จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ณี่ ถ้าหากตนมีปัญญา ก็จะบอกว่า นั่นคือป่าช้าภายนอก ทำไมไม่เพ่งเข้ามา ที่ป่าช้าภายใน

    แม้ป่าช้าภายนอกก็ดี พื้นที่เหยียบนอนอยู่นี้ ซึ่งเป็นสุสานกองกระดูกทั้งนั้น

    หากเจอคำแบบนี้ ก็จริง จริง100% แต่มันไม่เล้าใจหรอก

    เพราะหากจะพิสูจน์ตน ในคุณภาพของจิต

    โดยเอาสิ่งภายนอก เข้าพิสูจน์ภายใน ก็ให้เพิกไปเสีย ในคำเหล่านั้น

    ลองไปได้ยินเสียงลมพัด เสียงใบไม้ กิ่งไม้สีกัน สังขารจะปรุงแต่งเป็นอะไรๆ ก็แล้วแต่
    ทั้งกลิ่นธูปควัน เงากระทุ่มๆ ในยามค่ำคืน กับสถานที่ ที่ให้ชื่อว่า ป่าช้า สถานฝังศพ

    ว่าเราจะจับภาพพระ ให้นิ่งได้หรือไม่(ฌาน)
    หรือจะคลอนแคลนหวั่นไหว เพราะใจฟุ้งไปกับ ตา หู จมูก ใจ เท่านั้นเอง

    เป็นอีกแนวทางหนึ่ง ที่จะพิสูจน์ ความมั่นคงในความสงบแห่งตน

    เหล่านี้ คือ สถานที่ท่านผู้ฝึกจิต ต้องผ่าน

    เมื่อก่อนยายเคยเล่าให้ฟัง มีครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง เมื่อก่อนป่าช้าแถวบ้าน จะอัดศพเพื่อรอการเผา
    ลักษณะก่ออิฐถือปูนโบกไว้ คงจะเคยเห็น

    ทีนี้ ครูบาอาจารย์องค์นั้น ท่านขึ้นไปนั่งทำสมาธิบนนั้นเลย ยามค่ำคืน
    องค์นี้มาไกล วัดท่านอยู่แแถวเชียงราย วัดถ้ำผา...หรือไงนี่ล่ะ

    ถ้าผ่านได้นะ รับรองอภิญญา ฟิตเปี๊ยะ!!

    แต่กลัวว่าจิตจะหลอนจิต เสียก่อน เสียคุณภาพไปเลย หากไม่มั่นคงพอ ก็ควรใส่เกียร์ต่ำเข้าไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มกราคม 2013
  2. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    หนูตรี..จริงๆ เรื่องนี้ไม่อยากจะเม้นท์มากหรอกนะค่ะ แต่ขอนิดส์นึงแล้วกัน เป็นโพสต์สุดท้ายสำหรับเรื่องนี้..เข้าใจในความหวังดีกับทั้งสองฝ่าย..สิ่งที่จะช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าจะอยู่ข้างไหนนั้น ขออ้างอิงถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าท่านเป็นหลักค่ะ ท่านได้มอบวิธีการเดินทางกลับบ้านให้เราได้ปฏิบัติตามแล้ว ตามมรรคมีองค์ 8 แล้วพวกเราควรเดินขึ้นบันไดไปทีละขั้นๆ (ไม่ใช่เดินขึ้นไปเกินครึ่งทางแล้ว จะเดินลงบันไดกลับมาทำไมอีก) ตรงนี้เป็นบททดสอบอัตตาละเอียดยิบๆ ของจิตบุญเลยค่ะ แต่สุดท้าย.."ท่านพ่อ"..ท่านคงจัดการเองค่ะ เพราะวิชาจิตเกาะพระนี้ไม่ใช่ของใครแต่เป็นของท่านพ่อค่ะ..สาธุ:cool::cool::cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มกราคม 2013
  3. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    โมทนาสาธุ....ท่านพี่กล่าวชอบแล้วเจ้าค่ะ เหนือสิ่งอื่นใดคือพระพุทธเจ้าผู้ซึ่งเป็นผู้ปูทางพระพุทธศาสนาให้เราชาวพุทธได้เดินตามเพื่อการหลุดพ้น....คำกล่าวใดหากไปล่วงลำ่กับจิตท่าน เราก็ขอขมาด้วยจิตอันอันบริสุทธินี้ หากเพียงเป็นการแสดงความคิดเห็นตามกำลังจิตกำลังธรรมที่ตนเองมีอยู่เท่านั้นค่ะ
    เจ้าค่ะ
     
