จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    ความไม่ประมาท

    ความไม่ประมาท

    ถึงท่านๆผู้อ่านที่เคารพ อันตัวเราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าท่านผู้อ่านแต่ละท่านจะมีความเห็นเหมือนเช่นเดียวกับเราหรือไม่ อย่างไร
    คืออย่างนี้ ตัวเราเอง(หรือแม้แต่ตัวท่านๆผู้อ่านอยู่ในขณะนี้ก็ตามแต่)ก็อ่านศึกษาธรรมะมากันก็ไม่น้อยโดย ซื้อหนังสือมาอ่านเองบ้าง อ่านจากเวปไซด์ต่างๆ ฟังคำผู้รู้ ฟังมาจากครูบาอาจารย์ต่างๆทั้งฆราวาสและพระภิกษุสงฆ์ พูดคุยแลกเปลี่ยนกับกัลยามิตร
    ส่วนการปฎิบัติเราก็ไปทดลองปฎิบัติที่วัดมาแล้วบ้าง ปฎิบัติเองอยู่ที่บ้านบ้าง หรือสถานที่ต่างๆบ้าง หลายรูปแบบ หลายวิชา หลายสาขา ซึ่งก็แน่นอนที่สุดว่าเราย่อมที่จะได้อะไรติดไม้ติดมือมาบ้าง(เว้นแต่ไปนั่งหลับ) บ้างก็ดี(คือถูกใจ)บ้างก็ไม่ดี(คือไม่ค่อยถูกใจ) ส่วนปัญหาหรือความสงสัยในใจตนเองนั้น โอ้ย..ไม่ต้องพูดเลย เพียบเลย.. เราก็พยายามจะถามกับท่านๆผู้รู้ (ถามจากตำราไม่ได้..เว้นแต่ฟลุ๊คพบเจอคำตอบเองจากตำรา..) หรือถ้าจะถามจากพระสายปฎิบัติมากๆ(ซึ่งท่านๆ..รู้ดีอย่างแน่นอน) ท่านก็จะตอบว่า "ให้ทำไปๆ..เดี๋ยวถึงก็รู้เอง" หรือไม่ก็ว่า "นี่..ไอ้พวกรู้มากก็ยากนาน ไอ้พวกรู้น้อยก็พลอยรำคาญ เอ้า..ทำไปๆ.." หรือบางสำนักก็โน้นออกทะเลไปเลย(ไม่ใช่พุทธศาสนา) หรือบางสายก็เพี๊ยนๆจากหลักคำสอนออกไปบ้าง (อันนี้ไม่ได้มาต่อว่าต่อขานใครนะครับ แค่นำชีวิตจริงที่เราท่านได้ประสบมาพูดให้ฟังกัน) หรือไม่ถูกจริตกับเราบ้าง หรือเราไม่มีเวลามากขนาดนั้นที่จะมาอยู่มาพูดคุยกับท่านพระอาจารย์ ไม่ก็ท่านพระอาจารย์มีลูกศิษย์ลูกหามาก ไอ้เราก็เข้าไม่ถึงท่านอีก..
    โดยสรุปคือว่าพวกเราๆท่านๆก็จะได้คำตอบมาบ้างแต่ยังไม่ค่อยจุใจหรือตอบตรงประเด็น "ถึงใจถึงพริกถึงขิง"(ตามประสาคนมันช่างสงสัยและมีกิเลสหนาอยู่) จะด้วยเหตุใดๆก็แล้วแต่
    จนเราๆท่านๆนี้มาพบเจอกระทู้"จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ" (สำหรับท่านๆที่ได้อ่านมาครบทุกหน้านะครับ)
    จะเห็นด้วยกับเราไหม? ว่าที่นี่..กระทู้นี้.. (ทั้งนี้ต้องกราบขอบพระคุณท่านพี่ภูของเราด้วยในฐานะผู้ก่อตั้ง..)
    "คม ชัด ลึก"
    ตรงประเด็น หนทางสู่มรรคผลนิพพาน ไม่มีการเดินอ้อม..
    ทุกคำถามก็จะมีผู้รู้มาตอบให้ แล้วผู้รู้ที่มาตอบแต่ละท่านๆก็ล้วนแต่ผ่านการปฎิบัติจริงๆมาแล้วทั้งสิ้น..
    และที่สำคัญเหมาะสมในเรื่องของเวลาของการเข้ามาเรียนรู้บวกกับเวลาในภาระกิจทางโลกของเราเองด้วย..
    (แม้คำสั่งสอนหรือคำตอบอาจเทียบไม่ได้กับพระอริยสงฆ์เจ้าก็ตามที..)

    ถ้าท่านที่ไม่เห็นด้วย ก็ไม่เป็นไร.."เชิญท่านผ่านไป" แต่ถ้าจะให้ดีช่วยบอก ชาวกระทู้ด้วยว่า"ยังมีที่ใดหรือที่ไหนเหมาะสมกว่า? ก็จักเป็นพระคุณแก่ผู้อ่านท่านอื่นๆด้วย".. พวกเราก็รู้และเข้าใจดีว่ายังมีท่านที่มีภูมิจิตภูมิธรรมสูงๆอยู่ตามสถานที่ต่างๆในประเทศไทย แต่ก็อย่างที่บอกเรื่อง"เวลาที่จะบรรจบกัน"และเราก็จะได้ศึกษาเรียนรู้ไปเรื่อยๆนั้นน่ะคือประเด็น..

    สำหรับท่านๆที่เห็นด้วย ก็ดีแล้ว.. คือเรากำลังจะบอกว่า
    "กระทู้นี้" ก็หนีไม่พ้นกฎแห่งไตรลักษณ์เช่นกันคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    "กระทู้นี้" "เกิดขึ้น"มาเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2555 ด้วยเหตุปัจจัยจึงเป็น"อนิจจัง" (ไม่เที่ยง) - ต้องแปรปวนเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน
    "กระทู้นี้" "ตั้งอยู่"นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้และต่อไปวันหน้า จึงเป็น"ทุกขัง" - ไม่สามารถคงทนอยู่ในสภาวะเดิมต่อไปได้ มีอันจะต้องเสื่อมสลายดับสูญไปในวันนึงข้างหน้า(จากภัยธรรมชาติ/ภัยมนุษย์ เน็ตล่ม เวปถูกสั่งปิดหรือเหตุปัจจัยอะไรก็แล้วแต่)
    "กระทู้นี้" "ดับไป" ในที่สุดก็เป็น"อนัตตา" - คือไม่มีตัวไม่มีตน ว่างเปล่าไม่เหลืออะไรเลย
    นี่คือข้อเท็จจริงและเป็นกฎแห่งธรรมชาติ ที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้อย่างแท้จริง..

    ดังนั้นท่านๆผู้อ่านที่เคารพทุกท่าน จึงควรที่จะยัง"ความไม่ประมาท" ให้ถึงพร้อม.. กระทู้"คม ชัด ลึก" นี้อาจไม่มีให้ท่านๆนั้นได้ค่อยๆศึกษาอีกต่อไป โอกาสจะค่อยๆๆๆๆศึกษาๆๆๆและปฎิบัติๆๆๆๆนั้นก็ย่อมที่จะหมดไปเช่นเดียวกัน..
    เพราะฉะนั้น:-
    1) ท่าน"จิตเกาพระ" อยู่แล้ว ก็ควรหมั่นเร่งความเพียรเข้าไป.. เพื่อที่จะยกจิตเหนือขันธ์5 และสามารถไปแนะนำถ่ายทอดแก่ผู้อื่นสืบต่อๆไป เสริมสร้างทานบารมีอันไม่มีประมาณ.. ก่อนที่กระทู้จะเป็นอนัตตา
    2) ส่วนท่าน"ผู้อ่านแบบเกาะขอบกระทู้" ก็ไม่ต้องรีรอให้"ตัวเองพร้อม" ก่อนจึงจะกระโดดเข้ามาปฎิบัติอย่างจริงจัง เพราะถ้าเพียงคุณมีแค่"สติ"+"จิต" เท่านั้น.. จะบอกให้ว่า "คุณพร้อมแล้วครับ.." เชิญแสดงตนสมัครได้เลยครับ..
    เอ้าถ้าอายก็นี่เลยครับ อีเมล์ครูใหญ่(ครูเพ็ญ) เขียนจม.น้อยไปสมัครกับท่านได้เลย (จริงๆแล้วท่านมีเมตตาและใจดีมากๆเลย)
    natthapatpun@gmail.com

    ในกรณีบางท่านยังลังเลใจว่า"ใจเรามันยังไม่พร้อม" นี่จะบอกอะไรให้ ยกตัวอย่างเช่น
    - สำหรับท่านที่แต่งงานแล้ว.. ลองนึกถอยหลังกลับไปซิครับว่า.. วันนั้นจริงๆแล้วคุณพร้อมแค่ไหน.. แล้วอยู่จนมาถึงวันนี้ได้อย่างไร.. "ขอเพียงใจพร้อมอย่างเดียว" อย่างอื่นค่อยว่ากันไป ใช่ไหมครับ..โดยเฉพาะท่านที่แต่งงานแล้ว..
    - สำหรับท่านที่ยังไม่แต่งงาน(จึงยังไม่ทราบไม่เข้าใจ) ก็ให้ไปถามพี่ๆเพื่อนๆหรือพ่อแม่ของเราเองดูซิว่า ตอนที่พวกๆเขาเหล่านั้นจะแต่งงานกัน พวกเขาพร้อมกันแค่ไหน (รับรองเกือบทั้งร้อย ไม่มีใครพร้อมทางวัตถุปัจจัยภายนอก มีแต่ใจที่พร้อม แม้นบางท่านก็"เอาว่ะ..เอาไงเอากัน ใจไม่พร้อม ก็ต้องพร้อมแล้ว" ลุยโร้ดด..)

    หรือเอ้าให้ไม้ตายไปเลย.. ก็ลองเข้ามาปฎิบัติดู ก็แล้วถ้าไม่ถูกใจก็บอกกับคุณครูฝึกไปตรงๆเลยว่า"ขอบ้ายบาย"แล้ว เพราะว่าท่านไม่ต้องเสียค่าเทอมค่าหน่วยกิจอะไรนี่.. เพียงแค่ถ้าท่านไม่ตั้งใจจริงก็เป็นการเสียเวลาทั้งสองฝ่ายเท่านั้นเอง..
    หรือลองแอบฝึกเองมันก็ไม่ก้าวหน้ามาก เดี๋ยวเขว เดี๋ยวหลงทาง มีครูฝึกก็เหมือนมีพี่เลี้ยงคอยช่วยแนะนำประคับประครอง ดีกว่ากันเยอะเลย..
    ลองพิจารณาตรองดูเอาเองเถิด.. ก่อนที่อะไรๆมันจะแปรเปลี่ยนไปเป็นอนัตตา..


    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
  2. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ตอนนี้บอกตัวเองให้ขยันมากขึ้นครับ หลังจากพบว่าตัวเองยังอีกไกลมาก เดินตกคลองไปหลายที ยังดีตอนนี้มีครูคอยชี้แนะ ต้องบอกตัวเองเสมอว่าครูคงไม่อยู่คอยชี้แนะได้ตลอดไป หรือวันหนึ่งเน็ทล่มถาวร คราวนี้แย่แน่ๆครับ ตอนนี้หยิบฮูลาฮูบ ขึ้นมาใหม่อยู่ครับ
     
  3. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ขอคำแนะนำหน่อยค่ะ ศีล 8 ถ้านอนบนเตียงมีขา ที่นอนยางหนา 4 นิ้ว จะได้ไหมค่ะ
    ที่นอนนี้ก็สั่งตัดบางกว่ามาตรฐาน เพื่อไม่ให้นอนสบายเกินไปอยู่แล้ว
     
  4. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    555...ขึ้นอยู่กับเราว่าเคร่งครัดไหม..เข้าข้างตัวเองไหม..

    อันตัวเรานอนกับพื้น บวกฟูกหนา1นิ้วเท่านั้น.. เว้นแต่ว่าต้องเดินทางต่างสถานที่ก็จะนอนตามสภาพทีมันมีอยู่..
    ตอบ อยู่ที่ใจครับ..
     
