เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คิดแบบยิว ทำแบบยิว รวยเหมือน...ยิว

    <TABLE style="BORDER-RIGHT: 0px; BORDER-TOP: 0px; WORD-SPACING: 0px; FONT: 12px/16px Tahoma; TEXT-TRANSFORM: none; BORDER-LEFT: 0px; COLOR: rgb(76,76,76); TEXT-INDENT: 0px; BORDER-BOTTOM: 0px; WHITE-SPACE: normal; LETTER-SPACING: normal; BORDER-COLLAPSE: collapse; BACKGROUND-COLOR: rgb(245,245,245); orphans: 2; widows: 2; webkit-text-size-adjust: auto; webkit-text-stroke-width: 0px; empty-cells: show; webkit-border-horizontal-spacing: 0px; webkit-border-vertical-spacing: 0px"><TBODY style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; PADDING-TOP: 0px"><TR style="FONT-SIZE: 13px; COLOR: rgb(53,53,53); LINE-HEIGHT: 17px; FONT-FAMILY: 'Segoe UI', Arial, Helvetica, sans-serif"><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; FONT-SIZE: 12px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; COLOR: rgb(76,76,76); LINE-HEIGHT: 12pt; PADDING-TOP: 0px; FONT-FAMILY: Tahoma" colSpan=2>ชนชาติที่มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดในโลกน่าจะเป็น “ยิว” เพราะชนชาติยิวมี “เคล็ดลับ” สร้างความร่ำรวยที่น่าเอาอย่าง... หลังจากเขียนเรื่อง “คิดเหมือนเจ้าสัว ทำแบบเจ้าสัว รวยเป็น...เจ้าสัว” ไปเมื่อเทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมา ก็มีคนมากระซิบว่า ถ้าจะให้พูดถึงความร่ำรวยแล้ว ชนชาติที่มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดในโลกน่าจะเป็น “ยิว” เพราะชนชาติยิวมี “เคล็ดลับ” สร้างความร่ำรวยที่น่าเอาอย่าง แต่ต้องยอมรับตามตรงว่า แทบจะไม่มีพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับชนชาติยิวสักเท่าไร โอกาสที่จะรู้จักมักจี่กับชนชาติยิวยิ่งไม่ต้องพูดถึง

    นอกจากนี้ ถ้าได้ยินคำว่า “ยิว” ก็ต้องยอมรับอีกครั้งว่า ออกจะมีความรู้สึกไปในทางลบเสียเป็นส่วนใหญ่ (ทั้งๆ ที่ไม่ได้เคยรู้จัก) และอีกความรู้สึกคือ สงสารและเห็นใจ เพราะครั้งแรกที่รู้จักคำว่า “ยิว” ก็จากหนังสือเรื่อง “บันทึกลับ ของ แอนน์ แฟรงค์” หนังสือที่สร้างจากสมุดบันทึกประจำวันของ “อันเนอ ฟรังค์” ที่ต้องผ่านชีวิตที่ยากลำบากในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

    โดยที่ไม่รู้เลยว่า ชนชาติยิวที่มีอยู่ราวๆ 0.25% ของประชากรโลก แต่ในคนจำนวนเพียงเล็กน้อยนี้ มีคน 20% เป็นมหาเศรษฐี และ 40% เป็นเจ้าของกิจการขนาดใหญ่ นอกจากนี้ 1 ใน 3 ของเศรษฐีอเมริกันเป็นชาวยิว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง เพราะคนจำนวนเพียงเล็กน้อย กลับกุมทรัพย์สินจำนวนมากมายมหาศาลเอาไว้ในมือ

    จนกระทั่งมีคำกล่าวกันว่า “เงินทั้งโลกอยู่ในกระเป๋าของชาวอเมริกัน แต่เงินของชาวอเมริกันอยู่ในกระเป๋าชาวยิว” เพราะฉะนั้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาจึงต้องออกเดินทางตามหา “ยิว” ที่แทบจะเรียกได้ว่า “งมเข็มในมหาสมุทร”เลยก็ว่าได้สุดท้ายไปเจอหนังสือเรื่อง “คัมภีร์การค้าของชาวยิว” ที่แปลและเรียบเรียงโดย ไอรีน เป จากร้าน Kinokuniya บวกกับอีกสองเล่มที่ค้นเจอจากห้องสมุดมารวย ได้แก่ “สุดป่วนก๊วนกระเป๋าตุง ตอน รวยง่ายๆ สไตล์ยิว” ของสำนักพิมพ์นานมีบุ๊ค และ “สู่ความเป็นอัจฉริยะ ด้วยการพัฒนาพลังสมอง” สำนัก พิมพ์อินสปายร์ ซึ่งเป็นการไขความลับความอัจฉริยะระดับไอน์สไตน์ (ที่เป็นชาวยิว) ของชนชาติยิวที่ได้ชื่อว่า ฉลาดสุดๆและในแทบทุกวงการจะต้องมีชนชาติยิวอยู่ในอันดับต้นๆ เสมอ ซึ่งหากจะให้ไล่เรียงรายชื่อคงจะล้นเกินพื้นที่ที่มีอยู่แน่ๆ

    นอกจากนี้ ยังมีบทความจากโลกไซเบอร์อีก 2-3 เรื่อง ที่มีการกล่าวอ้างถึงมันสมองระดับอัจฉริยะและลักษณะนิสัยที่ทำให้ชนชาติยิว มั่งคั่งเหนือกว่าชนชาติอื่นๆ เพราะฉะนั้นจึงต้องบอกว่า ทั้งหมดนี้เป็นการประมวลมาจากทุกๆ แหล่งที่กล่าวมา

    » เงิน เงิน และเงิน

    สำหรับชาวยิวแล้วไม่ใช่เรื่องน่าอายที่จะยอมรับว่า “เงินคือพระเจ้า” และเงินคือร่างจำแลงของพระเจ้า นั่นเพราะความยากลำบากและการร่อนเร่ ทำให้เงินคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการดำรงชีวิต นอกจากนี้เงินยังเป็น “หลักประกันความปลอดภัย” เพราะหากวันใดที่พวกเขาถูกขับไล่ เงินจะถูกแลกเปลี่ยนเป็นความคุ้มครองและที่อยู่อาศัย

    ในคัมภีร์ทัลมุด (Talmud) ซึ่งเป็นคัมภีร์โบราณของชาวยิวสอนเอาไว้ว่า คนต้องรักษาทรัพย์สินที่ตัวเองมีใน 3 รูปแบบ คือ

    (1) เงินสด-เงินฝาก
    (2) สังหาริมทรัพย์ที่เป็นของมีค่า
    (3) อสังหาริมทรัพย์

    แต่เป็นเพราะยิวไม่มีแผ่นดินของตัวเอง ทำให้ในภาวะสงครามชาวยิวเลือกที่จะเก็บสินทรัพย์ที่ติดตัวไปได้ง่าย นั่นคือ เงินสดและสังหาริมทรัพย์ เช่น เพชร ทำให้ในทุกวันนี้ยิวยังถือเป็นเจ้าตลาดเพชรอีกด้วย

    ในหนังสือเรื่อง “คัมภีร์การค้าของชาวยิว” เขียนเอาไว้ว่า “ชีวิตที่ต้องเร่ร่อนไปยังสถานที่ต่างๆ มายาวนาน ทำให้ชาวยิวไม่อาจดูถูกเงินได้ เพราะทุกครั้งที่พวกเขาจำเป็นจะต้องเริ่มต้นการเดินทางอีกครั้ง เงินเป็นสิ่งที่พวกเขาสามารถนำติดตัวไปได้โดยสะดวกที่สุด และเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทำให้พวกเขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ตลอดการ เดินทางอันยาวนาน”

    เพราะฉะนั้น “หากชาวยิวไม่มีความได้เปรียบทางเศรษฐกิจเหนือกว่าผู้อื่น ชาวยิวคงจะต้องถูกทำลายล้างจนหมดสิ้นไปนานแล้ว”และจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชาวยิวจะขึ้นชื่อว่า เป็นชนชาติที่มี ความมัธยัสถ์ จนกระทั่งอาจจะเลยไปถึงความตระหนี่ถี่เหนียวในบางกรณี แต่นั่นเป็นเพราะชาวยิวเห็นคุณค่าของเงิน ซึ่งไม่เฉพาะเงินแสนเงินล้านเท่านั้น แม้กระทั่งเงิน 1 บาทก็มีคุณค่า นั่นเพราะชาวยิวได้รับการปลูกฝังจากรุ่นสู่รุ่นว่า“เงินล้านก็เริ่มต้นจากเงิน1 บาท”

    ดังคำกล่าวที่ชาวยิวมักพูดกันเสมอๆ คือ “ถ้าค้าขายไม่ได้เงิน จงฝากธนาคารกินดอกเบี้ย” ที่แม้ว่าจะเป็นจำนวนเงินที่ไม่มากนัก แต่วันหนึ่งผลของการอดออมจะงอกเงยขึ้นมาได้ ทำให้ชาวยิวติดนิสัยในการออมเงินมาตั้งแต่เด็กๆ

    นอกจากนี้ สำหรับชาวยิวแล้ว“คำมั่นสัญญา” เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเล็กน้อยแค่ไหน เพราะยิวมีสำนวนที่ว่า “คนที่ยืมเงินแล้วไม่คืนก็ไม่ต่างอะไรกับขโมย”

    » เปิดประตูแห่งโอกาส

    น่าจะเป็น “บุคลิกพิเศษ” ของชนชาติยิวที่จะกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ ช่างสงสัย ชอบใช้ความคิด และให้ความสำคัญกับการศึกษา เพราะถือว่าความรู้เป็นทรัพย์สินที่มีค่า ไม่เช่นนั้นคงไม่มีนักคิดเจ้าทฤษฎี โดยเฉพาะด้านเศรษฐศาสตร์ออกมาบนโลกนี้มากนัก เพราะคนที่มีอิทธิพลต่อความเป็นไปของโลกนี้จำนวนมาก “มีเชื้อสายยิว”

    “ชาวยิวชอบตั้งคำถาม เพราะพวกเขาเชื่อว่าการคิดเป็นจุดเริ่มต้นของปัญญา ผู้ที่ไม่รู้จักคิด คือ ผู้ที่ไม่รู้จักการเรียนรู้” หนังสือเรื่อง “คัมภีร์การค้าของชาวยิว” ระบุไว้ นั่นเพราะ “คุณค่าของคนอยู่ที่มันสมองไม่ใช่มือหรือเท้า”

    นอกจากนี้ ชาวยิวยังเป็นคนที่ชอบตัวเลขเป็นชีวิตจิตใจ เวลาที่มีการตั้งวงสนทนาก็มักจะหนีไม่พ้นเรื่องตัวเลข จนถึงกับมีคำกล่าวว่า ชาวยิวแม้จะทักทายกันด้วยเรื่องทั่วๆ ไปอย่างเรื่องดินฟ้าอากาศก็ยังสามารถโยงเรื่องตัวเลขเข้ามาเกี่ยวข้องจนได้ เพราะชาวยิวจะไม่ทักทายกันแค่ว่า “วันนี้อากาศร้อน” แต่จะบอกว่า “วันนี้อุณหภูมิ 30 องศา”

    ขณะที่ชาวยิวจะมองเห็นอุปสรรคและความยากลำบากเป็นประตูสู่โอกาส ไม่เชื่อลองมองไปที่ประเทศอิสราเอลที่มีภูมิประเทศที่โหดร้าย โดย 80-90% ของพื้นที่เป็นทะเลทรายและพื้นที่แห้งแล้ง แต่ประเทศอิสราเอลมีประชากรชาวยิวอยู่ถึง 83% พวกเขาใช้เวลา 40 ปีสร้างประเทศ เปลี่ยนอิสราเอลที่น่าสงสารให้กลายเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ นั่นเพราะชาวยิวจะยืนหยัดเผชิญหน้ากับอุปสรรคด้วยความเข้มแข็งและอดทน เพื่อเฝ้ารอโอกาสด้วยความหวัง

    ชาวยิวมีสุภาษิตที่ว่า “ประตูในชีวิตของคนเราไม่ใช่ประตูอัตโนมัติ หากเราไม่ลงมือเปิดประตูเอง ประตูนั้นจะปิดตายไปตลอด ดังนั้นหากเราต้องการให้ประตูแห่งความสำเร็จเปิดออก เราก็ต้องลงมือผลัก หรือดึงประตูนั้นด้วยตัวเอง”

    พร้อมกับบอกอีกว่า หากไม่กล้าเสี่ยงตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อถึงเวลาที่แก่ชราเราก็จะเป็นได้แค่คนที่ล้มเหลว เพราะหากเราไม่ลงมือทำอะไรเลย ทุกอย่างก็มีแต่จะแย่ลง และความลังเลจะทำให้เสียโอกาสในการทำธุรกิจ

    และหากจะบอกว่า ชาวยิวเป็นนักฉวยโอกาสก็คงจะไม่มีใครปฏิเสธ แต่คำว่าฉวยโอกาสก็คือการบริหารความเสี่ยง โดยที่ชาวยิวส่วนใหญ่มักจะกล้าเสี่ยงและประสบความสำเร็จจากการเสี่ยงของเขา อยู่เสมอ นั่นไม่ใช่เพราะโชคดี แต่เป็นเพราะเข้ามีความรู้และเตรียมพร้อมรับความเสี่ยงนั้นอย่างดี

    อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์เชื้อสายยิวเคยกล่าวไว้ว่า “มนุษย์ควรคิดเรื่องราวใหม่ๆ อยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นเครื่องจักร” เพราะเรามักเคยชินกับความเป็นอยู่แบบสบายๆ ในปัจจุบันโดยไม่รู้ตัว จนในที่สุดก็กลายเป็นความเคยชินและเฉยชา แต่คนที่ประสบความสำเร็จมักจะกล้าทำสิ่งที่ท้าทายความสามารถอยู่เสมอๆ

    นอกจากนี้ ชาวยิวยังเชื่อว่าความยากลำบากในชีวิตเป็นสันปันน้ำสำหรับความมั่งคั่ง ที่อาจจะทำให้คนบางคนล้มหายตายไป แต่คนบางคนกลับยืนหยัดเอาชีวิตรอดและนำไปสู่ความมั่งคั่งได้ในที่สุด เพราะฉะนั้นอย่าดูแคลนอุปสรรคและความยากลำบากนอกจากนี้ยังเป็นเรื่องที่ ดีที่จะไม่ใช้ชีวิตที่สุขสบายเกินไป เพราะมันจะทำให้สมองฝ่อและไม่มีความคิดความก้าวหน้าในชีวิต

    » ถูกที่ ถูกเวลา และถูกวิธี

    เพราะสำหรับชาวยิวแล้ว “เวลาเป็นเงินเป็นทอง” เสมอ ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไรจะต้องคิดอยู่เสมอว่า ต้องใช้เวลาไปกับเรื่องที่มีประโยชน์และจำเป็น โดยยกตัวอย่างนิทานสุภาษิตจากคัมภีร์ทัลมุด เรื่อง ผึ้งกับแมลงวัน ผึ้งและแมลงวันตกลงไปในขวดพร้อมกัน เจ้าผึ้งพยายามหาทางออกโดยการบินวนไปมาอยู่ที่ก้นขวดและพยายามออกแรงต่อยขวด อย่างแรง เพราะเชื่อว่าขวดจะแตก แต่ไม่นานมันก็หมดแรงตายอยู่ที่ก้นขวด ขณะที่แมลงวันบินวนอยู่หลายรอบ ก็พบว่ารอบๆ เป็นกำแพงหนา มันจึงเลือกที่จะบินขึ้นไปด้านบน จนพบกับทางออกที่ปากขวด

    “นิทานสุภาษิตเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การค้นหาทิศทางการต่อสู้ที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ อย่าทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดไปกับทางเลือกที่ผิด เพราะไม่ว่าพยายามมากเพียงใดก็ไม่มีวันประสบความสำเร็จ” หนังสือเรื่อง “คัมภีร์การค้าของชาวยิว” ระบุ

    และในขณะที่นักธุรกิจจีนอาจจะกำลังสนใจกับการทำให้สินค้ามีราคาถูก เพื่อขายให้ได้จำนวนมากๆ แต่สำหรับชาวยิวแล้วลูกค้าของเขาคือคนที่เป็น “ส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็ง” ที่ลอยอยู่เหนือน้ำ ซึ่งก็คือกลุ่มคนที่มีฐานะดี

    ชาวยิวจะให้ความสำคัญกับธุรกิจที่เกี่ยวกับ “ปาก” และ “ผู้หญิง” โดยธุรกิจที่เกี่ยวกับปาก คืออาหารการกินที่คนเราต้องกินต้องใช้ และธุรกิจที่เกี่ยวกับผู้หญิง เพราะเชื่อว่า “ผู้หญิงเป็นคนกุมกระเป๋าเงินของครอบครัว”

    » เพาะพันธุ์ความรวย

    พ่อแม่ชาวยิวจะให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษาด้านการเงินตั้งแต่ลูกยัง เล็กๆ โดยของขวัญครบรอบ 1 ปีที่พวกเขาจะมอบให้เด็กๆ ไม่ใช่ของขวัญมูลค่าสูง แต่จะเป็น “หุ้น” โดยเฉพาะชาวยิวในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งการมอบหุ้นให้เป็นของขวัญในวาระต่างๆ จากนั้นจะมีการพูดคุยกันถึงผลการลงทุนอยู่เป็นประจำ และเมื่อลูกอายุมากขึ้น พวกเขาจะค่อยๆ ได้เรียนรู้วิชาการ บริหารเงินส่วนบุคคลจากพ่อและแม่

    พ่อแม่ชาวยิวสอนการจัดการเงินส่วนบุคคล ด้วยวิธีการให้ค่าขนม โดยลูกๆ จะต้องจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินล่วงหน้าอย่างละเอียดมานำเสนอให้พ่อแม่ และพ่อแม่จะให้ค่าขนมต่อเมื่อลูกๆ ช่วยงานบ้านเป็นการแลกเปลี่ยน ซึ่งงานบ้านแต่ละอย่างจะแลกเปลี่ยนเป็นเงินค่าขนมได้แตกต่างกันไป

    ในวันเกิดอายุครบ 13 ปี ชาวยิวจะมีพิธีบาร์มิตซวาห์ (Barmitzvah) หรือพิธีบรรลุนิติภาวะ ซึ่งคนที่ไปร่วมงาน ไม่ว่าจะเป็นญาติๆ ลุง ป้า น้า อา พ่อ แม่ และแขกที่มาร่วมงานจะมอบเงินอวยพรให้คนละประมาณ 200 เหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นเงินขวัญถุงให้กับเด็กคนนั้น

    เงินที่ได้รับจากพิธีจะถูกนำไปฝากเอาไว้ในธนาคาร ไปซื้อพันธบัตร หรือนำไปลงทุน จนกระทั่งเมื่อถึงวันที่เด็กคนนี้เรียนจบ หรือต้องการเริ่มต้นทำธุรกิจของตัวเอง เงินก้อนนี้ก็จะงอกเงยจากเงินขวัญถุงไปเป็น “ทุนตั้งตัว”

    ในเทศกาลฮานุกกาห์ (Hanukkah) หรือเทศกาลแห่งดวงประทีป ซึ่งเป็นเทศกาลส่งท้ายปลายปีของครอบครัวชาวยิว พ่อแม่ชาวยิวจะให้เงินรางวัลแก่ลูก โดยประเมินจากพฤติกรรมตลอดทั้งปี

    นอกจากนี้ พวกเด็กๆ ชาวยิวยังต้องเรียนรู้เรื่องการค้าตั้งแต่เด็ก โดยลูกๆ จะต้องช่วยเหลือกิจการของพ่อแม่เพื่อเป็นการปลูกฝังทักษะในการทำธุรกิจ เพราะชาวยิวมีภาษิตที่ว่า “ถ้าไม่สอนอาชีพให้ลูก ก็เหมือนสอนลูกให้เป็นโจร” โดยลูกๆ จะได้เงินค่าจ้างจากการทำงาน

    ในเทศกาลซุกโกต (Sukkot) หรือเทศกาลอยู่เพิง ที่ตรงกับวันที่ 15 ก.ย. ของทุกปี ชาวยิวมีธรรมเนียมว่าจะต้องอาศัยอยู่ในเพิงพักที่สร้างขึ้นบริเวณสนามหญ้า หน้าบ้านเป็นเวลา 1 สัปดาห์ และในช่วงเวลานี้เองที่เด็กๆ จะสามารถหารายได้พิเศษจากการขายวัสดุสร้างเพิงพัก

    อย่างไรก็ตาม ชาวยิวให้ความสำคัญกับการใช้เงินมากกว่าการหาเงิน และไม่ว่าลูกจะอยากทำอาชีพอะไร ในสายตาพ่อแม่ชาวยิวจะไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย ถ้าอาชีพนั้นสามารถทำเงินได้อย่างสุจริต

