ประสบการณ์ตายแล้วฟื้นของ Betty J.Eadie สู่หนังสือ "อานุภาพรัก" (Embraced by the Light)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 24 ธันวาคม 2011.

  1. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อานุภาพรัก (Embraced By The Light)

    เขียนโดย : Betty J. Eadie
    แปลโดย : อมรา ตัณฑ์สมบุญ


    [​IMG]



    ความตาย คือสิ่งทีทุกชีวิตต้องประสบ
    เป็นความรู้สึกหวาดหวั่นและน่าสะพรึงกลัว เมื่อคิดว่าสักวันเวลานั้นต้องมาถึง
    แต่ใครเล่าจะหลีกเลี่ยงประสบการณ์นี้พ้น
    อานุภาพรัก เป็นบทบันทึกของ ผู้ผ่านความตาย มาแล้ว
    แต่ด้วยอานุภาพแห่งรักและความดีงาม จึงโอบอุ้มเธอผ่านพ้นหุบเหวแห่งความตาย
    และได้เรียนรู้คุณค่าของความตายนั้น เพื่อเปิดโอกาสแห่งการมีชีวิต...อีกครั้ง

    ............................

    ประตูแห่งความตายเปิดกว้างรับทุกชีวิต
    หนทางต่อไปจากประตู คือสิ่งที่ "เลือกได้"
    และ "ต้องเลือก" เมื่อยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น


    .................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2011
  2. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อานุภาพรัก (Embraced By The Light)

    เขียนโดย : Betty J. Eadie
    แปลโดย : อมรา ตัณฑ์สมบุญ



    จากใจของผู้แปล (บางส่วน)

    หนังสือเรื่องนี้มีความลึกซึ้งของอารมณ์ จิตใจ ของความเข้าใจชีวิตความเข้าใจธรรมชาติ
    สู่ความลุ่มลึกของอภิปรัชญา และสิ่งที่สำคัญก็คือความรักในหลายๆ ลักษณะที่จะช่วยจรรโลงและเยียวยาความเจ็บปวดต่างๆ
    ที่มนุษย์ต้องเผชิญในระหว่างที่มีชีวิตอยู่...


    ...ตั้งแต่ตอนเด็กๆ มาแล้ว ดิฉันเคยสงสัยมาตลอดว่า ทำไมสวรรค์ที่คนไทยตายไปเห็นแล้วกลับมาบอกก็เป็นลักษณะหนึ่ง
    สวรรค์ที่คนจีนตายไปเห็น แล้วกลับมาบอกก็เป็นอีกลักษณะหนึ่ง แล้วสวรรค์ของฝรั่งก็เป็นรูปลักษณ์อีกแบบหนึ่ง
    ดิฉันก็เลยสงสัยว่า แล้วตกลงจริงๆ สวรรค์จะเป็นลักษณะใดกันแน่

    ต่อมา เมื่อทำวิจัยถอยจิตบำบัดให้คนหลายๆ ชาติ หลายๆ ความเชื่อ ก็พบว่ารายละเอียดบางส่วนของประสบการณ์
    จะเป็นภาพสะท้อนของ "คติหรือความเชื่อ" ที่ถูกปลูกฝังมาในแต่ละราย ดังเช่น ภาพของสวรรค์ การแต่งตัว
    หรือลักษณะของสถาปัตยกรรมต่างๆ บุคคลที่ไปพบ ตลอดจนกิจกรรมที่ไปทำ หรือไปเห็น เป็นต้น
    มักมีส่วนได้รับอิทธิพลสะท้อนจากสิ่งที่เจ้าตัวเคยเชื่อ หรือจากสิ่งที่ถึงจะไม่ได้เชื่อแต่ก็เคยได้ยิน
    ได้เห็นมาบ้างจนอยู่ในความทรงจำ

    ซึ่งในประเด็นนี้ ดิฉันก็คิดว่าบางส่วนของประสบการณ์ของเบ็ตตี้ก็คงเช่นเดียวกัน คือเป็นภาพสะท้อนความเชื่อ
    และความทรงจำในอดีตของเธอ

    แต่ทว่าก็ยังมีอีกหลายๆ ส่วนของประสบการณ์ดังที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น(เช่น อุโมงค์เวลา และอื่นๆ)
    ที่เป็นสากลตรงกันในแทบทุกราย ไม่ขึ้นอยู่กับภูมิหลังของเชื้อชาติและศาสนา

    นอกจากนี้แล้ว ดิฉันก็ได้พบว่าน่าแปลกที่หลายๆราย ได้กลับไปมีประสบการณ์ที่เหมือน "อดีตชาติ"
    และมีลักษณะเชื้อชาติ ศาสนาและความเชื่อที่แตกต่างไปจาก เชื้อชาติ ศาสนา และความเชื่อ
    ที่เป็นอยู่โดยปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้ ผลการวิจัยที่ได้ ก็เผอิญตรงกันกับข้อมูลรายงานที่นักอดีตชาติบำบัดในต่างประเทศ
    เคยสรุปไว้เช่นกันว่า

    "เราเคยเป็นมาหมดแล้ว ไม่ว่าเชื้อชาติ ศาสนา ภาษาใด หรือยากดีมีจน มีชนชั้นวรรณะอย่างไร
    เราแต่ละคนในปัจจุบัน ก็เป็นผลรวมที่เราเคยเป็นมาในอดีต ในทุกๆ ชาติ"


    ตอนที่ได้รับรู้ผลการวิจัยที่ออกมาแบบนั้น ดิฉันเองก็ค่อนข้างพิศวงสงสัยว่า จะเป็นไปได้อย่างไร
    เพราะสิ่งที่ได้รับรู้ไม่ค่อยตรงกันกับเรื่องที่เคยอ่านเมื่อสมัยเด็กๆ แบบที่ว่าชาติที่แล้วๆ มาเป็นคนไทย ก็จะยังวนเวียนเป็นคนไทยอยู่ดี
    หรือถ้าเป็นฝรั่งก็จะวนเวียนเป็นฝรั่งอยู่เช่นนั้นเอง

    จึงเกิดคำถามที่เก็บไว้ในใจแต่ผู้เดียวว่า แล้วถ้าชาติที่แล้วเราไม่ได้เกิดเป็นคนไทยพุทธ ไม่ได้มีการสะสมบุญบารมีแบบที่คนไทยพุทธ
    ควรจะทำล่ะ ชาตินี้เราจะมีบุญบารมีไว้คุ้มครองตัวเองหรือไม่หนอ จะมีทางได้เข้าใกล้แสงแห่งปัญญาตามวิถีชาวพุทธบ้างไหม
    หรือว่าจะต้องไปเริ่มต้นใหม่กันแน่ แล้วถ้าเกิดชาติใหม่มีเชื้อชาติ ศาสนาที่เปลี่ยนไปอีกล่ะ วิถีการจะเข้าสู่ปลายทาง
    ของการเวียนว่ายตายเกิดของเรานั้นจะเป็นเช่นไร เราจะต้องอยู่ปลายหางแถวรอไต่เต้าไปอีกนานกว่าคนอื่นหรือไม่อย่างไร

    นอกจากนี้ยังมีคำถามว่า ถ้าคนเราเกิดเปลี่ยนการนับถือศาสนาในชีวิตนี้ด้วยล่ะ ตายไปจะไปที่สวรรค์แบบศาสนาไหนแน่
    หรือไม่ก็จะเสียเปรียบในแง่ของการสะสมบุญบารมีกว่าคนที่นับถือศาสนาเดียวมาตลอดหรือเปล่า
    ดิฉันเชื่อว่าคงมีคนหลายๆ คนเคยมีคำถามกับตัวเองในทำนองนี้เช่นกัน

    พอยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งกลัวไปใหญ่ เพราะในชีวิตนี้เอง ดิฉันเกิดเป็นชาวพุทธแต่เรียนโรงเรียนคาทอลิก มีเพื่อนฝูงหลายๆ ศาสนา
    จึงยิ่งทำให้รู้สึกว่าตนเองไม่ได้ไปทางใดทางหนึ่งอย่างจริงจัง คงจะหลุดพ้นทุกข์ได้อย่างลำบาก

    พอได้มาพบหนังสือ Embraced By The Light ตอนที่เบ็ตตี้มีคำถามว่า

    "...ทำไมจึงมีศาสนาหรือความเชื่ออยู่มากมายในโลกนี้
    ทำไมพระเจ้าจึงไม่ทรงให้พวกเรามีเพียงหนึ่งเดียว..."