  5. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ผมมักมีปัญหากับเรื่องนี้พอสมควร คือว่าอย่างเวลาลูกน้องทำงานพลาด ซึ่งผมต้องรายงานไปในที่ประชุม(เนื่องจากผมยังเข้าทำงานใหม่จึงยังไม่โดน)บางครั้งถ้าพูดไปตรงๆลูกน้องโดนไล่ออกแน่ จะพูดอ้อมๆก็เหมือนโกหก ต้องวางแผนการพูดยังกะซุนวู บางครั้งก็นึกเอาวะพูดตรงๆนี่แหละ แต่ก็สงสารลูกน้อง บางครั้งก็นึกว่ากรรมของเอ็งแล้วกันแต่ก็ทำไม่ลงจริงๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2012
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอแย่งตอบมั่งดิ
    ขอถามกลับไปยังคุณหมอหน่อยนะครับว่า...
    คุณหมอกำลังฝึกกาย หรือ กำลังจะฝึกจิต?
    คุณหมอเข้าใจ คำว่า มัชฌิมาปฎิปทา?
    พระพุทธเจ้าของพวกเราท่านก็ลองผิดถูกมาหมดแล้ว
    ท่านปฎิบัติแบบทรมานร่างกายจนผอมแห้ง โดยไม่ทานอาหารเลย
    พระองค์ท่านตรัสรู้ธรรมไหม๊? หย่อนเกินไปไไม่ต้องพูดถึง
    คุณหมอจะเอาแก่น หรือ จะเอาเปลือก
    แต่ถ้าตอบว่า เอาแก่น ก็ขอให้สนใจแต่เรื่องจิตอย่างเดียว
    แต่ถ้าตอบว่า เอาเปลือก ก็ขอให้ยึดแต่รูปแบบ/ตำราต่อไป

    เหตุผล ก็คือ ถ้าเราไปยึดรูปแบบเกินไป ต่อให้นอนเสื่อกับพื้นราบ
    แต่ถ้าจิตไม่ทรงสมาธิ ไม่ทรงฌาน แล้วผู้ปฎิบัติจะได้อะไรตรงไหน?
    แต่ถ้าตรงกันข้าม นอนที่นอนหนานุ่มสบาย แต่เรา(จิต)ไม่สนใจ
    ไม่ยึดติดกับที่นอนนั้น แต่จิตไปยึดพระรัตนตรัย หรือจิตทรงสมาธิดี
    ถามว่าเราปฎิบัติเพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่เพื่อความหลุดพ้น

    คุณหมอน่าจะหมายถึง ถือศีล๘ ที่บ้านตนเองใช่ไหม?
    แต่ถ้าเป็นที่วัด หรือสถานที่ปฎิบัติธรรมต่างๆ ก็น่าจะไม่มีที่นอนหนาๆ
    หรือ ไม่มีเตียงเป็นแน่

    สรุป: อยู่ที่กำลังใจของผู้ปฎิบัติ ถ้าปฎิบัติไปแล้ว ดูว่าเราเกิดความสบายใจไหม๊?
    เพราะว่าเวลาเราถือศีลเนี๊ย ไม่มีใครไปดูศีลให้กันหรอกนะ
    นอกจากตนเองรู้คนเดียว แต่ก็ยังมีผู้รู้อีก นั่นก็คือ ท่านพ่อ
    หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์
    เพราะในการปฎิบัติธรรมนั้น เราก็อย่าไปทำอวดใครๆ ขอให้ทำด้วยความสำรวม โดยเฉพาะจิตให้มากๆ อย่างอื่นอย่าไปสนใจ
    เพราะอย่างอื่นไม่ใช่บุญ
    ***เวลาอ่านคำตอบของผมนี้ อย่าลืมนำสติไปดูจิตตนเองดูสิว่า
    มันพองหรือว่ามันยุบ หรือว่าเฉยๆ เฉยแบบอุเบกขา(สติ+ปัญญา)
    มันพอง หมายถึง ดีใจ
    มันยุบ หมายถึง เสียใจ ไม่ยินดี ไม่พอใจ


    ถ้าคำตอบเป็นการล่วงจิตของท่าน ได้โปรดอโหสิกรรมให้แก่กันด้วย

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 สิงหาคม 2012
  7. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151

    ที่นอนที่ว่า นอนในภาวะปกติค่ะ (ศีล 5) เดิมก็นอนพื้นแต่มีเหตุให้มานอนเตียงค่ะ เมื่อกี้ post ไปเสร็จก็ได้คำตอบว่าจะลงมาที่พื้น ฟูกหนาประมาณ1นิ้วเหมือนกัน 555
    สาธุค่ะ
     
  8. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    เหตุผล ก็คือ ถ้าเราไปยึดรูปแบบเกินไป ต่อให้นอนเสื่อกับพื้นราบ
    แต่ถ้าจิตไม่ทรงสมาธิ ไม่ทรงฌาน แล้วผู้ปฎิบัติจะได้อะไรตรงไหน?
    แต่ถ้าตรงกันข้าม นอนที่นอนหนานุ่มสบาย แต่เรา(จิต)ไม่สนใจ
    ไม่ยึดติดกับที่นอนนั้น แต่จิตไปยึดพระรัตนตรัย หรือจิตทรงสมาธิดี
    ถามว่าเราปฎิบัติเพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่เพื่อความหลุดพ้น
    ตอนแรกก็คิดแบบนี้แหละค่ะ และะมีภาวะทางกายบางอย่างไม่เอื้ออำนวย เลยถามเพื่อให้แน่ใจเผื่อมีรายละเอียดเพิ่มเติม ไม่ได้กังวลเรื่องสบายหรือไม่สบาย แต่ถามไปแล้วก็คิดได้ว่าถ้ามัว กลัวเจ็บ กลัวตายอยู่ มันคงไม่ใช่แล้ว เลยลงมาวัดใจตัวเอง ไม่ใช่เรื่องข้อห้ามของศีลแล้ว


    คุณหมอน่าจะหมายถึง ถือศีล๘ ที่บ้านตนเองใช่ไหม?
    ใช่ค่ะ

    ***เวลาอ่านคำตอบของผมนี้ อย่าลืมนำสติไปดูจิตตนเองดูสิว่า
    มันพองหรือว่ามันยุบ หรือว่าเฉยๆ เฉยแบบอุเบกขา(สติ+ปัญญา)
    มันพอง หมายถึง ดีใจ
    มันยุบ หมายถึง เสียใจ ไม่ยินดี ไม่พอใจ
    จิตเฉยๆ แต่กายหัวเราะค่ะ วันนี้ไม่มีน้ำบัวบกขายเสียด้วยซิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2012
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    มือสวยป่ะ?
    [​IMG]

    ถาม: เราเอาอะไรไปดูมือสวย?
    ตอบ: ตาเปล่า/ตาเนื้อ

    คำถามถัดไป
    ถาม: เราเอาอะไรไปดูจิตตนเอง?
    ตอบ: สติ
    ถาม: เราเอาอะไรเข้าไปถึงธรรมะ เรียนรู้ธรรมะ?
    ตอบ: จิต
    (เพราะฉะนั้น อย่านำตนเองเข้าไปเรียนรู้ธรรมะแทนจิตตนเอง)
    (เพราะฉะนั้น อย่ายึดแต่ตำรา อย่าเอาแต่ท่องตำรา เพราะมันไม่ทำให้เราบรรลุธรรมได้ แต่ถ้าอยากบรรลุธรรมก็ต้องปฎิบัติให้มากๆ)
    ถาม: ทุกข์อยู่ไหน? ดับทุกข์ที่ไหน?
    ตอบ: จิต
    ถาม: ใครเป็นผู้ทำหน้าที่ละ ปล่อย วาง?
    ตอบ: จิต
    ถาม: ระหว่างกายกับจิต อะไรสำคัญกว่ากัน?
    ตอบ: จิต
    (มีคนตอบว่ากายกันไหม?)
    แต่ถ้าคนส่วนใหญ่ตอบว่า จิต แล้วทำไมคนส่วนใหญ่จึงไม่สนใจจิตตนเอง

    ***ต่อไปนี้ขอให้พวกเราสนใจเรื่องจิตของตนเองมากๆ
    และหมั่นสร้างสติให้มากด้วย เพื่อจะได้ไปดูจิต/พบจิตของตนเองไวๆ
    มิใช่ให้ฝึกสติไปดูจิตของคนอื่นเขานะ
    พอสติรวมกับจิตเป็นหนึ่งเดียวกันเมื่อไหร่ จิตก็นิ่ง จิตก็เป็นสมาธิ
    จิตก็ทรงฌานกันเมื่อนั้น และอีกไม่นานนัก จิตก็จะไปพบธรรมภายในจิตตน

    พวกเราคอยสังเกตให้ดีๆนะว่า ในขณะที่เรามีสติมากกันนี้
    ก็เสมือนเรานำจิตไปตั้งอยู่กับฝ่ายบุญ ฝ่ายกุศล
    เพราะในขณะที่เกิดสตินั้น กิเลสจะหมอบ หรือนอนนิ่งอยู่ชั่วคราว
    แต่ถ้าพวกเราสติเผลอ(เผลอสติ)เมื่อไหร่ จิตของเราก็อาจจะไหลไปกับกิเลสอย่างง่ายดาย
    ยกเว้นจิตที่ผ่านการวิปัสสนา หรือจิตได้ปัญญาญาณ/วิปัสสนาญาณแล้ว
    จิตถึงจะไม่ไหลไปกับกิเลส หรือจิตไม่ตกเป็นเหยื่อของกิเลสอีกต่อไปแล้ว

    ช่วงนี้จะขอเน้นเรื่องสติกับจิตกันให้มากเป็นพิเศษ
    เพราะถ้าเราไม่สนใจเรื่องสติ เรื่องจิตแล้ว
    จิตก็ยากจะพัฒนา หรือที่เรากันเรียกว่า ไม่ค่อยจะเจริญในธรรม
    มันจะเจริญกันได้อย่าไร ในเมื่อสติไม่มากพอ แถมสติเกิดไม่ต่อเนื่องกันอีก
    จิตก็ยากที่จะนิ่ง จิตก็ยากจะเป็นสมาธิหรือทรงฌาน
    แล้วอีกเมื่อไหร่จิตจะเกิดปัญญากันสักทีนึง
    จิตไม่มีปัญญา จิตก็ทำวิปัสสนาไม่ได้
    พอจิตไม่มีปัญญา คำว่าวิปัสสนาก็จะกลายเป็นวิปัสสนึกไปอีก
    เพราะเรากำลังถูกอุปาทานหลอกรับประทานแล้ว
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    แสดงว่าสีทนได้แล้ว
    นั่น ไหนบอกว่า น้ำบัวบกไม่เกี่ยวไง


    ***ขอคุยเรื่องศีลนิดนึง
    จิตมาถึงระดับนี้แล้ว แทบจะไม่ต้องระแวงเรื่องทุศีลแล้ว
    เพราะจิตยิ่งละเอียด ศีลก็ละเอียดตามจิตไปด้วย
    จิตยิ่งละเอียดมาก ต่อไปจิตเราก็จะบอกกับตนเองว่า
    อะไรดีหรือไม่ดี อะไรควรหรือไม่ควร โดยที่เราไม่จำเป็นไปถามใคร
    ยกเว้นผู้ปฎิบัติใหม่ จำเป็นจะต้องระวังเรื่องศีลให้มาก
    แต่คุณหมอไม่จำเป็นแล้ว เพราะต่อไปศีลจะเป็นผู้รักษาคุณหมอแทน
    แต่ขอให้คุณหมอระวังเรื่องจิตอย่างเดียว คอยสำรวมจิตอย่างเดียว
    แต่ถ้าภายใน(จิต)ดีแล้ว การกระทำ/คำพูดก็จะดีตามไปด้วย
    และคอยมีสติตามจิตให้ทัน
    สติจะเป็นตัวบอกกับจิตว่า อะไรคือกุศล อะไรคืออกุศล
    ตัวสติจะเป็นตัวแยกแยะให้กับจิตเอง

    ตอนนี้จิตพอจะเข้ารูปเข้ารอยขึ้นมาหรือยัง?
    จิตทรงสมาธิดี และต่อเนื่องดีหรือยัง?
    เห็นว่าคุณหมอขยันดี สงสัยไวๆนี้แหล่ะ!
    ลองเอาจิตปัญญาตามเข้าไปดูอัตตา มานะยังหลงเหลืออยู่ไหม๊?
    สองตัวนี้ใครเอาออกให้ไม่ได้นะ
    นอกเสียจากจิตปัญญาของตนเองเท่านั้น
    หรือจิตจะต้องผ่านวิปัสสนาโน้น จึงจะหายหมด

