จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    ข้าฯไม่อยากตื่นมาเลย
    เพราะถ้าตื่นขึ้นมาแล้ว
    กลัวเจอคนที่ชื่อ ทุกข์ มายืนรอข้าอยู่ตรงหน้า

    ยิ่งตัวโตเท่าไหร่ หรือ อายุมากเท่าไหร่
    ก็ยิ่งมีความทุกข์มากเท่านั้น
    พอมีทุกข์มากๆเข้า บ้างก็หันหน้าเข้าพระที่วัด
    สงสัยจะไปหาผ้ายันต์กันทุกข์ เห่อๆ

    บ้างก็หันหน้าเข้าหาธรรม หรือ ไปปฎิบัติธรรม
    ผู้ปฎิบัติมีตั้งเยอะตั้งแยะมากมาย แต่ดันไปเอาแค่เปลือก แก่นไม่รู้จักเอากัน เห่อๆ

    บ้างก็หันหน้าเข้าหาความตาย
    สงสัยนึกว่ารอดเร๊อะ ที่ไหนได้ ต้องไปชดใช้กรรม ยังเมืองนรกต่อ
    แต่ยังไม่พอ เกิดใหม่ก็จะฆ่าตัวตายอยู่ร่ำไปอีกหลายภพชาติ จนกว่าจะหนีขึ้นไปพระนิพพาน เห่อๆ

    ปล.ธรรมะบรรยายมีภาพประกอบไปด้วย แก้เซ็งงงง!
     
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    ใครเอ๋ย! ให้ทาย

    เห็นความเกิด-ดับของจิต(เจตสิก)
    ขอให้เห็นจนชิน จนกลายเป็นธรรมดา จนกลายเป็นอนัตตา คือความว่างเปล่าไปซะ

    ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องทนทุกข์กับมันอีก
    เพราะต่อไปนี้ จะเป็นผู้ดูอย่างเดียว เป็นผู้ปล่อยวางได้หมดจดงดงาม

    จิตเอ๊ย!
    จิตใสๆ จิตประภัสสร ข้าพบเจอเจ้าแล้ว
    เธอไปอยู่ที่ไหนมา (จิตเก่าที่ดับไปแล้ว ถาม)
    ข้าก็อยู่ที่นี่แหล่ะ! แต่ทำไมเจ้าถึงไม่เห็นข้าละ(นส.จิตประภัสสร ตอบ)
    แต่ถ้าหากได้พบเจอข้าแล้ว ต่อไปเจ้าจะไม่ต้องเป็นทุกข์ใจอีกนะ
    เพราะทุกข์ทั้งหมดนั้น แท้ที่จริงแล้ว มันก็คือ ตัวทุกข์ ก็คือ ร่างกายของเจ้า นั่นไง
    แต่อีกไม่นานนัก เดี๋ยวเจ้าของที่แท้จริง เขาจะเอากลับคืนไป นั่นก็คือ โลก
    เพราะร่างกายมนุษย์ ซึ่งประกอบไปด้วย ธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มาประชุมหรือรวมกันแค่ชั่วคราวเท่านั้น
    เพื่อให้ดวงจิตน้อยๆ เมื่อก่อนสดใส เป็นจิตประภัสสร ได้อยู่อาศัยพึ่งพากัน ทำกรรมทั้งดีหรือไม่ดี และมีเหตุปัจจัยมากมายยิ่งนัก
    ที่ผ่านมานั้น เหมือนฝันร้าย ที่เราเคยหลงตามไปดูพี่เจตสิก(อารมณ์ของจิต) เพราะนิสัยของจิตมักไม่ชอบอยู่นิ่ง
    เที่ยวไปรับเอากิเลสมาจากข้างนอกมากมาย จนแยกไม่ออกว่า อะไรคือตัวจิต อะไรคือตัวกิเลส
    เหมือนผึ้งน้อยพเนจรเที่ยวไปดูดน้ำหวานจากดอกไม้ต่างๆ สิ่งที่ติดมากับน้ำหวาน ก็คือ เกสรดอกไม้
    เปรียบเสมือนน้ำหวาน ก็คือ จิตเขาอยากได้ อยากรู้ แต่เกสรนั้น ก็คือ กิเลส ตัณหา อุปาทานทั้งปวง
    เมื่อกลับมาสู่รังผึ้ง หรือ จิตเข้านิพพาน ก็ถึงบางอ้อ บางอ๊าวๆๆว่า..อะไรคือจิตประสร อะไรคือตัวกิเลส
    ตราบใดที่ผึ้งน้อยบินอยู่บนอากาศนั้น หรือ ผู้คนที่หลงมาเกิดในโลกวัฎสงสารนี้กัน
    ก็ยังไม่มีทางจะรู้ตัวว่านี่ เรากำลังอยู่ในเขตแดนที่ไม่ปลอดภัย
    เพราะเขตที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับผึ้งน้อย ก็คือ รังผึ้ง
    แต่เขตแดนที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับดวงจิตคนเรานั้น ก็คือ พระนิพพาน
    จึงไม่ใช่ที่วัฎฎะนี้แน่นอน
    เพราะโลกวัฎฎะนี้ มีแต่กิเลส มีแต่ทุกข์ มีแต่เบียดเบียนกัน นินทากัน ชมกัน เป็นต้น

