ไม่แน่ใจว่า วิญญาณเป็นส่วนหนึ่งของจิต หรือ เป็นสิ่งเดียวกัน

ในความเข้าใจของคุณ มันเป็นตัวเดียวกัน แต่ศัพท์ท่านแยกขันธ์ 5 ออกเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตัวหลังนี้เอามาใช้ซ้ำกันจนเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเป็นตัวเดียวกับจิตของเรา แนะนำให้ไปฝึก มหาสติปัฏฐานฯ ตั้งแต่ อริยาถบรรพฯ จนถึง จิตตานุปัสสนาฯ มาก่อนสักพักจะเข้าใจ กระบวนการทำงานที่สัมพันธ์ และเชื่อมโยงกันห้าอย่างของ ขันธ์ 5 ถึงตอนนั้นจะหมดคำถามเรื่องนี้
คนบ้า จริงๆ ไม่ได้บ้า เขาเรียกเสียสติ ความคิดและกระบวนการคิดมันหลุดลอย ขาดการควบคุม มากๆเข้าก็ควบคุมอาการทางร่างกายไม่ได้ แสดงออกมา เราเลยเรียกแบบนั้น

 

วิญญาณเป็นผลจากการปรุงแต่ง การปรุงแต่งประกอบด้วย กาย ใจ จิต

ฉนั้นจะกล่าวว่า วิญญาณเป็นผลของจิตจึงเป็นฐานะที่ควร ด้วยกิริยาที่แสดงออก

โดยแสดงออกทางใจ และ กระทำทางกาย จึงต้องรักษา กาย วาจา ใจ ด้วยเหตุนี้

สาธุครับ

 

จิต คือ การรับรู้ และ จดจำ มีสติ และ สัมปชัญญะ เป็นส่วนประกอบ

ส่วนคนบ้าเกิดจากการที่จิตมีการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง และรวดเร็ว

การรับรู้จึงไม่คงที่ และ จดจำไม่ค่อยได้ และ ปรุงแต่งในเวลาอันรวดเร็ว

สาธุครับ

 

จิตเห็นจิตเป็นมรรค เพราะ เป็นหนทางแห่งการปฎิบัติ การเฝ้าดูจิตนั้น

ต้องใช้จิตดูเท่านั้นจึงจะเห็นจิต เมื่อจิตเห็นจิต จะเห็นธรรม ดั่งคำว่า

จิตในจิต ธรรมในธรรม หากเข้าใจอย่างท่องแท้ จึงได้คำว่า กาย เวทนา จิต ธรรม

สาธุครับ

 

ผมขอกล่าวเรื่องคนบ้าสักเล็กน้อยครับ เป็นบุคคลที่น่าสงสารมาก เพราะต้องมีชีวิตเช่นนั้นตลอดจนสิ้นอายุ

ยากที่จะแก้ไขได้ง่าย จนกว่าจิตจะหยุดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนเกิดความช้าลง

ต้องใช้ระยะเวลาในการเกิด-ตายนับจำนวนไม่ได้ และ จะค่อยๆมีสภาพเป็นปกติต่อเมื่อ

จิตเริ่มเคลื่อนไหวช้าลง มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย เช่น คนที่เป็นออทิกติก หรือ ไฮเปอร์

ตัวอย่างที่ผมนำมากล่าวนั้น เป็นอาการที่น้อยลงจากที่เคยเป็นคนบ้าในอดีตชาติ

หากพบเห็นที่ไหน ก็ขอให้อุทิศส่วนกุศลด้วยครับ เพราะน่าสงสารเป็นอย่างมากครับ

สาธุครับ

 

ขะ ขะ ขะ ขันธ์5 ปะ ปะ ปะ เปรียบดั่ง เครื่องกระสุน

แท่งกล๊อกที่ปราศจากเครื่องกระสุน จะเรียกว่า ปะ ปะ xxx .....ออกไปดูก่อน

ปุถุชนที่ขาดการสดับ ขาดการรู้ชัดว่า แท่งกล๊อก นั้นปราศจากเครื่องกระสุน ย่อมสำคัญว่า เป็น ปะ ปะ xxx .....ออกไปดูก่อน

