ยุคก่อนมีพระพุทธรูป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 6 ธันวาคม 2012.

  1. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    ผมขอหลักฐานคุณไปตั้งนาน อย่าเงียบ อุรุ ก็ยังเห็นว่ายังออนอยู่ไม่ใช่หรือ
    เอามาเร็วๆๆ
    อย่าแถ อย่าเกรียน เบื่อ..........
     
  2. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ความศักดิ์สิทธิ์มันไม่ยุติธรรม

    เหตุผลที่มนุษย์ถือไสยศาสตร์ได้โดยง่าย.
    ทีนี้เรามาดูความลึกซึ้ง ความยุ่งยากลำบาก ในการทีจะสะสางปัญหาเหล่านี้. ทำไมมันจึงง่ายที่จะมีไสยศาสตร์? ตั้งปัญหาขึ้นมาอย่างนี้ก็แล้วกัน ว่าทำไมมันจึงง่ายที่จะมีไสยศาสตร์? แล้วทำไมมนุษย์เราจึงเต็มไปด้วยไสยศาสตร์ นี้ก็เป็นสิ่งที่มีเหตุผลซ่อนเร้นอยู่อย่างลึกลับ พอสมควรทีเดียว, จะต้องพิจารณากันอย่างละเอียดลออพอสมควร จึงจะมองเห็นได้.

    ข้อแรกนี้ ไสยศาสตร์ นั้นมีหลักเกณฑ์เข้ากันได้ กับสัญชาตญาณที่ไม่รู้อะไร ของสัตว์ที่ยังไม่รู้อะไร, มันเข้ากันได้กับอวิชชาความไม่รู้อะไร ที่สัตว์มีอยู่ในสันดานพื้นฐาน คือสัตว์เกิดมาไม่รู้อะไร ยังไม่รู้อะไร ไม่มีปัญญาวิมุติ ไม่มีเจโตวิมุติ, ไม่มีความรู้เรื่องปัญญาวิมุติ เจโตวิมุติมาแต่ในท้อง เด็กมันก็เหมาะที่จะรับไสยศาสตร์.

    ทีนี้ ข้อที่สอง ไสยศาสตร์นี้เหมาะแก่สัญชาติญาณของการพึ่งผู้อื่น พึ่งผู้อื่น ให้ผู้อื่นช่วยคือ เด็ก ๆ พอคลอดมาจากท้องมารดา มันก็มีคนช่วยมาตั้งแต่แรกคลอดออกมา. แรกออกจากท้องมารดาจนตลอดเวลามีผู้อื่นช่วย, แล้วสัญชาตญาณที่ยังมีอวิชชา มันก็ไม่มีความรู้ที่จะช่วยตัวเอง มันมีความรู้แต่จะให้ผู้อื่นช่วย, นี้เรื่องของไสยศาสตร์มันเข้ารูปกันพอดี. ไสยศาสตร์นี้ต้องผู้อื่นช่วย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย สิ่งซึ่งเราไม่อาจจะรู้ได้ว่าเป็นอะไรนั่นแหละจะมาช่วย, คือไสยศาสตร์; มันก็เข้ากันได้พอดีกับสัญชาตญาณเดิม ๆ ของสัตว์ ที่มันไม่รู้อะไร, และหวังอยู่แต่ว่าจะให้ผู้อื่นช่วย. เราจึงคลอดออกมาจากท้องแม่ เหมาะสมที่จะรับเอาไสยศาสตร์, ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร มันเป็นธรรมชาติธรรมดาอย่างนั้น, คลอดออกมาจากท้องแม่ มันก็มีความเหมาะสมที่จะรับเอาไสยศาสตร์. มันพอดีกันแหละ พอออกมาพบกับสิ่งที่เหมาะสมกัน มันก็รับเอา. ฉะนั้นคนเราจึงมีความรู้ความเชื่อความยึดถือแบบไสยศาสตร์เรื่อย ๆ มา ตามที่ว่าคนข้าง เคียงเขาแวดล้อมให้, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำที่ใช้ขู่เด็ก ๆ ว่าจงทำอย่างนั้นนะ ไม่ทำอย่างนั้นจะเป็นอย่างนั้นนะ แล้วเป็นไสยศาสตร์ทั้งนั้น.

    ทีนี้ ข้อที่สามก็คือว่า ไสยศาสตร์นี้ลงทุนน้อย มันเหนื่อยน้อย แล้วมันง่ายกว่ากันมาก. ไสยศาสตร์นี่ลงทุนน้อย ลงทุนน้อย พิธีไสยศาสตร์ลงทุนน้อย : เอาอาหารใส่เปลือกหอยสักนิดหนึ่ง ไป วางไว้จ้างเทวดาช่วยทำอะไรก็ได้ มันลงทุนน้อย, อะไรก็ลงทุนน้อยเรื่องของไสยศาสตร์ มันเป็นค้ากำไรเกินควร แล้วมันเหนื่อยน้อยนี่; เพราะเขาบอกแต่ว่าทำอย่านี้ สวดอย่างนี้ พูดอย่างนี้ ภาวนาอย่าง นี้ มันเหนื่อยน้อย มันลงทุนน้อย, แล้วมันก็ง่ายกว่า ทำได้ง่ายกว่า ให้ว่าคาถาอย่างนี้ไม่กี่บรรทัด เดี๋ยวก็ รวยตาย, เดี๋ยวก็ผู้หญิงตามมาเป็นพรวนเลย. เด็ก ๆ มันก็เลยเรียนคาถาอาคมกันมาก นี่มัน เป็น เรื่องที่ว่า มีได้ง่าย มีได้ง่ายสำหรับคนเรา เพราะว่ามันลงทุนน้อย มันเหนื่อยน้อย มันง่ายกว่า สำหรับคนที่ไม่รู้อะไร.

    ทีนี้ ข้อที่สี่ ไสยศาสตร์นี้ เหมาะสำหรับคนส่วนมาก ที่มีปัญญาอ่อน. คนปัญญาอ่อนคือคนไม่รู้ อะไรตามที่เป็นจริง; ไม่ใช่ปัญญาอ่อนอย่างเด็กปัญญาอ่อนที่เขาไม่มีความสมบูรณ์ทางร่างกาย; นั้นมันปัญญาอ่อนอีกชนิดหนึ่ง. เดี๋ยวนี้ปัญญาอ่อนทั่วไปของมนุษย์ ที่ว่ามันเชื่อง่าย; คนทั่วไปไม่มีปัญญา-ไม่มีปัญญามากพอก็เรียกว่าปัญญาอ่อน, มวลชนทั้งหลายในโลกนี้ ส่วนมากมันปัญญาอ่อน เพราะมันไม่ได้เรียนรู้เรื่องอะไร, ไม่ว่ามวลชนชาติไหนแหละ ชาติตะวันออกชาติตะวันตก ฝรั่งคนไทย จีน แขก ส่วนมากที่ปล่อยกันมาตามธรรมชาติแล้ว ปัญญามันอ่อน. ทีนี้ระบบไสยศาสตร์นั้น มันเข้ากันได้ง่ายกับระบบปัญญาอ่อน, ไสยศาสตร์เข้ากันได้ง่ายกับชนที่ปัญญาอ่อน. พุทธศาสตร์มันเข้ากันได้ยากกับคนที่ปัญญาอ่อน เพราะมันลึก คนจึงคว้าเอาไสยศาสตร์เข้าไว้เต็มที่, ในโลกนี้ก็คว้าเอาไสยศาสตร์กับเขาไว้เต็มที่ เพราะว่ามันเหมาะกับมวลชนที่มีปัญญาอ่อน, ข้อนี้ต้องไปดูเอเอง ว่าคนที่ถือไสยศาสตร์มีปัญญากี่มากน้อย แล้วถือเอาได้ง่ายเพียงไร, ตะครุบเอาได้โดยง่ายเพียงไร.

    ทีนี้ ข้อที่ห้าไสยศาสตร์นี้มันได้เปรียบ คือเขาห้ามไม่ให้ถาม, เขาห้ามไม่ให้ซัก, เขาห้ามไม่ให้ถาม เขาให้ยกขึ้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์, เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยส่วนเดียว ไม่ให้ถามไม่ให้วิพากษ์ไม่ให้วิจารณ์. ไม่ต้องออกชื่อก็ได้, เด็ก ๆ คนหนึ่งเขาถามว่า ก็เทพารักษ์น่ะเทพารักษ์ที่อยู่ศาลาทำด้วยไม้นี่- มันทำด้วยไม้นี่ เด็กมันก็ถาม. อ้าว, นี้มือติดอย่างนี้ช่วยใครได้ล่ะ? เทวดาเทพารักษ์จะไปช่วยใครได้ มือติดแข็งอย่างนี้ จะไปช่วยใครได้ ผู้ใหญ่เขายังตีเอาเลย, ผู้ใหญ่เขายังตีเอาเลย ว่าตั้งคำถามไม่ถูกเรื่องแล้ว, ตั้งคำถามเป็นการทำลายแล้ว, นี่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้. เมื่อมีหลักอย่างนี้ ไสยศาสตร์ก็ได้เปรียบ; พุทธศาสตร์นี่ยอมให้ถาม ยอมให้ซัก ให้ทำด้วยสติปัญญา, ส่วนไสยศาสตร์นั้น เขาให้ทำด้วยการยอมรับ ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งลึกลับสำหรับบุถุชน. บุถุชนอย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ เมื่อเป็นอย่างนี้ ยิ่งลึกลับก็ยิ่งศักดิ์สิทธิ์สิ, ยิ่งเข้าใจไม่ได้มันก็ยิ่งศักดิ์สิทธิ์ อะไรที่เข้าใจไม่ได้เลยนั้น ยิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุดไสยศาสตร์มันก็ได้เปรียบเรื่อยไป

    ข้อที่ หก ยังมีการกระทำที่พลิกแพลง, พลิกแพลง แม้เดี๋ยวนี้ก็เรียกว่ามีการพลิกแพลง. เขาจะเจิมพระพุทธรูป เจิมเทวรูป เจิมรูปพระเจ้าน่ะ คนชาวบ้านนี้จะไปเจิมเทวรูป เจิมรูปพระเจ้า เจิมพระพุทธรูป เจิมอะไรต่าง ๆ นี้, มันพลิกแพลง มันกลับเอาหัวลงแล้ว. นี่เรื่องของไสยศาสตร์มันก็เป็นเสียอย่างนี้, แล้วคนนั่นแหละก็สร้างขึ้นมา แล้วก็ต้องช่วยเจิมให้ ช่วยเบิกตาให้ มันจึงจะเป็นพระเจ้า เป็นเทวดา เป็นเทวรูป เป็นพระพุทธรูป เป็น อะไรขึ้นมา. นี่มันพลิกแพลงกลับไปกลับมา, มันพลิกแพลงไปตามความงมงายได้มาก, เพราะพลิกแพลงไปตามความงมงายได้มากนั้นน่ะ มันจึงเป็นสิ่งเหนียวแน่น, เหนียวแน่น ฝังลึกเข้าไปอย่าง เหนียวแน่น ถอนยากเพราะมันพลิกแพลงได้ตามความงมงาย แล้วแต่จะงมงายกันอย่างไร นี่มันก็ลงราก ลึกและเหนียวแน่นถอนยาก.นี้เราเรียกว่าความได้เปรียบตามธรรมชาติของไสยศาสตร์, ไสยศาสตร์ย่อมได้เปรียบพุทธศาสตร์อยู่โดยธรรมชาติตามธรรมชาติ เช่นที่ว่ามานี้โลกนี้มันก็เต็มไปด้วยไสยศาสตร์.

    ไม่ใช่เราจะยกตนข่มท่านนะ ฟัง ๆ แล้วเดี๋ยวจะหาว่าอาตมายกตนข่มท่าน หรือพวกเราจะสุมหัวกันยกตนข่มท่าน ข่มผู้อื่น ข่มลัทธิอื่น, ไม่ต้องคิดอย่างนั้น ไม่มีเจตนาอย่างนั้น. มันมีเจตนาแต่ว่า ทำอย่างไรมนุษย์มันจะดีขึ้น; ทำอย่างไรมนุษย์เราจะดีขึ้น, เราไม่ได้คิดยกตนข่มใคร ที่ชักชวนกันให้ พิจารณานี้ ก็เพื่อว่าทำอย่างไรมนุษย์มันจะดีขึ้นไม่ใช่อวดดีไปยกตนข่มท่าน.