    โลกมนุษย์นี้
    ชอบนักที่จะอยู่ร่วมกัน ฝากความสุขซึ่งกันและกัน และก็ยึดกัน รักกัน โกรธกัน พบกัน แยกกัน เป็นต้น
    และก็มักเอาเปรียบกัน ทำร้ายกายใจกัน หนักไปกว่านี้ก็คือ เอาชีวิตกันหรือฆ่าแกงกัน และทำกรรมต่างๆนานา

    แต่ดวงจิตบนพระนิพพานนั้น
    ต่างคนต่างอยู่ ชอบปลีกวิเวก ไร้ทุกข์ ไร้สุข มีแต่เมตตากัน ไม่ต้องมีกายหยาบ
    ไม่ต้องกิน ไม่ต้องนอน ไม่ต้องหายใจ ไม่ต้องเจ็บป่วย ไม่มีเวทนาหรือความรู้สึกใดๆ ไม่มีเพศ ไม่มีเด็กหรือแก่
    ไม่มีเวลา ไม่มีระยะทาง

    พอดีก่า พี่ภูเริ่มพาออกทะเล ไปหาปูม้าแร๊ะ! หาธรรมะไม่เจอแร๊ะ ไปนอนดีก่าตรู
     
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    สาธุๆๆ
    ตั้งจิตเอาตามใจปรารถนากันเด้อๆๆๆ
    เอาไปๆๆๆ
     
  4. แสงจันทร

    แสงจันทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +2,618
    ขออนุโมทนาบุญกับคุณศศิวรรณ จิตบุญ 116 , คุณเคลื่อน จิตบุญ 117
    รวมทั้งพระอาจารย์ชัชวาลย์ และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่านด้วยนะค่ะ...สาธุ สาธุ สาธุค่ะ
     
  5. เ่ต่าโบราณ

    เ่ต่าโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    713
    ค่าพลัง:
    +3,624
    ช่างสรรค์หาทั้งภาพ และ คำบรรยาย 555
     
  6. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    สิ่งที่น่ากลัวที่สุด อยู่ที่ไหน ...

    มนุษย์เรานี้แปลก ไม่ชอบมองตนเอง ชอบมองแต่สิ่งที่อยู่นอกตัว ...
    คนนี้สวย คนนี้หล่อ
    คนนี้ปากไม่ดี คนนี้เลว
    ไปเที่ยวที่นั่นดีมาก อากาศดี

    ... ไม่ว่าจะแบบไหน สุดท้ายจะจบแบบคำตอบที่ว่า .... ดี หรือ ไม่ดี
    ชอบทำตัวเป็นผู้ตัดสิน ผู้พิพากษา(คนอื่น)
    การไปมองสิ่งข้างนอก แล้วนำมาวิจารณื และจบที่การตัดสินนั้น ... มันสนุกและเมามันมากๆ จนเราเพลิดเพลิน โดยที่หารู้ไม่ว่า มันผลาญเวลาเราไปนานเท่าใด

    เมื่อนึกขึ้นได้ สติเริ่มทำงาน หรือ เราเริ่มเบื่อที่จะยุ่งเรื่องของเค้า ... เราก้อมานั่งงงกับตนเองว่า ทำอะไรไป ทำแล้วได้สิ่งใด
    เมื่อพบว่าไม่เกิดประโยชน์ใดๆเลย เสียเวลาเปล่าๆ
    เราก้อมานั่งเสียใจ นั่งต่อว่าตนเอง ว่า ... ทำอะไรไปเนี่ย เสียเวลา ไม่น่าเลย
    ทำไมไม่มาเดินมรรคในตนเอง ไม่น่าเลย
    กลุ้มอก กลุ้มใจกับตนเอง ... สุดท้าย ไม่ได้อะไรเลย

    นำเวลาที่ใช้ไปกับเรื่องภายนอก มาใช้กับจิตภายในเรา จะดีกว่านะ
    สติใช้ให้เกิดประโยชน์ อย่าทำให้เสียของ
    สติถ้าใช้ดีๆ ก้อไม่ต่างกับเราขับรถเฟอรรารี่ 300 กม/ชม
    แต่ถ้าใช้ไม่เป็น ก้อไม่ต่างกับ ท่านมานั่งเข้นรถเฟอรรารี่ได้ความเร็ว 0.5 กม/ชม

