หาธรรมะอ่านเอง ก็เหมือนหายากินเอง ไม่ผ่านแพทย์ตรวจสั่ง จึงหลงธรรมะ?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 27 มีนาคม 2012.

  1. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    พระพุทธเจ้าเป็นดั่งหมอรักษาโรค คือ โรคอวิชชาให้มนุษย์
    เมื่อบุคคลผ่านการพิจารณาอินทรีย์โดยพระพุทธเจ้าแล้ว จะ
    ได้ "รับธรรมะที่เหมาะสมกับอินทรีย์ของตน" ไม่ใช่ธรรมะที่
    ไม่เหมาะสมกับตนเองดุจหมอตรวจคนไข้แล้วเลือกยาขนาน
    ที่เหมาะสมให้กับคนไข้นั้น ทว่า ปัจจุบัน คนมักหลงคิดว่าเขา
    สามารถ "เลือกยากินเองได้" หรือก็คือ "เลือกเอาธรรมะใด
    ของพระพุทธเจ้ามาเป็นความรู้ของตนก็ได้" ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ถูก
    นัก พวกเขาไม่ทราบว่ายาแต่ละขนานแรงแค่ไหน? ธรรมะแต่
    ละหมวดต้องใช้อินทรีย์กล้าแกร่งแค่ไหน จึงควรเหมาะรับได้?
    พวกเขาบริโภคธรรมะเข้าไปแล้ว มีอาการไม่ต่างจากการติด
    ยาเสพติด คือ ติดธรรมะดั่งเช่นติดยาเสพติด ดังนี้ พระสาวก
    สายตรงแท้ (ก่อนเกิดลัทธินิกาย) จึงไม่ได้นำธรรมะออกมา
    ให้แก่บุคคลใด "โดยไม่ผ่านการตรวจพิจารณาอินทรีย์ก่อน"
    เช่น พระสูตรเรื่อง "สุขาวดี" นั้นมีอยู่จริง พระพุทธเจ้าแสดง
    จริง แต่พระสาวกสายตรง จะไม่เอาออกมาเผยแพร่ให้คนที่
    ไม่เหมาะควรได้รับไป เพราะไม่เหมาะควรแก่อินทรีย์ นั่นเอง
    ทว่า คนบางจำพวกคิดว่ายิ่งเผยแพร่ธรรมะออกไปให้มาก ก็
    ยิ่งดี เขาจึงกลายเป็น "พาหะแพร่พิษ" ให้คนต้องพิษธรรมะ
    เสพติดธรรมะกันงอมแงม ไม่อาจแก้ไขได้ เขาจึงไม่ต่างไป
    จาก "งูพิษ" แพร่พิษแก่ผู้คนไปทั่ว โดยไม่รู้ผลที่ตามมาเลย
     
  2. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    พระรัตนตรัยที่แท้ เป็นของสูงบริสุทธิ์ ไม่ควรแก่การใช้โดยไม่ผ่านการตรวจสั่ง