    แล้วคำตอบที่เธอได้รับก็คือ

    "...เราแต่ละคนต่างก็มีพัฒนาการระดับจิตและระดับความเข้าใจที่แตกต่างกัน...
    ทุกศาสนาในโลกนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งจำเป็นทั้งนั้น
    เพราะมีผู้คนมากมายที่ต้องการคำสอนในแบบที่แต่ละศาสนาสอนอยู่...
    แต่ละศาสนา ก็ตอบสนองความต้องการธรรมะบางอย่าง
    ในแบบที่ศาสนาอื่นไม่ได้เน้น


    ไม่มีศาสนาใดเพียงศาสนาเดียว ที่สามารถตอบสนองความต้องการ
    ของคนทุกคนได้ในทุกๆ ระดับจิต..."


    เบ็ตตี้ยังเล่าอีกด้วยว่า

    "...เมื่อฉันได้รับทราบตามนี้แล้ว ก็ตระหนักด้วยว่า
    เราไม่มีสิทธิ์จะวิพากษ์วิจารณ์นิกายหรือศาสนาอื่นๆ
    ไม่ว่าจะในทางใดก็ตาม ทุกศาสนา ทุกนิกาย
    ล้วนมีค่าสูงยิ่งและสำคัญในสายตาของพระเป็นเจ้า..."



    เมื่อได้อ่านถึงตรงนี้ ดิฉันรู้สึกว่าความกังวลในใจของตัวเองนั้นหายไปอย่างมาก ดิฉันไม่ทราบได้ว่านั่นเป็นความคิดของเบ็ตตี้เอง
    หรือเป็นความจริง

    แต่สำหรับดิฉันแล้ว แนวคิดนี้ก็นำ "สันติภาพ" มาให้แก่ตัวเองได้มาก เพราะเกิดความเคารพอย่างจริงใจในการที่คนอื่นๆ
    มีทัศนะต่อการนับถือศาสนาหรือมีความเชื่อใดๆ ซึ่งอาจจะแตกต่างจากของเรา เป็นความเคารพและยอมรับจริงๆ
    โดยไม่ได้เป็นไปตามมารยาท

    "สันติภาพ" ที่เราทุกคนต่างก็เรียกร้อง และภาวนาให้เกิดกับสังคมประเทศ และโลกของเรา
    เพราะไม่อยากให้มีสงครามที่จะนำภัยพิบัติมาสู่เรา แต่ "สันติภาพ" ของหน่วยใหญ่นั้นก็คงจะต้องเริ่มจาก "สันติภาพ"
    ในใจของเราซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดก่อน แล้วจึงแผ่ออกไปสู่คนรอบๆ ตัวจริงไหมคะ

    ก็ในเมื่อทุกศาสนาก็มีจุดประสงค์ไปที่เดียวกัน
    คือให้รักและเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน
    ส่วนที่แตกต่างออกไปก็เป็นแค่รายละเอียด
    ที่ให้จุดประสงค์นั้นสื่อไปได้เหมาะสมกับแต่ละคน


    และเมื่อคนแต่ละคนมีรายละเอียดที่ไม่เหมือนกัน เราอาจชอบหรือไม่ชอบอะไรก็ได้แล้วแต่เรา แต่เราไม่อาจตัดสินใคร
    หรืออะไรว่าถูกหรือผิดโดยอยู่บนพื้นฐานของความชอบหรือไม่ชอบของเราเอง

    เราอาจจะไม่สามารถทำใจเชื่อได้ทันทีว่าศาสนาทุกศาสนาไปที่เดียวกันก็จริง แต่เราจะปฏิเสธไหมล่ะคะว่า
    ทุกศาสนาต่างก็มีจุดมุ่งหมายเพื่อสอนให้เราไปสู่ผลลัพธ์ของความรักและเมตตาซึ่งกันและกันทั้งสิ้น
    แต่ที่คนเราต้องมาแบ่งแยกออกจากกัน ก็เพราะความแตกต่างที่เป็นรายละเอียดนี่เอง

    ถ้าเราเกลียดชังใครเพราะเขามาทำร้ายให้เราเจ็บปวด
    เรายังต้องอภัยให้เลย แล้วคนที่ยังไม่ทันทำให้เราเจ็บปวดตรงๆ
    แต่เพียงแค่คิดและศรัทธาต่างจากเราเท่านั้นเอง
    จะไปเกลียดชังหรือทำให้เขาเจ็บทำไมกัน

    หากเราไม่ลืมสาระที่เป็นจุดมุ่งหมายสำคัญ ซึ่งทุกศาสนาก็สอนไว้แล้วคือให้ "รักและเมตตาซึ่งกันและกัน"
    ชีวิตประจำวันของเราคงจะราบรื่นสงบสุขได้ จนลดปัญหาประเภทเธอกับฉันพูดกันได้ไม่สนิทใจ เพราะเธอไม่ได้นับถือ
    ในสิ่งเดียวกับที่ฉันนับถืออยู่ อีกทั้งน่าจะช่วยลดปัญหาชีวิตและครอบครัว ที่เกิดจากการไม่สามารถยอมรับเขย
    หรือสะใภ้ต่างศาสนา จนเกิดเป็นความรันทดใจของทุกฝ่ายลงได้บ้าง

    ถ้าเรานับถืออะไร เพราะช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น ก็เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว
    น่าจะเก็บถนอมไว้เป็นความภูมิใจที่เรามีโอกาสดีๆ เช่นนั้น
    แต่อย่าลืมด้วยว่า คนอื่นก็คงรู้สึกเหมือนกันกับสิ่งที่เขานับถืออยู่

    ก็ใจเขาใจเรา


    ..........................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2011
  3. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อานุภาพรัก (Embraced By The Light)

    เขียนโดย : Betty J. Eadie
    แปลโดย : อมรา ตัณฑ์สมบุญ



    จากใจของผู้แปล (บางส่วน) (ต่อ)


    ...เช่นเดียวกันค่ะดิฉันเองก็ไม่มีจุดประสงค์ที่จะมาเขย่า หรือสั่นคลอนความเชื่อของศาสนาใดๆเลย
    ตรงกันข้าม ดิฉันคิดว่าการที่เราสามารถได้รับรู้สิ่งนี้น่าจะเป็นโอกาสให้เราได้หันกลับไปมองศาสนาที่ตัวเราเองนับถืออยู่
    ด้วยความเข้าใจที่ลึกขึ้น และมีศรัทธามากยิ่งขึ้นเพื่อที่จะนำพาให้เราได้ไปสู่ประโยชน์อันยิ่งใหญ่ที่เป็นผลลัพธ์
    ของจุดประสงค์หลักที่แต่ละศาสนาก็มีไว้ให้เราอยู่แล้วต่างหาก

    แทนที่เราจะไปค้นคว้าหาความแตกต่าง หรือค้นพบว่าศาสนาต่างๆมีความเหมือนกันโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานว่าใครไปลอกเลียนแบบใคร
    เป็นไปได้ไหมคะว่า เราจะมองอีกแง่ว่าในความแตกต่างซึ่งก็มีอะไรที่มาเหมือนกันโดยบังเอิญนั้น มีบางอย่างที่เป็น "สัจธรรม"
    ซึ่งเป็นสากล และถูกต้องตรงกันจากหลายๆวิถีทางซึ่งน่าจะให้เราทุกคนได้ร่วมกันดีใจใน "สัจธรรม" ที่เหมือนกันนี้ต่างหาก
    ส่วนที่แตกต่างกันก็ถือเป็นส่วนเสริม...