    คนต่อไป เห็นครูเพ็ญเล็งๆ คุณลินดาอยู่นะ
    สงสัยเธอจะลาแว๊คหนีละมั้ง
     
  11. kongkiatm

    kongkiatm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,263

    ขออนุโมทนากับ คุณภูอย่างสูงเลย

    บทความนี้โดนใจมากเลย การสร้างรากฐานที่แข็งแรงเพื่อสร้างตึกให้สูงขึ้น
     
  12. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ขอโทษนะค่ะ วันนี้ พิมพ์ใน word แล้วมา post ตัวหนังสือไม่เหมือนเดิม แก้อยู่ เกินครึ่ง ชม. แล้ว ยิ่งแก้ยิ่งเสีย มันไม่รับคำสั่ง
    ส่งการบ้านค่ะ
    การบ้าน 3-08-55<O:pเช้านี้ไปถวายสังฆทานให้เจ้ากรรมนายเวรเรียบร้อยแล้วตอนยกถาดสุดท้าย จิตโล่งมากขอบคุณพี่เพ็ญมากจริงๆ<O:p
    ตอนไปจัดของใส่ถาด มีคนมาส่งเงินให้ 20บาท 2 คน (มากันคนละครั้ง)บอกประมาณว่าขอร่วมบุญด้วยแต่กลัวเจ้ากรรมนายเวร รับบุญไม่เต็มที่ เลยไม่รับเงินลืมบอกให้เขาร่วมโมทนาด้วย ถ้าทำบุญตามปกติก็คงให้เขาร่วมด้วย รับเงินแล้วเอาไปใส่กล่อง กรณีแบบนี้ ควรทำอย่างไรคะ
    <O:p
    เห็นผีเสื้อเกาะบนต้นไม้ แล้วบินไปก็เห็น ไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ หายไปของภาวะนั้นกลับมาตักน้ำล้างเท้า ตอนน้ำไหลลงพื้นก็เห็นเช่นเดียวกันจะทานอาหารเช้านึกถึงอาหารที่อยู่ในจาน ตักใส่ปาก กลืนลงท้อง อาหารที่แต่ละตำแหน่งก็ไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ เป็นอนัตตาเช่นเดียวกัน
    <O:p
    ก่อนนี้เห็นไตรลักษณ์ที่จิต ต่อมาเห็นที่กาย (ลืมเล่า วันก่อนช่วงที่เริ่มดูธาตุ ตื่นมาเห็นผมร่วงอยู่บนหมอน ก็เห็นว่าร่างกายนี้ย่อมเสื่อมไป) เมื่อวานกับวันนี้ เห็นที่รอบๆตัวช่วงแรกๆ ดีใจ เห็นไตรลักษณ์ แต่วันนี้เฉยๆ มันเป็นธรรมดา มีอยู่ทุกที่ มันเป็นเช่นนั้นเอง ประโยคพวกนี้เคยได้ยิน แต่เมื่อก่อนเราไม่เห็นเอง
    <O:p
    ขับรถติดไฟแดงต่อจากรถกระบะ เปิดฝากระโปรงหลัง เพราะใส่เหล็กเป็นคล้ายๆรั้ว ยาวออกมานอกรถ ไม่มีอะไรผูก แต่มีของวางทับไว้ พอรถออก เหล็กนั้นก็ลอยออกมานอกรถ หล่นโครมลงที่พื้น โชคดีไม่จอดใกล้มาก และเหล็กนั้นหนัก ถ้าเกิดลอยได้ ก็ไม่ทราบเป็นยังไง เลยนึกถึงมรณานุสติ
    <O:p
    ตอนเย็นจะไปเดินเล่น ตั้งใจจะเดินไป นึกได้ (วันก่อนขับรถอยู่เห็นงูตัวยาวๆอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น กลัวจะทับมัน มันก็เลื้อยหลบไป ทุกชีวิตก็รักชีวิตของตัวเอง) เลยจะหยิบกุญแจรถแต่นึกอีกที รักตัวกลัวตายอีกแล้ว เลยเดินไปพอถึงที่เดิน (2 ข้างทางเป็นป่าๆหน่อย อยู่เชิงเขา) กำลังเดินอยู่ มีเด็กคนนึงมากับแม่ ถามแม่ๆ ตรงนี้มีเสือมั้ย หัวเราะออกมาเลย เรารักตัวกลัวตายเหมือนเด็กนี่เลย<O:p></O:p>
    ขอเล่าเรื่องเจ้ากรรมนายเวรนิดนึง ขับรถอยู่เกิดปวดหลังขึ้นมาอีก งง ว่าทำไม พอขับเลยแยกไป อ๋อเมื่อวานตอนขับรถผ่าน เห็นมีพระองค์ใหญ่วางอยู่ เขาเปิดให้ทำบุญ คิดว่าจะมาทำบุญให้เขาด้วยแต่วันนี้ลืม เลยโดนเตือน เลยไปทำบุญให้ เคยอ่านนานแล้วว่าถ้าสัญญากับเจ้ากรรมนายเวรแล้วต้องทำให้ครบ<O:p
    เกือบลืมการบ้านอีกเรื่อง ฝันว่ามีผู้ใต้บังคับบัญชาคนนึง (ในชีวิตจริงเหลายคนบ่นเรื่องคนนี้ โดยเฉพาะสัปดาห์ที่แล้ว) เถียงเรา ในฝันเราโกรธ ว่าเขาอย่างรุนแรงแล้วให้ออกจากงาน (เล่าไปเล่ามา ถ้าจิตไม่ยก สงสัย web นี้ไม่มีคนคบแน่นอน เธอออกจะร้ายซะขนาดนี้ฮือ ฮือ) แต่จริงๆ คงไม่ไปว่าใครแบบนี้ ฝันเสร็จตื่นมา เริ่มจะเช้าแล้ว<O:p
    พี่เพ็ญค่ะ ไม่ทราบว่านี่เป็นอวิชชาที่ยังหลงเหลืออยู่หรือเปล่าค่ะ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2012
  13. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    การบ้านฉบับนี้รู้สึกว่าครูนก(ชาย)จะตอบไปทางอีเมลแล้ว พี่เพ็ญมาเสริมให้อีกนิดหน่อยค่ะ อ่านคำตอบสีน้ำเงิน

    อุษาวดี ; ส่งการบ้าน 31 07 55 ค่ะ
    การแยกกายแยกจิต<O:p
    เมี่อวานกับเช้านี้ ตอนพยายามแยก ถ้ากำลังทำงาน อยู่ก็จะสะดุดๆ เหมือนกำลังพิมพ์งานก็ชะงักไปนิดนึงคิดอะไรก็ช้าลงเหมือนคอมอืดๆ

    ใหม่ ๆ ก็เป็นเหมือนกันหมดค่ะ ของยังใช้ไม่คล่องก็เป็นธรรมดาว่ามีขัดเขินกันอยู่ แต่ขอให้ฝึกแยกกายแยกจิตทุกวันและในทุกกิริยาหรือการงาน คุณหมอต้องพยายามทำให้ได้ทุกวันนะคะ โดยมีข้อแม้ว่าต้องฝึกทำด้วยใจสบาย อย่าเครียด เพราะถ้าเครียดการฝึกแยกกายแยกจิตจะสับสน

    กล่าวคือให้เราทำงานไปตามปกติแต่ให้แยกจิตไปอยู่กับพระ ถ้าจิตไปอยู่กับพระ ข้างในจิตจะสงบมาก แต่มีเหมือนกันนะบางทีสติเผลอจิตก็แอบหนีออกมาท่องเที่ยวอยู่ข้างนอก ถ้ารู้สึกตัวว่าจิตแส่ส่ายออกไปหาธรรมารมณ์ให้รีบเอาสติจูงจิตกลับเข้าไปฝากพระไว้ข้างใน(ฌาน) โดยการนึกถึงพระแล้วอธิษฐานจิตฝากจิตไว้กับพระ

    สติเป็นตัวรู้นอกรู้ใน เหมือนพี่คอยเลี้ยงน้อง บางทีพี่ก็ไปปรุงอาหารให้น้อง บางทีก็จูงน้องไปเดินเล่น บางทีก็คอยนั่งปัดยุงเวลาน้องนอนหลับพักผ่อน สติเป็นพี่ดูแลน้องจิตทั้งใกล้ชิดและดูอยู่ห่าง ๆ ตามเหตุและปัจจัย แต่ไม่ใช่พี่สติทำตัวเป็นน้องจิตซะเอง

    ปกติถ้าเรายังไม่ได้รับการฝึกจิตฝึกาย จิตกับกายจะทำงานร่วมกันอย่างนัวเนียแยกกันไม่ออกว่าอย่างไหนเป็นงานของกายอย่างไหนเป็นงานของจิต ในระหว่างที่เราแยกกายแยกจิตทำงานตามหน้าที่ สติเป็นตัวรู้คอยควบคุมกายและคอยดูแลจิตไม่ให้สับสนในหน้าที่ของกันและกัน

    ถามว่าสับสนไหม? ถ้าเป็นจิตบุญท่านจะตอบว่าไม่สับสน แต่สำหรับผู้ที่กำลังเดินมรรคจะดูยุ่งๆ พอสมควร คล้ายเราเคยชินกับการทานข้าวด้วยช้อนส้อมแล้วเขาบอกให้เปลี่ยนไปใช้ตะเกียบคีบข้าวแทน ถามว่ามันทันใจไหม มันย่อมไม่ได้ดังใจเพราะมันยังไม่ชิน แต่ถ้าฝึกใช้จนชินแล้วก็ไม่เป็นปัญหากับการใช้งาน

    เคยมีคนถามว่าถ้าเราต้องใช้ความคิดล่ะทำไง จิตไม่ต้องออกมาคิดด้วยหรือ ตอบว่าความคิดเป็นเรื่องของขันธ์ห้าค่ะ ส่วนของความคิดเป็นของสมองในร่างกายสัมพันธ์กับวิญญาณ(ใจ-ประสาทรับรู้)อันเป็นนามในขันธ์ห้า ถ้าเราฝึกแยกสติบ่อย ๆ จะสามารถมองเห็นการทำงานของแต่ละส่วนว่าไม่ปะปนกันเลย อะไรบ้างที่ว่าไม่ปะปนกัน กล่าวคือ ขันธ์ห้าหนึ่งกอง จิตหนึ่งกอง สติหนึ่งกอง ปัญญาหนึ่งกอง อารมณ์หนึ่งกอง อาการหนึ่งกอง ทุกอย่างแยกกันอยู่เป็นอิสระจากกันโดยสิ้นเชิง

    แต่ด้วยความไม่รู้(อวิชชา)ทุกวันนี้คนทั่วไปคิดว่าทุกอย่างที่กล่าวมารวมเป็นหนึ่งเดียวกันคือ "ตัวเรา(รูปกาย)" ซึ่งแท้ที่จริงแล้วรูปกายเป็นเพียงเปลือกเท่านั้นเอง ให้นึกถึงเปลือกของต้นไม้หรือผลไม้หรือผักนั่นแหละอย่างเดียวกัน

    เพราะฉะนั้นเวลาที่คุณหมอทำงานคุณหมอใช้ส่วนของขันธ์ห้าทำงานอยู่เป็นประจำอยู่แล้วจึงไม่เป็นปัญหาอะไรกับการแยกจิตไปพักวิปัสสนาอยู่กับพระภายในจิต โดยมีสติเป็นตัวรู้ทั้งข้างนอกข้างในตลอดเวลา ถ้ามีสติละเอียดนะคุณหมอจะเห็นเวลาที่สติมันวิ่งเข้าวิ่งออกไปตามดูกายบ้างไปตามดูจิตบ้าง สตินี่เวลามันวิ่งบ่อย ๆ มันก็เหนื่อยเป็นเหมือนกันนะ บางครั้งสติก็จะไปพักอยู่ที่กายจึงทำให้รู้สึกที่กายมากกว่า บางครั้งเขาก็เข้าไปพักอยู่กับจิตทำให้รู้สึกว่าสติเข้าไปเกาะจิตอยู่ข้างในมากกว่า อย่างหลังคือสิ่งที่พี่ภูย้ำบ่อย ๆ

    ถามว่าแล้วสติต้องไปเกาะอยู่กับจิตตลอดเวลาหรือไม่? ตอบว่าไม่ สติเป็นตัวรู้ เขาจะทำหน้าที่รู้สึกของเขาตามธรรมชาติ ถ้าสติมาอยู่ที่กายมากก็จะเห็นความเคลื่อนไหวของกายชัดขึ้นเหมือนตอนที่คุณหมอรู้สึกมีสมาธิเวลาเดินจงกรม ถ้าสติไปอยู่ที่จิตมากคุณหมอจะรู้สึกว่าจิตเป็นสมาธิมาก จิตว่างมาก เมื่อจิตว่างจิตจะทำงานตามธรรมชาติของจิตกล่าวคือจิตจะคิดค้นหาเหตุและปัจจัยภายในจิตว่ามีอะไรให้เขาขุดคุ้ยขึ้นมาทำงานได้บ้าง ภาษาธรรมท่านว่าจิตวิปัสสนา เพราะธรรมชาติของจิตไม่เคยอยู่นิ่งนั่นเอง

    แต่ถ้ามันแยกสติแยกจิตแยกกายไม่ได้จริง ๆ เวลาต้องใช้ความคิดจะยกขบวนกันออกมาคิดให้จบเรื่องจบราวไปก่อน แล้วค่อยแยกจิตกลับเข้าไปเกาะพระข้างในก็ย่อมทำได้ค่ะ ทำไงได้เน๊อะก็มันไม่ชินนิ ก็ต้องยืดหยุ่นกันไปตามเหตุและปัจจัย
    <O:p
    ตอนเที่ยงไปโรงอาหาร ในขณะที่ไปเดินมองๆว่าจะซี้ออะไร ก็รู้สึกถึงเท้าที่กระทบพี้นอยู่ในขณะเดียวกัน พอดีใจก็กลับมาดูที่จิต

    สาธุ ขอให้คุณหมอทำอย่างนี้ให้ได้ทุกครั้งที่ย่างก้าวไปบนพื้นนะคะ ทำบ่อย ๆ สติจะอยู่กับกายกับจิตมากขึ้น นี่แลคือการฝึกสติในชีวิตประจำวัน ต้องให้ได้อย่างนี้แหละค่ะ ถูกต้องแล้ว

    วันนี้ พูดกับคนอื่นอยู่ก็นึกถึงพระไปด้วยก็ทำได้แต่ต้องใช้ความพยายามนิดนึง ยังไม่คล่องค่ะ

    ค่ะ ธรรมะพยายามค่ะ ถ้าทำได้แล้วช่วยนำมาบอกเล่าเป็นธรรมทานให้กับผู้ที่กำลังเริ่มฝึกสติใหม่ด้วยนะคะ จะได้บุญใหญ่บุญหลวงเลยค่ะ