    » เพื่อนคือคนสำคัญ

    ชาวยิวจะให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยที่คนรวยจะช่วยเหลือคนยากจนอย่างเต็มที่ โดยเด็กๆ ชาวยิวจะมีเงินออมจำนวนหนึ่งเก็บเอาไว้ในบัญชีที่ชื่อว่า Tzedakah ที่มีไว้เพื่อช่วยเหลือคนอื่นๆ โดยที่คำว่า Tzedakah หมายถึงความยุติธรรมของทุกคนในสังคม

    และชาวยิวถือว่าเพื่อนคือคนสำคัญ เพราะถ้าไม่มีเพื่อนก็เหมือนเสียแขนไปข้างหนึ่ง โดยชาวยิวแบ่งเพื่อนออกเป็น 3 ประเภท คือ เพื่อนเหมือนขนมปัง เป็นเพื่อนที่ต้องการบ่อยที่สุด เพื่อนเหมือนข้าว ที่ต้องการบางครั้ง เพื่อนแบบที่สาม คือ เพื่อนเหมือนโรคภัยไข้เจ็บที่ต้องหลีกเลี่ยง

    สำหรับคนไทยเพื่อนแบบแรก คงจะเป็นเหมือนข้าวเพราะต้องกินทุกวัน เพื่อนแบบที่สอง เหมือนขนมปังที่กินบ้างบางครั้ง ซึ่งเพื่อนทั้งสองแบบต่างมีส่วนช่วยให้ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ โดยการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

    เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ ถ้ามีใครพูดถึง “ยิว” ให้มองพวกเขาให้ครบทุกมุม เพราะเป็นธรรมดาที่คนเรามีทั้งดีและไม่ดี สิ่งใดที่ดีก็นำมาเป็นแบบอย่าง สิ่งใดที่ไหนที่เห็นว่าไม่เหมาะไม่ควรก็ไม่ควรนำมาปฏิบัติ แล้วเราจะรวยแบบยิวได้ โดยที่ไม่สร้าง “ความรู้สึกไปในทางลบ” ให้กับคนอื่นๆ

    แหล่งที่มา www.k-weplan.com/Article.aspx?mid=48&articleid=3534

    </TD></TR><TR style="FONT-SIZE: 13px; COLOR: rgb(53,53,53); LINE-HEIGHT: 17px; FONT-FAMILY: 'Segoe UI', Arial, Helvetica, sans-serif"><TD style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; FONT-SIZE: 12px; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 471px; COLOR: rgb(76,76,76); LINE-HEIGHT: 12pt; PADDING-TOP: 0px; FONT-FAMILY: Tahoma">ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ประจำวันที่ 20 ก.พ. 54
    คอลัมน์ Money Tips โดย สวลี ตันกุลรัตน์

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    คิดแบบยิว ทำแบบยิว รวยเหมือน...ยิว
     
  2. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    คั่นด้วยเพลงก่อนคุณขวัญ เพลงที่คุณขวัญเคยแนะนำไง

    <iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/hCCy6fYrl4g?rel=0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    BLOWING IN THE WIND
    ในสายลมมีคำตอบ


    Bob Dylan
    อัญชลี ชยานุวัชร: แปล

    How many roads must a man walk down
    ข้ามถนนสักกี่สาย
    before you can call him a man?
    จึงจะได้เป็นมนุษย์
    How many seas must a white dove sail
    พิราบขาวข้ามกี่ (มหา) สมุทร
    before she sleeps in the sand?
    จึงจะถึงผืนทรายได้ฝากร่าง
    Yes,’n how many times must a cannon ball fly
    ยิงปืนใหญ่สักกี่นัดจึงจะวาง
    before they’re forever banned?
    บอกเลิกร้างการเข่นฆ่าหาเรื่องกัน
    The answer my friend is blowin’ in the wind
    เพื่อนรักเอย คำตอบนั้น เร้นกายในสายลม
    The answer is blowin’ in the wind
    คำตอบนั้น เร้นกายในสายลม
    How many years can a mountain exist
    นานเท่าใดกว่าภูเขาที่เราเห็น
    before it’s washed to the sea?
    จะกลายเป็นผุยผงลงมหรรณพ์
    Yes,’n how many years can some people exist
    นานเท่าใดกว่าจะผ่านกัปกัลป์
    before they’re allowed to be free?
    พบสุขสันต์ความเป็นไทในหัวใจ
    Yes,’n how many times can a man turn his head
    อีกกี่ครั้งที่ต้องมองจ้องตาใส
    and pretend that he just doesn’t see?
    กลับไม่เห็นอะไรที่หมายมั่น
    The answer my friend is blowin’ in the wind
    เพื่อนรักเอย คำตอบนั้น เร้นกายในสายลม
    The answer is blowin’ in the wind
    คำตอบนั้น เร้นกายในสายลม
    How many times must a man look up
    สักกี่ครั้งต้องแหงนมอง
    before he can see the sky?
    จึงจะมองเห็นผืนฟ้านั้น
    Yes,’n how many ears must one man have
    สักกี่หูจะกู่หา
    before he can hear people cry?
    จึงจะได้ยินเสียงร่ำไห้
    Yes,’n how many deaths will it take
    สักกี่คนกี่ชีวิตที่ต้องตาย
    till he knows that too many people have died?
    กว่าจะซึ้งถึงความหมายว่ามีคนตายมากเกินไปแล้ว
    The answer my friend is blowin’ in the wind
    เพื่อนรักเอย คำตอบนั้น เร้นกายในสายลม
    The answer is blowin’ in the wind
    คำตอบนั้น เร้นกายในสายลม
     
  3. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    ใกล้ถึงวันส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่แล้ว
    ขอใช้โพสต์นี้อวยพรให้คุณขวัญและครอบครัวสุขภาพแข็งแรง
    แคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง มีชีวิตและจิตวิญญาณที่เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไปนะคะ

    [​IMG]

    [​IMG]

    เครดิตภาพจากอินเตอร์เน็ต (ขอแชร์เขามา :d)
    **********************************************************

    คนเรามักจะอวยพรปีใหม่ว่า
    "ขอให้มีความสุข"
    แต่ความเป็นจริง การมีความสุขด้านเดียว
    โดยปราศจากทุกข์ คงจะเป็นเรื่องยากมาก
    ดังนั้นจึงอยากเปลี่ยนคำอวยพรเป็น
    "ขอให้คุณมีหัวใจที่แข็งแรงพอที่จะรับได้
    ทั้งความสุขและความทุกข์"

    We often make good wishes for the New Year
    with the words
    MAY YOU BE HAPPY
    In fact , happy alone without suffering is very hard to get
    So, I would like to change my wishing words that
    May you be strong in your heart to accept
    both happiness and sorrows

    เครดิตคำอวยพรด้านบนจาก ...guru.sanook.com

    ����¾û����� �ҡ ������ ʹء! �����
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    :cool:

    ถูกใจมากเลยค่า ทั้งเพลงและพร
    ขออวยพรให้คุณอ๊อบส์ได้พรนั้นเช่นเดียวกัน ^.^
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ส.ค.ส. แด่เพื่อนๆ

    สมเด็จพระเทพฯ พระราชทานพรปีใหม่ 2555

    [​IMG]

    [​IMG]

     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    โชคชะตาย้อนศร-ยุโรปอับเฉาอิเหนาศิษย์เก่าไอเอ็มเอฟอู้ฟู่
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>27 ธันวาคม 2554 23:26 น.</TD><TD vAlign=center align=left><SCRIPT src="http://platform.twitter.com/widgets.js" type=text/javascript></SCRIPT>


    <SCRIPT src="https://apis.google.com/js/plusone.js" type=text/javascript> {lang: 'th'}</SCRIPT><?XML:NAMESPACE PREFIX = G /><G:pLUSONE size="medium"></G:pLUSONE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เอเจนซี - ขณะที่คำขู่ลดอันดับประกาศก้องเต็มสองหูยุโรป สถานการณ์ของตลาดเกิดใหม่บางชาติกลับกลายเป็นหนังคนละม้วน

    ตัวอย่างที่บ่งชี้ความแตกต่างชัดเจนที่สุดคืออินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 15 ที่ผ่านมา ฟิตช์ประกาศเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือหนี้ภาครัฐแดนอิเหนาสู่สถานะน่าลงทุนเป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปี

    ย้อนกลับไปในปี 1997 ตอนที่วิกฤตการเงินเอเชียระเบิด กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ต้องเข้ามาแทรกแซงด้วยเงินกู้ระยะ 3 ปีมูลค่า 10,100 ล้านดอลลาร์ โดยระบุว่า ภาคการธนาคารของอินโดนีเซียไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือความปั่นป่วนทางการเงินที่แผลงฤทธิ์ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในขณะนั้น

    มาถึงปี 2011 จุดที่น่าเป็นห่วงกลับกลายเป็นแบงก์ยุโรป เนื่องจากวิกฤตยูโรโซนยังไม่เห็นทางออกที่ยอมรับได้ทางการเมือง

    บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำทั้งสามแห่งของโลกพร้อมใจเตือนชาติยุโรปว่า อาจถูกลดเรตติ้งถ้าไม่สามารถแก้ไขวิกฤตได้ วันที่ 16 ที่ผ่านมา ฟิตช์แถลงว่า ทางออกจะต้องครอบคลุมทั้งด้านเทคนิคและการเมือง

    กลับมาที่อินโดนีเซีย การสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ของสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า เศรษฐกิจแดนอิเหนาปีหน้าจะขยายตัวถึง 6.4% ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของปีปัจจุบันเพียง 0.1% แต่ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับยุโรปที่ถูกคาดหมายว่า ปีหน้าเศรษฐกิจจะถดถอย ขณะที่อัตราการเติบโตของอเมริกาอาจได้แค่ 1 ใน 3 ของอินโดนีเซียเท่านั้น

    บทเรียนที่เอเชียได้รับจากวิกฤตการเงินปลายทศวรรษ 1990 คือ ต้องแน่ใจว่ามีหลักประกันที่ดีพอ

    ปัจจุบัน เอเชียถือครองทุนสำรองเงินตราต่างประเทศมากที่สุดในโลก เฉพาะจีนและญี่ปุ่นรวมกันมีถึง 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ ประเทศอื่นๆ อย่างอินเดีย อินโดนีเซีย และเกาหลีใต้ก็มีทุนสำรองมหาศาลเช่นกัน

    ทุนสำรองเหล่านี้สามารถเป็นฉนวนปกป้องความปั่นป่วนในตลาดเงินได้ ปีนี้อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ อินเดีย และอีกหลายประเทศ ต่างใช้ทุนสำรองปกป้องไม่ให้ค่าเงินของตนผันผวนเกินไป

    ตัวไอเอ็มเอฟเองดูเหมือนได้รับบทเรียนเล็กๆ น้อยๆ จากประสบการณ์ในเอเชียเช่นกัน โดยเฉพาะบทเรียนที่ว่า การให้ประเทศที่ประสบปัญหาตัดลดงบประมาณจำนวนมาก อาจกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและพลเมืองของประเทศนั้นๆ อย่างรุนแรง

    คำแถลงของกองทุนฯ ในเดือนพฤศจิกายน 1997 ระบุว่าข้อตกลงช่วยเหลืออินโดนีเซียอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า จาการ์ตาจะต้องใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงินและการคลังเพื่อให้งบประมาณอยู่ในสภาวะเกินดุล

    ไอเอ็มเอฟในขณะนั้นคาดว่าการเติบโตของอินโดนีเซียที่เคยอยู่ที่ราว 8% ก่อนวิกฤต จะชะลอลงอยู่ที่ 5% ในปีแรกหลังเข้าโปรแกรม และ 3% ในปีที่ 2 แต่กลับกลายเป็นว่าเศรษฐกิจแดนอิเหนาหดตัว 13.1% ในปี 1998 และขยายตัวแค่ 0.8% ในปีต่อมา

    โดมินิก สเตราส์-คาห์น อดีตกรรมการผู้จัดการไอเอ็มเอฟ ยอมรับเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ว่า มาตรการปฏิรูปของกองทุนฯ สร้างความเจ็บปวดและทำร้ายคนอินโดนีเซีย

    นักเศรษฐศาสตร์หลายคนกังวลว่า มาตรการรัดเข็มขัดของยุโรปในขณะนี้ที่คล้ายกับที่อินโดนีเซียเคยเจอมา จะจบลงที่เศรษฐกิจเสียหายหนักกว่าเดิมและปัญหาหนี้รุนแรงขึ้น

    โอลิวิเยร์ บลองชาร์ด อดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟ วิจารณ์ว่านักลงทุนมีอาการจิตเสื่อมกับมาตรการรัดเข็มขัดและการเติบโตทางเศรษฐกิจ กล่าวคือมีปฏิกิริยาแง่บวกต่อข่าวการรวมตัวทางการคลังของชาติยูโรโซน แต่ไม่นานกลับคัดค้านเมื่อการรวมตัวนั้นทำให้การเติบโตลดลง ทั้งๆ ที่จะต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

    ประเทศยุโรปคือตัวเก็งที่จะถูกดาวน์เกรดในอีกไม่ช้าไม่นาน การประกาศของเอสแอนด์พีนั้นอาจมีขึ้นได้ทุกเมื่อ ขณะที่มูดี้ส์เผยเมื่อวันที่ 12 ที่ผ่านมาว่า จะทบทวนเรตติ้งของยุโรปในช่วงไตรมาสแรกปีหน้า

    แม้ตลอดปีนี้การลดอันดับและการขู่ลดอันดับเป็นข่าวที่สื่อมวลชนส่วนใหญ่ให้ความสนใจ แต่สำหรับฟิตช์บอกว่า เท่าที่ดำเนินการมาจนถึงขณะนี้บริษัทมีทั้งอัปเกรดและดาวน์เกรดประเทศเป้าหมาย

    นับจากวันที่ 5 สิงหาคม เมื่อเอสแอนด์พีหั่นเรตติ้ง AAA ของอเมริกา ประเทศอย่างอินโดนีเซีย บราซิล เอสโตเนีย สาธารณรัฐเช็ก ปารากวัย เปรู คาซัคสถาน และอิสราเอล กลับได้รับการเลื่อนอันดับขึ้นโดยบริษัทจัดอันดับชั้นนำของโลกอย่างน้อย 1 ใน 3 แห่ง

    ประเทศต่อไปที่จะได้อัปเกรดอาจเป็นฟิลิปปินส์
    ผู้นำแดนตากาล็อกแสดงความผิดหวังที่อินโดนีเซียได้เลื่อนขั้นจากฟิตช์ก่อน แม้เมื่อวันที่ 16 ที่ผ่านมา เอสแอนด์พีจะทบทวนเรตติ้งมะนิลาเป็นบวกแล้วก็ตาม

    สำหรับสถานการณ์ปีหน้านั้น ประเทศก้าวหน้าในองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) จะต้องกู้ยืมเงินราว 10.5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งหมายความว่าต้นทุนการกู้ยืมที่เพิ่มขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจมีนัยสำคัญอย่างยิ่ง

    ในรายงานของโออีซีดีว่าด้วยหนี้ภาครัฐระบุว่า พวกผู้บริหารจัดการหนี้ของชาติโออีซีดีกำลังเผชิญความท้าทายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ในการระดมทุนเพื่อตอบรับความต้องการกู้ยืมที่สูงเกินคาด

    Around the World - Manager Online - ⪤
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันที่ 28 ธันวาคม 2554 08:00

    ชาวผู้ดีพอใจไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในยูโรโซน

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    [​IMG]

    ชาวอังกฤษพอใจที่รัฐบาลปัดร่วมใช้เงินสกุลยูโรของสหภาพยุโรปเมื่อ10 ปีที่แล้วแม้เศรษฐกิจประเทศจะย่ำแย่พอๆกับกลุ่มยูโรโซน
    <!--<script type="text/javascript"> google_ad_channel = '3694366847'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </script> <script type="text/javascript" src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js"></script> <script type="text/javascript" src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js"></script>--><SCRIPT language=JavaScript src="http://ads.nationchannel.com/adserverkt/adx.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript type=text/javascript> if (!document.phpAds_used) document.phpAds_used = ','; phpAds_random = new String (Math.random()); phpAds_random = phpAds_random.substring(2,11); document.write ("<" + "script language='JavaScript' type='text/javascript' src='"); document.write ("http://ads.nationchannel.com/adserverkt/adjs.php?n=" + phpAds_random); document.write ("&what=zone:119"); document.write ("&exclude=" + document.phpAds_used); if (document.referrer) document.write ("&referer=" + escape(document.referrer)); document.write ("'><" + "/script>"); </SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://ads.nationchannel.com/adserverkt/adjs.php?n=692463730&what=zone:119&exclude=,&referer=http%3A//www.bangkokbiznews.com/home/news/finance/foreign/news-list-1.php" type=text/javascript></SCRIPT><NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT><!-- <iframe src="http://www.bangkokbiznews.com/home/banner/all-ad-300-indetail.php" frameborder="0" scrolling="no" width="300" height="250"></iframe> -->หนังสือพิมพ์ซันเดย์ไทม์ ของอังกฤษพาดหัวข่าวใหญ่ว่า "แม้ (อังกฤษ) จะเป็นผู้ร้าย แต่ยังดีที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มยูโรโซน" สะท้อนถึงความรู้สึกของชาวอังกฤษที่มีต่อการตัดสินใจของรัฐบาลภายใต้การนำของนายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ที่ออกเสียงคัดค้าน การเข้าร่วมใช้เงินสกุลยูโร ซึ่งเป็นสกุลเงินกลางของสหภาพยุโรป (อียู)ซึ่งทำให้เศรษฐกิจอังกฤษ ไม่ตกอยู่ในสภาพเลวร้ายเช่นเดียวกับหลายประเทศที่ใช้เงินยูโร หรือที่เรียกว่ากลุ่มประเทศยูโรโซน เช่น กรีซ หรือ อิตาลี
    ซันเดย์ ไทม์ ระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้อังกฤษได้เปรียบกลุ่มประเทศยูโรโซน คือการที่มีอิสระในการบริหารการเงินการคลังของตนเอง ขณะที่กลุ่มประเทศยูโรโซน จะต้องรับฟังและดำเนินการตามนโยบายของธนาคารกลางยุโรป ที่ถือเป็นหน่วยงานการบริหารการเงินและการคลัง ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันของกลุ่มประเทศยูโรโซนที่มีอยู่ด้วยกัน 17 ประเทศ
    อย่างไรก็ตาม แม้คณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) ที่มีฐานะเป็นรัฐบาลกลางของสหภาพยุโรป (อียู) จะระบุว่า อังกฤษจะมีการใช้การดำเนินนโยบายงบประมาณขาดดุลในปี 2554 มากกว่าประเทศกรีซ ที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง และอังกฤษมีหนี้สินสาธารณะสูงเท่าๆกับประเทศฝรั่งเศส ที่อยู่ในกลุ่มยูโรโซน
    ขณะเดียวกัน อัตราการว่างงานภายในประเทศของอังกฤษ ก็สูงเป็นสถิติใหม่ในรอบ 17 ปี และ อัตราเงินเฟ้อของประเทศ ก็สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยของประเทศในกลุ่มยูโรโซนก็ตาม แต่ในภาพรวมแล้ว ชาวอังกฤษก็ยังรู้สึกยินดี ที่รัฐบาลไม่ได้ตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่มยูโรโซนเมื่อ 1 ทศวรรษที่แล้ว แม้สภาพเศรษฐกิจโดยรวมของอังกฤษ ก็ไม่ได้ดีไปกว่าหลายประเทศในกลุ่มยูโรโซน
    ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ธนาคารกลางแห่งอังกฤษ (บีโออี) ได้อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 275,000 ล้านปอนด์ (ประมาณ 12.9 ล้านล้านบาท) ซึ่งเป็นนโยบายด้านตรงข้ามกับการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป และส่งผลให้ความเชื่อมั่นในพันธบัตรกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติอายุ 10 ปี ของอังกฤษสูงขึ้น และ มีอัตราผลตอบแทนให้กับผู้ถือพันธบัตรสูงขึ้นเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนี ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในกลุ่มอียู และ ยูโรโซน
    สภาพเศรษฐกิจอังกฤษยังอยู่ในภาวะซบเซา และไม่สามารถขยายตัว จนทำให้เศรษกิจประเทศดาวรุ่งทางเศรษฐกิจของโลก อย่างบราซิล ขยายตัวจนมีขนาดใหญ่กว่าอังกฤษต่อเนื่องเป็นปีที่สอง โดยเศรษฐกิจบราซิล ถูกจัดอยู่ในอันดับ 6 ของประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก ในปัจจุบัน

     
  8. Nat_usp

    Nat_usp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    676
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,394
    โชคชะตา.....

