จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    โมทนาสาธุ ครูใหญ่
    ว่าแร๊ว ต้องมีใครฮาเป็นแน่แท้ จริงๆมีเรื่องฮากว่านี้อีก แต่
    สัปรดมันจะเป็นสัปะเละไปก็เลยเอาแค่หอมปากหอมคอพอ
    55555555555
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,501
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    ครูดัชมาแล้ววว(f)he llo _
     
  3. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    สาธุครับคุณหมอ ของผมส่วนใหญ่จะเป็นประมาณว่าฟูมฟาย ปานว่าผมจะตายไปแล้ว(นึกในใจว่าตรูก็อยากไปหาท่านพ่อแล้วเหมือนกันแหละ แต่ผมก็อยากเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยคนที่เคยเป็นอย่างผมมาก่อน เพราะผมบอกแล้วว่าผมนี่ก่อนมาฝึกศีล5กระจุย ) แล้วก็มีแอบๆด่าว่าผมบ้างสารพัด มีบ้างที่อนุโมทนา
    ผมก็จนปัญญาอธิบายว่าความว่างคืออะไร อยู่ก็มีอะไรแว๊บมาให้บอกเขาว่า ที่หนีไปนั้นไม่ใช่เรา เขาต่างหากที่หนี เราหยุดแล้ว แต่ท่านต่างหากที่ไม่หยุด พอพูดไปปุ๊บ เขานิ่งไปเลย เข้าใจซะงายๆซะงั้น เอ๋า ตรูอธิบายตั้งนานไม่เข้าใจ ยายนี่นิ
     
  4. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ผมนึกถึงคำพูดครุลูกพลังที่ว่าครูดัชคนก่อนนี้นี่ ถือไม้เรียวรอเลย สำหรับจิตดื้อ เรายังโชคดีนะ เดี๋ยวนี้ครูดัชท่านเปลี๋ยนไป๋(f)
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,501
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    โดนมาแล้วค่ะจากท่านอาจารย์ภูตรงแสกหน้าเลย เทศน์ทีไรทําไมถึงมาโดนเราเป๊ะๆ(i)
     
  6. puk777

    puk777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2012
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +492
    กราบสมเด็จพ่อ กราบสวัสดีพี่ภู และคุณครูทุกๆท่าน หนูมาส่งการบ้านคะ เมื่อวานนี้สภาพร่างกายไม่ค่อยปกติรู้สึกปวดเมื่อยตัวทั้งวันและจิตไปสนใจสิ่งรอบข้าง (น้องชาย) ซึ่งหนูรู้สึกว่าอารมณ์ที่เค้าคุยกับหนูและคนในครอบครัวนั้นมีอารมณ์ที่แข็ง , กดดัน , เอาชนะ , สะใจ , ประชดประชันพร้อมกับสายตาและมีกิริยาบ้าง หนูรู้สึกว่าเค้าเก็บและกดอารมณ์เหล่านี้ไว้ เค้าพยายามรักษาศิลและสวดมนต์ทุกวัน (สงสัยวางอารมณ์ผิด) เมื่อก่อนหนูไม่สนใจเพราะเค้าพูดไม่คิดแต่ตอนนี้รู้สึกว่าเค้าตั้งใจพูด หนูพยายามให้จิตคงที่โดยนึกถึงพระแต่ก้อเริ่มเบื่อและหงุดหงิดกับเค้ามากขึ้น พอไม่มีลูกค้าหนูก้อเดินไปมากับร้านอื่นพร้อมกับทำจิตให้สงบและบอกกับตัวเองว่า บททดสอบๆๆ วางให้เป็นๆๆ แล้วความรู้สึกก้อเปลี่ยนมาเป็นความเศร้าสงสารแทนว่าทำไมคนเราเกิดมาถึงมีอารมณ์หลากหลายอารมณ์มากมายเช่นนี้ไม่เห็นจะมีความสุขเลย แต่ความเศร้ากับตามเรามาแทนและหนูก้อเริ่มรู้สึกตัวว่าเราต้องหัดวางอารมณ์เหล่านี้ให้เป็น(วางยังไง) และนึกถึงคำสอนของคุณครูทุกท่านว่าพบเห็นอะไรให้นำมาลงที่กฎไตรลักษณ์และคำพูดที่ว่าอย่าสนใจจริยาของผู้อื่น กว่าจะรู้สึกตัวก้อกินเวลาหลายชั่วโมง หนูกราบขอบพระคุณมากค่ะ
     
  7. puk777

    puk777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2012
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +492
    กราบสวัสดีพี่ภู คุณครูเพ็ญ และคุณครูทุกๆท่าน วันนี้พอตื่นมาจะส่งการบ้านคีย์บอดร์คอมฯใช้ไม่ได้หนูเลยขึ้นไปนั่งสมาธิแทน พอนั่งแล้วทำจิตนิ่งๆกำหนดภาพพระๆได้เปลียนคือเป็นภาพเดิมแต่จากรูปที่อยู่นิ่งๆกลายเป็นภาพเคลื่อนไหวโดยภาพพระได้หันหน้าเข้าหาหนูและหมุนรอบตัวหนูอย่างช้าๆจากซ้ายมือหนูไปทางขวามือตลอดเวลาที่นั่งสมาธิหนูก้อดูและนับว่าประมาณกี่รอบ มีอยู่ช่วงนึงหนูรู้สึกมีพลังบางอย่างมาที่ตัวหนูๆชอบ เบา เย็น สบาย ทันทีที่หนูคิดว่าคืออะไรก้อมีชื่อคุณครูลูกพลังขึ้นมาทันที หนูขอคำชี้แนะจากคุณครูด้วยคะ หนูกราบขอบพระคุณคุณครูทุกๆท่านมากค่ะ
     