    เลิกเพ่งภายนอก ท่านจะพบว่า จิตมันนิ่งได้อย่างไร
    ทำไมมันสงบเยี่ยงนี้ แค่เปลี่ยนมุมมอง จากหันออกนอก มาสู่ภายใน
    แล้วท่านจะพบว่า แค่เนี้ย แค่หันมุมใหม่แค่นเนี้ย ทำไม ใจมันต่างกันขนาดนี้

    มองนอก ... ทุกข์ใหญ่ ทุกข์ใหม่ ไม่รู้พบ
    มองใน ... ใจสงบ พบสุขถาวร

    สิ่งที่น่ากลัวที่สุด อยู่ที่ไหน ก้ออยู่ในจิตนเองนั่นแหละ
    สิ่งที่สุขที่สุดอยู่ที่ไหน ก้ออยู่ในจิตตนอีกนั่นแหละ

    ทุกอย่างมีอยู่เป็นธรรมชาติ อยู่อย่างนั้น
    อยู่ที่ท่านจะเลือกเอา ...


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  7. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    โง่ ไม่น่าอาย ...

    ทำไมเรากกลัว หรือเครียดจังกับคำพูดที่มีคนมาปรมาส หรือ ต่อว่าเราว่า ... โง่ ...

    คำว่าโง่มันมีอะไรดี ถึงทำให้คนกลัวกันเหลือเกิน
    ทำไมมันทรงอานุภาพได้ขนาดนี้

    สำหรับ คนที่ยังไม่เข้าใจ ก้อคงจะน่ากลัว น่าโกรธอยู่ที่มีคนมาว่าเรา โง่

    แต่สำหรับผม คำว่าโง่ คำว่าเก่ง คำว่าอัจฉริยะ นั้น สมมติทั้งนั้น
    เพราะเป็นสิ่งที่คนอื่นพูดทั้งนั้น และสิ่งนั้นคนที่ยึดเท่านั้น มันจะทุกข์

    เป็นผมนะ ผมจะไม่สนใจ ผมจะยอมโง่ ถ้ามันทำให้ผมดีขึ้น

    โง่ ... สำหรับผม คือ ผมยังไม่รู้ ผมไม่มีพื้นฐาน ไม่ต่างอะไรกับการเรียนรู้ใหม่
    ไม่มีอัตตามานะ ไม่มีศักดิ์ ไม่มีศรี มีแต่จิตผมเท่านั้น

    โง่ แล้วมีคนสอน แนะนำ สั่งสอน เมตตา ... ผมชอบนะ
    ฉลาด แล้ว ไม่มีสิ่งใดเติมให้เราได้ ไม่มีทางสว่าง ... จะฉลาดไปทำไม

    โง่ เพื่อ สว่าง ...
    ฉลาด เพื่อ มืดตลอดกาล
    ท่านจะเลือกแบบใด

    ดวงจิตเรานั้น อย่าเอาไปเทียบกับกายนะ

    กายที่คนนนั้นคนนี้ด่าว่าโง่นั้น มิได้หมายความว่า จิตจะโง่ตามนะ
    จิตไม่มีโง่ ... มีแต่จิตที่ยังไม่ตื่น

    เมื่อจิตตื่น จิตเห็นทางสว่างแล้ว กายนั้นไม่มีผลใดๆต่อดวงจิตเลย

    อย่ากังวลว่าคนโง่อย่างเราจะพบธรรม
    ท่านจะรู้ได้หรือ ภายในร่างกายหรือสมองที่คนประนามว่าโง่นั้น จิตเค้าเป็นอย่างไร
    อย่ามองข้ามดวงจิตนี้ จิตนี้ ไม่เกี่ียวกับกายใดๆเลย

    อย่าไปยึดเลย อันความฉลาดของกาย ของสมอง ... ไม่เที่ยง ไม่พ้นไตรลักษณ์

    ควรยึดแค่ความเพียร เพื่อให้จิตได้สว่างและพบสุขแท้

    อย่าปรามาสจิตตนเอง ด้วยคำว่าโง่ที่คนออื่นหรือตัวท่านเองคิดเองนะ

    จิตนี้ถ้าได้รับการฝึกที่ถูกต้อง เดินได้ตามแนวมรรค
    ไม่มีทางที่จะไม่สำเร็จ

    จิต ไม่ใช่ กาย
    กาย ไม่ใช่ จิต
    กายที่ฉลาด ... มิได้หมายความว่าจิตจะเดินได้ไว
    กายที่โง่ ... มิได้หมายความว่าจิตจะเดินช้า

