***กสินใน 1 วัน / อรูปฌาน4 ใน 1 วัน***

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย GluayNewman, 18 ธันวาคม 2011.

  1. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    หลังจากที่อรูปฌานเกิดแล้ว
    ความพิศดารในการบำบัดโรค ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
    ผมว่าเป็นการ Mix ระหว่างจักระ กับอรูปฌาน ซึ่งไม่มีในตำราอย่างแน่นอน
    ผมเองก็ปรับเปลี่ยน พลิกแพลงไปตามสภาพความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น
    มันมีเวทนาอย่างไร ก็แก้ไขไปอย่างนั้น ถ้าไม่หาย ก็ปรับๆ เอานู้นมาผสมนี่ เอานี่ไปผสมนั่น
    บางวัน จักระไปหมุนรอบเวทนา ที่ข้างๆ ตัวผม ไม่ได้อยู่ในกาย ออกมาหมุนข้างนอก เวทนาก็ออกมาข้างนอกด้วย
    เป็นอำนาจของวิญญาณัญจายตนะ ความรู้สึกที่ไม่มีที่สิ้นสุด นั่นก็หมายคว่ามว่า สถานที่ไม่ถูกจำกัด ที่ไหนก็ได้
    ผมลองเอาไปหมุนที่ไกลๆ ไกลตัวมากๆ มันก็ไปนะครับ ไปหมุนนู้นเลย บนฟ้า หรือใต้ดินก็ได้ ...เป็นเรื่องน่าแปลก
    คือจักระ ไปหมุนที่ไหนก็ไม่แปลก เพราะมันเป็นนิมิต แต่เวทนา ไปเกิดไกลๆ ได้นี่ น่าฉงน

    บางวันเป็นมาก จักระเอาไม่อยู่ ก็ได้เนวะสัญญาฯ มาช่วย
    เปลี่ยนเวทนาป่วยๆ นี่ให้เป็นอะไรที่ไม่ใช่เวทนาป่วย พอประทังไป
    หรือบางทีก็ใช้อากิญจัญญาฯ ให้ไม่มีป่วยไปเลย ...บรรเทาไปได้อีก

    ทั้งนี้ทั้งนั้น อยู่กับเวลาที่สามารถ "ทรงฌาน" เอาไว้ได้
    ทรงได้นาน เวทนาก็ไม่เบียดเบียนนาน ทรงฌานเกิดจาก การหน่วงหรือประคับประคองอารมณ์ฌานไว้
    อีกอย่างขึ้นกับ "พลัง" ของฌาน คือตั้งแต่ ฌาน 1-4 มันจะมี พลังลึกซึ้งต่างกัน
    การเข้าถึง และเวลารักษา ก็มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

    บางเช้าที่ผมมีอารมณ์ปลอดโปร่งผิดปกติ อันนี้พอทราบเลยว่า เกิดจากจิตมีปีติ
    ปีติมันจะทำให้กระฉับกระเฉง เบิกบาน มากกว่าปกติ
    ปีติจะแสดงตัวชัด เมื่อจิตถึงฌาน 2 ครับ ฌานนี้ ปีติจะเด่นชัดมาก

    ที่จริงผมไม่ทราบหรอกว่ามันคือฌาน 2
    แต่เมื่อเวลาผ่านไปราว 1 อาทิตย์ นับจากเกิดอรูปฌาน ขณะนอนเข้าสมาธิ
    จิตมันดิ่ง ลึก สงบ ไม่มีปีติ แต่มีสุขอยู่ลึกๆ และนิ่ง
    ผมทราบทันที ว่านั่นคือองค์ฌาน 3 ที่ประกอบด้วย สุข และเอกัตคตา
    แล้วก็ย้อนทราบไปว่า ก่อนหน้านี้ มันคือฌาน 2 เพราะมีปีตินี่แหละ
    พอมันสงบลง หายไป เลยรู้ว่า อ๋อ สงบจากปีติ จิตเสวยสุขพร้อมเอกัตคตาจิต ฌาน 3 มันเป็นแบบนี้
    และหลังจากนั้นอีก 1 อาทิตย์ มันก็ดิ่งๆๆ ลงไปอีก พร้อมทั้งสุขหายไป มีแต่เอกัตคตา
    มันไม่มีอะไรเลย จึงเรียกว่าอุเบกขา ว่างจากอารมณ์ทั้งปวง นิ่งลึกอยู่ เป็นฌาน 4

    การบำบัดโรคของผมก็ลึกซึ้งจึ้นไปตามลำดับแห่งฌาน
    คราวนี้ ผมเห็นเวทนาเป็นจุดเล็กๆ ต่างจากเมื่อก่อนเห็นเป็นกลุ่ม
    เป็นจุดที่เล็กลงๆ ไปเรื่อยๆ จักระก็ตามไปหมุนที่จุดนั้น
    เล็กจนไม่รู้จะเล็กยังไง เล็กจนไม่สามารถกล่าวได้ว่าเล็กแค่ไหน ...
    สุดท้ายก็พบความจริงอีกอย่าง...
    หลังจุดเวทนาเล็กๆ นั้น เป็นความว่างครับ...ว่างไม่มีเวทนาเลย
    และเมื่อเอาจักระ ไปหมุนที่ความว่าง หลังเวทนานั้น มันจะสบายขึ้นทันที การรักษาก็ดูจะเข้าถึงต้นตอ มากเข้าไปอีก
    สุดท้าย ไม่ต้องใช้จักระแล้ว แค่ไปกำหนดตรงความว่างหลังเวทนา ก็เป็นการบำบัดไปโดยอัตโนมัติ

    ตอนนี้ ผมไต้องใช้จักระแล้ว แค่ไปกำหนดจิตตรงที่ป่วย มันก็จะค่อยๆ ดีขึ้น อย่างรวดเร็ว
    คิดเล่นๆ ถึงจอมยุทธไร้กระบี่ ที่ฝึกจนไม่ต้องใช้กระบี่
    อย่างไรก็ขอเน้นว่า...เป็นการ "เห็นฌาน" ไม่ใช่การเข้าฌาน
    เป็นฌานที่แตกต่างจากฌานแบบฤาษี ที่เกิดจากการเพ่ง
    เป็นฌานที่เกิดจากสติ และถูกควบคุมด้วยสติตลอดเวลา
    ใช้ได้ทุกที่ ทุกเวลา ไม่ต้องหลับตา แค่กำหนดเบาๆ ก็เป็นฌานในทันที ไม่ต้องใช้เวลาตั้งสมาธิด้วย

