จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. แสงจันทร

    แสงจันทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +2,618
    สวัสดีค่ะพี่ภู ครูเพ็ญ ครูดัชนี ครูวิทย์ ครูลูกหว้า ครูนิวเวบ และทุกท่านค่ะ

    เมื่อกี้ไปยืนตากผ้าอยู่ๆๆก็รู้สึกว่าจะต้องมาเขียนค่ะ บอกท่านที่กำลังคิดว่าจะฝึกทำจิตเกาะพระหรือบางท่านกำลังเริ่มจะทำแต่ไม่รู้ว่าจะทำดีหรือไม่ ถ้าท่านคิดอย่างนั้นลองฟังที่แสงจันทรจะบอกและลองใช้วิจารณญาณในการอ่านอีกครั้งนะค่ะ ธรรมะ คือ ธรรมชาติ ทุกท่านเกิดจากธรรมชาติ เวลาที่ท่านหิวและมีอาหารมาวางอยู่ตรงหน้าท่าน 1 จาน ท่านไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ลิ้มรสสัมผัสอาหารในจานนี้มาก่อนเลย ตามธรรมชาติของมนุษย์จะต้องลังเลว่าอาหารจานนี้หน้าตาดีแต่รสชาดจะดีหรือเปล่าหนอ ถ้ารสชาดดีเช่นหน้าตาแล้ว เวลาทานลงกระเพาะแล้วอาหารจานนี้จะทำให้ท้องปั่นป่วนจนท้องเสียหรือไม่ ถ้าใจคิดว่าน่าจะลองดูสักคำคงไม่เป็นไร เพราะตอนนี้ท้องก็ร้องไม่เป็นกระบวนแล้วนี่นา ท่านก็จะอ้าปาก เพื่อป้อนอาหารในจานนั้นเข้าปาก แล้วท่านก็เริ่มทำการเคี้ยว ท่านจะได้รู้รสชาดของอาหารแล้วว่าดีหรือไม่ ถ้ารสชาดดีท่านก็จะตั้งหน้าเคี้ยวและกลืนไปในที่สุด จากนั้นคำต่อไปก็จะตามมา โดยที่ท่านยังไม่รู้หรอกว่าอาหารจานที่ท่านกำลังลิ้มรสอยู่นั้นจะทำให้ท่านท้องเสียหรือไม่ เมื่อท่านทานจนอิ่มแล้ว ท่านจะรู้สึกสบาย เวลาผ่านไป 1 วัน ท้องไม่ปวด ไม่เสีย แสดงว่าอาหารจานนั้นที่ทานเข้าไปดี ดีที่รสชาดอร่อย ดีที่ทำให้อิ่มท้อง ดีที่ให้พลังงานต่อร่างกาย แต่ถ้าท่านไม่ลองทานท่านจะไม่มีโอกาสได้รู้เลย แล้วท่านจะต้องทนหิวต่อไป เช่นนั้นแล้วไซร้ใยท่านไม่มาลองลิ้มรสชาดในการปฏิบัติการเกาะพระดู
    เปรียบเทียบดูนะค่ะ ถ้าท่านตั้งใจจะลอง เพียงท่านอ้าปาก = เปิดใจ / ตักอาหารใส่ช้อน = หาภาพพระที่ชอบ /ป้อนอาหารใส่ปาก = การมองภาพพระ /เคี้ยวอาหาร= การจำภาพพระที่เลือกไว้ / การกลืน=การส่งภาพเข้าไปในจิตใจให้ระลึกอยู่เสมอ
    ผลลัพธ์ที่ได้คือ ท้องอิ่ม = เราจะรู้สึกดี จะสงบขึ้นกว่าที่เคยเป็น บางท่านอาจจะมีสติมากขึ้นกว่าเดิม

    เวลาที่เราหิวเราจะให้คนอื่นเคี้ยวอาหารและกลืนแทนตัวเราย่อมไม่ทำให้เราอิ่มได้ฉันใด หากเราต้องการพ้นทุกข์มีเพียงนิพพานอย่างเดียว จะให้ใครมาปฏิบัติแทนย่อมไม่ได้ฉันนั้น ลองพิจารณาดูนะค่ะ
     
  2. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    โมทนาสาธุ สาธุด้วยครับกับคุณแสงจันทร..

    ธรรมะผุดตอนยืนตากผ้า.. นี่ได้ใจจริงๆ..
    สวดยอดๆๆๆๆเจงๆ..
     
  3. ตาดำดำ

    ตาดำดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +732
    - เห็นด้วยกับการเตรียมตัวไว้ ไม่ประมาท มีข้อมูลข่าวสารอะไรก็มาแลกเปลี่ยนกัน
    แต่ที่สำคัญคือการคัดกรองข้อมูล วิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของข้อมูล หรือข่าวลือต่างๆตรงนี้ยังไม่เห็นพูดถึงกันเท่าไหร่(มีแต่ใครอยากเชื่อก็เชื่อไป ใครไม่อยากเชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ) บางคนก็ทำนายไปกว้างๆ พอถูกก็เอาแต่เรื่องที่ถูกมาพูด สร้างความเชื่อถือให้ตัวเอง คนก็เฮกันไป แต่จะไปวิพากษ์วิจารณ์อะไรมากก็จะโดนลบความเห็นซะเปล่าๆ อาจเพราะกระทู้แบบนี้เรียกคนเข้าเวบได้มากล่ะมั้ง
    ดังนั้นเรื่องภัยจากข้อมูลข่าวสารนี่ก็น่าเป็นห่วงไม่แพ้กันนะ ฝากไว้พิจารณา