    ...ในชีวิตที่ผ่านมาของคนแทบจะทุกคนก็คงมีประสบการณ์ต่างๆ ที่ทำให้เราเชื่อว่าเราไม่สมควรได้รับสิ่งดีๆ
    หรือเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คงไม่ดูแลเรา เพราะเรายังเป็นคนดีไม่พอ เช่นเดียวกับที่เบ็ตตี้เคยเป็น ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนเกือบทั้งโลก
    อย่างเป็นสากล จึงทำให้เราอาจเข้าหาศาสนาอยากได้รับพร
    แต่ตัวเราเองกลับไม่เชื่อเองว่าพรหรือความคุ้มครองเหล่านั้นจะเกิดขึ้นกับเราได้จริง...


    ...เบ็ตตี้ได้เขียนถึงประเด็นนี้ไว้ชัดเจนว่า เราไม่ต้องกลัวเลย พระเจ้า (หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ก็ตามที่เรานับถืออยู่)
    คอยช่วยเราอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอยู่ที่ท่าทีของเราเอง ที่จะเชื่อว่าเราจะได้รับสิ่งดีงามนั้นหรือไม่
    แต่ก็ไม่ใช่เอาแต่เชื่ออย่างเดียวโดยไม่ทำอะไรเลย

    พระเจ้าที่เบ็ตตี้เล่าถึงนั้นทรงคอยช่วยเหลือก็จริง แต่ไม่ทรงก้าวก่ายในชีวิตเรา ถ้าความทุกข์นั้นเป็นวัตถุประสงค์ชีวิต
    ที่เราต้องเรียนรู้เราก็ต้องประสบและเรียนรู้ที่จะผ่านไปด้วยปัญญา...



    .......................
     
  4. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อานุภาพรัก (Embraced By The Light)

    เขียนโดย : Betty J. Eadie
    แปลโดย : อมรา ตัณฑ์สมบุญ




    หน้า 73-77

    “เลือกร่างมาเกิด (Selecting a Body)”

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

    …พี่เลี้ยงของฉันบอกว่า ในโลกของจิตวิญญาณนั้น เราจะมีวิญญาณบางดวงที่ผูกพันกันมาฉันพี่น้อง
    ซึ่งเราจะรู้สึกสนิทสนมใกล้ชิดเป็นพิเศษ เราจึงตกลงกันกับวิญญาณเหล่านี้ ให้ไปเกิดเป็นครอบครัวเดียวกัน
    หรือเป็นเพื่อนกันในโลกมนุษย์

    ด้วยความผูกพันทางจิตวิญญาณนั้นเป็นผลมาจากความรักที่เรามีต่อกัน ซึ่งค่อยๆพัฒนามาตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน
    มานานนับนิรันดร์กาล

    ก่อนมาเกิดนั้น เราได้เลือกวิญญาณบางดวงที่สนิทกันให้มาเกิดพร้อมกันอีกในโลกนี้ เพราะว่ามีงานที่ต้องมาทำด้วยกัน
    บ้างก็ต้องการมารวมตัวกันโดยมีจุดมุ่งหมายเ พื่อการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างให้กับโลก
    ซึ่งเราจะสามารถบรรลุจุดประสงค์ได้ดี ถ้ามีสถานการณ์บางอย่างมาประกอบด้วย โดยที่พ่อแม่หรือคนอื่นที่เราเลือกสรรมาแล้ว
    จะเป็นผู้ก่อให้เกิดสถานการณ์นั้นขึ้น

    ส่วนพวกเราบางคนก็ต้องการเกิดมา เพื่อจะเสริมวิถีทางของโลกที่มีอยู่แล้วให้แข็งแรงขึ้น และปูทางใหม่ๆเพิ่มบ้างสำหรับคนอื่นๆ
    ที่จะตามมาทีหลัง

    เราเข้าใจดีว่าเราต่างก็จะมีอิทธิพลต่อกันและกันในชาตินี้ รวมถึงรู้แล้วว่าจะได้รับถ่ายทอดคุณสมบัติทั้งด้านสรีระ
    และพฤติกรรมต่างๆมาทางครอบครัว เรารู้ถึงลักษณะทางพันธุกรรมที่กายเนื้อจะได้รับมา และรู้ถึงว่ารูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ
    จะมีลักษณะเฉพาะเป็นอย่างไรบ้าง ทุกอย่างเหล่านี้เป็นสิ่งเราต้องการให้เป็น และจำเป็นจะต้องให้เป็นอย่างนั้นเสียด้วย....

    ...ฉันประหลาดใจมากที่เราได้วางแผนและตัดสินใจต่างๆนานาเพื่อที่จะสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น พวกเราล้วนเต็มใจ
    พร้อมที่จะเสียสละเพื่อผู้อื่น ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นทำไปก็เพื่อให้ดวงจิตวิญญาณแต่ละดวงได้พัฒนา
    ไม่ว่าประสบการณ์หรือพรสวรรค์ หรือข้อด้อยทุกประการ ต่างเป็นการออกแบบมาเพื่อให้เกิดการเติบโต
    สิ่งต่างๆบนโลกมนุษย์นั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยเหลือเกิน จนแทบไม่มีอะไรเลยสำหรับพวกเราในภพภูมิของจิตวิญญาณ

    “เรามองทุกสิ่งทุกอย่างจากมุมมองของจิตวิญญาณ ไม่ใช่จากมุมมองของวัตถุ”

    .........................................................
     
  5. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อานุภาพรัก (Embraced By The Light)

    เขียนโดย : Betty J. Eadie
    แปลโดย : อมรา ตัณฑ์สมบุญ


    หน้า 78-81

    “คนเมา (The Drunken Man)”

    [​IMG]


    การมาเกิดในโลกมนุษย์ ก็เหมือนกับการเลือกมหาวิทยาลัยและเลือกวิชชาที่จะเรียน
    พวกเราทั้งหมดต่างมีระดับพัฒนาการของจิตวิญญาณที่แตกต่างกัน และเราก็ได้มาเกิดในจุดที่พอเหมาะกันดีที่สุด
    กับความต้องการของจิตวิญญาณเรา

    ในนาทีที่เราตัดสินคนอื่นว่าผิดหรือมีข้อบกพร่องใดๆก็ตาม เราก็กำลังถูกฉายให้เห็นข้อบกพร่องในลักษณะเดียวกันนั้น
    ที่มีอยู่ในตัวเราเองเช่นกัน ด้วยความเป็นมนุษย์ เราไม่มีความรู้พอที่จะไปตัดสินใครได้อย่างถูกต้องแม่นยำ

    และราวกับว่าสวรรค์ต้องการจะแสดงให้เห็นถึงหลักการนี้ชัดเจน จึงม้วนตัวออกไป เผยให้ฉันเห็นภาพโลกมนุษย์อีกครั้ง

    ครั้งนี้ภาพที่เห็นพุ่งตรงไปที่หัวมุมของถนนในเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง ตรงนั้นมีชายผู้หนึ่งนอนเมามายไม่ได้สติอยู่บนทางเท้าข้างตึก
    หนึ่งในเทวดาผู้นำทางถามฉันว่า “เห็นอะไรบ้างจ๊ะ?”