    กระนั้นโรค หรือ ปัจจุบัน ผมเรียกว่า "อาจารย์ใหญ่" ก็ยังฝึกผมอย่างไม่หยุดหย่อน
    ขนาดฌาน 4 ที่มีอารมณ์ลึกซึ้งของอรูปฌาน ก็ยังปราบไม่ได้เด็ดขาด ยังมีอาการปรากฏให้บำบัดอยู่ตลอด
    เหมือนกับว่า รักษาอาการหยาบๆ ได้ อาการที่ลึกๆ ก็ปรากฏตัวมาสู้กันอีก
    แต่ยิ่งลึก ฌานผมยิ่งพัฒนา นับเป็นวิถีของผม ที่ถูกบังคับให้ฝึกๆๆ จากอาจารย์ใหญ่ ห้ามหยุดครับ
     
  2. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    แล้วพี่เคยนำวิธีที่พบไปรักษาคนอื่นบ้างหรือเปล่าครับ
     
  3. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ยังไม่เคยรักษาคนอื่นครับ
    เคยแต่ไปแนะให้คนอื่นฝึก แล้วเค้าก็พอจะรักษาตัวเองได้

    มีโครงการจะไปเรียนกับคุณย่าเยาวเรศ ตอนเดืนกุมภา เพื่อจะได้รักษาคนอื่นได้ครับ
     
  4. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ข้อคิดจากประสบการณ์ของผมอย่างหนึ่งที่อยากจะฝากไว้นะครับ
    การใช้สมาธิรักษาโรค อาจจะทำได้ยาก หรืออาจไม่ได้เลย ถ้าจิตไม่แยกออกมาจากเวทนา
    จิตยังรวมกับเวทนา ยังปรุงแต่งกันอยู่ เวทนาก็จะยังถูกปรุงอยู่อย่างนั้น
    เหมือนยังมีอาหารมาหล่อเลี้ยงมันอยู่ ยังยึดกันอยู่

    การที่จะให้จิตแยกจากเวทนา ทำได้ 2 วิธี คือ วิธีทางสมถะ และวิปัสสนา
    ทางสมถะ คือใช้พลังจิต แยกมันออกมา ด้วยฌาน หรือ อรูปฌาน แล้วก็รักษาเวทนาที่แยกออกมานั้น
    ส่วนทางวิปัสสนา เมื่อปัญญาเห็นได้ว่า กายและจิต เป็นคนละสิ่งกัน (แน่นอนว่าจิตกับเวทนาก็เป็นคนละสิ่ง)
    ซึ่งตรงกับวิปัสสนาญาณที่ 1 คือ นามรูปปริเฉทญาณ ...อธิบายง่ายๆ ว่าญาณที่แยกรูปแยกนาม
    เป็นญาณที่เกิดจากจิตรู้ความจริงตามธรรมชาติเอง ปราศจากการไปกำหนดให้รู้
    การไปกำหนดรู้ เป็นวธีการทางสมถะครับ ตามประสบการณ์ ผมทราบว่าผู้ปฏิบัติบางท่าน เข้าใจว่า
    การกำหนดแยกกายกับจิตได้ เป็นวิปัสสนาญาณ ...ตราบใดยังมีการกำหนดอยู่ มี "เรา" ผู้กำหนด ยังเป็นสมถะครับ
    วิปัสสนาญาณ จะเกิดขึ้นเอง เมื่อจิตมีสติที่บริสุทธิ์ ปราศจากการกำหนดใดๆ เป็นธรรมชาติล้วนๆ จนจิตได้เรียนรู้ความจริง แล้วความจริงก้ปรากฏตัวกับจิตขึ้นมาเอง...รู้เอง

    การแยกเวทนาออกจากจิต ทั้งสองแบบ ใช้รักษาโรคได้ครับ
    แต่สำหรับ ผมก็แนะให้เดินวิปัสสนา เพราะอย่างไร ก็จะได้สมถะเป็นของแถมอย่างแน่นอนอยู่แล้ว (ถ้าเดินถุกทาง)
    ได้ซึ่งความพ้นทุกข์ ซึ่งเป็นพุทธประสงค์ของพระพุทธเจ้า เจริญวิปัสสนาเถิดครับ...

    และตามประสบการณ์ผม อารมณ์บางอย่าง สมถะสู้ไม่ค่อยไหวครับ เช่นความง่วง
    ง่วงน้อยๆ ไม่เท่าไหร่ แต่ง่วงมากๆ นี่ สมถะต้องแข็งมากๆ จึงเอาชนะได้ แยกจิตจากง่วงได้
    แต่วิปัสสนา ทำได้ดีกว่าครับ แยกจิตจากง่วงได้ดีกว่า

    เมื่อแยกจิตจากเวทนาได้ วิชาต่างๆ กสิน จักระ หรือฌาน ก็บำบัดโรค ได้ไม่ยากครับ
    ถึงไม่หาย จิตกับเวทนา เมื่อแยกกัน มันก็ไม่ทุกข์
    สมถะ ไม่ทุกข์ตราบใดที่ยังกำหนดอยู่ได้ เรียกว่า ทรงฌาน หรือ ที่เรียกว่า หินทับหญ้า
    พอออกจาฌาน ก็ทุกข์เหมือนเดิม
    ส่วนวิปัสสนา รู้แล้วรู้เลย ไม่ต้องกำหนดใดๆ ยกเว้นเวลาเผลอสติเท่านั้น แต่ถ้าสติเต็มรอบแล้ว ไม่เว้นวรรค ก็ไม่ทุกข์แล้วครับ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2012
  5. ฟ้าสว่าง

    ฟ้าสว่าง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +14
    ยังติดตามกระทู้ของคุณกล้วยอยู่ ถ้ามีจัดในวันที่ 29 ม.ค.นี้ รบกวนมาแจ้งที่กระทู้นี้ด้วยนะคะ จะไปฟังค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  6. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    วันที่ 29 มค. ตกลงจัดนะครับ เดี๋ยวใกล้ๆ ผมจะแจ้งรายละเอียดอีกที
    วันที่ 15 ที่ผ่านมา มีเพื่อนผมที่เป็น อาจารย์จักระ เดินทางจากระนอง มาช่วยอีกคนหนึ่ง
    บรรยากาศเป็นกันเองมากๆ ครับ ผมเน้นเลย ผู้เข้าร่วมต้องได้ประโยชน์เต็มที่ และได้มิตรภาพด้วย


    ต่อครับ....