ปุถุชนที่ขาดการสดับ ขาดการ รู้ชัดว่าขันธ์5พรากออกไปจากจิตแล้ว ก็ย่อมสำคัญว่า เป็น จะ จะ xxx .....ออกไปดูก่อน

ภิกษุลามกในสมัยพุทธกาล สำคัญไปว่า วิญญาณเป็นจิต ก็เพราะ ขาดการ
สดับ และขาดการรู้เห็นตามความเป็นจริง เอาความลามกนำหน้า มักง่าย

ปุถุชนที่ขาดการสดับ สำคัญว่า เครื่องกระสุนเป็น ปะ ปะ ปืน ก็เพราะ ขาดการ
สดับและขาดการรู้เห็นตามความเป็นจริง เอาความขาดสตินำหน้า หลงง่าย

**************

แต่.....

การจะพิจารณาเข้าไปรู้ว่า นี่จิต หรือ นี่ ปะ ปะ xxx ย่อมต้องอาศัย เครื่องกระสุน หรือ ขันธ์5
ประกอบพร้อมสรรพ จึงจะ ระ ระ รู้ ชัด ( อั๊วะ ม่าย หน่อ!! ) จะแยกออก ไม่ให้อยู่รวมกัน
ไม่พูดเสมอว่าเสมือนกัน แนบกันอยู่ ย่อมรู้ไม่ได้


สรุปนะสรุป

สรุปว่า หาก ปะ ปะ xxx ปราศจากเครื่องกระสุน เครื่องกระสุนพรากไปจาก
แท่งกล๊อก ได้นั้น สภาวะนี้มีอยู่ แต่ คนโง่ ที่ไม่รู้เห็นตามความเป็นจริง เท่านั้น
ที่จะยังบัญัติเรียก แท่งกล๊อก ว่าเป็น xxx อยู่

 

วิญญานกับจิต
อันนี้ต้องเข้าใจตรงกันก่อน
หากว่าวิญญาณที่คุณเข้าใจคือผีหรือสภาวะรับรู้ที่นอกจากกายออกไป
ประมาณว่าผีคือวิญญาณ อันนี้ใช่ใหมครับ

อันนี้ต้องศึกษาศัพท์
วิญญาณในพุทธศาสนาคือการรับรู้ เกิดได้ที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ
หากตอนนั้นคุณรับรู้ได้ในทางใด วิญญาณก็เกิดขึ้นตรงนั้น
วิญญาณกับจิตในพุทธศาสนาถือเป็นสิ่งเดียวกัน

แต่วิญญาณตามความเข้าใจของคนทั่วไปที่ว่าเป็นผีหรืิออะไรนี่

ยังไงดีละ วิญญาณ(ผี)ประกอบด้วยจิตและเจตสิก
จิต คือการรับรู้อย่างเดียว รู้อยู่อย่างนั้น นี่คือจิต เพราะฉะนั้น ธรรมชาติของจิตจะบริสุทธิ์

เจตสิก พูดง่ายๆคืออารมณ์ ที่เกิดขึ้นพร้อมกับการรับรู้ของจิต
จะดีใจเสียใจ โมโห ดี ชั่ว สุขทุกข์
ก็อยู่ที่เจตสิกนี้

ก็แต่ว่า จิต และเจตสิกจะเกิดขึ้นพร้อมกัน เพราะฉะนั้น เราจึงตัดสินอารมณ์ไปอย่างใดอย่างหนึ่ง จิตจึงไม่บริสุทธิ์

เพราะฉะนั้น วิญญาณของคุณ จึงประกอบด้วย จิต + เจตสิก

ประมาณนี้แหละครับ

 

