พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    .

    อ้างอิง:
    <table width="100%" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border:1px inset"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nongnooo [​IMG]
    นำมาฝากกันครับ หากมีความจำเป็นที่ต้องไปในสถานที่อโคจรทั้งหลาย ก่อนที่จะเข้าไปในสถานที่อโคจรให้สวด...
    อิติภะคะโว

    กลับออกมาจากสถานที่อโคจรให้สวด
    โสภะคะวา

    หรือก่อนที่จะเข้าไปในสถานที่อโคจรให้สวด
    อะระหัง

    กลับออกมาจากสถานที่อโคจรให้สวด
    หังระอะ

    แต่ไม่รับประกันหากใช้สลับกันนะครับ เช่นก่อนเข้าไป ใช้อิติภะคะโว แต่พอกลับออกมากลับสวดหังระอะ...

    ว่าแต่คืนนี้กูรูต้องผ่านไปซื้อนมในเวลากลางคืนเหมือนทุกคืนหรือเปล่า....หุ..หุ...

    </td> </tr> </tbody></table>

    เหอๆๆๆ

    ให้กูรูใส่พิมพ์ขุนแผนของวังหน้าไปดีก่า

    ไม่ต้องสวดด้วย อิอิ



    .
     
  3. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    หัวเราะจน ท่านโดถามว่าอ่านอารายครับ ลุงหนุ่ม หุ หุ
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
  5. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ข้อมูลจากเวปศูนย์พระดอทคอม

    หลวงพ่อเนียม วัดน้อย บ้านสามหมื่น อ. บางปลาม้า จ. สุพรรณบุรี เป็นชื่อที่ชาวสุพรรณทั้งที่อยู่ในวงการพระเครื่องและไม่ใช่ ต่างรู้จักท่านดี เป็นที่นับถือโดยทั่วไป ลือกระฉ่อนในด้านปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ผู้เฒ่าผู้แก่ เล่าสืบต่อกันมาอย่างน่าระทึกใจ

    หลวงพ่อเนียมมีอายุยืนยาวถึง ๔ รัชกาล เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๒ ในรัชกาลที่ ๓ ของกรุงรัตนโกสินทร์ บิดาเป็นชาวบ้านซ่อง ต. มดแดง อ. ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี มารดาเป็นชาวป่าพฤกษ์ ต. ตะค่า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ธรรมเนียมไทยฝ่ายชาย ที่เข้าสู่งานมงคลสมรสแล้วจะต้องไปอยู่บ้านฝ่ายหญิง ดังนั้นบิดาของหลวงพ่อเนียมจึงมาอยู่กับมารดาของท่านที่บ้านป่าพฤกษ์ ต.ตะค่า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ซึ่งถือว่าเป็นถิ่นชาติภูมิของท่าน หลวงพ่อเนียม มีพี่น้องร่วมอุทรเดียวกันหลายคน ตัวท่านเป็นบุตรคนที่สอง ส่วนน้อง ๆ มีอีกกี่คนไม่สามารถสืบทราบได้

    การศึกษาสมัยนั้นไม่มีโรงเรียน เหมือนปัจจุบัน หลวงพ่อเนียมจึงมีชีวิตคลุกคลีอยู่กับวัด เรียนอักขระขอมและภาษาบาลีจากวัดข้างเคียงที่ให้กำเนิดท่าน เมื่ออายุครบบวชทำการอุปสมบทในบวรพุทธศาสนา วัดใกล้บ้านท่านนั่นแหละ คาดว่าคงเป็นวัดป่าพฤกษ์ หรือไม่ก็วัดตะค่า เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๙๒-๒๓๙๓

    เมื่ออุปสมบทถือเพศบรรพชิตแล้ว ท่านได้ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาพระธรรมวินัยและมูลกัจจายน์ในจังหวัดพระนครหรือธนบุรี สืบทราบไม่แน่ชัด มีบางท่านว่าอยู่วัดพระพิเรนทร์ บางท่านว่าอยู่วัดโพธิ์, วัดระฆัง,วัดทองธรรมชาติ ธนบุรี ไม่เป็นที่ยุติ สรุปความว่าท่านไปอยู่วัดในจังหวัดพระนครและธนบุรี ซึ่งอาจจะอยู่วัดในจังหวัดดังได้กล่าวมาแล้วก็ได้

    ขณะที่ท่านศึกษาทางด้านธรรมะอยู่นั้นท่านมีความสนใจในทางวิปัสสนาธุระและทางไสยศาสตร์คาถาอาคมด้วย หากท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดระฆัง ท่านอาจจะเป็นลูกศิษย์ของสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสีก็ได้ เพราะสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) มีอายุถึง พ.ศ.๒๔๑๕ ดังนั้น เมื่อหลวงพ่อเนียมอุปสมบทในราว พ.ศ. ๒๓๙๒-๒๓๙๓ ถ้าท่านมาอยู่ วัดระฆังแน่เหลือเกิน ท่านจะต้องเป็นลูกศิษย์สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) อย่างไม่มีปัญหาซึ่งบางทีหลวงพ่อเนียมอาจจะได้ศึกษาวิชาทางไสยศาสตร์และวิปัสสนาธุระ สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) ก็อาจจะเป็นได้

    คุณทองหยด จิตตวีระ อดีต รมต. ว่าการกระทรวงสาธารณสุข เคยเล่าว่า หลวงพ่อเนียมส่งบิดาของคุณทองหยดให้ไปเรียนหนังสืออยู่ที่วัดระฆัง สันนิษฐานว่า หลวงพ่อเนียมน่าจะมีความสัมพันธ์กับวัดระฆังมาก่อน จึงส่งบิดาของคุณทองหยดไปเรียนหนังสือที่วัดระฆัง ในช่วงที่หลวงพ่อเนียมไปอยู่กรุงเทพฯ นั้น สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหมฺรังสี) ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าหลวงพ่อเนียมไปอยู่วัดระฆังจริงก็น่าจะเป็นลูกศิษย์ สมเด็จพระพุทฒาจารย์ (โต พฺรหมฺรังสี) ก็เป็นได้

    รูปร่างของหลวงพ่อเนียมสันทัด ผิวขาวไม่สูงไม่ต่ำจนเกินไปนัก ใบหน้ามีเสน่ห์ในขณะที่เรียนวิชาทางไสยศาสตร์อยู่นั้น ท่านได้เคยทดลองวิชาเมตตามหานิยมที่ได้ เล่าเรียนมาครั้งหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า เช้าวันหนึ่งท่านไปบิณฑบาตที่บ้านพระยาผู้หนึ่ง บังเอิญวันนั้นลูกสาวพระยาผู้นั้นเป็นผู้ใส่บาตร ท่านคิดในใจว่าวันนี้ อาตมาจะ ขอทดลองวิชาที่ได้อุตส่าห์เล่าเรียนมาว่าจะเป็นจริงเพียงไร

    ขณะที่ลูกสาวพระยาเอาทัพพีตักข้าวใส่บาตรของท่านนั้น ท่านบริกรรมพร้อมกับใช้ฝาบาตรกดทับทัพพีของสีกาสาวลูกพระยาผู้นั้นไว้ชั่วขณะหนึ่ง แล้วปล่อยปรากฏว่าตอนเย็นวันนั้น พระยาผู้บิดาสีกาสาวผู้นั้นให้คนมานิมนต์ท่านไปพบที่บ้าน พอท่านทราบเรื่อง ใจไม่ดีคิดว่าคงมีเรื่องเสียแล้ว คาถาอาคมที่เรียนมานั้นคงไม่สัมฤทธิ์ผลเป็นแน่ นึกตำหนิตนเองว่าไม่ควรจะทดลองเลย จะไม่ไปหรือก็ไม่ได้เพราะรับนิมนต์ไว้แล้ว เป็นไงเป็นกัน
    แต่เหตุการณ์ตรงกันข้ามกับที่ท่านได้คิดไว้ พระยาผู้นั้นให้การต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี จากการรับนิมนต์ครั้งนั้นจนกลายเป็นที่คุ้นเคยกันในตอนต่อๆ มา ท่านไปมาหาสู่ที่บ้านพระยาผู้นั้นอยู่เป็นเนืองนิจ จนเป็นที่สนิทสนมกันมาก
    วันหนึ่งพระยาผู้นั้นเอ่ยปากยกลูกสาวให้ท่าน ท่านตกใจมากเพราะไม่ได้คิดเลยว่าเรื่องจะกลับกลายเป็นเช่นนี้ ท่านจึงต้องรีบปฏิเสธอย่างสุภาพว่า ท่านยังรักที่จะอยู่ในสมณเพศต่อไป โดยจะไม่ขอลาสิกขาบท จากนั้นท่านพยายามทำตนให้ห่างไว้เพื่อความสัมพันธ์จะได้ค่อยๆ จางหายไป จะอย่างไรก็ดีเมื่อท่านกลับมาจำพรรษาที่วัดในจังหวัดสุพรรณแล้ว ท่านยังลงไปเยี่ยมพระยาผู้นั้นอยู่เสมอ ๆ

    ท่านกลับมาอยู่สุพรรณอายุในราว ๔๐ ปี ในราวพ.ศ.๒๔๑๒ อยู่ในกรุงเทพฯ-ธนบุรี เกือบ ๒๐ ปี นับว่านานโขอยู่ ในการกลับมาตอนต้น ท่านไม่ได้มาอยู่วัดที่ท่านอุปสมบทเลยขึ้นมาอยู่ที่วัดรอเจริญ ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี อยู่ได้ไม่นานเกิดขัดคอกับเจ้าอาวาส ท่านจึงคิดจะไปจำพรรษาที่วัดป่าพฤกษ์ใกล้บ้านเกิดของท่านดีกว่า

    ขณะนั้นวัดน้อย ต.บางปลาม้า อ.บางปลาม้า สุพรรณบุรี ซึ่งอยู่เหนือวัดรอเจริญไปไม่ไกลนัก เป็นวัดมีสภาพร้าง สิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่ยังคงเหลืออยู่เพียงวิหารเก่าคร่ำคร่าเท่านั้น ชาวบ้านมีความประสงค์จะบูรณะซ่อมแซม ให้พ้นสภาพวัดร้างขึ้นมาใหม่ จึงให้นายมวนและชาวบ้านแถบนั้นจะหาปัจจัยสร้างหอฉันให้ หลวงพ่อเนียมไม่ขัดศรัทธา ตกลงใจมาอยู่วัดน้อยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พอสรุปได้ว่าวัดน้อย ได้พ้นสภาพจากการเป็นวัดร้างตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๑๒ เป็นต้นมาเช่นกัน

    นายมวนและชาวบ้านช่วยกันสร้างหอฉันเสาไม้แก่นพื้นไม้สัก หลังคามุงกระเบื้องให้หนึ่งหลัง หลวงพ่อเนียมได้มาจำพรรษาอยู่วัดน้อย ค่อยๆ บูรณะซ่อมแซมโน่นนิดนี่หน่อยเรื่อยมา ในขณะนั้นมีผัวเมียคู่หนึ่งชื่อ "ปาน" ทั้งคู่ มีเรืออยู่ลำหนึ่งเที่ยวเร่ขายพลูไปยังที่ต่างๆ ผัวปานเมียปานคู่นี้แวะมาสนทนากับหลวงพ่อเนียมเป็นประจำ พูดถึงความเป็นจริงว่าการค้าขายพลูลำบากลำบนมาก บางคราวขายหมดพอดีมีกำไรเลี้ยงท้องไปวันหนึ่งๆ ขายไม่หมดเก็บเอาไว้พลูเน่าต้องขาดทุน แต่ก็จำต้องทนทำ จะเปลี่ยนไปประกอบอาชีพอื่นก็ไม่ได้ เพราะไม่สันทัดและไม่มีทุนรอนที่จะทำด้วย
    จากการมาคุยและมาทำบุญที่วัดน้อยบ่อยๆ หลวงพ่อเนียมเห็นว่าสองผัวเมียชื่อเดียวกันนี้ประกอบอาชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ทำให้ฐานะกระเตื้องขึ้นแต่ใจบุญสุนทาน