  8. puk777

    puk777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2012
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +492
    พี่ภูคะ คุณครูเพ็ญคะข้อความข้างบนนี้ตอนหนูโหลดส่งข้อความอยู่เกิดส่งไม่ไป(โหลดค้าง)รอสักพักไม่ไปเช็คดูข้อมูลบนกระทู้ก้อไม่มีหนูบอกท่านพ่อว่าส่งไม่ไปแสดงว่าท่านพ่อยังไม่ให้ส่งงั้นหนูกดทิ้งนะคะและหนูก้อกดออกเลย และกดเข้ามาดูใหม่ปรากฎว่ามีข้อมูลมาเฉยเลย เพราะท่านพ่อต้องการให้ส่ง ทันทีที่คิดปรากฎว่าขนลุกทั้งตัวและนานด้วยคะ ขอบคุณอีกครั้งคะ
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    Only you!
    สำหรับจิตบุญใหม่ๆ
    สติอย่าทิ้ง(ห่าง)จิตนานนัก จิตก็อย่าทิ้งพระ(พระพุทธเจ้า)นานนัก จิตบุญจะต้องคอยหมั่นเจริญสติให้เป็นนิสัย จิตจะต้องพยายามทรงฌานต่ำให้เป็นปกติ เพราะเราจะได้มีสติสัมปชัญญะ หรือมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมให้อยู่ตลอดเวลา พยายามคอยหมั่นตรวตราตนเอง(กาย) คอยหมั่นตรวจตราจิตของตนเองเข้าไว้ และหมั่นเจริญอิทธิบาท ๔ และพรหมวิหาร ๔ ทั้งหมดนี้ ก็คือ เพื่อมิให้พวกเราประมาท นั่นเอง

    ประมาทไม่ได้ ตราบใดที่เรายังครองขันธ์ู ๕ เพราะขันธ์ ๕ นี้ก็คือ ตัวทุกข์ล้วนๆ โรงงานคอยผลิตกิเลสให้กับเราทุกๆวันอยู่แล้ว
    จิตบุญใหม่ๆ ที่จบกิจหรือรับประกาศนียบัตรจากที่นี่ไปแล้ว แต่ส่วนที่เหลือคุณจะต้องไปทำมาหากินตามปรกติ หรือจะต้องเอาตัวรอดเอง เพราะจิตใครจิตมันดูแลกันเอง ต่อไปนี้จิตบุญไม่ต้องทำอะไรมากแล้ว เพียงแค่คอยดูจิตอย่างเดียวว่า เมื่อมีสิ่งมากระทบก็คือบททดสอบหรือว่าครูของพวกเราโดยตรงเลย หรือสิ่งที่มากระทบจิตนั้น ขอให้เราเห็นเป็นธรรมดาให้หมด หรือเห็นเป็นธรรมทั้งหมด เพราะจิตบุญได้สอบผ่านวิปัสสนากันมาแล้ว จิตรู้อย่างเดียว ยกเว้นจิตบุญที่ยังมีอินทรีย์ยังไม่แก่กล้า ก็มักจะตามไม่ทันไปบ้างก็ไม่เป็นไร พยายามฝึกสติต่อไปให้เป็นนิจ แต่เมื่อไหร่สติมากเราก็จะรู้และเข้าใจกฎธรรมดาไปเอง จิตรู้เองซะงั้น แต่จริงๆแล้ว จิตบุญนั้นทราบดีอยู่แล้ว เพียงแต่จิตบุญใหม่ๆนั้นยังไม่ค่อยทราบ เพราะอินทรีย์อ่อน(สติอ่อนปัญญาก็อ่อนตาม) แต่ถ้าจิตบุญใหม่ๆ อยากมีอินทรีย์แก่กล้าหรือมีปัญญาแ่ก่กล้า จิตบุญจะต้องคอยหมั่นเจริญสติภาวนาให้เป็นประจำอยู่สม่ำเสมอ นั่นเอง พวกเราได้ของดี(ของจริง)ไปแล้วก็พยายามรักษาให้ได้ไปจนกว่าจะหมดลมหายใจ เพราะโลกหลังความตายนั้นมันน่ากลัว แน่ขนาดบางคนมีเพื่อนตั้งหลายคนยังบอกว่าเหงาหรือกลัว แต่ถ้าเราสมมุติว่าเราตายตอนนี้ ก็ขอให้ลองหลับตากันดูนะ จะเห็นได้ว่าเรามองไม่เห็นใครเลยสักคนเดียว พระพุทธองค์ท่านได้ทรงตรัสไปแล้วว่า จงรักษากำลังใจ กำลังจิตของตนให้ดีๆ เพราะว่าโลกหลังความตายนั้น มีเราเท่านั้นจะต้องไปแต่ผู้เดียวและไม่เห็นอะไรทางโลกไปกับเรา เห็นมีแต่บาปกับบุญเท่านั้น ที่จะพอเป็นแสงนำทางให้กับเราเท่านั้น ขอให้ตั้งใจ ขอให้มีสติมากๆ แต่ถ้าตายไปจริงๆ ขอให้จิตบุญทรงอารมณ์พระนิพพานกันเข้าไว้ให้ดี พยายามฝึกฝนให้เป็นเนื่องนิจ ทำให้เกิดความชำนาญหรือแคล่วคล่องว่องไว