    - เรื่องการแก้ปัญหาคงไม่ใช่แค่ต้องย้ายต้องหนีอย่างเดียว ถ้าคิดว่าอยู่บนภูเขาจะปลอดภัยจากน้ำท่วม แต่ก็ยังมีภัยอื่นไม่ว่าจะเป็นดินถล่ม น้ำป่า ความสะดวกในการเดินทาง จะมีภูเขาเพียงพอให้คนย้ายไปอยู่หรือไม่ (นี่จะต้องไปเป็นชาวเขาจริงๆเหรอ) การแก้ปัญหาจึงอาจจะต้องแก้ในประเด็นอื่นด้วย อย่างบางประเทศก็ใช้วิธีการปรับตัว ใช้เทคโนโลยีต่างๆ เช่น ญี่ปุ่น ก็คิดค้นตึกที่ทนต่อแผ่นดินไหว การเฝ้าระวัง ซักซ้อม การจัดหาแหล่งที่อยู่อาศัยกรณีมีผู้ประสบภัย หรือบางประเทศก็หักเงินรายได้จากบริษัทห้างร้านต่างๆทั่วประเทศมาช่วยโดยไม่ต้องรอเงินจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว ส่วนประเทศไทยอาจเพราะไม่ค่อยมีภัยพิบัติ จึงยังไม่เห็นแผนการรองรับสักเท่าไหร่ พอเกิดเหตุทีก็คิดแผนทีแล้วก็เงียบหายไปเฉยๆ ได้แต่สร้างความหวัง

    - พอดีพระท่านหนึ่งท่านเมตตาเทศน์ให้ฟังเรื่องของน้ำท่วมที่จะยังมีเรื่อยๆ เพราะการจัดการน้ำยังมีปัญหา อย่างเรื่องน้ำที่แต่ละครัวเรือนบริโภคหรือใช้สอยแต่ละวันนั้นมีปริมาณมากแค่ไหน แล้วปล่อยไปที่ไหน บางที่ก็ใช้น้ำบาดาล เอาน้ำขึ้นมาแล้วก็ปล่อยไปบนดิน และบริเวณที่มีชุมชนมาก บ้านแต่ละหลังก็มีหลังคา จึงทำให้น้ำมีโอกาสท่วมได้ (ประมาณนี้ จำไม่ค่อยได้หมด)

    ผมก็ลองมาพิจารณาดู พอฝนตกพื้นที่รับน้ำก็มีน้อยเพราะยิ่งบ้านหนาแน่น พื้นดินก็น้อยลง ป่าก็มีน้อย น้ำฝนแทนที่จะตกแล้วค่อยๆซึมลงดินก็ผ่านหลังคาไหลรวมลงท่อทิ้งลงดิน กระแสน้ำที่รวมกันก็มีความแรงมากขึ้น แทนที่จะซึมก็กลายเป็นไหลเป็นทาง แล้วน้ำทั้งหลายนี้ไหลไปที่ไหน??

    อย่างบางประเทศ น้ำใช้สอยจากครัวเรือนลงท่อไปบำบัดแล้วนำไปใช้ทางการเกษตรในชนบท ส่วนประเทศไทย น้ำใช้แต่ละครัวเรือนก็มาก น้ำจากการเกษตรก็มาก ต้องหาน้ำมาจากแหล่งต่างๆให้ได้ใช้สอย สุดท้ายก็ทิ้งลงไปบนดินจนชุ่มน้ำหมด ถึงช่วงฝนตกก็ใช้รองรับน้ำไม่ได้ ก็เลยต้องท่วม

    นึกถึงโครงการที่จะทำอุโมงค์น้ำใต้ดินลงทะเลโดยตรง(ซึ่งก็ไม่เห็นจะทำสักที) ก็น่าจะใช้อุโมงค์ตามธรรมชาติคือธารน้ำใต้ดินแทน เวลาฝนตกก็ให้น้ำไหลลงสู่ธารน้ำบาดาล ไม่ต้องให้มาเจิ่งนองท่วมพื้นที่ท่วมถนน ไม่ต้องมาพัดหน้าดินไปไหลกองรวมกันในท่อให้ท่อตัน เป็นต้น (แค่คิดเป็นตัวอย่าง รอผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์อีกที)

    - ยังไงก็อยากให้มีการแก้ปัญหา หรือวางแผนในระดับมหาภาค ไม่ใช่ประชาชนต้องมาแก้ปัญหากันเอง มาคิดกันเองว่าจะอพยพไปไหนกันดี ใครย้ายได้ก็ดีไป ใครย้ายไม่ได้ก็รอเงินเยียวยาน้ำท่วม - -" แบบนั้นคงไม่ไหวแน่ สุดท้ายพอขาดที่พึ่งก็ต้องหวังพึ่งหมอดูหมอเดา ปลง หรือปล่อยไปตามเวรตามกรรม ไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาแก้ไข แล้วจะเรียกว่า "ชาวพุทธ" หรือ "ผู้รู้" ได้ยังไง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2012
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุ กับจิตของท่านจริงๆ
    ผมชอบอ่านธรรมะของท่านนะ ถูกจริตผมด้วย
    ผมอ่านดูแล้ว พิจารณาเห็นแล้ว กับสิ่งที่ท่านพูดมานั้น เถียงไม่ออก ไม่มีความขัดแย้งในใจ เพราะธรรมะท่าน คือธรรมชาติ ธรรมชาติ คือธรรมะ นั่นเอง
    ธรรมะซึ่งผุดออกมาจากภายในจิต นั่นเอง
    และต่อไปก็จะปุดออกมาเรื่อยๆ ไม่เขียนออกสื่อก็ไม่ได้ คือจะรู้สึกว่าผิด แต่ถ้าไม่รีบออกมาเขียน แต่ถ้าเขียนไปแล้วฏ้สบายใจ สิ้นความสงสัย
    จิตท่านตอนนี้ กับธรรมะตอนนี้ ซึ่งผิดก่อนก่อนเยอะจริงๆ