    ตอนนี้ครอบครัวผมตกงานทั้งบ้านเลยครับ ^_^"

    หางานคงไม่ได้แล้ว อายุเข้าหลักสี่แล้ว
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันที่ 25 ธันวาคม 2554 10:00
    สตีฟ จ็อบส์ ยังไม่ตาย ! ใน Steve Jobs by Walter Isaacson'

    โดย : ปริญญา ชาวสมุน
    [​IMG]

    เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2554 (ค.ศ. 2011) สตีฟ จ็อบส์ จากโลกนี้ไปด้วยวัยเพียง 56 ปี...นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของทั้งโลกไอทีและโลกจริง
    <!--<script type="text/javascript"> google_ad_channel = '3694366847'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </script> <script type="text/javascript" src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js"></script> <script type="text/javascript" src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js"></script>--><SCRIPT language=JavaScript src="http://ads.nationchannel.com/adserverkt/adx.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript type=text/javascript> if (!document.phpAds_used) document.phpAds_used = ','; phpAds_random = new String (Math.random()); phpAds_random = phpAds_random.substring(2,11); document.write ("<" + "script language='JavaScript' type='text/javascript' src='"); document.write ("http://ads.nationchannel.com/adserverkt/adjs.php?n=" + phpAds_random); document.write ("&what=zone:119"); document.write ("&exclude=" + document.phpAds_used); if (document.referrer) document.write ("&referer=" + escape(document.referrer)); document.write ("'><" + "/script>"); </SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://ads.nationchannel.com/adserverkt/adjs.php?n=772435904&what=zone:119&exclude=,&referer=http%3A//www.bangkokbiznews.com/home/" type=text/javascript></SCRIPT><NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT><!-- <iframe src="http://www.bangkokbiznews.com/home/banner/all-ad-300-indetail.php" frameborder="0" scrolling="no" width="300" height="250"></iframe> -->ผู้คนมากมายจากทุกมุมโลกต่างโศกสลดเมื่อทราบข่าว หลายคนพร้อมใจร่วมไว้อาลัยแด่เขาและรำลึกถึงเขาอย่างอาวรณ์ ทว่า จะเป็นเช่นไรหากวันนี้พวกเขารู้ว่า "สตีฟ จ็อบส์ ยังไม่ตาย !" และกำลังกลับมาเพื่อบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาแก่ชาวไทยผู้ได้ชื่อว่าคลั่งผลิตภัณฑ์ตราแอ๊ปเปิ้ลแหว่งของเขาคนนี้เป็นที่สุด
    แม้ว่าวันนี้ 'สตีฟ จ็อบส์' จะเสียชีวิตไปถึง 2 เดือนเต็มแล้ว แต่ความรับรู้ของคนทั่วโลกทั้งที่เป็นสาวกผลิตภัณฑ์ตระกูล 'i' (ไอ) ทั้งหลาย อาทิเช่น iPod, iPhone, iPad และตระกูล Mac ตลอดจนคนที่ไม่เคยสัมผัสของพวกนั้นมาก่อนยังรู้สึกว่าเขายังอยู่ ชื่อของเขายังถูกพูดถึงตลอดเวลา บางคนยกย่องเขาให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกเทียบเท่านักประดิษฐ์อย่าง โธมัส อัลวา เอดิสัน และ เฮนรี่ ฟอร์ด บางคนเชิดชูเขาในฐานะนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จระดับโลก บางคนมองเขาเป็นเพียงคนก้าวร้าวที่จ้องจะหาผลกำไรจากผลิตภัณฑ์ราคาแพง บางคนบอกว่าเขาน่ารัก บางคนบอกว่าเขาน่ากระทืบ...ฯลฯ ทุกสิ่งอย่างที่เขาถูกกล่าวขานถึง ล้วนสะท้อนมุมมองของผู้คนรอบกายซึ่งมีต่อเขา ไม่ว่าจะแง่ร้ายหรือดี จ็อบส์ยินดีน้อมรับ โดยไม่ปฏิเสธว่าเขาเป็นเช่นนั้นหรือไม่ นี่คือ ข้อพิสูจน์ถึงความใจกว้างของเขา และมองตัวเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง มีรัก โลภ โกรธ หลง เฉกเช่นมนุษย์อื่น
    ตลอดเวลาที่ สตีฟ จ็อบส์ มีชีวิตอยู่ หลากหลายแง่มุมชีวิตของอดีตซีอีโอแอ๊ปเปิ้ลผู้นี้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนค่อนข้างน้อย คล้ายชีวิตเขาถูกบดบังด้วยผนังหนาซึ่งจ็อบส์เป็นคนสร้างมันขึ้นเอง เขาปรารถนาความสงบ เรียบง่าย จึงไม่จำเป็นจะต้องให้ใครรับรู้ว่าเขาเป็นใคร ใช้ชีวิตอย่างไร น่าจะมีเพียงครั้งที่เขาได้รับเชิญไปบรรยายในงานมอบปริญญาบัตรแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในปี ค.ศ. 2008 ที่เขาเล่าเรื่องสอนใจให้นักศึกษาฟัง 3 เรื่อง คือ การเป็นบุตรบุญธรรม การเลิกเรียนมหาวิทยาลัยกลางคันแล้วเลือกเรียนเฉพาะวิชาที่ตนชอบ และการถูกปลดออกจากบริษัทที่เขาสร้างมาจนกลับมาสู่การเริ่มต้นใหม่ จนกระทั่งวันหนึ่ง วันที่เขารู้ว่าเวลาแห่งชีวิตเริ่มนับถอยหลัง โรคมะเร็งกำลังจะคร่าชีวิตเขาไปในไม่ช้า จ็อบส์เริ่มมองหาใครสักคนที่จะบันทึกชีวประวัติของเขา ด้วยค่าที่เขาหลงใหลความสมบูรณ์แบบ (Perfectionist) เขารู้ว่ามีนักเขียนคนหนึ่งเป็นนักบันทึกชีวประวัติตัวยงของโลก นักเขียนคนนั้น คือ วอลเตอร์ ไอแซคสัน ซีอีโอของสถาบันแอสเพน (The Aspen Institute) เคยดำรงตำแหน่งประธานซีเอ็นเอ็น และบรรณาธิการนิตยสารไทม์ ชีวประวัติบุคคลที่เขาเขียนล้วนเป็นบุคคลสำคัญของโลก เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, เบนจามิน แฟรงคลิน, คิสซิงเจอร์ เป็นต้น
    จ็อบส์รู้ดีว่าการจะทาบทามให้ไอแซคสันยอมเขียนชีวประวัติของตนไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ทว่า เขาก็ปรารถนาเช่นนั้น จ็อบส์ยกหูโทรศัพท์ต่อสายตรงถึงไอแซคสันเพื่อบอกจุดประสงค์ของเขา แต่สิ่งที่จ็อบส์ได้รับกลับมาคือคำปฏิเสธอย่างไม่ไยดี
    ไอแซคสันไม่รู้ว่าจ็อบส์กำลังเผชิญกับโรคร้าย เขาบอกกับจ็อบส์ว่าชีวิตของจ็อบส์ยังอีกยาวไกล ยังมีขึ้นมีลงอีกมาก ดังนั้น จึงไม่ถึงเวลาที่ไอแซคสันจะมาบันทึกชีวประวัติของจ็อบส์ อีกทั้งยังเหน็บแนมด้วยว่าจ็อบส์คิดว่าตัวเองเป็นบุคลสำคัญของโลกแล้วหรือ !?
    ถึงแม้อดีตซีอีโอแอ๊ปเปิ้ลจะถูกตัดรอน แต่เขาก็หาได้ย่อท้อไม่ เขาเทียวโทรศัพท์ไปหาไอแซคสันอยู่เรื่อยๆ และยื่นข้อเสนอแก่ไอแซคสันว่าหากเขาเขียนชีวประวัติเสร็จสิ้นจ็อบส์จะไม่เข้ามาแทรกแซงหรือตรวจสอบต้นฉบับแน่นอน ซึ่งช่างขัดกับอุปนิสัยของจ็อบส์ที่ชอบควบคุมและจัดการทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเขา ถึงกระนั้นไอแซคสันก็ยังไม่ยอมเขียน กระทั่งข่าวสตีฟ จ็อบส์เป็นโรคมะเร็งไปถึงหูไอแซคสัน ณ ขณะนั้นเขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดจ็อบส์จึงตื๊อเขาถึงเพียงนี้ เขาจึงตกปากรับคำยอมเขียนชีวประวัติสตีฟ จ็อบส์แต่โดยดี
    ทว่าไอแซคสันไม่ใช่นักเขียนรับจ้าง นักเขียนเงา หรือนักเขียนผี (Ghost Writer) ที่เขียนตามใบสั่ง เขาต้องการตีแผ่ทุกแง่มุมของคนที่เขาเขียนถึง เขาจึงตกลงกับจ็อบส์ว่าจะสัมภาษณ์ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับจ็อบส์ทั้งคนที่รักและคนที่เกลียด และเขาจะเขียนทั้งด้านมืดและด้านสว่างของจ็อบส์อย่างหมดเปลือก ซึ่งแน่นอนว่าจ็อบส์ยินยอมด้วยใจกว้าง
    หลังจากนั้น ตลอดระยะเวลา 2 ปี สตีฟ จ็อบส์ ถูกสัมภาษณ์กว่า 40 ครั้ง รวมทั้งผู้คนมากมายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเขากว่า 100 คน อาทิเช่น สมาชิกในครอบครัว เพื่อน ศัตรู คู่แข่งทางธุรกิจ และเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น กระทั่งกลายเป็นหนังสือ Steve Jobs ซึ่งวอลเตอร์ ไอแซคสัน บรรยายชีวิตอันโลดโผน บุคลิกภาพกร้าวแกร่งของผู้ประกอบการธุรกิจหัวคิดสร้างสรรค์ ที่ทุ่มเทชีวิตอย่างบ้าระห่ำเพื่อความสมบูรณ์แบบและแรงขับดันมหาศาลที่พลิกโลกอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ภาพยนตร์แอนิเมชัน ดนตรี โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์แทบเล็ต และสื่อสิ่งพิมพ์ดิจิทัล
    ก่อนที่หนังสือเล่มนี้จะเสร็จสมบูรณ์ สตีฟ จ็อบส์ ได้ทำตามคำมั่นสัญญาที่ว่า "จะไม่อ่านต้นฉบับก่อนพิมพ์เสร็จ" เพราะเขาต้องจากโลกนี้ไปเสียก่อน การจากไปครั้งนั้นทำให้ไอแซคสันต้องเร่งแก้ไขต้นฉบับ เพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับวาระสุดท้ายของจ็อบส์ และความตายก็ยิ่งเพิ่มดีกรีให้หนังสือเล่มนี้น่าสนใจมากขึ้นหลายเท่าตัว จนได้แปลตีพิมพ์เป็นหลายภาษาในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่า ว่าที่เมืองหนังสือโลกปี พ.ศ. 2556 อย่างประเทศไทย ย่อมสนใจหนังสือดีเล่มนี้เช่นกัน
    สุทธิชัย หยุ่น บรรณาธิการอำนวยการเครือเนชั่น คือ คนหนึ่งซึ่งหลงใหลมนต์เสน่ห์แห่งชีวประวัติของ สตีฟ จ็อบส์ ที่ร่ายโดย วอลเตอร์ ไอแซคสัน ถึงกับตั้งปณิธานไว้เลยว่าจะต้องนำหนังสือเล่มนี้มาตีพิมพ์เป็นภาษาไทยให้จงได้ โดยรีบติดต่อเอเยนซีเพื่อซื้อลิขสิทธิ์ และความพยายามก็เป็นผล สำนักพิมพ์เนชั่นบุ๊คส์จึงได้รับลิขสิทธิ์แปลและตีพิมพ์หนังสือ Steve Jobs ฉบับภาษาไทย
    และ สุทธิชัย หยุ่น ก็ขันอาสามานั่งแท่นบรรณาธิการด้วยตัวเอง เพราะมองว่านี่เป็นหนังสือเล่มสำคัญของโลกที่กล่าวถึงบุคคลสำคัญคนหนึ่งของโลก ซึ่งต่างจากหนังสือที่กล่าวถึง สตีฟ จ็อบส์ เล่มอื่นๆ ที่ผุดอยู่บนแผงหนังสือมากมาย โดยสุทธิชัย ยืนยันว่าไม่มีหนังสือเล่มใดเล่าถึงชีวประวัติของสตีฟ จ็อบส์ได้ลุ่มลึก รอบด้าน เท่ากับที่ไอแซคสันเขียน
    ยิ่งได้คณะแปลฝีมือดี นำโดย ณงลักษณ์ จารุวัฒน์ นักแปลชั้นเซียนที่สนอกสนใจประวัติของจ็อบส์อยู่เป็นทุนเดิมด้วยแล้ว หนังสือ สตีฟ จ็อบส์ โดย วอลเตอร์ ไอแซคสัน จึงเสร็จสมบูรณ์โดยไม่ยากเย็นนัก
    ณงลักษณ์ เล่าว่าเธอสนใจประวัติของจ็อบส์มาก แต่เขาให้สัมภาษณ์ตามสื่อทั่วไปน้อย รายละเอียดส่วนตัวที่เธอรู้ล้วนมาจากการบอกเล่าปากต่อปาก ทั้งนี้ ผู้บริโภคส่วนมากก็รู้จักแต่ผลิตภัณฑ์ของจ็อบส์เสียมากกว่า เมื่อณงลักษณ์ได้รับต้นฉบับประมาณกลางเดือนกันยายน 2554 ซึ่งจ็อบส์ยังไม่ตาย เธอก็ค่อยๆ แปล เพราะคิดว่ายังไม่มีเหตุให้หนังสือเล่มนี้ต้องเร่งตีพิมพ์จำหน่าย ทว่ามาถึงปลายเดือนตุลาคม 2554 สตีฟ จ็อบส์ ด่วนจากไป ทำเอาเธอตั้งตัวไม่ติด มึนงง และงานที่เธอกำลังแปลก็ถูกดึงกลับไปเพื่อแก้ไขด้วย แม้ต้นฉบับบางส่วนจะยังไม่ได้รับคืนมา แต่กำหนดตีพิมพ์ซึ่งเดิมทีไม่มีกำหนดชัดเจนก็ถูกกำหนดให้เร็วขึ้นทันที
    "พอจ็อบส์ตายก็ต้องรีบออก กำหนดการกระชั้นขึ้น" ณงลักษณ์กล่าว
    หลังจากนั้น ณงลักษณ์และคณะแปลรวม 5 คน ต่างเร่งรีบแปลต้นฉบับที่ยังอยู่ในมือให้เสร็จพลางลุ้นระทึกว่าต้นฉบับส่วนที่เหลือจะกลับมาถึงเมื่อไร แต่หลังจากนั้นไม่นาน ต้นฉบับที่พวกเขารอคอยก็มาถึง กำหนดการที่ สุทธิชัย ต้องการให้หนังสือเล่มนี้วางแผง คือ ภายในปี 2554 นี้ ซึ่งขณะนั้น เธอและคณะแปลเหลือเวลาเพียงเดือนเศษ ความกดดันเริ่มถาโถมเข้ามา
    ผ่านไป 1 เดือนเศษ ต้นฉบับแปล สตีฟ จ็อบส์ โดย วอลเตอร์ ไอแซคสัน วางอยู่บนโต๊ะของสุทธิชัย เขาแปลกใจมากที่เห็นต้นฉบับเสร็จภายในเวลาไม่นานแต่ก็อดดีใจไม่ได้ที่หนังสือเล่มนี้กำลังจะได้ตีพิมพ์สักที
    "ที่ผมมาเป็นบรรณาธิการเพราะกลัวมันจะไม่ทัน ผมเข้าใจนิสัยของศิลปินคือมักจะไม่ทันเวลา แต่คุณณงลักษณ์ก็แปลได้ภายในเดือนครึ่ง" สุทธิชัยกล่าว
    ด้านณงลักษณ์ เปิดเผยว่าที่แปลได้เร็วและดี ก็เพราะไอแซคสันเขียนมาดีมาก สนุก ไม่ต่างจากนิยาย
    "คนเขียน เขียนได้ดีมาก มีสีสัน ตัวละครเยอะ เหมือนอ่านนิยาย หลายอย่างในชีวิตของจ็อบส์ไม่มีใครได้เจอง่ายๆ ตั้งแต่เด็กถูกยกให้คนอื่นก็น่าสนใจแล้ว"
    นอกจากนี้ ยังมีหลายเรื่องที่หลายคนยังไม่รู้ และจะไม่มีวันรู้ถ้าไม่อ่านหนังสือเล่มนี้ อาทิเช่น นักธุรกิจผู้แข็งกร้าวอย่างจ็อบส์ฝักใฝ่แนวปฏิบัติแบบพุทธนิกายเซน
    ก่อนหน้านี้ สุทธิชัย เคยเขียนถึงจ็อบส์ไว้ในคอลัมน์กาแฟดำหัวเรื่อง 'สตีฟ จ็อบส์ เซน และความตาย' สุทธิชัย เห็นอะไรในตัวจ็อบส์ที่บ่งบอกถึงความเป็นเซน สุทธิชัย เล่าว่าจ็อบส์วัยหนุ่มหลงใหลเซนมาก เขาเรียนรู้และปฏิบัติตามแนวทางเซนโดยตลอด แต่อารมณ์อันแปรปรวน บุคลิกอันแข็งกระด้าง และอัตตาที่เต็มตัว ทำให้เขาไม่เคยเข้าถึงแก่นของเซนได้สักที แต่เขาก็ยังยึดถือแนวทางเซนมาดำเนินชีวิตโดยตลอด และเซนก็มีอิทธิพลต่อทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเขา รวมทั้งผลิตภัณฑ์ไฮเทคของเขาด้วย
    พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี ถึงกับเปรียบเปรยว่า "เซน คือ แอ๊ปเปิ้ล และ แอ๊ปเปิ้ล คือ เซน" เพราะกระแสแนวคิดต่างๆ ที่จ็อบส์นำมาใช้ล้วนมาจากเซน หากสังเกตให้ดีรูปลักษณ์ผลิตภัณฑ์ยี่ห้อแอ๊ปเปิ้ลค่อนข้างเรียบง่าย แต่แฝงด้วยประสิทธิภาพเหลือคณา ซึ่งก็ตรงกับหลักปรัชญาเซนที่มุ่งเน้นความเรียบง่ายแต่มีประโยชน์มากที่สุด
    ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าวว่า "เขาใช้เซนในหลายด้าน เช่น ในนวัตกรรม สินค้าของเขาเรียบง่ายแต่ดี เซนคือความเรียบง่ายแต่เปี่ยมประสิทธิภาพ"
    นอกจากความเรียบง่ายในชีวิตแล้ว การฝึกจิตนับเป็นสิ่งที่จ็อบส์ชื่นชอบมาก หากย้อนเหตุการณ์ไปเมื่อวัยเยาว์ เขาได้รับการเลี้ยงดูมาในกรอบของศาสนาคริสต์ พ่อแม่พาเขาไปโบสถ์คริสตจักรลูเทอแรนในวันอาทิตย์บ่อยๆ แล้วก็หยุดไปเมื่อจ็อบส์อายุ 13 ปี ครอบครัวเขารับนิตยสาร Life และในฉบับเดือนกรกฎาคม 1968 หน้าปกเป็นรูปเด็ก 2 คนในสาธารณรัฐบีอาฟรา (รัฐที่แยกตัวเป็นอิสระ อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของไนจีเรีย มีสถานะเป็นสาธารณรัฐเพียงชั่วคราวระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1967 ถึง 15 มกราคม ค.ศ. 1970 เท่านั้น) ดูแล้วน่าตกใจมาก จ็อบส์เอาปกนิตยสารเล่มนั้นไปโรงเรียนสอนศาสนาในวันอาทิตย์ ไปพบบาทหลวงแล้วถามว่า "ถ้าผมอยากทำอะไรสักอย่าง พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทราบไหม"
    บาทหลวงตอบว่า "รู้สิลูก พระผู้เป็นเจ้าท่านทรงรู้ทุกอย่าง"
    จ็อบส์หยิบปกนิตยสารฉบับนั้นขึ้นมาแล้วถามว่า "ถ้าอย่างนั้น พระองค์รู้เรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า เด็กสองคนนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป"
    บาทหลวงตอบ "สตีฟ พ่อรู้ว่าลูกไม่เข้าใจ แต่เชื่อเถิดว่าพระผู้เป็นเจ้าท่านทรงรู้เรื่องนี้"
    หลังจากนั้น จ็อบส์ประกาศว่าจะไม่บูชาพระผู้เป็นเจ้าแบบนี้อีกต่อไป
    และภายหลังเขาได้พยายามศึกษาและฝึกปฏิบัติตนตามหลักพระพุทธศาสนานิกายเซน แม้แต่ในห้องของจ็อบส์ยังมีเบาะนั่งสมาธิเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นสำคัญเพียงไม่กี่ชิ้นของเขา
    จ็อบส์ มักจะนั่งสมาธิอยู่เงียบๆ เพียงลำพังในห้อง ทว่าอีกด้านหนึ่ง ในวัยหนุ่มเขาก็ชอบนั่งสมาธิแต่เขาใช้พื้นที่เดียวกันนี้ เพื่อเสพยาเสพติดด้วย นั่นเป็นความย้อนแย้งที่แปลกประหลาด ซึ่งเราจะพบได้ในตัวของจ็อบส์
    จ็อบส์ เป็นคนที่มีหลายบุคลิก บางอย่างทำให้คนมากมายเกลียดชังเขา แต่ก็มีหลายอย่างที่ทำให้คนอีกมากรักเขาจนโงหัวไม่ขึ้น สุทธิชัย บอกไว้ในคำเปิดหน้าของหนังสือเล่มนี้ว่าจ็อบส์เป็นคนที่น่าทึ่ง, น่าประหลาด, น่าหมั่นไส้, น่าชื่นชม, น่าเคารพ และน่ากระทืบรวมอยู่ในคนเดียวกัน
    "...ถ้าพระเจ้าปั้นเขามาเป็นคนจริง คงจะเป็นวันที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านอารมณ์ปราดเปรื่อง, ฉุนเฉียว และหลุดสวรรค์พร้อมๆ กันจริงๆ สตีฟ จ็อบส์บอกว่าตัวเองยืนอยู่ตรงทางแยกระหว่าง 'ศิลป์สร้างสรรค์' กับ 'เทคโนโลยี' แต่ผมอ่านข้อเขียนที่สนุกและร้อยเรียงเนื้อหาได้อย่างราบรื่นยิ่งของวอลเตอร์ ไอแซคสันแล้ว ต้องบอกว่าความจริงเขายืนอยู่ตรงกลางห้าแยกที่ป้ายบอกทางชี้ไปที่ความบ้าระห่ำ, อัจฉริยะ, ความเด็ดขาด, ความอ่อนไหว และความเป็นคนธรรมดาๆ อย่างหาคำอธิบายได้ยากยิ่ง..."