  4. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    เมื่อ5ปีที่แล้ว ที่วัดถ้ำเขาปรางค์ ลพบุรี ทางไปหล่มสักเพชรบูรณ์ หลวงปู่เคน ท่านมาบุรณะสร้างวัดแห่งนี้ ตอนนั้นผมพักอยู่ที่รีสอร์ท ไปอบรมสัมมนา ตกเย็น ไหว้พระแล้ว จิตมันเกิดข้อสงสัยว่า ปกติธรรมดา เราก็นั่งสมาธิมามากพอสมควร จิตใจสงบระงับความกลัวได้มาก แม้ในป่า ในถ้ำ เราก็ไปมาหลายที่แล้ว ไปคนเดียว ฝึกจิตมาพอสมควรแล้ว เห็นมามากพอสมควรแล้ว อันความกลัวของเราในฝีสางนางไม้ นี่น่าจะหมดแล้วดับแล้ว พอสติตามมาตรงนี้ จึงเกิดคำถามว่า แล้วคืนนี้เราจะพิสูจน์ความกลัวอีกครั้งเพื่อชี้ชัดว่าอันความกลัวของเรานั้นดับจริงๆแล้วหรือ

    คืนนั้นเมื่อเวลาประมาณ3-4ทุ่มจึงตัดสินใจเดินออกจากรีสอรท์ไปคนเดียว เพื่อเดินขึ้นไปยังยอดเขา ซึ่งมีวัดเขาปรางค์มีพระธาตุเจดีย์เพิ่งเริ่มก่อสร้าง มองเห็นแต่ไกล ระยะทางจากที่พักประมาณ3กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ1-2ชม ทางเดินเป็นทางมอเตอร์ไชด์วิ่งได้แค่คนเดิน ข้างทางมืดสนิท มีต้นไม้ปิดคลุมข้างทาง มืดมากเดินไปแบบคลำทางเวลาเดินต้องมองท้องฟ้าเพราะช่องทางเดินท้องฟ้าจะโล่งเห็นดาว เพราะไม่มีต้นไม้ ปกคลุม พอเดินไปความกลัวก็เกิดขึ้นผุดขึ้น กลัวฝีป่า กลัวโจรจะมาปล้น สติสมาธิที่เคยมีก็ตามไม่ทัน อาศัยกำลังใจจากพระพุทธเจ้า หลวงปู่ทวด สมเด็จโต สวดมนต์ไป เดินไปได้ครึ่งทาง ปัญญาเกิด จิตเข้าถึงสภาพความจริง ว่า จิตเรามันยังไง่มันไม่เที่ยง มันยังกลัวแต่ด้วยสัจจธรรมความจริง ทุกอย่างไม่มีอะไร เที่ยงแท้แน่นอน วันนี้เรามีร่างกายเป็นมนุษย์ เป็นจิตที่มีร่างอาศัยอยู่
    ถึงเวลาก็ต้องตาย ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ถึงเวลา จิตนี้ก็ต้องอพยพเคลื่อนไป เหมือนดังจิตวิญญาณทั้งหลายที่ตามเรามา เราและเขาความจริงแล้วไม่ต่างกัน แบกไปด้วยทุกข์ แล้วความจริงเป็นอย่างนี้เราจะกลัวอะไรอีก จิตก็ปล่อยวาง เดินทำสมาธิขึ้นไปบนเขา ผ่านวัดและป่าช้า เสียหมาเห่าและหอนอย่างน่ากลัว แต่ตอนนั้นไม่มีอะไรให้กลัวอีกแล้ว ผมจึงเลือกสถานที่ตรงป่าช้าใกล้ๆกับพระเจดีย์ที่กำลังสร้างใหม่ กวาดพื้นแล้วจึงนั่งลง ด้านหลังมีพระพุทธรูปปูนปั้น เก่าแก่ทรุดโทรม จึงกราบท่านและขอบารมีพระ คุ้มครอง คืนนี้ของเจริญภาวนาเพื่อขอให้มีดวงตาเห็นธรรม จึงเจริญภาวนาไป ถึงพร้อมด้วยสติ สมาธิ สติเห็นว่าอันความกลัวดับแล้วจิตวิญญาณทั้งหลายนั้นเป็นธรรมดาที่ยังเวียนว่ายอยู่ เราก็เช่นกัน พิจารณากาย ร่างกาย เวทนาก็ระงับด้วยอำนาจของฌาณสมาธิ จิตรวมเป็นหนึ่ง รวมที่สูญกลางกาย ดิ่งลงไปสู่อุเบกขาญาณ สงบระงับปล่อยวาง เป็นความว่าง ว่างเพราะอำนาจของฌาณข่มไว้ วิปัสสนา ยังไม่เกิด สติแค่รู้เฉย แต่ก็สังเกตได้ว่า จิตสงบระงับจากสิ่งต่างๆได้ดี จิตมีปิติสุขดีมาก ก่อนออกจากสมาธิมีเสียงก้องกังวาลเข้ามาในจิตว่า ในเมื่อ สติ สมาธิ ฌาณเกิดพร้อมดีแล้ว เหตุใดไม่ดึงวิปัสสนาขึ้นมาละ จะได้เกิดปัญญาอย่างแท้จริง จะได้มีดวงตาเห็นธรรมอย่างแท้จริง สิ้นคำกล่าว อาการปิติขนลุกเกิดแรงมากจนขนผมตั้งชี้ขึ้น จึงพิจาณา ว่าคำกล่าวนี้ถูกต้อง นับต่อจากนี้ไป เราจะเจริญวิปัสสนาให้มาก โดยอาศัย สติและสมาธิฌาณเป็นบาตรฐาน ครับ เสร็จจากนั่งสมาธิภาวนาแล้ว ก็อุทิศบุญและเดินทางกลับ ก็ประมาณตี2-3ได้ครับ ขากลับนี่แปลกมาก มีความสุขมีปิติมากอย่างบอกไม่ถูก ใช้เวลากลับเท่ากับตอนมาแต่เหมือนเร็วมาก ครับ