    ข้อที่เจ็ด ทีนี้มันก็เหนียวแน่น มันยึดเนื้อที่ไว้ได้มาก ไสยศาสตร์นี้มันเหนียวแน่น ยึดเนื้อที่ในจิตใจของคนไว้ได้มาก มันก็เลยปนกัน. ทีนี้มันก็ปนกันเหมือนแม่น้ำสองแควไหลมาพบกันรวมกัน แควไหน มันใหญ่มาก มันมากมันก็ทำหน้าที่ได้มาก. เดี๋ยวนี้เรื่องของไสยศาสตร์ กำลังมีอิทธิพลเหนือจิตใจของมวลชน. คำว่ามวลชนนี้หมายความว่าคนทั้งหมดมาก ปัญหาก็เกิดขึ้นเต็มไปหมด, แล้วฝ่ายอันธพาลก็ได้เปรียบ ฝ่ายอันธพาลเขาถือไสยศาสตร์ เขาก็ได้เปรียบ ได้เปรียบในการที่จะยึดไสยศาสตร์นั่นแหละ เป็นเครื่องส่งเสริมกำลังใจ ให้กระทำได้อย่างลงคอ, แม้เป็นการกระทำที่เลวทรามโหดร้ายทารุณอย่างไร ก็ได้อาศัยกำลังไสยศาสตร์นี้ เป็นเครื่องส่งเสริมกำลังใจ.

    ถ้าเราจะพูดว่า ขุนแผนที่เขาสรรเสริญกันนัก เขาฆ่าลูกในท้องของเขาออกมาได้ อย่างนี้ มันด้วยกำลังอะไร? มันก็ด้วยเรื่องไสยศาสตร์, แล้วขุนแผนกลับได้รับการยกย่องนับถือ ว่าดี เก่ง นั่นน่ะ มันเป็นเรื่องของไสยศาสตร์ ถ้าเขาถือพุทธศาสตร์จะทำอย่างนั้นไม่ได้ จะฆ่าเสีย แล้วเอาลูกออกมาทำอะไรอย่างที่ว่าในนิยายเรื่องขุนช้างขุนแผนนั้นไม่ได้. นี่ไสยศาสตร์มันส่งเสริมให้ทำได้ถึงอย่างนั้น ฆ่าเมียฆ่าลูกเอาลูกออกมาทำ เป็นอะไร, นี่ด้วยอำนาจอันแรงร้ายของสิ่งที่เรียกว่าไสยศาสตร์. เดี๋ยวนี้มันก็ยังอาละวาดอยู่ในโลก เพราะจะทำอะไรรุนแรง มันก็ต้องทำด้วยความคิดที่นอกเหนือไปจากสติ ปัญญาหรือเหตุผล ต้องไปตามความยึดถือที่งมงาย มันจึงจะทำได้.

    นี่ถือพุทธปนไสยนั่นแหละ, เราก็พูดกันได้ทุกคนที่ว่าถือพุทธปนไสยนั้นจริงที่สุด, เดี๋ยวนี้ถือพุทธปนไสยอย่างปนเปกัน. ไสยศาสตร์ได้เปรียบ เพราะว่าถูกเพาะให้งอกให้เจริญขึ้นมาตั้งแต่เกิด, ตั้งแต่แรกเกิดออกมาจากท้องแม่ ก็ได้รับการเพราะเมล็ดเพาะพืช งอกงามขึ้นมาตามลำดับ, แล้วพอมา ได้รับพุทธศาสตร์ทีหลังบ้าง มันก็มีอาการปนเปกัน โดยที่ไสยศาสตร์มันก็ไม่ยอมถอยไป, มันยังยืนอยู่ มันก็เลยได้ปนกัน ระหว่างพุทธศาสตร์กับไสยศาสตร์. เหมือนกับแม่น้ำสองแคว, แม่น้ำแควหนึ่งน้ำใส แม่น้ำแคว หนึ่งน้ำขุ่น, พอมาบรรจบกันเข้าก็ปนกันอย่างนั้นแหละ ในจิตใจของมนุษย์นี้มันก็มีการปนกัน ระหว่างพุทธกับไสย แล้วเราก็ถือลัทธิพุทธปนไสยกันได้โดยสะดวก.

    ทีนี้ถ้าพูดถึงเรื่องประวัติศาสตร์ เล่าเรื่องลัทธิศาสนา ที่มาสู่เมืองไทยแผ่นดินแหลมทอง ของไทยนี้. ลัทธิไสยศาสตร์มาก่อน มาจากอินเดีย ลัทธิพราหมณ์มาก่อน มาสู่แผ่นดินนี้ก่อน, ลัทธิพุทธนี้เพิ่มมาทีหลัง ก็เลยรากฐานมันไม่ลึกเหมือนลัทธิไสยศาสตร์. ที่บ้านเมืองเราเมืองไชยานี้ สังเกตดูสักหน่อยก็จะเห็นได้ว่า หน้าวัดจะมีโบสถ์พราหมณ์ ถ้าไม่รื้อทิ้งเสียหมดคงจะมีกันทุกวัด, วัดโบรมโบราณตั้งพันกว่าปีนั้น หน้าวัดจะมีโบสถ์พราหมณ์ ที่ไว้พระนารายณ์ ไว้พระอิศวรอะไรก็ตาม, แสดงว่าคนเราถือพร้อมกันทั้งพุทธทั้งพราหมณ์. เจ้านายเขาไม่ว่า เพราะว่า ให้มันถือก็แล้วกัน, มันจะเป็นเครื่องยึดหน่วงจิตใจ ให้ทำความดี ให้ร่วมมือกับบ้านเมือง, แล้วบางทีเรื่อง ของพราหมณ์ ก็มาอยู่ในโบสถ์ของพุทธเป็นบางอย่างบางครั้งก็มี.

    เมื่อเขาขุดเจดีย์วัดแก้วนั้น เจดีย์องค์ใหญ่ในช่องกลางที่เป็นช่องประธานก็ยังพบศิวลึงค์ พบพระคเณศ ซึ่งเป็นของฝ่ายพราหมณ์ฝ่ายฮินดู รวมอยู่กับพระพุทธรูปเหล่านั้นด้วย; หมายความว่าเคยได้รับความยกย่องนับถือพร้อม ๆ กันไป เรื่องถือพุทธปนพราหมณ์ เดี๋ยวก็ไหว้เทวดาที, เดี๋ยวก็ไหว้พระพุทธเจ้าที, เดี๋ยวก็ไหว้พระเจ้านั้นทีนี้ที. ขนบธรรมเนียมประเพณีตามบ้านเรือน ก็มีออกชื่อทั้งฝ่าย พุทธและฝ่ายพราหมณ์, ถึงวันสงกรานต์ไหว้อะไรกันบ้างคิดดูเถอะ. พอถึงวันสงกรานต์จัดที่บูชาไหว้อะไรกันบ้าง? ไหว้นางสงกรานต์ ไหว้ท้าวมหาพรหม ไหว้อะไรต่าง ๆ. นี้แสดงว่าชาวพุทธน่ะเขาถือ พุทธปนพราหมณ์กันมาอย่างนี้, นี้เรียกว่าความที่ปนเปกัน.

    คำว่าศักดิ์สิทธิ์ คำว่าศักดิ์สิทธิ์นั้นมันมีความหมายหลายแง่มุม : ศักดิ์สิทธิ์อย่างพระธรรม ก็ศักดิ์สิทธิ์ไปทางหนึ่ง, ศักดิ์สิทธิ์อย่างพระเจ้า ก็ศักดิ์สิทธิ์ไปอีกทางหนึ่ง. แต่ศักดิ์สิทธิ์อย่างพระเจ้านี้เข้าใจง่าย เด็ก ๆ รับเอาได้ทันที, ถ้าศักดิ์สิทธิ์อย่างพระธรรมนี้ เด็ก ๆ เข้าใจไม่ได้ รับเอาไม่ได้ ว่า นโม ตั้งพันครั้งหมื่นครั้งแล้ว มันก็ยังรู้ไม่ได้ว่าพระพุทธเจ้าคืออะไร; แต่ถ้าว่าศักดิ์สิทธิ์อย่างพระเจ้าพระอินทร์ พระพรหมพระอะไร รับได้ทันที เชื่อได้ทันที, มีความศักดิ์สิทธิ์เกิดขึ้นในใจทันที. นี่ความศักดิ์สิทธิ์มันไม่ยุติธรรม มันยืดหยุ่นได้ แล้วแต่ใครจะผันไปทางไหน, ผันความศักดิ์สิทธิ์ไปทางไหน, มันมีความเข้าใจได้ต่าง ๆ สำหรับคำว่าศักดิ์สิทธิ์ ๆ. แล้วศักดิ์สิทธิ์ที่เด็ก ๆ เข้าใจได้ง่ายนั่นแหละมันได้ เปรียบ, เป็นเรื่องไสยศาสตร์ทั้งนั้น ที่เด็ก ๆ จะเข้าใจได้ง่ายทันที; ฉะนั้นมันจึงมีการปนกันมาก ปนกันลึกซึ้ง.

    จิตตภาวนาในแง่ของไสยศาสตร์.
    ๒๙ มกราคม ๒๕๒๖
    พุทธทาสภิกขุ
     
  3. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผมอ่านเจอบทความนี้ "ยุคก่อนมีพระพุทธรูป" เขียนโดย สุวรรณา เหลืองชลธาร คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    และผมก็โพสต์ข้อความเพิ่มเติม ที่ท่านพระพุทธทาสภิกขุรวบรวมและอธิบายเรื่อง "ภาพพุทธประวัติจากหินสลัก ยุคก่อนมีพระพุทธรูป
    ในประเทศอินเดีย พ.ศ. ๓๐๐–๗๐๐" มีหลักฐานจากภาพถ่ายครบพร้อมคำอธิบายของท่านพระพุทธทาส

    ผมตั้งกระทู้ขึ้นมาผมไม่ได้พูดถึงการทำลายพระพุทธรูปเลย คุณโพสต์เรื่องพระเกษม คุณกล่าวหาผมต่างๆ นาๆ
    คุณคิดเอาเองทั้งนั้น เป็นคำพูดลอยๆ กล่าวหาผมเท่านั้น ผมให้คุณหาหลักฐานมาแสดง คุณหาหลักฐานไม่ได้
    แต่คุณก็ยังกล่าวหาผมลอย ๆ ด้วยคำพูดของคุณเหมือนเดิม คุณเอาบทความ
    จากหนังสือ "พระไทย ใช่เขาใช่เรา" ที่กล่าวไว้ว่าท่านพระพุทธทาสบอกว่า "นิพพานเป็นอนัตตา"
    ผมก็ไปอ่านหนังสือ "พระไทย ใช่เขาใช่เรา"ผมตามไปอ่านหนังสือ "ก ข ก กา ของท่านพระพุทธทาส
    ผมไม่พบข้อความตามที่เขียนอ้างว่าท่านพระพุทธทาสสอนว่า "นิพพานเป็นอนัตตา"
    ผมโพสต์หนังสือหน้าที่อ้างไว้ คุณไม่ได้อ่านหรือครับ

    พระธรรมคำสอนจากพระไตรปิฎกคุณไม่เห็นด้วย คำสอนของท่านพระพุทธทาสคุณไม่เห็นด้วย
    คำสอนของหลวงตามหาบัวคุณไม่เห็นด้วย ดังนั้นไม่มีประโยชน์ที่ผมจะสนทนากับคุณ
     
  4. ลมสุริยะ

    ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +215

    ท่านพุทธทาส แสดงความหมายของคำว่า พระพุทธรูปไว้ชัดเจน
    ธรรมะของท่านพุทธทาส เป็นธรรมะที่ลึกซึ้ง ต้องศึกษาอย่างใช้สติปัญญานะครับ

    ค่อยๆศึกษา และต้องหัดยอมรับความจริงนะครับ

    ถ้าเป็นคนดื้อด้าน ไม่ยอมรับความจริง จะศึกษาสัจธรรม ศึกษาธรรมขั้นสูงไปก็เสียเปล่า
     
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ทีนี้ ก็มาถึงปัญหาเกี่ยวกับสัญลักษณ์

    พวกที่ทำพระพุทธรูปขึ้นมา ก็จะหาทางออกว่า แม้ที่ทำเป็นองค์พระพุทธรูปขึ้นมานั้น ก็มุ่งให้เป็นเพียงสัญลักษณ์ (Symbol) ไม่ใช่ประสงค์จะทำเป็นรูปเหมือน (idol); ดังนั้นแม้จะมีอารมณ์ (mood) อะไรแสดงอยู่ในหน้าตานั้นบ้าง ก็ให้ถือเป็นเพียงสัญลักษณ์พอให้รู้ประวัติของพระพุทธองค์ได้ก็แล้วกัน ข้อนี้ยิ่งพูดไปก็จะยิ่งเห็นว่าเป็นการหาทางออกอย่างข้าง ๆ คู ๆ ยิ่งขึ้น, เพราะว่า ผู้ที่หลุดพ้นแล้วโดยแท้จริงนั้น ย่อมพ้นจากการกระตุ้นหรือการปรุงแต่งโดยประการทั้งปวง จึงไม่มีแบบหรือรูปของอารมณ์ (mood) ใด ๆ ที่เป็นของจริงสำหรับท่าน มีแต่ที่เปลือกนอกดังที่กล่าวแล้ว; การไปแสดงสัญลักษณ์ของสิ่งชั้นเปลือกนอกที่มิใช่พระองค์จริงนั้น จะมีประโยชน์อะไร, มิกลายเป็นการบ้าบอยิ่งขึ้นไปอีกหรือ