    นี่ผมก็อยากให้คนอื่นๆเป็นดั่งคุณแสงจันทร
    และผู้ปฎิบัติจะทราบเองได้ โดยไม่ต้องสงสัย
    ตามที่ผมเคยพูดไปก่อนนหน้านี้แล้ว คนที่ตอบคำถามที่ดีที่สุด ในขณะที่เราเกิดความลังเลและความสงสัยนั้น ก็คือ ตนเอง
    แต่จิตของตนเองจะต้องได้/ถึงอย่างน้อยๆ ก็แค่คุณแสงจันทร ท่านนี้

    ผมขอให้คุณแสงจันทร แต่ถ้ามีธรรมะผุดขึ้นมาอีกนะ
    ขอให้ท่านจงทำบุญกับในกระทู้นี้ต่อไป จะได้ฝึกจิต ฝึกภูมิธรรม ภูมิปัญญาของตนไปในตัว อย่าเป็นเหมือนดาบคมแค่ในฝักเลย
    หรืออย่านั่งอมยิ้ม หรือสุขภายในคนเดียว ออกมาเผยแพร่
    อกกมาช่วยกันยกระดับจิตให้สูงขึ้น และเพื่อเป็นการสร้างบุญบารมีของตนทางอ้อมด้วย

    ขอขอบพระคุณจริงๆที่ออกมาแชร์ธรรมะให้กับพวกเราฟังกัน
    หรือคิดซะว่า มาช่วยจิตคนที่ยังต้องตกอยู่ภายใต้กิเลส หรือที่ยังเป็นทุกข์กันอยู่นั้น อย่างท่านก็เคยพบมาจนเบื่อแล้ว ท่านก็รู้สึกมากแล้ว กับ คำว่า เป็นทุกข์ ในเมื่อท่านปลด/หลุดพ้น จากกองทุกข์ จากสังสารวัฎ
    ขอให้เมตตาท่านที่จิตพวกเขาที่ยังไม่ได้ยกกันนะครับ

    ขอบพระคุณอีกครั้งนึง
    พี่ภูดีใจมาก ที่ท่านหลุดพ้นจากกองทุกข์มาได้ ท่านรู้สึกเช่นไร
    ท่านเข้าใจดีแล้ว และพยายามหมั่นฝึกไปเรื่อย ยังมีอีกเยอะ
    ในโลกทิพย์ ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีประมาณ หามิได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 มิถุนายน 2012
  5. jprabs

    jprabs เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +1,229

    ได้ฝ่ายวิชาการเพิ่มอีกหนึ่งท่านแล้วครับ พี่ภู
    ขอจองตำแหน่ง ๑ อัตราไว้ให้ท่านพี่นิวเวป
     
  6. Plapersia

    Plapersia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +775
    อนุโมทนาบุญด้วยค่ะพี่เพ็ญ ไม่ทราบว่าท่านนี้ใครหรอค่ะ^^
     
  7. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    โมทนาสาธุกับดวงจิตอรหันต์ดวงใหม่ค่ะ
     
  8. ตาดำดำ

    ตาดำดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +732
    อ่อ โทษที อาจจะงงที่ผมโพสต์ไว้
    ขอขยายความหน่อยละกัน

    โดยทั่วไปเมื่อมนุษย์ต้องเผชิญปัญหา มักจะมีวิธีการจัดการกับปัญหา 3 แบบ คือ
    fight flight freeze
    สู้ - ก็มีหลายวิธี สู้แบบสักแต่สู้ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือสู้แบบใช้สติปัญญา ไตร่ตรองหาสาเหตุ วิธีการจัดการแก้ไข ทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่อย่างหลังนี่ก็คงต้องมีเวลาเตรียมตัวอยู่บ้าง รู้สถานการณ์ตั้งแต่เนิ่นๆ

    หนี - ถ้าสู้ไม่ได้ สู้ไม่ไหว ก็หนีไป หรือหาวิธีการหลีกเลี่ยงการเผชิญ

    อยู่นิ่งๆ - สู้ก็ไม่ได้ หนีก็ไม่ได้ ปล่อยวางหรือจะเรียกว่าปล่อยไปตามเวรตามกรรม

    เรื่องมรณานุสติ โดยส่วนตัวผมมองว่าสามารถนำไปใช้ได้ทั้ง 3 กรณี เพราะเป็นการฝึกสติ ใช้สติปัญญาพิจารณา ผู้ที่มีสติปัญญา จะสู้ จะหนี จะนิ่ง ก็ย่อมดีกว่าทำไปแบบขาดสติ

    อย่างการรู้ว่าชีวิตไม่แน่นอน สังขารไม่เที่ยง โรคภัยไข้เจ็บเป็นสิ่งธรรมดา และความตายย่อมหนีไม่พ้น ทำให้เราไม่ประมาท ไม่แสวงหาความสุขใส่ตนแต่เพียงอย่างเดียว รู้จักทำบุญทำกุศล รู้จักรักษาศีล ภาวนา เรียกว่าเตรียมตัวตายหรือพร้อมจะตายอยู่เสมอ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่สนใจใยดีอะไร ปล่อยไปตามยถากรรม บางคนกินเหล้าพอใครห้ามก็บอกว่า "คนเรายังไงก็ตาย ไม่ดื่มก็ตายอยู่ดี" แบบนี้คงไม่ใช่มรณานุสติแต่เรียกว่าประมาทมากกว่า

    ผมจึงมองว่า สิ่งไหนที่พอจัดการได้ก็จัดการ เกิดมาทั้งทีก็ใช้สติปัญญาทำความเข้าใจกับปัญหาทั้งที่เกิดแล้วหรือยังไม่เกิด อย่างน้อยแก้ไขไม่ได้ก็รู้จักต้นเหตุก็ยังดี หรือรู้จักจัดการกับปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดปัญหาตามมา จะได้เป็นการหาความรู้ไว้ให้ลูกให้หลานมาต่อยอด ความรู้ในปัจจุบันก็อาศัยการสั่งสมความรู้มาจากบรรพบุรุษในอดีต ข้อผิดพลาดต่างๆในวันนี้ ก็อาจเป็นประโยชน์ในวันข้างหน้า
    เรียกได้ว่า "เตรียมตัวเตรียมใจ" ไม่ใช่ "ทำใจแต่ไม่เตรียมตัว" นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2012
  9. ตาดำดำ

    ตาดำดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +732
    ถ้าเป็นพระก็คิดแบบความเห็นบนได้ แต่ผมคิดว่าคนที่มาเล่นเวบนี้ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นฆราวาสอยู่ ยังต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องโลก มีภาระหน้าที่ทางโลกอยู่ ผมว่าเป็นเรื่องยากที่จะไม่สนใจอะไรเลย

    จริงอยู่ นิพพานเป็นเป้าหมายสุดท้ายของทุกคน จะมาเสียเวลากันอยู่ทำไม แต่บางครั้งก็ต้องอาศัยบุญบารมีเก่าด้วย เพราะอะไรทุกคนจึงไม่ได้บวช เพราะอะไรคนที่บวชทุกคนจึงไม่บรรลุ ก็เพราะบารมีที่สั่งสมมานั่นเอง

    พระท่านกล่าวว่าเมื่อมีบุญก็จะมีปัญญา นำพาเราไปสู่สิ่งดีๆ เมื่อมีบุญจิตใจก็จะเข้าสู่ความสงบได้ง่าย บางคนปฏิบัติก้าวหน้าได้เร็วก็เพราะมีบุญที่สั่งสมมาในอดีต บางคนต่อให้นั่งภาวนาทั้งวันก็หาความสงบไม่ได้นั่นเพราะไม่มีบุญ อย่างพระท่านบวชตั้งแต่เล็ก สมัยเป็นเณร คนอื่นก็ไปภาวนา แต่ท่านดูแลอุปัฏฐากครูบาอาจารย์ ตักน้ำหาบน้ำมาให้หมู่เพื่อนใช้สอย สุดท้ายเพื่อนคนอื่นสึกกันหมด เหลือแต่ท่านที่ยังบวชต่อมาได้

    จริงอยู่ ปุถุชนอย่างเราคงไม่สามารถรู้ได้ว่าเราสั่งสมบุญมามากแค่ไหน สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือหมั่นทำความดีทั้งต่อตนเองและผู้อื่น รู้จักเมตตาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ส่วนเรื่องภาวนาหากไม่ก้าวหน้าก็อย่าเพิ่งได้รีบร้อน อย่าเพิ่งท้อ ค่อยๆทำไป ต้องทำทาน รักษาศีล ประกอบไปด้วย ก็จะช่วยให้ภาวนาได้ดีขึ้น เมื่อภาวนาดีก็จะช่วยให้รักษาศีลได้ดียิ่งขึ้น ผู้เป็นฆราวาสจึงเน้นทาน ศีล ภาวนา ส่วนพระท่านจะเน้นเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา จะนั่งบำเพ็ญทั้งวันทั้งสัปดาห์ย่อมได้ (ส่วนฆราวาสก็ยังมีภาระในการประกอบอาชีพอยู่)

    ในเมื่อการละความสุขส่วนตน เสียสละเพื่อผู้อื่นเป็นการปฏิบัติความดีอันเป็นกุศล ผมจึงไม่คิดว่าการทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นจะเป็นสิ่งไร้ค่าหรือเสียเวลาหรอกครับ แต่ถ้าใครคิดว่าช่วยตัวเองก่อนค่อยไปช่วยคนอื่น ยอมเสียสละเรื่องทางโลกไปบวช มุ่งภาวนาให้บรรลุให้จงได้ก็ขออนุโมทนาด้วยละกันครับ แต่ละคนก็มีแนวทางความชอบที่ต่างกัน แล้วแต่จริต อย่างผมเองก็เคยผ่านการหักโหมมาก่อน แต่ก็ไม่ก้าวหน้า ท้อแท้ เลยเปลี่ยนมาเป็นสั่งสมบุญบารมีไปเรื่อยๆ ภาวนาไปด้วยในช่วงที่ทำกิจวัตรต่างๆ หาเวลาวันละ 1-2 ชม.นั่งสมาธิ ค่อยเป็นค่อยไปแบบนี้สบายใจดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2012
  10. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    วันนี้ท่านคิดถึงพระหรือยัง?​



    [​IMG]
     
  11. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    มนุษย์เราทั้งหลายไม่ต้องการทุกข์ ต้องการแต่สุข
    ความจริงสุขนั้นก็คือ ทุกข์อย่างละเอียดนั่นเอง
    ส่วนทุกข์ก็คือ ทุกข์อย่างหยาบ
    พูดอย่างง่ายๆ สุขและทุกข์นี้ก็เปรียบเสมือนงูตัวหนึ่ง
    ทางหัวมันเป็นทุกข์ ทางหางมันเป็นสุข
    เพราะถ้าลูบทางหัวมันมีพิษ ทางปากมันมีพิษ
    ไปใกล้ทางหัวมัน มันก็กัดเอา
    ไปจับหางมันก็ดูเหมือนเป็นสุข
    แต่ถ้าจับไม่วาง มันก็หันกลับมากัดได้เหมือนกัน
    เพราะทั้งหัวงูและหางงู มันก็อยู่ในงูตัวเดียวกัน
    คือ ตัณหา ความลุ่มหลงนั่นเอง


    ฉะนั้น บางทีเมื่อมีสุขแล้วใจก็ยังไม่สบาย ไม่สงบ
    ทั้งที่ได้สิ่งที่พอใจแล้ว เช่น ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ
    ได้มาแล้วก็ดีใจก็จริง แต่มันก็ยังไม่สงบจริงๆ
    เพราะยังมีความเคลือบแคลงใจ ว่ามันจะสูญเสียไป
    กลัวมันจะหายไป ความกลัวนี่แหละเป็นต้นเหตุให้มันไม่สงบ
    บางทีมันเกิดสูญเสียไปจริงๆ ก็ยิ่งเป็นทุกข์มาก
    นี่หมายความว่า ถึงจะสุขก็จริงแต่ก็มีทุกข์ดองอยู่ในนั้นด้วย
    แต่เราไม่รู้จัก เหมือนกันกับว่าเราจับงู
    ถึงแม้ว่าเราจับหางมันก็จริง ถ้าจับไม่วางมันก็หันกลับมากัดได้