    ท่าน ว.วชิรเมธี อธิบายถึงตัวตนของจ็อบส์ว่าเหตุที่ทำให้จ็อบส์มีนิสัยก้าวร้าวก็เพราะเขาเป็นพวก Perfectionist
    "เขาแสวงหาความสมบูรณ์แบบ เขาทนเห็นความโง่ของคนอื่นไม่ได้ จึงแสดงออกมาอย่างก้าวร้าว"
    นอกจากนี้ ท่าน ว.วชิรเมธี ยังบอกอีกว่าอาจเป็นเรื่องยากหากจะเข้าใจคนแบบจ็อบส์ แต่ถ้าต้องการจะเข้าใจจ็อบส์ ต้องอ่านเซน และศึกษาบุคคลต้นแบบ (Idol) ของเขา ซึ่งเมื่อย้อนไปดูคนที่จ็อบส์ชื่นชม ชื่นชอบ เป็นบุคคลสำคัญของโลกที่มีแนวทางชีวิตย้อนศรกับสังคมทั้งสิ้น อาทิเช่น มหาตมะคานธี, บ็อบ ดีแลน เป็นต้น
    แต่เหนือสิ่งอื่นใด สาเหตุประการสำคัญที่ทำให้จ็อบส์มีนิสัยสวนกระแสเช่นนี้ เชื่อกันว่ามาจากความคิดเชิงลบที่ถูกปลูกฝังตอนเป็นเด็ก เขาถูกยกให้เป็นบุตรบุญธรรมแก่คนอื่น มีหลายครั้งที่เขาพยายามแสดงออกเพื่อเอาชนะคะคาน โดยหวังว่าจะชดเชยความอ่อนด้อยที่ฝังรากลึกในใจของเขา
    ในทางกลับกัน นิสัยที่ใครๆ ก็มองว่าแย่ กลับสร้างแรงผลักดันแก่เขา ซึ่งน่าจะมากกว่าที่คนธรรมดามีอยู่ กระทั่งเขากล้าคิดสิ่งที่ไม่มีใครกล้าคิด กล้าทำในสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตคนทั้งโลก ดังเช่นที่เราเห็นกันอยู่ในทุกวันนี้
    อย่างไรก็ตาม จ็อบส์ก็ไม่ได้คิดว่าสิ่งที่เลวร้ายในตัวเขาจะต้องตายไปพร้อมกับร่างกายอย่างปริศนา เขายินดีให้ไอแซคสันร้อยเรียงเรื่องราวอันจะเป็นอุทาหรณ์แก่คนอื่นได้เต็มที่ และด้วยเหตุนี้ ทำให้ ท่าน ว.วชิรเมธี ถึงกับชื่นชมจ็อบส์สุดตัวว่า ชอบทุกด้านของสตีฟ จ็อบส์
    "...อาตมาชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นคนคนนี้ หากดึงอะไรสักอย่างในตัวเขาออกไปก็จะไม่ใช่สตีฟ จ็อบส์ เขาเป็นคนเชื่อมั่นในตนเอง และกล้าใช้ชีวิต อาตมาชอบที่เขายอมให้พูดถึงทุกด้าน บางทีอาตมาไปสวดศพก็ยังลำบากใจที่ต้องเทศน์คุณงามความดีในคนที่ไม่มีความดีให้กล่าวถึง..."
    อีกช่วงตอนหนึ่งในคำเปิดหน้าโดย สุทธิชัย หยุ่น บอกว่า "หากคุณต้องการแสวงหาคำตอบ อ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยใจเปิดกว้าง, คิดตาม, คิดแย้ง, วิพากษ์และวิเคราะห์บุคลิกอันน่าตื่นตาตื่นใจของผู้ชาย 'ระห่ำ' คนนี้ บางทีคุณจะไม่ถามว่าผมเพี้ยนไปหรือไม่ที่ชวนคนไทยทุกคนที่ต้องการมองโลกจากแง่มุมอีกด้านหนึ่งให้หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ"
    แล้วคุณจะรู้ว่า 'สตีฟ จ็อบส์' ยังไม่ตายไปจากความทรงจำของโลก

    ʵտ
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ^_^" :cool:

    ขนาดตกงานทั้งบ้านยังยิ้มออก เยี่ยมยุทธ มากๆ เลยค่ะ

    ขอให้คุณและครอบครัวผ่านพ้นอุปสรรคที่มาบั่นทอนความสุขไปได้ทุกกรณีเลยนะคะ

    เอาใจช่วยคนสู้ชีวิตค่ะ ขอให้มีโอกาสดีผ่านเข้าไปสู่ชีวิตของทุกคนและทุกครอบครัว
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    กฎ-กติกา-มารยาท..เมื่อเสนอข่าวปาเลสไตน์
    Posted by shaffi
    ไปอ่านเจอนักข่าวตะวันตกคนหนึ่ง แกคงรำคาญจนทนไม่ไหว หรืออาจเพราะโดนทหารอิสราเอลเหยียบเท้ามาก็ไม่รู้ได้ คนเขียนแกชื่อว่า Robin Miller เขียนไว้ตั้งแต่ 06 June 2002 ในคอลัมน์ถาม-ตอบ ในเว็บไซต์ Yahoo Answers เลยเอามาให้อ่านกัน จะเห็นว่านาย Miller แกขี้ประชดไม่เบา..




    กฎและกติกาพื้นฐานการทำข่าวอิสราเอล-ปาเลสไตน์

    กฏข้อที่ 1 :

    จงมองตะวันออกกลางด้วยสายตาอิสราเอลเสมอ

    กฎข้อที่ 2 :

    ปฎิบัติต่อคำพูดของรัฐบาลอิสราเอลและสหรัฐในฐานะที่เป็นข่าวสำคัญ

    กฎข้อที่ 3 :

    อย่าสนใจความเป็นมาหรือประเด็นทางประวัติศาสตร์

    กฎข้อที่ 4 :

    เมื่อต้องการนำเสนอข่าวการยึดครองของอิสราเอล จำไว้ว่าต้องหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงประเด็นพื้นฐานทางกฎหมายและศีลธรรม

    กฎข้อที่ 5 :

    จงยับยั้งหรือทำให้ด้อยค่า ถ้าเป็นข่าวที่ทำให้ชาวอิสราเอลไม่ชอบใจ

    กฎข้อที่ 6 :

    จงตอกไข่ใส่สีเติมน้ำเติมโคลนเมื่อจำเป็นเข้าไว้

    กฎข้อที่ 7 :

    จงให้เครดิตกับข้ออ้างของอิสราเอล แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่าแค่ไหนก็ตาม

    กฎข้อที่ 8 :

    จงแกล้งโง่เรื่องปาเลสไตน์ทุกเรื่อง แม้ว่าไปเห็นมาด้วยตาตัวเองก็ตาม

    กฎข้อที่ 9 :

    จงประณามความรุนแรงเฉพาะปาเลสไตน์

    กฎข้อที่ 10 :

    จงดูถูกเหยียดหยามทุกๆความคิดเห็นที่่สนับสนุนปาเลสไตน์




    กฎและกติการะดับมืออาชีพที่ต้องยึดถือเมื่อต้องทำข่าวในตะวันออกกลาง

    กฎข้อที่ 1 :

    ในข่าวตะวันออกกลาง อาหรับเป็นฝ่ายโจมตีก่อนเสมอ และเช่นกันสิ่งที่อิสราเอลตอบโต้ นั้นเป็นการปกป้องตัวเอง สิ่งนี้เรียกว่า “การล้างแค้น”

    กฎข้อที่ 2 :

    อาหรับ, ไม่ว่าจะเป็นปาเลสไตน์ หรือเลบานอน ไม่ได้รับอนุญาตให้ฆ่าชาวยิว สิ่งนี้เรียกว่า “ก่อการร้าย”

    กฎข้อที่ 3 :

    อิสราเอลมีสิทธิ์ที่จะฆ่าพลเรือนชาวอาหรับ สิ่งนี้เรียกว่า “การป้องกันตนเอง”

    กฎข้อที่ 4 :

    เมื่ออิสราเอลสังหารพลเรือนเป็นจำนวนมาก โลกตะวันตกเรียกร้องให้ยับยั้ง สิ่งนี้มันก็แค่สิ่งที่เรียกว่า “ปฎิกริยาจากนานาชาติ” (ไม่ควรสนใจ)

    กฎข้อที่ 5 :

    ปาเลสไตน์ และเลบานอนไม่มีสิทธิ์จับตัวทหารอิสราเอล แม่แต่คนเดียว

    กฎข้อที่ 6 :

    อิสราเอลมีสิทธิ์จับตัวชาวปาเลสไตน์มากเท่าไหร่ก็ได้เท่าที่พอใจ (ในคุกอิสราเอลมีชาวปาเลสไตน์ประมาณ 10,000 คน ในจำนวนนี้ 300 คนเป็นเด็ก, ชาวเลบานอนอยู่ในคุกอิสราเอล 1,000 คน ถูกจับโดยไม่มีการตั้งข้อกล่าวหา) จำนวนนี้ไม่มีขีดจำกัด ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องมีกระบวนการพิสูจน์ว่ามีความผิดจริงหรือไม่ อาหรับทุกคนที่ถูกจับล้วนมาจากคำๆเดียว คำนั้นก็คือ “ผู้ก่อการร้าย”

    กฎข้อที่ 7 :

    เมื่อคุณพูดว่า “ฮิชบลลอฮ์” ให้เติมประโยคบังคับตามหลังคำนี้เสมอ ประโยคนั้นคือ “ที่สนับสนุนโดยอิหร่านและซีเรีย”

    กฎข้อที่ 8 :

    เมื่อกล่าวถึงอิสราเอล ห้ามเด็ดขาดที่จะกล่าวว่า “ที่สนับสนุนโดยสหรัฐ อังกฤษ และประเทศยุโรปอื่นๆ”

    กฎข้อที่ 9 :

    เมื่อมาถึงอิสราเอล อย่าเอ่ยคำต่อไปนี้ นั่นคือคำว่า “เขตยึดครอง” “มติสหประชาชาติ” “สนธิสัญญาเจนีวา” เพราะมันทำให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกเศร้าใจ

    กฎข้อที่ 10 :

    อิสราเอลพูดภาษาอังกฤษดีกว่าพวกอาหรับ นี่คือเหตุผลว่าทำไม เราถึงเปิดโอกาสให้พวกอิสราเอลพูดมากเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่พวกอิสราเอลจะได้อธิบาย กฎข้อที่ 1 ถึง 9 ได้เป็นอย่างดี สิ่งนี้เรียกว่า “สื่อที่มีความเป็นกลาง”

    กฎข้อที่ 11 :

    ถ้าคุณไม่เห็นด้วยกับกฎทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว หรือถ้าคุณเข้าข้างอาหรับมากกว่าอิสราเอล คุณจะกลายเป็นตัวอันตราย เป็นพวกแอนดี้เซมิไท (ลัทธิต่อต้านยิว) ซึ่งคุณอาจจะต้องแสดงการขอโทษทางสื่อสาธารณะ หากคุณเผลอแสดงทัศนะที่สัตย์ซื่อตรงไปตรงมาออกมา

     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เด็กปาเลสไตน์..ความพ่ายแพ้ในอนาคต

    Shaffi : เขียน (26 มกราคม 2009)

    ยูนิเซฟ รายงานสถานการณ์เด็กในปาเลสไตน์เมื่อสิ้นปี 2007 ว่า

    “ชีวิตของเด็กๆจำนวนมากในปาเลสไตน์กำลังตกอยู่ท่ามกลางความรุนแรง ประมาณปลายปี 2006 เด็กๆจำนวนมากกว่า 260 คนถูกสังหารเสียชีวิต มากกว่าจำนวนเด็กที่เสียชีวิตในปี 2005 ถึงสองเท่า และบาดเจ็บอีกเป้นจำนวนมาก”

    รายงานสถานการณ์เด็ก ประจำปี 2008 ของยูนิเซฟ ยังไม่มีการเสนอต่อสาธารณะ แต่เชื่อได้เลยว่ารายงานนั้นบัดนี้ยังไม่อาจสรุปตัวเลขผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บที่เป็นเด็กได้ทั้งหมด เนื่องจากอิสราเอลยังไม่หยุดยั้งการสังหารโหดในฉนวนกาซ่า ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2008 จนถึงขณะนี้ และเชื่อว่าตัวเลขเด็กที่เสียชีวิตในฉนวนกาซ่า จะต้องเพิ่มขึ้นจากสถิติในปี 2007 อีกหลายเท่าตัว ...

    “เด็กมีสิทธิ์ที่จะได้รับการปกป้องจากการกระทำอันตรายรุนแรง ทั้งทางร่างกายและจิตใจ รัฐบาลจะต้องดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่าเด็กๆจะได้รับการดูแลและปกป้องให้พ้นจากการคุกคาม ความรุนแรง ทั้งจากครอบครัวและผู้อื่นที่มีหน้าที่ดูแลเด็ก”

    จาก กฎบัตรแห่งสหประชาชาติ มาตรา 19 ว่าด้วยสิทธิ์ของเด็ก

    ข้อเท็จจริง..สถานการณ์เด็กในปาเลสไตน์

    ในเขตยึดครองของอิสราเอล ร้อยละ 60 มีอายุน้อยกว่า 19 ปี 1 ใน 3 ของเด็กชายอายุระหว่าง 15-19 ปี ต้องกลายเป็นแรงงานไร้ฝีมือ, ปัญหาคนหนุ่มสาวไม่มีงานทำเป็นปัญหาใหญ่ ชายอายุ 15-19 ปี ร้อยละ 20 ไม่สามารถหางานทำได้ เยาวชนหญิงปาเลสไตน์ ร้อยละ 20 แต่งงานขณะที่มีอายุ 15-19 ปี เกินกว่า 1 ใน 10 หย่าร้างในเวลาต่อมา, จากข้อมูลของยูนิเซฟ อ้างว่า “สภาวะเด็กในปาเลสไตน์เลวร้ายลง เด็กปาเลสไตน์ประมาณ 1 ใน 10 ได้รับความทุกข์ทรมานจากปัญหาสุขภาพ ขาดอาหาร เด็กปาเลสไตน์ราวๆร้อยละ 50 เป็นโรคโลหิตจาง และร้อยละ 75 อายุน้อยกว่า 5 ปี ได้รับความทุกข์ทรมานจากอาการขาดวิตามิน A

    ยูนิเซฟอ้างรายงานว่า การปิดกั้นถนน การตั้งด่านตรวจ การสร้างเครื่องกีดขวาง และการตรวจตราของทหารอิสราเอล เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ และเป็นอุปสรรคต่อการลำเลียงผู้ป่วย รวมทั้งเด็กที่มีอาการป่วย บนเส้นทางระหว่างสำนักงานทางการแพทย์กับเขตยึดครองของอิสราเอล นอกจากนี้ยังเป็นปัญหาทำให้เป็นอุปสรรคต่อการลำเลียงเวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์อีกด้วย

    วันที่ 8 มษายน 2007 คอลิด ดาอุด ฟากีฮ์ ทารกอายุ 6 เดือน ต้องเสียชีวิตลง ณ จุดตรวจผ่านแดน ระหว่างหมู่บ้าน คัฟรออัยน์ กับเมืองรอมัลลอฮ์ ขณะที่พ่อแม่พยายามจะนำตัวคอลิดส่งโรงพยาบาลในเมืองรอมัลลอฮ์ แต่ทหารอิสราเอลที่จุดตรวจไม่ยอมให้พวกเขาผ่านไป ขณะที่ชาวปาเลสไตน์ยากจนเพิ่มขึ้น เด็กๆต้องออกจากโรงเรียน ยูนิเซฟรายงานว่า ในปี 2005/2006 พ่อแม่ที่ไม่มีเงินเสียค่าเทอมให้ลูกเรียน แม้ว่าค่าเรียนเพียงคนละ 11 เหรียญ (385 บาท) ก็ตาม และจำนวนเด็กที่ต้องออกจากโรงเรียนเพิ่มจาก 29,000 คนเป็น 56,000 คนในเวลาเพียง 2 ปี

    ในเขตเวสต์แบ็ง ครอบครัวชาวปาเลสไตน์ร้อยละ 67 ต้องประสบความยากจน และร้อยละ 85 ของครัวเรือนชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่า สภาวะความยากจนที่แผ่ขยายขึ้นย่อมส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของเด็ก โดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้

    ประชากรชาวปาเลสไตน์ กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดมีอายุต่ำกว่า 18 ปี ในฉนวนกาซ่าประชากรเด็กมีอายุเฉลี่ย 15 ปี เด็กกลุ่มนี้ไม่รู้จักอะไรเลยนอกจาก การยึดครองของอิสราเอลกับสงคราม พวกเขาถูกตั้งชื่อและเรียกอย่างน่าเวทนาว่าพวกเขาเป็นคนรุ่น “Lost Generation” หรือ “คนรุ่นที่ไม่เหลืออะไรเลย” ที่เรียกกันเช่นนี้ก็เพราะว่าพวกเขาถูกแย่งชิงทุกอย่างไปจากพวกเขา จนไม่สามารถดำรงชีวิตอย่างปกติธรรมดาได้เลย

    ในโลกแห่งความเป็นจริง โลกที่ผู้ใหญ่มีชีวิตในแต่ละวันท่ามกลางความรุนแรงก้าวร้าว อารมณ์และสิ่งที่ปรากฎออกมาของเด็กๆรุ่นนี้จึงหล่อหลอมมาจากความโกรธเกรี้ยว ความสูญเสีย และบาดแผลในจิตใจที่ชอกช้ำ เด็กๆชาวปาเลสไตน์ทุกคนสามารถเล่าให้คุณฟังเกี่ยวกับเรื่องของพวกเขาในสภาพการถูกยึดครอง และเล่าถึงความน่าสะพรึงกลัวที่ปรากฎขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขาตั้งแต่อายุยังน้อยๆได้ พวกเขาเห็นความตายตรงหน้า เห็นคนได้รับบาดเจ็บทุกวี่ทุกวัน เด็กๆได้รับความเจ็บปวดจากผลกระทบทางด้านจิตวิทยา และอารมณ์ และปัญหาสังคม ซึ่งรายล้อมอยู่รอบๆตัวพวกเขา

    เด็กรุ่น “สูญเสีย” หรือ Lost Generation จำนวนมากไม่เคยเห็นภาพทหารอิสราเอลที่ปราศจากอาวุธ ในสายตาเด็กๆปาเลสไตน์ ทหารอิสราเอลยามที่จุดตรวจเป็นตัวแทนชาวอิสราเอลทั้งหมด เด็กๆไม่ได้รู้อะไรนอกจาก ความเกลียด และความหวาดกลัว และเมื่อพวกเขาเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ก็รู้จักเพียงคำว่า “ถูกยึดครอง” และไม่เคยรู้จักสิ่งที่เรียกว่าสันติภาพ นี่ย่อมพอกพูนความโกรธและบาดแผลในใจ สำหรับพวกเขา พวกเขาไม่เคยเชื่อเรื่องสันติภาพ