    อย่าลืมนะ...โลกหลังความตายนั้น ไม่มีใครช่วยกันได้ ไม่มีข้อสอบรั่ว ไม่มีเส้นสาย เพราะกฎแห่งกรรมนั้น มีแต่ความเสมอภาค เสมอต้นเสมอปลาย และมีความยุติธรรมกับทุกท่านเสมอ และจิตบุญจงภูมิใจผลการปฎิบัติของตนเอง จงพอใจสิ่งที่ตนเองที่ปฎิบัติได้ อย่าได้นำไปเปรียบเทียบจิตของคนอื่น ได้แก่ จิตของเราดีกว่า แย่กว่า หรือแม้นกระทั่งเท่ากันก็ไม่ได้ แต่ถ้าใครเคยอ่าน/ฟังธรรมะของหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านอาจจะจำได้บ้าง เพราะผู้ปฎิบัติดี ผู้ปฎิบัติชอบ ก็คือ เราจะต้องดูแค่จิตของตนเองเท่านั้น เพราะผู้ปฎิบัติจะต้องมีระเบียบวินัยและสำรวมจิตให้อยู่ภายในของตนแต่ผู้เดียว แต่ถ้าไม่ทำกันแบบนั้น ก็เท่ากับเราไม่ได้ปฎิบัติธรรมที่แท้จริง เพราะการปฎิบัติธรรมที่แท้จริงนั้น เรากำลังตามหาความสุข ความสงบสงัด ปลีกวิเวกภายในกาย ภายในจิตของตนเท่านั้น จึงจะเรียกได้ว่า ผู้แสวงหาบุญกุศลที่แท้จริงๆ แต่ถ้าผู้ปฎิบัติได้ดังนี้แล้ว ก็เท่ากับเราไม่ได้ไปเบียดเบียนผู้ใดเลย ต่างคนต่างอยู่ ต่างปฎิบัติต่างปฎิบัติกันแล้วมันจะไปวุ่นวายกับใครที่ไหน จริงไหม๊

    ขอให้ผู้ปฎิบัติทุกท่าน โดยเฉพาะจิตบุญใหม่ๆ จงนำจิตตั้งอยู่แต่เขตที่เรียกว่าบุญหรือกุศลเท่านั้น เพราะเรามาปฎิบัติธรรมเพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่เพื่อความหลุดพ้น แต่จิตบุญผมไม่ค่อยจะเป็นห่วงสักเท่าไหร่ ถึงบางท่านอินทรีย์อาจจะไม่แก่กล้า แต่ท้ายที่สุดก็เอาตัวรอดได้ แต่ผู้ที่จิตยังไม่ยก ยังไม่หลุดพ้นกันนี่สิ น่าเป็นห่วงที่สุด เพราะจิตยังมีความหลง ยังมีกิเลสครบทุกตัว และทำท่าจะรอดยาก หรือไม่สามารถจะปล่อยวางบางสิ่งบางอย่างเองไม่ได้ นอกเสียจากนำจิตมาเดินมรรคา(ศีล สมาธิ ปัญญา)นี้เท่านั้น และจิตจะต้องผ่านวิปัสสนาญาณด้วยนะ แต่ถ้าไม่อย่างนั้น คำว่า "ละ ปล่อย วาง"นั้น...ย๊ากส์
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    นี่หรือ? ชีวิตจริงของคนเรา(ที่เกิดมา)