    “ก็..ขอทานขี้เมานอนอยู่ในซอกตึก ไงหละค่ะ” ฉันตอบแบบไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมต้องมาดูด้วย

    เทวดาผู้นำทางมีอาการกระตือรือร้นขึ้นและบอกว่า “คราวนี้จะให้ดูว่าจริงๆแล้วเขาเป็นใคร”

    แล้ววิญญาณของเขาก็เผยตัวออกมา ฉันได้เห็นชายที่สง่างาม และเอิบอิ่มไปด้วยรัศมีสว่าง ความเมตตากรุณาฉายชัดออกมาจากตัวเขา

    ฉันเข้าใจได้ว่าเขาเป็นบุคคลที่สวรรค์ให้การยกย่องเป็นอย่างยิ่ง ดวงวิญญาณอันยิ่งใหญ่ดวงนี้ มาจุติบนโลก
    เพื่อสอนบทเรียนสำคัญให้แก่เพื่อนทางจิตวิญญาณคนหนึ่งซึ่งเขามีความผูกพันด้วย

    เพื่อนของเขานั้นเป็นทนายความใหญ่ ซึ่งมีที่ทำงานอยู่ห่างจากมุมถนนไปไม่กี่ช่วงตึก
    ถึงแม้ว่าคนเมานี้จะจำพันธะสัญญาที่เคยตกลงกับเพื่อนเขาไว้ไม่ได้แล้วก็จริง แต่วัตถุประสงค์ของชีวิตเขา
    ก็คือเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้เพื่อนระลึกได้ ถึงความขาดแคลนของผู้อื่น

    ฉันเข้าใจว่าธรรมชาติของทนายความผู้นั้น ก็เป็นคนเห็นอกเห็นใจผู้อื่นอยู่แล้ว แต่การได้เห็นคนเมานี้
    จะยิ่งจุดประกายให้เขาได้แบ่งปันความมั่งมีของเขาไปให้คนที่ขาดแคลนมากขึ้นอีก ฉันรู้ว่าทั้งคู่จะได้พบกัน
    และทนายความผู้นั้นก็จะระลึกถึงจิตวิญญาณแท้จริงที่อยู่ข้างในของคนเมาได้-รูปทองที่ซ่อนอยู่ภายใน
    แล้วก็จะเกิดความอยากทำอะไรดีๆอีกมาก

    แม้พวกเขาจะไม่มีวันได้รู้ถึงบทบาทที่ต่างได้ตกลงกันมาก็จริง แต่ภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาทำ ก็สำเร็จอยู่ดี
    คนเมาคนนั้นได้ยอมสละเวลาหนึ่งชีวิตเพื่อยังประโยชน์ให้แก่อีกคนหนึ่ง พัฒนาการทางจิตของเขาก็ยังดำเนินต่อไป
    ส่วนสิ่งอื่นๆที่เขาอาจจำเป็นต้องใช้ในการก้าวต่อไปนั้น เขาก็จะได้รับในเวลาต่อไป

    ฉันระลึกขึ้นมาได้ว่าก็เคยเช่นกันที่ได้พบกับใครๆที่รู้สึกเหมือนว่าคุ้นเคยโดยไม่รู้จักมาก่อน
    ครั้งแรกที่พบก็รู้สึกสนิทสนมทันทีเหมือนรู้จักกันดี โดยที่ก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงรู้สึกแบบนั้น ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าคนพวกนั้น
    เข้ามาสู่วิถีชีวิตของฉันเนื่องจากมีเหตุผลบางประการ แต่เรายังไม่เข้าใจเหตุผลนั้น ฉันจึงถือว่าคนเหล่านั้นเป็นคนพิเศษเสมอมา

    เสียงพี่เลี้ยงฉันดังขึ้นมา ดึงให้ฉันออกจากห้วงของความคิด พวกเขาพูดว่า

    "มนุษย์ยังไม่มีความรู้ที่บริสุทธิ์เพียงพอ จึงไม่ควรจะไปพิพากษาตัดสินใครเลย"

    คนที่เดินไปมาผ่านคนเมาที่อยู่มุมตึกนั้น ไม่สามารถจะเห็นวิญญาณที่สูงส่งซึ่งอยู่ภายใน จึงตัดสินเอาจากรูปกายภายนอก

    ฉันเองก็เคยทำผิดเพราะตัดสินคนแบบนี้เช่นกัน คือในใจตัดสินคนอื่นไปแล้วโดยดูจากฐานะหรือความสามารถที่เขาแสดงออกมา
    ตอนนี้เห็นแล้วว่าฉันไม่ยุติธรรมเลย ฉันไม่เคยรู้ไปถึงว่าชีวิตจริงๆของพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง หรือยิ่งกว่านั้น
    คือไม่รู้ไปถึงว่าจิตวิญญาณของพวกเขาเป็นอย่างไร

    ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาว่า “คนจนอยู่กับท่านตลอดไป และเมื่อใดที่ท่านจะทำ ท่านก็สามารถช่วยเขาได้”

    แต่แม้ว่าถ้อยคำจากพระคัมภีร์บทนี้ จะมาเตือนสติก็ตาม ฉันกลับรู้สึกหงุดหงิด

    ทำไมเราถึงมีคนจนอยู่กับเรา?

    ทำไมพระเจ้าถึงไม่กระตุ้นทะนายความคนนั้นให้แบ่งปันเงินทองของเขาแก่คนอื่นๆ?

    ทำไมพระเจ้าไม่ประทานทุกอย่างให้ทุกคนเพียงพอหละ?

    เทวดาผู้นำทางรีบขัดจังหวะกระแสความคิดของฉันอีกครั้ง และพูดว่า

    “ในหมู่มนุษย์นั้น ก็มีเทพเดินปะปนด้วยอยู่แล้ว แต่มนุษย์เองยังไม่รู้ตัวว่ามี”

    ฉันเกิดความงงงัน เทพผู้ชี้ทางจึงช่วยให้ฉันเข้าใจมากขึ้นว่า พวกเราต่างก็มีความขาดแคลนกันทุกคน ไม่ใช่เฉพาะคนจนเท่านั้น
    และเราทั้งหมดก็ได้ทำพันธะสัญญากันไว้ตั้งแต่ตอนเป็นจิตวิญญาณว่า จะมาช่วยเหลือกัน
    แต่เราก็ไม่ค่อยได้จริงจังที่จะทำตามสัญญาที่ตกลงกันไว้เมื่อนานมาแล้วนั้นตากหาก

    ดังนั้นพระเจ้าจึงได้ส่งเทพยดาลงมากระตุ้นเตือนเรา เพื่อช่วยให้เรารักษากติกาเหล่านี้อย่างซื่อตรง

    พระองค์จะไม่บังคับเราก็จริง แต่ก็กระตุ้นเตือนเราได้ เราไม่รู้ว่าเทพยดาเหล่านี้เป็นใครบ้าง
    เพราะเขาก็ปรากฎตัวเหมือนคนธรรมดาๆ แต่ที่แน่ๆคือเราได้พบปะอยู่กับเหล่าเทพยดานี้บ่อยกว่าที่เรารู้ตัวอีก

    ฉันรู้ตัวเลยว่าได้เข้าใจพระเจ้าผิด และได้ประเมินความช่วยเหลือของพระองค์ที่ทรงมีให้พวกเราผิดไปอย่างถนัดเลย
    แต่ก็ไม่รู้สึกถูกตำหนิแต่อย่างใด พระองค์ทรงประทานความช่วยเหลือทุกอย่างที่ทรงทำได้
    ตราบเท่าที่ไม่เป็นการก้าวก่ายเสรีภาพแห่งเจตนา ตลอดจนความเป็นส่วนตัวของเรา เราต้องเต็มใจที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

    เราต้องเต็มใจที่จะเห็นว่าคนจนนั้นมีคุณค่าควรนิยมนับถือได้ เช่นเดียวกับคนรวย เราต้องเต็มใจที่จะยอมรับคนอื่นๆได้ทั้งหมด
    แม้แต่คนที่แตกต่างไปจากเรา คนทุกคนมีคุณค่าพอสำหรับความรักและความกรุณาจากเรา เราไม่มีสิทธิ์ที่จะเหลืออดหรือโกรธ
    หรือ “เบื่อหน่าย”