    สารเคมีที่มีความบริสุทธิ์มาก ก็จะเกิดปฏิกริยาได้ง่ายกับร่างกาย ดังนั้น สารเคมีเหล่านั้น
    จึงต้องเก็บให้ปลอดภัย และเวลาใช้ เราจะใช้มือหยิบจับไม่ได้ จำต้องใช้เครื่องมือตักตวง
    จึงจะปลอดภัย อัน "พระรัตนตรัย" ที่แท้จริงนั้น บริสุทธิ์มาก เราจะได้รับได้ เมื่อผ่านการ
    "ตรวจอินทรีย์" ว่าพร้อมรับแค่ไหนแล้วก่อน จึงควรได้รับตามเหมาะสม ไม่เช่นนั้นจะได้
    รับผลตรงข้าม คือ "เป็นพิษเป็นภัย" ได้ พระพุทธ, พระธรรม, พระสงฆ์ ที่แท้จริงเป็นสิ่ง
    ที่ควรสรรเสริญ เป็นสิ่งประเสริฐ ข้าพเจ้าไม่เคยลบหลู่ในพระรัตนตรัยแท้จริงนั้น เพียงแค่
    "ส่องให้เห็นพระรัตนตรัยปลอมจอมเลียนแบบ" ที่ทำได้เหมือนจริง เท่านั้น เพื่อให้ท่าน
    ตื่นขึ้น "จากความลุ่มหลง" แล้ว "ตรงสู่พระรัตนตรัยที่แท้จริง" เสียที ซึ่งท่านก็จะได้พบ
    "พระพุทธ" ก่อนเป็นลำดับแรก ท่านเหมือนหมอที่ตรวจร่างกายเรา ตรวจอินทรีย์เราก่อน
    ที่จะสั่งยา ก็คือ "ให้ธรรมะที่เหมาะควรแก่อินทรยีของเรา" นั่นคือ "พระธรรม" แท้ที่เรานี้
    ควรจะรับ ควรจะได้ เพราะเหมาะสมแก่อินทรีย์ของเราแล้ว (ไม่ใช่ไปหยิบยากินเอง โดย
    ไม่ผ่านแพทย์ตรวจสั่ง) ท้ายที่สุด เมื่อท่านหายจากโรคโง่ โรคอวิชชาอย่างถาวรแล้ว ก็
    สามารถ "ต่อสายธรรม" โดยตรงจาก "พระสงฆ์แท้สายตรงดั้งเดิมก่อนเกิดลัทธินิกายได้"


    นั่นคือ "พระรัตนตรัยอันแท้" ที่ข้าพเจ้าไม่เคยลบหลู่ปรามาสเลยแม้แต่น้อย แต่เพื่อให้ท่าน
    ได้เข้าถึงพระรัตนตรัยอันแท้นั้น ข้าพเจ้าจำต้องทำกรรม ลบหลู่ปรามาส "ของปลอม" เพื่อ
    ให้ท่านทั้งหลาย "ตื่นขึ้นจากความหลง" เดินตรงสู่ "พระรัตนตรัยแท้" และนิพพานในที่สุด
     
  3. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    อะไรจะปานนั้น..........
     
  4. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ได้เกิดเป็น "ชาวพุทธ" สักชาติหนึ่ง ควรได้พบ "พระรัตนตรัยอันแท้จริง"