    พวกที่ทำภาพพุทธประวัติในหินสลักที่สาญจี ภารหุต และอมราวดีนั่นแหละ เป็นพวกที่ทำภาพพระพุทธองค์ในลักษณะที่เป็นสัญลักษณ์อย่างแท้จริง, และเป็นสัญลักษณ์ที่ถูกต้องถึงที่สุดจริง ๆ ด้วย พวกนี้มีความเห็นว่าไม่มีสัญลักษณ์ใด ๆ ที่เหมาะสมสำหรับพระองค์นอกจากสัญลักษณ์แห่งความว่าง, ดังนั้น เราจึงได้เห็นบัลลังก์ที่ว่างเต็มไปหมดในภาพเหล่านั้น โดยไม่มีใครอยู่บนบัลลังก์ กระทั่งบนหลังม้าที่ออกผนวช ก็มิได้มีใครนั่งอยู่บนนั้น (ดูตัวอย่างภาพ ๒๗, ๓๔, ๓๖, ๓๗, ๓๘, ๓๙, ๔๐, ๔๒, ๔๓, ๔๔, ๔๕, ๔๖) ผู้ดูจะต้องเข้าใจให้ถูกต้องเสียด้วยว่า ไม่ใช่ตัวบัลลังก์นั้นเป็นสัญลักษณ์ หากแต่ว่า ความว่างจากตัวคนบนบัลลังก์นั่นแหละเป็นตัวสัญลักษณ์ เราอาจรู้หรือทายได้ทุกคนว่า บนบัลลังก์นั้นมีพระพุทธองค์ประทับอยู่ แต่องค์แท้ของพระพุทธองค์นั้น คือความว่างจากบุคคลอันอยู่ในลักษณะซึ่งเราไม่สามารถจะแสดงด้วยภาพ หรือแบบหรือรูปใดได้ นอกจากความว่างนั้นเอง ส่วนองค์ไม่แท้หรือเปลือกนอก จนกระทั่งองค์ปลอมนั้น เราอาจจะแสดงด้วยภาพอะไรก็ได้ตามใจผู้ทำนั่นเอง

    เราต้องระลึกไว้เสมอว่า หัวใจของธรรมะหรือตัวแท้ของพระพุทธศาสนานั้น อยู่ตรงที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นให้มีอะไรเป็นบุคคลขึ้นมา, ให้ว่างจากบุคคล คือให้เป็นเพียงขันธ์ อายตนะหรือธาตุทั้งหลายตามธรรมชาติ จนกระทั่งว่างไปในที่สุด จนอาจจะกล่าวได้ว่า ฆ่า "คน" เสียให้หมดแล้วก็จะเป็นพระอรหันต์ ดังนี้ ข้อนี้หมายความว่าให้ทำลายความรู้สึกที่มั่นหมายว่าเป็นบุคคลนั้นเสียโดยสิ้นเชิง จนรู้สึกว่างจากคน ว่างจากตัวตน ว่างจากของตน โดยทุก ๆ ประการ, เรียกโดยภาษาธรรมขั้นสูงสุดว่า หมดอัสมิมานะ หมดอหังการมมังการ โดยทุก ๆ ประการนั่นเอง พระพุทธองค์ทรงเป็นเช่นนี้ก่อนใครทั้งหมด และทรงสอนความเป็นเช่นนี้ ดังนั้นสัญลักษณ์ที่ควรคู่ของพระองค์ ก็คือความว่างนี้เอง ผู้ให้ทำภาพหินสลักที่ภารหุตและสาญจี ยังมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ดีอยู่ จึงให้ทำสัญลักษณ์ของพระองค์เป็นภาพบัลลังก์ว่างเปล่าเป็นหลักเกณฑ์ทั่วไป ยิ่งกว่านั้น ส่วนมากยังแถมมีต้นโพธิ์ หรือต้นไม้อย่างอื่นที่เกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นของพระองค์ เช่นต้นไทร เป็นต้น มุงหรือปกอยู่เหนือพระแท่นอีกด้วย ซึ่งหมายความว่าบนพระแท่นนั้นภายใต้ร่มไม้นั้น พระองค์ประทับอยู่ เป็นการแสดงทั้งสัญลักษณ์และเรื่องราวของพระองค์พร้อมกันไปในคราวเดียวกัน

    ทีนี้ยังมีสัญลักษณ์พิเศษอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งบางทีก็ทำวางไว้บนพระแท่นนั้น (ดูภาพที่ ๔๑) คือรูปตรีรตนะ มีลักษณะเป็นดอกบัวบานอยู่ในวงกลมคือความว่าง และมีเปลวแสงสว่างออกมาจากวงกลมนั้น อันเป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายดีเป็นพิเศษจนกลายเป็นเครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์ไปในที่สุด (มีคำอธิบายอย่างละเอียดที่ภาพที่ ๗, ๘, ๔๑, ๕๓) เมื่อพระแท่นและต้นโพธิ์เป็นสัญลักษณ์แสดงความหมายทางร่างกายเนื้อตัว ตรีรตนะนี้ก็แสดงความหมายทางคุณธรรมหรือจิตใจโดยตรง อย่างสูงสุดหรือถึงที่สุดด้วยกันทั้งนั้น ทั้งหมดนี้เป็นลักษณะเฉพาะของแบบสาญจีและภารหุต

    สำหรับแบบอมราวดีนั้น ยังก้าวไกลออกไปอีกก้าวหนึ่ง คือทำสัญลักษณ์ของพระพุทธองค์เพิ่มขึ้นอีกแบบหนึ่ง คือ ทำเป็นเสาสูง มีไฟลุกรอบตัว ที่ยอดเสามีเครื่องหมายตรีรตนะ ที่โคนเสามีรอยพระบาทคู่หนึ่ง นี้นับว่าเป็นความคิดก้าวหน้าต่อมาของยุคอมราวดีเอง, ดูก็แยบคายดีมาก และใคร ๆ ที่เป็นพุทธบริษัทก็พอจะอธิบายได้เองแล้วว่า สิ่งเหล่านี้ที่เอามาประกอบกันเข้าเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธองค์นั้น แต่ละสิ่งมีความหมายว่าอย่างไร ทั้งหมดนั้นมุ่งแสดงคุณธรรมทางนามธรรม มิได้มุ่งแสดงทางวัตถุร่างกาย, ดูแล้วทั้งสวยทั้งศักดิ์สิทธิ์ ดูแล้วเพิ่มความรัก ความเชื่อ ความเลื่อมใสในพระพุทธองค์ ยิ่งกว่าดูพระพุทธรูปหลายแบบทีเดียว เพราะทำให้ซาบซึ้งในคุณธรรมของพระองค์ลึกกว่ากันนั่นเอง

    เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้น ในเรื่องราวอันเกี่ยวกับการไม่ยอมทำรูปเหมือน เช่นพระพุทธรูป แต่ทำสัญลักษณ์แห่งความว่างและอื่น ๆ แทนนี้ เราจะนึกได้ด้วยสามัญสำนึกว่า แม้ในบุคคลธรรมดา ที่เป็นบุคคลสำคัญของชาติ เช่นสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เป็นต้นนี้ ในสมัยที่เราได้ฟังแต่พระเดชพระคุณของท่าน เรารู้สึกจับใจซาบซึ้งด้วยความรัก ความเลื่อมใส นับถือบูชาอย่างไร, ทั้ง ๆ ที่เราทายไม่ถูกว่าพระพักตร์ของท่านเป็นอย่างไร, ครั้นเราทำรูปของท่านขึ้นในลักษณะรูปเหมือน ความประทับใจที่เคยมีอย่างซาบซึ้งนั้น มันชืดลงอย่างไรและเพียงไร, และยิ่งชินตาหนักเข้า มันจะเปลี่ยนไปอย่างไร, หรือว่าเมื่ออนุสาวรีย์นั้นกร่อนไปตามกาลเวลา (เช่นพระพุทธรูปหักเกลื่อนไปตามที่ต่าง ๆ) เราจะมีความรู้สึกอย่างไร เพราะยากที่ใครจะยอมเชื่อได้ว่าอนุสาวรีย์ของบุคคลนั้นทำได้เหมือนตัวจริง เพราะไม่มีใครเคยเห็นท่าน ในบรรดาคนที่มีชีวิตอยู่ ต้องเดาต้องสันนิษฐาน ดังนั้นจึงเกิดความลังเลขึ้นในใจของผู้เห็นทุกคราวที่เห็น ความลังเลนั้นเอง ย่อมจะบั่นทอนความรู้สึกประทับใจอย่างซาบซึ้งในตอนที่เรายังไม่ได้ทำรูปเหมือนของท่านขึ้นมา ทีนี้เราขยับใกล้เข้ามาถึงรูปถ่ายที่เหมือนจริง ๆ ของคนจริง ๆ ของใครคนหนึ่ง ที่เราเคยประทับใจในคุณธรรมของเขา ในขณะที่เรายังไม่เคยเห็นรูปถ่ายของเขา, รูปถ่ายที่เราได้รับมานั้น จะทำลายความรู้สึกบางอย่างแทบสิ้นเชิง ในทางความสูงหรือศักดิ์สิทธิ์ชนิดที่บรรยายเป็นตัวหนังสือหรือคำพูดไม่ได้, แม้ว่าจะได้ทำให้เกิดความรู้สึกอย่างอื่นขึ้นมา แทนอีกทางหนึ่ง มันก็ไม่มีค่าเท่ากับรู้สึกอันแรกโน้น ทีนี้ขยับใกล้เข้ามาอีกถึงตัวคนจริง ๆ, นักการเมือง หรือนักพูดบางคน ตลอดถึงครูอาจารย์ เมื่อเรายังไม่เคยเห็นตัวท่านหรือนั่งใกล้ท่าน เรารู้สึกอย่างหนึ่งในทางความนิยมชมชอบ จนบรรยายไม่ได้, ครั้นเห็นตัวจริงเข้า กระทั่งเสพคบกันเข้า ความรู้สึกอันนั้นจะเปลี่ยนไปทันที ทั้งที่ท่านไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย เพียงแต่เราไปเห็นหนวดที่น่าเกลียดของท่านเข้า หรือกลิ่นตัวที่ท่านไม่ค่อยจะอาบน้ำบ่อยเหมือนพวกเราบ้าง, ฯลฯ เราก็จะสูญเสียความรู้สึกอันแรกไปทันที ในลักษณะที่ขาดทุน ไม่ใช่เป็นกำไร, ทั้งนี้เพราะว่าเมื่อเรายังไม่เคยเห็นท่านนั้น เราได้รับ "หัวใจ" ของท่าน พอเราเห็นท่าน เราก็ติดที่ "เปลือก" ของท่าน, และเรายังไม่มีจิตใจสูงพอที่จะแทงทะลุเปลือกนั้นเข้าไป เราจึงสูญเสียกลิ่นหอม (essence) ในหัวใจของท่าน และได้ "กลิ่นเหม็น" ที่ร่างกายอันปฏิกูลของท่านเข้ามาแทน ความหมายอันลึกซึ้งที่พึงได้จากสัญลักษณ์อันลึกซึ้งนั้นเป็นเหมือน "กลิ่นหอม"; ส่วนลักษณะของคนธรรมดาสามัญทั่วไปอันจะได้จากภาพเหมือนของท่านนั้น คือ "กลิ่นเหม็น" ดังนั้นบุคคลในยุคที่มีปัญญาอย่างยุคอุปนิษัทของอินเดีย จึงไม่ยอมทำรูปเคารพหรือรูปเหมือน

    เราจะดูกันต่อไปอีกนิดหนึ่ง คือเมื่อรูปเคารพเช่นพระพุทธรูป เป็นต้น บุบสลายลงไป มีคอหัก แขนขาด หูแหว่ง จมูกวิ่น เป็นต้น เราเห็นแล้วจะรู้สึกอย่างไร นี้อย่างหนึ่ง, กับเมื่อรูปสัญลักษณ์เช่น แท่นว่าง รูปธรรมจักร หรือรอยพระบาทเป็นต้น แตกหักแหว่งวิ่นหรือกระจัดกระจายไป เราจะรู้สึกเหมือนกันกับที่เห็นพระพุทธรูปบุบสลายนั้นหรือไม่ โดยที่แท้นั้นย่อมต่างกันลิบลับ คือ สัญลักษณ์ที่แตกหักนั้น ยังมีความศักดิ์สิทธิ์และความหมายอันให้ความรู้สึกแก่จิตใจอยู่เท่าเดิม ส่วนรูปเคารพนั้นให้ความทุเรศ ให้ความปั่นป่วนรวนเรแก่จิตใจ ถ้าหักออกในส่วนที่ทำให้ดูน่าเกลียด เราก็จะรู้สึกเกลียดดังนี้เป็นต้น, ดังนั้น คนที่ฉลาดในด้านจิตใจ จึงพากันไม่นิยมทำรูปเคารพ และห้ามการทำรูปเคารพมาแล้วตั้ง ๓,๐๐๐ กว่าปี เพิ่งจะมาถอยหลังเข้าคลองกันอีกเมื่อยุคหลังนี้