    แก่นแท้ มีเพียง สมาธิ เท่านั้น
    จิตยิ่งนิ่ง ยิ่งทรงอยู่ในสมาธิ ในฌาณเท่านั้นแหละ ที่จะเป็นตัวที่ทำให้จิตพัฒนา

    รู้แก่นแล้ว ก้อ เพียรทำไปนะ

    อย่าไปสนใจ กับคำว่า โง่

    สนใจเพียง จิตตนเอง และ สมาธิ ฌาณ สติ พอนะ เอาแค่นี้ ก้อรอดแล้ว ดวงจิตเอ๋ย


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  8. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ตาย ...

    ความตาย ทำไม เรากลัวกันจัง
    เหตุผล เราไม่รู้ว่า ตายแล้วจะไปไหน

    บางคน ... กลัวว่าตายไปแล้วจะตกนรก เพราะรู้ดีว่าทำชั่วไว้เยอะ ไม่อยากตาย
    บางคน ... ยังยึดติดมากมายกับ ลาภ ยศ เงิน ทอง ชื่อเสียง ที่ ยังหลอกหลอนเราให้จมกับมันอยู่ ตายไปแล้ว กลัวจะไม่ได้อย่างนี้ ยังเสียดาย
    หลายคน ... กลัวเวลาตาย ยังยึดติดในตัวใตตน ยังคิดว่า กายนี้เป็นของเรา กลัวจะไม่ได้แบบนี้อีก

    แต่ลืมกันไป สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ท่านยึดอยู่นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ร้อยรัดท่านให้ยังต้องมาเกิดในวังวนของการเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในกองทุกข์นี้ตลอดไป

    แต่ชอบมองข้ามกันเสียจริง ทุกขณะที่เวลาผ่านไป ท่านล้วนอยู่กับความตาย การเกิด ดับตลอดเวลา

    ผิวหนังกำพร้าตายไป ผิวใหม่ขึ้นมา ...
    ผมยาวมา แล้วก้อร่วงไป ...
    ฟันจากที่เคยแข็งแรง ก้อโยกคลอน และหลุดไป ...

    จวบจนบัดนนี้ มีคนที่ท่านรู้จักตายไปแล้วกี่คน หัดชินหน่อยสิ

    มีใครในโลกนี้ ไม่ตาย ... ใครหาเจอ บอกผมด้วยนะ

    มองความตายให้เป็นเรื่องธรรมดา และเกิดได้ทุกขณะจิต ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า ไม่แน่นอน

    มองความตายให้เป็นอีกด้านหนึ่งที่จะทำให้เรา ไม่อยากกลับมาเกิดอีก
    จะเกิดเพิ่อการอันใด ให้มาจมกับทุกข์ไม่จบไม่สิ้นอีกหรือ

    ตายไปแล้ว มันไม่แล้วกันนะ ตราบใดที่ยังแจ้ง
    มันจะตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย ไปไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ

    ปรับมุมมองสิ ให้พร้อมตาย แต่ก่อนตาย เราจะไม่ทิ้งกายนี้ให้กับธรรมชาติเปล่าๆ
    แต่เราจะนำพาดวงจิตนี้ ไม่ให้กลับมาเกิดอีกต่อไป จบกันทีการเกิด การเจ็บ การแก่ชรา การตาย ...

    ก่อนตาย ... จงนำพาดวงจิตให้จบสุขแท้
    แล้วท่านจะไม่กลัวตาย มีแต่อยากตายไวๆ จะได้จบกับกายนี้เสียที 5555

