ได้จากการปฏิบัติเท่านั้น

    แล้วกลไกลของประสบการณ์ตรงที่ว่ามานั้นหนะ มันไปทำอะไรกับเรา
    มันถึงจะทำให้เราหลุดพ้นได้ หรือบรรลุได้ หรือปล่อยวางได้

    มันต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ มันต้องเกิดปัญญา ซึ่งแน่นอนว่าปัญญานั้นหนะ
    ไม่ใช่ปัญญาของ ego แน่นอน มันต้องเป็นปัญญาที่ได้มาจากการรู้ความจริง
    อย่างที่มันเป็นจริงๆ ซึ่งนั่นก็คือ ปัญญาที่ไม่ได้ถูก ego ครอบงำเอาไว้
    ปัญญาที่มองทะลุทะลวงผ่านมายาการของโลกแห่งวัตถุธาตุทางกายภาพนี้ไปแล้ว

    แล้วถ้าถามต่อว่า ทำไงหละ ก็กลับไปที่ประตูมิติสู่จิตใจที่สูงส่งกว่าของตัวเองอีกหละ
    ซึ่งนั่นก็คือ "สมอง" ส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เช่น ต่อมไพเนียล เป็นต้น
    จะต้องเปิดการทำงานแล้วเท่านั้น มันถึงจะไม่ถูกครอบงำด้วย
    สมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับ ego เท่านั้น..ผมเข้าใจว่ายังงั้นนะครับ

    แล้วก็ผมสังเกตเห็นอีกอย่างหนึ่งว่า ศาสดา หรือ นักบุญ หรือ ผู้ประพฤติธรรมขั้นสูงทั้งหลาย
    ไม่น่าจะมีท่านใดเลย ที่รัศมีออร่ามืดดำ ทึบตัน หรือคับแคบ หรือ ไม่สว่างไสว
    เพราะฉะนั้นแล้ว คำกล่าวของท่านมิคาเอล ก็เลยน่าจะมีเหตุมีผลอยู่
    คู่ควรให้เราเก็บเอาไปขบคิดต่อกันอยู่ ว่ามันอาจจะเป็นจริงอย่างที่ท่านว่ามาก็ได้
    ว่าเราต้องผสานทุกๆส่วน ทุกๆระบบของเรา ให้ทำงานอย่างสอดประสานกลมกลืนกันให้ได้ซะก่อน

    และถ้ายังมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่ยังไม่ถูกกระตุ้นให้ทำงานขึ้นมา ก็ต้องกระตุ้นมันขึ้นมา
    ด้วยวิธีใดก็ตามแต่ หรือด้วยศาสตร์ใดก็ตามแต่ ล้วนใช้ได้ทั้งสิ้น เราดูที่จุดมุ่งหมายเป็นหลัก
    เราจะไม่ดูที่วิธีการ หรือ พิธีกรรม เป็นหลัก

    ขอแชร์แค่นี้แหละครับ
    .......................................................

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มีนาคม 2014
  17. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    ขอบคุณมากครับ สำหรับวิธีการซึมซับพลังอุ่น แต่ชอบพลังเย็นมากกว่าครับ อิอิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...