    ขอเล่าเพียงเท่านี้ครับ ขอแนะนำว่า การเจริญสมาธิฝึกจิต การได้ผ่านประสพการณ์จริง กับการไม่เคยผ่านของจริง ย่อมมีความแตกต่าง แต่ผู้ฝึกมาดีย่อมมีทุนสำรองย่อมสามารถดึงกำลังจิตที่ฝึกมาดีแล้ว เอาชนะและผ่านไปได้ เมื่อสอบผ่านแล้วจิตรับรู้ยอมรับความจริงแล้ว จิตย่อมก้าวสู่ธรรมที่สูงยิ่งๆขึ้นไปได้อย่างแท้จริง การทดสอบกำลังจิต จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ฝึกควร มีบ้างตามเหตุอันสมควรครับ สาธุ
     
  5. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    5555...แหม๊ ...กว่าจะได้อะไรมาสักอย่างมันก็ต้องลงทุนลงแรงกันหน่อย...หากทำเพื่อฝึกจิตให้นิ่งได้อันเนี้ยเจ๋งเลย....แต่ก็อย่างที่บอก...ผู้ที่ยังอ่อนอยู่ ตอนเข้าไปฝึกในป่าช้าใหม่ๆ คงต้องค่อยเป็นค่อยไป คือเริ่มจากการ ไปกันเป็นร้อย ทยอยลดจำนวนลงเรื่อยๆ ...แล้วค่อยเหลือคนเดียวในภายหลัง หนะท่าน (กันจิตหลอน...!!)​
     
  6. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    เป็นเช่นนั้นแล คนเมืองโสธร
     