    <O:pขณะนั่งทานข้าวอยู่ที่โรงอาหารมีคุณป้าหิ้วของมานั่งหัวโต๊ะ มีเก้าอี้อยู่ตัวเดียว ก็ลุกขึ้นเลื่อนเก้าอี้ตัวที่นั่งอยู่ให้แกวางของ แล้วเลื่อนเก้าอี้ตัวในที่วางกระเป๋าถืออยู่มานั่ง เอากระเป๋าถือมาวางรวมกับของคุณป้า ทั้งๆที่คุณป้าไม่ได้ทำท่าอยากได้เก้าอี้เพิ่ม ถ้าเป็นเมี่อก่อนก็ไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างนี้มั้ย

    จิตเจริญพรหมวิหารสี่อยู่เป็นนิจจะแสดงความเมตตาเป็นอัตโนมัติโดยที่ไม่ต้องมีใครร้องขอค่ะ โมทนา สาธุ
    <O:p
    มีคนรู้จักที่รู้สึกว่าเขาชอบอยากรู้เรื่องเรา เมื่อวานเจอก็ไม่อยากทัก แต่วันนี้เห็นก็หันไปยิ้มให้ปกติไม่รู้สึกเหมือนทุกครั้ง<O:p
    เลยคิดว่า เอ๊ะ อัตตาลดลงหรือเปล่า ก็เลยสำรวจจิตตัวเอง ว่ายังมีใครที่รู้สึกเกลียดอยู่ไหม ก็มองไม่เห็น พอดูว่าใครที่รู้สึกไม่ชอบบ้างก็เห็นเงาๆขึ้นมา 1 คน <O:pพอกลับมา มีใครทำอะไรให้นิดหน่อย แต่เป็นคนที่ชอบ ก็รู้สึกดีใจ ทั้งๆที่คนอี่นก็
    ทำเหมีอนกัน รู้สึกขอบคุณ แต่ไม่ได้ดีใจ

    มานะยังไม่ตาย 555 เวลาทำสมาธิถ้าจิตเป็นสมาธินิ่งดีแล้ว ให้กำหนดจิตถามตัวเองบ่อย ๆ ว่าอย่างนี้นะคะ

    ถาม ร่างกายเป็นของเรารึ?
    ตอบ ร่างกายไม่ใช่ของเราพระพุทธเจ้าข้า
    ถาม ถ้าร่างกายไม่ใช่ของเราแล้วมานะเป็นของเรารึ?
    ตอบ มานะไม่ใช่ของเรา มานะเป็นของร่างกายพระพุทธเจ้าข้า

    ถ้าถามแล้วปัญญายังไม่เกิดให้กลับไปถามในขณะที่จิตเป็นสมาธิทุกวัน

    ชาวจิตบำเพ็ญและชาวจิตเกาะพระทุกท่านก็ขอให้ปฏิบัติอย่างนี้เช่นเดียวกันนะคะ เป็นการช่วยตัดมานะสังโยชน์ออกไปจากจิต พอเดินมรรคไปถึงบั้นปลายจะได้เหลือน้อย ๆ หน่อย 555

    <O:p
    ชอบละยากกว่าเกลียด สุขน่าจะเป็นกิเลสที่น่ากลัวกว่าทุกข์ ใช่ไหมคะ

    ไม่ยากหรอกค่ะ แค่อารมณ์มันละเอียดกว่ากันเท่านั้นเอง ปกติจิตเคยชินอยู่กับอารมณ์หยาบ พอมาเจออารมณ์ละเอียดจึงรู้สึกว่าเห็นยากละยาก เพราะมันเป็นกิเลสที่เนียนมากๆ

    โอ่ย คุณหมอ สุขไม่ใช่น่ากลัวกว่าทุกข์หรอกค่ะ ทุกข์สิคะน่ากลัวมากกว่า สุขนี้ละไม่ยากหรอกค่ะ แค่ทำสติรู้ตามให้ทันเวลาเกิดสุข ก็จะเห็นว่าสุขก็ไม่เที่ยง มาเยี่ยมเราเดี๋ยวเดียวก็ไป สุขนี้ไปเร็วยิ่งกว่าทุกข์อีกค่ะ แต่ถ้าใครจมทุกข์นะอยู่เวรนานเลย 555

    สรุปว่าทุกอารมณ์สติตามทันตัวเดียว ทุกอย่างจบลงที่กฎไตรลักษณ์หมด โดยเฉพาะอารมณ์นี้ตั้งแต่เกิดจนดับไปมันไม่มีตัวตนอยู่แล้ว เกิดง่าย เห็นง่าย จบง่าย(หรือเปล่า) 555

    <O:p
    เช้านี้เจอคนที่เคยมีปฏิคะด้วย ที่เมื่อวานยิ้มให้กันแล้ว วันนี้พี่ยิ้มให้แต่แกหน้าบึ้งตอบ ดูจิตตัวเองก็รู้สึกเฉยๆ ไม่โมโห คราวนี้เห็นแล้วว่าเฉยเพราะติดเฉยกับเฉยเพราะอุเบกขาต่างกัน หลายสัปดาห์ก่อน ที่แม่บ้านทำหน้าบึ้งใส่ แต่ไม่ใส่ใจเอาจิตหลบใน รู้แต่ไม่สนใจ แล้วยังไปบอกว่าไม่สนใจจริยาของผุู้อื่น ถ้าไม่ได้ครูคอยชี้แนะคงยากที่จะถึงฝั่ง

    คุณหมอแยกแยะอาการเฉยกับอุเบกขาได้ถูกต้องค่ะ ท่านผู้อ่านทั้งหลายโปรดนำไปเป็นกรณีศึกษาอารมณ์ของตนเองด้วยค่ะ เฉยกับอุเบกขาไม่เหมือนกันนะ

    <O:p
    </O:p
    ช่วงนี้ชอบลืม นั่งพิมพ์การบ้านอยู่ มีโทรศัพท์มา ลุกไปรับ กลับมาจะทำงานต่อเห็นแว่นวางอยู่หยิบมาจะใส่ถึงรู้ว่าใส่อยู่แล้ว 1 อัน อิอิ

    จิตตัดสัญญาในขันธ์ห้าเป็นอย่างนั้นเองค่ะ อย่าไปกังวลกะขันธ์ห้ามันเลยค่ะ ขอให้มีสติตัวเดียวทำงานแทนสัญญาได้หมดทุกกระบวนยุทธ

    ของคุณหมอยังดีกว่าพี่เพ็ญหน่อยหนึ่งนะ จาเล่าให้รู้กันทั่วเลย พี่เพ็ญเอาแว่นเสียบไว้บนหัวแล้วก็เที่ยวเดินถามใครต่อใครทั่วสำนักงานว่าเห็นแว่นพี่ไหม คนตอบก็บอกว่าไม่เห็นเพราะเขาไม่ได้มองหน้าเรา คงตอบด้วยความรำคาญ เดินหาแว่นตาจนขาขวิด เหนื่อยก็เหนื่อย งานก็รอ พอมานั่งพักให้หายเหนื่อย จิตว่างปัญญาเกิด ตรูเอาแว่นเสียบไว้บนหัว 555555
    <O:p
    <O:p
    ไปเติมน้ำมันจะจอดรถ คนเติมน้ำมันก็ทำท่าเหมือนจะจอดเลยไป ทั้งๆที่คิดว่าเติมถึง เลยจะถอยกลับมาให้นิดนึง ยังไม่ทันจะเข้าเกียร์เลย เขาเอามือตบข้างๆรถเสียงดังจะให้เปิดที่เติมน้ำมัน เริ่มรู้สึกเอ๊ะทำไมเร่งเหลือเกิน ตอนเขามาเก็บเงินถึงรู้ว่าไม่ใช่คนไทย รู้สึกสงสารวูบขึ้นมา และเห็นว่าไม่เที่ยง <O:pค่ำไปเดินเล่น ขณะเดินก็พิจารณาตัวเองเป็นศพไปด้วยจนถึงโครงกระดูกเป็นฝุ่น ปลิวหายไป จิตก็ร้องเป็นเพลงขึ้นมาว่าในที่สุดก็ไม่เหลืออะไรเลย

    นี่แลคือวิปัสสนาญาณจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อจิตทรงฌานสี่เท่านั้น รักษากำลังใจไว้อย่าให้ตกอีกนะคะ ทำสมาธิให้ต่อเนื่อง มีสตินึกถึงพระในจิตบ่อย ๆ ไม่เห็นก็ใช้คำว่า "คิดถึง" แทนก็ได้เหมือนกันค่ะ ขอให้คิดถึงพระให้บ่อย ๆ ที่สุดนะคะคุณหมอที่รัก

    <O:pเห็นหมาที่ตลาดกินน้ำที่นองอยู่บนพื้น ที่ขอบๆน้ำ มีฟองอยู่เหมือนน้ำยาทำความสะอาด สงสารจับใจ ในที่สุดก็พิจารณาอุเบกขา แต่จะดูให้เป็นอนัตตาไม่ลง เห็นแล้วว่าถ้าปิดอบายภูมิไม่ได้ น่ากลัวจริงๆ ในทำนองเดียวกัน ถ้าใกล้ถึงแล้ว เกิดไปได้แค่พรหมก็น่าเสียดายอย่างยิ่ง เลยเข้าใจว่าทำไมครูๆทั้งหลายถึงเตือนนักเตือนหนา

    พยักหน้าหงึก ๆ เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเป็นเมื่อก่อนนยังไม่มีจิตเกาะพระ พี่เพ็ญก็คิดเหมือนกันนะว่าถ้าไม่ทันนิพพานในชาตินี้ ก็ขอไปบำเพ็ญต่อที่พรหมเหมือนกัน แต่โชคดีได้พี่ภูมาดึงขาไว้ก่อน ไม่งั้นไปแล้ว ไม่ได้มานั่งสอนจิตเกาะพระกับใครเขาหรอก งานนี้ต้องกราบขอบพระคุณพี่ภูอย่างงามวันละสี่เวลา เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ

    ขอบคุณพี่ภูที่กรุณาอธิษฐานจิตให้ ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยชี้แนะและให้กำลังใจค่ะ

    ถอยไม่ได้แล้วค่ะคุณหมอ เดินหน้าลุยอย่างเดียวค่ะ เพราะข้างหลังเขาช่วยกันดันจิตคุณหมอยาวเป็นขบวนรถไฟ 555

    โมทนา สาธุ ขอให้เจริญสุขและเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงซึ่งนิพพานโดยเร็วพลันในชาติปัจจุบันนี้เทอญ

    พี่เพ็ญ จบ.3
     
  14. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    อุษาวดี; ขอโทษนะค่ะ วันนี้ พิมพ์ใน word แล้วมา post ตัวหนังสือไม่เหมือนเดิม แก้อยู่ เกินครึ่ง ชม. แล้ว ยิ่งแก้ยิ่งเสีย มันไม่รับคำสั่ง
    ส่งการบ้านค่ะ

    อย่าไปซีเรียสกะตัวหนังสือค่ะคุณหมอที่รัก มันก็แค่สิ่งสมมุติของโลกที่เรายืมมาใช้งานชั่วคราวเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรถูกไม่มีอะไรผิด มันเป็นอย่างนั้นเอง ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริงหรอก จะเป็นตัวหนังสืออะไรยังไงก็ได้ขอให้อ่านออกเป็นพอค่ะ

    การบ้าน 3-08-55<O:pเช้านี้ไปถวายสังฆทานให้เจ้ากรรมนายเวรเรียบร้อยแล้วตอนยกถาดสุดท้าย จิตโล่งมากขอบคุณพี่เพ็ญมากจริงๆ

    โมทนา สาธุค่ะ
    <O:p
    ตอนไปจัดของใส่ถาด มีคนมาส่งเงินให้ 20บาท 2 คน (มากันคนละครั้ง)บอกประมาณว่าขอร่วมบุญด้วยแต่กลัวเจ้ากรรมนายเวร รับบุญไม่เต็มที่ เลยไม่รับเงินลืมบอกให้เขาร่วมโมทนาด้วย ถ้าทำบุญตามปกติก็คงให้เขาร่วมด้วย รับเงินแล้วเอาไปใส่กล่อง กรณีแบบนี้ ควรทำอย่างไรคะ

    ตามจิตศรัทธาของคุณหมอค่ะ ไม่มีอะไรตายตัว ทุกอย่างล้วนตั้งอยู่บนกฎไตรลักษณ์ทั้งสิ้น พิจารณากันไปตามเหตุและปัจจัยค่ะ จบแล้วก็จบกันไปไม่ต้องเก็บมาคิดแล้วค่ะ แต่ถ้ารู้สึกไม่เป็นกังวลใจอยู่ให้แผ่เมตตาให้พวกเขาทั้งสองคนค่ะ สัก 2-3 รอบเดี๋ยวจิตก็คลาย

    <O:p
    เห็นผีเสื้อเกาะบนต้นไม้ แล้วบินไปก็เห็น ไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ หายไปของภาวะนั้นกลับมาตักน้ำล้างเท้า ตอนน้ำไหลลงพื้นก็เห็นเช่นเดียวกันจะทานอาหารเช้านึกถึงอาหารที่อยู่ในจาน ตักใส่ปาก กลืนลงท้อง อาหารที่แต่ละตำแหน่งก็ไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ เป็นอนัตตาเช่นเดียวกัน