    เราไม่มีสิทธิ์จะดูหมิ่นคนอื่นหรือจะประณามคนอื่นแม้แต่คิดในใจ สิ่งเดียวที่เราสามารถนำติดตัวไปจากชีวิตนี้ได้ก็คือ
    ความดีที่ได้ทำไว้ให้กับคนอื่น ฉันเห็นว่าความดีงามที่เราทำและคำพูดที่พูดปลอบโยนคนอื่นๆทั้งหมดนั้น
    จะกลับมาประสาทความสุขให้แก่เราเป็นร้อย เท่าหลังจากชีวิตนี้ การทำบุญทำทาน จะทำให้เราได้พบกับความเข้มแข็งที่มีอยู่ในตนเอง

    พี่เลี้ยงและฉันต่างเงียบกันไปครู่หนึ่ง ภาพคนเมาได้หายไปแล้ว แก่นแท้ของวิญญาณฉันอิ่มเอิบไปด้วยความรักและความเข้าใจ

    จริงสิ ฉันสามารถช่วยเหลือคนอื่น ดังเช่นที่คนเมาจะช่วยเหลือเพื่อนของเขาได้

    จริงสิ ฉันสามารถเป็นผู้นำความสุขมาให้กับคนอื่นๆในชีวิตฉันก็ได้ แก่นแท้ของวิญญาณฉันกึกก้องไปด้วยสัจธรรมอันหลังสุดนี่เองที่ว่า

    การทำบุญทำทานจะทำให้เราได้พบกับความเข้มแข็งที่มีอยู่ในตนเอง

    ...........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2011
  6. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อานุภาพรัก (Embraced By The Light)

    เขียนโดย : Betty J. Eadie
    แปลโดย : อมรา ตัณฑ์สมบุญ



    (หน้า 82-85 )

    “คำอธิษฐาน (Prayer)”


    [​IMG]

    ความรู้ที่พรั่งพรูเข้ามาให้ฉันทราบเกี่ยวกับมนุษยชาติ เกี่ยวกับคุณค่าของวิญญาณแต่ละดวงซึ่งสูงส่งเทียมสวรรค์นั้น
    ทำให้ฉันรู้สึกว่ารู้น้อยเหลือเกิน ฉันกระหายอยากได้ปัญญาและความรู้มากขึ้นอีก

    แดนสวรรค์ที่เห็นจึงม้วนตัวกลับออกไปอีกครั้ง เผยให้เห็นลูกโลกลอยอยู่ในอวกาศ มีลำแสงหลายๆลำ
    ผุดขึ้นมาจากโลกเหมือนเป็นไฟสัญญาณ แสงบางลำก็กว้างมากและพุ่งตรงไปที่สวรรค์เหมือนแสงเลเซอร์อันใหญ่ๆ
    ส่วนแสงลำอื่นๆเปรียบเหมือนแสงเล็กๆจากไฟฉายปลายปากกา และบางลำก็เป็นแค่ประกายไฟเท่านั้น
    ฉันประหลาดใจมากเมื่อได้ทราบว่าลำแสงแห่งพลังเหล่านี้ก็คือ “แรงอธิษฐานจากมนุษย์บนโลก”

    ฉันเห็นเหล่าเทพยดาพากันรีบไปสนองตอบคำอธิษฐาน เหล่าเทพมีการจัดโครงสร้างแบ่งงานกัน
    ให้สามารถช่วยเหลือคนได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

    ภายใต้โครงสร้างที่แบ่งงานกันแล้วนี้ เทพยดาต่างๆก็จะบินไปช่วยมนุษย์คนนั้นทีคนนี้ที

    เป็นการบินจริงๆ อย่างที่หมายความเลย บินไปสนองคำอธิษฐานนี้แล้ว ก็ไปที่คำอธิษฐานโน้น
    โดยต่างก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความเบิกบานในงานที่ทำ เหล่าเทพยดามีความยินดีที่จะได้ช่วยเรา
    และเบิกบานเป็นพิเศษเมื่อมีใครอธิษฐานอย่างหนักแน่นจริงจัง และเต็มเปี่ยมไปด้วยศรัทธามากพอ
    จนสามารถจะดึงดูดให้เกิดการตอบสนองในทันที

    คำอธิษฐานที่มีลำแสงเข้มกว่าและใหญ่กว่า จะได้รับการตอบสนองก่อนเสมอ แล้วค่อยเรียงไปตามลำดับความเข้มลำดับต่อไป
    จนกระทั่งตอบสนองคำอธิษฐานทั้งหมดได้ครบ

    ฉันสังเกตเห็นได้ชัดเจนเลยว่า การสวดอ้อนวอนซ้ำซากแต่ไม่มีความศรัทธาจริงจังนั้น แม้จะมีแสงแต่ก็เพียงริบหรี่มาก
    และไม่มีพลังเอาเลย ซึ่งส่วนใหญ่จึงไม่เป็นที่สังเกตรับรู้ได้อย่างสิ้นเชิง

    ฉันถูกย้ำให้เข้าใจชัดเจนว่าคำอธิษฐานใดๆ ซึ่งมีความมุ่งมาดปรารถนาแท้จริง ย่อมจะเป็นที่รับทราบและได้รับการตอบสนองทุกครั้ง

    เวลาเรามีความต้องการที่ยิ่งยวด หรือเวลาที่สวดภาวนาให้แก่คนอื่น ลำแสงจะพุ่งตรงออกจากตัวเราและจะมองเห็นได้ในทันที
    เขาบอกด้วยว่า

    “ไม่มีคำอธิษฐานใดๆ จะยิ่งใหญ่ไปกว่าคำอธิษฐานที่แม่ขอให้แก่ลูก”

    ซึ่งเป็นคำอธิษฐานที่ใสบริสุทธิ์ที่สุด อันเนื่องมาจากความปรารถนาที่แรงกล้าของแม่ และหลายๆครั้ง
    ก็ผนวกด้วยความรู้สึกอับจนหนทาง คนเป็นแม่สามารถที่จะมอบหัวใจของเธอให้แก่ลูกๆได้ และก็สามารถที่จะวิงวอนจนสุดกำลัง
    จนกว่าพระเจ้าจะช่วยลูกๆได้

    อย่างไรก็ตาม เราเองก็มีความสามารถที่จะไปให้ถึงพระเจ้าด้วยการอธิษฐานเช่นเดียวกันนี้ได้ทุกคน

    เมื่อเราตั้งจิตอธิษฐานด้วยความปรารถนาที่แน่วแน่ออกไปแล้ว เราต้องปล่อยวางและต้องเชื่อมั่นในอานุภาพของพระเจ้า
    ที่จะทรงจัดการสนองให้สมดังปรารถนา พระองค์ทรงรู้ถึงความต้องการของเราตลอดเวลา
    เพียงแต่ทรงกำลังรอเราแสดงความจำนงให้พระองค์ทรงช่วย พระองค์ทรงมีอำนาจทั้งปวงที่จะสนองตอบคำอธิษฐานใดๆก็ได้
    แต่ต้องเป็นไปตามครรลองของกฎธรรมชาติ ที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ และตามเสรีภาพแห่งเจตนาที่เราได้เลือกเองไว้แล้ว

    เราต้องเปิดตัวเองให้รับเจตนารมณ์ของพระองค์มาด้วย เราต้องเชื่อมั่นในพระองค์ ทันทีที่เราขอด้วยความปรารถนาที่แท้จริง
    ตรงกับใจและไร้ข้อกังขา เราก็จะได้รับสิ่งที่ขอนั้น