    ทีนี้ ในระดับสูงสุด คือการทำสัญลักษณ์นั้น ถ้าทำเป็นภาพอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นรูปหรือแบบขึ้นมา ก็ต้องเผชิญกันกับความชำรุดเป็นธรรมดา ดังนั้นคนที่ฉลาดที่สุดจึงใช้ "ความว่าง" เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธองค์ เป็นสัญลักษณ์ที่ไม่รู้จักชำรุดทรุดโทรมหรือเปลี่ยนแปลงได้แม้แต่นิดเดียว นับว่าเป็นสัญลักษณ์ที่ยอดสุดของสัญลักษณ์ทั้งหลาย เมื่อไม่มีอะไรจะกระทบกระทั่งต่อ "ความว่าง" ได้ฉันใด ก็ย่อมไม่มีอะไรที่จะกระทบกระทั่งพระภควันพระองค์จริง อันเป็นอนันตกาลได้ฉันนั้น ดังนั้นพุทธบริษัทในอินเดีย สมัย พ.ศ. ๓๐๐–๖๐๐ จึงไม่ยอมทำรูปเคารพแก่พระพุทธองค์, แต่ได้ทำสัญลักษณ์ในขั้นที่ฉลาดที่สุด คือความว่างแทน

    เมื่อพูดกันถึงความเคารพหรือไม่เคารพ เราก็ทราบกันอยู่ทั่วไปแล้วว่า เมื่อเราเคารพผู้ใด เราไม่บังอาจแม้แต่จะเรียกชื่อท่าน เราต้องเลี่ยงไปหาคำอย่างอื่นแทน ซึ่งไม่ใช่ชื่อตัวของท่าน, ในทำนองเดียวกันนี้ การที่เราจะไปปั้นหรือแกะสลักหน้าตาหัวหูของท่าน หรือใช้คนงานผู้หญิงขึ้นเหยียบเพื่อตะบุ้งตะไบหรือเหล็กสกัดตกแต่งรูปปั้นของท่าน ย่อมจะมีความหมายยิ่งไปกว่าการเรียกชื่อตัวของท่าน เราควรจะเลี่ยงไปหาสัญลักษณ์หรือการทำอย่างอื่นแทน หรือไม่ทำอะไรเสียเลย ย่อมจะเป็นความเคารพกว่า, ด้วยเหตุนี้ชนชาติฮิบรู เมื่อสามพันปีมาแล้ว ก็ไม่ยอมทำรูปเคารพ, กระทั่งยุคอุปนิษัทในอินเดียก็ไม่ยอมทำรูปเคารพที่เป็นภาพเหมือนหรือรูปคน ยิ่งไปแกะสลักให้สวยเข้าเท่าไร ก็จะยิ่งเป็นองค์ปลอมเข้าเท่านั้น, ยิ่งทำให้เหมือนเข้าเท่าไร ก็ยิ่งต้องเดามากเข้าเท่านั้น, ยิ่งเดามากก็ยิ่งเป็นองค์ปลอมมากเข้าเท่านั้น, จึงสู้ให้เป็นองค์จริงอยู่ที่ตัวคุณธรรมของท่านไม่ได้ จะไม่ถูกเปลือก และได้รับ "กลิ่นเหม็น". ศาสนาคริสตังและศาสนาอิสลาม รับช่วงลัทธิไม่ยอมทำรูปเคารพมาจากศาสนายิวของชาวฮิบรู มาถือกันอย่างเคร่งครัด แต่ไม่เท่าไรศาสนาคริสเตียนก็ละทิ้งอุดมคติอันนี้เสีย ไปนิยมทำภาพพระเจ้า ภาพพระเยซู และแม่พระขึ้นมาใหม่ กลายเป็นมีรูปเคารพไป แทนที่จะมีแต่กางเขนอันเป็นสัญลักษณ์ที่ประเสริฐอยู่แล้ว; คงอยู่แต่ศาสนาอิสลามเท่านั้นในโลกนี้ ซึ่งยังคงซื่อตรงต่ออุดมคติข้อนี้อยู่ได้ โดยไม่ยอมทำหรือมีรูปเคารพชนิดไหนหมด, สมมติว่าถ้าพระพุทธองค์ได้เสด็จมาเห็นในเวลานี้ ก็คงจะทรงชมเชยอิสลามมิกชนในข้อนี้ พร้อมกับทรงสั่นพระเศียรต่อพุทธศาสนิกชน พวกที่ทำรูปของพระองค์ขึ้นมาวางขายตามทางเท้าริมถนนมีปริมาณปีบ ๆ ถัง ๆ ลัง ๆ นั้นทีเดียว. ด้วยเหตุที่การทำรูปเหมือน ไม่เป็นการแสดงความเคารพต่อท่านเจ้าของรูปนั้นเอง พุทธบริษัทในยุค พ.ศ. ๓๐๐–๖๐๐ จึงไม่ยอมทำโดยประการทั้งปวง, แล้วมาดกดื่นกันในสมัยทำพระพิมพ์และพระเครื่อง ซึ่งเป็นการแสดงความเขลาและความขลาดออกมาจนกระทั่งถึงที่สุดก็ไม่รู้จะไปทางไหนกัน จึงจะเข้าถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ซึ่งเรียกว่าพระภควันตลอดมาในที่นี้.

    แม้พระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่ทำยากในเวลานี้เท่าที่มีอยู่ในโลกนี้ ในประเทศอัฟกานิสถาน อินเดียทุกภาคและทุกยุค ลังกา ธิเบต มองโกเลีย จีน ญี่ปุ่น เขมร ลาว ไทย กระทั่งอินโดนีเซียเป็นที่สุดนั้น มีกันประเทศละหลาย ๆ แบบ เพราะหลาย ๆ ยุค และยังมีฝีมือดี ฝีมือปานกลาง และฝีมือเลว เป็นเหตุให้มีสารพัดอย่าง แสดงอารมณ์หรือ mood ต่าง ๆ กัน จนกระทั่งที่น่าเกลียดน่ากลัวก็มี ถ้าจะนำมารวมได้ในที่เดียว แล้วบอกให้ใครเลือกไหว้ที่ถูกที่เหมือนพระองค์จริง ๆ แล้ว เขาก็จะเวียนหัวและเป็นลมตายไม่ได้ไหว้กันเท่านั้นเอง, และถ้าสมมติว่าพระพุทธองค์ได้เสด็จมาเห็นชุมนุมพระพุทธรูปในลักษณะเช่นนี้ด้วยพระองค์เอง ใคร ๆ ก็ต้องเชื่อว่าพระองค์จะทรงส่ายพระเศียร ตรัสอะไรไม่ได้ แม้แต่จะทรงระบุว่าชิ้นไหนเป็นที่พอพระทัยของพระองค์เป็นต้น. นี่แหละคือผลสะท้อนที่เกิดขึ้นอย่างแตกต่างกัน ในระหว่างการทำรูปเคารพและการไม่ยอมทำรูปเคารพ ของพุทธบริษัทสมัยปัจจุบันกับพุทธบริษัทแห่ง พ.ศ. ๓๐๐–๖๐๐.

    สรุปความที่กล่าวมาแล้วอย่างยืดยาวนี้แล้ว ก็พอจะทำให้ผู้อ่านเรื่องนี้หยั่งทราบได้เองว่า พุทธบริษัทแห่งยุคที่ไม่ยอมทำพระพุทธรูปนั้น เขามีความรู้สึกกันอย่างไรในเรื่องนี้, และไม่มีขนบธรรมเนียมประเพณีที่จะทำพระพุทธรูปขึ้น มิใช่ว่าเขาจะจนปัญญาหรือไร้ฝีมือในการทำพระพุทธรูปนั้น ดังเราจะเห็นได้ว่าเขาสามารถทำหินสลักอันงดงามนั้น ซึ่งยากกว่าการทำพระพุทธรูปโดยตรงเป็นไหน ๆ, หากแต่เขาต้องการจะแสดงความรู้สึกที่สูงกว่า เป็นอุดมคติกว่า เข้าถึงพระภควันองค์จริงได้ง่ายกว่า เพราะไม่ผูกพันกับวัตถุนิยม (Materialism) แต่ประการใดนั่นเอง.

    ทั้งหมดนี้เป็นการตอบปัญหาที่ว่า ทำไมจึงไม่ยอมทำพระพุทธรูปหินสลักเหล่านี้ ทั้งที่เป็นเรื่องพุทธประวัติโดยตลอด, ก่อนแต่จะจบคำนำนี้ ขอทำความเข้าใจกันบางอย่างคือ :–

    พ.ศ. ที่อ้างถึงในคำอธิบายใต้ภาพเหล่านี้ กำหนดเอาตามที่เห็นว่าเหมาะสำหรับคนทั่วไป ที่มิใช่นักโบราณคดี เช่นกำหนดสมัยสาญจีไว้เป็น พ.ศ. ๔๐๐-๕๐๐ นั้น เล็งถึงส่วนใหญ่หรือที่เป็นจุดกลาง อาจจะขยายออกไปได้ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง เพราะสถูปสาญจีนั้นสร้างครั้งแรกตั้งแต่สมัยอโศก พ.ศ. ๒๐๐ เศษ, แล้วเสริมสร้างให้ใหญ่โตขึ้นในสมัยสุงคะ ใน พ.ศ. ๓๐๐–๔๐๐ และยืดเยื้อมาจนถึง พ.ศ. ๕๐๐ เศษ, ดังนั้นจึงถือเอาจุดศูนย์กลางที่ พ.ศ. ๔๐๐–๕๐๐, ภาพบางภาพเป็นของรุ่น พ.ศ. ๕๐๐ หรือ ๕๐๐ เศษก็มี. สำหรับภาพภารหุตนั้น มีส่วนที่จะกล่าวได้ว่า เป็นของในระยะ พ.ศ. ๓๐๐–๔๐๐ แท้ จะมีเศษจาก ๔๐๐ ก็ไม่มากนัก ส่วนภาพแบบอมราวดีนั้น กำหนดให้ง่าย ๆ ว่า ๔๐๐–๗๐๐ โดยประมาณที่เห็นว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว, เพราะในตอนหลังคือ พ.ศ. ๖๐๐–๗๐๐ นั้น มีทำทั้งที่มีพระพุทธรูป และไม่มีพระพุทธรูปปนเปกันไป, แต่ก็ต้องนับรวมไว้ในประเภทที่ไม่มีพระพุทธรูปนี้ด้วย.

    สำหรับคำที่เรียกของบางอย่างที่มีชื่อเรียกหลายคำก็เอาแต่คำเดียว ดังเช่นหม้อปูรณฆฏะนั้น บางทีเรียกภัทรฆฏะบ้าง อย่างอื่นบ้าง ในที่นี้เรียกปูรณฆฏะอย่างเดียว, จะเรียกให้ผิดกันตามรูปร่างก็เกินความจำเป็นในที่นี้, เพราะเป็นเรื่องปลีกย่อยเกินไป, จะทำให้กินเนื้อที่การอธิบายมากออกไปโดยไม่คุ้มค่า

    จำนวนจุดหรือจำนวนกลีบของดอกบัว เป็นต้น ที่เข้าใจว่าเล็งถึงอะไรบางอย่างนั้น ถ้ายึดถือไปในทำนองขลังหรือศักดิ์สิทธิ์ก็กลายเป็นมิใช่พุทธศาสนาไปทันที, แต่ถ้ามีความมุ่งหมายจะใช้ประโยชน์ในทางสอนธรรมะ หรือเพื่อแพร่หลายอุดมคติบางอย่างแล้ว เรื่องก็จะกลายจากลัทธิเชื่อโชคลางมาเป็นสัญลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์ไป ในฐานะที่ธรรมะที่ดับทุกข์ได้โดยตรงนั้น ก็เป็นวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน, เราอาจจะดัดแปลงไสยศาสตร์หรือ superstitous ให้กลายมาเป็นวิทยาศาสตร์ได้ด้วยเหตุนี้. ทั้งนี้เพราะว่าจำนวนเลขศักดิ์สิทธิ์หรืออะไรทำนองนี้ เป็นคติโบราณในทำนองของขลังหรือศักดิ์สิทธิ์ เพราะเชื่อและทำกันไปโดยไม่รู้ความหมายหรือความมุ่งหมายของสิ่งเหล่านั้น, แต่อย่าลืมว่าหินสลักเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ทำโดยพุทธบริษัทที่กำลังรุ่งเรืองด้วยพุทธธรรมที่ยังใหม่หรือบริสุทธิ์อยู่ จึงไม่มีทางที่จะเป็นเรื่องการถือของขลังหรือศักดิ์สิทธิ์ไปได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นการดัดความหมายของจำนวนเลขศักดิ์สิทธิ์นั้น ๆ เสียใหม่ ให้กลายมาเป็นหลักธรรมที่จำเป็นแก่มนุษย์จริง ๆ ไปเสีย, เพราะประชาชนชอบใช้หรือยึดถือจำนวนเลขศักดิ์สิทธิ์อยู่ก่อนแล้ว.