    <O:p
    ก่อนนี้เห็นไตรลักษณ์ที่จิต ต่อมาเห็นที่กาย (ลืมเล่า วันก่อนช่วงที่เริ่มดูธาตุ ตื่นมาเห็นผมร่วงอยู่บนหมอน ก็เห็นว่าร่างกายนี้ย่อมเสื่อมไป) เมื่อวานกับวันนี้ เห็นที่รอบๆตัวช่วงแรกๆ ดีใจ เห็นไตรลักษณ์ แต่วันนี้เฉยๆ มันเป็นธรรมดา มีอยู่ทุกที่ มันเป็นเช่นนั้นเอง ประโยคพวกนี้เคยได้ยิน แต่เมื่อก่อนเราไม่เห็นเอง

    ถ้าจิตไม่นิ่งเป็นสมาธิมาก ๆ หรือจิตทรงฌานสูงอย่างต่อเนื่องเราจะมองไม่เห็นกฎไตรลักษณ์ว่าทุกอย่างเป็นธรรมดา เมื่อก่อนก็คงเห็นเหมือนกันแต่ก็เหมือนไม่เห็น เพราะเราเห็นและรับรู้ด้วยกายและสัญญาในขันธ์ห้าเท่านั้น

    ซึ่งต่างกับปัจจุบันคุณหมอเห็นกฎไตรลักษณ์ด้วยญาณ จึงยังให้เกิดความเข้าถึงจิตต่างกันค่ะ อย่างนี้เรียกว่าเข้าถึงผู้รู้คือจิตค่ะ โดยมีปัญญาญาณทำให้เห็นแจ้งแทงตลอดในกฎไตรลักษณ์

    <O:p
    ขับรถติดไฟแดงต่อจากรถกระบะ เปิดฝากระโปรงหลัง เพราะใส่เหล็กเป็นคล้ายๆรั้ว ยาวออกมานอกรถ ไม่มีอะไรผูก แต่มีของวางทับไว้ พอรถออก เหล็กนั้นก็ลอยออกมานอกรถ หล่นโครมลงที่พื้น โชคดีไม่จอดใกล้มาก และเหล็กนั้นหนัก ถ้าเกิดลอยได้ ก็ไม่ทราบเป็นยังไง เลยนึกถึงมรณานุสติ

    นึกถึงมรณานุสสติแล้วเห็นเป็นยังไงต่อคะ ไม่เห็นเล่าเลย

    <O:p
    ตอนเย็นจะไปเดินเล่น ตั้งใจจะเดินไป นึกได้ (วันก่อนขับรถอยู่เห็นงูตัวยาวๆอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น กลัวจะทับมัน มันก็เลื้อยหลบไป ทุกชีวิตก็รักชีวิตของตัวเอง) เลยจะหยิบกุญแจรถแต่นึกอีกที รักตัวกลัวตายอีกแล้ว เลยเดินไปพอถึงที่เดิน (2 ข้างทางเป็นป่าๆหน่อย อยู่เชิงเขา) กำลังเดินอยู่ มีเด็กคนนึงมากับแม่ ถามแม่ๆ ตรงนี้มีเสือมั้ย หัวเราะออกมาเลย เรารักตัวกลัวตายเหมือนเด็กนี่เลย<O:p></O:p>

    ทำจิตเกาะพระทรงฌานสี่ให้ต่อเนื่องไว้ค่ะ เดี๋ยวหายกลัวเอง อีกหน่อยจะเปลี่ยนคำพูดบอกว่า เมื่อไรฉันจะตายสักที เหมือนที่ชาวจิตบุญเขาถามกันอยู่ทุกวันนี้ไง 555 โลกนี้มันไม่เที่ยงหนอ


    ขอเล่าเรื่องเจ้ากรรมนายเวรนิดนึง ขับรถอยู่เกิดปวดหลังขึ้นมาอีก งง ว่าทำไม พอขับเลยแยกไป อ๋อเมื่อวานตอนขับรถผ่าน เห็นมีพระองค์ใหญ่วางอยู่ เขาเปิดให้ทำบุญ คิดว่าจะมาทำบุญให้เขาด้วยแต่วันนี้ลืม เลยโดนเตือน เลยไปทำบุญให้ เคยอ่านนานแล้วว่าถ้าสัญญากับเจ้ากรรมนายเวรแล้วต้องทำให้ครบ

    แม่นแล้วคุณหมอ พวกจองจำก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่รู้จักปล่อยวาง แต่ก็น่าเห็นใจเขานะ นาน ๆ เขาจะได้กุศลสักที ตอนอาฆาตพยาบาทแรงอยู่ ใครให้บุญก็ไม่เอาหรอก หยิ่งอ่ะ แต่พอรู้ตัวว่าจะต้องไปเพราะหมดวาระกรรมต่อกันก็เกิดโลภขึ้นมาอีก กลัวไปอดตายข้างหน้า ก็เลยคอยจี้ให้เราทำบุญให้อยู่เรื่อย ไม่งั้นไม่มีทุนเดินทางต่อ เพราะตอนเป็นคนไม่เคยคิดสะสมบุญกุศล สะสมแต่ความโกรธความพยาบาท พอตายไปก็เลยหาทุนไม่ได้ เหมือนคนนั่นแล ฮ่าๆ พี่เพ็ญรู้ทัน นายไม่ต้องมาทำเก่งเลยเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย เราแผ่เมตตาขอให้ทุกท่านไปดีก็แล้วกันนะ โชคดี บ๊าย บาย
    <O:p
    เกือบลืมการบ้านอีกเรื่อง ฝันว่ามีผู้ใต้บังคับบัญชาคนนึง (ในชีวิตจริงเหลายคนบ่นเรื่องคนนี้ โดยเฉพาะสัปดาห์ที่แล้ว) เถียงเรา ในฝันเราโกรธ ว่าเขาอย่างรุนแรงแล้วให้ออกจากงาน (เล่าไปเล่ามา ถ้าจิตไม่ยก สงสัย web นี้ไม่มีคนคบแน่นอน เธอออกจะร้ายซะขนาดนี้ฮือ ฮือ) แต่จริงๆ คงไม่ไปว่าใครแบบนี้ ฝันเสร็จตื่นมา เริ่มจะเช้าแล้ว<O:p
    พี่เพ็ญค่ะ ไม่ทราบว่านี่เป็นอวิชชาที่ยังหลงเหลืออยู่หรือเปล่าค่ะ

    ยังไม่ถึงอวิชชาเลยค่ะคุณหมอ ถึงแค่มานะอยู่ แต่รู้สึกว่าฟุ้งจะผ่านแล้วนะ พอสติมาฟุ้งก็เบาลงไปแล้วใช่ไหมคะ แต่ที่ยังเห็นเป็นตัวเป็นตนอยู่เนี่ย คือ มานะยังไม่ตาย 555

    จิตจะไปตัดอวิชชาตัวสุดท้ายได้ต้องผ่านมานะสังโยชน์ก่อนค่ะ ถ้าไม่ทำลายมานะสังโยชน์ จิตจะยังไม่วิปัสสนาเรื่องอวิชชา เพราะเป็นกิเลสละเอียดกว่ามานะสังโยชน์มากค่ะ บางทีสิ่งที่เป็นอวิชชาอาจจะไม่ใช่กรรมหรือกิเลสที่เกิดอยู่ในชาตินี้ ต้องอาศัยญาณขั้นสูงสุดเพื่อให้จิตเห็นอวิชชาตัวสุดท้าย แต่ถ้ายังมีมานะสังโยชน์อยู่ จิตจะยังมีอัตตาขวางกั้นอยู่ค่ะ

    ให้หมั่นพิจารณาตามที่พี่เพ็ญแนะนำไว้นะคะ

    ถาม ร่างกายเป็นของเรารึ?
    ตอบ ร่างกายไม่ใช่ของเราพระพุทธเจ้าข้า

    ถาม ถ้าร่างกายไม่ใช่ของเราแล้วมานะเป็นของเรารึ?
    ตอบ มานะไม่ใช่ของเรา มานะเป็นของร่างกายพระพุทธเจ้าข้า


    ถ้ากายนี้ต้องตายลงเมื่อ มานะก็ไม่เหลือเหมือนกันนะจ๊ะ ยังมีใครอยากจะแบกมานะไป นรก สวรรค์ พรหม นิพพานอีกไหม๊ค๊า บนสวรรค์ พรหม เขาไม่เรียกว่า "มานะ" หรอก ท่านเรียกว่า "ศักดิ์ศรี" กับ "บารมี"

    ส่วนนรกคงไม่ต้องบอกก็ได้มั้งว่าดวงจิตที่จมอยู่กับความทุกข์ตลอดเวลาจะมีเวลาที่ไหนมาสร้างอัตตามานะกันอีกไหม

    ดังนั้น มานะ มีอยู่แต่ในขันธ์ห้าของชาวโลกนี้เท่านั้นนะจ๊ะ(โลกอื่นไม่เกี่ยว) ถ้าต้องมาเกิดเป็นคนอีกเมื่อไร อัตตามานะตามมาทันที เพราะมานะยังไม่ตาย 555

    ขอให้เจริญสุขและเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงซึ่งนิพพานโดยเร็วพลันในชาติปัจจุบันนี้เทอญ

    พี่เพ็ญ จบ.3
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอขอบใจและโมทนาสาธุกับคุณลูกพลังด้วย
    โดยเฉพาะกับคำว่า
    "คม ชัด ลึก"
    ฮ่าๆ
    ชื่อนี้เป็นชื่อของนสพ.ฉบับหนึ่ง ไม่ใช่หรอ
    คมชัดลึกอันโน้น เขารายงานข่าวความเคลื่อนไหวทางโลก
    แต่คมชัดลึกอันนี้ เรารายงานความเคลื่อนไหวของจิตตนเองเป็นหลัก

    ขอบคุณมากครับคุณลูกพลัง ที่ช่วยยกหางผมซะสูงเลย ดีนะที่จิตผมมันไว
    ถ้าเมื่อก่อนนะ ตัวลอยไปแล้ว ใครมายกหางชอบใจใหญ่
    แต่ตอนนี้เราเลยอันนั้นไปไกลแล้ว ก็เลยรู้สึกเฉยๆ

    แต่จริงๆแล้ว ผมเปิดเพื่อมาทำหน้าที่กันเท่านั้น เพื่อท่านพ่อ
    เราไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่นเลย
    แต่ถ้าไม่มีอะไรดลใจให้เปิดกระทู้นี้ ป่านนี้ผมไปแอบสุข แอบอิ่มอยู่คนเดียว
    ไปตั้งนานแล้ว ไม่ดีกว่าหรือ?
    ที่ทำไปเพราะมีเมตตามากกว่า อยากให้พวกเรายกจิตกันเยอะๆ
    จะได้รู้ว่า จิตยกกับจิตไม่ยกนั้น มันแตกต่างกันอย่างไร
    ผู้ที่ยกแล้วก็จะตอบตนเองได้ แถมตอบผู้อื่นก็ได้ด้วย
    แต่ผู้ที่ยังไม่ได้ยกจิตกันนี่สิ ก็ยากที่จะอธิบายว่าความรู้สึกมันเป็นเช่นไร
    เราจะไม่ไปโทษใคร ไม่โทษกรรมของแต่ละคนที่ผ่านมากัน
    แม้นกระทั่งตัวผมเองก็ยังหลงมาเกิดเหมือนกับพวกเราทุกคนนี้แหล่ะ!
    แต่ใครจะไปเกิดกันต่ออีกหรือไม่ ไม่มีใครตอบได้
    แต่ถ้าจิตเราไม่ได้อยู่เหนือขันธ์5 เหนือโลกกันนั้น ก็ตอบยาก
    เพราะจะต้องกลับมาเกิดเป็นแน่แท้ สำหรับผู้ที่ไม่ยอมฝึกจิตให้หลุดพ้น

    ผู้ปฎิบัติธรรมก็มีจำนวนมาก แต่ผู้ที่เข้าไปถึงกระแสจิต กระแสธรรมกันจริงๆนั้น มีน้อยมาก
    ส่วนใหญ่เห็นปฎิบัติกันเอาแต่เปลือกภายนอก หรือจิตเข้าไปกันได้แค่อามิสบูชาเท่านั้น
    สำหรับผู้ที่อยากจะไปพระนิพานกันชาตินี้ ขอให้พวกเราเข้าให้ถึง
    ปฎิบัติบูชากันเท่านั้น หรือ เราเรียกกันว่า บวชใจ
    หรือ เดินสายอริยมรรค(ศีลสมาธิปัญญา)เท่านั้น
    นอกนั้นไม่ใช่ นอกนั้นคือ เปลือกนอก

    สำหรับผู้ที่ชอบยึดตำรา ท่องเป็นนิจ ใครพูดอะไรไม่ได้ตนเองจะรู้ไปหมด
    รู้ไม่เท่าไหร่ รู้แล้วแต่ไม่ยอมปฎิบัติให้สำเร็จกันนี่สิ แถมนำพระธรรมของพระพุทธองค์ไปห่ำหั่น/ถกเถียงกันทางเน็ตอีก
    และท้ายที่สุดก็มาทะเราะกัน สร้างกรรมต่อเนื่องก็ยังไม่รู้ตัวกันอีก เห่อๆ
    อย่างนี้ใครจะไปสอนท่าน นอกจากปัญญาของตนเองเท่านั้น