    เด็กปาเลสไตน์กับการศึกษา

    ห้องเรียนที่แน่นเอียดไปด้วยจำนวนเด็กๆ ชั่วโมงเรียนถูกตัดลงเท่าๆกับงบประมาณที่ถูกลดลง อันเป้นผลมาจากอิสราเอลและนานาชาติ รวมทั้งสหรัฐที่ใช้อิทธิพลออกรัฐบัญญัติกดดันให้นานาชาติยุติความช่วยเหลือปาเลสไตน์ ในช่วงปี 2006 เพื่อกดดันรัฐบาลฮามาส รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่อิสราเอลล๊อบบี้ให้สภาคองเกรสของสหรัฐออกกฎหมายประกาศให้ฮามาสเป็นกลุ่มติดอาวุธนอกกฎหมาย

    การยึดครอง ยิ่งทำให้การจัดการการศึกษาแก่เด็กๆทำได้ ด้วยความยากลำบาก มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับ เด็กนักเรียนปาเลสไตน์ที่ถูกรบกวนและรังควานโดยทหารอิสราเอล หรือไม่ก็พวกยิวในนิคมชาวยิว ระหว่างทางไปโรงเรียน หรือไม่ก็อาคารเรียนที่อิสราเอลมักทำลายในระหว่างการลาดตระเวณหรือการอ้างว่าเพื่อจับกุมกลุ่มต่อต้าน

    ในท่ามกลางการยึดครองและอุปสรรค แต่เด็กๆชาวปาเลสไตน์ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการศึกาาด้วยตัวเลขที่ ยูเนสโกแสดงให้เห็นวนรายงานประจำปี 2006 ที่แสดงให้เห็นว่าเด็กชาวปาเลสไตน์ที่มีอายุระหว่า 15-24 ปี มีอัตราการรู้หนังสือสูงถึงร้อยละ 99 ขณะที่เด็กๆมีโอกาสเข้าเรียนในระดับประถมศึกษาถึงร้อยละ 89

    เด็กในท่ามกลางความขัดแย้ง

    ปัญหาที่เด็กๆปาเลสไตน์ต้องเผชิญอยู่ตลอดเวลา คือการสู้รบและโจมตีทำลาย ส่วนมากที่เด็กๆต้องตกอยู่ท่ามกลางการโจมตีนั้น ตามรายงานขององค์กรเพื่อการคุ้งครองเด็กนานาชาติ หรือ Defense of Children International (DCI) รายงานจากการลงสำรวจพื้นที่ที่มีเด็กเสียชีวิตหรือบาดเจ็บ พบว่า เด็กๆจำนวน 974 คน ที่มีอายุ 7 ขวบ ถูกสังหารในระหว่าง อินฏิฟาเฎาะฮ์ หรือ “การลุกฮือ ครั้งที่ 2” ความตายเกิดจากการโจมตีทางอากาศสู่พื้นที่เป้าหมายพลเรือน ส่วนการตายรองลงมาเกิดจากสาเหตุที่ทหารอิสราเอลกราดยิงโดยไม่เลือกเป้าหมาย

    เด็กๆถูกกุมขังในเรือนจำอิสราเอล

    ตรงข้ามกับกฎเกณฑ์และข้อห้ามปฏิบัติทั้งหมดที่ปรากฎในมาตรฐานการปฏิบัติระหว่างชาติ และกฎบัตรสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของเด็ก ซึ่งอิสราเอลก็ลงนามยอมรับกฎหมายเหล่านั้นในฐานะที่เป็นรัฐ แต่ยังพบว่าเด็กๆปาเลสไตน์อายุต่ำกว่า 16 ปี ถูกทหารอิสราเอลจับกุมตัว และปฏิบัติเช่นเดียวกับนักโทศที่เป็นผู้ใหญ่ บ่อยครั้งที่อิสราเอลพยายามซิกแซ็กหลบเลี่ยงข้อกล่าวหาตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยลงโทษเด็กที่มีอายุเพียง 12 ปี แม้ว่ากฎบัตรสหประชาชาติห้ามมิให้มีการลงโทษเด็ก แต่อิสราเอลอ้างว่า เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายของอิสราเอล

    กฎบัตรสหประชาชาติกำหนดว่าเด็กที่มีอายุระหว่าง 12-14 ปี อาจถูกลงโทษได้แต่ต้องไม่เกิน 6 เดือน เด็กปาเลสไตน์พออายุเกิน 14 ปี ก็เริ่มทำตัวเป็นผู้ใหญ่ เมื่อไม่มีศาลเด็ก เด็กๆพวกนี้จึงต้องไปขึ้นศาลเดียวกับศาลสำหรับผู้ใหญ่ โดยการปฏิบัติต่อเด็กอย่างผิดกฎหมายของอิสราเอลเช่นนี้ พบว่าย้อนหลังไป 8 ปี คาดกันว่ามีเด็กๆปาเลสไตน์ถูกอิสราเอลจับกุมตัวไปแล้วทั้งหมด เป็นจำนวนสูงถึง 6,700 คน ทั้งหมดถูกจำคุกและได้รับการปฏิบัติเหมือนผู้ใหญ่

    สุขภาพจิตของเด็กปาเลสไตน์

    ตราบใดที่การยึดครองของอิสราเอลยังคงอยู่ สถานการณ์การละเมิดทางมนุษยธรรมก็จะยังคงดำเนินอยู่ต่อไปไม่จบสิ้น บาดแผลในใจก็จะไม่มีวันเหือดหายไป โดยเฉพาะกับเด็กๆซึ่งความเข้าใจ และไม่มีทักษะในการจัดการจิตใจตัวเองเหมือนผู้ใหญ่ พวกเขากำลังจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่เจ็บป่วยทางใจ ที่อาจไปแสดงออกผ่านภรรยา และลูกๆ

    นายแพทย์อียาด อัล-ซาร์รอจญ์ กล่าวว่า “ผลกระทบทางจิตวิทยาอันมาจากความรุนแรง ที่ส่งผลต่อเด็ก คืออันตรายที่ก่อให้เกิดเป็นบาดแผลแห่งความเจ็บปวด ขณะที่เด็กๆที่ได้รับบาดเจ็บทางกาย ก็จะกลายเป็นผู้สูญเสียความสามารถทางกาย เด็กจำนวนมากกลายเป็นผู้ป่วยทางจิตที่มีอาการหวาดกลัว และมีผลเชิงพฤติกรรม เช่น กลายเป็นเด็กดื้อรั้น ขี้โมโห จากการวิจัยพบว่าเด็กๆในกาซ่า 32.7 % มีอาการป่วยทางจิตระดับรุนแรงมาก, 49% อาการป่วยรุนแรงระดับกลาง และ 16% อาการอยู่ในระดับต่ำ




    ใครๆก็บอกว่าเด็กคืออนาคตของชาติ.. วิธีทำลายอนาคตของชาติอื่นให้ได้ผลดีที่สุด ก็คือทำลายอนาคตของชนชาตินั้น เสียตั้งแต่วันนี้ เพื่อเป็นหลักประกันในอนาคตให้เด็กๆอิสราเอลทุกคนสบายใจได้ว่า พวกเขาจะยังชนะ ในอนาคต เพราะพวกเขาจะต่อสู้กับเด็กอ่อนแอของปาเลสไตน์ในวันนี้ ..

     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นักการเมืองอเมริกัน..ว่างกันนักใช่ไหม ?

    Shaffi -: เขียน

    (26 มกราคม 2009)

    หลับตานึกถึงประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก เรานึกถึงภาพของศูนย์กลางแห่งอำนาจโลก ในความคิดเราปรากฎภาพ ทำเนียบขาว ตึกเพนตากอน อาคารรัฐสภา อันงามสง่าบนแคปิตอลฮิลล์ผุดขึ้นมาในความคิดคำนึง เราจินตนาการว่า คนที่อยู่ข้างในอาคารเหล่านี้ กำลังขมักเขม้นวุ่นวายและง่วนอยู่กับการบริหารกิจการของโลกนานานับประการ จนแทบไม่มีเวลาว่าง คนอเมริกันเองก็คงคิดถึงผู้แทนในฝัน ของพวกเขาที่กำลังตั้งหน้าตั้งตารักษาผลประโยชน์ให้พวกเขาตามสัญญา พวกนั้นทั้งรีพับรีกัน และเดโมแครต ต่างก็กำลังครุ่นคิดอย่างละเอียดรอบคอบ เพื่อใช้ภาษีทุกๆเพนนีของพวกเขาไปเพื่ออเมริกา เหมือนอย่างตอนที่พวกเขา โก่งคอหาเสียงบอกกับอเมริกาว่าพวกเขารัก และภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของอเมริกามากแค่ไหน




    ...แต่เชื่อหรือไม่..มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดหรอก คนอเมริกันจะรู้หรือไม่ว่า พวกเขาเลือกนักการเมืองพวกนี้เข้าไปเพื่ออะไร เพื่อพวกเขา เพื่ออเมริกา หรือเพื่อใคร ผมจะชวนให้เราลองย้อนกลับไป ดูบันทึกการประชุมของสภาคองเกรส กันหน่อยว่า..วันๆหนึ่งพวกนักการเมืองขี้เบ่งพวกนี้ ทำอะไรเพื่ออเมริกาบ้าง ...

    เบื้องหลัง :

    ปี 2005 เป็นปีที่แผนสันติภาพ Road Map ของบุช มีผลบังคับให้อิสราเอลต้องถอนทหารและนิคมชาวยิวออกจากฉนวนกาซ่า นายกรัฐมนตรีอิสราเอลเอเรียล ชารอน กำลังเตรียมการเลือกตั้งครั้งหม่ หลังจากรัฐบาลผสมของชารอนล่มสลายลง ชารอนตั้งพรรคใหม่ชื่อ พรรคคาดีมา และได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาตั้งรัฐบาลผสมขวาจัดร่วมกับพรรคลิคุด ตามแผนการ Road Map ปาเลสไตน์จะรับฉนวนกาซ่าคืนจากอิสราเอล และจัดการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมกราคม 2006 ผู้นำฮามาสตัดสินใจเข้าสู่การเลือกตั้ง

    พรรคฟาตาห์ ของประธานาธิบดีอับบาส ไม่สบายใจ เนื่องจากฮามาสทำงานรับใช้ประชาชนในฉนวนกาซ่ามายาวนาน พรรคฟาตาห์ PLO ไม่มีอิทธิพลในกาซ่าซึ่งมีประชากรมากถึง 2.5 ล้านคนซึ่งหากรวมกับความนิยมฮามาสในเวสต์แบ็งค์ ที่ถือว่าฮามาสเป็นวีรบุรุษนักรบผู้ไม่เคยยอมแพ้ยิว ฮามาสอาจชนะการเลือกตั้ง ขณะที่พรรคฟาตาห์ซึ่งเต็มไปด้วยข้อครหาว่าคอรับชั่นเงินช่วยเหลือจากนานาชาติ และแก่งแย่งอำนาจกันเอง มีปัญหาอำนาจภายในพรรคมาตั้งแต่ยัสเซอร์ อารอฟัต เสียชีวิต ....

    อิสราเอล พยายามอย่างหนักที่จะครองความได้เปรียบ และต้องการกีดกัน ฮามาสให้หลุดจากวงจรการเลือกตั้ง สหรัฐเองทำอะไรไม่ถนัดมือ เนื่องจากเป็นคนไปเจ้ากี้เจ้าการ ให้ปาเลสไตน์เป็นประชาธิปไตย หากฮามาสได้เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง สหรัฐจะเสียหน้า เพราะไปตราหน้าฮามาสว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย แต่จะปฏิเสธก็เท่ากับปฏิเสธประชาธิปไตย .... องค์กรล๊อบบี้ของยิวในวงการเมืองสหรัฐ หรือ AIPAC จึงต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อวัตถุประสงค์หลัก คือ

    กีดกันฮามาส ไม่ให้เข้ามาสู่การเลือกตั้ง

    ถ้ากันไม่ได้ หากฮามาสชนะ สหรัฐต้องไม่ยอมรับสถานภาพรัฐบาลปาเลสไตน์ ของฮามาส แม้ว่าจะมาจากการเลือกตั้งก็ตาม และหากฮามาสดึงดัน ให้ตัดความช่วยเหลือ และกดดันให้สหภาพยุโรป และนานาชาติยุติการช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์ทันที

    กดดันอับบาส ให้ขัดขวางฮามาส (ด้วยการโกงการเลือกตั้งทุกวิถีทาง) และให้เงินอับบาส เพื่อรณรงค์การเลือกตั้ง

    วัตถุประสงค์ทั้งหมดนี้ ดำเนินการผ่านนักการเมืองอเมริกันทั้งสองพรรค ทั้งที่เป็นยิว และไม่ใช่ยิว เพื่อบรรลุเป้าหมายของอิสราเอล หลังการเลือตั้งฮามาสก็ชนะจริงๆ และจัดตั้งรัฐบาล โดยเปลี่ยนรอมัลลอฮ์ เมืองศูนย์กลางบริหารปาเลสไตน์เดิม มาเป็นกาซ่าซิตี้ อิสราเอลและสหรัฐปฏิเสธ รัฐบาสฮามาส (โดยอ้างกฎหมายทั้งหลายที่คองเกรสมีมติ ที่ท่านจะได้อ่านต่อไป) สหรัฐตัดความช่วยเหลือทางการเงิน และบังคับให้นานาชาติยุติความช่วยเหลือ แม้แต่ประเทศอาหรับก็ต้องยุติความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมต่อปาเลสไตน์ เดือนมิถุนายน อับบาสก็ประกาศยุบรัฐบาลฮามาส ฮามาสไม่ยอมรับ และประกาศว่าฮามาสยังเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป พรรคฟาตาห์ ร่วมมือกับอิสราเอลโจมตีฮามาส และเกิดการประกาศหยุดยิง ในช่วงต้นปี 2007 อิสราเอลปิดล้อมกาซ่าทั้งทางบก ทางอากาศ และทางน้ำ อิสราเอลตัดกระแสไฟฟ้า ชาวกาซ่าต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก และขาดแคลนทั้งอาหาร และเวชภัณฑ์ จนกระทั่งข้อตกลงหยุดยิงสิ้นสุดลงในเดือน พฤศจิกายน 2008 ฮามาส ต้องการให้อิสราเอลยุติการปิดล้อมทางเศรษฐกิจเสียก่อนจึงจะยอมเจรจาต่ออายุข้อตกลงหยุดยิง แต่อิสราเอลอิดเอื้อน เนื่องจากกำลังวางแผนการโจมตีครั้งใหญ่เพื่อถอนรากถอนโคนฮามาส และนำไปสู่การโจมตีอย่างเหี้ยมโหดและผิดกฎหมายต่อประชาชนชาวปาเลสไตน์เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2008 .... เหตุการณ์ที่ล็อบบี้ยิสต์ยิว ล๊อบบี้นักการเมืองอเมริกัน ที่จะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่นำไปสู่ สงครามล้างผลาญชาวปาเลสไตน์ ที่นักการเมืองอเมริกันทุกคนต้องรับผิดชอบ..ไม่น้อยไปกว่าอิสราเอล ...

    1 กุมภาพันธ์ 2005

    สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติเพื่อกดดันผู้นำองค์การบริหารปาเลสไตน์ (PA) ให้ ปฏิรูปโครงสร้างระบบประชาธิปไตย ฟื้นฟูสิทธิมนุษยชน ขจัดการคอรัปชั่น และยกเลิกหรือทำลายโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับองค์กรนอกกฎหมาย (ฮามาส) นอกจากนั้นยังให้ข้อเสนอแนะให้ปาเลสไตน์จัดการเลือกตั้งด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมและเสรี และอวยพรให้พรรคฟาตาห์ของประธานาธิบดีอับบาสได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง

    18 ตุลาคม 2005

    สภาผู้แทนราษฎรมีมติเร่งรัดให้ประธานาธิบดีมะห์มูด อับบาส หาทางกีดกันมิให้ฮามาสเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง สาระสำคัญในมติดังกล่าว เรียกร้องให้ประธานาธิบดีอับบาส ใช้มาตรการทางกฎหมายยกเลิกสิทธิ์ของกลุ่มการเมืองนอกกฎหมาย (ฮามาส) ไม่ให้เข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง

    21 ธันวาคม 2005

    วุฒิสมาชิกทำบันทึกช่วยจำถึงประธานาธิบดีจอร์จ ดับยู บุช ให้ใช้มาตรการกดดันต่อประธานาธิบดีมะห์มูด อับบาส ประธานาธิบดีขององค์การบริหารปาเลสไตน์ (PA) ให้ดำเนินการใดเพื่อกีดกันมิให้กลุ่มนอกกฎหมายฮามาสเข้าสู่อำนาจทางการเมืองโดยผ่านการเลือกตั้ง หากฮามาสยังปฎิเสธที่จะปลดอาวุธ และปฏิเสธการยอมรับสิทธิการมีอยู่ของรัฐอิสราเอล บันทึกช่วยจำนี้เน้นย้ำว่า นโยบายหรือข้อตกลงใดๆจะกลายเป็นประโยชน์ต่อฮามาสหากฮามาสชนะการเลือกตั้ง และเข้ามามีอำนาจทางการเมืองเหนือปาเลสไตน์

    1 กุมภาพันธ์ 2006

    วุฒิสภาสหรัฐลงมติเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐยุติการส่งความช่วยเหลือรัฐบาลปาเลสไตน์(ที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคม 2006 -:ผู้แปล) เนื่องจากเป็นการจัดรัฐบาลโดยฮามาสซึ่งเป็นกลุ่มก่อการร้าย ทันที หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสียงข้างมากของปาเลสไตน์(จากฮามาส)มีมติให้คงสถานภาพการไม่ยอมรับการมีอยู่ของรัฐยิว และยังต่อต้านอิสราเอลต่อไป

    18 กรกฎาคม 2006 และ 20 กรกฎาคม 2006

    สภาผู้แทนราษฎร ลงมติ เมื่อ 20 กรกฎาคม 2006 และวุฒิสภา ลงมติเมื่อ 18 กรกฎาคม 2006

    เพื่อ ประณามกลุ่มก่อการร้ายฮามาสและฮิชบัลลอฮ์ เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวปฏิบัติการโจมตีตอบโต้อิสราเอล โดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า และจับกุมตัวทหารอิสราเอล ซึ่งมตินแสดงให้เห็นเป็นการยืนยันว่าอิสราเอลมีสิทธิ์ในการป้องกันตนเอง และมตินี้ยังประณามอิหร่าน และซีเรีย ที่ให้การสนับสนุนองค์กรทั้งสอง

    7 ธันวาคม 2006

    คองเกรสผ่านร่างกฎหมาย ที่ชื่อว่า Palestinian Anti-Terrorism Act of 2006 ตามกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้สหรัฐให้ความช่วยเหลือใดๆแก่ชาวปาเลสไตน์ เว้นเสียแต่ว่าประธานาธิบดีจะรับรองว่า เขตปกครองตนเองปาเลสไตน์ มิได้อยู่ภายใต้การควบคุมโดยองค์กรก่อการร้าย (หมายถึงฮามาส ที่ได้รับเลือกตั้งมาโดยประชาชนชาวปาเลสไตน์ ให้เข้ามาเป็นรัฐบาลปาเลสไตน์ -:ผู้แปล)

    8 เมษายน 2007

    วุฒิสมาชิกบิล เนลสัน เดโมแครตจากฟลอริดา และจอร์น เอ็นไซน์ ผู้แทนราษฎรจากรีพับรีกัน เนวาดา และร่วมลงนามดดยวุฒิสมาชิกอีก 79 คน เร่งรัดให้รัฐมนตรีต่างประเทศ คอนโดลิซา ไรซ์ ดำเนินมาตรการกดดันประเทศต่างๆให้ยุติการสนับสนุนเงินช่วยเหลือแก่รัฐบาลปาเลสไตน์(ที่มาจากการเลือกตั้ง)นำโดยฮามาส จนกว่าปาเลสไตน์จะยอมรับรัฐอิสราเอล รวมทั้งให้ยกเลิกข้อตกลงใดๆกับปาเลสไตน์ทั้งหมด

    9 เมษายน 2007

    ผู้แทนราษฎรโรเบิร์ต เว็กซ์เลอร์ พรรคเดโมแครต ฟลอลิดา, เอลตัน แกรี่ พรรครีพับริกัน แคลิฟอเนียร์ แกรี่ แอคเคอร์มานจากเดโมแครต นิวยอร์ค และไมค์ เพ็นซ์ รีพับรีกันจากอินเดียนา ทำหนังสือและร่วมลงนามโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีก 259 คน เร่งรัดให้สหภาพยุโรปยุติความช่วยเหลือทางการเงินแก่รัฐบาลปาเลสไตน์(ที่มาจากการเลือกตั้ง)นำโดยฮามาส จนกว่าปาเลสไตน์จะยอมรับรัฐอิสราเอล รวมทั้งให้ยกเลิกข้อตกลงใดๆกับปาเลสไตน์ทั้งหมด