    เรื่องหนึ่งที่ผมมักจะพูดเกือบทุกครั้งที่เสวนา
    สำหรับผู้ที่กังวลว่า เจริญสติ แล้วจะไม่มีสมาธิ ต้องฝึกสมาธิเพิ่มหรือเปล่า
    ผมขอยืนยันว่า ถ้าเจริญสติอย่างถูกวิธี สมาธิจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
    เพราะแท้จริง สติก็เปรียบเสมือนน้ำหยดหนึ่งของสมาธิ
    เมื่อต่อเนื่องเรื่อยๆ ก็กลายเป็นสายน้ำได้ กลายเป็นสมาธิระดับฌานได้ ในวันหนึ่ง

    สำหรับผู้ศึกษาตามตำรา คงจะเคยทราบว่า

    แม้พระอรหันต์แบบสุขวิปัสโก ก็มีปฐมฌาน
    และหลักฐานอีกอย่างที่สำคัญ...สังโยชน์เบื้องสูง ที่พระอนาคามีต้องละ มี 5
    อุทัธจะ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อวิชชา
    รูปราคะ กับ อรูปราคะ
    คือ อะไร ทราบไม๊ครับ
    ก็คือความยินดีพอใจใน รูป และ อรูป ไงครับ
    รูปก็คืออารมณ์ของรูปฌาน อรูปก็คืออารมณ์อรูปฌาน

    นั่นหมายความว่า พระอริยะทุกท่าน ต้องมี รูปและอรูป ฌาน
    <font face="Courier New" size="4">
    จิตจึงต้องมีการละ ความยินดีในฌาน ทั้งมวลนั้น
    ดังนั้น...ไม่ว่าอย่างไร พระอริยะต้องมีฌาน และ อรูปฌาน แน่ๆ ครับ
    การเจริญสติ เมื่อผ่านปุถุชน เข้าสู่อริยภูมิ จะบังเกิดฌานทุกคน หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยครับ

    เพราะฉะนั้น ผมขอฟันธงเลย อย่ามัวเสียเวลาทำสมถะแบบฤาษีครับ ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์
    ไม่รู้กี่ปี กว่าจะเกิดฌาน ถ้าไม่มีของเก่า
    เจริญสติปัฏฐาน ให้ถูกวิธี พ้นทุกข์แล้ว ฌานย่อมบังเกิดมีแน่นอน
    ไม่นานอย่างที่คิด ถ้าไม่ติดอัตตา ...ไม่นานครับ ชาตินี้แหละ

    ************************************************************</f
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2012
  7. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    พลังจักรวาลของท่านเลืองมินด๋างห์หรือพลังกายทิพย์ของคุณย่าเยาวเรศ อาศัยการดึงพลังจากจักรวาลผ่านเข้าตัวผู้ทำสมาธิที่กำหนดจักระ 7 แล้วส่งต่อไปรักษาผู้ป่วยเป็นการดึงพลังจากภายนอก แต่จากที่อ่านของพี่กล้วยพี่ใช้พลังภายในของตัวเอง จริงๆก็ใช้ได้ทั้งสองแบบแต่แบบวิธีพี่ใช้ๆไปอาจเหนื่อยหน่อย แต่แบบแรกตัวเองเป็นเพียงสะพานเชื่อมพลังงานเท่านั้นเองจะไม่เหนื่อยมากครับ ฝากข้อมูลไว้ครับเพราะผมก็พอรู้มาบ้างนิดๆหน่อยๆแต่ไม่เก่งขนาดพี่ :)
     
  8. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ขอบคุณครับคุณ Apichan
    เป็นแบบนี้นี่เอง ถึงได้ต้องมีการ "เปิด" จักระ เพื่อให้พลังผ่านนี่เอง
    อย่างไรก็จะไปเรียนให้รู้จริง กำลังเคลียร์เวลาอยู่ครับ

    แต่จักระที่ผมฝึก ใช้แล้วไม่เหนื่อยนะครับ
    แถมเวลาเหนื่อย ใช้แล้วเบาสบายขึ้นด้วยซ้ำ
    เข้าใจว่า เป็นการปรับสภาพร่างกายมากกว่า ไม่ใช่การใช้พลังแต่อย่างใด น่าจะเพราะปราศจากการเพ่ง .....วิธีนี้ เป็นการ "เห็นฌาน" ไม่ใช่ "เพ่งฌาน" จึงไม่กินแรงของจิต ดังนี้ครับ

    *************************

    วัีนนี้ขอพูดถึง
    ความเสถียรภาพ หนึ่งเดียว

    สรรพสิ่งไม่มีอะไรเสถียรเลยครับ<wbr> ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลง โคลงเคลง ทั้งรูปธรรม นามธรรม
    เพราะทุกอย่างยืนพื้นอยู่บนพื้น<wbr>ฐานของความว่างไงครับ มีผลทำให้ไม่เสถียร

    วิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้ว ว่ามวลที่เล็กที่สุด ผมจำไม่ได้ว่าชื่ออะไร (ควาร์ก ? หรือเปล่า)
    ก็ไม่ได้มีตัวตนจริงๆ ไม่ได้เป็นกลุ่มก้อน หากเป็น
    พลังงานที่เคลื่อนไหวด้ว<wbr>ยความเร็วมาก
    เป็นพันๆ ล้านครั้งต่อวินาที ก่อให้เกิดเป็น "ภาพ" ม
    วลขึ้นมา...
    แสดงว่าแม้มนุษย์เรา ก็เป็นเพียงหน่วยพลังงานอย่างหน<wbr>ึ่ง ที่กำลังเคลื่อนที่อยู่เท่านั้น
    และแสดงให้เห็นว่า มวลทุกอย่างบนโลก ล้วนไม่ได้เป็นตัวตนจริงๆ กำลังเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
    อันนี้ในฝ่ายรูปธรรม...