    เวลาอ่าน/ท่องจำกันมา คอยสังเกตดูให้ดีๆว่า จะชอบอ้างว่านำมาจากพระไตรปิฎกข้อโน้น ข้อนี้
    ถามว่าท่านไปนำเอาความรู้มาจากที่อื่น นั่นก็หมายความว่า ท่านกำลังไปยอมรับผลของผู้อื่น
    หรือท่านกำลังนำปัญญาของคนอื่นมาใช้แล้ว
    พวกเรากำลังมาเรียนรู้ธรรมะกันนะ ไม่ใช่มาเรียนรู้วิชากฎหมาย
    เที่ยวมายกมาตรา/มาตราทวิอ้างอิงกัน
    แต่ทางธรรมเขาเน้นให้ปฎิบัติ เน้นใช้ปัญญาของตนเองเป็นหลัก
    ขนาดพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่สรรเสริญให้พวกเราต้องเชื่อหรือไม่เชื่อทีเดียว
    ก่อนที่เราจะลงมือปฎิบัติ ท่านให้ทุกคนมาพิสูจน์ด้วยตนเอง
    ตามหาความจริงกันเอง ในพระธรรมของพระพุทธองค์นั้น
    ท่านให้มาปฎิบัติเอง เราจะได้รู้เอง เห็นเอง เป็นเรื่องปัจจัตตัง
    เพราะปัญญาในทางธรรมนั้น ได้มามาจากการฝึกสติก่อน
    แล้วนำสติไปฝึกจิตตนเองทีหลัง เมื่อฝึกจิตจนจิตนิ่ง จิตก็จะเกิดสมาธิ
    เมื่อจิตเกิดสมาธิ เกิดฌานนั้น ปัญญาก็จะเกิดกับจิตผู้ปฎิบัติท่านนั้นเอง
    ขอโทษผมก็พูดไปใหญ่โตเลย

    สรุปแล้วผมและครูทุกท่าน ท่านมีแต่ให้ ท่านมีความเมตตากับทุกคน
    ไม่อยากเห็นพวกเราเป็นทุกข์ ที่จิตหลง เพราะจิตตกไปอยู่กับกิเลส
    ตนเองเท่านั้นที่จะต้องช่วยจิตตนเองให้ออกมาจากตรงนั้นเอง
    ครูที่นี่กำลังชีแนะแนวทาง หลักการปฎิบัติให้ถูกต้อง ถูกทาง
    เดินให้ตรงมรรควิธี ขอให้ปฎิบัติก่อนแต่ถ้ามีความสงสัยอะไรจึงถามทีหลัง
    ครูก็จะอยู่เป็นกำลังใจ และกำลังรอให้คำตอบ ให้ความกระจ่างกับทุกท่านกันอยู่แล้ว
    ถูกจริตกับธรรม ถูกจริตกับครูท่านไหนก็ลองตามไปเกาะท่านดูนะครับ
    แถมเปลี่ยนครูไปให้ครบทุกคนก็ตามใจ
    ครูที่นี่ไม่ไปยึดลูกศิษย์หรอกนะ อย่าเข้าใจผิด
    เพราะครูที่นี่คิดอยู่อย่างเดียวคือ จะช่วยยกจิตพวกเราให้มากที่สุด
    หรือยกจิตให้ไวที่สุด จะทำอย่างไร เท่านั้นเอง
    นอกนั้นครูทุกคนไม่ได้ต้องการอะไรจากผู้ปฎิบัติเลย
    ครูที่นี่ทำเพื่อท่านพ่อ ทำเพื่อลูกหลานของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
    และลูกหลานครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะลูกหลานของสายหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เป็นต้น


    ***วันเข้าพรรษานี้
    ไม่ใช่ทำบุญกันเฉพาะ แค่วันเข้าพรรษาอย่างเดียวเท่านั้น
    ขอให้พวกเราบวชจิตกันไปให้ได้ตลอดเวลา(มากๆ+นานๆ)
    จิตท่านจะได้อยู่แต่ฝ่ายบุญ กุศล และบารมีไปให้นานที่สุด

    นำจิตออกจากร่างกายตนเองให้ได้เสียก่อน(ละสักกายทิฎฐิ)
    แยกกาย แยกจิตให้ชัดเจน สอนจิตอย่าไปยึด ไปหลง
    โดยการเดินตามทฤษฎี หลักการ(พระธรรม)ให้ได้ ให้ถูกเสียก่อน
    กล่าวคือ จะต้องเดินตามรอยอริยมรรค(ศีล/สมาธิ/ปัญญา)เท่านั้น
    จิตเราจึงจะตั้งอยู่เหนือขันธ์5 หรืออยู่เหนือโลกกันได้

    อย่าลืมนำจิตของตนเองไปฝากไว้พระพุทธเจ้าดูแล
    โดยนึก ระลึกถึงพระพุทธเจ้าให้มากๆ เป็นการกตัญญูกับท่านด้วย
    ขอให้ยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งทางใจสูงสุดของพวกเรากันด้วย
    สาธุๆ ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 สิงหาคม 2012
  16. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    พอดีอ่านเจอครับ เห็นว่าน่าจะมีประโยชน์เลยนำมาpostต่อครับ
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำตอบปัญหาเรื่องศีล

    เหยียบสัตว์เล็กๆ หรือปัดยุง
    ผู้ถาม ถ้าเราเดินไปเหยียบสัตว์เล็ก ๆ หรือปัดยุงแล้วไปโดนยุงตาย อย่างนี้ศีลจะขาดไหมคะ.....?
    หลวงพ่อ ถ้าเป็นสัตว์เล็ก ๆ เดินไปเราไม่เห็น บังเอิญเราไปเหยียบตายอย่างนี้ศีลไม่ขาด หรือสัตว์เล็ก ๆ มันมาเกาะกินเลือดของเรา เราไม่คิดจะฆ่ามัน
    ถ้ามันเกาะนานเกินไปก็ค่อย ๆ เอามือลูกให้มันหนีไป แต่บังเอิญมันหนีไม่ทัน ไปถูกมันตาย อย่างนี้ศีลไม่ขาดเพราะไม่มีเจตนาจะฆ่า

    รักษาศีล ๘ ดู ที.วี.
    ผู้ถาม รักษาศีล ๘ ดู ที.วี. ได้หรือเปล่าคะ......?
    หลวงพ่อ ดู ที.วี.ได้ แต่ห้ามเต้นตาม ที.วี. เดี๋ยว ๆ อีหนู เอ้าอย่ารำคนเดียวซิ ข้าจะช่วยรำ เสร็จ เต้นไปเต้นมา ที.วี.เลิกเมื่อไหรไม่รู้เต้นเพลิน ดู ที.วี.ความจริงก็ไม่เป็นไร ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติกรรมฐาน ดูได้ทุกอย่าง ดูอย่างนักกรรมฐานดูนะ ถ้าเป็นละครชีวิต มีสุขบ้างมีทุกข์บ้าง ทะเลาะกันบ้าง ก็ดูว่าภาวะอันนี้เป็นความจริงของโลก คนที่เกิดมาในโลก ถ้าเราเกิดมามันต้องประสบอาการอย่างนี้ เวลานี้เขาทะเลาะกันให้เราดู เขาแสดงการทะเลาะ เรายังไม่ได้ทะเลาะ สักวันหนึ่งข้างหน้าเราอาจจะทะเลาะกับใครก็ได้ อย่างที่เขาเรียกว่า ดูเป็นกรรมฐาน

    ศีล ๕ ไม่บริสุทธิ์เจริญพระกรรมฐาน
    ผู้ถาม หลวงพ่อคะ คนที่มีศีล ๕ ไม่บริสุทธิ์ ถ้าจะเจริญพระกรรมฐานจะได้ผลไหมคะ....?
    หลวงพ่อ ถ้ามีศีล ๕ ไม่บริสุทธิ์เจริญไปก็ไม่มีผล ถ้าถามว่าทำไม ก็เพราะว่ายังลงนรกอยู่ เจริญสมาธิเท่าไร มันก็ไม่พ้นนรก เพราะศีล ๕
    นี่มันปิดทางนรก ถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่งตัวที่ขาด นี่มันจะเข้ามาขวางเวลาที่เราจะตายเป็นกรรมที่เป็นอกุศล

    รักษาศีล ๖ ศีล ๘
    ผู้ถาม ฆราวาสถือศีล ๖ ได้ไหมคะ.......?
    หลวงพ่อ ได้ ศีล ๑ ยังได้เลย ศีลข้อที่ ๖ อะไรล่ะ.....?
    ผู้ถาม วิกาลโภชนา ค่ะ แต่ว่าหนูทำงานเลิกเที่ยงแล้วอย่างนี้จะรักษาศีลข้อนี้ได้
    ไหมคะ.....?
    หลวงพ่อ ถ้าเที่ยงแล้วเรายังไม่เลิกงาน ก็ถือว่าเราจะกินข้าวไม่เกินบ่ายโมง หรือบ่ายสองโมง ตั้งเวลาไว้เลย ใช้ได้ ไม่ใช่ ๒ ชั่วโมงกิน ๆ ก็ต้องคิดเหมือนกัน
    ผู้ถาม ถ้าหากเป็นพระ ฉันอาหารเลยเที่ยงได้ไหมคะ.........?
    หลวงพ่อ เวลาเดิมของพระจริง ๆ ตามวินัยนี่ มันไม่ใช่เลิกฉันเที่ยง พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าพระอาทิตย์ตรงศีรษะเริ่มฉันได้ แต่อย่าให้ เงาพระอาทิตย์เลย ๒ นิ้ว ความจริงท่านสั่งฉันเที่ยง แต่เงาเลยไป ๒ นิ้ว ไม่ได้ ๒ นิ้วไม่ใช่น้อยนะ มาตอนหลังเลื่อนเข้ามาฉัน ๕ โมงเลิกเที่ยงเวลานี้ไปถือตามพระวินัยแบบนั้น ชาวบ้านเขาถือว่าเลยเวลาเที่ยงไปแล้วฉันไม่ได้ หากว่าพระกินเลยเวลา
    ผู้ถาม ที่จริงหนูอยากถือเพิ่มอีกหนึ่งข้อ คือข้อ นัจจคีตะวา แต่ว่าหนูยังชอบดู ที.วี. อยู่คะ"
    หลวงพ่อ ดู ที.วี. ก็ดูอย่าง พระโมคคัลลาพระสารีบุตร ดูมหรสพซิ ดูไปก็คิดว่าไอ้นี่มันทุกข์ ชีวิตของมนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ พยายามพิจารณาบ่อยๆ ถ้าจะให้ดีก็ถือให้ครบ ๘ เลย เพิ่มข้อมาลาคันธะ ไปด้วย
    ผู้ถาม รู้สึกว่าหนูจะทำไม่ได้ค่ะ เพราะว่ายังแต่งตัวทาหน้าอยู่ค่ะ
    หลวงพ่อ ก็ให้ถือว่า การเอาแป้งทาหน้า น้ำหอมใส่ตัวนี่เราทำเพื่อสังคม ถ้าในสังคมนั้น ๆ จำจะต้องแต่งตัวกันอย่างนั้นก็แต่งไป เราไม่แต่งเพื่อกิเลส
    เราแต่งเพื่อความเหมาะสมในสังคม เพื่อความไม่เก้อเขิน ถ้าจิตเราตั้งอยู่แบบนี้ ศีลมันไม่ขาด
    ผู้ถาม แล้วข้อที่ห้ามนอนที่นอนสูงใหญ่ แต่ว่าพื้นที่นอนเป็นหินอ่อน เราเอาผ้าห่มรองตัวอย่างนี้ได้ไหมคะ...?
    หลวงพ่อ ได้...ที่นอนสูง ที่นอนใหญ่ยัดด้วยนุ่นและสำลี อันนี้เขาป้องกันความลุ่มหลง ความฟุ่มเฟื่อย ถ้าจิตมันไม่คิดไปในด้านกิเลศ ฉันว่าทำได้ ไม่เห็นแปลก"ศีล ๘ นี่เป็นตัวธรรมะเสีย ๔ ข้อ เป็นตัวศีลเสีย ๔ ข้อ ถ้าผิดข้อปาณา,อทินนา,มุสา,สุรา ลงนรกแน่ แต่ตัวธรรมะคืออพรัหม,วิกาล,นัจจคีตะวา, มาลาคันธะ,อุจจาสยนะ ถ้าพลาดมันไม่ลงนรกนะ
    ข้ออพรัหมจริยาเวรมณี ถ้าเราละเมิดเฉพาะสามีภรรยาของเรา ไม่ได้ประพฤติล่วงเกินสามีภรรยาผู้อื่น ไม่ได้ขาด กาเมตัวนี้เป็นธรรมะ ข้อวิกาลโภชนาเวรมณี ข้อนี้เราไม่ได้ฆ่าสัตว์ มันบาป ที่ไหนล่ะ
    ข้ออุจจาสยนะ คือ ไม่นอนในที่นอนสูง ที่นอนใหญ่
    ข้อมาลาคันธะ คือ ไม่ทัดดอกไม้และของหอม อันนี้ทำได้ทำอะไรใคร

    โกหกสามี
    ผู้ถาม หลวงพ่อคะ ดิฉันไปซื้อดอกไม้แถวสนามหลวงราคา ๑๕๐ บาท พอกลับถึงบ้าน บอกกับสามีว่าต้นไม้ราคา ๕๐ บาท ที่บอกอย่างนั้นเพราะเกรงว่าสามีจะดุเอา ตอนหลังมานึกดูรู้สึกเสียใจค่ะ ไม่น่าโกหกเขาเลย อย่างนี้ศีลจะขาดไหมคะ.....?
    หลวงพ่อ อย่างนี้เป็นการรักษาประโยชน์ไว้ ไม่ได้ทำลายประโยชน์ ข้อมุสาวาท จะขาดมันต้องทำลายประโยชน์ของบุคคลอื่น แต่นี่เป็นการพูดเพื่อรักษากำลังใจเขา มันมีประโยชน์แต่ว่าไปโกหกอย่างอื่นเอาเรื่องนะ อย่างเช่น ของเลวบอกว่าของดี ของราคาถูกบอกของราคาแพง อันนี้มันทำลายประโยชน์