    พระรัตนตรัยที่แท้จริง มิได้อยู่ภายใต้ "สมมุติบัญญัติ" ใดๆ บนโลกเลย ดังนั้น จึง
    มิได้อยู่ในศาสนา, ลัทธิ หรือนิกายใดๆ แต่เป็น "อิสระหลุดพ้นแล้วจากทุกสิ่งใน
    โลก" เรียกว่า "พ้นโลกแล้ว" หรือ "หลุดจากความลุ่มหลงดึงดูดของโลก" แล้ว
    ซึ่งท่านจะได้พบจริงๆ ก็ได้ ด้วยบุญบารมีในชาติปางก่อนทำสั่งสมกันมาพร้อมดี
    แล้ว เมื่อได้เกิดเป็นชาวพุทธ ซึ่งก็คือ "สมมุติอันเป็นรากฐานเบื้องต้น" ที่ปูทาง
    รองไว้ก่อน แต่ไม่ใช่ "เป้าหมายอันเป็นที่สุด" หรือ "พระรัตนตรัยอันแท้จริง" ก็
    เมื่อท่านได้พากเพียรปฏิบัติบำเพ็ญในศาสนาหรือลัทธิ, นิกาย อันเป็นสมมุตินั้น
    จน "อินทรีย์พร้อมเหมาะ สมควรได้รับ" แล้ว ท่านก็จะได้รับ "พระรัตนตรัย" อัน
    แท้จริง ซึ่งท่านจะต้องผ่าน "พระพุทธ" (พระพุทธเจ้า) ก่อนจึงรับพระธรรมที่แท้
    (ที่เหมาะควรเฉพาะตัวท่านเองได้) ดุจคนไข้ที่ย่อมต้องผ่านการตรวจจากแพทย์
    ก่อนจึงจะรับยาได้ เมื่อผ่านแล้วพระพุทธเจ้าจะทรงประทานธรรมะที่เหมาะสมให้
    กับท่านเอง ซึ่งแต่ละท่านจะได้รับ "ต่างกันไป แต่กลับ ตรงนิพพาน" เหมือนกัน
    ทั้งหมด เช่น บางท่านได้พระธรรมจักร, บางท่านได้พระธรรมขันธ์, บางท่านได้
    พระอริยสัจธรรม ฯลฯ เป็น "ใบไม้ในกำมือ" เฉพาะตัวที่เหมาะสมแก่ท่าน นั้นคือ
    "พระธรรมแท้" ไม่ใช่พระธรรมของคนอื่น, ยาของคนอื่น (ที่เราไปเอามากินเอง)
    หรือ ธรรมในตำรา ก็หาไม่ (ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เราใช้เป็นเพียงการปฏิบัติบำเพ็ญพัฒนา
    อินทรีย์เป็นพื้นฐานเท่านั้น มิได้ใช้เพื่อความหลุดพ้นได้แท้จริง) สุดท้าย ท่านจะ
    ได้พบ "พระอริยสงฆ์สาวก" ที่มี "บุญวาสนาบารมีร่วมกับท่าน" ซึ่งรอท่านอยู่ ให้
    ท่านไปพบและ "ต่อสายธรรมจากท่าน" นั้นๆ นั่นคือ "ครูบาอาจารย์ผู้มีบุญวาสนา
    ร่วมกับท่านมาในอดีต" แต่ถ้าท่าน "ยึดติดในของปลอม" ท่านจะไม่ได้พบของจริง
    เหล่านี้เลย เสียชาติเกิดเปล่า ที่ได้อุตสาห์สั่งสมบุญบารมีมาเพื่อเกิดเป็นชาวพุทธ!
     
  5. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=1NclIzR1yQ0&feature=related]พระไภษัชยคุรุตถาคต 藥師如來 - YouTube[/ame]
     
  6. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    อาการ "หลงธรรมะ, เสพติดธรรมะ, ต้องพิษธรรมะ" นั้นเป็นไฉน?


    1. หลงตัวเองว่าบรรลุธรรมะ : เป็นอาการแรกที่พบได้บ่อยมาในคนที่เอา
    ธรรมะของพระพุทธเจ้าไป โดย "ไม่ผ่านการพิจารณาแล้วสั่งให้โดยท่าน"
    เมื่อหลงคิดว่าตนดีเลิศแล้ว เอาธรรมะไปศึกษา คิดว่าตนบรรลุธรรม แล้ว
    จึงหลงตนว่าบรรลุอรหันตผล ไม่มีผู้ใด จะแก้ไขให้หายจากโรคอวิชชาได้

    2. หลงตัวเองว่าเป็นผู้รู้ธรรมะ : เป็นอีกอาการที่เบากว่าแบบแรก คือ คิด
    ว่าตนรู้และเข้าใจในธรรมะนั้นแล้ว แต่ยังไม่ถึงขั้นที่คิดว่าตนได้อรหันตผล
    โดยไม่มีผู้ใดมาแก้ไข ชี้แนะให้ได้อีกว่าท่านเข้าใจถูกหรือผิดประการใด ?
    เพราะความหลงในตนเองครอบงำปิดบังดวงตา คิดว่าตนเองเป็นผู้รู้นั่นเอง