ความหมายเดียวกันครับ มีลักษณะรู้อารมณ์

มีพบอยู่หลายชื่อ ที่พระพุทธองค์ใช้เรียก ใช้แสดง

ซึ่งล้วนมีลักษณะเดียวกัน แต่ใช้เรี่ยกชื่อต่างกรรม ต่างวาระ

เพื่อใช้แสดงหน้าที่ คุณลักษณะ แบ่งเป็นหมวด เป็นกอง อธิบาย

เช่น อธิบายอายตนะ จะเป็นเรื่อง โสตวิญญาณ จักขุวิญญาณ ฯลฯ

หรือ ขันธ์ จะเป็นเรื่องวิญญาณขันธ์

หรือ ธาตุ จะเป็นเรื่องธาตุรู้

จิตนุปัสสนา จะเป็นเรื่อง จิตเสพอารมณ์

ทั้งนี้เพื่อใช้พิจารณา แยกออกมาจากกลุ่มก้อน ตามสภาวะที่รู้อยู่ขณะนั้น

 

จิต หรือ วิญญาณ มีให้เปรียบเทียบ ดังนี้....

จักษุวิญญาณ คือ การรับรู้ทางตา เกิดจากการผัสสะกันระหว่าง ตา กับ รูป
ตัวอย่าง เช่น เรามองดูครูสอนอยู่หน้าห้อง เราเห็นครู เพราะ มีจักษุวิญญาณ
หูเราได้ยินครูสอน เพราะ มีโสตะวิญญาณ .....ซึ่งก็คือ จิตที่มารับรู้การผัสสะทางอายตนะ

หากเราดู และ ฟัง ครูสอน ก็จะมีทั้ง จักษุวิญญาณ และ โสตะ วิญญาณ ทำหน้าที่
ดู และ ฟัง เกิดการ...เห็นรูป และเข้าใจ ใน คำที่กำลังสอนอยู่ .....
แต่ถ้าขณะนั้น เราคิดไปในเรื่อง อดีต อนาคต หรือ เรื่องราวต่าง ๆ ....

จิตที่คิดไป ในเรื่องราวต่าง ๆ ก็จะทำหน้าที่ในการคิด ปรุงแต่ง สัญญา กับ มโนวิญญาณ ก็เกิดและรับรู้เรื่องราวที่กำลังคิด ปรุงแต่ง ....การดู จักษุวิญญาณ และ การฟัง โสตะวิญญาณ ดับไปแล้ว .....แม้ขณะที่ ตาก็ดู หูฟัง อยู่ที่ครูผู้สอนหน้าห้อง แต่จักษุวิญญาณ

และ โสตะวิญญาณ มันดับไปแล้ว นั่งมองดูครูตาแป็ว และหูก็ไม่มารับรู้ที่ครูผู้สอนกำลังพูดอยู่....แต่ใจคิดไปเรื่องราวต่าง ๆ มโนวิญญาณ ก็รับรู้ไปในเรื่องที่กำลังคิดอยู่ จิตคิดได้ รับรู้แค่เพียงทีละเรื่องเดียวเท่านั้น บางครั้งจิตคิดได้เร็วมาก กระโดดไปมาได้หลายเรื่องในพริบตา

แล้วเราจะรู้ได้ก็ตอนแปรงลบกระดาน หรือชอล์ค มันปลิวมากระทบหัวดังโป๊ก ...ตื่นมารับรู้ ได้ยินเสียงเพื่อนหัวเราะกัน ..เราเหม่อลอยไปชั่วขณะ นั่นเอง

ค่อย ๆ อ่าน และทำความเข้าใจกันหน่อยครับ ...........