    12 เมษายน 2007

    สภาผู้แทนราษฎรลงมติเมื่อ 13 เมษายน และล๊อบบี้ วุฒิสภาให้ลงมติ เมื่อวันที่12 เมษายน 2007 เรียกร้องให้ปล่อยตัวทหารอิสราเอล ชื่อ Gilad Shalit และ Eldad Regev ที่ถูกจับตัวไป ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2006 โดยกลุ่มก่อการร้ายฮามาส และฮิชบัลลอฮ์ในทันทีและอย่างไม่มีเงื่อนไข ในมติดังกล่าวยังประณามองค์กร(ที่อ้างว่า)เป็นองค์กรก่อการร้าย ที่กระทำการ “ละเมิดสิทธิมนุษยธรรมขั้นพื้นฐาน” ด้วยการปฏิเสธไม่ให้ผู้ถูกจับกุมตัวได้รับการรักษาทางการแพทย์

    8 มิถุนายน 2007

    วุฒิสมาชิกเดโมแครต แมรี่ แลนด์ดริว กับผู้แทนราษฎรนอร์ม โคลแมน จากรีพับรีกัน ทำจดหมายบันทึกถึงรัฐมนตรีต่างประเทศคอนโดลิซา ไรซ์ เพื่อเร่งเร้าให้อียิปต์ยุติการลักลอบส่งอาวุธข้ามเขตแดนเข้าไปในกาซ่า และเพื่อเร่งให้ยับยั้งการยิงจรวดของฝ่ายฮามาส บันทึกระบุว่า “ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นมาจากอาวุธที่เข้าสู่กาซ่า และหากไม่รีบดำเนินการใดๆเพื่อหยุดยั้งก็อาจเกิดผลเสียหายร้ายแรงและมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก”

    16 กรกฎาคม 2007

    สภาผู้แทนราษฎร ลงมติเรียกร้องให้จับกุมตัวผู้ก่อการร้ายปาเลสไตน์

    2 ตุลาคม 2007

    วุฒิสมาชิก Schumer และ Graham ทำจดหมายเปิดผนึกให้ผู้นำอาหรับสนับสนุนแผนการสันติภาพตามแนวทางของอิสราเอล

    24 มิถุนายน 2008

    วุฒิสภา ออกบันทึกรายงานเพื่อตอกย้ำแนวทางและหลักการสันติภาพตะวันออกกลาง เนื้อหาเดียวกันกับบันทึกจากสภาผู้แทนราษฎร (ตอกย้ำผลประโยชน์ของอิสราเอล)

    27 มิถุนายน 2008

    สภาผู้แทนราษฎร ออกบันทึกรายงานเพื่อตอกย้ำแนวทางและหลักการสันติภาพตะวันออกกลาง(ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นไปตามแนวทางที่เอื้อต่อผลประโยชน์ของอิสราเอล)

     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    (รัฐบาล)ยิวในรัฐบาลโอบามา..(1)

    Shaffi : เขียน

    (22 มกราคม 2009)

    ชาวยิวในรัฐบาลโอบามา.. มิตรประเทศอาหรับ จะว่าอย่างไรดี..?

    David Axelrod ที่ปรึกษาพิเศษประจำประธานาธิบดี

    Jared Bernstein หัวหน้าคณะที่ปรึกษานโยบายเศรษฐกิจประจำรองประธานาธิบดี

    Rahm Emanuel หัวหน้าคณะทำงานประจำทำเนียบประธานาธิบดี

    Bernanke, Kohn, Warsh, Krosner Fred Mishkin, Daniel Tarullo คณะกรรมการบริหารธนาคารกลางสหรัฐ

    Paul Volcker คณะกรรมการที่ปรึกษาพิเศษเพื่อฟื้นฟูและแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

    Tim Geithner รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

    Gary Gensler ประธานคณะกรรมการตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า

    Elena Kagan ที่ปรึกษากฎหมายทั่วไป

    Sally Katzen ที่ปรึกษากฎหมายประจำประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี

    Ron Klain หัวหน้าคณะทำงานประจำรองประธานาธิบดี

    Eric Lander, Harold E. Varmus กรรมการสภาที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ

    Jacob Lew , James Steinberg ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

    Ellen Moran ผู้อำนายการฝ่ายสื่อสารมวลชนประจำทำเนียบขาว

    Peter Orszag ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ

    Penny Pritzker กรรมการคณะกรรมการฝ่ายการเงินประจำประธานาธิบดี

    Robert Reich ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจประจำประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี

    Dennis Ross หัวหน้าเอกอัครราชทูตประจำตะวันออกกลาง

    Robert Rubin ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจประจำประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี

    Daniel B. Shapiro หัวหน้าแผนกกิจการตะวันออกกลาง สภาความมั่นคงแห่งชาติ

    Mary Schapiro กรรมการคณะกรรมทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา

    Phil Schiliro ผู้ช่วยประธานาธิบดีฝ่ายกฎหมาย

    Lawrence Summers ผู้อำนายการสภาเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว

    Mona Sutphen รองหัวหน้าคณะทำงานทำเนียบขาว




    น่าสังเกตว่านอกจาก ยิวนอกจากจะคุมทำเนียบขาว คุมกลไกทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นไปตามปกติของรัฐบาลพรรคเดโมแครตแล้ว คราวนี้ยิวยังควบคุมนโยบายความมั่นคง รวมไปถึงนโยบายตะวันออกกลาง คนอย่าง Dennis Ross ล๊อบบี้ยิสต์ยิว สมาชิก Think Tank กลุ่ม Neo-Conservative (กลุ่มเดียวกับ Richard Pearl, Daniel Pipe และ Rahm Emanuel) คราวนี้กลับมาใหญ่โตในฐานะหัวหน้าทูตประจำภูมิภาคตะวันออกกลาง..

    เห็นชื่อแล้ว..ปาเลสไตน์ ... วิ่งหนีระเบิดกันเหนื่อยแน่..

    ดูชื่อไปก่อน..คืนนี้จะเล่าให้ฟังที่มาว่าใครเป็นใคร...ใครส่งมา ใครเคยเป็นสายลับมาก่อน ใครเป็น ล๊อบบี้ยิสต์ของอิสราเอลมาก่อน...

    (
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เรื่องเล่า..(เศร้า)...จากกาซ่า..

    แปลจากเรื่องจริงของผู้อยู่ในเหตุการณ์โจมตีกาซ่า.. เรื่อง “I Found My Ukranian Wife And Son Torn To Pieces… And My Baby’s Feet.” เรื่องตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ Al-Ayyam Daily 12 January 2009 เรียบเรียงโดย Asma Al-Ghul แปลโดย Shaffi

    ผมอยากขอร้องให้คุณ อย่ารีบร้อนอ่านเรื่องนี้..ให้จบๆไป เหมือนกับการอ่านข่าวทั่วๆไป ผมวิงวอนให้ผู้อ่านกรุณาอ่านช้าๆ..อ่านทุกตัวอักษร ทุกรายละเอียด อ่านให้ช้าๆ..ช้า เพียงพอ กับการที่จะปล่อยให้ ใบหน้าของคนที่คุณรัก ผุดขึ้นมาในจิตสำนึกใบหน้าพวกเขา ทุกอย่างของพวกเขาที่คุณจำได้ พวกเขาล้วนเป็นคนสำคัญที่สุดของคุณ มีความหมายสำหรับช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของคุณ..ของผม..ผมอยากให้คุณนึกถึงภาพ ลูกๆตัวเล็กๆของคุณ คุณจะได้ยินเสียงหัวเราะ และระลึกได้ถึงความไร้เดียงสาของพวกเขา.. แล้วค่อยๆอ่านเรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ครับ ... ___________________________________________________________

    หลับตาลงแล้วนึกภาพตาม ..วันนี้ก็เหมือนกับทุกวัน..ภรรยาของคุณกำลังเตรียมอาหาร ในบ้านอันแสนอบอุ่น ขณะที่ลูกๆของคุณกำลังเล่นอย่างสนุกสนานตามประสาเด็ก ..

    วันนี้ก็เหมือนกับทุกวัน แต่มันกลับเป็นวันที่ไม่ธรรมดา มันเป็นวันที่คุณต้องเริ่มต้นวันใหม่ ด้วยวิถีชีวิตใหม่ที่ต่างไปจากเดิม ชีวิตที่เหลืออยู่จะดำเนินต่อไปโดยไม่ภรรยาและลูกๆอีกต่อไป ลองจินตนาการภาพของลูกระเบิดมรณะที่ตกใส่บ้านของคุณ แรงระเบิดฉีกร่างภรรยาและทารกน้อยออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และสมาชิกคนอื่นในครอบครัวกลายเป็นบาดเจ็บสาหัสและพิการ

    นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับ ดร.อาวนี่ ญาร์ว

    ดร.ญาร์ว อายุ 37 ปี ศรัษะของเขาพันด้วยผ้าพันแผล เล่าเรื่องความสูญเสียของเขาให้เราฟังด้วยสายตาเหม่อลอย “ยูซูฟ อายุแค่ 18 เดือน ผมกับภรรยาเฝ้ารอลูกชายคนนี้มานานแสนนาน ด้วยความรักของเรา รอที่จะมอบให้เขา เสียงหัวเราะและรอบยิ้มของเขา เขาเติมเต็มความสุขให้ครอบครัวของเรา แต่ทั้งหมดก็หายวับไปในทันใด ผมควานหาร่างของเขา และผมก็พบร่างของเขา เศษชิ้นเนื้อชิ้นเล็ก ชิ้นน้อย กระจายอยู่ทั่วทั้งบ้าน..”

    วันนี้..เขายังคงค้นหาเศษร่างคนที่เขารััก งานที่แสนยากและทุกข์แสนสาหัส เขากล่าวว่า “ตอนที่ผมพยายามคุ้นซากบ้านเพื่อหาร่างไร้วิญญาณของภรรยาอยู่นั้น ผมก็พบเศษเท้าเล็กๆของลูกชาย แล้วก็ท่อนขาข้างหนึ่งของภรรยาของผม แล้วทันใดนั้นผมก็พบ..ส่วนหัวของลูก...มือข้างหนึ่งของลูก ผมรวมรวมชิ้นส่วนทั้งหมดไว้ด้วยกัน เพื่อให้ทั้งแม่และลูกได้อยู่ร่วมกันเป็นครั้งสุดท้าย” เขาสะอึกในลำคอ และเงียบเสียงไปครู่หนึ่ง แล้ว ดร.ญาร์ว ก็เดินออกไปจากบ้านพร้อมกับ ยัสมิน และอับดุลรอฮีม ลูกชายกับลูกสาวของเขาที่ยังเหลือรอดชีวิตมาได้..

    ชั่วเวลาสั้นๆไม่นานก่อนหน้านี้ พวกเขานั่งอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข แล้วทันใดนั้นบ้านของพวกเขาก็ถูกระเบิดหล่นใส่ถึง 4 ลูก “ระเบิดลูกแรกแฉลบผ่านผมไป, แต่สะเก็ดระเบิดชิ้นหนึ่งมาถูกหัวของผม มันยังไปโดนฟันของยัสมิน และถูกใบหน้าของอับดุลรอฮีม”

    ระเบิดลูกที่สองตามมาติดๆมันตกลงไปกลางห้องครัวและเบิดอย่างรุนแรงฉีกร่างภรรยาของเขาขาดเป็นสองท่อนทันที ก่อนที่มันจะสังหารทารกน้อยยูซูฟ

    อัลพีน่า ญาร์ว อายุ 36 ปี เธอเพิ่งได้รับสัญชาติปาเลสไตน์และเพิ่งได้รับบัตรประชาชนชาวปาเลสไตน์ได้ไม่นาน เธอไปเยี่ยมครอบครัวพ่อแม่ของเธอในประเทศยูเครนที่ไม่ได้เจอกันนาน 12 เดือน

    พอสงครามโจมตีกาซ่าระเบิดขึ้น อิสราเอลอนุญาติให้ชาวต่างชาติสามารถเดินทางออกจากฉนวนกาซ่าได้ แต่เธอปฏิเสธที่จะทิ้งครอบครัวที่เธอรัก ไปจากฉนวนกาซ่า “เธอรักผืนแผ่นดินนีั เธอรักกาซ่าเพราะที่นี่เป็นบ้านของเธอ เธอไม่ต้องการทิ้งบ้านของเธอ แม้ว่าบ้านของเธอจะตั้งอยู่ในเขตที่อาจเป็นเป้าหมายการโจมตี” ดร.ญาร์ว เล่าให้เราฟัง

    อับดุลรอฮีม โดนสะเก็ดระเบิดเข้าที่ด้านหลังของใบหู และสูญเสียการได้ยินลงไปมากกว่าครึ่ง เขาเริ่มร้องไห้ และร้องตะโกนว่าเขาไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปโดยไม่มีแม่ที่คอยให้ความรักและเอาใจใส่เขาแล้ว.. “ผมไม่อยากอยู่ต่อไปแล้ว” เขาร้องบอกกับผู้เป็นพ่อ “แม่..กำลังอบขนมแบบรัสเซียของโปรดของผม” อับดุลรอฮีมบอก “นาทีสุดท้ายที่ผมเห็นแม่..แม่กำลังป้อนข้าวน้องยูซูฟที่นั่งอยู่บนตักแม่”

    “สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวที่สุดก็คือ ตอนนี้พวกเราต้องนั่งกันอยู่ในความมืด ตรงนี้ ตรงที่เป็นที่ฝังร่างพวกเขาอยู่ใต้กองอิฐกองปูน” ดร.ญาร์ว พูดต่อว่า “พวกเขายังไม่ได้พักผ่อนอย่างสงบสุข” สองสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ฝังศพในกาซ่าเต็มไปด้วยศพมากมายที่รอการฝัง ...

    เมื่อถามถึงเรื่องระเบิด..ดร.ญาร์วเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมบ้านของเขาจึงกลายเป็นเป้าหมายในการโจมตี “ความทุกข์ใจของผมมันทับถมมากขึ้นทุกวัน..ผมไม่สามารถจะบอกความจริงกับลูกสาวคนเล็กได้ เธอยังไม่รู้ว่าแม่กับน้องของเธอได้จากพวกเราไปแล้ว ใจของผม มันผมไม่แข็งพอ..ให้ลูกรับรู้ความจริงอันแสนข่มขื่นนี้ได้”

    “หลังการโจมตี ผมวิ่งหนีพร้อมด้วยยัสมินและอับดุลรอฮีม วิ่งไปไกลกิโลกว่า จากบ้านของเรา..แม่มันก็ยังไม่ปลอดภัยพอ ผมพยายามอย่างหนักที่จะไปให้ถึงสถานทูตยูเครน หรือไม่ก็กาชาดสากล แต่ทหารอิสราเอลปิดกั้นเรา”

    ดร.ญาร์ว และอับดุลรอฮีม ตอนนี้ไปอาศัยอยู่กับเพื่อนของเขา.. พ่อที่เหลือตัวคนเดียว ..คนหนึ่งกำลังพยายามอย่างหนักที่จะแสร้งทำเป็นแข็งแกร่ง ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมยัสมินที่โรงพยาบาลอัล-ชิฟา โรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในกาซ่า

    ชายคนหนึ่งซึ่งชีวิตที่เหลืออยู่ ต่อจากนี้ไป แทบจะไม่เหลือสิ่งที่เคยเป็นความสุข หรือความฝันใดๆให้เป็นพลังเพื่อยืนหยัดต่อไปได้เลย กล่าวทิ้งท้ายในบทสนทนาของเราว่า

    “ลูกตัวเล็กๆอายุแค่ 18 เดือน..เสียงหัวเราะและกำลังเล่นอย่างสนุกสนาน ... ถูกพลังแห่งความชิงชัง..ฉีกร่างเล็หของเขา เป็นเศษเนื้อชิ้นเล็ก ชิ้นน้อย...ต่อหน้าผม ซึ่งเป้นพ่อของเขา..”

    รอยยิ้มอย่างคนสิ้นหวัง..เจือบนใบหน้า..เขาพูดเบาๆว่า “อัลพีน่า กับผมมีความทรงจำร่วมกันที่ยอดเยี่ยม เราพบกันเมื่อปั 1993 ตอนที่เรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกัน เรากลับมากาซ่าด้วยกันในปี 1977” ...

    ผมจะไม่ร้องขออะไรจากคุณเลย..ไม่ขอมากไปกว่า..แค่ขอให้คุณลอง รู้สึกว่า..ถ้าเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับคุณ คุณจะรู้สึกอย่างไร ..และโปรดจำความรู้สึกนั้นไว้ ไม่ว่ามันจะเป็นความรู้สึกที่ชมชื่นมากเพียงใดก็ตาม..โปรดจำความรู้สึกนั้นไว้ให้ดี..แล้วช่วยกันทำทุกวิถีทาง ในแบบที่คุณทำได้ เต็มความสามารถ เต็มกำลัง มากที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้..เพื่อ

    หยุดยั้ง..เรื่องเช่นนี้ ไม่ให้เกิดขึ้นกับเรา..กับคุณ..กับผม..และมนุษยชาติ... อีกต่อไป

     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ขวัญใจสายลับ(ยิว) - THE AMERICAN’S ANGEL

    ตอนที่ 1

    Shaffi : เรียบเรียงจากข้อมูล whatreallyhappened.com (21 มกราคม 2009)

    ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของสายลับอิสราเอลที่แทรกซึมเข้าไปอยู่วงในของรัฐบาลสหรัฐ

    เรื่องแรก เริ่มชายสองคนที่ทำงานให้กับ The American Israel Public Affairs Committee (AIPAC) ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ล็อบบี้ผลประโยชน์ของอิสราเอลในวงการเมืองสหรัฐ จากการสืบสวนโดย FBI พุ่งเป้าไปที่ Dave Szady ที่ไปเกี่ยวข้องการดักฟังโทรศัพท์ และจากการแกะรอยเอกสารและภาพถ่ายโดยสำนักข่าวสถานีโทรทัศน์ CBS ซึ่งได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่ามีการส่งมอบเอกสารชั้นความลับระดับสูงจากรัฐบาลไปสู่มือของคนใน AIPAC และฝ่ายอิสราเอล แหล่งข่าวใน CBS กล่าวว่า เริ่มสงสัยว่าจะมีการทำจารกรรมข้อมูลมาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยนักวิเคราะห์ในเพนตากอนที่เชื่อถือได้เป็นผู้แจ้งให้ทราบ ในจังหวะเดียวกับที่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหัวหน้าแผนกบริหารนโยบายของสหรัฐต่ออิหร่าน ในขณะที่ “ข้อมูลนโยบายพวกนั้นยังอยู่ในระยะร่างนโยบายที่ยังต้องมีการถกเถียงกันในที่ประชุมสภานโยบาย” แหล่งข่าวอ้างว่า อิสราเอลต้องการรู้ร่างนโยบายนี้อย่างมาก “ในระหว่างที่เถียงกันยังไม่ลงตัว พวกอิสราเอลต้องการรู้เพื่อที่จะได้ใช้อิทธิพลที่มีอยู่ทั้งหมดผลักดันให้ได้ผลออกมาตามที่อิสราเอลต้องการ” แหล่งข่าวให้ความเห็น

    เป็นอีกครั้งหนึ่งที่อิสราเอลรีบออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหา ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ในที่สุเรื่องก็เงียบไป มีการออกมากลบเกลื่อนข่าวและอ้างว่าการจารกรรมครั้งนี้หากเกิดขึ้นจริงๆก็ไม่ได้ทำอันตรายต่อสหรัฐแต่อย่างใด อิสราเอลกับสหรัฐยังคงเป็นมิตรประเทศที่ใกล้ชิดกันมากที่สุดต่อไป

    อีกคดีหนึ่ง เรื่องของ Jonathan Pollard เป็นอเมริกัน ลูกชาวยิว เกิดใน Galveston Texas เป็นหนึ่งในหน่วยสืบราชการลับแห่งกองทัพเรือสหรัฐ มีหลายทฤษฎีที่นำไปใช้อธิบายได้ว่าเหตุใด Jonathan Pollard จึงตัดสินในทรยศประเทศที่เขากำเนิด เพื่อผลประโยชน์ของอิสราเอล เหตุผลที่เขาทรยศอเมริกาเหนือการคาดเดา เขาต่อสู้ข้อกล่าวหาต่อเขาว่า เขาไม่ใช่สายลับ ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามสหรัฐ เขาไม่ได้ทำร้ายสหรัฐ แต่การที่เขาส่งข้อมูลลับให้อิสราเอล ในความคิดของเขา เขาคิดว่าสหรัฐควรจะให้อิสราเอลมีส่วนร่วมในทุกๆเรื่อง (ไม่ควรมีความลับต่อกัน)