  7. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    “ให้รู้สึกว่าเคราะห์นั้นทำให้เราดีขึ้น เป็นครูของเรา เป็นผู้เตือนเรา เป็นผู้ลวงใจเรา อย่าเห็นว่าเคราะห์กรรมเป็นของเลว ไม่น่าปรารถนา ควรคิดว่าเป็นของดีที่ทำให้เราเข้มแข็งมั่นคงขึ้น ให้รู้สึกเสมอว่าเราเกิดมาเรียนทั้งเคราะห์ร้ายและเคราะห์ดี เคราะห์เป็นบทเรียนของเรา ที่จะทำให้เราแจ้งโลกแล้วจะได้พ้นโลก ดังนี้ เราจะไม่รู้จักเคราะห์ร้ายเลยในชีวิต อย่างไรก็ดีอย่าปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามยถากรรม โดยมิทำการต่อสู้เลยเป็นอันขาด”

    เจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต ธัมมวิตักโก ภิกขุ
    ที่มา fb Motanaboon.Com
     
  8. phiung_ay

    phiung_ay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +895
    ขอบคุณมากค่ะ คุณพี่สุดเริฟของน้องที่ชี้ทางธรรมให้ตลอดมาค่ะ

    ถ้าเป็นตัวเลขสมมติทางโลก ก้อควรไปยืนรวมกันอยู่ที่เลข 9 เพื่อจะได้ก้าวเดินไปพร้อมๆกัน และต้องจับมือกันเดินไปด้วยตามภาพ เพราะว่า เผื่อมีใครคนหนึ่งคนใดสะดุด คนที่จับมือไว้มั่นได้ปะคองกันไปจนถึงจุดหมายค่ะ ถ้าเดินอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย เกิดล้มขึ้นมา เจ็บ ร้องให้ แล้วใครจะโอ๋ อิอิ

    แต่ถ้าเป็นธรรมะ แม้นตัวเลขที่กำหนดขึ้นมาก้อเป็นเพียงสิ่งสมมติที่มิควรยึด อยู่ที่การปฏิบัติเท่านั้น ว่าเราเลือกที่จะวาง หรือเลือกที่จะถกเถียง ต่อให้ไปอยู่ฝั่งเลขหก ถ้าเราพร้อมมุ่งหน้ากันปฏิบัติและพากันเดินไป เลขหกก้อมิใช่ตัวกำหนดชะตาชีวิตของเรา เพราะคำว่า "หก" ก้อมีแต่จิตเท่านั้นที่ปรุงแต่งไปว่ามันเป็นคำที่ไม่ดี เป็นคำที่ไม่มงคล จิงไหมคะ คุณพี่ dammanee สุดเริฟ สุดสวาสขาดดิ้น อิอิ ^^​
     
  9. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    น่ารั๊กจริ๊งๆๆๆผึ้งน้อยของพี่ .....สู้ๆๆกันต่อไป เป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน ไม่มีอารมณ์ไหนสิ่งไหนอยู่กับเราได้ตลอดหรอกนาแค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอเลี้ยว อิอิ....!!! จริงไหม๊
     
  10. phiung_ay

    phiung_ay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +895
    มาแล้วค่ะ ภาพปริศนาธรรมภาพใหม่ เพิ่งทำเสร็จสดๆร้อนๆ

    จากภาพดังกล่างนี้ ขอให้พี่ๆช่วยกันแสดงธรรมในแบบฉบับของตนเองสอนน้องหน่อยนะคะ แล้วค่ำๆ น้องจะมารออ่านธรรมะ จากจิตพี่ๆทั้งหลาย เพื่อเป็นการทำกิจกรรมธรรมะร่วมกัน และเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเชิงธรรมะค่ะ ขอให้แสดงธรรมกันให้เต็มที่เลยนะคะ น้องจะเอามาเทใส่หัวตัวเองให้หมด อิอิ ขอขอบพระคุณทุกท่านล่วงหน้าค่ะ และขออุทิศบุญในการสนทนาธรรมครั้งนี้ ให้แก่คุณพ่อ และ คุณแม่ผึ้งด้วยค่ะ สาธุ...

    แล้วจะทำภาพปริศนาธรรมมาให้คุยกันเรื่อยๆนะคะ ^^
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157

    สวัสดีค่ะ คุณ◎ [​IMG]




    [​IMG]
     
  12. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    มามะ..มาฟังเพลงกันดีกว่าค่ะ..อิๆๆ


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=ycn4f7TQePM]Barry Manilow - Can't Smile Without You Original HD - YouTube[/ame]
     
  13. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    เอ้า..แถมให้อีกเพลงค่า...อิๆๆ..เปลี่ยนบรรายากาศกันมั่ง..:cool:

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=VcEKPAKuvgU]Close to You - Carpenters with Lyrics - YouTube[/ame]
     
  14. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    ยึดพระพุทธธรรมเป็นสรณะ

    "ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ
    ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."