    ค้าขายอาวุธ - จำหน่ายสุรา
    ผู้ถาม หลวงพ่อครับ การเป็นตัวแทนจำหน่ายสุรา ศีลขาดไหมครับ.......?
    หลวงพ่อ สุรา เขาห้ามกินนนะ แล้วคุณกินหรือเปล่าล่ะ...?
    ผู้ถาม เปล่าครับ
    หลวงพ่อ ไม่กินก็ยังไม่ขาด พระพุทธเจ้าบอกว่ามันเป็น มิจฉาวาณิชชา แปลว่าไม่ควรขายของที่มันผิดศีล
    ผู้ถาม และถ้าหากว่าค้าขายอาวุธ ศีลจะขาดไหมครับ..........?
    หลวงพ่อ ถามว่าศีลขาดไหม ก็ขอตอบว่า ศีลไม่ขาด ถ้าเป็นอาวุธเราไม่ได้ไปฆ่าเขา คนอื่นเขาเอาไปฆ่าก็เป็นเรื่องของเขา แต่มันเป็นสิ่งที่ไม่ควร

    เอาเหล้ามาผสมเพื่อเป็นกระสายยา

    ผู้ถาม หลวงพ่อครับ ถ้าหากเอาเหล้ามาผสมเพื่อเป็นกระสายยา ดื่มเข้าไปแล้วศีลจะขาดไหมครับ......?
    หลวงพ่อ อย่างเอามาผสมเป็นกระสายนี่ ถ้าไม่ปรากฏรส ปรากฏกลิ่น นี่ไม่มีโทษ แต่ประเภทกินยาดองใช้ยา ๑ ช้อนกาแฟ ผสมเหล้า ๑ ไห อย่างนี้ไม่ผิดศีล
    ชนศีลพังไปเลย อย่างนี้ให้อภัยไม่ได้
    ผู้ถาม ถ้าหากว่าผสมตามสูตรเล่าคะ คือว่าไม่ใช้ยา ๑ ช้อน เหล้า ๑ ไห นะคะ
    หลวงพ่อ ทำตามสูตรเขาไม่เป็นไร ไม่ผิดโยม พระเขายังไม่ห้ามเลย แต่ว่าต้องไม่ปรากฎรส ปรากฎกลิ่นนะ"
    การถือศีล ถ้าเคร่งเกินไปก็เดือดร้อน พระพุทธเจ้าท่านให้ปฎิบัติในทางสายกลาง หรือ มัชฌิมาปฎิปทา อย่าให้มันเป็น อัตตกิลมถานุโยค คือเบียดเบียนตนเกินไป ต้องดูแต่พอเหมาะพอดี พอควร ในอุทุมพริกสูตร พระพุทธเจ้าท่านตรัสกับนิโครธปริพาชก บอกว่า "จงอย่าทำลายศีลด้วยตนเอง อย่ายุยง ส่งเสริมบุคคลอื่นให้ทำลายศีล
    และจงอย่ายินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว" ท่านแนะนำอย่างนี้นะ



    ศีลบริสุทธิ์

    ผู้ถาม แล้วอย่างชาวประมงที่เขามีอาชีพหาปลา โดยตรงจะทำยังไงล่ะครับ....?
    หลวงพ่อ อาชีพเขาจริง แต่เวลาที่ก่อนจะตาย เขาคิดถึงบุญกุศล อย่าง ท่านสุปติฏฐิตะเทพบุตร เห็นไหม ทำชั่วทุกประตูเลย วันดีไม่ละวันพระไม่เว้น
    พอจะตายขึ้นมา นึกถึงพระพุทธเจ้าขึ้นมา ไปเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ แล้วก็พบพระพุทธเจ้าอีกทีหนึ่ง ฟังเทศน์จบเดียวเป็น พระโสดาบัน

    ***จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม
    ฉบับพิเศษ เล่ม ๑
     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    กำลังใจ

    อะไรคือสำคัญสำหรับนักภาวนา หรือผู้ปฎิบัติธรรม
    ตอบว่า กำลังใจ
    ทำไมคนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงปฎิบัติบูชา(ทำบุญภายใน) แค่อามิสบูชา(ทำบุญภายนอก)
    ตอบว่า กำลังใจ
    ทำไมคนส่วนใหญ่อยากไปพระนิพพาน แต่ไปไม่ได้ ไปไม่ถึง
    ตอบว่า กำลังใจ

    ***กำลังใจ แปลว่า บุญ หรือบารมี (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    สตังค์ไม่พอขอคุณพ่อ สตังค์ไม่พอขอคุณแม่
    แต่ถามว่ากำลังใจไม่พอจะไปขอใคร ขอคุณพ่อคุณแม่ หรือขอจากแฟนจะได้ไหม?
    ตอบว่า ไม่ได้ เพราะกำลังใจนี้ไม่ได้หมายถึง กำลังใจทางโลก(เป็นโมหะ)
    แต่กำลังใจในที่นี้หมายถึง บุญหรือบารมี และทำแทนกันไม่ได้ด้วย
    เพราะการทำบุญจึงเปรียบเสมือน ใครทำใครได้ ใครกินใครอิ่ม

    ***ด้วยเหตุนี้เองที่ผมและครูเพ็ญจึงตัดสินใจรับผู้ปฎิบัติจิตเกาะพระได้เฉพาะผู้ที่รักษาศีล5ครบบริบูรณ์ เป็นอย่างต่ำ

    การตัดสินใจให้ปฎิบัติจิตเกาะพระนี้ก็มิได้รังเกียจผู้ปฎิบัติที่ศีลไม่ครบแต่อย่างใด
    เพราะเวลาปฎิบัติจิตเกาะพระกันไปจริงๆแล้ว มันจะไม่ค่อยเจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร
    ไม่ว่าคุณจะเจริญกรรมฐานข้อไหน ก็จะเหมือนกันหมด ลองทำดูกันได้
    แต่ผมกับครูเพ็ญไม่เอา เพราะมันจะทำให้เสียเวลาทั้งผู้ให้และผู้รับ
    จึงตัดสินใจเด็ดขาดว่า ไม่รับสอนผู้ที่ไม่รักษาศีล5 เป็นอย่างต่ำ
    พวกเรายึดเอาตามแนวเจริญรอยอริยมรรควิธีที่ถูกต้อง(ศีล สมาธิ ปัญญา)
    ในเมื่อพวกเราจะมาทำบุญใหญ่กันทั้งที พวกเราก็อย่าละเลยเรื่องศีลตนเอง
    อย่ามองศีลเป็นเรื่องเล็กน้อย ถึงคุณปฎิบัติไป ในเมื่อใจของเราเองยังเป็นสัตว์นรก จิตยังไม่บริสุทธิ์ในเบื้องต้น
    ผู้เริ่มปฎิบัติธรรม จะต้องผ่านกาารชำระล้างจิตเบื้องต้นกันก่อน
    เหมือนเราล้างมือให้สะอาดก่อน รับประทานอาหาร
    ถ้าไม่สำคัญจริงๆ พระพุทธเจ้าท่านไม่เรียงตามลำดับให้หรอก
    ศีล สมาธิ ปัญญา นี่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา จริงหรือไม่?
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านก็เคยกล่าวว่า แค่ศีลหยาบ(ศีล5)ยังรักษากันไม่ได้
    ก็ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องมรรคผลกับคนนั้นแล้ว(กำลังใจยังไม่ถึง)
    โดยเฉพาะเรื่อง พระนิพพาน ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกันแล้ว
    คำว่า พระนิพพานไกลเิกินเอื้อมสำหรับผู้ไม่ยอมรักษาศีล5 ก็น่าจะเป็นจริง

    ในเมื่อผู้ปฎิบัติอยากจะไปพระนิพพานชาตินี้ แต่ไปไม่ได้ ไปไม่ถึง
    เพราะว่า ติดกำลังใจตนเอง ไม่พอ
    แล้วทำไมพวกเราไม่สร้างกันหล่ะ! กำลังใจที่ หมายถึงบุญ บารมีนี้
    สามารถสร้างกันได้ แต่ต้องสร้างกันตอนนี้เลย
    สำหรับมนุษย์ที่มีข้ออ้างมากมาย แล้วชาตินี้จะได้ไปกันไหม
    เพราะถือว่าไม่ตั้งใจ ไม่มีความเพียร อันนั้นใครจะไปช่วยได้
    เพราะการปฎิบัติต้องยึดถือ คำว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
    ปฎิบัติธรรมแทนกันไม่ได้ บรรลุธรรมแทนกันไม่ได้

    ต่อไปนี้ผมกับครูเพ็ญจะไม่พูดเรื่องศีล เรื่องกำลังใจกันอีกแล้วนะ

    ที่มาของ คำว่า กำลังใจ
    1.(กำลังใจน้อย) เริ่มต้นจากการทำบุญ ทำทานเล็กๆน้อยๆไปก่อน
    2.(กำลังใจขนาดกลาง) ฟังเทศน์ ฟังธรรม อ่านหนังสือธรรมะ สวดมนต์ไหว้พระ สวดท่องคาถาต่างๆ
    3.(กำลังใจขนาดมาก/บุญมาก) การเจริญสติภาวนา(ทำสมาธิ) กองใดกองหนึ่งจากกรรมฐาน 40 กอง​


    ครูเพ็ญผมขออนุญาตฉายหนังซ้ำก่อนนะ​
     
  18. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    การบ้าน คืน 3 08 55

    มาพิจารณาต่อ หลังส่งการบ้านในกระทู้ สรุปได้ว่า ทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบมีสาเหตุเดียวคือ มาแสดงตัวอย่างไรต่ออัตตาของเรา ถ้ามาเป็นพวกเรา ดีกับเรา เราก็ชอบ ถ้ามาทำอะไรไม่ดืกับเรา เราก็ไม่ชอบ เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง พอพิจารณา ไป ตอนนี้ไม่เห็นใครที่ไม่ชอบ กลับสงสารบางคนด้วยซ้ำ เพราะเราตอบโต้ทุกคน บาดเจ็บด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ถ้าเกิดอีก คงต้องรับกรรมที่ตัวเองก่อไว้ หรือกรณืล้างแค้นกันข้ามชาติ ก็ทุกข์กันชาติเดียวไม่พอ อยากจะทุกข์หลายๆชาติ ไม่เอาแล้ว และไม่เห็นใครที่ชอบ มีแต่เฉยๆ แต่อาจเหลือเพื่อนสนิท ถ้ามีก็น้อยแล้ว ไว้ดูต่อพรุ่งนี้อีกครั้ง


    4 08 55

    ตื่นมาพิจารณาเพื่อนสนิทอีกครั้งก็คิดว่าเฉยๆ


    เช้านี้ไปวัด ไปเกือบไม่ค่อยทันเวลา ขับรถตามรถคันหน้า ขับช้า แซงไม่ได้ ทางโค้งเยอะ ก็ไม่ได้หงุดหงิด หรือ รำคาญ

    นั่งสมาธิอยู่ มีพี่ที่รู้จักมาเรียก ชวนคุย บ่นคนอื่นให้ฟัง ก็ไม่ได้ร่วมไปด้วย หลับตา ชวนคุยอีก ก็ลืมตามาพูดด้วยไ ม่ได้หงุดหงิด หรือ รำคาญ แต่อยากนั่งสมาธิ เพราะเดี๋ยวต้องกลับไปทำงาน


    ขากลับแวะซื้ออาหาร รอนาน แถมโดนแซงคิว แต่เฉยๆ

    จริงๆคิดจะไปซื้อเจ้าถัดไปเพราะกลัวไปทำงานสาย แต่ไม่อยากให้แม่ค้าโกรธ เดี๋ยวเขาจะเดือดร้อน เลยรอต่อ


    เมี่อวานจะซื้อผลไม้ แต่พอจะซื้อไม่ไช่แบบที่ต้องการ เลยตัดสินใจไม่เอา แม่ค้าโกรธ เลยจะต้องระวังมากกว่านี่

    พี่เพ็ญค่ะ นิสัยเลือกมาก จริตนี้จะหายไปไหมถ้าจิตยก เห็นว่าเป็นทุกข์กับมันมามาก


    แม่ค้าที่ซื้ออาหาร ตอนทอนเงิน เห็นว่าเขาเป็นเชื้อราที่เล็บ ถ้าเป็นก่อนนี้อาจต้องคิดจะทำอย่างไรกับอาหารนี้ แต่วันนี้ไม่กังวล



    ขับรถมาที่ทำงาน มีรปภ ที่ประตูถ้าไม่มี sticker โดนตรวจ ทุกทีจะรู้สึกยืดอก เพราะรู้สึกว่า ชั้น staff นะจ๊ะ วันนี้เหมีอนมีเงาๆในจิตวูบขึ้นมา แต่ไม่รู้สึกเหมือนทุกครั้ง