    ที่จริงนั่นไม่ใช่หน้าที่ของ Pollards ที่จะมาเที่ยวตัดสินใจแทนคนอื่นว่าเรื่องไหนอิสราเอลควรหรือไม่ควรรู้ Pollards ถือสิทธิ์ว่าตัวเองมีอำนาจนั้นโดยการตัดสินใจของตนเอง จากอำนาจที่กองทัพเรือมอบหมายและไว้วางใจเขา เขาส่งเอกสารชั้นความลับสูงสุดจำนวนมากกว่า 1,000 ชิ้น ให้แก่อิสราเอล รวมทั้งเอกสารที่ระบุรายชื่อสายลับอเมริกันที่ปฏิบัติงานอยู่ในตะวันออกกลางจำนวน 150 คน

    แต่ความเสียหายที่ Pollards ก่อขึ้นนั้นร้ายแรงกว่าที่คิด เพราะในจำนวนเอกสารลับที่ถูกส่งให้อิสราเอลนั้น มีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลนิวเคลียร์สหรัฐ และระบบป้องกันการคุกคามของอาวุธนิวเคลียร์ของสหภาพโซเวียต รวมอยู่ด้วย ตามข้อมูลที่กระทรวงการต่างประเทศสืบทราบมา พบว่าข้อมูลนั้นไปถึงมือสหภาพโซเวียตผ่านทางอิสราเอล เพื่อแลกเปลี่ยนกับโควต้าที่เพิ่มขึ้นของผู้อพยพชาวยิวจากสภาพโซเวียตไปยังอิสราเอล Casper Weinberger รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ตัดสินใจลดโทษของ Pollards เนื่องจากเขารับสารภาพ และอธิบายถึงความเสียหายต่อสหรัฐที่เกิดขึ้นว่า “พฤติิกรรมของ Pollards เท่ากับการเป็นกบฎต่อรัฐ ยากที่จะบอกว่าเรื่องนี้มันร้ายแรงและก่อความเสียหายต่อความมั่นคง และความเสี่ยงของชาติมากมากมายมหาศาลแค่ไหน”

    เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นอีก..สหรัฐน่าจะได้รับบทเรียนว่าสายลับยิวนั้นอันตรายต่อสหรัฐมากแค่ไหน แต่เปล่าเลย..ระบบป้องกันอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐมาจากเงินภาษีประชาชนมากกว่า 5 ล้านล้านเหรียญ (5,000,000,000,000 เหรียญ) ก่อสร้างขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 50 และ 60 อิสราเอลรอข้อมูลลับนี้ 13 ปี ใช้เงินน้อยกว่าแสนเหรียญ ลงทุนเพื่อจะได้รับข้อมูลจาก Pollards และขณะที่ต้องคดี อิสราเอลพยายามวิ่งเต้นสุดชีวิตเพื่อให้ Pollards รอดจากการถูกลงโทษ แถมเสนอให้ Pollards โอนสัญชาติใหม่เป็นอิสราเอลเต็มตัว

    ต่อไปนี้่เป็นตัวอย่าง สายลับอิสราเอลในสหรัฐ..เฉพาะที่ถูกจับได้และกลายเป็นข่าว ฉาวโฉ่ ตั้งแต่มีรัฐอิสราเอลเกิดขึ้นบนแผ่นดินปาเลสไตน์ ...ปี 1947 ADL รวบรวมข้อมูลการจารกรรมข้อมูลของสหรัฐโดยสายลับสัญชาติอเมริกันที่ทำงานให้อิสราเอล ดังนี้ครับ

    1950 John Davitt อดีตผู้พิพากษาศาลแผนกคดีความมั่นคงภายใน ระบุว่าจำนวนสายลับที่ทำงานให้อิสราเอลในสหรัฐขณะนั้นมีจำนวนมากเป็นอันดับที่สองรองจากสายลับของฝ่ายโซเวียต

    1954 มีการค้นพบไมโครโฟนซ่อนไว้ในห้องทำงานของเอกอัคราชทูตสหรัฐประจำนครเทล อาวีฟ เมืองหลวงอิสราเอลขณะนั้น

    1956 พบการดักฟังโทรศัพท์ในบ้านพักเจ้าหน้าที่ทูตทหารสหรัฐ ประจำนครเทล อาวีฟ เมืองหลวงอิสราเอลขณะนั้น

    1954 สายลับอิสราเอลว่าจ้างให้พลเรือนชาวอียิปต์วางระเบิดเป้าหมายที่เป็นของตะวันตกในอียิปต์ และวางแผนป้ายสีว่าเป็นฝีมือของฝ่ายอาหรับ ทั้งนี้เพื่อรบกวนความสัมพันธ์ระหว่างอียิปต์กับสหรัฐ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล นาย Pinchas Lavon ถูกปลดออกจากตำแหน่ง เป็นแพะรับบาปทั้งที่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังกรณีนี้ก็คือ นายเดวิด เบนกูเรียน นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ในขณะนั้น นั่นเอง คดีนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า "The Lavon Affair"

    1965 หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสท์ ฉบับลงวันที่ 6/5/86 เขียนโดย Charles R. Babcock, เรื่อง "US an Intelligence Target of the Israelis, Officials Say." รายงานกรณีอิสราเอลลักลอบเพิ่มขีดความสามารถยูเรเนียม(enriched uranium) ในโครงการความร่วมมือเพื่อการวิจัยปรมาณูเพื่อสันติ หรือ NUMEC

    1967 สายลับอิสราเอลโจมตีเรือรบ USS Liberty สังหารลูกเรือไป 34 คน (ดูรายละเอียดใน "Assault on the Liberty," เขียนโดย James M. Ennes, Jr. สำนักพิมพ์ Random House) ในปี 2004 นาวาเอก Ward Boston ที่ปรึกษากฎหมายอาวุโส ของศาลทหารกองทัพเรือ ภายใต้อำนาจของประธานาธิบดี Lyndon Johnson ได้รื้อฟืนคดีเพื่อสอบสวนใหม่ บ่งชี้ว่าหน่วยปฏิบัติการของอิสราเอลใช้เรือไม่ระบุสัญชาติ พร้อมอาวุธปืนกลประจำกาย แอบขึ้นเรือ USS Liberty ทั้งหมดให้การว่าทุกคนได้รับมอบหมายให้จมเรือ แล้วให้ทิ้งหลักฐานบางอย่างเอาไว้ให้เข้าใจผิดว่าเป็นฝีมือของอียิปต์ เพื่อดึงให้สหรัฐเข้าข้างอิสราเอลในสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น (สงคราม 6 วัน)

    1970 Richard Perle ถูก FBI บุกเข้าจับกุมตัว ขณะนั้น Perle ทำงานให้วุฒิสมาชิกคนดัง Henry Jackson เจ้าของฉายา “Scoop” ข้อหาส่งมอบเอกสารความลับให้อิสราเอล แต่..เรื่องเงียบหายไป.. (Richard Perle เป็นหนึ่งใน Think Tank ของบุช เขากลับมาปรากฎตัวอยู่ในกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังนโยบายสหรัฐในตะวันออกกลาง เจ้าของไอเดียการโจมตีอิรัก และอัฟกานิสถาน กลุ่มของเขาเรียกว่า Neo-Conservative)

    1979 หน่วยงานรักษาความมั่นคงภายในของอิสราเอล ที่ชื่อ Shin Beth พยายามที่จะวางกับดักล่อ กงศุลใหญ่ของสหรัฐประจำนครเยรูซาเล็ม โดยใช้ลูกจ้างสตรีชาวยิวคนหนึ่งเป็นเหยื่อล่อ คดีนี้เรียกกันว่า “Honey Trap” หรือกับดักน้ำผึ้ง

    1985 หนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ รายงานโดยโค๊ดคำพูดของ Raymond Wannal อดีตผู้อำนวยการ FBI ว่า FBI กำลังสงสัยว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนของสหรัฐกำลังส่งมอบข้อมูลลับให้แก่อิสราเอล แต่ไม่มีการดำเนินใดๆทางกฎหมาย

    1985 หนังสือพมพ์วอชิงตันโพสท์ รายงานเมื่อ 10/31/86 ระบุว่า Richard Smyth เจ้าของโรงงาน MILCO บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์เทคโนโลยีชั้นนำ ถูกระบุว่า ส่งมอบเครื่องมือวัดปริมาณกัมมันภาพรังสีให้แก่รัฐบาลอิสราเอล

    1987 หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอนัล ฉบับตีพิมพ์วันที่ 24 เมษายน พาดหัวตัวไม้ว่า “ "Role of Israel in Iran-Contra Scandal Won't be Explored in Detail by Panels" หรือ ในการสอบสวนกรณีอื้อฉาว อิหร่านคอนทร้า คณะกรรมาธิการสอบสวน ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดในการที่อิสราเอลเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง (กรณีอิหร่านคอนทร้า เกิดขึ้นในยุคของอดีตประธานาธิบดี โรนัล เรแกน สหรัฐต้องการสนับสนุนกลุ่มกบฎ “คอนทร้า” เพื่อโค่นล้มรัฐบาลนิยมโซเวียตนิคารากัว แต่กฎหมายสหรัฐไม่อนุญาตให้สหรัฐสนับสนุนได้โดยตรง เนื่องจากคอนทร้าเป็นผู้ก่อการร้ายผิดกฎหมาย สหรัฐใช้ CIA ดำเนินการ โดยใช้อิสราเอลเป็นนายหน้า และอิหร่านเป็นตัวละคร เหยื่อของกรณีนี้คือพันโท โอลิเวอร์ น๊อต เจ้าหน้าที่ CIA)

    1992 หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอนัล รายงานว่าสายลับอิสราเอลพยายามที่จะขโมยเทคโนโลยีระบบกล้องบันทึกภาพ หรือ spy-camera system ที่ใช้ในหน่วยส่งกำลังทางอากาศสหรัฐ (กล้องสายลับที่ใช้ถ่ายภาพทางอากาศ) จากบริษัทผู้ผลิตและวิจัยที่ชื่อ Recon Optical Inc

    1992 Stephen Bryen ถูกจับกุมตัว ในข้อหาส่งมิบเอกสารความลับให้อิสราเอลในปี 1987, Stephen Bryen ส่งบอบเอกสารดังกล่าวให้แก่ the pro-Israeli Jewish Institute for National Security Affairs ขณะที่มีหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านการส่งออกเทคโนโลยี

    (ยังมีต่อตอน 2)

     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    OBAMA VISIT ISRAEL.....WHY ?

    โอบามาไปเยือนอิสราเอล 2 ครั้ง ครั้งที่สองไปเยือนในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเขาไปอิสราเอลตามคำเชิญของชุมชนยิว
    ในนครชิคาโก ฐานเสียงสำคัญของโอบามา ในภาพกับเอฮุต บารัค รัฐมนตรีกลาโหมเจ้าของแผนโจมตีกาซ่าซึ่งเป็นการประ
    ทำที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ

    โอบามา กับนายกรัฐมนตรีเอมุต โอลร์ลเมิร์ต ผู้ที่กำลังมีเรื่องอื้อฉาวและกำลังถูกสอบสนในคดีคอรัปชั่น

    โอบามาไปเยี่ยมอิสราเอลสองครั้ง ครั้งที่สองเป็นการเยือนที่สำคัญ เพราะโอบามาได้ไปเยือนเมือง Sderot เมืองที่ถูกปาเลสไตน์ยิงจรวดมากตกอยู่เสมอ ภาพโอบามาไป Sderot และพูดถึงมันจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของอิสราเอล สื่ออิสราเอลกระจายข่าวและคำพูดของโอบามา ออกไปทั่วโลก โอบามากล่าวว่าเขาไม่อาจยอมรับได้ (ที่ฮามาสยิงจรวดเข้ามาในอิสราเอล) และเขาคิดว่าอิสราเอลมีสิทธิ์ในการปกป้องตนเอง ก่อนหน้านั้นโอบามาคยกล่าวว่า เขาเข้าใจว่าอิสราเอลต้องการอะไร เขาคิดว่า "ความมั่นคงปลอดภัยของรัฐอิสราเอล ถือเป็นสิ่งศัดิ์สิทธิ์ที่ใครก็ล่วงละเมิดมิได้" (ตรรกะนี้ใช้ได้จริงกับทุกรัฐ แต่ทำไมใช้ไม่ได้กับกาซ่า-ปาเลสไตน์ ก็ไม่รู้)

    ภาพนี้เอามาจากหนังสือพิพ์อิสราเอล เขาเขียนบรรยายใต้ภาพสั้นๆว่า JEWBAMA เป็นภาพโอบามาที่กำแพงร้องไห้ กำแพงตะวันตกของเนินเขาศักดิ์สิืธิ์ โอบามาไปเยรูซาเล็มแต่ไปที่กำแพงร้องไห้ ไม่ไปที่มัสญิดอักศอ เป็นสัญลักณ์์ที่สื่ออิสราเอลและอาหรับ เอาไป ตีความ ิวตีความว่าโอบามา สนับสนุนยิว สื่ออาหรับตีความว่า..โอบามาจะไม่ทำให้ปาเลสไตน์เดินไปสู่สันติภาพ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่สื่อสองฝั่งเห็นเหมือนกัน แบบนี้ปาเลสไตน์ต้องไปอีก 4 ปี หรือเปล่านะ..ถึงจะพูดกันเร่องสันติภาพ

    OBAMA VISIT ISRAEL...WHY ?
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    โอบามา..ประธานาธิบดีอเมริกัน หรือ...ประธานาธิบดีในฝันของอิสราเอล

    Natasha Mozgovaya : เขียน

    (จากหนังสือพิมพ์ Haaretz Magazine ฉบับวันที่ 13 พฤศจิกายน 2008)

    Shaffi : แปล

    หลายคนจากชุมชนยิวในชิคาโกเป็นเพื่อนกับโอบามามานาน คนแก่ในชุมชนบางคนกล่าวว่าพวกเขา “อุ้มชู” โอบามา ขณะที่บางคนเรียกโอบามาอย่างติดตลกว่า “ยิวคนแรกที่ได้เป็นประธานาธิบดี”

    ชาวยิวในนครชิคาโกรู้สึกว่าพวกเขาอุปถัมภ์ค้ำชูโอบามา มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว พวกเขาช่วยโอบามาด้วยการสานสายสัมพันธ์ให้เขา พวกเขาภูมิใจที่ได้มีส่วนผลักดันเขา และเชื่อมั่นว่าโอบามาจะมีอนาคตทางการเมืองที่สดใสและไปได้ไกลและเร็วกว่าใคร ในช่วงรณรงค์หาเสียง เมื่อฝ่ายตรงข้ามใช้กลยุทธ์ปล่อยข่าวให้แพร่กระจายไปในชุมชนชาวยิวว่า โอบามามีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมุสลิมกลุ่มที่ เป็นผู้สนับสนุนอย่างมากแก่ปาเลสไตน์ และเป็นกลุ่มที่ส่งให้อะห์ามาดิไนจาด ขึ้นสู่เก้าอี้ประธานาธิบดีอิหร่าน โอบามาจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากชาวยิวมากเท่ากับที่คลินตันเคยได้รับ แต่พอ Exit Poll ออกมา ปรากฎว่าชาวยิวโหวตให้โอบามามากถึง 78 %

    ชาวชุมชนยิวในชิคาโก ไม่ได้ประหลาดใจกับคะแนนที่ชาวยิวโหวตให้โอบามา พวกเขาอ้างว่าพวกเขาไม่เชื่อข่าวลือง่ายๆ เพราะรู้จักโอบามามานานหลายปี บ้านของโอบามาอยู่ใกล้กับซินาก๊อก(โบสถ์ยิว) ในย่านไฮด์ปาร์ค เป็นชุมชนชาวยิวที่ใหญ่ที่สุดในนครชิคาโก อลัน โซโลว ประธานชุมชนชาวยิว อดีตทีมงานหาเสียงโอบามา หนึ่งในสองสามคนที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมฟังการปราศัยเพื่อประกาศชัยชนะในการเลือกตั้งของโอบามาที่แกรนท์ปาร์ค กล่าวว่า “หลังจากฟังโอบามาปราศัย ต่อหน้าคนหลายหมื่นคน เขายังเป็นโอบามาคนเดิมที่ผมเคยรู้จัก ผมคิดว่าชีวิตของเขากำลังเปลี่ยนไป แต่มันไม่ได้เปลี่ยนตัวตนของเขา เป็นประธานาธิบดีต้องโดดเดี่ยว แต่ผมคิดว่าเขาจัดการได้” โซโลว์ เคยอยู่ในละแวกบ้านเดียวกันกับโอบามา เขากล่าวว่า “โอบามามีสายสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับชุมชนชาวยิว”

    “ในฐานะวุฒิสมาชิก เขาเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับสิ่งที่เราเรียกว่า “The Jewish Agenda” โอบามาเข้าใจเป็นอย่างดีว่าอิสราเอลต้องการความมั่นคงปลอดภัย ผมเดินทางร่วมกับเขาไปเยือนอิสราเอลเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ในเดือนมกราคม 2006 และเมื่อเขาลงชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดี ผมไม่ต้องคิดมากที่จะสนับสนุนเขา อย่างแรกที่ผมประทับใจคือความเฉลียวฉลาด เขาเป็นคนที่ฉลาดที่สุดเท่าที่ผมเคยรู้จัก แต่กลับอบอุ่นและใส่ใจทุกคน”

    “ผมพูดกับเขาว่า เขาจะเป็นประธานาธิบดีชาวยิวคนแรก เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความต้องการของชาวยิว เขารู้ว่าชาวยิวต้องเผชิญหน้ากับอะไร ผมคิดว่าโอบามาสะท้อนบุคลิกภาพของชาวยิวในอเมริกาได้ชัดเจนที่สุด”

    “เขาโตในครอบครัวแบบติดดิน พ่อเขาเป็นคนแปลกหน้า เรียนหนังสือ ทำงานหนัก เหมือนกับชีวิตคนยิว นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาจึงสนิทสนมกับชุมชนยิว ในประวัติชีวิตของเขาคือการตามหารากเหง้าตัวเอง เหมือนคนยิว เขาจึงเข้าใจชาวยิว มันคือวิธีมองโลกที่ถูกต้อง และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่เขาสนับสนุนอิสราเอล เมื่อเขากล่าวว่าความมั่นคงปลอดภัยของอิสราเอลถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์ิที่ใครจะล่วงละเมิดมิได้ ผมเชื่อเขานะ เท่าที่ผมรู้จักเขาจะไม่กล่าวสิ่งใดที่เลื่อนลอย และเขามีเพื่อนสนิทชาวยิวมากมายที่ยืนยันความจริงข้อนี้ได้”

    โซโลว์ ยังคุ้นเคยสนิทสนมกับ หนึ่งในทีมประธานาธิบดี คนแรกที่โอบามาเลือกไปทำงานที่ทำเนียบขาว เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก รอม เอ็มมานูเอล โซโลว์เล่าเรื่องรอมว่า “รอมเป็นนักกิจกรรมที่กระตือรือล้นมากในชุมชนชาวยิว เขาสำนึกในความเป็นยิวเสมอ เขาถูกเลือกให้ไปเป็นที่ปรึกษาประธานาธิบดีคลินตัน เขาคงอุทิศตนเพื่อชาวยิว และสนับสนุนอิสราเอลในทุกบทบาทที่เขาได้รับมอบหมายให้ทำ ผมคิดว่าการที่เขาทุกอย่างเพื่อสนับสนุนอิสราเอลเขาจุงเหมาะสมแล้วที่จะไปทำหน้าที่ที่ทำเนียบขาว”

    ไมเคิล เบาเออร์ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่รู้จักโอบามา นานกว่าสิบปี และร่วมทำงานในการรณรงค์สนับสนุนโอบามา กล่าวว่า “ถ้ากลับไปดูงานของโอบามาสมัยที่เป็นวุฒิสมาชิก ชาวยิวเป็นผู้มีส่วนกับงานของเขาทั้งในงานการเมือง และองค์กรการกุศล ตอนที่เขาเป็นวุฒิสมาชิกเดโมแคตเสียงข้างน้อยในสภา เมื่อคุณอยู่ฝ่ายเสียงข้างน้อยคุณทำอะไรไม่ได้มากนักหรอก แต่ไม่ใช่โอบามา”

    โอบามาไปเยี่ยมอิสราเอลสองครั้ง ครั้งที่สองเป็นการเยือนที่สำคัญ เพราะโอบามาได้ไปเยือนเมือง Sderot เมืองที่ถูกปาเลสไตน์ยิงจรวดมากตกอยู่เสมอ ภาพโอบามาไป Sderot และพูดถึงมันกลายเป็นสัญลักษณ์ของอิสราเอล โอบามากล่าวว่าเขาไม่อาจยอมรับได้ และเขาคิดว่าอิสราเอลมีสิทธิ์ในการปกป้องตนเอง

    “ประธานาธิบดีบุชสนับสนุนอิสราเอลอย่างดียิ่ง แต่อิสราเอลต้องเผชิญหน้ากับอิหร่านที่แข็งแกร่งขึ้น ฮิชบัลลอฮ์ทางภาคเหนือ ฮามาสทางภาคใต้ ฮามาสกลายเป็นกลุ่มที่ถูกกฎหมาย(จากการได้รับเลือกตั้งในปี 2006) ผมคิดว่าบุช กลายเป็นหายนะสำหรับอิสราเอล ผมคิดว่ารัฐบาลโอบามาจะเข้าใจอิสราเอลว่าต้องการความมั่นคงปลอดภัย มันเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องธำรงค์รัฐยิวเอาไว้ให้ได้ ...ผมคิดว่าโอบามาคงไม่รอให้เวลาผ่านไปเจ็ดปีแล้วค่อยคิดจะเริ่มต้นทำงาน” เบาเออร์ ยืนยันอย่างเชื่อมั่น ต่อไปว่า “ขอผมพูดถึงรอม เอ็มมานูเอลสักหน่อย..ความเป็นอิสราเอลของเขาอยู่ในสายโลหิต ลองคิดดูสิว่า คนอย่างโจ ไบเดน รองประธานาธิบดีผู้มีประวัติว่าสนับสนุนอิสราเอลมาตลอดเวลาในอาชีพนักการเมือง รอม เอ็มมานูเอล หัวหน้าคณะทำงานทำเนียบขาว ผมก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรที่ทำให้คุณเชื่อมั่นได้มากไปกว่านี้อีกแล้วว่า สหรัฐจะยังคงความสัมพันธ์ใกล้ชิดแนบแน่นเพื่อรัฐอิสราเอลและประชาชนชาวอิสราเอลต่อไป อย่างที่ไม่มีอะไรจะมาเปลี่ยนแปลงได้”

    สนุกไหมครับ..ละครโรงใหญ่ของโอบามา บอกแล้วไม่เชื่อว่าพวกมุสลิมน่ะโดน โอบามา เล่นละครบทเศร้าต้มคนดูซะเปื่อยเลย..