    เมื่อก่อนผู้เขียนไม่เคยมีความคิดแบบนี้เลย เพราะทุกลมหายใจ มีแต่เรื่องวุ่นวาย ดูๆไปเหมือนจะมีความสุขๆแต่ที่ว่าสุขทางนั้น มันแค่แป๊บเดียวจริงๆ เดี๋ยวมันก็หายไปอีกแล้ว ในที่สุดเราก็ต้องวิ่งตามหามันอีกเพื่อมาสนองตนเอง เมื่อก่อนไม่เคยรู้เลยว่ายิ่งตามหาความสุขแบบนั้น หรือยิ่งหามาบำเรอตนเองก็ยิ่งไม่รู้จักพอ นับวันก็ยิ่งทวีคูณมากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ผมจะบอกให้นะสำหรับผู้คนที่กำลังเดินหลงทางอยู่ในขณะนี้ เมื่อก่อนผมก็เคยเดินหลงทางมาก่อนเหมือนกัน แต่พอมาบัดนี้ถึงได้รู้แน่ชัดว่า เมื่อก่อนเราหลงทางจริงๆ ตามที่พระท่านบอกจริงๆ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าความหลงนั้นมันเป็นเช่นไร และยิ่งจิตยกแล้วก็ยิ่งมองเห็นชัดเจนเลย แต่ไม่สามารถนำความจริงนี้ไปบอกกล่าวกับผู้ใดได้ แม้นกระทั่งญาติสนิทมิตรสหายของเองก็ตาม เราสอนคนอื่นทำจิตเกาะพระได้ แต่ทำไมไม่สามารถไปบอกไปสอนกับคนที่รู้จักเราดีพอได้ เพราะจิตตนเองบอกว่า ยิ่งคนรู้จักเรามากเท่าไหร่ เขาก็จะไม่มีทางเชื่อ เพราะเมื่อก่อนเขาเคยเห็นเราไม่เคยปฎิบัติธรรม แม้นกระทั่งถือศีล ไหว้พระสวดมนต์ก็ไม่เอา แถมเป็นคนไกลวัด แต่เห็นมีดีอยู่อย่างเดียวและเก็บมาโดยตลอด นั่นก็คือ จิตภายใน แต่จิตบอกอีกว่าต้องรอให้เรามีบารมีมากกว่านี้ก่อน หรือเราทำให้เขาเห็นก่อน และต่อไปเราแทบไม่ต้องไปสอนเขา เราแค่กระทำตัวอย่างที่ดีให้กับคนอื่น และพวกเขาจะเชื่อเราตรงนั้นมากกว่าที่เราไปบอกเขาให้ทำตามเราที่บอก และเมื่อก่อนยังไม่เคยเจริญสติภาวนา เหมือนรู้สึกว่าจะมีคนคุยกันอยู่สองคนภายในกาย แต่ไม่รู้จะไปถามใคร เดี๋ยวหาว่าเราบ้า และก็เก็บมาโดยตลอด จนมาถึงวันนี้นี่เองก็มีคำตอบเด่นชัด สองคนที่เข้าใจนั้นก็คือ นามกับนาม หรือสติกับจิตนี่เอง

    เมื่อมาถึงตอนนี้ ผมถึงได้พยายามถามผู้ปฎิบัติว่า เห็นจิตเดิมแท้ของตนเองหรือยัง? หรือจิตอยู่ที่ไหน? กำลังทำอะไร? ตามจิตตนเองทันไหม? ที่ถามมาทั้งหมดนี้รู้ไหมมีประโยชน์มากๆ ส่วนใหญ่หรือผู้ปฎิบัติใหม่ๆ หรือแม้นกระทั่งผู้ปฎิบัติเก่าๆก็ตาม คุณลองไปถามกับเขาเหล่านั้นกันดูบ้างสิ! แล้วเขาจะพากันมองหน้าคุณเลย ไม่เชื่อลองดู เพราะปรกติจะไม่มีใครมาถามหรอก และผมเชื่อได้เลยว่า เหตุที่คนส่วนใหญ่ตอบไม่ได้ ก็เพราะว่าสติน้อยเกินไป แต่ถ้าคนเราปรกติดีอยู่ถามว่าเขามีสติกันไหม๊? ตอบว่ามี เขาเหล่านั้นไม่ได้เป็นบ้า สติดีทุกอย่าง แต่ถ้ามาถามนักภาวนา หรือผู้ปฎิบัติธรรม ถามว่าสติธรรมดาที่มีกันอยู่ทุกวันนี้พอไหม๊? ตอบว่าไม่เพียงพอ สำหรับผู้ปฎิบัติธรรม เพราะถ้าผู้ปฎิบัติมีสติไม่มากพอ เราก็จะตามดู ตามรู้จิตไม่ได้หรือไม่ทัน ในเมื่อผู้ปฎิบัติตามจิตไม่ทันแล้ว จิตก็จะไม่นิ่ง ไม่เป็นสมาธิ ไม่เกิดฌาน สุดท้ายจิตก็ไม่เกิดปัญญา...เมื่อผู้ปฎิบัติมีสติน้อยเกินไป เราก็เลยไม่เห็นจิตว่าทำอะไรหรืออยู่ที่ไหน หรือผู้ปฎิบัติจิตเกาะพระส่วนใหญ่ไม่มีการบ้านส่งครู ก็เพราะว่าไม่รู้จะเอาอะไรมาเขียนส่งครู นี่คือต้นเหตุ(ที่ครูบอกว่าให้เธอส่งการบ้านๆนี่ ให้พวกเธอส่งอาการหรืออารมณ์ของจิตนะ อย่าหลงไปบอกว่าเมื่อวานไปทานข้าวกับแฟนมา อันนั้นไม่เกี่ยวกับเรื่องการดูจิต เรื่องทางโลกไม่ต้องมาเล่า)...พอเข้าใจกันนะ ครูก็พยายามพูดมากจัง พูดจนปากจะฉีกถึงรูหูแล้ว ดูเหมือนพวกเราจะเข้าใจ นี่ครูพูดภาษาไทยนะเนี๊ย ฮ่าๆ เพราะผมเข้าใจดีว่า เขาเข้าใจหมดแต่ยังปฎิบัติตามที่แนะยังไม่ได้ เพราะกำลังอยู่ในขั้นการสร้างสติกันอยู่นี่ไง และตรงนี้แหล่ะที่ครูถึงพยายามพูดย้ำกันนักกันหนาว่า ให้ผู้ปฎิบัติขยันระลึก/นึกถึงภาพพระที่ตนเองรัก/ชอบบ่อยๆนะ โดยเฉพาะผู้มาใหม่จะยังไม่มีใครเคยชินกับคำว่า "จิตเกาะพระ" เกิดมาผมก็เพิ่งเคยจะได้ยินคำๆนี้แหล่ะ! นับตั้งแต่เจอสิ่งมหัศจรรย์ ก็คือได้มาพบครูเพ็ญ ฮ่าๆ มนุษย์มหัศจรรย์ หรือคนแปลกประหลาดมากที่สุดตั้งแต่ที่เคยพบเห็นมา เพราะท่านสามารถสอนธรรมะให้กับผม ขนาดพระเทศน์ก็แล้วไม่เก็ต เพราะเมื่อก่อนจิตมันหยาบ และที่บอกว่าผมได้พบเจอมนุษย์ประหลาดก็เพราะว่า ตั้งแต่เกิดมา ตั้งแต่จำความได้ แม้นกระทั่งคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่เคยสอนให้ไปพบพระพุทธเจ้าข้างบนพระนิพพาน คุณก็คิดดู ดีนะที่ท่านเป็นครูสอนธรรมะ ผมจึงรับฟังบ้างแต่ไม่ได้ทำตามในครั้งแรก จนครูเพ็ญบอกว่ากำหนดอาทิสมานกายขึ้นไปข้างบนหรือยัง แต่ห้ามบอกว่าทำไม่ได้นะ ลองทำดูก่อน แต่ถ้าทำแล้วไม่ได้ก็ไม่เห็นเป็นอะไร เอ่อครูเพ็ญพูดเข้าท่าดี(หลอกเด็ก) ผมก็เลยลองทำตามท่านแนะนำไป เท่านั้นแหล่ะ ปล่อยให้ผมพูดเสียตั้งนานนม ผมจะบอกแค่ว่า นี่แหล่ะ! เหตุที่มาของ "จิตเกาะพระ" impossible! จนป่านนี้ผมก็ยังไม่เลิกงง แต่ไม่สงสัยแล้ว เดี๋ยวท่านพ่อตีหัว ท่านพ่อบอกว่าให้ทำไปๆ ทำลูกเดียวเธอไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าทำสำเร็จแล้วเดี๋ยวก็รู้เอง นี่ผมมานั่งนึกเมื่อก่อนนะ ผมไม่มีครูสอนจิตเกาะพระเหมือนพวกเราทั้งหลายทุกวันนี้กันนะ พวกเรานี่โชคดีมากๆเลย และผมกำลังจะเปิดเผยความลับลวงพราง หรือเปล่า? โดยเฉพาะกับจิตบุญ ท่านจงเงี้ยหูฟังให้ดีๆ เพราะกำลังจะสื่อให้ฟังว่า ถ้าจิตบุญอยากรู้เรื่องอะไร หรืออยากรู้ธรรมะตัวใด หรือธรรมะที่ไม่ค่อยจะเข้าใจ ต่อไปนี้ขอให้จิตบุญทุกท่าน ทำจิตทรงฌานก่อนแล้วกำหนดถามในจิต(อยากรู้เรื่องอะไรก็ป้อนคำถามเข้าไป) และก็ขออาราธนาบารมีของท่านพ่อว่า...ธรรมะอะไรที่ลูกไม่เคยรู้ก็ขอให้รู้ หรือธรรมะอะไรที่ลูกไม่รู้และไม่เข้าใจก็ขอให้ลูกได้รู้และเข้าใจ