    ฉะนั้น หัวงูก็ดี หางงูก็ดี บาปก็ดี บุญก็ดี

    อันนี้อยู่ในวงวัฏฏะ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลง
    ดังนั้น ความสุข ความทุกข์ ความดี ความชั่ว ก็ไม่ใช่หนทาง



    หลวงพ่อชา สุภัทโท
     
  12. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    ท่านตาดำดำที่กล่าวมานั้นชอบแล้ว ถูกต้องอย่างยิ่ง..
    นับได้ว่าเป็นผู้มีสติรอบรู้สรรพสิ่งรอบๆตัวได้เป็นอย่างดีและยังเป็นผู้มีปัญญาอย่างยิ่งท่านหนึ่ง (ในทางโลกนะ..)
    ส่วนทางธรรมก็รู้จักการดำรงสัมมาทิฐิ มีจิตเมตตา ปฎิบัติทาน ศีล ภาวนาเป็นพื้นฐาน..
    แถมยังมีปฎิบัติศีล สมาธิ .....(ปัญญา.. อันนี้ต้องเว้นไว้..ในที่นี้หมายถึงปัญญาทางธรรม)
    ก็เห็นท่านเคยปฎิบัติแบบอุกฤษแล้วไม่ก้าวหน้าก็เลิก และยังนั่งสมาธิวันละแค่1-2ชม.เท่านั้นเอง (ก็ทรงฌานได้แค่1-2ชม.เท่านั้น หรืออาจจะมีวิปัสสนาบ้าง(อันนี้ข้าพเจ้าไม่ทราบ ขอเดาแล้วกัน) แต่ก็น่าจะไม่ได้ผลมากคือว่าได้บ้างแต่อาจจะไม่มาก สืบเนื่องมาจากการจะทำวิปัสสนาให้ได้ผล เราจะต้องมีกำลังฌานเป็นบาตรฐานที่เข้มแข็งก่อน.. แต่กำลังฌานดูเหมือนจะได้แค่1-2ชม.ต่อวัน ซึ่งก็ยังดีกว่าผู้ที่ไม่ได้ปฎิบัติ แต่ก็จะไปเรื่อยๆจนสิ้นอายุขัย เพราะว่าเรายังเป็นฆารวาสยังต้องใช้ชีวิตทางโลกมีภาระทางโลก การปฎิบัติได้1-2ชม นี่ถือว่าหรูแล้ว.. แต่ท่านก็ไปโทษเรื่องบุญเก่า.. จริงอยู่มันก็มีส่วนอยู่แต่ว่ามันจะมีผลน้อยกว่า "บุญปัจจุบัน"นะครับ..)

    เรามีขอเสนอว่า ให้ท่านลองพิจารณาดูนะครับ:-
    - จากความเห็นท่านในกระทู้ที่เขียนเอาไว้ ถือได้ว่าท่านเป็นผู้มีปัญญาทางโลกคนหนึ่ง ให้10เต็ม10คะแนนเลย..
    - ส่วนทางธรรมท่านมีสัมมาทิฐิ ปฏิบัติทาน ศีล สมาธิ ปัญญา(บ้างแต่คงจะได้ไม่มาก) เนื่องจากกำลังฌานของท่านยังน้อยอยู่จึงไม่ก้าวหน้ามาก (แน่นอนข้ออ้างคือบุญเก่าและเราเป็นฆารวาสไม่ได้ว่างๆเหมือนพระนี่) จึงทำให้ท่านซึ่งมีความตั้งใจดีบวกมีปัญญา(ทางโลก)จึงไม่สามารถใช้คุณสมบัติที่ดีๆในตัวท่านออกมาได้เต็มประสิทธิภาพ แน่นอนภายใต้ข้อจำกัดภาระทางโลก.. ทำให้ท่านได้คะแนนไม่เต็มในทางธรรม..

    ถ้ามีวิธีปฎิบัติธรรมแบบว่า:-
    - เขาเรียกว่า "บวชใจ"
    - ไม่ต้องไปวัด ไม่ต้องนุ่งขาวห่มขาว ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อ ไม่ต้องเสียตังค์
    - ไม่มีกฎระเบียบ ขึ้นอยู่กับความพอใจของเราเองว่าอยากเร็วมากหรือเร็วน้อย
    - ปฎิบัติที่ไหนก็ได้ไม่มีข้อยกเว้น.. นี่เรื่องจริงไม่ได้พูดเล่น..
    - มีครูพี่เลี้ยงประกบ ตามสอบอารมณ์และแนะนำตลอด (ทางemail)
    - ทำสมาธิได้ตลอด24ชม. (ยกเว้นตอนนอนเท่านั้น..ยังไม่อยากจะพูดadvance shotว่าทำได้24ชม.) ทรงฌานได้ตลอดเวลา (ไม่ใช่แค่1-2ชมแล้วก็นั่งหลับตาปี๋อย่างเดียว) ทำสมาธิได้ทุกอริยาบท..
    - ทำสมาธิหรือทรงฌานได้ตลอดเวลาระหว่างทำงานทางโลก (ทำสมาธิหนึ่งวันเท่ากับที่ท่านทำอยู่10-15วัน-แบบ1-2ชม/วัน) อันนี้เขาเรียกว่าติดเทอร์โบ
    - ต้องฝึกวิชาถอยฌานเพราะว่า ฌานมันดิ่งสุดๆจนจะทำงานไม่ได้ต้องเข้าเกียรถอย
    - กระโดดข้ามฌานได้ เข้าฌาน4ใช้เวลาแค่อึดใจเดียว(ไม่ได้โม้นะครับ)
    - เจริญสติวิปัสสนาได้ทั้งวันเชกเช่นสมถกรรมฐาน (ตัวนี้แหล่ะตัวปัญญาทางธรรม)
    - ฝึกสติวิ่งไล่จับกับจิต
    - มีอีกหลายข้อนะ แต่ขี้เกียจพิมพ์แล้ว

    ถามว่าท่านสนใจจะลองปฎิบัติไหม?
    ดูการจัดสรรเวลาชีวิตทางโลก ต้องถือว่าท่านเป็นคนฉลาดมาก
    จะบอกให้ ท่านนี่แหล่ะเป็นผู้มีบุญเก่าอยู่ไม่น้อยแต่ว่า ยังไม่พบสายบุญที่ถูกกับจริตตนและทำให้ก้าวหน้าในเวลาไม่นาน..
    ลองคิดดูนะครับ..