    การแสดงธรรมหรือแสดงประวัติด้วยภาพนี้ มีผลลึกซึ้งกว่าการแสดงด้วยตัวหนังสือ หรือด้วยคำพูด ตรงที่จะทำให้เกิดการประทับใจลึกซึ้งกว่า, เพลิดเพลินกว่า และโดยไม่รู้สึกตัวยิ่งกว่า, มีการถ่ายทอดทางจิตใจได้ง่ายกว่า ถ้าหากว่าการกระทำนั้น กระทำโดยศิลปินที่ถึงขนาดจริง ๆ, ดังนั้นเราจึงควรสนใจที่จะศึกษาธรรมะด้วยภาพกันเสียบ้าง และสมุดเล่มน้อยนี้ก็เกิดขึ้นเพื่อความมุ่งหมายอันนี้.

    ในที่สุดนี้ ขอแสดงความขอบคุณแด่มิตรสหายหลายท่าน ที่ให้ความช่วยเหลือในการจำลองภาพชุดนี้ที่สวนโมกขพลาราม และการถ่ายทำทุกระยะและทุกตอน จนประสบความสำเร็จตามลำดับ ๆ ตลอดถึงท่านที่ให้หยิบยืมหนังสือและรูปภาพที่หาได้โดยยากบางอย่าง, ไว้ ณ ที่นี้ด้วย.

    http://www.buddhadasa.org/html/life-work/theatre/sculpture/sculpture-pre.html

    -ท่านพุทธทาส แสดงความหมายของคำว่า พระพุทธรูปไว้ชัดเจน
    -ธรรมะของท่านพุทธทาส เป็นธรรมะที่ลึกซึ้ง ต้องศึกษาอย่างใช้สติปัญญานะครับ
    -ค่อยๆศึกษา และต้องหัดยอมรับความจริงนะครับ
    -ถ้าเป็นคนดื้อด้าน ไม่ยอมรับความจริง จะศึกษาสัจธรรม ศึกษาธรรมขั้นสูงไปก็เสียเปล่า
     
  6. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เราได้มาออกมาดูศาลาใหญ่เรื่อยนะ มันเลอะเทอะ ไม่ทราบมาจากไหนมานอนเกลื่อนอยู่ตามนี้ เอาศาลานี้เป็นทำเลนอนเกลื่อน หาเหตุหาผลหาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ อย่างนั้นนะ แล้วก็วัตถุกำลังเกลื่อนเข้ามา วัตถุกับธรรมต่างกัน วัตถุนี้ก็เป็นหินธรรมดา เขาสมมุติว่าเป็นพระพุทธเจ้า ที่นี่เลยใหญ่ทับไปหมด ธรรมเลยออกไม่ได้ เราเลยมาแยกอันนี้ออกให้ธรรมออกประกาศสอนโลกต่อไป วัตถุนี้สอนโลกไม่ได้ ต้องธรรมสอนโลก ออกจากหัวใจของท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วยิ่งเลิศเลอ นั่นละสอนโลก ท่านสอนโลกด้วยธรรม ท่านไม่สอนโลกด้วยรูปวัตถุนั้นวัตถุนี้นะ

    ไปที่ไหนมีตั้งแต่วัตถุเต็มวัดเต็มวา เรามาขับไล่ออกเรื่อยนะ ยังอยู่นี่กำลังติดตามหาเจ้าของ วัดนี้เป็นวัดมีเจ้าของมีผู้รับผิดชอบ จะมาทำสุ่มสี่สุ่มห้ากับเราไม่ได้เราไล่เบี้ยให้ส่งกลับไปแล้ว นี่กำลังถามหาเจ้าของ ไม่มาถามเราสักคำเดียว เราเป็นเจ้าอาวาสรับผิดชอบอยู่นี่มันมาทำยังไงได้ เพราะฉะนั้นจึงตามถามให้ทันเหตุการณ์กันกับคนหน้าด้าน เข้าใจไหม นี่วัตถุ ส่วนธรรมที่มีคุณค่ามากออกไม่ได้ ไปที่ไหนมีแต่วัตถุ อยู่ในห้องหลับห้องนอนจนนอนไม่ได้ มีแต่พระพุทธรูปชนิดต่างๆ เต็มอยู่ห้องนอน เราไปเห็นเองด้วยตาของเรา แล้วเป็นพระเสียด้วย จะว่าขายหรือไม่ขายก็ตัวเองทำอยู่แล้วนั่นจะให้ว่าไง

    เข้าไปในห้องพระห้องนอนของท่านนั้นแหละ มีตั้งแต่พระพุทธรูปกองพะเนินเทินทึก ที่หลับที่นอนเจ้าของเท่ากับที่นอนของหมาตัวหนึ่ง นอกนั้นมีแต่วัตถุ เราไปเราก็ไปปลงธรรมสังเวช แล้วครูบาอาจารย์เป็นผู้ใหญ่ตามชื่อเขานิยม เป็นสมเด็จนู่นน่ะ แต่เวลาความประพฤตินิสัยใจคอมันต่ำขนาดไหน ดูอันนี้วัดอันนี้ออกเลย เราได้สลดสังเวช ไม่ได้สนใจในธรรมที่เป็นของเลิศเลอบ้างเลย สนใจแต่วัตถุได้มาพอ นี่กำลังขนเข้ามา เราไล่ออก นี่กำลังถามหาเจ้าของ คือไม่ได้ถามเราซึ่งเป็นเจ้าอาวาสอยู่นี้เลย จับมาไสเข้าๆ มันก็ทันกันละซิเราไม่เหมือนใคร มาไล่หาเหตุหาผล ขับเอาออก

    เมื่อวานนี้เอาต้นไม้ที่ไหนมาจากไหน ลงจากรถก็ขนต้นไม้เข้าไป พอดีเราออกมาประตู ๕ โมงเย็นเป็นเวลาที่เราออกมาตรวจตราพาทีวัด กำลังขนต้นไม้เข้าไป เอาไปทำไมนี่ จะมาปลูกวัด เอาคืนเดี๋ยวนี้ไล่กลับคืนเลย ต้นไม้สองต้นสามต้นเขาเอาออกจากรถเขาจะไปปลูกในวัด เขาไม่ได้ขออนุญาตจากใครเลย ก็มาเจอกับสมภารวัดเสียด้วย ไล่กลับเดี๋ยวนั้นเลย ให้เอาออก เขาก็เอาคืนเดี๋ยวนั้น ให้มันทันกันซิ กิเลสมันหยาบ ธรรมไม่หนาแน่นไม่ทันกัน ต้องเอากันอย่างหนักอย่างนี้ กับเรานี้มาว่างั้นเลย ธรรมนี้เหนือโลกตลอดเวลาแล้ว ขี้หมูราขี้หมาแห้งมูตรคูถอย่าเอามาแข่งธรรม ธรรมจ้าอยู่ในหัวใจอยู่ไหนสบายหมด ถ้าลงได้ธรรมจ้าอยู่ในหัวใจแล้ว ผู้ปฏิบัติธรรมให้ธรรมจ้าอยู่ในหัวใจเถอะสง่างามหมด เหล่านี้ไม่ได้สง่า มากีดมาขวางเฉยๆ จะว่าอะไร ไปละที่นี่

    คัดลอกมาบางส่วนจาก
    ทศน์อบรมฆราวาส ณ ศาลาใหญ่วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
    มนุษย์เรามีค่าอยู่กับยางอาย
    Luangta.Com -
     
  7. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ควรรู้จักแยกพุทธกับไสยออกจากกัน.

    มนุษย์ทุกคนจะมีความคิดนึก ที่จะสร้างลัทธิของตน ตามความพอใจของตน. นี่ทุกคนช่วยสังเกตดูให้ดีว่า เราก็อยากจะมีความเชื่อระบบของเรา ซึ่งไม่เหมือนคนอื่นแหละ ก็เลยเรียกว่าลัทธิของตน-ของตน-ลัทธิของตน, ทุกคนจะสะสมลัทธิต่าง ๆ ปรับปรุงกันขึ้นมา จนเป็นลัทธิของตน ถืออยู่จนตาย มันมี โอกาสที่จะปนกันได้ เพราะไปเก็บนั่นเอามา เก็บนี่เอามา เก็บโน่นเอามา ตามที่ตนเชื่อและพอใจ อย่างไร มันก็เลือกเก็บเอามา, มารวม ๆ กันเข้า ก็เป็นลัทธิของตน. บุคคลนั้นจะถือลัทธิของตนอยู่ไปจนกระทั่งตาย, ถ้าว่าไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงเพราะการรู้ธรรมะ, เพราะการบรรลุ มรรค ผล. ถ้ามันไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในการบรรลุ มรรคผล เป็นพระโสดาบันหรือเป็นอะไรเสีย ลัทธินั้นจะอยู่กับ ตนไปจนตาย มันปนกันได้อย่างนี้.

    เราชอบอะไรเราก็ไปเอาส่วนนั้นมา, ชอบอะไรก็ไปเอาส่วนนั้นมา มาหลอมกันเข้า ก็เป็น ลัทธิของตนลัทธิของเรา, อย่างนี้ไม่ค่อยเหมือนกันดอก. แต่จะเห็นได้ว่า ในลัทธิของตน ๆ ของแต่ละคนนั้น ปนกันอยู่มากหลาย ๆ อย่าง; นี้คนโดยมากโดยทั่วไปถือว่า การศึกษาไม่พอ, การศึกษาทางธรรมะไม่พอ, เขาก็เลือกผิด ๆ ถูก ๆ. เราไม่มีความรู้ทางธรรมะพอ เราก็เลือกเอาตามชอบใจ แล้วมันก็มี การปนกันได้ง่ายที่สุด จะถือลัทธิหลาย ๆ ลัทธิพร้อมกันไปได้ โดยไม่รู้สึกตัว, เมื่อหลอมกันเข้าเป็นอันเดียว แล้วก็ถือว่าลัทธินี้ของเรา เราพอใจ.

    ฉะนั้นเราจึงมีลัทธิปลอมปน เรียกว่าพันทาง ทำนองเดียวกับที่เรื่องวัตถุ. เรื่องวัตถุเดี๋ยวนี้เรามีการกินอาหาร การแต่งเนื้อแต่งตัว การอยู่บ้านอยู่เรือนปน-ปนกันหลายอย่าง : เป็นไทยบ้าง เป็นจีนบ้าง เป็นฝรั่งบ้าง เป็นแขกบ้าง, ครอบครัวบางครอบครัวหรือบ้านเรือนบางหลังไปดูเถอะ มันจะมีวัฒนธรรมปนกันอยู่มาก ๆ หลาย ๆ อย่าง เพราะคนเขาชอบ, เขาชอบไปตามความรู้สึกพอใจของ เขาความปนมันก็มีได้ง่าย. ลัทธิทางจิตใจก็เหมือนกัน พอเห็นอะไรแปลกดีก็รับเอาเข้าไว้, เห็นอะไรแปลกดีก็รับเอาเข้าไว้ เพราะฉะนั้นจึงมีลัทธิปลอมปน หรือลัทธิพันทาง อยู่มากทีเดียว.

    เมื่อมองดูในแง่นี้แล้ว มันน่าเศร้า น่าสลด น่าสังเวชใจ ที่พุทธบริษัทเราก็ยังมีเป็นส่วนมาก ที่ถือลัทธิปน, ลัทธิปลอมปน ลัทธิพันทาง จนไม่รู้อะไรเป็นอย่างไร. เอาพระเจ้าในศาสนาอื่น มาปนรวมกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างนี้ก็มี. ระวังให้ดีเถอะ บทกรวดน้ำมันเกิดขึ้นได้อย่างไร, บทกรวดน้ำน่ะดูให้ดีเถอะมันมีปนกันยุ่งไปหมด. อย่างนี้น่ากลัวว่าจะเป็นของใหม่; ครั้งพระพุทธเจ้านั้นไม่มีแน่, แม้ครั้งแรก ๆ ก็คงจะไม่มี, แล้วต่อมาโอกาสมันอำนายให้ปน-ปน ลัทธิพิธีกรรมก็ปน. การท่องพระพุทธคุณ ก็กลายเป็นอ้อนวอนของร้องของไสยศาสตร์ไปเสียนี้เรียกว่าปลอมปน.

    รวมความว่าเรากำลังถือลัทธิปน, เรากำลังถือศาสนาปน จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นทองคำ อะไรเป็นทองแดง อะไรเป็นทองเหลือง เอามาหลอมปนกันเข้า แล้วก็เป็นของเรา เราก็ไม่ได้รับ ประโยชน์จากสิ่งที่ดีที่สุด; เพราะเมื่อเราเอาทองคำมาปนกับทองแดงทองเหลืองดีบุกเป็นต้นแล้ว เราจะได้ประโยชน์จากทองคำได้อย่างไร, เพราะเราเอามาปนกันเสีย เราก็ไม่มีทางที่จะได้รับประโยชน์จากสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะ ที่ดีที่สุดได้. นี่พยายามกันสักหน่อยจะดีละมั้ง คือพยายามแยกออก ๆ ให้ได้เหลือของดีของจริงของแท้ จะได้รับประโยชน์มากกว่า.