    วันหนึ่งสองผัวเมียมาสนทนากับท่าน ท่านจึงบอกให้ไปแทงหวยที่กรุงเทพฯ สองผัวเมียเมื่อมีโอกาสล่องเรือไปกรุงเทพฯ แทงหวยตามที่หลวงพ่อบอกให้แทงทันที ในใจเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่แล้วสอง ผัวปาน เมียปาน ก็มีความดีใจเป็นล้นพ้น ถูกหวยจริงๆ ได้เงินเป็นจำนวนมาก ทั้งสองผัวเมียเมื่อรับเงินแล้ว รีบมานมัสการหลวงพ่อเนียมทันที พร้อมกับถวายเงินสร้างกุฏิให้วัดน้อยหนึ่งหลัง กุฏินั้นยังคงอยู่มาจนกระทั่งปัจจุบัน ส่วนเรือค้าขายพลูลำนั้นถวายให้กับวัดน้อยด้วยเช่นกัน เปลี่ยนอาชีพไปค้าขายทางอื่นเพราะมีทุนรอนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว

    วัดน้อยค่อยๆ มีสภาพดีขึ้นเป็นลำดับ มีพระเณรมาจำพรรษามากขึ้นทั้งใกล้และไกล เช่นจากอำเภออู่ทอง เป็นต้น อำเภออู่ทองสมัยโน้นไกลแสนไกล เป็นอำเภออยู่ป่าสูง การคมนาคมไม่มี นอกจากจะเดินทางด้วยเท้าหรือม้าผ่านทุ่งนา ป่าละเมาะและย่างเข้าป่าสูง ต้องใช้เวลาเดินไม่น้อยกว่าหนึ่งวันเต็มๆ หรือกว่านั้น การที่มีพระจากท้องที่ไกลๆ มาจำพรรษาด้วยย่อมเป็นการแสดงว่าหลวงพ่อเนียมต้องมีอะไรดี

    ลุงคำ (หลานนายมวน) เล่าว่าเพราะหลวงพ่อเนียมเป็นบุคคลที่มีน้ำใจเมตตากรุณา แต่เคร่งในด้านการศึกษาพระธรรมวินัย บางท่านที่สนใจศึกษาทางด้านวิปัสนาธุระ หลวงพ่อก็ช่วยให้การศึกษาเต็มที่ โดยไม่มีการหวงแหน พระเณรมีความรักใคร่กลมเกลียวกันดี นอกจากนั้นหลวงพ่อเนียมยังมีชื่อเสียงในทางรักษาโรคต่างๆ ได้อีก เช่น โรคพิษสุนัขบ้า บางทีถึงกับจับเอาสุนัข บ้ามาขังไว้ ทำการรักษาสุนัขตัวนั้นจนหายได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกและมหัศจรรย์ นอกนั้นการรักษาวัณโรค อหิวาตกโรค ฝีดาษ ไข้ทรพิษ ก็รักษาให้หายได้เช่นกัน โดยเฉพาะวัณโรคนั้นได้ผลดีมาก

    หลวงพ่อเนียมสามารถมองเห็นเหตุการณ์ข้างหน้าได้ดั่งตาทิพย์ ครั้งหนึ่งมีภิกษุจากวัดสุวรรณภูมิ ต.ท่าพี่เลี้ยง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี จำนวน ๔ รูปไปหาหลวงพ่อที่วัดน้อยเพื่อขอฤกษ์ลาสิกขาบท ขณะนั้นหลวงพ่อเนียมกำลังคุมลูกศิษย์วัดทำความสะอาดบริเวณวัดอยู่ พอเห็นหน้าภิกษุทั้งสี่ หลวงพ่อร้องทักขึ้นก่อนว่า จะมาขอฤกษ์ลาสิกขาบทใช่ไหมล่ะ ภิกษุทั้งสี่ตอบว่าใช่ ท่านให้ฤกษ์ไปสามรูป อีกรูปหนึ่งท่านท้วงว่าอย่าเพิ่งเลย ชะตากำลังไม่ใคร่ดี แล้วท่านก็ไม่ให้ฤกษ์ แต่ภิกษุนั้นหายอมฟังคำทักท้วงของหลวงพ่อเนียมไม่ทนไม่ไหว จีวรร้อนเป็นไฟ เพื่อนพระสึกไปหมดแล้วตนเองก็จะรู้สึกว้าเหว่ ตัดสินใจลาสิกขาบทโดยไม่ฟังคำทักท้วงของหลวงพ่อเนียม เมื่อออกจากวัดกลับมาหาบิดามารดาที่บ้าน ค่ำวันนั้นเองขณะที่กำลังนั่งสนทนากันอยู่บนบ้าน ปรากฏว่ามีคนร้ายแอบเอาปืนยิงเข้าไปในกลุ่มสนทนา กระสุนถูกศีรษะทิดสึกใหม่คนนั้นตายคาที่

    วันหนึ่งหลวงพ่อเนียมเอ่ยปากขอสำรับเพลจากชาวบ้านแถบนั้นจำนวน ๕๐ สำรับโดยไม่ได้บอกว่าจะทำอะไรที่ไหน เพียงแต่ท่านพูดแล้วอมยิ้มน้อยๆ ว่าถึงคราวแล้วรู้เอง ครั้นใกล้จะถึงเวลาเพล สำรับที่ขอชาวบ้านไว้ก็ค่อยๆ ทยอยมาสู่วัดครบตามจำนวนที่ขอไว้อย่างพร้อมเพรียง แต่ชาวบ้านมองไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดปกติ ใครจะมาจากไหนหรือไม่เห็นมีวี่แวว แต่พอกลองเพลดังลั่นขึ้นเท่านั้น ท่านอาจารย์ปาน วัดบางเหี้ย ซึ่งขณะนั้นก็เป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่เหมือนกัน พาภิกษุมารวม ๕๐ รูป เดินทางมานมัสการหลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์ พอเดินทางมาถึงหน้าวัดน้อย ปรากฏว่าเกิดพายุขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน เป็นที่ผิดปกติ ท่านอาจารย์วัดบางเหี้ยจึง พูดกับพระที่มาด้วยกันแล้ว

    "เอ เห็นจะต้องแวะที่วัดนี้เสียแล้ว เจ้าของท้องที่เขาเชิญให้แวะ ไม่ควรขัดศรัทธา"

    จึงสั่งให้เรือจอดที่ท่าวัดน้อยแล้วพาภิกษุทั้งหมดขึ้นไปบนวัด ก็ได้รับการต้อนรับจากหลวงพ่อเนียมด้วยการถวายเพลแก่อาจารย์วัดบางเหี้ยและภิกษุทุกรูป ในงานทำบุญคล้ายวันเกิดของท่าน ชาวบ้านจัดงานใหญ่โต มีแสดงพระธรรมเทศนาแจง ๕๐๐ พร้อมด้วยมหรสพสมโภชหลายอย่างร้านค้าขายตั้งเต็มลานวัด คาดว่างานแซยิดของท่านคงจัดขึ้นในราว พ.ศ. ๒๔๔๕ เพราะผู้เล่าเรื่องนี้คือ ลุงเปล่ง สุพรรณโรจน์ เล่าขณะที่ลุงเปล่ามีอายุ ๘๔ ปี บอกว่าปีนั้นลุงเปล่งมีอายุเพียง ๑๘ ขวบ ดังนั้น พ.ศ. ทำบุญงานแซยิดของท่านประมาณ พ.ศ.๒๔๔๕

    ค่ำวันนั้น ปรากฏว่าเมฆดำทมึนมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ฝนตั้งเค้า พายุพัดตึงบอกลักษณะว่าฝนจะตกลงมาอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นฝนยังได้ลงเม็ดมาปรอยๆ บ้างแล้ว ร้านค้าขายต่างกุลีกุจอเก็บข้าวของเตรียมหนีฝน กันจ้าละหวั่น วุ่นวายไปทั่วทั้งลานวัด คนที่มาเที่ยวต่างก็หลบฝนเข้าไปในใต้ถุนกุฏิ และที่หอฉันเต็มไปหมด

    ในขณะที่กำลังอลหม่านกันนั้นเอง หลวงพ่อเนียมเดินลงมาจากุฏิร้องบอกว่า

    "ไม่ต้องเก็บไม่ต้องเลิก มหรสพเล่นต่อไป ของขายต่อไป ที่นี่ไม่มีฝน ฝนไม่ตกที่นี่"

    แล้วท่านเดินไปหยุดที่หน้ากุฏิของท่าน มองขึ้นไปเบื้องบนท้องฟ้า แล้วเดินไปเดินมา จริงเหมือนดังคำประกาศิต ฝนตั้งเค้าและท่าจะตกลงมาอย่างหนักนั้นหาได้ตกลงมาภายใน บริเวณวัดไม่มีเพียงละอองฝนปรอยๆ เท่านั้น แต่เมื่อมองออกไปนอกวัดจะเห็นฝนตกลงมาอย่างรุนแรง ทั้งตกอยู่นานอักโขอยู่ พองานเลิกทุกคนต้องเดินลุยน้ำขนาดครึ่งหน้าแข้ง

    การถ่ายรูปหลวงพ่อเนียมเล่ากันว่าถ่ายไม่ติด ครั้งหนึ่งมีช่างแผนที่มาทำการออกโฉนดที่ดินที่จังหวัดสุพรรณบุรี พระประมาณฯ เป็นหัวหน้าพร้อมด้วยฝรั่งสองคนเป็นผู้ช่วย ทราบเสียงเล่าลือว่าการถ่ายรูป หลวงพ่อเนียมนั้นถ่ายไม่ติด พระประมาณฯ กับฝรั่งนั้นต้องการพิสูจน์ความจริง ตามเสียงที่เล่าลือกันจะเป็นความจริงเพียงใด จึงไปที่วัดน้อยแล้วนิมนต์พระทั้งวัดมานั่งถ่ายรูปพร้อมด้วยหลวงพ่อเนียม เมื่อเอาฟิล์มไปล้างปรากฏว่าไม่มีรูปหลวงพ่อเนียมอยู่ในกลุ่มนั้นจริงๆ พระประมาณฯ กลับมาทดลองถ่ายอีกโดยขอให้หลวงพ่อเนียมเดินไปที่โอ่งน้ำมนต์ ถ่ายขณะที่หลวงพ่อกำลังเดินไปและขณะอยู่ที่โอ่งกำลังทำน้ำมนต์ ก็ไม่ติดอีกเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