    คำภาวนาที่เราขอให้คนอื่นนั้นมีอานุภาพมาก แต่จะได้รับการสนองตอบเฉพาะเมื่อสิ่งที่ขอนั้นไม่ไปล่วงล้ำเสรีภาพแห่งเจตนาคนอื่น
    หรือตราบเท่าที่ไม่ไปขัดขวางให้ผู้อื่นไม่สมหวัง พระเจ้าทรงเคารพกติกาที่จะปล่อยให้เราจัดการอะไรด้วยตัวเราเอง
    แต่ก็ทรงเต็มใจที่จะช่วยเหลือในทุกวิธีที่เป็นได้

    ถ้าเพื่อนเรามีศรัทธาที่อ่อนล้าลง ความเข้มแข็งของจิตวิญญาณเราจะช่วยเป็นหลักดึงพวกเขากลับมาได้
    ถ้าพวกเขาเจ็บป่วย บ่อยครั้งที่การอธิษฐานอย่างมีศรัทธาสามารถช่วยเติมความเข้มแข็งแก่เขา จนเกิดการเยียวยาได้
    นอกเสียจากว่าการป่วยนั้น ถูกกำหนดมาให้เป็นสิ่งที่ช่วยให้เขาได้เติบโต

    ถ้าความตายของเขามาเยือน เราต้องระลึกไว้เสมอที่จะอธิษฐานให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า
    ไม่เช่นนั้น เราอาจไปทำให้คนที่กำลังจะตายไปนั้นติดขัด เพราะเกิดเป็นวัตถุประสงค์ที่ขัดกันอยู่
    ขอบเขตที่เราจะช่วยเหลือผู้อื่นได้นั้นมหาศาลยิ่งนัก เรายังสามารถทำสิ่งดีๆให้กับครอบครัวเรา เพื่อนๆของเรา
    หรือคนอื่นๆได้อีกมากมาย เกินกว่าที่เคยนึกเอาไว้

    สิ่งที่รู้นี้ ฟังดูธรรมดามาก ธรรมดาเกินไปด้วยซ้ำสำหรับฉันในตอนแรก ฉันเคยคิดเสมอว่าการสวดภาวนานั้น
    เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ ฉันคิดว่าเราต้องใช้วิธีตื๊อพระเจ้า และก็ตื๊อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเกิดอะไรขึ้น

    ฉันเคยมีระบบการขอแบบของฉันเอง โดยจะเริ่มด้วยการขอสิ่งที่ฉันต้องการก่อน แล้วจากนั้นก็จะใช้วิธีติดสินบนเข้ามาด้วย
    แบบพูดอ้อมๆว่าการช่วยฉันนั้น จะเป็นประโยชน์กับพระองค์เองอย่างไร

    ถ้าวิธีนั้นยังไม่สำเร็จอีก ต่อไปฉันก็จะเริ่มต่อรอง เช่นเสนอว่าจะเชื่อฟังหรือเสียสละอย่างนั้นอย่างนี้
    เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่พระองค์จะทรงดลบันดาลให้สมหวัง

    แล้วถ้าจนหนทางจริงๆแล้วฉันจึงจะอ้อนวอนขอ จนเมื่อทุกวิธีไม่สำเร็จหมดแล้ว ฉันก็จะอาละวาด

    ระบบที่ฉันเคยทำมานี้ กลับได้ผลสนองตอบต่อคำสวดอธิษฐานของฉันน้อยกว่าที่หวังไว้อย่างลิบลับ

    เดี๋ยวนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าคำอธิษฐานของฉัน เป็นอาการของความไม่เชื่อ อุบายเหล่านี้ก็มาจากการขาดศรัทธา
    ไม่เชื่อว่าพระองค์จะทรงเต็มใจอยู่แล้ว ที่จะสนองตอบฉัน โดยคำนึงถึงคุณงามความดี และความต้องการของฉันเองเป็นหลัก

    ฉันกังขาว่าพระองค์จะทรงมีความยุติธรรมหรือมีความสามารถจริงหรือ และก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าพระองค์ทรงฟังฉันอยู่หรือเปล่า
    ความไม่เชื่อทั้งหมดนี้ ได้กีดกันฉันออกจากพระเจ้า

    แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า พระเจ้าไม่เพียงแค่ทรงได้ยินคำอธิษฐานของเราเท่านั้น แต่ยังทรงรู้ถึงความต้องการของเรามานาน
    ก่อนที่เราเองจะรู้เสียอีก

    ฉันรู้ว่าพระองค์และเทพยดาของพระองค์ สนองตอบคำอธิษฐานของเราอย่างเต็มอกเต็มใจ และมีความสุขกับการได้ทำเช่นนั้นด้วยซ้ำ

    อย่างไรก็ตาม ฉันรู้แล้วว่าพระเจ้าทรงเห็นทุกอย่าง จากมุมมองที่เราไม่มีวันรับรู้ได้เท่า พระองค์ทรงเห็นลึกไปถึงอดีต
    และอนาคตที่ไม่ดับสูญของเรา และทรงรู้ถึงความต้องการที่ไม่มีวันหมดของเราเป็นอย่างดี

    ด้วยความรักความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์นั้น ทรงสนองตอบคำอธิษฐาน ด้วยความเป็นสัพพัญญูที่ทรงรู้หมดทุกอย่าง
    โดยคำนึงถึงความเป็นนิรันดร์นี้ พระองค์ทรงตอบสนองทุกคำอธิษฐานอย่างสมบูรณ์แบบ

    ฉันรู้แล้วว่าไม่มีความจำเป็นเลยสักนิด ที่จะต้องทวนคำอธิษฐานอย่างซ้ำๆซากๆ ราวกับว่ากลัวพระองค์ไม่เข้าใจ
    ศรัทธาและความอดทนเป็นสิ่งที่จำเป็น พระองค์ทรงให้เรามีเสรีภาพแห่งเจตนาที่จะตัดสินเลือกอะไรเองแล้ว
    เมื่อเราอัญเชิญพระองค์ให้ทรงช่วย เราก็ต้องยอมปล่อยให้พระองค์ทรงจัดการอย่างที่สมควรแก่ชีวิตเราเช่นกัน

    อนึ่งฉันเข้าใจถึงความสำคัญของการขอบคุณพระองค์สำหรับสิ่งต่างๆ ที่เราได้รับมา ความรู้สึกรู้คุณนั้นเป็นความดีงามที่ไม่มีสูญ
    เราพึงขอร้องด้วยความถ่อมตน และพึงได้รับด้วยความรู้สึกรู้คุณ ยิ่งเราขอบพระคุณพระองค์มากเท่าไร
    ที่ทรงประทานสิ่งต่างๆมาให้ ก็ยิ่งเป็นการเปิดทางตนเองกว้างขึ้น ให้ได้รับพรอื่นๆต่อๆไปอีก

    ความปรารถนาของพระองค์ที่จะทรงประทานพรให้แก่เรานั้น มีอยู่เต็มเปี่ยมจนล้นเหลือ ถ้าเราจะเปิดจิตและหัวใจ
    ที่จะรับพรต่างๆจากพระองค์ เราเองก็จะได้รับพรเต็มเปี่ยมล้นพ้นด้วยเช่นกัน เราจะรู้ว่าพระองค์ทรงมีอยู่จริง

    เราอาจจะกลายเป็นเหมือนเหล่าเทพยดาเลยก็ได้ ที่คอยช่วยเหลือผู้อื่นยามจำเป็น

    ในการอธิษฐานและให้ความช่วยเหลือแก่คนอื่น แสงของเราจะเจิดจรัสขึ้นเสมอ การช่วยเหลือผู้อื่นเป็นเหมือนน้ำมัน
    ที่คอยหล่อเลี้ยงตะเกียงชีวิตของเรา และน้ำมันนี้เกิดขึ้นได้เองจากความรักและความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

    .........
     