    เดี๋ยวนี้มันมีลักษณะปนกันอยู่ทั่วไป แต่ถ้าเราจะถือหลักว่า ถ้ามันดีกว่าไม่ปน ก็เอาสิ ก็ได้เหมือนกัน ถ้ามันปนดีกว่าไม่ปนก็เอา เพราะมันเป็นประโยชน์ได้เดี๋ยวนี้มันปนกันเข้ามา แม้ในโบสถ์, ในโบสถ์ของพุทธบริษัท มันก็มีลัทธิอื่นเข้าไปปน ในวัดในวาก็มีลัทธิอื่นเข้ามาปน. บางทีเขาทำพิธีที่ไม่ใช่พุทธในวัด, แม้แต่ในโบสถ์มันก็มีอะไรเข้าปนไป เหมือนอย่างที่ว่าโบสถ์วัดแก้วพบศิวลึงค์กับคเณศ อย่างนี้เป็นต้น.

    ที่องค์พระพุทธรูป ระวังให้ดีเถอะจะมีปน ที่องค์พระพุทธรูป อุตส่าห์เอาผ้าไปห่มให้พระพุทธรูป ห่มทำไมคิดดูซิ. พระพุทธรูปก็เป็นอิฐเป็นปูน แล้วก็เอาผ้าไปห่มให้พระพุทธรูป ให้ปลวกมันกิน นี่ห่มทำไม? คิดว่าพระพุทธเจ้าจะหนาว ถ้าอย่างนี้มันเป็นลัทธิวิญญาณอย่างไสยศาสตร์. ระวังให้ดี ที่พระพุทธรูปนั่นมันมีไสยศาสตร์เข้าไปเสียแล้ว. บางทีก็เอาของถวายพระพุทธรูปอย่างเหมือนของเซ่นผี, เหมือนของเซ่นสรวง ที่พระพุทธรูป, บางทีก็ทำอย่างพระพุทธรูปเป็นวิญญาณเป็นผีเป็นอะไรอย่างนี้ก็มี. ที่วัดตระพังจิกสวนโมกข์เก่า เขาไปขอลูกกันที่นั่น, ที่พระพุทธรูปองค์นั้นเขาไปขอลูกกัน แล้วบางคนที่เป็นลูกของพระพุทธรูปองค์นั้นเขาก็มีนะ เพิ่งตายไปอย่าออกชื่อดีกว่า ไปขอลูกจากพระพุทธรูปองค์นั้นแล้วก็ได้มา. นั่นที่พระพุทธรูปกลายเป็นไสยศาสตร์ไปที่องค์พระพุทธรูปเสียแล้วก็มีนี่, เรียกว่าไม่ปนอย่างไรเล่า. เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แต่อย่าออกชื่อเขาเลยว่า มันเป็นใครที่เป็นลูกพระพุทธรูปที่ วัดสวนโมกข์เก่าน่ะมันมี.

    ฉะนั้นเราดูและให้รู้ไว้ เหลียวดูให้รู้ไว้ ให้รู้ว่าอะไรเป็นพุทธ อะไรเป็นไสย อะไรปน, แล้วก็ตั้งพิธีแยกชำระสะสางกันเท่าที่จะทำได้, คือเพียงแต่เราเลิกเราละทิ้งเสีย มันก็หมดไป. เราเอาไว้แต่ที่มันถูก ที่มันจริง ที่เป็นพุทธะ, ที่เป็นไสยศาสตร์ก็ไม่รู้ไม่ชี้มันเลิกไปเอง มันหายไปเอง. อย่าไปทำชุ่ย ๆ หวัด ๆ ง่าย ๆ ปล่อยตามชุ่ย ๆ ทำชุ่ย ๆ : เพื่อนทำเราก็ทำ, เพื่อนทำเราก็ทำ อย่างนี้เอาผ้าไปห่มจอมปลวกมีเหตุผลกว่าเอาไปห่มพระพุทธรูป เพราะว่ามันมีความหมายคนละอย่าง, แล้วเอาผ้าไปห่มพระธาตุหรือพระพุทธรูปนั้น ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่โตนะ, เป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬาร ฉลองกันเป็นการใหญ่ ทำกันเป็นอย่างสุดชีวิตจิตใจก็มี, นี่มันไม่ใช่พุทธศาสตร์, มันไม่ใช่พุทธะเลย แต่ทำกันเป็นการใหญ่ ยิ่งกว่าเรื่องที่เป็นพุทธเสียอีก. ฉะนั้นเรียกว่าไสยศาสตร์นี่ ก็ยังมีกำลังมากมายอยู่เสมอ. เราควรจะรู้ไว้ อย่าให้ครอบงำเราได้, รู้ไว้ เพื่ออย่าให้มันมาครอบงำเราได้, ให้เรามน คงเป็นพุทธอยู่ ให้เป็นพุทธมากขึ้น.

    จิตตภาวนาในแง่ของไสยศาสตร์.
    ๒๙ มกราคม ๒๕๒๖
     
  8. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    มีวิธีแยกตัวออกจากไสยศาสตร์.

    ทีนี้จะทำอย่างไรที่เราจะแยกตัวเองออกจากไสยศาสตร์ จะต่อต้านต่อสู้กับไสยศาสตร์. อยากจะเอ่ยถึงเรื่องหนึ่ง ที่อาจจะเป็นตัวอย่างอุทาหรณ์ได้ดีว่า : เมื่อพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ โดยการอุปถัมภ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช ส่งพระเถระพระอรหันต์ชื่อโสณะ อุตตระ มาเผยแผ่พุทธศาสนาที่สุวรรณภูมิ คือบ้านเรานี่. สุวรรณภูมิคือแผ่นดินทองแหลมทองบ้านเรา พระเถระมาเผยแผ่พระศาสนาที่สุวรรณภูมินี้ ต้องมาเรียกว่า ทำสงคราม ต่อสู้ปราบปรามพวกยักษ์ พวกรากษส พวกปิศาจ, พวกร้าย ๆ ทั้งนั้น พวกผีพวกปิศาจร้าย ๆ ทั้งนั้นแหละ จนพวกปิศาจเหล่านั้นตายไปหมด แพ้ไปหมด, จึงเผยแผ่พุทธศาสนาลงในแผ่นดินสุวรรณภูมินี้ได้. หมายความว่า ในแผ่นดินสุวรรณภูมินี่มันมีการถือลัทธิอย่างนี้อยู่อย่างเหนียวแน่น, ไม่ยอมรับ เอาลัทธิพุทธศาสนามาให้ใหม่, ไม่ยอมรับ ต่อสู้. นี้พระเถระสององค์นี้ก็คงจะเก่งมากละ จึงปราบยักษ์ปราบมารปราบผีปีศาจรากษสอะไรหมด ทำให้ประชาชนแผ่นดินสุวรรณภูมินี้ รับนับถือพุทธศาสนา. แล้วข้อความในนั้นยังเขียนไว้ว่า ท่านใช้พรหมชาลสูตรเป็นเครื่องมือ.

    พรหมชาลสูตร บางคนคงไม่รู้ว่าอะไร? พรหมชาลสูตรคือเรื่องลัทธิมิจฉาทิฏฐิ ๖๒ ลัทธิ. ท่านเอาพระสูตรเรื่องมิจฉาทิฏฐิ ๖๒ ลัทธิ มาปราบยักษ์ปราบมารปราบอะไร หมายความว่าเอามาแสดงให้เห็น จนเห็นว่ามันเป็นเรื่องผิดนั่นแหละจนประชาชนเห็นว่าเป็นเรื่องผิด ทั้ง ๖๒ ลัทธินี้ ก็เลยเลิก เปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนาได้. ฉะนั้นเขาเอาเรื่องที่สูงสุด ที่ลึกซึ้ง ที่ศึกษายากที่สุด, พรหมชาลสูตรเป็นสูตรที่ศึกษายากที่สุดในพระไตรปิฎก เอามาใช้เป็นเครื่องมือขับไล่ยักษ์ภูตผีปีศาจรากษสไปจากแผ่นดิน แล้วก็ประดิษฐานพุทธศาสนาลงไปได้สำเร็จ มาจนบัดนี้.

    แต่เดี๋ยวนี้เราก็เห็นได้ว่า มันไม่ราบคาบนี่ มันยังมีไสยศาสตร์งอกงามขึ้นมาอีกอยู่เรื่อย ๆ ไป ถึงแม้จะไม่รุนแรง แม้ว่าแผ่นดินนี้จะได้เปลี่ยนมา ได้ชื่อว่าถือพุทธศาสตร์ แต่ไสยศาสตร์มันก็ไม่ได้หายไปไหน, แล้วมันก็ผสมดรงปนเข้าไปในพุทธศาสตร์. เราก็ถือศาสนาพุทธปนไสย ไสยปนพุทธ- พุทธปนไสยกันอยู่เป็นประจำ. ฉะนั้นเราจะต้องรู้ว่า อะไรจะเป็นเครื่องขจัดไสยศาสตร์ออกไปได้ เช่นเดียวกันพรหมชาลสูตร ทำลายล้างยักษ์มารภูตผีปีศาจออกไปได้ แล้วนับถือพุทธศาสนากัน.

    เข้าใจพุทธศาสตร์ให้ถูกต้องจะกำจัดไสยศาสตร์ได้.

    ทีนี้สิ่งที่จะกำจัดไสยศาสตร์ออกไปได้ ก็คือพุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง นี้จะพูดให้มันชัดกันตรง ๆ ง่าย ๆ ก็คือว่า พุทธศาสนาแท้ ตัวพุทธศาสนาแท้. หลักพระพุทธศาสนาแท้ ตัวธรรมะที่เป็นพุทธศาสนาแท้ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็เคารพเลยนั่นอะไรรู้ไหมล่ะ? ที่จริงก็พูดมาหลายครั้งหลายหนแล้ว แต่บางคนยังงอยู่ แสดงว่าลืมไป สิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ แล้วท่านเคารพเลยคืออะไร? ก็คือกฎอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท : ความทุกข์เกิดขึ้นอย่างนี้, ความทุกข์ดับลงไปอย่างนี้, ความทุกข์เกิดขึ้นอย่างนี้ดังนี้; นั้นคือกฎปฏิจจสมุปบาทหรือ อิทัปปัจจยตา. นี่หัวใจพระพุทธศาสนาแท้ พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้แล้วท่านเคารพเลย, เคารพ เป็นสิ่งสูงสุดเลย, นั่นแหละมันจะกำจัดไสยศาสตร์ได้.

    ถ้ามีความรู้เรื่องอิทัปปัจจยตาแล้ว ไม่มีทางสำหรับไสยศาสตร์. ถ้าในจิตใจมันเต็มไปด้วยความรู้เรื่องอิทัปปัจจยตาแล้ว มันไม่มีเนื้อที่สำหรับให้ไสยศาสตร์ตั้งอยู่ได้. ฉะนั้นสนใจเรื่องอิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท อันนี้เข้ามาแล้วก็ไสยศาสตร์มันก็ไปหมดแหละ; เหมือนกับโรยผงดีดีทีมดแมลงไปไหนหมดก็ไม่รู้, มันง่ายถึงขนาดนั้น. ศึกษาเรื่องอิทัปปัจจยตา ให้มันแจ่มแจ้งประจักษ์อยู่ในจิตใจของเรา พุทธศาสตร์จะทำหน้าที่เต็มที่ แล้วไสยศาสตร์จะถอยหนีไปไหนไม่รู้ โดยไม่ต้องไปยุ่งยากลำบาก, เพียงแต่ทำให้ธรรมะเรื่องอิทัปปัจจยตาเกิดขึ้นในจิตใจเท่านั้น ไม่ต้องไปเตะต่อยไล่ตี ไสยศาสตร์มันหายไปเอง มันหนีไปเองหายไปเอง.

    ฉะนั้น ชวนกันศึกษาเรื่องอิทัปปัจจยตาให้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้นไปทุกปี ๆ, อย่าได้งมงาย เพราะมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น, เพราะมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น; เพราะว่ามีความโง่เป็นปัจจัย ไสยศาสตร์จึงเกิดขึ้น ให้รู้ว่าอย่างนั้นซิ, เพราะว่ามีอวิชชามีตัณหาในจิตใจของเรา ไสยศาสตร์จึงเข้ามา รู้ว่าอย่างนี้ซิ, มันก็มีความรู้ที่ถูกต้อง แล้วความรู้ที่ไม่ถูกต้องมันก็หายไปเอง.