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ..
     
  13. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    ขอโทษนะคะ คุณตาดำดำ เข้าใจผิดเกี่ยวกับ กระทู้หรือเปล่าคะ
    กระทู้ตั้งไว้ว่า จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ ค่ะ
    จิตพร้อม คือการนำจิตมาเพื่อฝึกความพร้อม ให้เกิดการยอมรับในสิ่งต่างๆ หรือ ภัยต่างๆที่จะเกิดขึ้น กระทู้ไม่ได้ตั้งชื่อว่า เตรียมตัวพร้อม?รับภัยพิบัติ หากจะมีการเตรียมตัวอะไร ยังไง เพื่อใคร
    ที่ไหน ผู้ใดจะเป็นตัวตั้งตัวตี ผู้ไผควรมีหน้าที่ใด รับผิดชอบส่วนไหน พวกเราก้อไม่สามารถที่จะตอบได้ เพราะ ณ ตอนนี้กระทู้นี้ มีไว้ให้ฝึกจิตฝึกความพร้อม และรับผิดชอบในดวงจิตของใครของมัน
    ส่วนเรื่องการภาวนา เราก้อมิได้ให้ใครไปนั่งภาวนา ไม่ทำอะไร อันใด ในชีวิตประจำวัน เราถูกฝึกและสอนกัน ให้ปฎิบัติงานการของขันธ์ห้า(กาย)ไปตามที่ต้องทำแต่ต้องให้อยู่ในศีลห้าครบ เต็ม
    ส่วนจิตก้อทำการฝึกให้นิ่งโดยการนำจิตมาเกาะพระ เมื่อจิตนิ่งจิตสงบ จิตก้อจะทรงฌาน เราก้อจะฝึกกันให้เอาสติตาม และใช้กฎไตรลักษณ์เข้ามาทำการสันดาปอีกที การฝึกจิต เราก้อให้ฝึกจากชีวิตประจำวันที่มีสิ่งต่างๆเข้ามากระทบ เราไม่ได้ให้เข้าไปฝึกในวัด เราไม่ต้องไปเข้าอาศรม เราไม่ต้องไปอยู่ในถ้ำ เพราะเราต้องอยู่ ต้องกิน ต้องทำงาน ต้องนั่น นี่ กับโลก ต้องเจอภัยพิบัติ แต่หากใครอยากจะไปอยู่วัด วา อาศรมเราก้อไม่เคยไปท้วงไปติง
    อะไรกับใคร จิตของใครก้อของใคร
    การฝึกจิตให้พร้อมเพื่อรับภัยพิบัตินี้ เราจะรู้กันมั้ยว่า ภัยพิบัติจะมารุนแรงขนาดไหน ใช่... ถูกต้องเมื่อเตรียมความพร้อม ที่อยู่ อาหารการกิน เกิดดันมาเห็นคนที่เรารักตายไปต่อหน้าต่อตาจากภัยพิบัติ คิดเหรอว่า จิตเราจะทนได้หากไม่ได้รับการฝึกให้เข้าใจว่า
    อะไรและอะไร ในโลกานี้มันไม่ใช่ของเรา และ มันไม่เที่ยง คิดเหรอว่า เราจะไม่บ้าไปซะก่อนที่จะได้มาใช้ มาเสวยกับสิ่งต่างๆที่เตรียมไว้ คิดเหรอว่า หากเกิดคนที่ต้องมาตายไม่ใช่เขาแต่เป็นเรา เหตุเกิดรวดเร็วอย่างไม่คาดฝัน จนจิตพลันออกจากขันธ์โดยไม่รู้ตัวไม่มีสติมารองรับ เพราะไม่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี จิตตกไปสู่อกุศล ที่ไปคือที่ใดเล่า หากท่านมีปัญญา โปรดพิจารณาให้เห็นถึงความจริงแท้ในข้อนี้ และคิดเหรอว่าหากเรารอด เราฝึกสติฝึกจิตมาพร้อมดีแล้ว ปัญญาจะไม่ช่วยให้เกิดความอยู่รอดต่อไปหลังพิบัติ
    ปัญญา ที่มาจากสติของจิตที่มีความพร้อมนี่แหละจะช่วยจะประคองคนอีกหลายๆคนที่อยู่รอบตัวเรายามเกิดภัยพิบัติ การทำงานของสติและปัญญาที่เกิดจากจิตที่มีความพร้อมเป็นการทำงานอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ในยามเกิดวิกฤต แม้แต่ภัยพิบัติ
    ภูมิรู้ ภูมิธรรม ของท่านมิใช่เบา หากนำเข้ามาพิจารณาให้เห็นถึงความจริงแท้แห่งกฎสากลของโลก ท่านจะเข้าใจว่าไม่มีอะไร อันใด ที่ไหน อย่างใด ใครๆ ฯลฯ ที่คงอยู่ คงทน คงเที่ยง มีแต่ความตายเท่านั้นที่เที่ยง และต้องตายอย่างแน่นอน
    ทำไมทางกระทู้ถึงไม่ได้เน้นการฝึกในเรื่องมรณานุสติ ก้อเพราะยังเห็นว่า ยังมีดวงจิตอีกมากมายที่ต้องการที่จะอยู่รอดปลอดภัย โดยไม่เสียสติ เป็นบ้า เป็นหน้า เป็นหลัง ไปซะก่อนเพราะภัยพิบัติ
    เปล่าเลยดิฉันมิได้บังอาจมาก้าวก่ายความคิดในการเตรียมพร้อมรับภัยพิบัติในแบบของท่านและห่วงใยในผู้คนอื่นๆ ดิฉันเห็นด้วยและขอโมทนาสาธุการกับความเห็นของท่าน แต่หากท่านได้นำข้อกล่าวของดิฉันไปพิจารณาซักเสี้ยวจิตของท่าน ท่านจะเห็นว่ากระทู้นี้ทำเพื่อทั้งทางโลกและทางธรรม ทางขันธ์และทางจิต
    (เมื่อจิตเป็นใหญ่ จิตก้อสั่งกายได้ทุกเมื่อ)
    ขอขอบพระคุณแทนเจ้าของกระทู้ ที่ท่านได้เข้ามาให้ความเห็นในกระทู้นี้ และจะขอยินดีเป็นอย่างยิ่งหากท่านได้เข้ามาเป็นชาวจิตเกาะพระอีกท่าน และทำความเข้าใจว่า ณ เพลานี้ทำไมเราถึงต้องเอาจิตเราให้รอดก่อน ยังไม่ไปห่วงหาอาทรใครๆหรือใดๆ เมื่อจิตยกไปแล้วเราถึงจะกลับมาเพื่อช่วยดึงพาดวงจิตอื่นๆต่อไป แต่หากท่านไม่เห็นด้วย ไม่มีศรัทธา ไม่มีความพร้อม เราก้อจะไม่ไปบังคับท่าน เพียงแต่จะเป็นที่น่าเสียดายกับความมีปัญญาของท่านเท่านั้นค่ะ หากท่านเห็นว่ามันไร้สาระสิ้นดี ที่จะเข้ามาคุยในกระทู้นี้ พวกเราก้อไม่อยากจะดึงท่านไว้ให้มาโพสต์แล้วท่านเสียอารมณ์ จึงขอขมาท่านมา ณ ที่ตรงนี้ ก่อนจบ ขอกล่าวสุดสายท้ายสุดคือ
    เมื่อจิตพร้อมรับภัยพิบัติดีแล้ว...
    จิตเราก้อพร้อมที่จะอยู่หรือตายเมื่อเกิดภัยพิบัติ นะจ๊ะะะะะะะะะะะะะะะะ
     