    ศีล สมาธิ ปัญญา จะนำพาทุกสิ่งให้ดวงจิตของท่าน ...
    มา ... ไปด้วยกัน เราจะพาไป


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  9. jjppy

    jjppy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +296
    ขอโมทนาบุญกับจิตบุญที่ ๑๑๖, ๑๑๗ และพระอาจารย์ชัชวาลด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  10. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขออนุโมนา กับครูพี่ภู ในข้อความข้างบนนี้ด้วยค่ะ นักปฏิบัติส่วนมากยังไม่เข้าใจว่า ความสงบที่จริงนั้นอยู่ที่ไหน? บ้างครั้งอยู่ในสถานที่อันสงบ ก็ยังบอกว่าไม่สงบ
    โทษสิ่งภายนอกว่า อันเป็นเสียงบ้าง บุคคลบ้าง จิตเกิดการผลักต้านปรากฏการณ์โดยไม่รู้เท่าทันจิตปรุงแต่งของตนเอง... บางคนอยากจะหนี้เข้าไปอยู่ใน ป่า หรือใน ถํ้า ที่ไม่มีผู้คนรบกวน โดยเข้าใจว่าสิ่งรบกวนนั้นมาจากข้างนอกเท่านั้นจึงยังไม่ทันได้พิจารณาถึงข้างในคือ ใจ ถ้าเขาคิดว่าความไม่สงบเกิดจากภายนอกเท่านั้น เขาก็จะไม่สามารถเจอความสุขหรือความสงบจริง เพราะถึงจะอยู่ในป่า ในถํ้า แต่ใจไม่สงบก็ไม่มีความหมาย เพราะเสียง หรือสิ่งต่างๆที่มาสัมผัส มันเป็นธรรมชาติ และท่านก็ไม่สามารถห้ามหู ห้ามตาของท่านไม่ให้ได้รับรู้ไม่ได้ เมื่อห้ามไม่ได้ทําไม่ท่านไม่ห้ามใจตนเองล่ะ... ด้วยการรับรู้ ปล่อยวาง อย่าดูดรั้ง หรือผลักดันต่อต้าน ท่านจะต้องทําใจ รู้ แล้วปล่อยไป เช่น ธรรมชาติของนํ้า คือ "นํ้าที่ขังไว้ไม่ไหลย่อมเน่าเสียฉันใด จิตที่รู้อะไรแล้วไม่ปล่อย ย่อมทุกข์ฉันนั้น"และธรรมแท้นั้นเป็นกลางๆ ใครปล่อยวางได้เป็นสบายสบาย ขอให้ทุกๆท่านจงสบาย สบาย ด้วยเทอญ.
     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุๆๆ
    ต่อมธรรมะเริ่มแตกฉานแร๊ะ
    ปัญญานี่ยิ่งฝนก็ยิ่งแหลมคม และไม่มีวันสึกหลอด้วย
    ไม่เหมือนมีด ยิ่งฝนยิ่งแหลมคมเหมือนกัน แต่มันจะสึกหลอไปเรื่อยๆ
    จิตละเอียดมาก ก็ยิ่งรู้ธรรมะมากเท่านั้น
    สาธุๆๆ
     
  12. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ขออบคุณ คุณวิทยาพรค่ะ ที่เอาธรรมะ เกี่ยวกับการตาย มาให้เป็นทาน จริงค่ะทุกคนกลัวตาย. กลัวตายแล้วยังไม่พอ. กลัวอีกว่าตายแล้วจะไปอยู่ที่ใหน จะได้ไปอยู่ภพใด มีแต่คิดและสงสัย กลัวกันอยู่ ทุกคนที่กลัวตาย ก็ให้คิดว่าการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันมาพร้อมกันกับเราเกิดแล้ว เพราะมันธรรมชาติ ของดิน น้ำ ลม ไฟ. สำหรับตัวดิฉันตอนนี้ไม่ได้กลัวตายค่ะ เพราะว่าการปฎิบัติตัวของดิฉันทำให้หมั่นใจได้ว่าไม่กลัวตายแล้ว. ซึ่งดิฉันคิดว่ายังมีหลายๆคนที่คิดเหมือนดิฉัน.ขอให้ทุกคนทบทวนธรรมะข้างบนนี้บ่อยๆ แล้วถามตัวเอง และตอบตัวเอง ถาม ตอบ ถามตอบอยู่อย่างนี้ จนปํญญาเกิด. เมื่อไหร่ที่เราท่านถึงจุดนี้แล้วเราจะได้ไม่กลัวต่อไป. ต้องทำนะคะแล้วเราจะรู้ด้วยตัวเอง.ขอให้ธรรมะนี้เข้าถึงจิต ของทุกๆท่านให้ท่านมีปัญญา มีสติ หมั่นคง แน่วแน่ แล้วความสำเร็จก็จะเป็นของท่านค่ะ ขออาราธนาพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ได้โปรดเมตตากับทุกๆท่านด้วยเทอญ.
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ถึงร่างกายคนเราจะสึกหรอทุกวัน
    ช่างปะไร ถึงอย่างไร ครีมหน้าเด้งก็ช่วยไม่ได้
    วิทยาศาสตร์การแพทย์อาจจะช่วยได้ก็แค่ยืดออกไปเท่านั้นเอง
    และท้ายที่สุด ก็จบกันที่ ความตาย

    วันนี้จึงอยากมาเตือนกันตรงนี้
    ตระหนักกันให้มาก สนในดูจิตตนเองให้มาก
    ถึงตัวจะขาว ถึงหน้าใส หน้าจะเด้งแค่ไหน
    แต่ถ้าจิตไม่ใส ไม่เด้งเหมือนกาย เหมือนผิวละก้อ