    พระธรรมสูงสุดเหมือนกับพระเจ้าสูงสุด คืออิทัปปัจจยตา เอามาซิ แล้วภูตผีปีศาจทั้งหลายจะไปหมด จะหนีหมด จะไม่มีรอหน้าเลย, ไสยศาสตร์จะหนีไปหมด นี้ไปสวดภาณยักษ์ ที่จะให้บ้านเมืองเป็นสุข, ไปสรรเสริญยักษ์ ไปเชื้อเชิญยักษ์ ไปสวดภาณยักษ์ แล้วก็ไม่สวดอิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท ที่มันน่าฟัง, แล้วก็น่าหัวที่ว่า ใบตาลที่เขาให้เขียนกันนะ-สพฺพา ยกฺขา ปิสาเจว -จะวิ่งหนีไปด้วยอำนาจของพระธรรม. ใบตาลนั้นเมื่ออาตมาแรกบวชก็เคยช่วยเขียนให้เขาแยะ ใบตาลเอามาขดหัวแล้วก็เขียนที่ใบตาลว่า... ลืมเสียแล้วเดี๋ยวนี้ ได้ความว่า ยักษ์ทั้งหลายปีศาจทั้งหลาย จะหนีไปด้วยอำนาจของพระธรรม. แต่วดภาณยักษ์ มันขวางกันสิ้นเชิงเลย, ไปส่งเสริมยักษ์ ไปรับรองยักษ์ ตระกูลยักษ์เรื่องภาณยักษ์ ทั้งนี้ให้เขียนข้อความว่า ยักษ์จะหนีไปหมด เพราะอำนาจของพระธรรม. ใบตาลชนิดนั้นเขาเรียกว่าตะบองเพชรน่ะ, ตะบองเพชร เข้าใจว่าหลาย ๆ คนคงเคยเห็นและเคย ทำด้วย. แต่อาตมานี้ เคยทำเคยเขียนเยอะแยะไป เขียนแจกชาวบ้าน เมื่อเขาสวดภาณยักษ์กัน.

    ฉะนั้นเราจะต้องเอาอิทัปปัจจยตามาสวดแทนภาณยักษ์, แล้วก็เขียนอิทัปปัจจยตาลงไปใน ใบตาลแจกกันอีก, ทำพิธีอย่างเดิม แต่เปลี่ยนบทสวดแล้วก็เปลี่ยนบทจารึกในใบตาลนั้นเสีย. นี่ไสยศาสตร์จะค่อย ๆ หายไป พุทธศาสตร์จะเข้ามาแทนที่อิทัปปัจจยตาเข้ามาช่วยกำจัดไสยศาสตร์.

    จิตตภาวนาในแง่ของไสยศาสตร์.
    ๒๙ มกราคม ๒๕๒๖
     
  9. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ว่าด้วยอิทัปปัจจยตา

    สมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้ไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย
    ทั้งไม่ใช่ของคนเหล่าอื่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้ อันกรรมเก่าควบคุมแล้ว อันจิตประมวล
    เข้าแล้ว ท่านทั้งหลายพึงเห็นว่าเป็นที่ตั้งแห่งเวทนา ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว
    ย่อมมนสิการถึงปฏิจจสมุปบาท นั่นแหละโดยแยบคายเป็นอย่างดีในกายนั้นว่า เพราะเหตุนี้ๆ
    เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้ก็เกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี เพราะสิ่งนี้
    ดับ สิ่งนี้ก็ดับ กล่าวคือ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ
    ฯลฯ ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ เพราะอวิชชานั้นแลดับด้วย
    สามารถความสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมี
    ด้วยอาการอย่างนี้ แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า ความกังวลอะไรๆ ว่า สิ่งนี้ของเรา หรือว่า
    สิ่งนี้ของคนเหล่าอื่น ย่อมไม่มีแก่ผู้ใด.
    และสมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
    ดูกรโมฆราช ท่านจงมีสติพิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของสูญ ถอน
    อัตตานุทิฏฐิเสียแล้ว พึงเป็นผู้ข้ามพ้นมัจจุได้ด้วยอาการอย่างนี้ มัจจุราช
    ย่อมไม่เห็นบุคคลผู้พิจารณาเห็นโลกอย่างนี้.
    แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ จึงชื่อว่า ความกังวลอะไรๆ ... ย่อมไม่มีแก่ผู้ใด.
    และสมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดไม่ใช่ของท่านทั้ง
    หลาย ท่านทั้งหลายจงละสิ่งนั้นเสียเถิด สิ่งนั้นที่ท่านทั้งหลายละเสียแล้ว จักมีเพื่อประโยชน์
    เพื่อสุข ตลอดกาลนาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สิ่งอะไรไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    รูปไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละรูปเสียเถิด รูปนั้นที่ท่านทั้งหลายละเสียแล้ว จักมี
    เพื่อประโยชน์เพื่อสุข ตลอดกาลนาน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย
    ท่านทั้งหลาย จงละวิญญาณนั้นเสียเถิด วิญญาณนั้นที่ท่านทั้งหลายละเสียแล้ว จักมีเพื่อประโยชน์
    เพื่อสุขตลอดกาลนาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน? หญ้า ไม้
    กิ่งไม้และใบไม้ในวิหารเชตวันนี้คนพึงนำไป เผาเสีย หรือว่าทำตามปัจจัย ท่านทั้งหลายพึงมีความ
    ดำริอย่างนี้หรือว่า คนย่อมนำไปเผาเสีย ซึ่งเราทั้งหลาย หรือทำตามปัจจัย. ความดำรินั้นไม่
    มีเลย พระพุทธเจ้าข้า. ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะเหตุว่า สิ่งนั้นไม่ใช่ตนหรือของเนื่องด้วย
    ตนแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละ
    สิ่งนั้นเสียเถิด สิ่งนั้นที่ท่านทั้งหลายละเสียแล้ว จักมีเพื่อประโยชน์ เพื่อสุข ตลอดกาลนาน
    ฉันนั้นแล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สิ่งอะไรไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่ใช่
    ของท่านทั้งหลาย ... วิญญาณไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละวิญญาณนั้นเสียเถิด
    วิญญาณนั้นท่านทั้งหลายละเสียแล้ว จักมีเพื่อประโยชน์เพื่อสุข ตลอดกาลนาน แม้ด้วยเหตุ
    อย่างนี้ จึงชื่อว่า ความกังวลอะไรๆ ... ย่อมไม่มีแก่ผู้ใด.
    และสมจริงตามภาษิตว่า
    ดูกรคามณี เมื่อบุคคลเห็นความเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมล้วนและความ
    สืบต่อแห่งสังขารล้วน ตามเป็นจริง ภัยก็ไม่มี เมื่อใด บุคคลเห็น
    ขันธโลกเสมอด้วยหญ้าและไม้ ด้วยปัญญา เมื่อนั้น บุคคลนั้นก็ไม่
    ปรารถนาอะไรๆ อื่น นอกจากนิพพานอันไม่มีปฏิสนธิ.
    นางวชิราภิกษุณีได้กล่าวคาถานี้กะมารรู้ลามกว่า
    ดูกรมาร ทิฏฐิของท่านย่อมเชื่อสิ่งอะไรหนอว่าสัตว์ ร่างกายนี้เป็นกอง
    แห่งสังขารล้วน บัณฑิตย่อมไม่ได้ที่จะเรียกว่าเป็นสัตว์ในกองสังขาร
    ล้วนนี้ เสียงว่ารถย่อมมีเพราะคุมกันเข้าแห่งส่วนประกอบ ฉันใด เมื่อ
    ขันธ์ทั้งหลายมีอยู่ ความสมมติว่าสัตว์ก็มี ฉันนั้น ก็ทุกข์อย่างเดียว
    ย่อมเกิด ทุกข์ย่อมตั้งอยู่ และย่อมแปรไป นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด
    นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ.
    แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ จึงชื่อว่า ความกังวลอะไรๆ ... ย่อมไม่มีแก่ผู้ใด.
    และสมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมค้นหารูปอย่างนั้น
    แหละ ตลอดถึงคติของรูปที่มีอยู่ ภิกษุย่อมค้นหาเวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณ ตลอด
    ถึงคติของวิญญาณที่มีอยู่ เมื่อภิกษุนั้น ค้นหารูปตลอดถึงคติของรูปที่มีอยู่ เมื่อค้นหาเวทนา ...
    สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณ ตลอดถึงคติของวิญญาณที่มีอยู่ แม้ความถือว่าเราก็ดี ว่าของเราก็ดี
    ว่าเราย่อมมีก็ดี ความถือแม้นั้นก็มิได้มีแก่ภิกษุนั้นๆ แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ จึงชื่อว่า ความกังวล
    อะไรๆ ... ย่อมไม่มีแก่ผู้ใด.

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๙ หน้าที่ ๔๑๘/๔๙๔
     
  10. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892

    แถไปนู้นเลย เหี้ยนี่ นี่หน้าด้านจริงๆๆๆๆ ขอผมเถอะคำนี้ กระทู้มันฟ้องอยู่คุณนี่หน้าด้านมากๆๆ เอาดีเข้าตัวเองเอาเหี้ยเข้าคนอื่นเลยทีเดียว ไอ้ตุ๊ดเอ๋ยไปเอาผ้าถุงแม่มึงมาคลุมหัวไป ผมขอด่าหน่อยคนห่าอะไรมันหน้าด้านขนาดนี้ แถไปได้ได้ไง ผมขอหลักฐานคุณไปตั้งนาน อย่าเงียบ อุรุ
    อย่าแถ อย่าเกรียน เบื่อ..........คุณจะไม่พบหลักฐานได้ไง บทความที่คุณเอามาลงจากหนังสือ ก ข ก กา ของท่านพระพุทธทาส
    ก็สรุปความชัดๆๆ ว่านิพพานเป็นอนัตตา แต่ท่านใช้คำว่านิโรธธาตุ ท่านใช้คำว่าวิสังขาร ท่านใช้คำว่าอสังขตธาตุ เท่านั้นเองมีความหมายเดียวกับนิพพาน คุณค้นกูเกิ้ลดูได้ แต่ใจความก็คือนิพพานเป็นอนัตตา แล้วจะไม่มีได้ไง

    คุณนี่ชอบบิดเบือนจริงๆๆ คุณ โง่...หรือผมพูดไม่รู้เรื่องนี่ ผมบอกคุณว่าคุณกล่าวหาว่า หนังสือ"พระไทย ใช่เขาใช่เรา" มีหน้าที่อ้างว่า ในหนังสือหนังสือ ก ข ก กา ของท่านพระพุทธทาส หน้าอะไรสักอย่างที่คุณพูด นั้นนะมีข้อความว่า ท่านพุทธทาสพูดว่านิพพานคืออนัตตา คุณบอกคุณไปเอาหน้านั้นมาคุณไม่พบข้อความนี้(หรืออ่านไม่เข้าใจเองล่ะ ก็เห็นๆๆอยู่ว่ามึงไม่เคยอ่านเหี้ยอะไรแล้วจับใจความได้แบบชาวบ้านชาวช่องเขาไอ้ควาย)
    ผมก็ถามคุณว่า คุณเข้าใจผิดหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าหนังสือเขียนว่า สรุปความแล้วในหนังสือ ก ข ก กา ของท่านพระพุทธทาส นั้นตีความได้ว่าท่านพุทธทาสพูดว่านิพพานเป็นอนัตตา คุณอ้างว่าหนังสือเล่มนี้"พระไทย ใช่เขาใช่เรา" ระบุอ้างหนังสือ "ก ข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา หน้าที่ ๒๑-๒๒" ว่ามีข้อความว่า ท่านพุทธทาสพูดว่า
    “นิพพานก็สักว่านิพพาน ไม่ใช่ตัวตน เป็นอนัตตาเสมอกันกับสิ่งอื่น” แต่คุณก็หาได้เอามาให้ผมสักที่ไม่ผิดวิสัยสันดานสาระแนนของคุณที่คุณชอบเที่ยวไปลอกกระทู้นู้นนี่มายกมาซะเต็มไปหมด แต่ทำไมคราวนี้ไม่ทำล่ะ ผมก็สงสัยว่าแต่งเองหรือไม่ก็ข้อความสั้นแค่นี้ คือ
    “นิพพานก็สักว่านิพพาน ไม่ใช่ตัวตน เป็นอนัตตาเสมอกันกับสิ่งอื่น” เหตุใดหนังสือต้องอ่้างอิงว่ามีประโยคนี้อยู่ถึงสองหน้าแค่หน้าเดียวก็น่าจะพอ จึ่งเข้าข่ายแต่งเอกสารเองมั่วนิ่มเอง ไม่ได้ไปอ่านไปอะไรหรอกพูดเอง ตอแหลเอง ผมไม่เชื่อว่าคุณไปอ่าน อะไรจะหาหนังสือเล่มที่ว่าอ่านจบเร็วจังภายในไม่กี่ชั่วโมง เข้าข่ายตอปแหล จึ่งไม่มีหลักฐาน
    คืดเองเออเองใช่หรือไม่ ผมบอกไหนไปยกหน้านั้นมาซิ ก็ไม่ยก บอกบอกมาสิว่าหน้่านั้นอยู่หน้าที่เท่าไหร่ในหนังสือ"พระไทย ใช่เขาใช่เรา" ผมจะได้ไปตรวจสอบก็ไม่บอก สื่อถึงความที่แต่งเองแล้วสร้างหลักฐานเท็จ ตอแหลแล้วทพำเนียนทำเป็นเบี่ยงประเด็นใส่ร้ายคนอื่น

    นี่ต่างหาก...เพราะถ้าเป็นจริงอย่างคุณว่า ก็เท่ากับบอกว่าพระพรหมคุณากรณ์บิดเบือนข้อมูลหรอ...