  14. ่jarunee

    ่jarunee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +1,917
    สาธุ โมทนาบุญคะ
    ยินดีกับจิตบุญอีกหนึ่งท่านคะ
     
  15. ตาดำดำ

    ตาดำดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +732
    สนสิครับ ขอคำชี้แนะด้วย

    ถ้าจะคิดแค่สิ่งนี้ต้องละ สิ่งนั้นต้องวาง เพียงแค่คิดหรือพูดนั้นง่ายอยู่ แต่จะทำจริงๆแล้วไม่ง่ายเลย ขนาดเวทนาตอนนั่งสมาธินี่ยังทนไม่ค่อยได้ ไม่ต้องพูดถึงโลภะ โทสะ โมหะ หรือสังโยชน์ 10

    ผมอาจจะเข้าใจหัวข้อกระทู้ผิดไป เพราะผมตีความไปว่า จิตที่พร้อม คือ จิตที่มีสติ รับรู้ปัญหาตามสภาพความเป็นจริง เป็นผู้รู้หรือหยั่งรู้ ซึ่งถ้ามีสมาธิมีปัญญาทางธรรมด้วยก็ยิ่งดี แต่ผมประเมินตนเองแล้วรู้ว่าคงไม่ได้ถึงขั้นนั้นในปี 2 ปีหรอก ในเมื่อจิตยังมีแต่กิเลสตัณหา แต่ก็มีข่าวเรื่องภัยพิบัติต่างๆ ในฐานะปุถุชนธรรมดาจะทำอย่างไรล่ะที่จะไม่ประมาท ก็ต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อน หาข้อมูลข่าวสารที่น่าเชื่อถือ

    แม้ว่าที่ผ่านมาจะได้ทำบุญทำกุศลไว้บ้างคงไม่ถึงขั้นตกนรกอะไร แต่จะต้องเลือกที่จะตายทำไมในเมื่อมีทางรอดอยู่ เกิดชาติหน้าจะมาเป็นชาวพุทธได้เจอครูบาอาจารย์สั่งสอนหรือเปล่าก็ไม่รู้ จึงได้ยึดคติ "รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี" แน่นอนถ้ามันจะตายก็ต้องตาย แต่ขอเป็น "เตรียมแล้วยังตาย" ดีกว่า "ตายเพราะไม่เตรียม" อย่างเช่นถ้าต้องไปพักแถวทะเล รู้ว่าอาจเกิดสึนามิ ได้ศึกษาทางหนีทีไล่ไว้ พอมีสัญญาณเตือนก็ทำตามแผนนั้น ผมคงไม่สามารถนั่งสมาธิหรือเข้าฌาณสมาบัติในช่วงที่เกิดสึนามิได้เพราะรู้ว่ายังไม่สามารถทำจิตให้สงบได้ในภาวะการณ์ที่คับขันและกดดันดังกล่าว (แค่ตอนนี้ภาวนาพอเกิดเวทนา ใจก็หลุดจากพุทโธแล้ว ถึงนั่งได้ไม่เกิน 2 ชม.) ส่วนถ้าใครทำได้ก็ดีใจด้วยครับ และหวังว่าจะสามารถแลกเปลี่ยนเทคนิคแก่กันได้