    จงพึงระวังกันให้ดีๆ

    กฎแห่งกรรม ทำงานไม่ผิดตัวแน่ๆ

    งานนี้ไม่มี คำว่า แพะรับบาป
     
  14. kongkiatm

    kongkiatm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,263
    ขออนุโมทนา กับ บทความดีๆ ด้วยน่ะครับ

    ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น สามารถข้ามภพ ข้ามชาติ นำติดตัวเราไปได้ จนถึงที่สุด คือ การตัดภพ ตัดชาติ เข้าสู่พระนิพพาน
     
  15. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    อย่าสำคัญตนเอง

    อย่าสำคัญว่าตนเอง
    เก่งกาจสามารถฉลาดรู้กว่าเขาเลย
    ถึงกับสร้างความมืดมิดปิดตาทับถมตัวเอง
    จนไม่มีวันสร่างซา
    เมื่อถึงเวลาจนตรอกอาจจนยิ่งกว่าสัตว์
    ยังไม่เตรียมทราบไว้เสียแต่บัดนี้
    ซึ่งอยู่ในฐานะอันควร

    เมื่อมีผู้เตือนสติ ควรยึดมาเป็นธรรมคำสอน
    จะเป็นคนมีขอบเขตมีเหตุผล ไม่ทำตามความอยาก
    เมื่อพยายามฝ่าฝืนให้เป็นไปตามทางของนักปราชญ์ได้
    จะประสบผลคือความสุขในปัจจุบันทันตา
    แม้จะมิได้เป็นเจ้าของเงินล้าน
    แต่มีทางได้รับความสุขจากสมบัติและความประพฤติดีของตน


    คำสอน...หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สิ่งที่ดีที่สุด
    ก็อยู่ที่ภายในกายตนเองนี่แหล่ะ!
    อย่าได้หลงไปตามหาจากที่ไหนกันเลย

    นั่นก็คือ จิตตนเอง
    เพราะทุกข์ก็ตรงที่จิต สุขก็ตรงที่จิต
    แล้วทำไม๊ พวกเราไปหาความสุขที่อื่นกันดีนัก
    บางทีรู้ทั้งรู้นะว่า มันแค่ความสุขชั่วคราว แต่ก็มิวายตามหาสุข วิ่งหนีทุกข์
    สำหรับผ้ที่กำลังทำอย่างนั้น นั่นก็แสดงว่า ตนเองนั้น ตั้งอยู่บนความหลง
    หรือไม่ใช่เส้นทางแห่งความรู้จริงๆ

    ต่อให้พวกเราไปรับเอาธรรมะของครูบาอาจารย์ของเรามาก็ตาม
    มันก็ไม่มีความสำคัญสำหรับเรา เพราะในเมื่อฟังไปแล้ว เราไม่ปฎิบัติได้ทันทีทันใด
    มันก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด
    สู้มีหนึ่งธรรมะภายในใจเราก็ไม่ได้ เพราะธรรมตัวนี้จะไปสอนจิตเราเองและก็ปฎิบัติตามได้ด้วย

    ถ้าหากจะกินน้ำจากบ่อทราย เราจะต้องขุดเอง
    เพราะเราจะได้รู้คุณค่าของน้ำจากบ่อทรายที่เราขุดขึ้นมากับมือเอง(ภูมิใจ)
    ธรรมะของตนเองก็เหมือน ถ้าเราสามารถปฎิบัติได้เป็นผลสำเร็จ
    เราก็เห็นคุณค่าธรรมะของตนเอง เช่นคำว่า ปัจจัตตัง

    ดั่งพระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์นั้น
    คนส่วนใหญ่รักเคารพนะ เลื่อมใสนะ ศรัทธาสูงนะ
    แต่ทำไม๊ ถึงมองไม่เห็นคุณค่าพระธรรมหรือคำสั่งสอนนั้น
    แต่ถ้าพวกเราตอบว่า..เห็นสิ! คุณค่าของพระธรรมน่ะ
    แต่ทำไม๊ ไม่ปฎิบัติตามทันทีทันใดเล่า จริงไหม๊?