    .
     
  15. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ยศและลาภ หาบไป ไม่ได้แน่

    มีเพียงแต่ ต้นทุน บุญกุศล

    ทรัพสมบัติ ทิ้งไว้ ให้ปวงชน

    แม้ร่างตน เขาก็เอา ไปเผาไฟ

    เมื่อเจ้ามา มีอะไร มาด้วยเจ้า

    เจ้าจะเอา แต่สุข สนุกไฉน

    เจ้ามา มือเปล่า แล้วเจ้าจะเอาอะไร

    เจ้าก็ไป มือเปล่า เหมือนเจ้ามา

    สมเด็จพุฒาจารย์ ( โต )
     
  16. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    ธรรมะ vs ความขัดแย้ง

    พอดีไปเจอที่ห้องพุทธศาสนา จึงเอามาให้อ่านกันเล่นๆ

    จูฬวิยูหสุตตนิทเทสที่ ๑๒

    น้อมนำมาเป็นอุทาหรณ์อบรมจิตตนเองและแบ่งปันพี่ๆน้องๆ.. สาธุครับ
     
  17. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    เราคนเดียว

    เที่ยวรัก เที่ยวโกรธ

    จะไปโทษใคร

    แก้อะไรใครได้

    ก็ไม่เท่าแก้ใจตนเอง

    ได้เพียงคนเดียว


    หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มกราคม 2013
  18. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    สมบัติของอุบาสก ๕ ประการ
    ๑.ประกอบด้วยศรัทธา
    ๒.มีศีลบริสุทธิ์
    ๓.ไม่ถือมงคลตื่นข่าว คือเชื่อกรรม ไม่เชื่อมงคล
    ๔.ไม่แสวงหาเขตบุญนอกพุทธศาสนา
    ๕.บําเพ็ญบุญแต่ในพุทธศาสนา
    อุบาสกพึงตั้งอยู่ในสมบัติ ๕ประการ และเว้นจากวิบัติ๕ ซึ่งวิปริตจากสมบัตินั้นๆ
    ที่มา หนังสือ นวโกวาท.
     
  19. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ธรรมของฆราวาส ๔ อย่าง
    ๑.สัจจะ สัตย์ซื่อต่อกัน
    ๒.ทม รู้จักข่มจิตของตน
    ๓.ขันติ อดทน
    ๔.จาคะ สละสิ่งของของตนแก่คนที่ควรให้ปัน
    ผู้ครองเรือนต้องปฤติปฏิบัติธรรม ๔ อย่างนี้ ที่มา หนังสือ นวโกวาท.
     
  20. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    อรรถกถา มังคลชาดก
    ว่าด้วย ถือมงคลตื่นข่าว​


    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภพราหมณ์ผู้รู้จักลักษณะผ้าสาฎกผู้หนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ยสฺส มงฺคลา สมูหตา ดังนี้.

    ได้ยินว่า พราหมณ์ชาวพระนครราชคฤห์ผู้หนึ่งเป็นผู้ถือมงคลตื่นข่าว ไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย เป็นมิจฉาทิฏฐิ มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก. หนูกัดคู่แห่งผ้าสาฎกที่เขาเก็บไว้ในหีบ ครั้นถึงเวลาที่เขาสนานเกล้า กล่าวว่า จงนำผ้าสาฎกมา คนทั้งหลายจึงบอกการที่หนูกัดผ้าแก่เขา เขาคิดว่า ด้วยผ้าสาฎกทั้งคู่ที่หนูกัดนี้ จักคงมีในเรือนนี้ละ ก็ความพินาศอย่างใหญ่หลวงจักมี เพราะผ้าคู่นี้เป็นอวมงคล เช่นกับตัวกาฬกรรณี ทั้งไม่อาจให้แก่บุตรธิดาหรือทาสกรรมกร เพราะความพินาศอย่างใหญ่หลวงจักต้องมีแก่ผู้ที่รับผ้านี้ไป ทุกคนต้องให้ทิ้งมันเสียที่ป่าช้าผีดิบ แต่ไม่กล้าให้ในมือพวกทาสเป็นต้น เพราะพวกนั้นน่าจะเกิดโลภในผ้าคู่นี้ ถือเอาไปแล้วถึงความพินาศไปตามๆ กันได้ เราจักให้ลูกถือผ้าคู่นั้นไป เขาเรียกบุตรมาบอกเรื่องราวนั้น แล้วใช้ไปด้วยคำว่า พ่อคุณ ถึงตัวเจ้าเองก็ต้องไม่เอามือจับมัน จงเอาท่อนไม้คอนไปทิ้งเสียที่ป่าช้าผีดิบ อาบน้ำดำเกล้าแล้วมาเถิด.