    ส่วนในฝ่ายนามธรรม ยิ่งชัดเจน....
    ง่ายๆ เลยครับ คนเราจะไม่สามารถ รู้สึก นึก คิด อะไรได้เลย หากจิตมัน "ตัน"
    จริงไหมครับ ถ้าจิตมันทึบ ตัน แล้ว ความรู้สึก นึก คิด จะเกิดได้อย่างไร
    เพราะฉะนั้น พื้นฐานจิตก็ต้องว่าง จึงจะมีอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้นได้
    ต้องมีพื้นที่ว่างในจิต จึงจะเกิดเจตสิกต่างๆ ได้

    สรุปว่า ทั้งฝ่ายรูปธรรม และนามธรรม ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความว่<wbr>างทั้งสิ้น
    ......แล้วถ้าอะไรที่ตั้งอยู่บน<wbr>ที่ว่างๆ มันจะมีความเสถียรไม๊ครับ.....

    เช่นนั้น...ไม่มีอะไรเสถียร แล้วอะไรที่เป็นความเสถียร อะไรที่เป็นสิ่งที่ "จริง"
    ตอบได้ง่ายๆ เลยครับ ก็ตัวความว่างนั่นแหละ
    เป็นสิ่งที่เสถียรที่สุด เป็นที่รองรับ หรือเป็นต้นกำเนิดแห่งทุกๆ สิ่งในจักรวาล (และโลกในมิติอื่นๆ)
    ความว่างอันนี้ ต้องเป็นว่าง ที่ว่างจริงๆ ว่างอย่างเด็ดขาด ว่างเป็นพื้นที่ให้สรรพสิ่งถือเ<wbr>ป็นที่กำเนิดเกิดขึ้นมาได้
    ทั้งในส่วนรูปธรรม และนามธรรม โดยเฉพาะนามธรรม ต้องว่างขนาดที่ ความว่างซึ่งเป็นนามธรรมอย่างหน<wbr>ึ่ง เกิดขึ้นได้

    ....ในนามธรรมก็มีความว่างอยู่น<wbr>ะครับ.....
    อาทิเช่น อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ และเนวะสัญญานาสัญญายตนะ
    อันนี้คือความว่างแห่งจิต ซึ่งก็ต้องบังเกิดขึ้นบนพื้นฐาน<wbr>ของความว่างอย่างเด็ดขาดอีกทีหน<wbr>ึ่ง
    น่าจะกล่าวได้ว่า "ว่างจากความว่าง" จึงจะเป็นว่างที่เด็ดขาด
    ว่างที่เป็นต้นกำเนิด และรองรับสรรพสิ่งจริงๆ


    สิ่งที่เสถียรที่สุด หนึ่งเดียวคือความว่าง(อย่างเด็<wbr>ดขาด) ว่างจนระบุอะไรไม่ได้เลย แม้แต่ความว่างแห่งจิต
    ให้ความหมายใดๆ ไม่ได้ ว่างจากความหมายทั้งปวง

    ความอัศจรรย์ของพระพุทธเจ้า คือท่านพบว่าจิตที่เป็นนามธรรมก<wbr>ลับเข้าถึงสิ่งนี้ได้
    เป็นเรื่องอัศจรรย์เหลือจะกล่าว<wbr> ที่นามธรรม จะเข้าถึงสิ่งที่ไม่ใช่นามธรรมไ<wbr>ด้
    เป็นความลับธรรมชาติ ที่ยากยิ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้ค้นพบได้
    และนำมาสอนพวกเรา ให้เดินตามรอยท่าน....(ขอกราบกร<wbr>านท่านด้วยเศียรเกล้า)
    ท่านบัญญัติเรียกหลายๆ ชื่อ เพื่อให้เราพอรู้จักได้บ้าง เช่น นิพพาน
    ถ้าเข้าถึงสิ่งนี้ได้ จะบังเกิดความเสถียรสูงสุด หมดสิ้นซึ่งความติดพันธ์ เกาะเกี่ยวในสรรพสิ่งต่างๆ
    เพราะถึงแล้ว ซึ่งสิ่งที่ไม่มีการเกิดดับ ไม่มีการเปลียนแปลงใดๆ ไม่มีธุลีแม้เแต่ความว่างแห่งจิ<wbr>ต


    ปราศจากรูปธรรม และนามธรรม ข้ามพ้นซึ่งภพ ชาติ ข้ามพ้นความเกิด แก่ เจ็บ ตาย
    ข้ามพ้นสิ่งไม่เสถียรทั้งปวงหล้<wbr>า ทั้งในภพไหนๆ ในโลกมิติใดๆ ทั้งหมด

    เป็นอยู่ อย่างไม่เป็นอยู่ ....ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ....ไม่อาจกล่าวได้ว่ามีอะไร หรือไม่มีอะไร
    สิ้นสุดความหมายของทุกๆ สิ่ง นั่นแหละครับ ที่สุดของสรรพสิ่ง
    .....ที่สุดของสิ่งที่เรียกว่า ชีวิต.....ที่เกิดดับๆ แทบไม่รู้จักสิ้นสุด จนกว่าจะพบสิ่งนี้

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2012
  9. ฟ้าสว่าง

    ฟ้าสว่าง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +14
    เข้ามาตามกระทู้ต่อค่ะ จะไปร่วมฟังในวันที่ 29 ม.ค. นี้ค่ะ รอรายละเอียดจากคุณกล้วยค่ะ
     
  10. tastiny

    tastiny Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +59
    คุณกล้วยไม่แนะนำการฝึกสัมมาสติไว้ในกระทู้ซักหน่อยเหรอครับ
     
  11. DevaIsis

    DevaIsis เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,005
    ค่าพลัง:
    +4,600
    โห...แหล่มมากค่ะ ยา Gofen สามารถช่วยได้

    ว่าแต่ เจ๊เคยลองยาชื่อ Seroquel มันก็แหล่มค่ะ

    ข้อสำคัญคือ การพัฒนาทางจิตของเรานั้น เป็นเรื่องส่วนตัว เพราะ ตราบใดที่เรายังไม่ ทราบว่า พวกเราเกิดมาทำไม และต้องตายแล้วไปไหนนั้น