 

ก็แปลกดีนะครับ ยังมีผู้สอนว่าจิตไม่ใช่วิญญาณขันธ์

ทิฏฐิเช่นนี้ อันตราย

 

ถามผู้พันนะครับ

ขณะฟังครู ตามองกระดาน

ขณะนั้น จักขุวิญญาณ เกิดพร้อม โสตวิญญาณในเวลาเดียวกันรึเปล่าครับ

 

ผมขอย้ำครับว่า จิตไม่ใช่วิญญาณครับ แต่เป็นผลจากการปรุงแต่งครับ

เพราะจิตเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถก่อให้เกิดวิญญาณได้ครับ

การปรุงแต่ง ต้องประกอบด้วย กาย ใจ จิต ครับ จึงจะเกิดวิญญาณได้

กายเกิดการกระทบ ใจรู้สึก จิตรับรู้ความรู้สึก จิตจดจำการรับรู้ ใจปรุงแต่ง กายกระทำ

วิญญาณจึงเกิดขึ้นตามการปรุงแต่ง ในขณะจิตจดจำ วิญญาณจึงเป็นผลจากการปรุงแต่งครับ

สาธุครับ

 

วิญญานในขันธ์ห้านี่คือ เส้นประสาทครับ

 

เป็นเรื่อง ของ พระอนาคามี

[๖๐] อนาคามี ๕ (ท่านผู้บรรลุอนาคามิผลแล้ว, ผู้ไม่เวียนกลับมาอีก — Non-Returner)
๑. อันตราปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานในระหว่าง คือ เกิดในสุทธาวาสภพใดภพหนึ่งแล้ว อายุยังไม่ถึงกึ่ง ก็ปรินิพพานโดยกิเลสปรินิพพาน — one who attains Parinibbana within the first half life-span)
๒. อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้จวนจะถึงจึงปรินิพพาน คือ อายุพ้นกึ่งแล้ว จวนจะถึงสิ้นอายุจึงปรินิพพาน — one who attains Parinibbana after the first half life-span)
๓. อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้แรงชักจูง คือ ปรินิพพานโดยง่าย ไม่ต้องใช้ความเพียรนัก — one who attains Parinibbana without exertion)
๔. สสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยใช้แรงชักจูง คือ ปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก — one who attains Parinibbana with exertion)
๕. อุทธังโสโต อกนิฏฐคามี (ผู้มีกระแสในเบื้องบนไปสู่อกนิฏฐภพ คือ เกิดในสุทธาวาสภพใดภพหนึ่งแล้วก็ตาม จะเกิดเลื่อนต่อขึ้นไปจนถึงอกนิฏฐภพแล้วจึงปรินิพพาน — one who goes upstream bound for the highest realm; up-streamer bound for the Not-Junior Gods)
A.I. 233; IV. 14,70,380; V. 120; Pug.16 องฺ.ติก.๒๐/๕๒๘/๓๐๒; องฺ.นวก.๒๓/๒๑๖/๓๙๔; องฺ.ทสก.๒๔/๖๔/๑๒๙; อภิ.ปุ.๓๖/๕๒-๖/๑๔๘.

__________________________________________________________


เท่าที่ผมเรียนรู้มา ผมเคยสงสัยเรื่องนี้อย่างมาก มาพักหลัง จึงมารู้ว่า

จะเอาความรู้อนุบาล ไปหาคำตอบ ปัญหา ของ ท่านศาสดาจารย์ ปริญญาเอก คงไม่ได้
จึงได้แต่อดทน เรียนรู้ต่อไป สำรวจเส้นทางที่ถูกต้องอยู่เสมอ ในระหว่างเดินทาง จนกว่าจะพบคำตอบ


ในวงปฏิจจสมุปบาท เรา เรียกสิ่งนี้ว่า ตัณหา
และ ผู้ที่จะเห็น ตัวจริง เสียงจริง ของ สิ่งนี้ได้ คือ พระอนาคามี ชนิด ที่ใกล้ความเป็นพระอรหันต์ มากๆ และ พระอรหันต์ เท่านั้น

ดังนั้น ผู้ใด ต้องการรู้เรื่องนี้ ต้องบำเพ็ญให้สำเร็จ แล้ว จะได้ประจักษ์ด้วยตนเอง

ความเห็น ของ ข้าพเจ้า อาจจะ ผิด หรือ ถูก ก็ได้ สหธรรมิก โปรดพิจารณา


.