    แม้พระบรมศาสดาเล่า ในวันนั้นเวลาใกล้รุ่ง ทรงตรวจพวกเวไนยสัตว์ เห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของพ่อลูกคู่นี้ ก็เสด็จไปเหมือนพรานเนื้อตามรอยเนื้อ ฉะนั้น ได้ประทับยืน ณ ประตูป่าช้าผีดิบ ทรงเปล่งพระพุทธรังษี ๖ ประการอยู่.

    แม้มาณพรับคำบิดาแล้ว คอนผ้าคู่นั้นด้วยปลายไม้เท้า เหมือนคอนงูเขียว เดินไปถึงประตูป่าช้าผีดิบ. ลำดับนั้น พระศาสดารับสั่งกะเขาว่า มาณพ เจ้าทำอะไร? มาณพกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ผ้าคู่นี้ถูกหนูกัด เป็นเช่นเดียวกับตัวกาฬกรรณี เปรียบด้วยยาพิษที่ร้ายแรง บิดาของข้าพระองค์เกรงว่า เมื่อผู้ทิ้งมันเป็นคนอื่น น่าจะเกิดความโลภขึ้นถือเอาเสีย จึงใช้ข้าพระองค์ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าเองก็มาด้วยหวังว่า จักทิ้งมันเสีย. พระศาสดาตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น ก็จงทิ้งเถิด. มาณพจึงทิ้งเสีย.

    พระศาสดาตรัสว่า คราวนี้สมควรแก่เราตถาคต ดังนี้แล้ว ทรงถือเอาต่อหน้ามาณพนั้นทีเดียว ทั้งๆ ที่มาณพนั้นห้ามอยู่ว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ นั่นเป็นอวมงคลเหมือนตัวกาฬกรรณี อย่าจับ อย่าจับเลย พระศาสดาก็ทรงถือเอาผ้าคู่นั้น เสด็จผันพระพักตร์มุ่งหน้าตรงไปพระเวฬุวัน.

    มาณพรีบไปบอกแก่พราหมณ์ผู้บิดาว่า คุณพ่อครับ คู่ผ้าสาฎกที่ผมเอาไปทิ้งที่ป่าช้าผีดิบนั้น พระสมณโคดมตรัสว่า ควรแก่เรา ทั้งๆ ที่ผมห้ามปราม ก็ทรงถือเอาแล้วเสด็จไปสู่พระเวฬุวัน ถึงพระสมณโคดมทรงใช้สอยมัน ก็ต้องย่อยยับ แม้พระวิหารก็จักพินาศ ทีนั้น พวกเราจักต้องถูกครหา เราต้องถวายผ้าสาฎกอื่นๆ มากผืนแด่พระสมณโคดม ให้พระองค์ทรงทิ้งผ้านั้นเสีย เขาให้คนถือผ้าสาฎกหลายผืน ไปสู่พระวิหารเวฬุวันกับบุตร ถวายบังคมพระศาสดา แล้วยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระสมณโคดม ได้ยินว่า พระองค์ทรงถือเอาคู่ผ้าสาฎกในป่าช้าผีดิบ จริงหรือ พระเจ้าข้า? ตรัสว่า จริง พราหมณ์. กราบทูลว่า ข้าแต่พระสมณโคดม คู่ผ้าสาฎกนั้นเป็นอวมงคล เมื่อพระองค์ทรงใช้สอยมัน จะต้องย่อยยับ ถึงพระวิหารทั้งสิ้นก็จักต้องทำลาย ถ้าผ้านุ่งผ้าห่มของพระองค์มีไม่พอ พระองค์โปรดรับผ้าสาฎกเหล่านี้ไว้ ทิ้งคู่ผ้าสาฎกนั้นเสียเถิด.

    ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสกะเขาว่า พราหมณ์ พวกเรามีนามว่าบรรพชิต ผ้าเก่าๆ ที่เขาทิ้ง หรือตกอยู่ในที่เช่นนั้น คือที่ป่าช้าผีดิบ ที่ท้องถนน ที่กองขยะ ที่ท่าอาบน้ำ ที่หนทางหลวง ย่อมควรแก่พวกเรา ส่วนท่านเองมิใช่แต่จะเพิ่งเป็นคนมีลัทธิอย่างนี้ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อน ก็เคยมีลัทธิอย่างนี้เหมือนกัน.

    เขากราบทูลอาราธนา ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
    ในอดีตกาล พระเจ้ามคธราชผู้ทรงธรรม เสวยราชสมบัติในพระนครราชคฤห์ แคว้นมคธ. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เกิดในสกุลอุทิจจพราหมณ์สกุลหนึ่ง ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว บวชเป็นฤๅษี ยังอภิญญาและสมาบัติให้เกิดแล้ว พำนักอยู่ในป่าหิมพานต์.

    ในกาลครั้งหนึ่ง ออกจากป่าหิมพานต์มาถึงพระราชอุทยานในพระนครราชคฤห์ พำนักอยู่ที่นั้น วันที่สองเข้าสู่พระนครเพื่อต้องการภิกขาจาร พระราชาทอดพระเนตรเห็นท่านแล้ว รับสั่งให้นิมนต์มา อาราธนาให้นั่งในปราสาท ให้ฉันโภชนาหารแล้ว ทรงถือเอาปฏิญญา เพื่อการอยู่ในพระอุทยานตลอดไป. พระโพธิสัตว์ฉันในพระราชนิเวศน์ พักอยู่ในพระราชอุทยาน. กาลครั้งนั้น ในพระนครราชคฤห์ ได้มีพราหมณ์ชื่อว่าทุสสลักขณพราหมณ์ (พราหมณ์ผู้รู้ลักษณะผ้า).

    เรื่องทั้งปวงตั้งแต่ เขาเก็บคู่ผ้าสาฎกไว้ในหีบเป็นต้นไปเช่นเดียวกันกับเรื่องก่อน นั่นแหละ (แปลกแต่ตอนหนึ่ง) เมื่อมาณพไปถึงป่าช้า พระโพธิสัตว์ไปคอยอยู่ก่อนแล้ว นั่งอยู่ที่ประตูป่าช้า เก็บเอาคู่ผ้าที่เขาทิ้งแล้วไปสู่อุทยาน มาณพไปบอกแก่บิดา. บิดาคิดว่า ดาบสผู้ใกล้ชิดราชสกุล จะพึงฉิบหาย จึงไปสำนักพระโพธิสัตว์ กล่าวว่า ข้าแต่พระดาบส ท่านจงทิ้งผ้าสาฎกที่ท่านถือเอาแล้วเสียเถิด จงอย่าฉิบหายเสียเลย.

    พระดาบสแสดงธรรมแก่พราหมณ์ว่า ผ้าเก่าๆ ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า ควรแก่พวกเรา พวกเรามิใช่พวกถือมงคลตื่นข่าว ขึ้นชื่อว่าการถือมงคลตื่นข่าวนี้ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ไม่สรรเสริญเลย เหตุนั้น บัณฑิตต้องไม่เป็นคนถือมงคลตื่นข่าว.