    ท่าน จขกท. ก็อย่าเพิ่งด่วนสรุป

    แต่ทั้งนี้ หากท่านมีจิตใจ ที่อยากจะ แบ่งปัน ความอัศจรรย์ทางสมาธิ เพื่อให้เพื่อนๆ ฟังเป็นวิทยาทานนั้น แล้วบังเกิดความปิติสุข ของการเป็นผู้ให้

    ก็สมควรจะ แชร์ ให้ทุกคนทราบ เพื่อร่วมอนุโมทนา ในความสำเร็จนี้

    ความเพียรพยายาม เป็นเรื่องที่ควรส่งเสริมเป็นอย่างยิ่ง หากใช้ในทางที่ถูกต้องตาม ครรลองคลองทำ และไม่เกิดโทษต่อตนเอง และผู้อื่น

    จึงขออนุโมทนา สาธุ ในสิ่งดี ดี ที่ท่านเอามาเล่าให้พวกเราฟัง

    ท้ายสุดของให้ท่าน จขกท. เจริญในธรรม ยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยเทอญ
     
  12. narata 12

    narata 12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    990
    ค่าพลัง:
    +1,462
    ท่านใดที่สนใจการฝึกจิต ก็ดูให้ถูกกับจริตจะทำให้ง่ายต่อการปฏิบัติ เราดูแลท่านอยู่ ถ้ามีใครมาแหล่มแถวนี้ เดี่ยวเราจัดการให้
     
  13. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    ให้กำลังจายยย คุณกล้วยค่าาา
    ไม่สงสัยคุณค่ะ ของอย่างนี้ เหตุปัจจัยพร้อมก็ได้เอง ไม่สงสัย:)
    ถ้ายิ่งอยากได้มันก็ยิ่งไม่ได้ซะด้วยนะของอย่างนี้....อยู่เหนือตรรกะนะ อืม
    ผู้ปฏิบัติอย่าท้อถอย อย่าคิดว่าชาตินี้ไม่มีทาง ทางสายกลางอย่างเร็ว7วันอย่างช้า7ปี พระพุทธองค์รับประกัน

    ผลิกนิดเดียว คุณอาจได้พบอะไรดีๆ...

    อนุโมทนาค่ะ:)
     
  14. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ขอโทษด้วยนะครับ ที่มาตอบช้า
    คุณ Testiny ผมขอแสดงถึง "วิธี" เลยนะครับ

    สัมมาสติ เริ่มด้วยความรู้สึกตัว...

    ความรู้สึกตัว กับความรู้สึก(เวทนา)และความคิดเป็นคนละสิ่งครับ
    ความรู้สึกตัวนี่แหละสติ ...ส่วนความรู้สึกและความคิดเป็นอารมณ์
    ง่ายๆ มี 2 อย่างความรู้สึกตัว กับอารมณ์

    รู้สึกตัวให้ทั่วพร้อม ให้รู้ทั่วๆ ทั้งตัว ลองดูครับ ตอนนี้เลยก็ได้ครับ
    ปล่อยทิ้งอะไรออกจากใจให้หมด มันก็จะรู้สึกได้ทันที
    รู้สึกได้ทั้งตัว เบาๆ รู้ได้เอง แค่เรากลับมาสังเกตุนิดเดียว
    เป็นเรื่องที่ธรรมชาติให้มาอยู่แล้ว

    รู้แบบนี้แล้วลองเคลื่อนไหวดู ยกมือขึ้น-ลงไม่ต้องเร็วนะครับ
    ไม่ต้องตามไปดูด้วย มันรู้สึกได้เองอยู่แล้ว...รู้อาการเคลื่อนไหวอันนั้น
    ไปต้องไปดู ไปเพ่ง ไปจ้อง มันจะเป็นภาระเสียเปล่าๆ
    ปล่อยความรู้สึกไว้ครับ ไม่ต้องเอาอะไรมาใส่ในจิตเลย ปล่อยให้หมด จิตรู้ได้เองอยู่แล้ว
    จิตมีหน้าที่รู้ มีสติตามธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปกำหนดรู้เลย
    แค่ไม่หลงเข้าไปในความคิด จะรู้ได้เอง ไม่เชื่อลองปล่อยตามสบาย ไม่ต้องกำหนดดูครับ

    ตาก็เห็นรูป หูก็ได้ยินเสียง กายก็รับสัมผัส จิตรู้ได้เองอยู่แล้ว สังเกตุดูซิครับ
    อันนี้คือรู้กาย หรือ รูป

    ทีนี้รู้สึกอย่างไร มันสบายหรือไม่สบาย หรือมันมีความคิดอย่างไร...ตอนนี้
    มียินดี ยินร้ายไม๊ มีความโลภ โกรธ หลง ในจิตใจ ในขณะนี้
    คิดหรือไม่คิด คิดก็ให้เห็น.... "เห็นความคิด" ไม่ใช่ไปคิดตามมัน
    ลองสำรวจดู จะเห็นว่า ที่เรารู้สึกตัว กับความรู้สึกและความคิด เป็นคนละสิ่ง
    รู้จักแบบนี้ไว้ รู้ให้ต่อเนื่อง ให้รู้เอง ไม่ต้องไปทำอะไร เฉยกับอารมณ์ไว้
    อันนี้คือรู้จิต หรือ นาม

    รู้ รูปนาม ไปในขณะเดียวกัน รู้ได้ ถ้าไม่เพ่งอย่างใดอย่างหนึ่ง มันจะรู้ได้หมด รู้กว้างๆ รู้หลวมๆ ถ้าไปเพ่ง มันจะรู้ได้แคบๆ ครับ
    รู้แล้วเฉยกับสิ่งที่รู้....รู้เฉยๆ ไม่ต้องปรุงแต่ง ไปคิดอะไร ไม่ต้องสงสัย
    รู้เฉยๆ ไม่ใช่ไปทำอารมณ์ให้เฉยๆ...มันจะรู้พร้อม รู้ตัวทั่วพร้อม รู้จิตทั่วพร้อมได้ในขณะเดียว
    ไม่ใช่การรู้ทีละอย่าง การรู้ทีละอย่างเกิดจากการที่ไปเพ่ง หรือ กำหนด
    แบบนั้นจะเป็นภาระ ต้องมีการกระทำ...แบบนี้รู้ตามธรรมชาติ จะเบาสบาย ปราศจากการกระทำ
    ปราศจากเจตนาที่จะกระทำการ "รู้" .....
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม"
    การรู้แบบนี้จึงไม่มีกรรม ปราศจากเจตนา เป็นธรรมชาติล้วนๆ