    เห็นรถคนรู้จักคลุมที่คลุมรถไว้ วูบขึ้นมาว่าทุกข์เพราะสมบัติ


    เดินมามีลูกศิษย์ยกมือไหว้ เห็นความตั้งใจไหว้ของบางคน เห็นเข้าไปในจิตเราเอง รุ้สึกยกมือรับไหว้จากข้างใน ไม่ใช่ตามมารยาท


    ในคลินิคพยายามแยกกายแยกจิต พอได้ มีติดๆบ้าง พยายามนึกถึงพระไว้ตลอด ตอนพิมพ์นี้ เพิ่งพบว่าแค่นึกเฉยๆก็ได้ ก็เกิดปิติเหมือนกัน ใหม่ๆเอาจิตไปหาพระข้างนอก หลังๆมองย้อนไปในจิต ถ้าอย่างนี่แยกกายแยกจิตจะง่ายขึ้น กายไม่สะดุดเพราะไม่ต้องไปกำหนด แค่นึกเฉยๆ


    เขียนข้อมูลคนไข้เสร็จ หันมาจะตรวจ ก็วูบมาในจิต เห็นเหมือนเป็นมือซ้ายจะวางอะไรลง และมีเสียงว่า วางโลก แต่รู้สึกเฉยๆ ก็ทำงานต่อ

    ขณะทำก็เห็นไตรลักษณ์ สภาพนี้ ไม่เที่ยง ทนไม่ได้ เดี๋ยวก็หายไป ถ้าอยากพิจารณาก็พิจารณาได้ทุกที่


    เจ้าหน้าที่มาบอกคนไข้คนสุดท้ายไม่มา ห้วเราะดีใจแต่ปาก ใจเฉย จะรีบกลับมาส่งการบ้าน

    หามือถีอไม่เจอ ปากก็ว่าเอ๊ไปไหน แต่ใจเฉย สภาวะแบบนี้เห็นตั้งแต่เมื่อวาน หัวเราะ แต่ใจเฉย ว่าแล้วต้องโดน เรื่องศีล 8 ขอกราบงามๆ สำหรับไม้หน้าสาม ท่านใดยังไม่อ่าน พี่ภูวิเคราะห์สภาวะที่เกี่ยวข้องได้ครอบคลุมมาก


    คนไข้เด็กของคนอื่นร้องดังลั่นมาก รุ้สึกเฉยๆ และเห็นว่า เด็กคนนี้จะต้องร้องไปอีกเท่าไรในวัฎฏสงสารนี้


    กำลังจะเลือกอาหารเผ็ดว่าจะเอาผัดเผ็ดหรือทอดมัน จิตบอกผัดเผ็ด จำได้ว่าอร่อยกว่า ตกม้าตายเลย

    แต่ตอนทานก็ไม่เห็นว่ายินดี แต่ยังไม่แน่ใจ ค่อยดูใหม่


    ขอบคุณค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2012
  19. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ช่วงนี้พี่เพ็ญตามดูจิตคุณหมออยู่ตลอดค่ะ กับจิตอนาคามีทุกท่าน
    อย่านึกว่าพี่เพ็ญไม่เห็นตอบการบ้านแล้วจะไม่รู้นะว่าจิตใครเป็นยังไง
    ถือไม้เรียวรออยู่นะเนี่ย
    ใครติดสุขติดเฉยระวังไม้เรียวจะปลิวไปกระทบก้น 555
    สำหรับคนอื่นจะยังไม่จี้ แต่จะตามไปเก็บ(ศพ)ทีหลัง อิอิ
    แต่ตอนนี้ขออนุญาตไปเข้าฌานสักแป้บบบบบบบค่ะ
    เดี๋ยวมาตอบการบ้านนะ
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาสาธุกับคุณwatjojoj ที่นำธรรมะมาเป็นธรรมาทานให้กับพวกเรา
    แค่คุณตั้งใจนำมาลงให้ คุณก็ได้สะสมบุญแล้ว
    พวกเราขอให้อยู่/ทำแต่ฝ่ายบุญ กุศลในทุกขณะจิต ในปัจจุบัน
    ผู้ปฎิบัติธรรมใหม่ๆ ศีลจะต้องนำหน้า คือศีล5ต้องครบก่อน
    ต่อไปให้หนักไปทางปฎิบัติแบบคุณหมอ
    แต่กรณีคุณหมอนี้ สงสัยท่านพ่อจะยกจิตสดๆเป็นตัวอย่าง
    ให้สำหรับพวกเรา ได้โปรดติดตามตอนต่อไป หนังใกล้จบแล้ว
    ที่หนังละครเรื่อง ดอกส้มสีทองยังติดกันงอมเลย
    เพราะคนที่ติดนั้น รู้ก็รู้ว่าเป็นหนังน้ำเน่า แต่คนส่วนใหญ่ก็ชอบดูกัน
    เพราะจิตคนส่วนใหญ่เขาไม่ได้ฝึกจิตกัน ก็ย่อมไหลไปกับกระแสโลก
    เป็นธรรมดา แต่จิตระดับอนาคามีท่านมักจะไม่ค่อยดูพวกนี้แล้ว
    เพราะจิตระดับนี้ จิตไม่ชอบไปกับทางโลก เพราะมันไม่มีความจริงใจ
    หาที่สงบไม่ได้ จิตมันรู้ไตรลักษณ์คล่อง

    ขอพูดเรื่องศีลต่ออีกนิดนึง
    สำหรับผู้ปฎิบัติธรรมใหม่ๆ อย่าลืมนะศีลต้องมาก่อน กอดไว้ให้ดี
    ต่อไปให้เน้นแก่น คือปฎิบัติลูกเดียว ไม่ต้องเงยหน้าหันไปมองทางโลก
    อันนี้จะไว มีความเพียรมากๆ
    ที่บอกว่าปฎิบัติมากๆนี่คืออะไร?
    บอกว่าให้สร้างสติตนเองให้มาก เพราะจิตจะรวมไว
    พอจิตรวมไว จิตก็จะเป็นสมาธิ จิตทรงฌาน จิตก็จะเกิดปัญญาทันที
    จิตเกิดปัญญาในขณะจิตทรงฌานอยู่นั้น แต่ถ้าพวกเราทรงฌานนานๆ
    อย่างต่อเนื่อง จิตจะเข้าสู่ความว่างได้ง่าย
    ในขณะจิตกำลังอยู่กับความว่างนานๆ จิตจะเริ่มวิปัสสนาของเขาเอง
    ตรงนี้ขอให้ผู้ปฎิบัติจำไว้ให้แม่นๆ เพราะจะไม่มีใครมาบอกกับเรา
    แบบละเอียดและเกาะติดสถานการณ์แบบพี่ภูกับครูเพ็ญหรอกนะ
    แต่ครูท่านอื่นก็กำลังสอนกันอยู่ในเมล์กันเฉยๆ

    ขอให้พวกเราจำประเด็นตรงที่จิตจะเข้าวิปัสสนาเองโดยอัตโนมัติอย่างไร
    เพราะจิตใกล้จะยก นั่นเอง
    ช่วงนี้จิตจะเข้าสู่ความเข้มข้นเป็นปกติ เห็นใบไม้ตกก็เป็นธรรมะไปหมด
    เห็นอะไรก็จะขยันพิจารณาธรรม รู้แล้วก็วาง ถูกหลักพระไตรลักษณ์แล้ว
    ขอให้เน้นอนัตตาเป็นหลัก ปัญญามากก็จะผ่านง่าย
    ถ้าคนเก่งแล้ว เขาจะพูดว่า นี่ไงที่คนมันหลงกันมาก ก็เพราะว่าจิตนะจิต(ไม่ใช่สติ)ยังมองไม่เห็นอนัตตา
    หรือจิตมองไม่เห็นเกิด-ดับ (ดับไม่มีเหลือเชื้อ)

    ***ขอให้ดูคุณหมอเป็นตัวอย่าง จิตท่านใกล้จะยก จิตจะขยันพิจารณาธรรมของเขาเองเป็นปกติ
    โดยที่เรา(สติ)ไม่ได้ทำอะไรเลยแค่ให้มีสติมากๆ

    ปกติผมจะไม่พูดเรื่องแบบนี้ทั่วๆไป เพราะพวกเราส่วนใหญ่ยังปฎิบัติกันไม่ถึง แต่ไม่เป็นไร ฟังไว้ก่อนก็ดี
    ลักษณะจิตที่จะทำวิปัสสนานี้ อาจจะทำขณะที่กายนอนหลับ
    หรือขณะใดขณะหนึ่งก็เป็นได้ เพราะจิตถือเป็นโลกแห่งทิพย์
    โลกทิพย์นี้จะไม่มีเวลา ระยะทาง แรงโน้มถ่วง ไม่มีกลางวันกลางคืน
    ไม่มีพระจันทร์ ไม่มีดวงอาทิตย์ ไม่มีเพศ ไม่มีวัย และจิตไม่มีเวลาหลับนอน

    พูดไปพูดมาทำท่าจะยาวอีก
    ขอถามหน่อยคุณwatjojoj ท่านติดกับครูท่านไหน? ทำเองมันช้านะ
    แต่มีข้อแม้นคือ จะต้องขยันส่งการบ้าน แต่ถ้าท่านไม่มีการบ้าน
    เพราะสติมันน้อยเกินไป สติก็เลยตามจิตไม่ทัน เราก็เลยไม่รู้จะเอาอะไรมารายงาน หรือไม่มีการบ้านส่งครู
    ที่ครูบอกให้พวกเราส่งการบ้านนี่เพราะว่า พวกเราจะได้มีสติกันเยอะๆ
    และครูก็จะได้รู้ว่าจิตพวกเราพัฒนาไปถึงไหนกันแล้ว
    ที่ครูให้ส่งการบ้าน คำว่า การบ้านนี้ก็คือ ให้พวกเราส่งรายงานเรื่องจิต
    เรื่องอะไรของจิต ก็คือครูเขาอยากทราบว่าอาการ+อารมณ์ของจิตพวกเราเท่านั้น ให้ผู้ปฎิบัติจำวิธีทำตรงนี้ให้ดีๆ
    ไม่ใช่ส่งการบ้านครูบอกว่า เมื่อวานผมไปดูหนังกับแฟนมา อันนี้ครูไม่อยากรู้หรอก
    แค่อยากรู้เรื่องจิตเพียงอย่างเดียว(อาการ+อารมณ์ของจิต)
    โดยเฉพาะที่มีสิ่งต่างๆมากระทบจิตของตนนั้น ว่า อาการหรืออารมณ์ของจิตนั้นมันเป็นเช่นไร แค่เนี๊ย!
    ไม่ต้องบอกว่าไปเดินตลาดมา เห็นทอดมัน ก็อยากจะซื้อฝากครู
    อันนี้ไม่ต้อง

    ทำไมผมรู้ดี เพราะผมผ่านมาหมดแล้ว
    พูดเรื่องศีลต่อ....เมื่อปฎิบัติมากๆ คือตามดูตามรู้จิต ด้วยใจเป็นกลาง
    เมื่อจิตละเอียดมากๆ ศีลของเราก็ละเอียดตามไปเอง
    ต่อไปศีลจะรักษาผู้ปฎิบัติไปเอง โดยที่พวกเราไม่ต้องมาระวังเรื่องศีลจะขาด ไม่ต้องกลัวนะ
    ถ้าจิตละเอียด จะค่อยๆมีตัวรู้เพิ่มมากขึ้น(ตัวปัญญา) จิตจะไปรู้ของมันเอง ขอให้จิตคนเรานิ่งมากนาน+ต่อเนื่อง
    คุณก็จะรู้มากเอง โดยที่เราไม่ต้องไปถามใครๆ
    พอเข้าใจนะ
    คุณก็มีบุญมากอยู่แล้ว ทำไปๆ ทำลูกเดียว แต่ถ้าทำคนเดียว
    อันนี้ไม่ดีแน่ เพราะจะไม่มีใครมาคอยดูการปฎิบัติให้คุณ
    เดี๋ยวทำไปๆ เกิดสงสัยมาก(ตัวทำลายกำลังใจอย่างดีเยี่ยม)
    โอกาสมาถึงหน้าบ้านคุณแล้ว เอาให้เต็มที่เลย
    ครูคอยเปิดประตูนิพพานให้พวกเราอยู่แล้ว
    ครูพร้อมแล้ว พวกเราพร้อมหรือยัง?
    และจิตพร้อมรับภัยพิบัติกันหรือยัง?
    อันนี้สำคัญนะตราบใดเรายังมีร่างกาย


    ***ครูทุกท่านที่มาตอบธรรมะให้นี้ จิตจะต้องทรงฌานเป็นอย่างต่ำ
    จิตต้องการเป็นสมาธิก่อน จึงจะพูดออกมาจากข้างในนั้น(ธรรมจิต)
    แต่ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ครูก็ไม่มีอะไรมาพูด มาตอบการบ้านพวกเรา
    เป็นครูธรรมะนึกว่าง่ายกันหรอ? ไหนลองมาเป็นบ้างจิ จะได้รู้
    ดูตัวอย่างครูเพ็ญนี้สิ ท่านจะตอบแต่ละเมล์ ท่านใช้พลังจิตกันมากแค่ไหน
    ถามคุณวิทย์อีกท่านก็จะรู้ดี
    ฮ่าๆ ขอครูเพ็ญกำลังเข้าทรง....
     

แชร์หน้านี้

Loading...