  7. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อานุภาพรัก (Embraced By The Light)

    เขียนโดย : Betty J. Eadie
    แปลโดย : อมรา ตัณฑ์สมบุญ


    (หน้า 40 - 46)

    “กฎธรรมชาติ (The Laws)”

    [​IMG]

    ฉันยังอยู่ ณ. เบื้องพระพักตร์ของพระเยซูเจ้า อาบอยู่ในรัศมีอันอบอุ่นของพระองค์ ไม่ได้รับรู้เลยว่าที่นั่นเป็นที่ไหน
    บริเวณที่แวดล้อมอยู่เป็นอย่างไร หรือมีใครอื่นอีกบ้าง

    พระองค์ทรงเห็นหมดทุกสิ่งที่ฉันเห็น จะว่าตามจริงพระองค์นั่นแหละเป็นผู้ประทานทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันได้เห็นและได้เข้าใจ

    ฉันยังอยู่ในรัศมีของพระองค์ และคำถาม คำตอบต่างๆ ก็ดำเนินต่อไป บทสนทนาระหว่างเราได้ทวีความเร็วและความลึกมาก
    จนดูเหมือนว่าทุกแง่มุมของความเป็นอยู่ของชีวิตได้ถูกเจาะหมดเรียบร้อย

    ใจของฉันก็วกกลับไปที่เรื่องของกฎธรรมชาติที่ครอบคลุมมนุษย์เราทั้งหมด แล้วความรู้ของพระองค์ท่านก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามา
    ฉันรู้สึกได้ชัดเจนว่าพระองค์ทรงมีความสุขมาก และยินดียิ่งที่จะถ่ายทอดเรื่องนี้ให้แก่ฉัน


    ฉันรับทราบว่ามีกฎมากมายที่ครอบคลุมพวกเราอยู่ ได้แก่ กฎแห่งจิตวิญญาณ กฎแห่งกายภาพ และกฎแห่งจักรวาล
    ซึ่งส่วนใหญ่เรารู้เพียงคร่าวๆเท่านั้นว่ามีอยู่ กฎเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ตอบสนองวัตถุประสงค์ใหญ่
    และกฎทั้งหมดต่างก็เสริมซึ่งกันละกัน

    เมื่อเราตระหนักว่ากฎเหล่านี้มีจริงและเรียนรู้วิธีใช้อานุภาพแห่งกฎเหล่านี้ให้เป็น ว่าอย่างไรเป็นกุศลและอย่างไรเป็นอกุศล
    เมื่อนั้นเราก็จะสามารถไปถึงพลังที่ยิ่งใหญ่เกินจะประมาณได้ แต่เมื่อเราฝ่าฝืนกฎใดกฎหนึ่ง
    โดยดิ้นรนไปในทางที่ต้านกับระบบธรรมชาติ นั่นก็คือเราประพฤติบาป

    ทุกสรรพสิ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาจากพลังของจิตในธรรมชาติ ทุกธาตุ ทุกอณูของสิ่งที่สร้างสรรค์ขึ้นมาล้วนมีเชาว์ปัญญาอยู่ในตัวเอง
    ซึ่งเชาว์ปัญญาที่ว่านั้นก็คือมีจิตวิญญาณและชีวิตอยู่อย่างเต็มเปี่ยม จึงทำให้มีความสามารถที่จะสัมผัส ประสบกับความสุขได้ทั้งสิ้น

    ธาตุแต่ละธาตุ ต่างเป็นอิสระจากกันในการทำหน้าที่ของตัวเอง ในการตอบสนองต่อกฎและพลังต่างๆที่อยู่โดยรอบ
    เวลาพระเจ้าทรงมีพระดำรัสอะไร ธาตุต่างๆเหล่านี้ก็ตอบสนองและมีความยินดีที่จะเชื่อฟังตามนั้น
    และก็ด้วยพลังของธรรมชาติและกฎแห่งการสร้างสรรค์ต่างๆเหล่านี้นี่เอง ที่พระเยซูทรงสร้างโลกมนุษย์นี้ขึ้นมา

    ฉันเข้าใจด้วยว่า ด้วยการที่ดำรงชีวิตอย่างถูกต้องตรงไปตรงมา ตามกฎธรรมชาติที่ครอบคลุมเราอยู่นี้
    เราก็จะได้รับความเจริญยิ่งๆขึ้น และจะได้รับความรู้ความเข้าใจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก แต่ขณะเดียวกัน การฝ่าฝืนกฎธรรมชาตินี้
    หรือที่เรียกว่า “การประพฤติบาป” นั้น ก็จะบั่นทอนและถึงขั้นทำลายอะไรทั้งหมดที่เราทำสำเร็จมาจนถึงจุดนั้นลงได้

    เรื่องบาปนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกฎของเหตุและผล เราเองเป็นผู้ก่อให้เกิดโทษทัณฑ์แก่ตัวเอง จากการกระทำที่เราทำลงไป
    ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราทำให้สิ่งแวดล้อมเราเสียไป นี่ก็คือ “บาป” อย่างหนึ่งต่อโลก แล้วเราก็ต้องเป็นผู้มารับผลที่ตามมา
    จากการฝ่าฝืนกฎแห่งชีวิตนี้ เราอาจมีสุขภาพที่อ่อนแอลงหรืออาจถึงตาย หรือไม่ก็อาจเป็นสาเหตุให้คนอื่นมีสุขภาพที่อ่อนแอลง
    หรือถึงตายไป เนื่องมาจากการกระทำของเรา

    บาปบางอย่างเป็นบาปต่อร่างกายเช่น การกินมากไปหรือกินน้อยไป การไม่ออกกำลังกาย การเสพยาเสพติด
    (ซึ่งรวมไปถึงการใช้สารใดๆก็ตาม ที่ไม่เหมาะสมกลมกลืนกับโครงสร้างระบบในร่างกายของเราเอง)
    ตลอดจนการกระทำอื่นๆที่บั่นทอนร่างกายอีก

    ไม่มี “การประพฤติบาป” ต่อร่างกายอันใดที่หนักหนากว่าอันอื่น เราคือผู้รับผิดชอบต่อร่างกายเราเอง

    ดวงจิตแต่ละดวงได้รับมอบให้เป็นเจ้าของร่างกายแต่ละร่าง ในขณะที่มีชีวิตอยู่ในการเกิดแก่เจ็บตายนี้
    จิตวิญญาณของเราต้องเป็นผู้คอยควบคุมร่างกาย เพื่อนำเอากิเลสและตัณหาในกายหยาบนั้น ออกมาชำระล้างซักฟอกให้บริสุทธิ์ขึ้น

    ทุกสิ่งจากภายในตัวจิตจะปรากฏออกมาที่ร่างกาย แต่ร่างกายและคุณสมบัติต่างๆของร่างกาย
    ไม่สามารถจะไปล่วงล้ำก้าวก่ายขัดกับเจตนาของจิตวิญญาณได้ จิตที่อยู่ภายในของเรานี่แหละเป็นผู้เลือก เป็นผู้คอยปกครองดูแลอยู่

    การจะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเต็มที่อย่างที่ควรจะเป็นได้นั้น เราก็จำเป็นต้องนำจิตใจ กาย และจิตวิญญาณให้เข้าสู่
    ความสมดุลพร้อมเพรียงกัน และการจะเป็นจิตวิญญาณที่สมบูรณ์แบบนั้น เราก็ต้องเพิ่มเติมความรู้ผิดชอบชั่วดี
    และความรักความเมตตาเหมือนอย่างที่พระเยซูทรงมีให้ ลงไปในความสมดุลกลมกลืนนั้นอีกด้วย