    น้ำมนต์ของท่านไม่เฉพาะแต่น้ำมนต์ในโอ่งเท่านั้น ที่ท่าวัดของท่านก็เป็นน้ำมนต์เช่นเดียวกัน ครั้งหนึ่งมีจีนคนหนึ่งชื่อ "โต้ผ่วย" อยู่แถววัดโพธิ์คอย ซึ่งไม่ไกลจากวัดน้อยเท่าใดนัก มาขอน้ำมนต์จากหลวงพ่อเนียม ท่านบอกเจ๊กโต้ผ่วยให้ไปตักเอาเองซิ อยู่ที่ท่าน้ำนั่นไงเล่า เจ๊กโต้ผ่วยไปตักน้ำมาแล้วเอามาให้ท่านหลวงพ่อบอกให้จุดธูป พอจุดเสร็จท่านบอกกับเจ๊กโต้ผ่วยว่าเสร็จแล้ว เจ๊กโต้ผ่วยมองหน้าหลวงพ่อเนียมเป็นเชิงสงสัย และนึกฉุนตะหงิดๆ ขึ้นมาในใจ อะไรกัน ไม่เห็นหลวงพ่อท่านบริกรรมคาถาเลยแม้แต่คำเดียว จะเป็นน้ำมนต์ได้อย่างไร แต่จะไม่เอาไปก็ไม่ใช้ที่ จึงเอาไปอย่างไม่เต็มใจ เมื่อออกไปนอกวัด เจ๊กโต้ผ่วยรำพึงขึ้นอย่างแค้นใจ

    "เอาไปทังลายล้ำท่าเท้ๆ "

    ว่าแล้วก็คว่ำขวดโหลใบที่ใส่น้ำมนต์มา แปลกอะไรเช่นนั้น! น้ำมนต์ในขวดโหลหาได้ไหลออกมาไม่! บังเอิญพลัดหลุดมือแตกเป็นเสี่ยงๆ น้ำมนต์ในขวดโหลแทนที่จะเป็นน้ำเหลว กลับกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง!! เจ๊กโต้ผ่วยตกใจรีบตาสีตาเหลือกเก็บก้อนน้ำแข็งนั้นใส่ภาชนะอื่นทันที นึกแปลกในใจว่าทำไมน้ำนั้นจึงแข็งได้ พอนึกถึงอภินิหารของหลวงพ่อเนียมเข้า ก็ยกภาชนะนั้นขึ้นทูนหัวพร้อมกับกล่าวขออภัยในใจ ที่หมิ่นหลวงพ่อและเอาก้อนน้ำแข็งน้ำมนต์นั้นไปเก็บไว้จนละลาย

    เจ้านายถึงจะมียศถาบรรดาศักดิ์ใหญ่โตสักเพียงใดก็ตาม ถ้าจะไปขออาบน้ำมนต์ ท่านจะบอกให้ไปอาบที่ท่าวัดเหมือนกันทุกๆ คน ครั้งหนึ่งพระยาศิริชัยบุรินทร์ (ทองสุก) ปลัดเทศาภิบาลมณฑลนครไชยศรี มาตรวจราชการที่จังหวัดสุพรรณบุรี ทราบกิตติศัพท์ของหลวงพ่อเนียม ท่านจึงอยากจะมาขอพรและขอให้หลวงพ่ออาบน้ำมนต์ให้ ดังนั้นตอนเย็นวันหนึ่งพระยาศิริชัยบุรินทร์ว่างงานจึงไปหาหลวงพ่อเนียม ให้ข้าราชการผู้หนึ่งเข้าไปพบหลวงพ่อบอกถึงความประสงค์ว่าจะขออาบน้ำมนต์ หลวงพ่อเนียมบอกไปอาบที่ท่าวัดก็ได้ เป็นน้ำมนต์เหมือนกัน เมื่อโดนเข้าอีไม้นั้น ในฐานะนักปกครองผู้มีจิตวิทยาสูง จึงจำต้องแสดงออกซึ่งความเคารพคำของหลวงพ่ออย่างจริงใจ เดินตามชาวบ้านลงไปอาบน้ำ (น้ำมนต์) ที่ท่าวัดด้วยอาการไม่ขวยเขินหรือกระดากอาย แต่ประการใด เมื่อท่านกลับไปนครปฐมเล่าให้ข้าราชการด้วยกัน ฟังว่ารู้สึกเหนียมเหมือนกันที่ตนเป็นผู้ใหญ่แต่ต้องไป อาบน้ำปะปนกับชาวบ้านแต่หลังจากนั้นไม่นานนักท่านได้เลื่อนเป็นเทศาภิบาลและย้ายไปอยู่มณฑลนครสวรรค์อย่างคาดไม่ถึง

    พระเณรที่ประพฤติผิดวินัย ท่านทราบเองโดยไม่มีใครบอกท่าน ต่อมาท่านเห็นว่าไม่ดี จึงเรียกพระเณรที่ทำผิดพระวินัยให้พยายามทำตนให้ประพฤติชอบ ทำให้พระและเณรทั้งวัดไม่กล้าประพฤติไม่ดีต่อไปอีก แม้แต่ลับหลัง
    หลวงพ่อเป็น ผู้ที่มีความ เมตตา ต่อสัตว์เลี้ยง ท่านเลี้ยงแมว, สุนัข, ไก่, แม้กระทั่งงูเห่าก็เลี้ยงไว้ ในกุฏิของท่านจึงเต็มไปแล้วมูลสัตว์ต่างๆ งูเห่ามีอยู่สองตัว ตัวใหญ่หายไปนานแล้ว แต่ก่อนมันจะหายไปมันมาลาท่านด้วยการชูหัวแผ่แม่เบี้ยคำนับอยู่ ๓ ครั้ง ตั้งแต่นั้นมันก็หายไป ส่วนตัวเล็กหายไปหลังจากหลวงพ่อมรณภาพแล้ว

    กิจวัตรประจำวันของท่านระหว่างเข้าพรรษา ท่านจะตื่นแต่เช้ามืดยังไม่ทันมีแสงเงินแสงทอง ครองจีวรแล้วปลงอาบัติเพื่อความบริสุทธิ์ของวันต่อไปทุกๆ เช้ามือ เสร็จแล้วนั่งสนทนากับภิกษุในวัดเป็นการอบรมไปในตัวพอได้อรุณจึงออกไปบิณฑบาต ต่อมาในระยะหลังๆ ท่านไม่ค่อยได้ออกไปบิณฑบาตเพราะชราภาพมากแล้ว ในขณะที่ท่านไปส้วมจะมีขันน้ำและข้าวสารไปด้วย โปรยข้าวสารไปตลอดทางจนถึงส้วมเพื่อให้ไก่กิน ออกจากส้วมกลับมาตามทางเดินโปรยข้าวสารที่เหลือให้ไก่กินจนหมด

    อาหารที่ท่านชอบเป็นพิเศษ คือ เปลือกแตงโมต้มปลาเจ่าแล้วในน้ำตาล ปกติการปรุงรสค่อนข้าวหวานแระเปรี้ยวเป็นส่วนมาก เช่นขนมจีนท่านชอบใส่น้ำเชื่อมลงไปด้วย

    ตอนบ่ายท่านจะลงไป รับแขกที่กุฏิเล็กซึ่งทานสร้างขึ้นเพื่อนั่งวิปัสสนา ตอนเย็นเป็นธุระในเรื่องสัตว์เลี้ยง ตอนค่ำทำวัตรเสร็จแล้วนั่งสนทนากับพระลูกวัดจนกระทั่ง เวลาสามทุ่มจึงเข้าจำวัดหลวงพ่อเนียม สร้างพระเครื่องไว้หลายพิมพ์ด้วยกัน มีผู้เล่าว่าตอนต้นท่านสร้างพระเครื่องดินเผา แต่เนื้อที่เผาไม่แกร่งพอ ท่านจึงไม่แจกให้แก่ผู้ใดเลยแม้แต่องค์เดียว ในวงการพระเครื่องจึงไม่รู้จักพระเครื่อง เนื้อดินเผาของท่าน ส่วนมากเท่าที่รู้จักกันคือพระเนื้อชินตะกั่วผสมปรอท ท่านสร้างไว้หลายพิมพ์โดยเอาพระเก่าๆ มาทำแม่พิมพ์ เท่าที่รู้จักกันแพร่หลาย คือ
    ๑. พระงบน้ำอ้อย
    ๒.พระพิมพ์ลำพูน เกศยาว
    ๓.พระพิมพ์ลำพูน เศียรโล้น
    ๔.พระปรุหนัง

    ต่อมาปรากฏว่าพบพิมพ์พระเจ้าห้าพระองค์เพิ่มขึ้นอีก บางท่านว่าพระปิดตาก็มี แต่ทว่ามีจำนวนน้อย แทบจะไม่มีใครรู้จักเลย

    การทำปรอทให้แข็งในสมัยโน้นไม่ใช่ของง่ายนัก ว่ากันว่าต้องใช้คาถาอาคม ทั้งต้องทำในฤดูฝนฤดูเดียวเท่านั้น เพราะพืชบางอย่าง เช่น ใบแตงหนู ซึ่งขึ้นในท้องนา จะขึ้นในฤดูฝน ส่วนผสมต่างๆ มีใบสลอด, ข้าวสุกหลวงพ่อท่านเอาของสามอย่างมาโขลกปนกันเพื่อไล่ขี้ปรอทออกให้หมด ทั้งนี้เพื่อให้ได้ปรอทขาวที่สุด การโขลกจะต้องโขลกและกวนอยู่ถึง ๗ วัน จึงจะเข้ากัน พอครบ ๗ วันเอาไปตากแดดเสร็จแล้วนำเอาไปกวนต่อจนเข้ากันดี จึงทำการแยกชั่งเป็นส่วนๆ ส่วนละหนึ่งบาทต่อจากนั้นเอาไปใส่ครกหิน เติมกำมะถันและจุนสีโขลกตำให้เข้ากัน โดยใช้เวลาทำตอนกลางคืนเท่านั้น ทำเช่นนั้นอยู่ ๓ คืนจึงเอาปรอทใส่ลงไปในกระปุกเหล้าเกาเหลียง ผสมกับตะกั่วเอาเข้าไฟสุมอยู่ถึง ๗ วัน บางครั้งอุณหภูมิ สูงจัด กระปุกเหล้าเกาเหลียงแตกเสียหายก็มี การสุมไฟสุมเฉพาะเวลากลางวัน ส่วนเวลากลางคืนทำพิธีปลุกเสกด้วยคาถาอาคม พอครบ ๗ ไฟเทลงในแม่พิมพ์จึงจะได้พระตามที่ต้องการ

    หลวงพ่อเนียมมรณภาพเมื่ออายุ ๘๐ ปี โดยมรณภาพในลักษณะเหมือนพระปางไสยาสน์ นับเป็นพระสงฆ์องค์แรกของเมืองไทยที่มีการมรณภาพเช่นนี้ ผู้เขียนไปวัดน้อย สอบถามผู้ใกล้ชิดแล้วบวกลบคูณหารดู ปรากฏว่าตรงกับ พ.ศ.๒๔๕๒ ประมาณ ๙๕ ปีมาแล้ว หลังจากการฌาปนกิจเสร็จแล้วชาวบ้านแย่งกันเก็บอัฐิของท่านเอาไปไว้บูชากันอย่างอลหม่าน

    ในด้านพระพุทธคุณพระเครื่องของหลวงพ่อเนียม มีปรากฏการณ์หลายรายด้วยกันอย่างน่าระทึกใจ เช่น รถคว่ำมีพระหลวงพ่อเนียมไม่เป็นไร นี้แหละครับพระพุทธคุณของพระหลวงพ่อวัดน้อย อันเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เลื่องลือซึ่งเป็นที่รู้จักกันของชาวสุพรรณเป็นอย่างดีมานานแล้ว