 

คนตายแล้วก็มีเส้นประสาทครับ

 

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นอายตนะเดียวกันใน รูปขันธ์ มิได้ข้ามขันธ์ ไม่เป็นการ เกิด-ดับ ในขันธ์
จิตสามารถรับรู้ด้วยตาและฟังด้วยหู ในเวลาเดียวกันได้ครับ พร้อมโต้ตอบและรับรู้อารมณ์ทันที

อายตนะทั้ง 6 รู นี้ เชื่อมต่อไปที่จิตตัวเดียวกันครับ เป็น เหตุผล คำตอบสุดท้าย ครับ.

 

อนุโมทนาครับ

เห็นตรงกันครับ จิตรู้ได้ทีละขณะ

จิตรู้สิ่งใดขณะนั้นขันธ์ ๕ ประชุมพร้อมกัน ไม่ได้ทำงานแยกจากกันทีละขณะเลย

แต่ปัญญาเท่านั้นที่แยกรูปออกจากนาม แยกนามขันธ์๔ในเวลานั้นให้รู้ได้



อีกเหตุผลหนึ่ง

จิตและเจตสิกเกิดขึ้นพร้อมกัน ไม่ก่อนไม่หลัง แต่จิตเป็นใหญ่ในการรับรู้

ฉนั้นแล้ว เวทนา สัญญา สังขารขันธ์ จัดเป็นเจตสิกเช่นกัน จึงเกิดพร้อมกับจิต


ส่วนพระสูตรลิงคว้ากิ่งไม้ เคยอ่านบ้างครับ อนุโมทนานะครับ ^^

 

จิตก็คือวิญญาณ เช่น จักษุวิญญาณ การเกิดทางตา การเกิดทางหู ....ฯ

ตามองรูป ถ้าไม่มีวิญญาณ การเห็นก็ไม่เกิด เหมือนที่ยกตัวอย่างว่า มองแต่ไม่เห็นสักแต่ว่ามอง จิตไม่รู้ว่ามองเห็นอะไร เพราะ จิตคิดไปในเรื่องอื่น ๆ ขณะนั้น

แม้แต่หู หากฟังแล้วได้ยินเป็นเสียง แต่ไม่รู้ว่าพูดอะไร ถามกลับว่า "อะไรนะ"
ก็เพราะจิตมัวแต่คิดไปในเรื่องอื่น ๆ คิดว่าคงเคยเป็นนะ ....

หากใช้คำว่า ขาดสติ ก็คงได้ เดี๋ยวก็กลายเป็น ต้องแปล สติ คืออะไร อีก ????

 

เป็นเช่นนั้น

บางทีรูปก็ดับช้ากว่านามครับ

เห็นกับฟังไปพร้อมๆกัน

บางจังหวะฟังรู้เรื่อง แต่สิ่งที่เห็นเป็นแค่สี

บางจังหวะฟังไม่รู้เรื่องแทบไม่ได้ยินความความหมายอะไร แต่สิ่งที่เห็นกลับรู้ความหมายชัดเจน

เมื่อสลับกันใส่ใจ หูบ้าง ตาบ้าง ทั้งตั้งใจหรือไม่ก็ตาม อยู่ที่อะไรกระทบชัดที่สุด

ที่แน่ๆ กายกระทบร้อน แข็ง หรือเวทนาที่เกิดอยู่ ขณะนั้นถูกกลบไปแล้ว ^^



จะไปถามเพิ่มทำไมล่ะครับ ก็เข้าใจสติกันอยู่

 

ท่านเล่าปังรู้ได้ไงนี้ สุดยอด รู้ว่าผมซื้อ ปืนGlock 19 มา 67000 บาท
ซื้อมาตั้งหลายปีแล้วด้วย

ข้าน้อยขอคารวะ(y)