    สำหรับครูฝึกหัดใหม่ๆ ก่อนจะตอบธรรมะกับลูกศิษย์นะ ขอให้พวกเธอเข้าฌานก่อน แต่ถ้าจิตไม่ทรงฌานนะ พวกเธอจะตอบแบบเฝือ/ฝืดมากๆ เพราะปัญญาหด เพราะปัญญามาหลังจิตเป็นสมาธิหรือฌาน เอาแค่ฌานต่ำๆก็พอ แต่ถ้าตอบ/พูดธรรมะในขณะที่จิตทรงฌาน เราจะไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย และสามารถตอบได้ทั้งวันทั้งคืน(อันหลังโม้) แต่ถ้าฌานถอย(เสื่อม)เมื่อไหร่ จบกัน...นอนดีก่า ตรงนี้แหล่ะที่ลูกศิษย์ที่ชอบถามกันนักว่า ทำไมครูเพ็ญนอนดึกจัง หรือทำไมครูเพ็ญตอบการบ้านช้าจัง ฮ่าๆ ช้าดิ เพราะฌานครูมาช้า ก็เลยตอบช้าไง๊...ฮ่าๆ(ความลับแตก) เดี๋ยวครูฝึกหัดใหม่ๆก็จะทราบกันดีว่า ทำไมครูสามารถสอนจิตเกาะพระทีเดียวได้ ทีละหลายๆคนได้ บอกแล้วไง๊ จิตอัศจรรย์เมื่อจิตทรงฌาน เพราะในขณะที่จิตทรงฌานอยู่นั้น เราจะมีสติสัมปชัญญะดีมากๆ ถึงกายจะเหนื่อย ถึงกายจะง่วง แต่จิตไม่มีเหนื่อย ไม่มีง่วงซะอย่างเดียว งั้นครูเพ็ญก็เลยอยู่ได้ถึงตีสองตีสาม เมื่อก่อนครูเพ็ญเป็นคนนอนหัวค่ำนะ ตั้งแต่เจอพี่ภู ท่านนอนดึกเพราะพวกเรากันนี่แหล่ะ! ฮ่าๆพวกเธอรู้มั๊ยว่าครูนั้นลำบากกันแค่ไหน แทนที่ถึงเวลาหลับนอน หรือไปทำกิจกรรมอื่นๆ แต่ครูต้องเสียเวลามาทำงานตรงนี้ เพื่อยกจิตพวกเธอนี่แหล่ะ! งั้นพวกเรามาใหม่ๆก็อย่าไปดื้อกับครูให้มากนัก สงสารครูบ้างนะ แต่ถ้าดื้อจงหันมองกลับไปดูที่เด็กมันกำลังดื้อสุดๆ แล้วจะรู้เอง
    พอแร๊ะ...ขี้เกียจโม้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 กันยายน 2012
  11. แสงจันทร

    แสงจันทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +2,618
    [​IMG]
    ขอแสดงความยินดีและขอโมทนากับจิตบุญดวงที่ 59 ,60,61และ62 รวมถึงครูผู้ชี้แนะและท่านจิตบุญทุกท่าน โดยเฉพาะครูภู ครูเพ็ญ ด้วยนะค่ะ เวลาแห่งความปลาบปลื้มจริงๆๆค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2012
  12. แสงจันทร

    แสงจันทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +2,618
    สวัสดีค่ะครูภู ครูเพ็ญ ครูดัช ครูนก ครูวิทย์ ครูลูกพลัง ครูนิวเวป ครูจารุณี ครูคุณหมอ ครูน้องหนู ครูเมิล ครูลูกหว้า ครูเกษรวมถึงครูทุกท่าน และท่านทีกำลังฝึกอยู่นะค่ะ
    หมู่นี้เข้าเนตไม่ค่อยได้สงสัยจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยๆๆ เพราะทุกอย่างไม่แน่นอนอยู่แล้วนี่นา ได้เข้ามาอ่านธรรมะในกระทู้นี้แล้วปิติค่ะ สบายใจดี
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=dsNklMPPWhc]ธรรมะ สบายใจ 1 - YouTube[/ame]​
    บุญไม่ต้องไปหาจากที่ไหน บุญไม่ต้องไปทำที่ไหน
    เพราะบุญก็อยู่ภายในกาย ภายในจิตของตนนี่แหล่ะ แถมเป็นบุญใหญ่เสียด้วย
    เพราะฉะนั้น บุญไม่จำเป็นไปทำถึง๙วัด๙วา
    บุญไม่ต้องไปทำถึงที่ประเทศอินเดีย
    เพราะมิได้ทำให้มีดวงตาเห็นธรรม
    แต่ถ้าพวกเรารักเคารพ ศรัทธาและเลื่อมใสต่อพระพุทธเจ้ากันจริงๆ
    อย่าเอาแต่กราบไหว้พระพุทธเจ้าเพียงอย่างเดียว(อามิสบูชา)
    ขอให้กราบไหว้+นำพาจิตเข้าให้ถึงแก่นธรรม
    โดยการน้อมนำจิตมาปฎิบัติธรรม หรือปฎิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์(ปฎิบัติบูชา)
    นี่ก็คือ การเข้าไปให้ถึงหัวใจของพระพุทธศาสนา(ศีล สมาธิ ปัญญา)
    นี่ก็คือ พระพุทธเจ้าท่านทรงปรารถนาเพื่ออยากให้ทุกคนหลุดพ้น
    คำตอบทั้งหมดนี้ ก็คือ กำลังใจ(บุญบารมีของตนเอง)
    สำหรับกำลังใจของผู้ปฎิบัติยังไม่มากพอที่จะนำไปสู่การปฎิบัติบูชา(ปฎิบัติธรรม)
    แต่ก็สามารถเริ่มต้นสร้างกำลังใจกันได้โดย
    การทำบุญทำทาน การสวดมนต์ไหว้พระ หรือฟังเทศน์ฟังธรรม
    พอจะทำให้จิตใจของคนเราเบาบางหรือละเอียดมากขึ้นก่อน
    เราถึงจะมาเริ่มทำการภาวนา(เจริญสมาธิ เจริญปัญญา)กันทีหลัง​
     
  14. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    อย่าสนใจจริยาของผู้อื่น

    คำนี้ตีความได้หลายทาง
    เคยเข้าใจผิดมาแล้วเลยอยากแบ่งปัน

    ตอนนั้นจิตติดนิ่ง มีคนทำสีหน้าไม่พอใจ รู้อยู่แต่ไม่สนใจ
    ไม่พิจารณาต่อ
    อีกครั้งขับรถอยู่ โดนคนขับรถคันอื่นเปิดหน้าต่างออกมาตะโกนว่ากลางถนน
    เห็นอยู่แต่ไม่สนใจ อันนั้นไม่ใช่ไม่ใช่หนทางให้เกิดปัญญา

    ถ้ามีกระทบ ให้ดูที่ใจเรา รู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่มากระทบ
    มาชมเรา เราดีใจ ดีใจนั้นเที่ยงไหม อยู่ได้ ไปตลอดไหม
    หรีอมีคนมาว่าเรา เราโกรธ ไม่พอใจ อันนั้นเที่ยงไหม
    อยู่ได้ ไปตลอดไหม
    ให้ดูจิตตัวเองรู้สึกอย่างไร เวลาโกรธ