    โอบามา..นายจะ Change อะไร ก็ Change ไปเถอะ แต่ถ้าเมื่อไหร่นาย Change นโยบายสนับสนุนยิว ล่ะก็..นายนั่นแหละจะโดน Change

    มีคนทำนายว่า นายโอบามาจะเป็นประธานาธิบดีคนที่สามที่ถูกลอบสังหาร ผมว่าชักจะเข้าเค้าเหมือนกันแฮะ...

     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    จะมีอะไรเหลือให้พี่โอบามาเขา..CHANGE บ้างนะ..

    Shaffi : เขียน

    (20 มกราคม 2009)

    ต้อนรับการเข้าสู่ตำแหน่งอย่างเป็นทางการของบารัค โอบามา

    (เรื่องของโอบมา ตามสัญญา)

    ทันที่ที่โอบามาชนะเลือกตั้ง มีคนออกมาแสดงความคิดเห็นมากมาย ทั้งหมดผมชอบพาดหัวหนังสือพิมพ์ปราฟด้า (ดาวแดง) หนังสือพิมพ์ที่เคยเป็นกระบอกเสียงให้พรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต ตอนนี้ก็ยังมีอิทธิพลต่อชาวรัสเซีย ปราฟด้าพาดหัวประชดประชันสุดแสบว่า “8 ปีแห่งนรกได้ผ่านพ้นไปแล้ว” หมายถึง ช่วงเวลา 8 ปี ที่โลกอยู่ในมือพวกนีโอคอน และยอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้ผ่านพ้นไปแล้วนั่นเอง สื่อทับถมบุชกันแบบไม่ไว้หน้า เพื่อจะได้ยกย่องโอมาม่าได้ถนัดถนี่หน่อย สื่อยกย่องว่าอเมริกาเข้าสู่ยุค Change

    เลือกตั้งคราวนี้ ขุดคุ้ยสาวไส้ มาถล่มใส่กันหนักหน่วงมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน โดยเฉพาะเรื่องชาติกำเนิดของโอบามา เกมของรีพับรีกัน ดำเนินกลยุทธ์หยิบยกความไม่ชัดเจนในเรื่องชาติกำเนิดของโอบามา มาเล่นงานกันอย่างสนุกสนานและต่อเนื่อง รีพับรีกันรู้ว่าคนอเมริกันกลัวอิสลามเป็นที่สุด เป็นโรค Islamophobia กันทั้งประเทศ ชาติกำเนิดของโอบามา กลายเป็นจุดอ่อนในสายตานักการเมืองตามแบบฉบับอเมริกันดั้งเดิม เราจะละเว้นเรื่องผิวสีไปพูดเรื่องศาสนากันอย่างเดียว โอบาม่าไม่เคยแสดงความชัดเจนเรื่องศาสนา แต่ข้อเท็จจริงคือโอบามาเกี่ยวข้องกับอิสลามไม่ทางทางใดก็ทางหนึ่ง นี่ทำให้คนอเมริกันไม่ไว้ใจ เป็นไปได้ว่าการที่เขาไม่แสดงความชัดเจนเรื่องศาสนาเพราะว่า

    ข้อเท็จจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ว่า พ่อผู้ให้กำเนิดเป็นมุสลิม พ่อเลี้ยงเป็นมุสลิม แถมพาไปอยู่ไปเรียนในประเทศมุสลิม ใช้ชื่อมุสลิมในบัตรประจำตัวนักเรียน (ฮุสเซ็น) แต่วีนนี้อนาคตจะเปลี่ยนหรือไม่ เขาต้องเลือก ในจังหวะเวลาที่เหมาะสม ทำให้คนหลงรักก่อน แล้วค่อนสารภาพ แม้คนจะเกลียดแต่ก็ถอนใจไม่ขึ้น..อะไรทำนองนั้นเขาจึงอุบไต๋ไว้จนนาทีสุดท้าย จึงพูดออกมา..( ถ้าสถานการณ์ไม่บีบบังคับก็ไม่ต้องพูดให้เสียคะแนน)

    นักการเมือง ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ทำให้ตัวเองเป็นพวกเดียวกับกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดชัดเจนเกินไปนัก ต้องพยายามเป็นพวกกับทุกคน

    โอบาม่า แม้เป็นมุสลิมจริง ก็เป็นแค่การเกิด เขาบอกว่าเป็นคริสเตียน เพราะนักการเมืองต้องดูเป็นคนดีมีศีลธรรม มีศาสนา แต่มีหลักฐานมากมายยืนยันว่า ถ้าเขาเป็นคริสเตียนก็เป็นแค่ชื่อ ไม่เคร่งครัดนัก ที่ไปสนิทสนมกับ เจเรมี่ ไรท์ นักเทศน์ผิวสีในโบสถ์ไม่ใช่เพราะเคร่งศาสนา แต่เป็นเรื่องการต่อสู้เพื่อสิทธิคนผิวสี คือไปทำการเมืองในโบสถ์กับคนผิวสีมากกว่า

    โอบามา รู้ดีว่าเขาจะชนะได้ ต้องทำให้คนอเมริกันไว้วางใจในตัวเขา เป็นนักการเมืองอเมริกันตามแบบฉบับ แต่เกมดิสเครดิตโอบามา ของรีพับรีกันทำการบ้านมาน้อยเกินไป เรื่องแค่นี้โอบามารับมือได้สบาย เพราะพอถึงคราวต้องเลือกเพื่อประโยชน์ภายหน้า โอบามาก็กล้าประกาศในการประชุมใหญ่พรรค หรือ Convention ที่ฟิลาเดนเฟีย ในโค้งสุดท้าย...เขาประกาศว่า เขาเป็นคริสเตียน และไม่เกี่ยวข้องกับโบสถ์คนผิวสีของเจเรมี่ ไรท์ ไม่มีเวลาเหลือให้รีพับรีกันอีกแล้ว..เล่นมุขเดียวมาตลอด คิดใหม่ไม่ทัน ตาแก่แมคเคนเลยตั้งงัดมุข Joe The Plumber มาเล่นซ้ำแล้วซ้ำอีกจนคนดูโห่..

    ครั้งหนึ่ง โอบามาเคยออกมาเล่าให้ฟังว่า ชื่อของเขาคือ บารัก นั้นมาจากคำว่า มุบาร๊อก ซึ่งเป็นภาษาอัฟริกันเคนยา (ที่จริงมันเป็นภาษาอาหรับ ไม่ใช่ไม่รู้แต่แกล้งเลี่ยงบอกว่าเป็นช่ืออาหรับ) เขาอ้างว่าชื่อกลาง ฮุสเซ็น หรือ ฮุซัยน์ มาจากพ่อเลี้ยงชาวมุสลิมอินโดนีเซีย ตั้งให้เมื่อเข้าเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนในอินโดนีเซีย

    สำหรับโลกมุสลิมแล้ว มองโอบามา อย่างไร?

    บางคนดูเหมือนอยากจะนับโอบามา ว่าเป็นมุสลิม ใจแทบขาด อย่างน้อยก็จากชาติกำเนิดโดยสายเลือด โอบามาจะเป็นหรือไม่เป็นมุสลิม จะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับอิสลาม แล้วผลมันจะเป็นอย่างไร เรื่องนี้มีประเด็นครับ นโยบายและท่าทีของโอบามาต่อปัญหาอิรัก ปัญหาอิหร่าน รวมทั้งต่อโลกอาหรับ แสดงให้ โลกมุสลิมเห็นว่าโอบามาเป็นมิตรมากกว่า บุช ประเทศมุสลิมต่างแสดงท่าทีที่เป็นบวกต่อโอบามาอย่างออกนอกหน้า แม้แต่มุอัมมัรฺ กัตดาฟี ผู้นำตลอดกาลของลิเบีย ตัวแสบตลอดกาลของสหรัฐ ถึงกับยกย่องโอบามา ว่า “โอบามาคือสัญลักษณ์ของอัฟริกันมุสลิม”

    ผู้นำอิสลามในอเมริกา ประธานสภามุสลิมแห่งอเมริกาเหนือ ซัยยิด เอ็ม ชัยอิด กล่าวในที่ประชุมใหญ่สภามุสลิมในฮุสตันว่า “ไม่ว่าโอบามา จะแพ้หรือชนะ อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่า เด็กที่มีชาติกำเนิดเป็นมุสลิมคนหนึ่ง มีโอกาสที่จะเป็นประธานาธิบดีของประเทศนี้” หนังสือพิมพ์ อัล-วะตัน หนังสือพิมพ์ภาษาอาหรับออกในคูเวต อธิบายศาสนาของโอบามาว่า “โอบามาเป็นมุสลิมโดยสายเลือด และต่อมาเขาเปลี่ยนเป็นคริสเตียน”

    หนังสือพิมพ์อาหรับไทม์ หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษตีพิมพ์ในอังกฤษ คอลัมนิสต์ที่ชื่อนิดัล นาอิซะ เรียกโอบามาในบทความของเขาว่า “โอบามาผู้ตกมุรฺตัด” (หมายถึงสิ้นสภาพมุสลิม) และสำนักข่าวอัล-ญาซีเราะฮฺ สำนักข่าวตัวแทนโลกอาหรับ ผู้ดำเนินรายการชื่อดัง นาซิม ญะมัล ในตอนแรกๆก็ให้สถานะโอบามาว่า “ไม่ใช่ชาวคริสเตียน” หรือ “non christian” ต่อมาก็เปลี่ยนไปเรียกว่า “โอบามาลูกชาวมุสลิมเคนยา” และในท้ายที่สุด อัล-ญะซีเราะฮฺ เรียกโอบามา อย่างเสียดสีและประชดประชันว่า “โอบามาผู้ไม่อยากถูกนับว่าเป็นมุสลิม แต่โลกมุสลิมอยากนับให้เขาเป็นมุสลิม” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า โลกมุสลิมมีท่าทีเป็นมิตร ประมาณว่า “รักแต่กอดไม่ลง” เพราะแกไม่เคลียร์ ในดรื่องศาสนานี่แหละ นโยบายของแกดูเป็นมิตรกับโลกมุสลิม มากกว่ารีพับรีกันเยอะเลย

    ผมได้อ่านบทความชิ้นหนึ่ง เขียนโดย ยะซิส คอลิล นักวิเคราะห์สถานการณ์ชาวอิยิปต์ เขาเขียนว่า ในฐานะที่อียิปต์ ได้รับผลกระทบจากนโยบายต่างประเทศของสหรัฐโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีคนไหน เขาเห็นว่า โอบามาจะแก้ไขปัญหาความไม่ลงรอยกันระหว่างโลกอาหรับกับอเมริกัน ซึ่งเป็นปัญหาที่สะสมมานาน ตลอด 8 ปี ของบุช คอลิลเชื่อว่าถ้าโอบามาลดช่องว่างความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับโลกอาหรับลงได้ ความเกลียดชังอเมริกันอาจลดลง ซึ่งหมายถึงว่าการโจมตีผลประโยชน์อเมริกันโดยกองกำลังติดอาวุธก็อาจมีแนวโน้มลดลง คอลิลมองว่านโยบายและจุดยืนต่อตะวันออกกลาง ของโอบามานั้นแสดงท่าทีสร้างสรรค์มาตั้งแต่ การคัดค้านสงครามบุกรุกอิรัก และยืนยันที่จะเปิดการเจรจาอย่างสร้างสรรค์กับอิหร่านในปัญหานิวเคลียร์ มากกว่าจะเลือกใช้วิธีการก้าวร้าวอย่างที่รัฐบาลบุชเลือกใช้

    ฝ่ายที่มองแง่ลบว่า สุดท้ายแล้ว..โอบามา จะ “ไม่เปลี่ยน” หรืออยากเปลี่ยน ก็ “เปลี่ยนไม่ได้” ความเป็นปฎิปักษ์กับโลกอาหรับยังคงอยู่ต่อไป นโยบายสนับสนุนอิสราเอล กลายเป็นวาระแห่งชาติมานาน 60 ปีแล้ว ใครจะกล้าเปลี่ยน ไม่ว่าใครจากฝ่ายไหนพรรคไหนจะมาเป็นประธานาธิบดี ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้ ถ้าสหรัฐไม่เปลี่ยนวิธีคิดต่ออิสราเอล วิธีคิดและโลกทัศน์ที่มีต่อโลกมุสลิม ต่อปัญหาปาเลสไตน์ สหรัฐจะไม่มีวัน CHANGE ตัวเองได้เลย อย่าแต่จะเปลี่ยนโลกเลย

    มุสลิมทั่วโลกเกิดความสับสน เมื่อโอบามากล่าวในดีเบทครั้งสุดท้าย ว่า “I was never a Muslim” ชาวมุสลิมทั่วโลก ที่อยากจะหลงรักโอบามา อยากเข้าข้าง อยากสนับสนุน ใจจะขาด ได้ยินคำนี้ออกจากปากโอบามา เลยต้องถอย ไม่มีใครกล้าแสดงการสนับสนุนโอบามาออกนอกหน้า

    เว็บไซต์ที่ชื่อ ญิฮาด วอท์ช เขียนบทความไว้น่าสนใจ ในหัวข้อว่าโลกอิสลามมองเห็น โอบามาอย่างไร ? บทความอ้างถึงการกล่าวที่ค่อนข้างเกินเลยของ นักข่าวอิหร่านที่ชื่อ เมนาชี อมิรฺ กล่าวว่า ผู้นำศาสนาระดับสูงคนหนึ่งของอิหร่านกล่าวว่า ถ้าโอบามาได้เข้าสู่ทำเนียบขาว เมื่อนั้นอิสลามจะได้ครอบครองหัวใจของชนชาติอเมริกัน ซึ่งฟังดูเว่อร์ไปหน่อย แต่นักการเมืองก็ชอบพูดเกินเลยอยู่แล้ว

    ในบทความดังกล่าวอ้างว่า “คนในโลกมุสลิมคิดบวกกับโอบามาเป็นจำนวนมาก และอาจจะมากกว่าพวกที่คิดลบด้วยซ้ำไป พวกที่คิดบวกมองว่า แม้โอบามาจะไม่ใช่มุสลิม แต่โอบามา ก็มีสิ่งที่เรียกว่า “Muslim Connection” หรือ สายสัมพันธ์กับมุสลิม นักคิดฝ่ายบวกมองว่าโอบามา เข้าใจความเป็นมุสลิม หรืออย่างน้อยก็เปิดใจยอมฟังมุสลิม มากกว่าบุช” ผู้เขียนบทความอิหร่านเชื่อว่า ผู้นำชาติอาหรับ เชื่อลึกๆว่าโอบามา มีความรู้สึกเห็นใจอย่างลับๆต่อมุสลิม บทความนี้ใช้คำว่า ตะกียะ (ภาษาอาหรับแปลว่า การปกปิด หรือแสร้งทำเพื่อปกปิดต่อหน้าคนอื่น) หากโอบามา ใช้ความคิดนี้อย่างระมัดวังก็จะเป็นประโยชน์ต่ออเมริกันเอง

    ผมก็อดคิดไม่ได้ว่า โอบามา แม้ชนะมาได้เพราะตัวเองประกาศว่าจะ Change จะเปลี่ยน แต่ประเทศยักษ์ใหญ่ที่มีระบบการเมืองสลับซับซ้อน และมีความตายตัวเป็นส่วนใหญ่มีผลประโยชน์แอบแฝง ยิ่งเห็นหน้าทีมงานของโอบามา อย่างหัวหน้าสำนักงานทำเนียบขาว Rahm Emanuel อดีตล๊อบบี้ยิสต์ยิวด้วยแล้วยิ่งสงสัยว่า จะเหลืออะไรในมือ โอบามาที่พอจะ Change ได้บ้าง ก็เท่านั้น

    ________________________________________________________________

    โอบามา ได้เป็นประธานาธิบดี โลกอาหรับเฮลั่น แต่ชาวยิวยิ่งเฮ กว่า .. โลกจะเป็นยังไง เมื่อศัตรูมีประธานาธิบดีคนโปรด เป็นคนเดียวกัน ตอนต่อไปจะเล่าให้ฟัง เรื่องที่ “คนยิวกระดี๊กระด๊าได้โอบามา-เป็นประธานาธิบดีในฝัน”

    .....ชาวปาเลสไตน์ จะร้องไห้ให้ใครฟัง..

     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ที่มาของบทความเรื่อง “หนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ กับสถานการณ์กาซ่า : ปฏิบัติการ “ปั่นข่าวให้คนอ่านข่าวหัวปั่น”

    ผมบอกตามตรงว่า ที่เลือกเรื่องนี้มาเขียนก็เพราะเบื่อหน่ายความไม่เอาไหน และไร้สติของสำนักช่าวไทย (ที่โจมตีโดยเน้นที่สำนักข่าวไทยเป็นหลักเพราะเขาอ้างว่าเขาเป็นสำนักข่าวแห่งชาติ) สองวันก่อนฟังข่าวต้นชั่วโมงรายงานข่าวโดยสำนักข่าวไทย รายงานว่า “กลุ่มติดอาวุธฮามาส ยิงจรวดใส่อิสราเอลหลังจากอิสราเอลหยุดโจมตีฝ่ายฮามาส เพื่อพิจารณาข้อตกลงหยุดยิง.. หลังการโจมตีตลอดสามสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตมากกว่า หนึ่งพันคนแล้ว ครึ่งหนึ่งเป็นพลเรือน..” คุณได้ฟังข่าวแบบนี้จะให้คิดยังไง.. ฮามาสมันเลวจริงๆใช่ไหม..อิสราเอลเขาช่างมีเมตตาหยุดยิง พวกมึงยังจะไปตอบโต้เขาอีก.. อ้ายพวกติดอาวุธนอกกฎหมายเอ็ย.. ฟังข่าวแล้วมันจับความได้แบบนี้ จะให้คิดยังไง..ถ้าสำนักข่าวไทยไม่มีปัญญาจะไปทำข่าวเอง คิดแต่จะซื้อข่าวจาก News Agency ที่ Pro-Israel ก็ให้เลิกใช้คำว่าสำนักข่าวไทยดีกว่า ..แต่ถ้ายังมีจริยธรรมและจิตวิญญาณสื่อมวลชนอยู่บ้าง ก็ขอให้ใช้แหล่งข่าวอื่นๆที่มีความเป็นกลางบ้าง ..อย่างกรณี BBC เล่นงานไทยเรื่องข่าว ผู้ลี้ภัยโรฮิงยา ... แบบนี้พวกสำนักข่าวไทยกล้าอ่านตามข่าวตะวันตกหรือไม่ คุณรู้สึกอย่างไรกับข่าวนี้ ข่าวกาซ่าที่เสนอด้วยมุมมองที่ลำเอียงอย่างตะวันตก ที่พวกคุณอ่านอยู่ทุกวัน ก็ทำความชอกช้ำใจให้ชาวปาเลสไตน์ ได้มากกว่า...

     

แชร์หน้านี้

Loading...