    ว่าแต่คุณเคยขอหลักฐานอะไรผมไม่ทราบ ช่วยบอกหน่อย อย่าตอแหล กระทู้ก็มีอยู่ตั้งหลายหน้าช่วยยกมาหน่อย.....อย่าตอแหลหลักฐานมันเต็มกระทู้

    เรื่องทำลายพระพุทธรูป คุณบอกคุณยังไม่ได้ตั้งกระทู้เลย แต่คุณตั้งกระทู้เพราะเจตนาไปอย่างนั้น คือเห็นไหมพุทธกาลไม่มีพระพุทธรูปอย่างมงาย ใครกราบไหว้เป็นพวกยึดวัตถุ พวกโง่ ใครสร้างทุศีล แต่ผมมาเล่นงานคุณก่อนคุณเลยไม่ได้เขียนข้อความออกมาตรงๆๆ เพราะผมรู้ว่าคุณจะสื่ออะไรต่อไป หลักฐานก็คือคุณมีกระทู้ทำนองนี้มากมายมหาศาล คุณตั้งมาหลายปีใครๆๆก็รู้ ประเด็นซ้ำซาก


    ใครกันแน่คำสอนในพระไตรปิฏกไม่เห็นด้วย เอาใส่ร้ายอีกแล้ว ผมยกข้อความในพระไตรปิฏกมาตั้งหลายเล่ม ว่านิพพานเป็นอนัตตา คุณต่างหากที่บอกพระไตรปืฏกมั่ว



    และเกี่ยวอะไรกับหลวงตาบัว จะบอกว่าหลวงตาบัวเชื่อถือได้มากกว่าพระไตรปิฏก ว่างั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2012
  11. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892

    อย่าตอแหล ไหลล่ะที่คุณพูดเอามาดูสิ อย่าพูดลอยๆๆๆๆ


    อย่าตอแหล อธิบายเอาไว้แล้ว



    แล้วคุณล่ะ มีหลักฐานจากพระไตรปิฏกไหมครับว่า นิพพานไม่ใช่อนัตตานอกจากคำพูดลอยๆ ของคุณของหลวงตาบ้านตากที่ออกสื่อปฏิเสธไปแล้วว่า อตามาไม่ได้พูดนะ พวกลุกศิษย์ที่ทำเอกสารเข้าใจผิดไปเอง
    ว่าแต่คุณบอกใครบอกว่านิพพานเป็นอนัตตา เป็นมิจฉาทิฏฐิ
    แล้วอันนี้ล่ะ


    "นิพพาน หมายถึง เย็นหรือดับลง เย็นเหมือนไฟที่เย็นลง หรือของร้อนๆอะไรก็ตามมันเย็นลง นั่นแหละคืออาการที่นิพพานล่ะ......เพราะฉนั้นคําว่านิพพานนั้นที่เป็นภาษาชาวบ้านแท้ๆ มันหมายถึงของที่ร้อนให้เย็นลงเท่านั้น แต่แล้วเราจะหมายความเพียงเท่านั้นไม่ได้ นั่นมันเป็นเรื่องของวัตถุ ส่วนนิพพานในเรื่องของธรรมะหรือทางศาสนามันหมายถึง เย็นลงแห่งไฟกิเลส ไฟกิเลสคือ ราคะ โทสะ โมหะ จนเย็นสนิท จึงจะเรียกว่านิพพาน."

    ดังนั้นก่อนอื่นจึงควรทำความเข้าใจในพระนิพพานอย่างถูกต้องดีงามเสียก่อนว่า เป็นสภาวะที่ดับกิเลสหรือกองทุกข์ หรือกล่าวเน้นลงไปได้ว่า สภาวะที่ปราศจากอุปาทานทุกข์อันเร่าร้อนเผาลน อันเกิดขึ้นเนื่องแต่อาสวะกิเลส,ตัณหา,อุปาทานนั่นเอง จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความสุข สงบ สงัด อันบริสุทธิ์ยิ่ง ส่วนอื่นๆเป็นเพียงผลข้างเคียงอันพึงบังเกิดขึ้นเท่านั้น

    ตามกฎพระไตรลักษณ์ จากพุทธพจน์ ที่ตรัสว่า

    "สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง ( อนิจจตา )

    สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์ ( ทุกขตา )

    ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา" ( อนัตตตา )

    สังขาร สิ่งที่เกิดแต่เหตุปัจจัยปรุงแต่ง ในไตรลักษณ์จึงหมายรวมถึงทุกสรรพสิ่ง ทั้งรูปธรรม, นามธรรม, กุศลธรรม, อกุศลธรรม, ทั้งโลกียธรรม และโลกุตรธรรม ขันธ์ ๕ ฯลฯ. อันล้วนแต่เกิดแต่เหตุปัจจัยทั้งสิ้น ยกเว้นเพียง สภาวธรรมหรือสภาวธรรมชาติ ดังมี "พระนิพพาน" อันเป็น"สภาวธรรม"อย่างหนึ่งที่เรียกว่าเป็น อสังขตธรรม คือสิ่งที่ไม่มีปัจจัยไปปรุงแต่ง, หรือสิ่งที่มิได้เกิดแต่เหตุปัจจัยใดๆนั่นเอง หรือก็คือ สภาวธรรมชาติ ทั้งหลายนั่นเอง
    ที่นี้ในท่อนที่ว่า "ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา"
    คำว่าธรรม นี้ในพระไตรลักษณ์ในข้อพระอนัตตานั้น ย่อมหมายถึง สภาวธรรมหรือธรรมชาติอันครอบคลุมทุกสรรพสิ่งอันย่อมหมายรวม พระนิพพาน ด้วย ดังกล่าวข้างต้น
    ท่านพุทธทาสภิกขุ ในหัวข้อเรื่อง หลักธรรมสําคัญในพุทธศาสนา หน้า๑๘๔

    เห็นชัดๆๆว่าท่านพุทธทาสสอนว่านิพพานเป็นอนัตตา แล้วยังจะตอแหลอะไรอีก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 321457.jpg
      321457.jpg
      ขนาดไฟล์:
      177 KB
      เปิดดู:
      74
    • 321556.jpg
      321556.jpg
      ขนาดไฟล์:
      160.4 KB
      เปิดดู:
      80
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2012
  12. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    อย่าตอแหล นิพพานเป็นอนัตตา หลักฐานที่อุรุขอก็เอามาให้แล้ว ยังจะเอาอะไรอีก...กล่าวหาว่าคนอื่นไม่เคารพพระไตรปิฏก แต่พอวันก่อนเห็นข้อความนี้พูดทันทีว่า ข้อความในพระไตรปิฏกเหล่านี้เป็นข้อความแต่งมา
     
  13. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892

    อย่าตอแหล ก็จะให้เชื่อเอกสารนั้นได้อย่างไรก็ในเมื่อสอนขัดกับพระไตรปิฏก ก็เห็นอยู่ พระพรหมคุณากรณ์ที่ถูกอ้างถึง ท่านก็ออกมาแก้ความว่า ท่านไม่เคยไปหาหลวงตาบัวไปกราบขอขมาที่สอนคำสอนผิด ไปสอนว่าพระพุทธศาสนาเป็นอนัตตา อย่าตอแหล กระทู้นี้เขาเล่นกันด้วยหลักฐาน จะตอแหลอะไรคนอื่นเขารู้หมด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2012
  14. ซงแทฮา

    ซงแทฮา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +386
    ทำใจเถอะครับคุณมหาวัดคุณด่าไป
    เขาก็ไม่สำนึกหรอก คนๆๆนี้(ท่านจขกท.) เขาช่างแถแบบที่คุณว่านั้นแหละ
    ใครไม่เจอกับตัวเองไม่รู้หรอก
    ตัวเองดีเก่งคนเดียว
    บรรลุธรรมแล้ว เข้าถึงธรรมแล้ว
    เองเอ็งเก่ง พอใจยัง ฉันบอกว่าเอ็งเก่ง
     
  15. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    ผมจะเลิก เล่นงานเจ้าของกระทู้แล้วคุณซงแทฮา ผมเบื่อ คนๆๆนี้มันหน้าด้านเกินไป
    แหย่คนหน้าด้านไม่สนุกตรงไหนเลย
    มันแถทั้งๆๆที่มันไม่มีอะไรจะแถ ไม่ยอมรับความจริง ก็เห็นอยู่ว่าถูกเขาด่ากันทั้งกระทู้
    มันก็ยังไม่รู้ตัวอีก
    เห็นแล้วสมเพสมัน
    สรุปผมจะไม่ยุงกับมันแล้ว เปลืองน้ำลาย
    หวังว่ามันจะไม่ตอบอะไรมาอีก
    ให้ต้องมาด่ามัน จบแค่นี้แหละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2012
  16. ลมสุริยะ

    ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +215
    บอกแล้วไงว่าอย่าเพิ่งรีบร้อนศึกษาธรรม ปัญญาน้อยก็อย่าเพิ่งไปแปลทั้งหมดครับ

    เอาแค่คำศัพท์ก่อน ว่าคำว่า พระพุทธรูป แปลว่าอะไร

    ท่านพุทธทาสไม่เห็นด้วยกับการสร้าง พระพุทธรูป เพื่อใช้เป็นสัญญลักษณ์ของพระพุทธองค์ใครๆก็รู้ครับ
    แต่ท่านก็เรียกรูปหล่อ ปูนปั้น หินแกะสลัก ไม้แกะสลัก พระเครื่อง รูปเปรียบพระพุทธเจ้า
    ว่า พระพุทธรูป ซึ่งความหมายก็ตรงกับพจนานุกรม ตรงกับที่คนทั้งหลายเข้าใจ

    เข้าใจคำจำกัดความของคำว่า พระพุทธรูป ที่ท่านพุทธทาสแสดงหรือยังครับ

    หรือว่าคุณอุรุ? ไม่เห็นด้วยกับท่านพุทธทาส ก็จงแสดงความหมายของพระพุทธรูป ที่คุณเข้าใจมาสิครับ

    dannce_
     
  17. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คุณลมสุริยะครับ คุณตามอ่านมา ๑๙ หน้า คุณยังมืดอยู่เลย คุณถามผมว่า "พระพุทธแปลว่าอะไร"
    คุณลอง PM ไปถามท่านที่เข้าใจตั้งแต่โพสต์แรก ๑๔ ท่านดูนะครับ คุณคงสว่างกลับไปได้บ้าง
     
  18. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    เขาไม่ได้กดให้แกอุรุเวลา ไม่รู้เรื่องเลย เขากดเพราะเห็นว่ามันเป็นบทความพระพุทธศาสนาเขากดให้คนเขียนบทความไม่ใช่เอ็ง คนที่กดส่วนใหญ่ไม่อ่านหรอก ไม่ก็อ่านผ่านๆๆ นี่เรื่องปกติ กล้าพูดเนอะ
    ก็เห็นอยู่ว่า สิบสี่คนนั้นมันช่วงวันแรกๆๆ ก่อนที่ความคิดชั่วๆๆ ของเอ็งจะถูกแฉว่ามีเป้าหมายอะไร ก็ไม่เห็นมีใครกดให้อีก มีแต่คนกดไม่เห็นด้วย
    อย่าอ้างใจดีๆๆ นะไอ้นั้นมันเป็นคนบ้า มันกดเพราะอะไร ก็น่าจะรู้อยู่
    แหม่ๆๆ ภูมิใจ
    น่าสมเพส ว่ะ เชิญเอ็งเห่าเอ็งตอแหลต่อไปเถอะ เห็นแล้วสมเพสลูกตายิ่งเอ็งแถยิ่งรู้สึกทุเรสลูกตา คนหน้าด้านแบบนี้มีในโลกด้วยโว้ย จะไม่มาแหย่เอ็งบ่อยๆๆแล้วล่ะ ระอาใจ ห่อเหี่ยวใจว่าเราเป็นตัวการให้คนๆๆหนึ่งทำตัวน่าสมเพสได้ขนาดนี้เลยหรอ ปลง บายล่ะ เชิงเอ็งหลอกตัวเองต่อไปเถอะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2012
  19. คนเพนจร

    คนเพนจร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +27
    รบกวนขอรายชื่อคนที่เข้าใจหน่อยครับ เบอร์โทรได้ยิ่งดี
     
  20. คนเพนจร

    คนเพนจร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +27



    เดี๋ยวคนเข้ามาที่หลังไม่รู้เรื่อง เพราะกระทู้ก๊อปมาดันไว อันใหนตอบพลาดท่านก็ลบอย่างไว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...