    ยังไงก็เห็นด้วยที่ว่าจิตที่ฝึกมาดีแล้ว มีสติ สมาธิ ปัญญาที่มั่นคง ย่อมไม่กลัวภยันตรายใดๆ เหมือนพระธุดงค์ที่ท่านอยู่ป่าช้าไม่กลัวผี อยู่ที่สูงได้ไม่กลัวหน้าผา หรืออยู่ป่าลึกได้ไม่กลัวเสือ ดังนั้นถ้ามีวิธีจะฝึกจิตได้ง่ายๆ ทำได้รวดเร็วก็โปรดชี้แนะด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2012
  16. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    ยินดี ดีใจ และโมทนากับท่านอย่างยิ่งที่กล่าวได้เช่นนี้
    ทางที่ง่าย ที่ไวนั้นก็มีอยู่ แต่ต้องอาศัยความเพียร...
    น้องขอเป็นกำลังใจให้ท่านพี่ในการปฏิบัติในทางธรรมนะคะ
    เดี๋ยวจิตบุญท่านอื่นๆ อาจจะมีคำแนะนำให้กับท่านพี่ได้นะคะ
    ระหว่างนี้ลองอ่านกระทู้ตั้งแต่หน้าแรกๆ ไล่มาจนหน้าปัจจุบันก่อนก็ได้นะคะ ฮ่าๆ

    จริงๆ แล้วจิตเกาะพระไม่มีอะไรยากนะคะ
    เพราะถ้ายากน้องก็คงไม่ผ่านมาได้ถึงทุกวันนี้หรอกค่ะ
    เพราะเป็นคนสมาธิสั้น ชอบฟุ้ง ชอบสงสัย และยังมีกิเลส ฯลฯ อยู่..
    แต่ทุกวันนี้น้องสบายแล้ว สบายทั้งจิต สบายทั้งกาย..

    ปล. ดื่มน้ำเย็นๆ ก่อนเนอะท่านพี่ จะได้ืชื่นใจ น้องให้หมดเหยือกเลยนะ



    [​IMG]
     
  17. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    โมทนาสาธุ ดูไม่ผิดเลยจริงๆว่าบุคคลท่านนี้มีปัญญา บารมีพร้อม
    ท่านวางอัตตาลงเพื่อมาคุยกันเรื่องจิต สาธุ สาธุ สาธุ
    หากตั้งมั่นในจิตที่จะไปนิพพานในชาตินี้
    มีความพร้อมอย่างที่สุด (อย่างที่สุดเท่านั้น)ในเรื่องความเพียร
    ศรัทธาในพระรัตนตรัย และศรัทธาในตัวเอง
    นี่ค่ะ
    dutchaneerover@hotmail.co.uk
     
  18. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932

    โมทนาสาธุ สาธุ กับท่านตาดำดำด้วยครับ

    นี่เลยครับ email ของคุณครูเพ็ญ(ท่านใจดีมากๆ)
    natthapatpun@gmail.com

    ข้อแนะนำเล็กน้อย:-
    - เขียนemail แนะนำตัวและพื้นฐานการปฎิบัติิให้คุณครูทราบก่อน
    - วางอัตตาเดิมของเราลง พยายามเข้าใจและทำตามในสิ่งที่คุณครูแนะนำ
    - คุณครูเพ็ญอาจจะให้มีคุณครูร่วมช่วยแนะนำ เพื่อให้เข้ากับจริตของท่านตาดำดำน่ะครับ

    เอาว่ากำลังใจความเพียรประมาณที่ท่านว่ามาน่ะ..
    ผมให้ท่านเลยไม่เกินหนึ่งเดือน ทรงณานได้ทั้งวันทั้งคืน..
    ส่วนเป้าหมายของท่านที่ว่า2ปีนี่ (เอาว่าอริยบุคคลเบื้องต้นแล้วกันนะ) ไม่เกินปีนี้หรืออาจจะเร็วกว่านั้น ขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง..

    ขอให้เจริญในธรรมและสำเร็จมรรคผลนิพพานในภพชาตินี้ด้วยเทอญ..สาธุ
     
  19. ตาดำดำ

    ตาดำดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +732
    - รบกวนบอกหลักการคร่าวๆในเบื้องต้นก่อนได้หรือไม่ครับ จะยกกรณีตัวอย่างประกอบให้ชัดเจนมากขึ้นด้วยก็ได้
    - เท่าที่อ่านคือให้ระลึกถึงพระอยู่เสมอใช่หรือไม่
    ก็เป็นวิธีการที่ดีครับ เพราะโดยปกติเมื่อจิตคิดเรื่องกุศลก็จะละอกุศลได้ แต่ถ้าจิตคิดอกุศลก็จะไม่นึกถึงเรื่องกุศล คือคิดได้ทีละอย่าง เพราะเป็นสิ่งตรงข้ามกัน
    เปรียบเหมือนการฝึกกุศลกรรมบท 10 ประการอยู่เสมอก็จะละอกุศลกรรมบท 10 ได้
    - การรักษาศีล การระงับความคิดปรุงแต่ง ระงับอารมณ์ต่างๆ เฝ้าดูสิ่งที่มากระทบจิตของตนก็คือการภาวนานั่นเอง ซึ่งสามารถทำได้ตลอดเวลา เรียกว่าเป็นการเจริญสติ ตอนนี้ก็ฝึกอยู่ครับ แต่มีเทคนิคอะไรนอกเหนือจากนี้มั้ย เพราะพอกิเลสเข้ามาบางทีก็รู้ไม่เท่าทันเผลอไปตามอารมณ์อยู่ดี
    - เคยได้ยินว่าถ้าตั้งใจจริงสามารถบรรลุธรรมได้ใน 7 วัน 7 เดือน 7 ปี แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดนะครับ หรือเพราะความเพียรไม่พอก็ไม่รู้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2012
  20. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    คุยกับพี่ภูแล้วว่าผมต้องช่วยพี่ภูเรื่องบ้านรากแก่นก่อน
    เกรงว่าจะมีเวลาน้อยนะครับ เดี๋ยวคุณภาพไม่คับแก้ว..
     

แชร์หน้านี้

Loading...