    ขอบคุณพี่ไฟดูดที่ได้มอบกระเบื้องหลังคาโบสถ์วัดน้อยให้ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2012
  6. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    แล้ว สรรพคุณ ดียังไง อ่ะ ลุง อ.เพชร แล้ว คนปกติจะหาไงครับ หุ หุ
     
  7. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    การอธิษฐานครั้งสำคัญในพระพุทธศาสนา

    พฤศจิกายน 3, 2011 โดย ธ. ธรรมรักษ์

    เรื่องราวนี้เป็นเรื่องราวของ องค์พระศาสดาของพระพุทธศาสนาในช่วงที่พระพุทธองค์ ยังทรงเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก่อนที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั่นเองครับ ซึ่งก่อนที่พระองค์จะได้ตรัสรู้ได้กระทำการ อธิษฐานครั้งสำคัญ 3 ครั้งด้วยกัน ซึ่งชาวพุทธทุกคนควรทราบเป็นอย่างยิ่ง

    เพราะในช่วงที่เจ้าชายสิทธัตถะก่อนที่จะออกบวชนั้น ได้ทรงครุ่นคิดอย่างหนักถึงการหาวิธีการที่จะพ้นทุกข์อย่างแท้จริง แม้จะมีนางรำที่มีความสวยงามมากมายมาร่ายรำสร้างความบันเทิงอยู่ตรงหน้า ก็ไม่ได้ให้ความสนใจแม้แต่น้อยจนกระทั่งเผลอหลับไป

    เมื่อตื่นขึ้นมากลางดึกก็พบเห็นเหล่านางรำที่เมื่อสักครู่ยังดูสวยงาม แต่มาบัดนี้นอนทับถมกระจัดกระจายเต็มท้องพระโรงประหนึ่งเหมือนซากศพ เมื่อเห็นดังนั้นก็เกิดความสังเวชใจจึงไม่เกิดความลังเลใจอีกต่อไป ทรงตัดสินใจออกบวชทันที

    ที่ลุ่มแม่น้ำอโนมา หลังจากที่ได้ทรงถอดเครื่องประดับทั้งหลายพร้อมกับบอกให้นายฉันนะ นำกลับไปยังเมืองกบิลพัสดุ์เพราะพระองค์ตัดสินใจออกบวชแล้ว จึงได้ทำการ “ตั้งจิตอธิษฐานเป็นครั้งแรก”ว่า ขอให้พระองค์เองได้ตัดใจบวชเพื่อมุ่งสู่ความเป็นบรรพชิตแสวงหาทางพ้นทุกข์นับแต่บัดนี้

    โดยถ้าหากพระองค์จักได้ทำการตรัสรู้ก็ขอให้ พระเกศาของพระองค์จงลอยอยู่บนอากาศอย่าได้ตกลงมาเลย ปาฏิหาริย์ครั้งแรกแห่งการอธิษฐานก็เกิดขึ้นทันที

    เพราะหลังจากที่พระองค์ตัดพระเกศาออก ท้าวสักกะเทวราช หรือพระอินทร์ ที่ล่วงรู้เหตุการณ์ทั้งหมด ก็รีบเหาะนำพานมารองรับพระเกศาเอาไว้แล้ว นำพระเกศาของพระองค์ไปบรรจุไว้ในเจดีย์จุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ต่อไป

    จุดเริ่มต้นแห่งพระพุทธศาสนาจึงได้เริ่มต้นที่ริมฝั่งแม่น้ำ อโนมาแห่งนั้น หลังจากออกผนวชได้ 7 วัน พระโพธิสัตว์สิทธัตถะก็ได้เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์แล้วมุ่งหน้าไปที่กรุงราชคฤห์ซึ่งมีพระเจ้าพิมพิสารปกครองอยู่ พระเจ้าพิมพิสารได้เสด็จมาเข้าเฝ้าพระโพธิสัตว์ด้วยพระองค์เองและทูลขอให้ประทับอยู่ที่กรุงราชคฤห์แห่งนี้

    พระโพธิสัตว์สิทธัตถะ สำนึกได้ว่าไม่ควรจะอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานานเพราะต้องแสวงหาทางดับทุกข์นั้นให้ได้ แต่เพื่อให้เป็นไปตามกรรมกำหนดจึงได้ให้สัญญากับพระเจ้าพิมพิสารว่า หากได้บรรลุธรรมแล้วจะเสด็จมาโปรดพระองค์และชาวเมืองเป็นพวกแรก

    จากนั้นก็ได้ทรงเดินทางไปหา อาฬารดาบสกาลามโคตร ทรงศึกษากับพระอาจารย์อาฬารดาบส ถึงเรื่องการเข้าสมาบัติสำเร็จฌาน 8 คือ รูปฌาน 4 และ อรูปฌาน 4 ซึ่งถือเป็นความรู้ทางธรรมอันสูงสุดของอาจารย์ หลังจากพระองค์ได้บำเพ็ญจิตสมาธิจนบรรลุฌานทั้ง 8 แล้วอาจารย์ก็หมดภูมิจะสอนต่อไปอีก

    พระโพธิสัตว์จึงได้เสด็จไปยังเมืองพาราณสีเพื่อศึกษาต่อกับ พระอาจารย์อุททกดาบส รามบุตรซึ่งพระองค์ก็ใช้เวลาศึกษาอยู่ไม่นานก็สำเร็จ แต่ก็พบว่ายังไม่ใช่ธรรมะขั้นสูงสุดที่จะทำให้สำเร็จมรรคผลถึงนิพพานได้ จึงได้ปฏิเสธคำเชิญของอาจารย์ที่จะอยู่ร่วมเป็นอาจารย์ช่วยสั่งสอนศิษย์ทั้งหลาย จึงได้ลาและออกแสวงหาธรรมโดยพระองค์เองต่อไป

    เวลาผ่านไปหลายปี พระโพธิสัตว์สมณโคดมได้ทดลองการบำเพ็ญเพียรทั้งหมด ไม่ว่า การบำเพ็ญแบบเดียรถีย์ ที่เป็นแนวปฏิบัติของนักบวชของอินเดียในสมัยโบราณ ที่ต้องทรมานร่างกายในแบบต่าง ๆ เช่น การประพฤติตนเปลือยกาย ไม่ยอมรับอาหารที่เขาให้ หรือ ฉันอาหารที่เก็บไว้วันเดียวบ้างเจ็ดวันบ้าง เดินเขย่งเท้าหรือนอนบนที่นอนที่ทำด้วยหนาม เป็นต้น

    ในขณะที่ประทับอยู่ ณ อุรุเวลาเสนานิคม ก็มีชายกลุ่มหนึ่งมาจากเมืองกบิลพัสดุ์มาตามหาพระสมณโคดม นำโดย ท่านอัญญาโกณทัญญะ พราหมณ์ผู้เป็นหัวหน้า ได้พาพวกมาเข้าเฝ้าด้วยความเลื่อมใส และทั้งหมด ขออยู่รับใช้ที่นั่นจนกว่าพระโพธิสัตว์จะได้บรรลุธรรม

    พระโพธิสัตว์ได้ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาจนพระวรกายซูบผอมดำคล้ำจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกโดยการบำเพ็ญขั้นสุดท้ายนี้คือ การบริโภคอาหารน้อยลงจนถึงหยุดกินอาหารไปเลย เหล่าพราหมณ์ทั้ง 5 ที่ตามมารับใช้ต่างก็ช่วยกันดูแลพระโพธิสัตว์อยู่ตลอด พระองค์ได้ทำการทรมานตนเองจนเกือบจะสิ้นพระชนม์อยู่หลายวัน

    แต่สำหรับท้าวสักกะเทวราชหรือพระอินทร์นั้นไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพระองค์ และยังเกรงว่าความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวนี้จะเกิดความสูญเปล่า ดังนั้นในคืนที่ 49 แห่งการบำเพ็ญเพียรก่อนที่ร่างของพระองค์กำลังจะดับสูญไปเพราะความทุกข์ทรมาน

    พระองค์ได้ยินเสียงพิณจากนักดนตรีที่แล่นเรือผ่านมาตามแม่น้ำ ซึ่งก็คือพระอินทร์แปลงกายมาโดยที่นักดนตรีปลอมนั้นแกล้งตั้งสายพิณให้หย่อนบ้าง และ ตึงบ้างสลับกันไปจนกระทั่งพระอินทร์ตั้งเสียงพิณจนสุดจนสายขาดผึงไป

    เพราะเสียงพิณที่แตกต่างกัน ทำให้พระองค์ได้ตระหนักถึงความสำคัญของ “จิตกับกาย” หรือนามกับรูปเป็นครั้งแรกว่าในขณะนี้พระองค์ได้ทรมานร่างกายมากเกินควร เพราะธรรมชาติของร่างกายสามารถทนได้เพียงเท่านี้หากดื้อดึงจะใช้จิตเคี่ยวเข็ญร่างกายจนเกินกำลังก็คงไม่อาจบรรลุธรรมได้แน่

    และทำให้พระองค์ได้นึกถึงตอนที่พระองค์ยังทรงพระเยาว์อยู่ ในงานแรกนาขวัญขณะที่อายุได้ 8 พรรษาได้นั่งอยู่ใต้ต้นหว้าที่ร่มเย็นและมีใจเป็นสมาธิมาก ถือศีล งดเว้นจากเรื่องทางโลกทั้งหลายจนได้บรรลุฌานเบื้องต้น รู้เท่าทัน “จิต” และมีความสุขจากการรับรู้นั้นทำให้เกิดความสงบจากสิ่งเจือปนทางจิต (กิเลส) ทั้งปวง เมื่อตระหนักได้ดังนี้ พระองค์ก็ได้ยินเสียงพิณที่ได้ขึ้นสายใหม่ที่เสียงมีความพอดีบรรเลงได้ไพเราะจึงได้เลิกทรมานกายเพราะตระหนักแล้วว่า

    การเดินสายกลาง ที่ไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนจนเกินไปนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
    การปฏิบัติที่ตึงเกินไปทำให้ร่างกายที่เต็มไปด้วยความหิวก่อให้เกิดทุกข์จึงหันมาบริโภคน้ำและอาหารเพื่อร่างกายที่แข็งแรงอีกครั้ง

    เหล่าพราหมณ์ทั้ง 5 พอได้ทราบว่าพระโพธิสัตว์ได้กลับมาบริโภคอาหารอีกครั้ง ด้วยความที่ไม่ทราบถึงหลักความจริงในเรื่องการเดินสายกลาง ก็จึงเกิดความเสื่อมศรัทธาในตัวพระองค์ ต่างพากันหลีกหนีไปไม่อยู่รับใช้อีก

    แต่พระพุทธองค์ก็ตั้งมั่นในทางสายกลางที่ได้ค้นพบต่อไปเพราะรู้แล้วว่า “หากร่างกายดี จิตก็ดีตาม สมาธิก็มีความตั้งมั่น” จึงเป็นทางที่จะนำไปสู่การหลุดพ้นได้

    และในช่วงนั้นเองก็มีมีบุคคลผู้หนึ่งที่เข้ามามีบทบาทในการตรัสรู้ และเป็นเหตุเนื่องมาจากการ “อธิษฐาน” เสียด้วย นั่นก็คือ นางสุชาดา ซึ่งเป็นธิดาเศรษฐีแห่งตำบลอุรุเวลาเสนานิคมแห่งนั้น ซึ่งนางได้ตั้งจิตอธิษฐานต่อเทวดาที่ต้นไทรว่า หากนางมีครอบครัวและได้บุตรชาย นางจะนำข้าวมธุปายาสมาถวายกับเทวดา (ข้าวมธุปายาสนั้นเป็นข้าวที่หุงด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง)