    ทำจิตเกาะพระ บางทีพอโดนกระทบ วิปัสสนาญานเกิด ตอนฝึกมีอยู่ครั้งหนึ่งมียุงมาบินที่หู พอไม่พอใจ จิตเห็นเป็นมือตัวเองกำถ่านแดงๆไว้ ความไม่พอใจก็ลง
    เหลือศูนย์ พอครั้งถัดไป เริ่มไม่พอใจอีก นึกถึงถ่านแดงๆ ก็ลง ระยะเวลาที่ไม่พอใจก็สั้นลงเรื่อยๆ จนเกิดกับดับอยู่จุดเดียวกัน

    ในที่สุดพอมีกระทบมันก็ตัดอัตโนมัติ (deejai)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2012
  15. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ♥ คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

    จงอย่าสนใจจริยาของผู้อื่น กรรมของผู้อื่น ใครเขาทำกรรมชั่วเขาก็ตกเป็นทาสของกิเลสน่าสงสารอยู่แล้ว จงอย่าไปซ้ำเติมเขา จักเข้าตนเอง เพราะจิตเราไปยินดียินร้ายกับกรรมชั่วของเขา เป็นการเบียดเบียนตัวเราเอง สร้างกรรมต่อกรรมให้เกิด มิใช่ตัดกรรม

    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน


    ที่มา fb BuddhaSattha
     
  16. tom tana

    tom tana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +833
    ขอบคุณค่ะครูภู. ได้ธรรมะตรงใจเป๊ะเลยค่ะ. และขอบคุณที่ได้ติดตามธรรมะของครูภูมาจนมีวันนี้ค่ะ
     
  17. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    มาแล้วค่ะ โมทนาสาธุกับคุณสุภาทรด้วยนะคะ
    ทรงอารมณ์นิพพานบ่อยๆเข้าไว้ ละขันธ์เมื่อไหร่ไปหาท่านพ่อกัน
    สาธุค่ะ
     
  18. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    เก็บไม้เรียวแล้วหล่ะพี่วัฒนา ช่วงหลังนี้ พลังพุทธะของกลุ่มจิตบุญ
    ขยายใหญ่ขึ้น คนที่มาหลังๆ บารมีเต็มกันทั้งนั้น สังเกตุดูนะ
    ว่า ท่านที่เข้ามานะ เต็มร้อยกับคำว่า นิพพาน คือ ไม่ขอเกิดอีก
    มีศรัทธาตรงนี้สูง ไม่มีสงสัยในพระนิพพาน เลยทำให้จิตยกกันเร็ว
    แต่ที่บอกเก็บไม้เรียวนั้น เก็บไว้ให้ชาวจิตบุญที่ชอบหลุดอารมณ์ฌาน
    ต่างหากล่ะ5555555 เรียกว่า จิตหลุดกัน โฮะโฮะ
    ไม้เรียวมีประโยชน์
    โมทนาสาธุกับพี่วัฒจ๊ะ
     
  19. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    การฝึกสติเบื้องต้นในขณะที่ฝึกจิตเกาะพระ

    คัดลอกบางส่วนมาจากการบ้านค่ะ เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ยังสงสัยเรื่องการทำสติในระหว่างปฏิบัติจิตเกาะพระ
    ..............................

    จิตคิดอะไรก็รู้
    กายทำอะไรก็รู้
    โดยเฉพาะตอนเดินไปเดินมาฝ่าเท้ากระทบพื้นให้รู้สึกตัวทุกครั้งที่เกิดกระทบ

    คำถาม : ตรงนี้คือเวลาเดินจิตนึกถึงพระ และรู้สึกเวลาฝ่าเท้ากระทบพื้นทุกครั้งใช่มั๊ยครับ?

    ตอบ : สำหรับผู้ฝึกใหม่ จะยังไม่สามารถแยกธาตุ แยกกาย แยกจิต แยกสติ แยกปัญญา แยกกระทบได้อย่างชัดเจน ตอนนี้ธาตุขันธ์ทุกอย่างของคุณยังกวนเป็นเนื้อเดียวกันอยู่ การที่เรามาฝึกปฏิบัติธรรมก็เพื่อแยกสิ่งที่ปะปนกันออกจากกันให้เด่นชัด เหมือนเรารีเพลย์การสาธิตประกอบอาหาร สมมุติว่าก่อนจะมาเป็นข้าวผัดสักจาน มันจะต้องมีเครื่องปรุงและวัตถุดิบ

    ตอนนี้รูปและนามของคุณมันรวมกันอยู่เหมือนข้าวผัด เห็นนะว่าอะไรเป็นอะไรแต่แยกออกจากกันไม่ได้


    ดังนั้นถ้าเราจะดูส่วนประกอบของข้าวผัด เราต้องย้อนกลับไปดูตั้งแต่เครื่องปรุงและวัตถุดิบที่ยังแยกกันอยู่ในตอนแรกจึงจะเห็นชัดว่าอะไรเป็นอะไร แยกกันอยู่ไม่ปะปนกันเลยแม้แต่อย่างเดียว

    เช่น น้ำมันก็เป็นน้ำมัน ผักก็เป็นผัก ไข่ก็เป็นไข่ ความร้อนก็อยู่ส่วนความร้อน เครื่องปรุงก็อยู่ส่วนเครื่องปรุง ฯลฯ