    พราหมณ์ฟังธรรมแล้วทำลายทิฏฐิเสีย ถึงพระโพธิสัตว์เป็นสรณะแล้ว แม้พระโพธิสัตว์ก็มีฌานมิได้เสื่อม ได้เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า แม้พระบรมศาสดาทรงนำเรื่องอดีตนี้มาแล้ว ครั้นตรัสรู้พระสัมโพธิญาณแล้ว เมื่อจะทรงแสดงธรรมแก่พราหมณ์ ตรัสพระคาถานี้ ความว่า :-

    ผู้ใดไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ถืออุกกาบาต ไม่ถือความฝัน ไม่ถือลักษณะดีหรือชั่ว ผู้นั้นชื่อว่า ล่วงพ้นโทษแห่งการถือมงคลตื่นข่าว ครอบงำกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพที่เป็นคูกั้น ย่อมไม่กลับมาเกิดอีก ดังนี้.

    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺส มงฺคลา สมูหตา ความว่า มงคลเหล่านี้คือ
    ทิฏฐิมงคล มงคลที่เกิดเพราะสิ่งที่เห็น ๑
    สุตมงคล มงคลที่เกิดเพราะเรื่องที่ฟัง ๑
    มุตมงคล มงคลที่เกิดเพราะอารมณ์ที่ได้ทราบ ๑

    อันพระอรหันตขีณาสพใด ถอนขึ้นได้แล้ว.
    บทว่า อุปฺปาตา สุปินา จ ลกฺขณา จ ความว่า เรื่องอุบาทที่เป็นเรื่องใหญ่ ๕ ประการเหล่านี้คือ

    จันทรคราธรูปอย่างนี้จักต้องมี
    สุริยคราธรูปอย่างนี้จักต้องมี
    นักษัตคราธรูปอย่างนี้จักต้องมี
    อุกกาบาตรูปอย่างนี้จักต้องมี
    ลำพู่กันรูปอย่างนี้จักต้องมี
    อีกทั้งความฝันมีประการต่างๆ ลักษณะทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ คือ ลักษณะคนโชคดี ลักษณะคนโชคร้าย ลักษณะหญิง ลักษณะชาย ลักษณะทาส ลักษณะทาสี ลักษณะคาม ลักษณะศร ลักษณะอาวุธ ลักษณะผ้า เหล่านี้เป็นฐานแห่งทิฏฐิ.


    ท่านผู้ใดถอนได้หมดแล้ว คือไม่เชื่อถือเอาเป็นมงคล หรืออวมงคลแก่ตน ด้วยเรื่องอุปบาตเป็นต้นเหล่านี้.

    บทว่า โส มงฺคลโทสวีติวตฺโต ความว่า ท่านผู้นั้นเป็นภิกษุผู้ขีณาสพ ล่วงพ้น ก้าวผ่าน ละเสียได้ซึ่งโทษแห่งมงคลทุกอย่าง.

    บทว่า ยุคโยคาธิคโก น ชาตุเมติ ความว่า กิเลสที่มารวมกันเป็นคู่ๆ โดยนัยมีอาทิว่า โกธะความโกรธ และอุปนาหะความผูกโกรธ มักขะความลบหลู่ และปลาสะความตีเสมอ ดังนี้ ชื่อว่ายุคะ. กิเลส ๔ อย่างเหล่านี้ คือ กามโยคะ ภวโยคะ ทิฏฐิโยคะ อวิชชาโยคะ ชื่อว่าโยคะ เพราะเป็นเหตุประกอบสัตว์ไว้ในสงสาร ภิกษุผู้เป็นพระขีณาสพ บรรลุแล้วคือ ครอบงำไว้ได้แล้ว ล่วงพ้นแล้ว ได้แก่ผ่านไปแล้วด้วยดี ซึ่งยุคและโยคะ คือทั้งยุคและโยคะเหล่านั้น.

    บทว่า น ชาตุเมติ ความว่า ท่านผู้นั้นย่อมไม่ถึง คือไม่ต้องมาสู่โลกนี้ด้วยสามารถแห่งปฏิสนธิใหม่ โดยแน่นอนทีเดียว.

    พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมแก่พราหมณ์ ด้วยพระคาถานี้ ด้วยประการฉะนี้ แล้วทรงประกาศสัจธรรม เมื่อจบสัจจะ พราหมณ์กับบุตรดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล.

    พระศาสดาทรงประชุมชาดกว่า
    บิดาและบุตรในครั้งนั้น ได้มาเป็นบิดาและบุตรคู่นี้แหละ
    ส่วนดาบสได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.

    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=87
     

แชร์หน้านี้

Loading...