    ซึ่งในขณะนั้นพระโพธิสัตว์ได้กลับมาบริโภคอาหารจนร่างกายแข็งแรงแล้ว ทำให้ผิวพรรณและร่างกายกลับมามีความสดใสเปล่งปลั่งสมกับลักษณะของมหาบุรุษอีกครั้ง นางสุชาดาได้เห็นก็เชื่อว่าต้องเป็นเทวดาอย่างแน่นอน นางจึงเอาข้าวมธุปายาสเข้าไปถวาย พร้อมทั้งอธิษฐานอีกครั้งว่า “ข้าพเจ้าได้บรรลุความปรารถนาแล้วขอให้ท่านได้บรรลุความปรารถนาเช่นเดียวกัน”

    การอธิษฐานครั้งที่สอง ของพระโพธิสัตว์จึงบังเกิดขึ้นจากการถวายข้าวมธุปายาสนี้ หลังจากที่พระองค์ได้เสวยข้าวจนหมดแล้วก็ได้เดินนำถาดทองไปที่ริมแม่น้ำเนรัญชรา เพื่อตั้งจิต อธิษฐานบารมีอีกครั้งว่า
    “ถ้าเราจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้ถาดนี้จงลอยทวนกระแสน้ำไป”

    ปาฏิหาริย์ครั้งที่2 จึงเกิดขึ้นทันตาเห็นทันที เมื่อถาดถูกปล่อยจากพระกรหรือมือของพระองค์แล้ว ถาดที่หนักอึ้งนั้น ก็หมุนลอยทวนกระแสน้ำไปเรื่อยๆ ด้วยแรงอธิษฐานและจมสู่นาคพิภพไปรวมกับถาดอีก 3 ใบของพระพุทธเจ้าในภัทรกัปปัจจุบัน

    อธิบายแทรกเพิ่มตรงนี้นิดหน่อยครับ ภัทรกัปคือการ อุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าในยุคปัจจุบันมีอยู่ 5 พระองค์คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมณ์ พระกัสสปะ พระโคดม(พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)และ พระศรีอริยเมตไตรย ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทะเจ้าองค์ต่อไป

    หลังจากถาดได้ลอยทวนน้ำไปแล้วพระองค์ก็เกิดความแน่วแน่และมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่า จะได้ตรัสรู้อย่างแน่นอนจึงได้เสด็จไปยังโคนต้นโพธิ์ทางทิศตะวันออก ขณะที่กำลังจะประทับนั่นนั้นเอง ก็มีคนหาบหญ้าที่ชื่อว่า “โสตถิยะ” ผ่านมาได้เห็นลักษณะที่น่าเลื่อมใสงามสง่าของพระโพธิสัตว์ จึงได้ทำการถวายหญ้าคา 8 กำปูลาดเป็นอาสนะให้ประทับนั่ง พระองค์ทรงรับเอาไว้และนำไปประทับนั่งใต้ต้นโพธิ์ นั่งขัดสมาธิแล้วหันหน้าไปทางทิศตะวันออก

    ก่อนที่พระองค์จะบำเพ็ญเพียรภาวนาเพื่อการหลุดพ้นก็ “ตั้งจิตอธิษฐานเป็นครั้งที่สาม” กำหนดใจให้สงบตั้งมั่นว่า

    “แม้เลือดในร่างกายจะแห้งเหลือแต่หนัง เอ็นหุ้มกระดูก็ตามหากยังไม่ได้บรรลุพระธรรมอันประเสริฐสูงสุดนั้น เราจะไม่ลุกขึ้นจากบัลลังก์แห่งนี้”

    เทวดาทั้งหลายทั่วทั้งชั้นฟ้าต่างก็ได้รับรู้ถึงการอธิษฐานจิตของพระองค์ในครั้งนี้ จึงได้พากันลงมาสดุดีบูชามหาบุรุษด้วยดอกไม้ ของหอมต่าง ๆแล้วโมทนาบุญที่บังเกิดขึ้นในครั้งนั้น แต่ยังมีเทพองค์หนึ่งที่ต้องการขัดขวางการบรรลุธรรมของพระองค์คือ “พญาวสวัตดีมาร” ซึ่งเป็นถึงผู้ปกครองชั้นสูงสุดของสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น (สวรรค์กามาวจร)

    พญามารนั้นเกรงว่าผู้ใดบรรลุธรรมแล้วจะมีอำนาจพ้นจากกามสุข ซึ่งเป็นอำนาจของตนเองที่ใช้ปกครองเทวดาทั้งหลาย ได้ยกกองทัพมารจำนวนมหาศาลมาประชิด โดยที่พญาวสวัตตีมารได้ขี่ช้างที่ชื่อ “คีรีเมขล์” ที่มีความสูงถึง 150 โยชน์มาด้วยทำให้เหล่าเทวดาพากันถอยหนีไปหมด

    ณ บัดนั้น พระโพธิสัตว์ได้ทรงตั้งพระทัยมุ่งจิตที่บริสุทธิ์ของพระองค์ให้สู้กับธรรมชาติฝ่ายต่ำและยกจิตของพระองค์เองให้สูงขึ้นเหนือสิ่งที่เป็นความสุขชั่วคราวทั้งหลาย ที่เคยได้ประสบมาแล้วตั้งแต่ครั้งยังเป็นเจ้าชายอยู่ให้พ้นไป

    พญามารได้ออกปากขับไล่ให้พระโพธิสัตว์ได้ลุกออกจากโพธิบัลลังก์โดยอ้างว่า บัลลังก์ที่พระองค์ประทับนั่งอยู่นั้นเป็นของพญามารเอง เพราะหน้าที่บงการชีวิตของเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ประสบทุกข์หรือสุขนั้นเป็นหน้าที่ของพญามารแต่เพียงผู้เดียว

    แต่พระโพธิสัตว์ก็ไม่ได้ลุกขึ้นตามความประสงค์ของพญามาร บุญบารมีทั้งหมดที่ได้สั่งสมมาตั้งแต่ครั้งอดีตชาติจะเป็นสื่อกลางและธรณีที่ประทับนั่งอยู่จะเป็นพยาน หลังจากนั้นก็ใช้ปลายนิ้วชี้ของพระหัตถ์ด้านขวาชี้ลงไปที่ธรณี

    ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อทั่วทั้งปฐพีเกิดการสั่นไหวแม้แต่ท้องฟ้าก็ร้องคำราม พระแม่ธรณีได้ผุดขึ้นมาจากธรณีเป็นพยานและได้ถือเอาหลักฐานที่พระโพธิสัตว์กล่าวอ้าง มาแสดงให้ปรากฏแก่สายตาของพญามาร พระแม่ธรณีได้บีบมวยผมที่ชุ่มไปด้วย “บุญบารมี” ของพระโพธิสัตว์ที่ได้บำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่ต้นจนมีปริมาณมากจนไม่อาจจะประมาณได้ น้ำปริมาณมหาศาลได้พัดท่วมเหล่ามารนั้นจนหายไปหมดสิ้นซัดไปไกลลอยไปจนถึงเขตมหาสมุทร

    ฝ่ายพญามารก็ยังไม่ยอมแพ้หมายมั่นจะนำกำลังที่เหลือกลับไป แต่เมื่อกลับไปแล้วก็ถูกฟ้าผ่าลงมาอีก จึงยอมแพ้ต่อพระโพธิสัตว์ พญามารเกรงในพระราชอาญาและบารมีจึงออกปากสรรเสริญต่อพุทธเดชานุภาพของพระองค์ว่า ไม่มีบุคคลใดที่มีความเสมอเหมือนพระโพธิสัตว์ไม่ว่าในเทวโลกหรือในมนุษย์โลกก็ตาม และพระองค์จะช่วยให้เหล่ามนุษย์ได้พ้นจากสังสารวัฎได้อย่างแน่นอน

    พระโพธิสัตว์ได้ชัยชนะเหนือความชั่วร้ายได้ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ทันได้ลับขอบฟ้า จากนั้นพระองค์ก็ได้กำหนดจิตให้เข้าสู่สมาธิทรงรำลึกถึงความทุกข์แห่งการเวียนว่าย ตาย เกิดที่วนเวียนเกี่ยวเนื่องกันไปไม่ยอมสิ้นสุด จนจิตเป็นสมาธิในเวลาเย็นก็เกิดปัญญาหยั่งรู้ถึงชาติที่เคยเกิดมาก่อน
    พอเวลาได้เลยไปถึงค่อนคืนแล้วก็ทรงเกิดปัญญา หยั่งรู้การเกิด การตายของเหล่าสัตว์ทั้งหลาย พอถึงเวลาใกล้รุ่งเช้าก็เกิดปัญญาหยั่งรู้ถึงธรรมที่มีความดับแล้วซึ่งกิเลสทุกอย่างในตอนนี้ จิตของพระองค์ได้พ้นจาก กิเลสในสันดานที่เกิดจากความใคร่ (กามาสวะ) กิเลสที่หมักหมมอยู่ในกมลสันดานทำให้อยากเกิด อยากมี อยากเป็นอยู่ตลอดเวลา (ภวาสวะ) และ กิเลสที่หมักหมมอยู่ในสันดานทำให้ไม่รู้ตามความเป็นจริง ( อวิชชาสวะ) คือพ้นแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวงบรรลุอรหันต์

    ในที่สุดการค้นหาของพระองค์สิ้นสุดลง ทรงตรัสรู้กลายเป็น “พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” โดยมีเหล่าเทวดาพากันลงมาโมทนาบุญกุศลให้มากมายในเวลานั้นภายหลังการบรรลุธรรมอันสูงสุดของพระพุทธองค์พื้นปฐพีก็กึกก้องดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วอีกครั้ง

    ขั้นตอนการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ก็สิ้นสุดลงด้วยประการฉะนี้ จากตัวอย่างในการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธองค์จะเห็นได้ชัดถึงพลังแห่งการอธิษฐานนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งและต้องมีปัจจัยเป็นองค์ประกอบที่ดีงามจึงจะบรรลุถึงความสำเร็จได้
     
  8. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    สรรพคุณทางยา แก้ร้อนใน กระหายน้ำ...

    ลุงไฟดูดไปนำมายังไง? ชำระหนี้สงฆ์หรือยัง? อันนี้ไม่ทราบ แต่หากถูกใจ ลุงไฟดูดเขาก็มอบกันง่ายๆครับ...ว่าแต่ทำไมลุงกูรูสงสัยพร่ำพีรี้พีไรมากมายจัง???..
     