    เคลื่อนมือไปตามธรรมชาติ เพื่อกระตุ้นความรู้สึกเอาไว้ ไม่ให้เผลอ อาจจะกำแบก็ได้นะครับ
    ถ้าเผลอลืมตรงนี้ ก็กลับมาตั้งต้น รู้ตัวทั่วพร้อมใหม่

    รู้แล้วก็อย่าไปคิดตาม มันคิดก็คิดไป ไม่ต้องห้ามด้วย
    รู้สึกก็เหมือนกัน มันสบายหรือไม่สบายก็ไม่ต้องไปอินกับมัน
    ต่างคนต่างอยู่ เราทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตุการณ์ ดูแบบให้มันรู้เอง..
    ให้ทุกอย่างมันแสดงตัวของมันเอง เราเป็นผู้สังเกตุการณ์

    นี่คือสติ สติแบบธรรมชาติๆ ไม่ต้องแบกภาระไปดู ไปจ้อง ไปเพ่งอะไร
    มันรู้ของมันเองอยู่แล้ว แค่รู้สึกตัวให้เป็น แล้วก็ไม่ไหลตามความคิด ความรู้สึก
    สังเกตุดูให้ดี รู้ มันจะไม่มยินดี ยินร้าย มันจะว่าง มันจะสงบเอง ไม่ต้องไปทำความสงบ ไม่ต้องไปทำให้ว่าง
    จิตใจไม่มีอะไรเลย เป็นจิตเดิมๆ ที่ไม่มีการปรุงแต่ง เพราะเราไม่ตามอารมณ์
    เป็นธรรมชาติล้วนๆ เป็นอนัตตา ปราศจากความมั่นหมายอะไร เพราะเราไได้ไปให้ค่าแก่อะไร รู้แบบนี้จะเห็นสภาวะ อนัตตา ได้
    ไม่มีแม้แต่ความมั่นหมายเป็นตัวเรา....ลองสังเกตุดูให้ดี
    แค่สังเกตุ รู้เฉยๆ ไปต้องไปคิดวิเคราะห์ วิจารณ์
    นั่นแหละครับ สัมมาสติ

    การที่เห็นกองสังขาร เห็นกาย เห็นยินดี เห็นยินร้าย เห็นความคิด เห็นความว่าง เห็นความสงบ
    อันนี้คือปัญญาตัวจริง เป็นภาวนามัยปัญญา ไม่ใช่จินตามัยปัญญาที่มาจากการคิด ที่คิดวิเคราะห์ธรรมะ
    คิดยังไงก็ไม่พ้น เพราะคิดได้เข้าใจได้ แต่จิตไม่ไปตามครับ จิตไม่เกิดปัญญาแท้
    ปัญญาแท้จะเห็นความดับ เห็นความสงบ ความว่าง....นี่แหละครับ สิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับ
    ว่าง ปราศจากความมั่นหมายใดๆ...
    แต่ใหม่ๆ อาจเห็นได้แว้บเดียว จิตจะเผลอตามอารมณ์อีก ก็กลัมารู้สึกตัวใหม่
    เคลื่อนไหวไว้ครับ ปล่อยจิตตามธรรมชาติ ให้เค้าเรียนรู้เอง....ไม่ต้องอยากให้มันเห็นอะไร อยากให้มันเป็นอะไร
    นี่แหละครับการเจริญสติ เพื่อปัญญาแห่งความหลุดพ้น
     
  15. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ขอบคุณ และอนุโมทนาแก่ผู้ปฏิบัติทุกท่านนะครับ

    สำหรับคุณ DevaIsis กล่าวถึง ว่าเราเกิดมาทำไม แล้วต้องตายแล้วไปไหน
    ผมรูสึกว่าประเด็นนี่น่าจะนำมาอธิบายครับ

    คำถามประมาณว่า ตายแล้วไปไหน เคยมีคนมาถามพระพุทธเจ้า (รู้สึกว่าจะเป็นพราหมณ์)
    ให้ท่านพยากรณ์ว่าตน ตายแล้วต้องเกิดใหม่ หรือตายแล้วสูญ ฯลฯ
    ถามหลายอย่าง แถมขู่ว่า ถ้าตอบไม่ได้ จะไม่เชื่อฟังพระพุทธเจ้า จะไม่ศรัทธา ว่าอย่างนั้นแหละครับ

    พระพุทธเจ้าท่านไม่ตอบ ท่านบอกว่า ถึงตอบไปแล้วก็พิสูจน์ไม่ได้...
    ท่านสอนแต่ทางพ้นทุกข์ ไม่ได้สอนว่าตายแล้วไปไหน หรือตายแล้วไม่ต้องเกิดหรือเปล่า
    แล้วการที่ท่านจะศรัทธาตถาคตหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของท่าน ตถาคตไม่บังคับ ท่านตรัสประมาณนี้นะครับ

    วันนี้ ผมทราบแล้วว่าทำไมพระพุทธเจ้าท่านถึงตรัสแบบนั้น
    ว่าการที่เราจะรู้ว่าตายแล้วไปไหน เป็นเรื่องปัจจัตตัง ที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง แต่หากจะต้องทำความพ้นทุกข์เสียก่อน
    เราต้องเริ่มรู้จักตัวเอง โดยการมีสติก่อน แล้วถึงจะเห็นซึ่งทางพ้นทุกข์ได้

    การที่เรามีสติ เห็นอารมณ์ความรู้สึกเราได้บ่อยๆ ยิ่งมาก ยิ่งเข้าใจตัวเอง ยิ่งรู้ได้ว่า ภพภูมิใดคือที่หมายของเรา
    ไม่ต้องพูดถึงสุขคติภูมิก็ได้ อันนั้นไม่มีปัญหา เอาอบายภูมิ มาระวังกันตรงนี้ดีกว่า ระวังอย่าให้ตกอบาย