    ทำไม๊ ไม่เห็นเหมือนเพชร ทองคำ หรือ เงินตราที่ตกตามท้องถนน
    ผู้ใดเห็นก็อดเก็บขึ้นมาทันทีทันใดไม่ได้ จริงไหม๊?
    ไม่เห็นมีผู้ใดบอกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยมาเก็บ มีไหมคนแบบนี้
    มีเหมือนกันนะ อาจจะไม่ใช่คนแร๊ะ คือเป็นจำพวกไก่หรือลิงเท่านั้น
    เมื่อไก่เห็นพลอย ก็จะไม่สนใจ ไม่มีค่าเท่าเมล็ดข้าวเพียงเม็ดเดียว
    ลิงก็เหมือนกัน เมื่อเห็นเพชรก็ไม่สนใจ ไม่มีค่าเท่ากับกล้วยหนึ่งลูก

    พวกเราพอจะมองเห็นคุณค่าพระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์กันอย่างไร???
    เห็นคุณค่าแค่.. ควรจะเก็บไว้ รักษาไว้อย่างดี แค่นั้นพอ
    หรือว่าน้อมนำมาปฎิบัติทันทีทันใด ก่อนที่จะหมดลมหายใจ
    ก่อนที่ท่านยมจะนำตัวไปลงโทษ ป่านนั้นมันสายเกินไปแล้ว
    เพราะเวลาอยู่มีลมหายใจนั้นมันช่างสั้นเกินกว่า ที่ไม่มีลมหายใจ

    จงจดจำกันไว้ให้ดีๆว่า...
    ถ้าพวกเราเอาแต่ทำบุญภายนอก ต่อให้บริจาคสร้างโบสถ์สิบหลัง
    หรือ สร้างหอเก็บพระไตรปิฎก หรือ ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ไปถวายทาน
    บุญและบารมี ย่อมไม่เท่ากับ การปฎิบัติธรรม ที่บรรลุมรรค ผลและนิพพาน
    เพียงครั้งเดียว
    เพราะที่เหลือ มิอาจนำพาให้เราออกจากทุกข์ได้ หรือ ออกจากการเวียนว่ายตายเกิดได้

    ปล.ผู้เขียนเปรียบเปรยให้ฟังเฉยๆ มิได้มีเจตนาเป็นอย่างอื่น
    แต่ผู้ที่เข้าถึงพระธรรมกันจริงๆ เขามักไม่ค่อยเอาเปลือกแน่ๆ
    เขาจะเน้นตรงไปที่แก่นธรรม นั่นก็คือ ที่จิตของผู้ปฎิบัติธรรมกันนี่แหล่ะ
    เข้าไปให้ถึงกระแสจิตตนเองให้ได้กันเสียก่อน ถึงจะไปต่อเรื่องกระแสธรรม
    เพราะตราบใดผู้ปฎิบัติยังตามหาดวงจิตเดิมแท้ของตนเองยังไม่พบเจอ
    และก็อย่าเพิ่งไปหวังที่จะบรรลุธรรมกันเลย
    เพราะจิตตัวที่ว่ามานี้แหล่ะ!
    จะเป็นผู้นำพาให้เราได้พบกับธรรมะภายในนี้
    หรือที่เรียกกันว่า จิตในจิต ธรรมในธรรม

    โดยเฉพาะจิตบุญ สมควรสร้างพระภายในจิตให้มากๆ
    เพราะพระที่อยู่ภายในจิตนั้น ภัยพิบัติอะไรก็มิอาจเข้ามาทำลายได้
    สร้างพระโดยมิต้องใช้เงิน เพียงแค่ใช้สติปัญญาของตนเองเท่านั้น
    เจ้า(จิตบุญ)จงไปไตร่ตรองหรือพิจารณากันให้ดีๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 ธันวาคม 2012
  17. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขออนุโมทนา สาธุค่ะ ถูกต้องสุดๆที่ ครูพี่ภูได้นําธรรมะมาให้พวกเราได้เห็นซึ้ง "สัจจะธรรม" สมัยพระพุทธกาล พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสสอนสาวกของท่าน ก็ยกกัมมัฏฐาน ๕ มาก่อนมี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เพื่อให้จิตรู้เท่าทัน สภาพความเป็นจริงแท้ของร่างกาย (สมัยนั้นถ้าสาวกยังไม่เห็นในกองสังขารท่านก็จะมีอุบายเยี่ยมป่าช้าก่อนคือไปดูคนตาย แต่สมัยนั้นคนที่อินเดียก็ตายเถื่อนอยู่แล้วจึงเห็นได้ง่ายจึงไม่เป็นของยาก แต่สมัยนี้ถ้าท่านยังไม่เห็นก็เชิญดูที่โรงพยาบาลก็ได้ไม่เว้นแต่ละวันจะต้องมีคนตายอยู่เป็นนิจ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย)และตัว
    อุปาทาน ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นตัวทุกข์ ไม่ควรเข้าไปหลงยึดถือในรูปร่างกาย อันเป็นธาตุ ๔ คือ ดิน นํ้า ลม ไฟ ว่าเป็นของๆ เรา ท่านให้เข้าไปพิจารณาว่าส่วนไหนบ้างเป็นของเรา จนจิตเห็นว่ามันไม่ใช้เราไม่ใช่เขาพิจารณาอยู่อย่างนั้นๆว่าเป็นก้อนธาตุที่มาประกอบกันจนเป็นเราขื้นมาเป็นรูปเป็นนาม คือ "สมมุติ" จิตก็จะถอนออกจากความยึดมั่นถือมั่น แต่การฝึกนี้ท่านเรียกว่า "การฝึกกรรมฐาน"หรือวิปัสสนากรรมฐาน ฐานแปลว่า ที่ตั้งของกาย เราจะปฏิบัติธรรมถ้าเรามีกายและจิตเราก็จะปฏิบัติได้ ถ้ามีแต่กายไม่มีจิตก็เรียกว่า "คนตาย"ก็จะปฏิบัติไม่ได้เพราะไม่มีผู้รู้ คือ "จิต"เพราะฉะนั้นตอนที่เรายังไม่ตายเราจึงใคร่ควรพิจารณาเป็นอย่างยิ่งที่จะปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ขอให้ทั้งหลายจงได้ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นทุกๆท่านเทอญ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2012
  18. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    อานิสงส์ของความไม่ประมาท. เป็นคนไม่ตาย. ป้องกันอบาย. คลายจากกองทุกข์. สนุกในธรรม. นำสู่กุศล. มีผลเป็นสุข. ปลุกตนให้ตื่น. ชื่นชมเบิกบาน. เผาผานความชั่ว. ไม่กลัวอธรรม. อุปถัมภ์พุทธศาสตร์. โอวาททั้งสาม. สมนามชาวพุทธ. บริสุทธิ์สะอาด. ปราศจากมลทิน. สิ้นภพสิ้นชาติ. นักปราชญ์สรรเสริญ. เมื่อมีศรัทธาแล้วย่อมเข้าถึงนักปราชญ์ได้ ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน. อย่าได้ประมาทเพื่อที่จะได้มีอนิสงส์. เพื่อความพ้นทุกข์. และเพื่อความหลุดพ้น. ถึงเป้าหมายโดยไม่ต้องสงสัย. ขออนุโมทนากับผู้อ่านทุกๆท่านค่ะ.สาธุ.
     