  9. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    การอธิษฐานจิตของท่านเจ้าคุณนรฯ

    พระเถระผู้ทรงคุณธรรมเป็นพิเศษในอดีตเป็นอันมาก เมื่อจะถือกำเนิดในครรภ์โยมมารดานั้น มักจะสำแดงนิมิตให้ปรากฏแก่โยมบิดาและโยมมารดาต่าง ๆ กัน เป็นต้นว่า สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเถระ) อดีตเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสองค์สำคัญยิ่ง ซึ่งเป็นสมเด็จอุปัชฌาย์ของ “ท่านธมฺมวิตกฺโก” และเชื่อกันว่าท่านเป็นพระอริยบุคคลรูปหนึ่งนั้น เมื่อปีที่ท่านจะเกิดโยมบิดาก็ฝันไปว่ามีผู้นำช้างเผือกมาให้ หรือเมื่อตอนที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แต่ครั้งยังเป็นสามเณร จะย้ายเข้าไปอยู่วัดระฆังโฆสิตาราม เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมนั้น ก็เล่ากันว่าพระอาจารย์ของท่านฝันในคืนวันที่ท่านจะไปถึงว่ามีช้างเผือกเชือกหนึ่งเข้าไปกินคัมภีร์พระไตรปิฎกในตู้จนหมด ฯลฯ

    โดยเหตุที่เคยมีเรื่องราวเล่ากันมาดังกล่าวนี้ จึงทำให้ผู้เขียนสนใจสืบถามนิมิตเมื่อตอนที่ท่านธมฺมวิตกฺโกจะถือกำเนิดอยู่เหมือนกัน เพื่อจะได้ “เกร็ด” ประวัติตอนสำคัญของท่านมาเผยแพร่ แต่ก็มิได้ความกระจ่างแต่อย่างไร

    เคยมีผู้สนใจซักถามโยมบิดาของท่าน (พระนรราชภักดี-ตรอง จินตยานนท์) ว่าประพฤติตนเช่นไร สวดมนต์อย่างไร ท่องคาถาบทไหน ฯลฯ จึงได้มีบุตรที่ดี (หมายถึงท่านธมฺมวิตกฺโก) เช่นนี้ โยมบิดาของท่านก็ได้ตอบไปว่า เห็นจะเป็นด้วยเหตุที่ท่านได้ใส่ใจภาวนา สวดพระคาถามงคลสูตรอยู่เสมอนั่นเอง

    อันพระคาถามงคลสูตรนี้ ตัวท่านธมฺมวิตกฺโกเองก็นิยมท่องบ่นเจริญภาวนาอยู่เสมอเช่นกัน ตลอดทั้งได้แนะนำผู้ใกล้ชิดบางคน เช่น คู่หมั้นของท่าน ให้หมั่นสวดภาวนาทุกวัน ทั้งเวลาเช้าตื่นนอน และเวลาค่ำก่อนเข้านอน

    โดยท่านได้ให้อรรถาธิบายว่า

    “มงคลคาถานี้ เป็นพระสูตรที่คัดมาจากพระไตรปิฎก ผู้ใดเล่าบ่นหรือสวดและปฏิบัติตาม ย่อมเป็นสิริมงคลอันประเสริฐ จึงเรียกว่าคาถามงคลสูตร”
    ในตอนปีท้าย ๆ ก่อนที่จะถึงแก่มรณภาพนี้ รู้สึกว่าท่านธมฺมวิตกฺโกได้ตั้งใจอธิษฐานจิตและแผ่เมตตาลงในพระเครื่องมากมายเป็นพิเศษ ยิ่งในปี 2513 ด้วยแล้ว ถึงกับมีพิธีสวดอธิษฐานจิตครั้งใหญ่ในวัดเทพศิรินทราวาสถึงสองครั้งสองหน คือเมื่อเสาร์ห้าตรงกับวันที่ 25 เมษายนครั้งหนึ่ง กับวันที่ 5 ธันวาคมอีกครั้งหนึ่ง เฉพาะวันที่ 5 ธันวาคมซึ่งเป็นพิธีสวดอธิษฐานจิตครั้งสุดท้ายของท่านนั้น ได้มีผู้นำพระเครื่องพระบูชา และวัตถุสิ่งของต่าง ๆ ไปให้ท่านอธิษฐานจิตให้อย่างมากมายเป็นประวัติการณ์ มงคลวัตถุเหล่านั้นวางเต็มอาสนะสงฆ์ในพระอุโบสถ จนดูแทบจะทานน้ำหนักไม่ไหว มีผู้กล่าวกันว่าน้ำหนักสิ่งของทั้งหมดที่นำไปให้ท่านอธิษฐานจิตในวันนั้น คะเนรวมแล้วเห็นจะไม่ต่ำกว่า 3 ตัน !

    นอกจากนี้ยังมีการถวายให้อธิษฐานจิตและแผ่เมตตาย่อยครั้งละไม่กี่นาที ในพระอุโบสถบ้าง ข้างกุฏิท่านบ้างอีกนับครั้งไม่ถ้วน จนเกือบจะไม่มีการยกเว้นว่าบุคคลใดจะเป็นพระสงฆ์หรือฆราวาสก็แล้วแต่ หากมีประสงค์จะสร้างพระเพื่อหารายได้ไปใช้ในการกุศลแล้ว ท่านก็จะอนุโลมตามความปรารถนา อธิษฐานจิตให้ทุกรายไป

    เป็นเรื่องที่บุคคลบางคนเห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาด เพราะแต่ก่อนมานั้นท่านไม่ยอมอธิษฐานจิตสิ่งของให้แก่ใครได้ง่าย ๆ เป็นเรื่องนอกลู่นอกทาง มิใช่แนวของพระพุทธศาสนาโดยตรง

    เชื่อกันว่าการที่ท่านยอมอธิษฐานจิตและแผ่เมตตาลงในพระเครื่องอย่างมากมายในระยะหลัง ๆ นี้ก็เพื่อเป็นสิ่งของที่ระลึก เป็นเครื่องหมายแทนตัวท่านสืบต่อไปในอนาคตอีกนานแสนนาน เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะดึงคนให้หันเข้ามาสู่ศาสนา เข้าสู่หลักธรรมคำสั่งสองของสมเด็จพระบรมศาสดา
    เพราะคนที่นิยมสะสมพระหรือที่ชอบเรียกกันติดปากว่า “เล่นพระ” นั้นในที่สุดก็หันมาปฏิบัติธรรมด้วยกันทั้งสิ้น โดยมีพระเครื่องนั้นเป็นสื่อจูงใจในเบื้องต้น

    นอกจากนี้ท่านยังเคยกล่าวว่า

    “ให้เขาได้ทำบุญทำกุศลกันเสียบ้าง ดีกว่าเอาเงินไปสุรุ่ยสุร่าย เที่ยวตามบาร์ตามไนท์คลับกัน”
    เพราะเงินรายได้ที่ได้จากการจำหน่ายพระเครื่องเหล่านี้ ท่านผู้สร้างก็นำไปใช้จ่ายในการกุศล สร้างโรงเรียน สร้างโบสถ์ เป็นทุนการศึกษาของพระภิกษุสงฆ์สามเณร ฯลฯ อันเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่การศึกษาและการศาสนาทั้งสิ้น

    อีกประการหนึ่ง สถานการณ์ทั้งภายในและภายนอกโดยรอบประเทศของเรา ในระยะนั้นก็มีแต่ความคับขันและอันตรายรอบด้าน ต้องส่งทหารไปร่วมรบในสมรภูมิสาธารณรัฐเวียดนาม สถานการณ์ในลาวและเขมร ประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศเรา กำลังผจญกับสงครามอย่างหนัก อันจะส่งผลกระทบกระเทือนมาถึงประเทศชาติของเราด้วย และการคุกคามของผู้ก่อการร้าย ซึ่งกำลังแผ่ขยายไปทั่วประเทศ ทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ ฯลฯ บางครั้งก็รุนแรงน่าสะพึงกลัวเป็นอันมาก

    ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ที่ทำให้ท่านธมฺมวิตกฺโก ยอมอธิษฐานจิตและแผ่เมตตาลงในพระเครื่องให้แก่บุคคลต่าง ๆ เป็นอันมากในระยะหลัง ๆ นี้ จึงเกิดอภินิหารเป็นที่ปรากฏประจักษ์แก่มหาชนอย่างกว้างขวาง จนพระเครื่องที่ท่านอธิษฐานจิตและแผ่เมตตาให้นั้นกลายเป็น “พระเครื่องยอดนิยม” เป็นที่กล่าวขวัญและแสวงหาของชาวพุทธทั่วเมืองไทยในยุคนี้

    มีคนเป็นอันมากเชื่อว่าการที่ท่านอธิษฐานจิตและแผ่เมตตาลงในพระเครื่องเป็นการใหญ่ในระยะหลัง ๆ นี้ แสดงว่าท่านจะต้อง “สำเร็จ” อย่างหนึ่งอย่างใดแล้วแน่นอน

    หากการอธิษฐานจิตลงในพระเครื่องเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ ไม่สามารถประจุพลังศักดิ์สิทธิ์ลงสถิตในองค์พระปฏิมาขนาดเล็กนั้นได้จริง ท่านก็จะไม่ยอมแผ่เมตตาให้โดยเด็ดขาด

    ท่านได้ทุ่มเทศึกษาทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ในเรื่องเกี่ยวกับอำนาจจิต การทำสมาธิทั้งวิชาฝ่ายโยคะและพระพุทธศาสนามาตั้งแต่วัยหนุ่มและกระทำมาตลอดชีวิตของท่าน ท่านได้เคยใช้พลังจิตผจญกับโรคร้าย ความเจ็บไข้ ตลอดจนอสรพิษ ได้ผลจนเป็นที่อัศจรรย์ใจแก่ผู้ที่ได้พบเห็นหรือที่ทราบเรื่องมาแล้ว

    ฉะนั้นท่านจึงยินยอมอธิษฐานจิตและแผ่เมตตาลงในพระเครื่องให้

    คราวหนึ่งเมื่อพิธีสวดอธิษฐานจิตในพระอุโบสถ วันเสาร์ห้า 25 เมษายน 2513ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ท่านได้หันไปหาพระมหาเสริม อนุจโย ซึ่งเป็นพระสวดพุทธาภิเษกในวันนั้นว่า
    “เรื่องของขลังนี้ ท่านมหาเชื่อไหม ?”
    “เกล้าเชื่อ” เป็นคำตอบจากพระมหาเสริม

    อีกคราวหนึ่ง ท่านได้บอกกับนายสุวัฒน์ ซึ่งเป็นเด็กหนุ่มเชื้อจีน อยู่ร้านตัดเสื้อแถวสี่แยกวัดตึกที่มีความเคารพท่านมาก เคยฝันเห็นท่านมาก่อนระหว่างเจ็บป่วย จึงได้เพียรพยายามมาดูตัวจริง จนได้พบท่านแล้วก็เกิดศรัทธาเคารพมั่นในองค์ท่านยิ่งขึ้น เมื่อทราบว่าเขามีการสร้างพระเครื่องถวายให้ท่านอธิษฐานจิตก็พยายามหาเช่าไว้บูชาเป็นอันมาก วันหนึ่งเมื่อได้มีโอกาสพบท่าน ท่านก็ได้กล่าวเป็นเชิงสั่งสอนว่า

    “คุณ พระนี่ช่วยได้นะถ้าไม่จำเป็นอย่าไปปล่อย”

    ที่ท่านว่า “อย่าไปปล่อย” ก็เพราะท่านคาดว่าจะเอาพระเครื่องนั้นไปให้คนอื่นเช่าต่อ หรือขายต่อให้คนอื่นไป
    การที่ท่านกล่าวดังนี้ แสดงว่าท่านเชื่อมั่น ท่านทราบได้อย่างแน่ชัดปราศจากข้อสงสัยใด ๆ ว่าพระเครื่องต่าง ๆ ที่ท่านอธิษฐานจิตนั้น จะต้องมีความศักดิ์สิทธิ์จริง คุ้มครองให้แคล้วคลาดจากอุปัทวันตรายได้จริง สามารถเสริมส่งให้ผู้เคารพบูชาประสบความเจริญก้าวหน้าในชีวิตได้จริง
    แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า ท่านสั่งสอนให้คนหันมาลุ่มหลงงมงายอยู่กับเรื่องพระเครื่องของขลังต่าง ๆ คราวหนึ่งท่านได้เคยพูดกับนายอธึก สวัสดิมงคล นายกยุวพุทธิกสมาคมชลบุรี ภายหลังจากถวายของให้ท่านอธิษฐานจิตแล้ว เป็นคติน่าฟังมาก
    “ทั้งหมดนี่” ท่านกล่าวขึ้น พร้อมกับชี้มือไปยังXXบพระเครื่องต่าง ๆ ที่ท่านอธิษฐานจิตแล้ว “สู้ธรรมะไม่ได้”