    3. เสพติดธรรมะไม่จบสิ้น : เป็นอาการของคนที่ศึกษาธรรมะแล้วหลงใน
    ธรรมะ เลยศึกษาไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว "ความหลุดพ้น
    จะอยู่ที่ใด" จึงหาไปเรื่อยๆ อ่านไปเรื่อยๆ เพราะสนุก เพราะชอบ เพราะสุข
    เพราะ "ติดธรรมะ" ไปแล้วโดยไม่รู้ตัว ไม่มีทางออก หาทางหลุดพ้นไม่เจอ

    4. ต้องพิษธรรมะจนไม่ปกติ : เป็นอาการของคนที่คิดอุปทานไปว่าต้องทำ
    อย่างนั้น อย่างนี้ จึงจะบรรลุธรรม หรือได้อรหันต์ หรืออื่นๆ แต่ "ล้วนคิดผิด"
    ไป จึงไปฝึก ไปทำ ไปปฏิบัติแบบผิดทาง ต้องพิษธรรมะ เอาธรรมะไปปฏิบัติ
    จนกลายเป็น "ผิดปกติ ผิดธรรมชาติ" เช่น เป็นคนไร้จิตใจ ไร้อารมณ์ เป็นต้น


    สี่อาการเหล่านี้ เป็น "อาการที่พบบ่อยของผู้รับธรรมะไม่เหมาะแก่อินทรีย์" นั้น
    แต่ยังมีอาการอื่นๆ อีกมากมาย ที่ดูออกได้ยาก และส่งผลร้ายต่อคนโดยไม่รู้ตัว
     
  7. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    อาการต้องพิษธรรมะ เอาไปปฏิบัติจิตจนผิดทาง ทำให้ผิดปกติ ผิดธรรมชาติ


    1. อาการปฏิเสธโลก : คือ หลงคิดไปว่าโลกไม่เที่ยง จึงมีทัศนคติเชิงลบต่อโลกและ
    มองโลกในแง่ลบลงเรื่อยๆ ไม่ได้มีสายตาอันเนกลาง หรือจิตใจอันเป็นกลางเลย เมื่อ
    ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ก็จะยิ่งจมดิ่งลงสู่ "ความรังเกียจโลก" และ "คิดทำลายล้างโลก" ไป

    2. อาการตัดทุกอย่าง : คือ หลงคิดไปว่าสรรพสิ่งไม่เที่ยง จึงต้องไป "ตัดความอยาก
    ความยึดมั่น และกิเลส" เสีย ฝึกจิตให้ "ตัดฉับพลัน" ได้ตลอด เลยตัดขาดกับทุกอย่าง
    จนท้ายที่สุด ก็ "โดดเดี่ยว" เพราะตัดขาดกับทุกสิ่ง ตัดแม้แต่สายสัมพันธ์ตามธรรมชาติ

    3. อาการคุมทุกอย่าง : คือ หลงคิดไปว่าสรรพสิ่งไม่เที่ยง จึงต้องไป "คุมใจตัวเองให้
    ไม่อยาก ไม่ยึด ไม่มีกิเลส" แบบนี้พบบ่อยในผู้เคร่งศีล และไม่เข้าใจคำว่า "ศีล-ปกติ"
    จึงฝึกจิตจนไม่ปกติ ไม่เป็นธรรมะ ธรรมดา ธรรมชาติ คุมจิตใจตนเองทุกอย่างได้หมด

    4. อาการดับทุกอย่าง : คือ หลงคิดไปว่าสรรพสิ่งไม่เที่ยง จึงต้องไป "ดับกิเลส ดับ
    ให้หมดทุกอย่าง" ฝึกจิตในทางดับสลาย จนพลังจิตแก่กล้า ดับได้ทุกอย่าง แม้แต่จิต
    ใจตัวเอง ก็สามารถดับได้ ทำให้จิตใจถูกทำให้ผิดธรรมชาติ ยึดอยู่แต่ความดับสูญไป