    ทีนี้นำมาเปรียบเทียบกับการฝึกสติตามที่คุณถามมานั้น ถ้าเป็นจิตบุญท่านทำได้อย่างที่คุณถาม เพราะท่านแยกธาตุ กาย แยกจิต ออกจากกันอย่างเด่นชัด ไม่ปะปนกัน

    แต่สำหรับผู้ฝึกใหม่จะต้องเรียนรู้ไปทีละอย่าง หมายความว่าทำไปพร้อมกันแต่เรียนรู้ทีละอย่าง

    เช่น การฝึกจับภาพพระนั้น ผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่ที่อยู่ในระหว่างปฏิบัติการจะไม่สามารถนึกถึงพระได้ตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน การจะทำจิตเกาะพระให้ได้ทั้งวันทั้งคืนจิตจะต้องทรงฌานสูงถึงระดับฌานสี่หยาบ ๆ ขึ้นไป คือหมายความว่าจิตจะต้องเห็นภาพพระเป็นประกายอยู่ตลอดเวลาไม่หลุดเลย ทีนี้การจะทำขั้นนั้นได้สติต้องเกาะจิตอยู่ตลอดเวลาไม่หลุดเช่นเดียวกัน

    ที่พี่เพ็ญแนะนำให้คุณฝึสติด้วยการรู้กระทบที่ฝ่าเท้า หมายถึงช่วงเวลาที่คุณลืมนึกถึงพระ หรือจิตจับภาพพระไปแป๊บหนึ่งแล้วภาพพระก็เลือนหายไป ขณะที่พระเลือนหาย สติของคุณจะว่างอยู่ จิตก็ทรงอารมณ์สบายอยู่แล้ว ช่วงที่สติไม่ได้กำหนดเข้าหาภาพพระนั่นแหละค่ะ ถ้าคุณกำลังเดินอยู่ให้คุณทำความรู้สึกตัวอยู่ที่ฝ่าเท้ากระทบพื้น

    ถ้าในระหว่างเดินและทำสติอยู่กับการรู้กระทบที่ฝ่าเท้า สติเกิดนึกขึ้นได้ว่าเราลืมนึกถึงพระ ก็ให้ส่งจิตไปนึกถึงพระสักแว๊บหนึ่งหรือจะทรงได้นานแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับความนิ่งในจิตของคุณ แต่ถ้าเห็นแป๊บเดียวแล้วภาพหายไปก็ไม่เป็นไร มันเป็นของธรรมดา เพราะอะไร ๆ มันก็ไม่เที่ยง

    ช่วงเวลาที่จิตทิ้งภาพพระเพราะจิตทรงฌาน(สังเกตที่ลมหายใจจะละเอียดและมีอารมณ์เบาสบาย) ให้คุณนำสติไปรู้กระทบตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย(กระทบจุดไหนรู้จุดนั้น เช่น กระทบที่ฝ่าเท้าก็ให้รู้สึกอยู่ที่ฝ่าเท้า จดจ่อ เฝ้าดูให้ต่อเนื่อง) ใจ(ความคิด)

    สรุปว่าให้ฝึกแยกกายแยกจิตกันทำงาน จิตนึกเห็นภาพพระก็ให้รู้ว่าสติอยู่กับจิตที่กำลังนึกถึงพระ แต่ถ้าภาพพระเลือนหายไป ก็ให้เอาสติไปอยู่ที่อายาตนะทั้งหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    ทีนี้การเดินนี่คนเราเดินกันบ่อยจึงเป็นการฝึกสติได้เป็นอย่างดี โดยทำความรู้สึกถึงการกระทบที่ฝ่าเท้า แค่รู้เฉย ๆ ทันบ้างไม่ทันบ้างไม่เป็นไร ทำแค่รู้ รู้ๆๆๆๆๆๆ อย่างเดียว ไม่ส่งจิตไปดูอย่างอื่น หรือคิดเรื่องอื่น พยายามทำความรู้สึกตัวให้ถึงพร้อมอยู่เสมอ แล้วสติของท่านจะไวขึ้น เมื่อสติไวขึ้นก็จะมีการฝึกสติขั้นสูงยิ่งขึ้นไปอีก ก็ว่ากันไปทีละขั้นก่อนนะ

    อ่านแล้วเข้าใจไหมคะ ถ้าไม่เข้าใจให้ถามมาใหม่นะ ปัญญาต้องทำให้แจ้ง

    พี่เพ็ญ
     
  20. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    อะจึ๋ยยย.. แหม่..ชื่อครูลูกพลังขึ้นมาทันทีเลย..555
    พอเราอ่านจบ.. "จิตรู้"เราก็บอกกับเราทันทีเช่นกันเลยว่า
    ให้ลงมาเรียนกับเราที่ทางอีเมลล์ได้แล้ว.. ไม่ต้องมาเรียนบนกระทู้แล้ว
    เอ้า..ว่าแล้วก็เอาอีเมลล์แอดเดรสของเธอขึ้นมาแปะเอาไว้
    เดี๋ยวเราจะส่งเมลล์ไปหานะครับ..
    ซาหรุบว่า..ท่านพ่อให้เธอมาเรียนกับเราแล้ว เรียนเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว..
    ต้องตั้งใจเรียนด้วยนะ เราดุนะ..จะบอกหัยยย..(ถ้าไม่ตั้งใจ!)
     

แชร์หน้านี้

Loading...