    แสดงว่าท่านยกย่องการประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมของสมเด็จพระบรมศาสดานั้นว่า มีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด สำคัญยิ่งกว่าการมีพระเครื่องไว้ประจำตัว

    อีกคราวหนึ่งในปี 2513 หลังจากพิธีสวดอธิษฐานจิตเมื่อวันเสาร์ห้าผ่านไปเพียงเล็กน้อย นายแพทย์สุพจน์ ศิริรัตน์ ได้นำพระเครื่องพิมพ์นาคปรกเนื้อนวโลหะที่ท่านเจ้าคุณอุดมฯ สร้างเพื่อจำหน่ายหารายได้สมทบทุนสร้างโรงเรียนนวมราชานุสรณ์ นครนายกนั้น ราว 4-5 องค์ไปถวายให้ท่านอธิษฐานจิตซ้ำอีก ก่อนที่ท่านจะยินยอมอธิษฐานจิตให้ ได้ถูกท่านเทศนาสั่งสอนอย่างเจ็บ ๆ อยู่นานร่วม 1 ชั่วโมง
    “หมอนี่เรียนมาเสียเปล่า มาหลงงมงายอะไรกับเรื่องพรรค์นี้ !”

    ท่านได้ว่ากล่าวสั่งสอน มิให้ลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับเรื่องของขลังและอภินิหาร เพราะอภินิหารต่าง ๆ นั้น มิได้ช่วยให้ทุกคนรอดพ้นจากภัยอันตรายได้ทุกครั้งอยู่เสมอไป

    ตลอดเวลาที่ท่านเทศนาว่ากล่าวอยู่นานโขนั้น นายแพทย์สุพจน์ ได้โต้แย้งท่านอยู่ไม่หยุดเช่นกัน โดยปกตินั้นท่านชอบคนโต้เถียงท่านด้วยเหตุผลอยู่เหมือนกัน

    การที่นายแพทย์สุพจน์โต้เถียงท่านในเรื่องอภินิหารนั้น ก็เป็นด้วยนายแพทย์ผู้นี้ได้เคยเอาพระเครื่องกรุเก่า มาทดลองยิงด้วยปืนพกด้วยมือของตนเองมาหลายครั้งหลายหน จนกระสุนหมดไปหลายกล่อง ปรากฏผลเป็นที่น่าทึ่งมาก โดยใช้วิธีอาราธนาพระไว้ที่ตัวปลาหมอ ในระยะที่ยิงได้แม่นยำอย่างสบาย แล้วก็ระเบิดกระสุนใส่เข้าไป !

    ผลของการทดลอง ปรากฏว่าจากการยิงพระนางพญากรุพิษณุโลก ราว 7-8 องค์ ส่วนใหญ่ยิงถูกแต่ไม่เข้า (คงกระพัน) บางองค์ยิงไม่ถูก (แคล้วคลาด) มีอยู่องค์หนึ่งยิงไม่ออก (มหาอุด) และพระปิดทวารของหลวงปู่เอี่ยมวัดหนัง พิมพ์ใหญ่ชนิดสองหน้า ที่เรียกกันว่าพิมพ์พระประกับนั้น ยิงไม่ออก เป็นยอดมหาอุดจริง ๆ

    จากประสบการณ์ดังกล่าวนี้เอง ทำให้นายแพทย์สุพจน์ ศิริรัตน์ เชื่อมั่นในอภินิหารของพระเครื่องเป็นยิ่งนัก และเอาเรื่องนี้มาโต้แย้งกับท่านธมฺมวิตกฺโก ที่ท่านกล่าวหาว่ามาหลงงมงายอยู่กับอภินิหารไม่เข้าเรื่อง !

    “เรื่องอภินิหาร พระเดชพระคุณว่ามีจริงไหม ?” นายแพทย์สุพจน์ เอ่ยขึ้นตอนหนึ่ง
    “จริง” ท่านตอบ จากนั้นท่านกล่าวสืบต่อไปว่า
    “หมอเคยเห็นเคยได้ยินข่าวเรื่องโจรผู้ร้ายที่แขวนพระไว้เต็มคอ แต่แล้วก็กลับถูกตำรวจยิงตาย หรือไม่ก็ถูกจับได้ ต้องติดคุกไปบ้างไหม? ถึงแม้จะมีพระอยู่เต็มคอก็ช่วยอะไรไม่ได้ใช่ไหม?”
    แล้วท่านกล่าวสำทับในที่สุดว่า

    “อภินิหารนั้นหนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น”

    เมื่อถูกท่านขนาบด้วย “ไม้ตาย” เช่นนี้ ก็ทำเอานายแพทย์สุพจน์ ต้องนิ่งงันสงบปากไม่อาจจะกล่าวโต้แย้งในเรื่องอภินิหารใด ๆ กับท่านได้อีกต่อไป

    ตามที่กล่าวมานี้ จะเป็นที่เห็นได้ชัดว่า แม้ท่านธมฺมวิตกฺโกจะตั้งใจอธิษฐานจิตและแผ่เมตตาลงในพระเครื่อง ด้วยความเชื่อมั่นว่า มีความศักดิ์สิทธิ์สามารถปกป้องคุ้มครองผู้สักการะบูชาได้ก็จริง แต่ผู้มีพระเครื่องไว้คุ้มครองนั้น ก็จะต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระบรมศาสดา เจ้าของที่มาแห่งองค์พระปฏิมานั้นด้วย
     
  10. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    อ่า ลุง อ.เพชรครับ บังเอิญเมื่อเช้ามีผู้สงสัยเพิ่ม มาถามว่านำกระเบื้องผูกเชือกห้อยไว้ แล้ว ใช้คุณสมบัติทางกายภาพ คือใช้แม่เหล็ก ทดลองดูด ปรากฎว่าแผ่นกระเบื้อง หมุนติ๋วเลย คำถามเค้าคือกระเบื้องมีส่วนผสมเหล็กด้วย หรือครับ ช่วยไขข้อข้องใจ หน่อยครับ หุ หุ
     
  11. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เหอๆๆ เมื่อคืนเผลอหลับไปครับ

    มาต่ออีกหน่อยละกัน...

    เรื่องของขุนแผนนี่เอาไว้โอกาสดีๆจะเขียนให้อ่านกัน แต่ไม่ได้จำเพาะเน้นไปที่ขุนแผนวังหน้า จะด้วยความบังเอิญหรือยังไงที่เมื่อต้นเดือนที่แล้ว ได้รับขุนแผนทุกพิมพ์ของที่หลวงปู่สรวงเทวดาเล่นดินเสกไว้มา และ ๓ อาทิตย์ที่ผ่านมาเพื่อนที่เรียนด้วยกันเขาก็มอบหนังสือ "ขุนแผนฉบับอ่านใหม่" เขียนโดยอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นึกย้อนไปถึงวัยเด็กที่เคยได้อ่านบทความ หนังสือ มุมมองความคิด ของท่านอาจารย์แล้ว ยังนึกว่าจะตามหาหนังสือบางเล่มที่เคยอ่าน ติดอยู่ในห้วงความทรงจำบางขณะ อยากจะหาไว้อ่านอีกครั้งอยู่เช่น "ห้วงมหรรณพ" เป็นต้น

    หนังสือเสภาขุนช้างขุนแผน สมัยนั้นก็อ่านติดงอมแงมเลย ๒-๓ เที่ยว เมื่อเพื่อนท่านนี้ยื่นหนังสือ "ขุนแผน ฉบับอ่านใหม่" นี้ให้ก็รู้สึกถูกใจมากๆ พลิกดูเนื้อหาภายในแล้ว ต่างจากเสภาที่เคยได้อ่านค่อนข้างมาก ลองนึกดูเอานะครับ บทเสภาที่อ่านสนุกมาก ตัวละครที่มีความสามารถ และเก่งมากๆ และมุมมองความคิดการวิเคราะห์ของท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็เป็นหนังสือที่ไม่ธรรมดาครับ เอาไว้หลังสอบเสร็จเดือน ก.ค. คงได้ใช้เวลาอ่านเอาสาระบ้าง...

    นี่ครับฉบับดั้งเดิม...
    ตอนที่ ๑ กำเนิดขุนช้างขุนแผน

    <TABLE><TBODY><TR><TD></TD></TR><TR vAlign=bottom><TD>๏ ครั้นว่าไหว้ครูแล้วจับบท</TD><TD></TD><TD>ให้ปรากฏเรื่องราวกล่าวมาแต่ก่อน </TD></TR><TR vAlign=bottom><TD>ครั้นสมเด็จพระพันวษานรากร</TD><TD></TD><TD>ครองนครกรุงศรีอยุธยา </TD></TR><TR vAlign=bottom><TD>เกษมสุขแสนสนุกดังเมืองสวรรค์</TD><TD></TD><TD>พระเดชนั้นแผ่ไปในทิศา </TD></TR><TR vAlign=bottom><TD>เป็นปิ่นภพลบโลกโลกา</TD><TD></TD><TD>ครอบครองไพร่ฟ้าประชากร </TD></TR><TR vAlign=bottom><TD>เมืองขึ้นน้อยใหญ่ในอาณาเขต</TD><TD></TD><TD>เกรงพระเดชทั่วหมดสยดสยอน </TD></TR><TR vAlign=bottom><TD>ทุกประเทศเขตขอบพระนคร</TD><TD></TD><TD>ชลีกรอ่อนเกล้าอภิวันท์ </TD></TR><TR vAlign=bottom><TD>พร้อมด้วยโภโคยไอศูรย์</TD><TD></TD><TD>สมบูรณ์พูนสุขเกษมสันต์ </TD></TR><TR vAlign=bottom><TD>พระองค์ทรงทศพิธราชธรรม</TD><TD></TD><TD>ราษฎรทั้งนั้นก็ยินดี ฯ </TD></TR><TR vAlign=bottom><TD></TD></TR><TR vAlign=bottom><TD></TD></TR><TR vAlign=bottom><TD>๏ จะกล่าวถึงเรื่องขุนแผนขุนช้าง</TD><TD></TD><TD>ทั้งนวลนางวันทองผ่องศรี </TD></TR><TR vAlign=bottom><TD>ศักราชร้อยสี่สิบเจ็ดปี</TD><TD></TD><TD>พ่อแม่เขาเหล่านี้คนครั้งนั้น </TD></TR><TR vAlign=bottom><TD>เป็นข้าขอบขัณฑสีมา</TD><TD></TD><TD>สมเด็จพระพันวษานราสวรรค์ </TD></TR><TR vAlign=bottom><TD>จะว่าเนื่องตามเรื่องนิยายพลัน</TD><TD></TD><TD>ท่านผู้ฟังทั้งนั้นจงเข้าใจ </TD></TR><TR vAlign=bottom><TD>ขุนไกรพลพ่ายอยู่บ้านพลับ</TD><TD></TD><TD>มีทรัพย์เงินทองของน้อยใหญ่ </TD></TR><TR vAlign=bottom><TD>นางทองประศรีนั้นอยู่วัดตะไกร</TD><TD></TD><TD>ทั้งสองนี้ได้เป็นคู่กัน </TD></TR><TR vAlign=bottom><TD>แล้วรื้อเรือนออกไปปลูกใหม่</TD><TD></TD><TD>อยู่ในแว่นแคว้นสุพรรณนั่น </TD></TR><TR vAlign=bottom><TD>เป็นทหารชาญชัยใจฉกรรจ์</TD><TD></TD><TD>คุมไพร่ทั้งนั้นได้เจ็ดร้อย </TD></TR><TR vAlign=bottom><TD>อาจองคงกระพันชาตรี</TD><TD></TD><TD>เข้าไหนไม่มีที่จะถอย </TD></TR><TR vAlign=bottom><TD>รบศึกศัตรูอยู่กับรอย</TD><TD></TD><TD>ถึงมากน้อยเท่าไรไม่หนีมา </TD></TR><TR vAlign=bottom><TD>กรมการเมืองสุพรรณสั่นหัว</TD><TD></TD><TD>เข็ดขามคร้ามกลัวใครไม่ฝ่า </TD></TR><TR vAlign=bottom><TD>โปรดปรานเป็นทหารอยุธยา</TD><TD></TD><TD>มีสง่าอยู่ในเมืองสุพรรณ ฯ</TD></TR></TBODY></TABLE>