    5. หยุดยั้งการเกิดทุกอย่าง : คือ หลงคิดไปว่าสรรพสิ่งไม่เที่ยง จึงต้องไป "หยุดยั้ง
    การเกิดของกิเลสเสียต้นทาง" ไปอุปทานยึดมั่นว่าต้องไม่ให้มันเกิด ต้องไม่เกิดอีกจึง
    จะนิพพานตามนิยามนั้นได้ (ไม่เกิด) ด้วยสติว่องไว และกำลังจิตสูงก็ห้ามการเกิดได้

    6. รูปลักษณะแห่งพระอรหันต์ : คือ หลงคิดไปว่าพระอรหันต์ ต้องเป็นอย่างนั้น "จึง
    ไปฝึกเปลือกนอก ลักษณะต่างๆ ตามนั้น ดุจพระอรหันต์ในความคิดของตน" ซึ่งเป็น
    การอุปทานไปเอง คิดวาดภาพพระอรหันต์ไปเอง ว่าเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ แล้วไปฝึกเอา


    อาการของ "ต้องพิษธรรมะ" ยังมีอีกมากมาย และการแก้ไข จำต้องอาศัยวิธี "พิษ
    ต้านพิษ" ให้สลายแก้ไขให้สิ้น กระทบกันให้เป็น 0 กันไปเอง (หมดทั้งสองพิษ) จึง
    จะคลายหายได้ จากอาการต้องพิษธรรมะเหล่านี้ จำต้องรับ "ธรรมะแบบมีพิษ" เพื่อ
    สลายพิษธรรมะเดิมที่ตนได้รับก่อน จึงมีอินทรีย์พร้อมรับธรรมะอันถูกต้องตรงทางได้
     
  8. หนุ่มยาดอง

    หนุ่มยาดอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    678
    ค่าพลัง:
    +680
    ผมมีใบแพทย์สั่งครับ.. โมทนา สาธุ..(ขอบคุณมากๆ)
     
  9. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=BwQo_DROVu8]เอียะซือชิกฮุก 藥師七佛 - YouTube[/ame]
     
  10. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    ท่านเองที่หลง พอยกเอาธรรมะไปเปรียบเทียบกับยาก็ลยติดโวหารไปยึดมั่นถือความเป็นยายาในความหมายทางโลกแล้วยกไปครอบธรรมะซะหมด มันผิดตรรกะที่ควรจะเป็น
    ถ้าท่านจะเปรียบว่าธรรมะเหมือนยาก็ได้ แต่ต้องพิจารณาให้กว้างขวาง อย่างเช่นคนโบราณเปรียบว่าอาหารนี่แหละคือยา การกินอาหารที่หลากหลายทำให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน อาหารคือยารักษาโรคหิว โรคเหนื่อย โรคเสื่อม ทำให้กายดำรงอยู่ ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ปรากฎในหนังสือธรรมะต่างๆก็เหมือนอาหาร คือยารักษาใจในระดับพื้นฐาน ให้สามารถครองตนได้อย่างเป็นปรกติสุข ส่วนธรรมโอสถที่รักษาก็มีอยู่เหมือนที่ท่านยกมา อันนั้นมันเฉพาะด้าน รักษากิเลสเฉพาะบุคคล เหมือนยาที่หมอจ่ายให้คนไข้ แต่คนที่รักษาตนมาดี ตลอดชีวิตอาจไม่จำเป็นต้องกินยาเลยก็ได้ เหมือนคำฝรั่งว่า what you be is what you eat
    นี่เฉพาะนิยามที่ว่าธรรมเปรียบเหมือนยาซึ่งเป็นปัจจัย 4 มันยังหลากหลายมากกว่าที่ท่านนึกซะอีก แต่ธรรมะยังเปรียบกับอย่างอื่นได้อีกมากมาย เช่นเปรียบเหมือนแผ่นดิน อากาศ มหาสมุทร ฯลฯ เพราะว่าธรรมนั้นมีความหลากหลายเปรียบกับอะไรก็ได้ แต่ต้องอย่าลืมว่าเมื่อเรานำไปเปรียบอะไรต้องเข้าใจว่ากรอบที่เรายกมามันแคบกว่าความเป็นจริงของธรรมะอีกมากมาย โปรดเข้าใจซะใหม่
     