  19. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ขอกล่าวถึงเรื่องอนิสงส์ที่ไม่ประมาทจะได้รับผล 18 ข้อ คือ.1 เป็นต้นแห่งสุขทั้งหลาย. 2 เป็นรากเง่าแห่งสมบัติทั้งหลาย. 3 เป็นที่ตั้งแห่งโภคะทั้งหลาย. 4 เป็นที่ต้านทาน.5 เป็นเครื่องป้องกัน.6 เป็นทางเดินสู่สุคติ.7เป็นที่พึ่ง.8 เป็นที่อาศัย 9 เป็นที่ยึดหน่วง. 10 เป็นทางเดินแห่งพระพุทธเจ้า. 11 เป็นองค์แห่งพระพุทธเจ้า. 12 ให้ได้สมบัติพระอินทร์. 13 ให้ได้สมบัติพระยามาร. 14 ให้ได้สมบัติพระพรหม. 15 ได้สมบัติจักรพรรดิ์. 16 ได้สาวกบารมีญาณ.17 ได้เป็นพระปัจเจกโพธิ์.18 ได้สำเร็จอภิสัมมาสัมโพธิญาณ.ถ้าเราไม่ประมาทในอนิสงส์ เราก็จะมีแต่ได้ กับได้จ้ะ สาธุอนุโมทามิ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ธันวาคม 2012
  20. เมธญา

    เมธญา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +1,584
    .. เช้านี้กระทู้เงียบจัง ขอเปิดเพลงให้ฟังนะคะ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=LLVHON2R344]ก้อนหินก้อนนั้น-โรส - YouTube[/ame]


    "เคยมีใครสักคนได้บอกฉันมา
    ว่าเวลาใครมาทำกับเราให้เจ็บช้ำใจ
    ลองไปเก็บก้อนหินขึ้นมาสักอัน
    ถือมันอยู่อย่างนั้นและบีบมันไว้

    บีบให้แรงจนสุดแรง ให้มือทั้งมือมันเริ่มสั่น
    ใครคนนั้นยิ้มให้ฉัน ถามว่าเจ็บมือใช่ไหม

    ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ ได้เท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง
    ให้เธอคิดเอาเอง ว่าชีวิตของเธอเป็นของใคร
    ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ ถ้าเธอไม่รับมันมาใส่ใจ
    ถูกเขาทำร้าย เพราะใจเธอแบกรับมันเอง"


    เกิดเป็นมนุษย์มีทุกข์ทุกวัน แต่ขึ้นอยู่กับเราว่าจะเลือก เอาไว้ดับ หรือ เอาไว้แบก

    catt9
     

แชร์หน้านี้

Loading...