    ดูเลย ตอนที่สำคัญที่สุด...ตอนที่ผัสสะแรงสุดๆ คือผัสสะกับคนใกล้ตัว
    ผมขอยกตัวอย่าง เวลาทะเลาะแรงๆ หรือเลิกกับแฟน ดูซิครับว่าจิตเสวยภพอะไร
    - ถ้าทุกข์แทบขาดใจ จะเป็นจะตาย กินไม่ได้ นอนไม่หลับ จิตเสวยภพของ นรกภูมิแล้ว
    - ถ้ากระวนกระวาย ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ทรมานกับการขาดคนรัก อันนี้ เสวยภพ เปรตวิสัย
    - ถ้าโกรธแค้น อยากจะทำร้าย อยากจะฆ่าให้ตาย อันนี้เสวยภพ อสูรกาย
    - ถ้ามึน ซึม ไม่รับรู้โลกภายนอก ซึมเศร้าอยู่แบบนั้น อันนี้จิตเป็น เดรัจฉาน

    การที่จิตยังปรุงภพภูมิแบบนี้ ยังมีความเสี่ยงจะไปอบายครับ...ขึ้นอยู่กับเรายึดในอารมณ์ที่เกิดมากน้อยแค่ไหน
    อารมณ์ที่เกิดกับจิตมากน้อยแค่ไหน บ่อยแค่ไหน นานแค่ไหน รุนแรงแค่ไหน...จิตมันจะบันทึกไว้ในสัญญา
    เมื่อถึงกาละ คือกำลังจะตาย ภาพต่างๆ ในชีวตจะบังเกิดขึ้น เหมือนย้อนอดีตให้ดู เหมือนดูหนังแบบนั้น
    ผู้ไม่เคยจริญสติ ตอนนี้เหมือนมัดมือชกเลย ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ดูอย่างเดียว
    ถ้าภาพแห่งความขมขื่นปรากฏขึ้นมาด้วยอารมณ์ใด จิตเข้าไปรู้สึกกับภาพนั้น เข้าไปยึด
    นั่นคือที่หมาย ที่จิตจะไปจุติในภพต่อไป...เช่น ทุกข์มากก็ลงนรก (หรือทำบาปมาก ก็ลงนรกเหมือนกัน)
    ตอนนี้แหละครับ ถ้าความดีในชีวิตเราทำไม่มากพอที่จะมาแทนที่ภาพแห่งความทุกข์ รับรองได้ว่าไปอบายแน่ๆ
    คนที่ไม่ค่อยให้ทาน รักษาศีล ไม่เคยเจริญสติ ไม่เคยฝึกสมาธิ มีความเสี่ยงสูงที่จะลงอบาย ด้วยเหตุนี้

    ในทางกลับกัน ถ้าทำความดีมามาก ให้ทาน รักษาสีล ช่วยเหลือผู้อื่น ฝึกสมาธิ เจริญสติ ภาพแห่งความดีจะปรากฏ
    จิตก็จะไปสุขคติ...บางคนตายด้วยรอยยิ้ม เพราะเค้าเห็นภาพที่ดีๆ ครับ
    ส่วนผู้ปฏิบัติ...โดยเฉพาะการเจริญสติ สำคัญมาก จิตสุดท้าย สติจะเป็นอัตโนมัติ ทำหน้าที่เอง
    ผมเคยเล่าไว้แล้ว ตอนที่ขับรถตกคู ในเหตุการณ์คับขัน สติจะทำหน้าที่เองอัตโนมัติ

    ถ้ามีกำลังพอ ฝึกมามาก ฝึกอย่างถูกวิธี มีปัญญามากพอ สติจะทำหน้าที่วางทุกๆ ภาพที่เกิดขึ้น
    ด้วยการช่วยเหลือของปัญญา ที่รู้ได้ว่า ไม่มีอะไรน่าเอา น่าเป็น เป็นเองเลยนะครับ เพราะขณะนั้นไม่สามารถบังคับอะไรได้แล้ว
    ถ้าวางได้ทุกภาพ ทุกอย่าง จะเกิดการ "ตกกระไดพลอยโจน" ตามที่หลวงพ่อพุทธทาสกล่าวไว้
    จิตจะว่าง ปล่อยวางทุกอย่งในโลก บรรลุนิพพานในจิตสุดท้าย เป็นพระอรหันต์กันวินาทีสุดท้ายของชีวิต
    มีชื่อเรียกด้วย คือ พระอรหันต์ประเภท สมสีสี บรรลุขณะจิตสุดท้าย

    เพราะฉะนั้น ยิ่งมีสติมากเท่าไร ยิ่งจะรู้จักตัวเองมากเท่านั้น
    และถ้าสติต่อเนื่องเป็นสายเดียวได้ตลอด ทั้งวัน จิตจะปรุงภพอะไรบ้าง จะรู้ทันที
    สติที่ต่อเนื่องตลอดวัน เป็นสายเดียว ที่ผมกล่าวไปแล้วนี่แหละครับ สุดยอดแห่งการรู้จักตัวเองเลย จิตจะเป็นอย่างไร ตอนไหนรู้หมด
    ที่ผมกล่าวไว้แล้วก็โดนแซวๆ ตามที่ผ่านมานี่แหละ ...คนที่ยังไม่มีประสบการณ์ตรงนี้ ก็ว่าไปเรื่อยเปื่อย...ไม่มีทางรู้ได้
    แต่วันหนึ่งถ้าสติคุณต่อเนื่องได้จริงๆ คุณจะหมดสงสัยในภพหน้าเลย
    ทีนี้จะรู้ด้วยตัวเองเลย ว่าเรามีภพอะไรเป็นทีหวังได้บ้าง แถมระวังอบายภูมิที่จะเกิดขึ้นในจิตได้ทันท่วงที
    ทีนี้จะหมดกังวลในเรื่องภพหน้า ....จิตมีความระแวดระวังด้วยตัวจิตเองด้วย เป็นอัตโนมัติเลย นั่นคือทางรอด ที่ดีที่สุด
    การรู้ว่าตายแล้วไปไหน จะรู้ได้.แบบนี้แหละครับ