  11. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    สมมุตินั้นแหละเป็นบันใด รากฐาน
    ศาสนาสมมุตินั้นแหละ เป็นเบื้องต้น
    มิใช่สรณะให้ยึดถือ แต่เป็นบันใด
    ให้ "ก้าวข้ามไปจนถึงพระรัตนตรัย
    ที่แท้จริง" ดังนี้ จึงใช้สมมุตินั้นแหละ
    ไปสู่วิมุติ พบนิพพานอย่างแท้จริง
     
  12. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=6wzfCaCf8a4&feature=related]Medicine Buddha Mantra - YouTube[/ame]
     
  13. หนุ่มยาดอง

    หนุ่มยาดอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    678
    ค่าพลัง:
    +680
    เหนื่อยมั้ยครับ ท่านวัชรธร?..55555..(ส่งกำลังใจให้ท่านฮะ)
     
  14. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722

    เหนื่อยครับ ยังเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจปกติ
    เหนื่อยเป็นครับ แต่ก็ "ทำต่อไป" ดูจาก
    นักกีฬาบ้าง, ดาราบ้าง เป็นเยี่ยง ไม่ได้
    เอาอย่างเขานะครับ เห็นเขาฝึกฝนตน
    อย่างหนัก แทบทุกวัน เราไม่ได้ไปแข่ง
    ขันกับใคร แต่ก็น่าเอาอย่างความเพียร
    ของเขาครับ


    คุณละ เหนื่อยบ้างไหม? รูปลูกชายหรือครับ?
     
  15. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละรูป
    นั้นเสีย รูปนั้นอันท่านทั้งหลายละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขตลอดกาลนาน.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละสิ่งนั้นเสีย
    สิ่งนั้นอันท่านทั้งหลายละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขตลอดกาลนาน.
    บุคคลย่อมพิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของสูญแม้อย่างนี้.
    ----
    คำสอนของพระพุทธเจ้า โลกเป็นของไม่เที่ยง
     
  16. หนุ่มยาดอง

    หนุ่มยาดอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    678
    ค่าพลัง:
    +680
    ผมไม่เหนื่อยครับ..สบายๆ อ้อ..รูปนี้ลูกชายผมเอง น่ารักเป่า?อิอิ..
     
  17. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    สำนักโปเยวัชรธร บิดเบือนพระธรรม ปฏิบัติผิดธรรมชาติ
     
  18. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ธรรมะแบบ "พิษต้านพิษ" ล้างพิษธรรมะที่คนได้รับขณะ "อินทรีย์ไม่พร้อม"