    ก็มาถึงเรื่องที่ลุงน้องหนุ่มน้อย "โยนลูก" แนะนำลุงกูรูน้องหนูเอาไว้หากต้องผ่านเส้นทางอโคจรไปซื้อ"นม"โดยเฉพาะกลางคืน และทุกวัน เพราะเหตุผลด้านบำรุงสุขภาพของท่านโด ให้ใส่พิมพ์ขุนแผนวังหน้า กูรูอาจจะตั้งใจหา "นม" มาบำรุงสุขภาพให้ตัวท่านเองนะ...หุ...หุ...


    บางสำนักจินตนาการสร้างขุนแผนกันสนุกสนานหลุดโลกกันไปเลย บวกกับเทคโนโลยีการทำแม่พิมพ์ คิดชื่อกันไปได้ "ขุนแผนโคโยตี้" หุ..หุ..ก็ทำให้วัตถุประสงค์ส่อกันไปด้านอโคจรกันเลยทีเดียว การอาราธนาพระพิมพ์ก็คงต้องทราบที่มาที่ไป และคุณโทษของเรื่องราวนั้นๆจริงๆครับ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2012
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949

    .

    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 40 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 37 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, :::เพชร:::+, Nui28 </TD></TR></TBODY></TABLE>




    อ่า ไม่ได้โยนลูกครับ

    เพียงแต่สอบถามลุงเพชรว่า ใช้ได้หรือเปล่า จะได้ไม่ต้องกังวลว่า ต้องสวดมนต์ เผื่อลืมเดี๋ยวยุ่ง อิอิ


    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
  14. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ผมกลับรู้สึกว่า ท่านขุนแผนท่านเด่นหลายเรื่องอยู่ที่เรามุ่งหวังไปทางใด พระรูปขุนไกรที่ประดิษฐานใกล้บริเวณมณฑปพระศรีอ่ริยเมตไตรย ถือเป็นเทพารักษ์องค์หนึ่งของวัดท่าซุงกันเลยทีเดียว ท่านก็เก่งครับ ผู้ที่อาราธนาขุนแผนขึ้นคอ หากคิดไปทางนั้น ก็ไปเชื่อมมนต์ที่ทำขึ้นก็ด้วยเช่นกัน หวังผลไปทางเสี่ยงโชคก็ไปเชื่อมมนต์ที่ทำขึ้นได้ผลตามนั้น ไม่ได้ไปจำเพาะเพียงเรื่องผู้หญิงด้านเดียว อันนี้เป็นทัศนคติของผใม่ได้ไปเกี่ยวกับความเห็นของผู้ใด(ทีเวลาไปรบทัพจับศึกไม่ไปพูดว่า ท่านเด่นเรื่องนี้ ทีเวลาไปทำวิชาเวทย์มนต์คาถา ท่านก็เด่นเรื่องนี้ สรุปรวมความ เมื่อท่านเก่งเวทย์มนต์คาถา เรื่องหญิงเป็นเรื่องสิวๆครับ เก่งกว่านั้นท่านยังทำได้ การทำลูกกรอก หรือกุมารทองก็เห็นได้ชัดว่า ท่านไม่ได้ลุ่มหลงนางบัวคลี่จนขาดสติ แต่เพราะการเดินหมากวางแผนที่แยบยล หวังผลอย่างหนึ่ง แต่กลับทำให้อีกฝ่ายเกิดความผิดขึ้นก่อน ตนจึงสามารถอ้างเหตุนั้นทำลายล้างได้) หากเราตั้งใจอ่านเรื่องราวของขุนแผนทุกมุม ก็ย่อมเกิดความละเอียดเข้าสู่กระบวนการน้อมใจ.... ซึ่งผมยังมั่นใจเลยว่า หากอ่านลึกๆลงไป เกิดไปเชื่อมกระแสจิตเข้าไปได้ วันหนึ่งอันใกล้อาจจะได้รับของดีจากมนต์ขุนแผนก็ได้ พูดเผื่อเอาไว้ก่อน วันหนึ่งจะได้ไม่บอกว่า "บังเอิญ" เพราะผมมั่นใจว่าจะได้...
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    พิมพ์ขุนแผนของวังหน้า เกิดจากฝีมือการคิดค้นพิมพ์ของทางวังหน้า ซึ่งไม่ทราบว่า ท่านใดเป็นผู้ที่คิดพิมพ์

    ในลักษณะของพิมพ์ขุนแผน หรือ วัตถุมงคลของวังหน้า บางอย่าง เป็นการใช้เฉพาะทาง , เฉพาะด้าน เน้นไปที่เรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ

    เช่น เบื้ยแก้ ใช้ในการป้องกันเรื่องของคุณไสย เป็นต้น

    หากมีการใช้ในเรื่องที่ไม่ดีไม่งาม ผมไม่รับรู้ และ ไม่รับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น ผมไม่ได้บอกให้ไปกระทำในเรื่องที่ไม่ดีน๊ะครับ

    โมทนาครับ

    .
     
  16. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    เมื่อเช้าเดินผ่านก็เล่าเรื่องที่ถาม ลุง อ.เพชรให้ท่านโด ฟัง เค้าก็ทำสีหน้าตกใจ ถามว่าอ้าววันโน้นที่มา กัน ตอนดึก เค้าก็เผลอมอง เข้าไปดูกิจกรรมรอบเสา งั้นพระเค้าก็เสื่อมแล้ว สิครับ ลุง อ.เพชร รบกวนตอบ ท่านโด ด้วยท่าทางร้อน ใจ มากครับ หุ หุ
     
  17. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    55555 ท่านโดไปด้วยหรือนี่ และคุณพ่อกูรูก็ไปรู้ความลับว่า ลูกชายแอบดูเข้าไปเห็นกิจกรรมรอบเสา ความจริง..ใจของท่านโดยังไม่เสื่อมหรอกครับ เพราะยังไม่ได้คิดอะไร แต่พอคุณพ่อไปเล่าให้ฟัง ใจเริ่มปรุงแต่ง เกิดอาการตกใจ การตกใจมี ๒ เหตุผล คือ ดี กับไม่ดี ไงครับ ต้องถามใจท่านโด ว่าที่ตกใจเนี่ย เป็นด้านดีหรือไม่ดี หากรู้สึกไม่ดีเมื่อครู่ก็เลยเริ่มเสื่อมแล้ว หากรู้สึกดี คือ ใจไม่ได้หวั่นไหว หรือไปปรุงแต่งมากกว่าที่เห็น ก็ไม่เสื่อม องค์ประกอบแห่งความเสื่อมมันไม่ครบไงครับ การปฏิบัติมุ่งเน้นความหลุดพ้น เราใช้ใจปฏิบัติกันไม่ใช่หรือครับ..หุ..หุ...
     
  18. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    หากท่านโดยังไม่คลายความกังวล ควรบอกท่านโดว่า คืนนี้ให้ทำสมาธิซัก ๒-๓ นาทีให้"เห็น"ภาพคณะหลวงปู่ในจิตให้ชัดเจนแจ่มใส แล้วกราบขอขมาหลวงปู่ทุกๆพระองค์ บอกหลวงปู่ว่า ต่อไปโดโด้จะไม่ทำอีกแล้ว.ขอหลวงปู่อโหสิกับโดโด้ด้วย สาธุ..

    แล้วต้องเชื่อฟังป่าป๊า หม่าม๊าให้มากขึ้นอีกต่างหาก ทำแบบนี้พระถึงไม่เสื่อม แต่กลับจะเก่งขึ้นกว่าเก่า หุ...หุ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2012
  19. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ขุนแผนได้เรียนรู้คาถาวิชาต่างๆ ในสมัยที่บวชเป็นเรร ตัวอย่างคาถาที่มีได้แก่ คาถามหาละลวย วิชาคงกระพันชาตรี วิชามหาสเน่ห์ วิชาสะเดาะกลอน การเสกกุมารทอง การควบคุมผีพรายหรือโหงพราย
    นอกจากนี้ขุนแผนยังมีของวิเศษ 3 อย่างสำคัญ ดังนี้
    • ม้าสีหมอก
    • ดาบฟ้าฟิ้น
    • กุมารทอง
    ส่วนหนึ่งบทเสภาจากวรรณคดี ขุนช้าง-ขุนแผนที่แต่งขึ้น ซึ่งกล่าวถึงการเรียนวิชาอาคมของขุนแผน เป็นบทเสภาที่ไพเราะแสดงถึงพรสวรรค์และความชำนาญในการใช้คาถาอาคมของขุนแผน

    อันเรื่องราวกล่าวความพลายงามน้อย ค่อยเรียบร้อยเรียนรู้ครูทองประศรี
    ทั้งขอมไทยได้สิ้นก็ยินดี เรียนคัมภีร์พุทธเพทพระเวทมนต์
    ปัถมังตั้งตัวนะปัดตลอด แล้วถอนถอดถูกต้องเป็นล่องหน
    หัวใจกริดอิทธิเจเสน่ห์กล แล้วเล่ามนต์เสกขมิ้นกินน้ำมัน
    เข้าในห้องลองวิชาประสาเด็ก แทงจนเหล็กแหลมลู่ยู่ขยั้น
    มหาทะมื่นยืนยงคงกระพัน ทั้งเลขยันต์ลากเหมือนไม่เคลื่อนคลาย
    แล้วทำตัวหัวใจอิติปิโส สะเดาะโซ่ตรวนได้ดังใจหมาย
    สะกดคนมนต์จังงังกำบังกาย เมฆฉายสูรย์จันทร์ขยันดี
    ทั้งเรียนธรรมกรรมฐานนิพพานสูตร ร้องเรียกภูตพรายปราบกำราบผี
    ผูกพยนต์หุ่นหญ้าเข้าราวี ทองประศรีสอนหลานชำนาญมา
     
  20. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ขอบคุณแทน ท่านโดครับ แล้วคำถามนี้ล่ะครับ ลุง อ.เพชร ผู้ถามก้ร้อนใจ ถามแล้วถามอีกครับ หุ หุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...