    ส่วนที่ถามว่า เกิดมาทำไม ..รู้แบบนี้แล้ว ยิ่งตอบง่ายที่สุดเลย
    ก็เกิดมาเพื่อจะทำให้ถึงที่สุดแห่งตรงนี้แหละครับ ให้พ้นไปจากทุกอย่าง
    จะไปทำอะไรก็ตาม สุดท้ายมันก็ต้องเวียนวน เกิดตายๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้น...
    มนุษย์เรามีกิจอย่างเดียว เกิดมาเพื่อหาทาง จบ เรียกว่า จบกิจ
    คนที่ยังหลงโลกอยู่ ยังเพลิดเพลินในกามคุณทั้ง 5 รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
    หรือแม้แต่เพลิดเพลินในฌาน ติดสุข ติดนิมิต ติดญาณต่างๆ หรือฤทธิ์ที่เกิดจากฌาน
    ไม่มีทางรู้เลยว่าเกิดมาเพื่ออะไร หรือรู้ก็รู้ผิดๆ ...หรือไม่ก็รู้ถูก แต่ปฏิบัติผิดทาง
    ไม่ได้เป็นไปเพื่อให้ จบ ได้จริงๆ

    ก็เลยตอบคำถามไม่ได้ หรือตอบแล้วก็ไม่ตรง ....ว่าเกิดมาทำไม แล้วตายแล้วจะไปไหนครับ
     
  16. tastiny

    tastiny Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +59
    ขอบคุณครับ จะค่อย ๆ ฝึก ค่อย ๆ ทำความเข้าใจครับ
     
  17. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ช่วงนี้ผมยุ่งจนไม่มีเวลาเล่าต่อเลย
    ขอแทรกด้วยบทความที่ผมเคยเขียนไว้ไปก่อนนะครับ




    สิ่งที่ผิด

    หลวงพ่อชากล่าวว่า....
    "ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้
    <wbr>ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่<wbr>ผิด"

    ธรรมชาติ มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นอยู่<wbr>แล้วครับ...
    เราไปต้องการจะให้เป็นอย่างนู้น
    <wbr> อย่างนี้
    ไปหมายมั่นว่าเป็นสุข เป็นทุกข์
    แล้วก็เลือกแต่สุข เกลียดทุกข์...
    มันก็ไม่พ้นนะครับ ยังไงก็วนเวีนยมาเจอกันอยู่ดี
    รักสุข หนีไม่พ้นทุกข์ จริงไม๊...

    ถ้ารู้ว่าทุกอย่างบนโลก มันถูกของมันอยู่อย่างนั้น
    มีแต่ความเห็นของเรา ที่บิดเบือนมัน ไปบัญญัติว่าอันนีดี อันนี้ไม่ดี
    ...เพื่อให้เป็นตามความต้องการข
    <wbr>องเรา ตามความอยากของเราน่ะแหละ
    สุดท้ายก็แพ้ภัยตัวเอง....

    แก้ที่ความเห็นนะครับ (เห็น=Vision)
    การรู้ เห็นความรู้สึก ที่หลวงพ่อแนะนี่แหละครับ...ควา
    <wbr>มเห็นตัวจริง
    ความเห็น ไม่ใช่ความคิด(thinking) นะครับ ....เห็นคือ Vision
    ไม่ใช่ไปคิดเอาว่า...โลกนี้มันถ
    <wbr>ูกอยู่แล้ว...ฉันต้องเห็นว่ามัน<wbr>เป็นเช่นนั้น
    แบบนี้ก็เห็นผิดอีก thinking เต็มๆ

    เห็นคือ...เห็นความรู้สึก เห็นว่า...อ้อ...มันเป็นแค่ความ
    <wbr>รู้สึก
    ดูที่ความรู้สึกครับ...ทุกอย่าง
    <wbr>จะมารวมที่ความรู้สึก
    สุข ทุกข์ มันก็คือสิ่งที่เกิดตามธรรมชาติ
    ไม่ต้องไปเลือกมัน ไม่ต้องไปทำให้มันเป็นอะไรทั้งน
    <wbr>ั้น
    มันเป็นของมันอย่างนั้น ถูกต้องทุกประการ

    เห็นๆๆๆ จนทราบว่า...มันไม่ได้มีจริงหรอ
    <wbr>กครับ สุข ทุกข์
    เป็นความรู้สึกที่ต่างๆ กันออกไป...
    ถ้ามันสบายๆ หรือสนุก มันส์ อันนั้นเราบัญญัติว่าสุข
    ถ้ามันบีบคั้น เสียดแทง ร้อยรัด กระวนกระวาย เราบัญญัติว่าทุกข์
    เราไปรักสุขเพราะมันดี มันสนุก
    ไปเกลียดทุกข์เพราะมันทนได้ยาก.
    <wbr>..

    แต่สรุปว่าทั้งคู่คือความรู้สึก
    <wbr>ทั้งเพ....ไม่ได้มีอะไรเป็นสาระ<wbr>จริงๆ

    ถ้าเห็นแบบนี้ได้ เรียกว่า ความเห็นถูก
    มันจะไม่มีแล้วครับ สุข ทุกข์ ไม่มีอะไรเลย
    ชีวิตอิสระมากครับ ไม่ถูกจำกัดกับบัญญัติใดๆ
    ไม่รู้สึกแล้ว ว่าอะไรในโลกนี้ผิด มันเป็นของมันอย่างนั้นเอง
    เป็นชีวิตที่ไม่มีอะไร แต่กลับมีค่าอย่างคาดไม่ถึง....

    เข้าใจไม๊ครับเนี๊ยะ ยากเหมือนกันนะ พูดน่ะพูดได้ แต่จิตไม่ยอมรับ
    ยังรักสุข เกลียดทุกข์อยู่เต็มๆ....ไม่เป็
    <wbr>นไรครับ
    ฝึกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวจิตค่อยๆ เรียนรู้ได้เองครับ

     
  18. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    พี่กล้วยครับ ขอลิงค์ facebook ของหลวงพ่อสมบูรณ์ด้วยนะครับ

    ขอบคุณมากครับพี่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มกราคม 2012
  19. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
  20. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    เรื่องเสวนา ต้องขออภัยด้วยนะครับ
    วันที่ 29 มค. นี้ ไม่ว่างกันเลย
    ผมต้องพาแม่ไปหาหมอ ทีมงานคนอื่นก็ติดธุระกันหมด
    ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะจัดให้บ่อยที่สุด.....ขอเลื่อนไปต้นเดือน กพ. นะครับ
    ตั้งแต่เดือน มีค. เป็นต้นไป จะจัดได้บ่อยนะครับ เพราะจะลาออกจากงาน มาทำเรื่องเผยแพร่โดยตรงแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...