    เมื่อบุคคลมีอินทรีย์ห้าที่พร้อม พระพุทธเจ้าจึงเลือก "ธรรมะที่เหมาะสมแก่อินทรีย์"
    นั้นให้ ด้วยเพราะทรงมี "พุทธจักษุ" ที่สามารถอ่านอินทรีย์อ่อนแก่ของปวงสัตว์ได้
    แต่ด้วย "เมื่อทรงปรินิพพานแล้ว ย่อมหาผู้มีจักษุ ดูอินทรีย์ของปวงสัตว์ไม่ได้อีก"
    ดังนั้น เป็นต้นมา "ธรรมะในตำราและคัมภีร์ต่างๆ" ถูกนำไปใช้, ปฏิบัติ โดยเริ่มต้น
    จาก "อวิชขชาคือความไม่รู้" ก่อนที่จะ "รู้ว่าหลงในภายหลัง" ยกตัวอย่างเช่น ลป.
    มั่น ได้นำ "สัญญาขันธ์และอศุพภะกรรมฐาน" ไปปฏิบัติร่วมกัน ผลคือ ท่านมองดู
    ผู้หญิงปกติ เป็น "โครงกระดูก" จนหลวงปู่อีกท่าน ได้แนะท่านว่านั่นคือ "สัญญา
    วิปลาส" แล้ว มิได้เป็นธรรมะ ธรรมชาติ เป็นการปรุงแต่งด้วยสัญญาขันธ์ให้เป็นไป
    เช่นนั้นเอง มิได้มีปัญญาเห็นแจ้งตามจริง เห็นจริงตามธรรม (แต่ไม่หลง) ก็หาไม่
    ต่อมา เมื่อหลวงปู่มั่นได้รับการแก้ไขแล้ว จึงได้พบ "พระพุทธเจ้า" มาให้เห็นทาง
    "นิมิต" และสามารถสอนธรรมท่านได้ "โดยตรง" ท่านสงสัยว่าทำไม พระพุทธเจ้า
    ปรินิพพานแล้วจึงมาให้เห็นได้ ท่านได้ตอบโดยนัย เหมือนว่าเป็นรูปขันธ์ที่มีอยู่ใน
    ผู้มองเอง มิได้อยู่ในพระพุทธเจ้าที่แท้จริง (สรุปตามความคิดเห็นของผู้เขียน หาก
    ผิดพลาดไปขออภัยไว้ ณ ที่นี้) นั่นแหละหลังจาก "ใช้พิษต้านพิษ" แก้ไขพิษธรรมะ
    ที่หลวงปู่มั่นได้ "สัญญาวิปลาส" ได้แล้ว ท่านจึงได้พบพระพุทธเจ้าที่แท้จริงและได้
    "ธรรมะจากพระพุทธเจ้าโดยตรง" และจากนั้น ท่านจึงอยู่สายพระป่าต่อไป (ต่อสาย
    ธรรมยุติ อยู่ร่วมกับสงฆ์อื่นๆ ต่อไป) นั่นคือ "พระรัตนตรัยที่แท้" ซึ่งได้รับหลังใช้พิษ
    ต้านพิษ ล้างพิษธรรมะ แก้ไขอาการพิษธรรมะที่ปฏิบัติให้ตรงทางก่อน จึงได้รับธรรม
    ที่แท้จริงจาก "พระพุทธเจ้าโดยตรง" ในภายหลัง ครบองค์พระรัตนตรัยที่แท้จริง ได้
     
  19. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722

    น่ารักครับ


    ลูกชายคนแรกหรือครับ?
    คุณพ่อมือใหม่ จะเห่อลูกมากนะครับ
    จะมี "พลังพิเศษ" ในการสร้างรากฐานครอบครัว


    เป็นช่วงเวลาที่ผู้ชาย ทำหน้าที่ได้ดี และดูดีที่สุดนะครับ
     
  20. หนุ่มยาดอง

    หนุ่มยาดอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    678
    ค่าพลัง:
    +680
    เอ่อ..ท่าทางจะไปกันใหญ่ อิอิอิ..ก็ตามประสาคุณพ่อทั่วๆไปน่ะครับ..ไม่มีไรพิเศษ..ทุกอย่างธรรมดา สามัญชน..อ้อ..ลืมบอกไป นี่เป็นลูกชายคนที่10ครับ ผมมีลูกรวมทั้งสิ้น 10คนพอดี.. ผมรักเด็กครับ เลยมีลูกเยอะไปหน่อย สนุกดี..อิอิ.. (ขอตัวก่อนนะครับ เจ้าหนูกวนแร่ะ ต้องไปอู้มเขาซ่ะหน่อย วันหลังจะมาคุยใหม่ ชอบธรรมของท่านนะฮะ
    อ่านแล้วไม่ปวดหัว)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 มีนาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...