    ขณะที่สัจธรรมเหล่านี้ได้ผ่านเข้ามาให้ฉันได้รู้นั้น จิตวิญญาณทั้งดวงของฉันอยากจะตะโกนก้องด้วยความชื่นบานหัวใจ
    ฉันเข้าใจสัจธรรมเหล่านี้ และพระเยซูก็ทรงรู้ว่าฉันกำลังย่อยเก็บทุกอย่างที่พระองค์ทรงแสดงให้เห็น
    ดวงตาแห่งจิตวิญญาณของฉันเปิดขึ้นอีกครั้ง และก็เห็นไปถึงว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างจักวาลขึ้นหลายๆจักรวาล
    และทรงควบคุมธาตุต่างๆในจักรวาลเหล่านั้นเอง

    พระองค์ทรงมีพระอำนาจเบ็ดเสร็จเหนือกฎธรรมชาติต่างๆ ตลอดจนเหนือพลังงานและสสารทั้งปวง

    ภายในจักรวาลของเรานี้ มีทั้งพลังงานทางบวกและทางลบ ซึ่งพลังงานทั้งสองชนิดนี้ ล้วนเป็นหัวใจสำคัญของการสรรค์สร้างสรรพสิ่ง
    และของการเจริญเติบโต พลังงานทั้งคู่นี้ก็มีเชาว์ปัญญาอยู่ด้วย และเป็นผู้กระทำให้เจตนาของเราเป็นจริง
    เป็นบริวารที่คอยรับใช้เราอย่างเต็มอกเต็มใจ

    พระผู้เป็นเจ้าทรงมีพระอำนาจเด็ดขาด เหนือพลังงานทั้งสองชนิดนี้

    โดยทั่วๆไปพลังงานทางบวกก็คืออะไรที่ดีๆที่เราคิดกันอยู่แล้ว เช่น แสงสว่าง ความดีงาม ความกรุณา ความรักความเมตตา
    ความอดทน ความใจบุญสุนทาน ความหวัง และอื่นๆอีกมากมาย

    ส่วนพลังงานทางลบ ก็คืออะไรที่เราคิดว่าเป็นลบ เช่น ความมืด ความเกลียดชัง ความหวาดกลัว (ซึ่งเป็นเครื่องมือไม้เด็ดสุดของซาตาน)
    ความใจดำ ความไม่อดทน ความเห็นแก่ตัว ความท้อแท้สิ้นหวัง ความหมดกำลังใจ และอื่นๆ

    พลังงานทั้งบวกและลบ ต่างทำงานในทางตรงข้ามจากกันและกัน และเมื่อเราเข้าใจถึงพลังงานทั้งคู่นี้ได้อย่างถ่องแท้
    พลังงานทั้งคู่นี้ ก็จะเป็นบริวารคอยรับใช้เรา

    พลังงานบวกก็ดึงดูดสิ่งบวก และพลังงานลบก็ดึงดูดสิ่งลบ แสงสว่างย่อมเข้าหาแสงสว่าง และความมืดก็รักความมืดด้วยกัน

    ไม่ว่าเราเป็นคนค่อนข้างบวก หรือค่อนข้างลบก็ตาม เราก็จะเริ่มวนเวียนเกี่ยวข้องกับคนที่คล้ายๆกับเรา แต่ทว่าเราเองนี่แหละ
    ที่จะมีทางเลือกได้ว่า จะเป็นคนค่อนไปในทางบวก
    หรือค่อนไปในทางลบ

    เอาง่ายๆ ก็เพียงแค่คิดไปในทางที่ดีและพูดคำพูดที่ดีๆ เราก็ดึงดูดพลังงานทางบวกได้แล้ว ฉันเห็นแล้วว่า เป็นอย่างนั้นจริงๆ
    คือเห็นว่าคนแต่ละคนกัน ก็จะมีพลังงานที่แตกต่างกันวนเวียนอยู่รอบๆตัว และเห็นว่าวาจาของคนเรานั้น
    มีผลกระทบโดยตรงต่อสนามพลังงานที่อยู่รอบตัวเราอย่างไรบ้าง “คำพูด” ที่เปล่งออกมาแต่ละคำนั้น
    ซึ่งก็ไปสั่นสะเทือนอากาศที่อยู่รอบๆด้วย ก็จะดึงดูดพลังงานบวกหรือลบชนิดใดชนิดหนึ่งเข้ามา

    ในทำนองเดียวกันความมุ่งมาดปรารถนาของคนเรา ก็ทำให้มีผลคล้ายคลึงกัน ความคิดต่างๆของเรานั้นมีพลัง
    เราต่างเป็นผู้สร้างสิ่งที่แวดล้อมตัวเราอยู่นี้ ขึ้นมาเองจากความคิดต่างๆที่เราคิด

    ในทางกายภาพอาจต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง ที่จะเกิดผลเป็นตัวตนขึ้นมา แต่ในทางจิตวิญญาณแล้ว เกิดผลขึ้นทันทีทันใดเลย
    หากเราได้เข้าใจถ่องแท้ถึงอานุภาพของความคิดคนเราแล้วหละก็ เราจะคอยระมัดระวังความคิดอย่างใกล้ชิดกว่านี้
    หากเราได้เข้าใจถึงพลังอันน่าเกรงขามของคำพูดเราแล้ว เราน่าจะขอเลือกที่จะนั่งเงียบดีกว่าที่จะพูดอะไรที่ลบๆออกไป

    ความคิดและคำพูดของเรานี่เอง ที่ก่อกำเนิดทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งต่างๆนานา ให้แก่ตัวเราเอง
    ข้อจำกัดในชีวิตและความสุขสันต์ทั้งหลาย ล้วนเริ่มต้นที่หัวใจเราก่อนเลย และเราก็สามารถให้พลังงานทางบวก
    เข้าไปแทนที่พลังงานทางลบได้เสมอ

    เพราะว่าความคิดคนเรานั้น สามารถมีผลกระทบต่อพลังงานที่ไม่สูญสิ้นดังกล่าวแล้วนี้ ความคิดจึงเป็นแหล่งที่มาของการสร้างสรรค์

    การก่อกำเนิดทุกอย่าง เริ่มที่จิตใจก่อน “ความคิด” ต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด อัจฉริยะบุคคลจึงสามารถใช้จินตนาการ
    ในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ทั้งที่ดีงามและร้ายกาจ

    บางคนมาเกิดในโลกนี้โดยมีพลานุภาพแห่งจินตนาการ อย่างชนิดที่พัฒนามาดีแล้ว ติดตัวมาแต่เกิด
    แต่ทว่าบางคนที่มีพลานุภาพนั้น กลับใช้ไปในทางที่ผิดๆ หลายคนใช้พลังงานทางลบไปสร้างสิ่งที่เป็นภัยต่างๆ
    ไม่ว่าจะเป็นวัตถุสิ่งของหรือคำพูดซึ่งสามารถที่จะทำลายล้าง

    ส่วนอีกหลายๆคน ก็ใช้จินตนาการไปในทางที่เป็นบวก เพื่อทำให้ชีวิตของคนรอบๆข้างดีขึ้น คนแบบหลังนี้
    คือผู้มาสร้างสรรค์ความสุขแก่โลกอย่างแท้จริง และเขาก็จะมีความสุขความจำเริญด้วย

    การสร้างสรรค์ต่างๆของจิตนั้น มีพลานุภาพจริงๆ ความคิดก็คือการกระทำอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว

    การจะมีชีวิตอยู่อย่างเต็มเปี่ยมนั้น จะทำได้ดีที่สุดโดยการใช้จินตนาการ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือว่า
    จินตนาการคือกุญแจสำคัญที่จะไขเข้าสู่ความเป็นจริง ฟังดูช่างกลับตาลปัดจากที่เราเคยคิดกันมา
    สิ่งที่รู้นี้เป็นอะไรที่ฉันไม่เคยนึกมาก่อนเลย

    เราถูกส่งมาเกิดในโลกนี้ก็เพื่อมามีชีวิตอย่างเต็มศักยภาพ มามีชีวิตอย่าง “อุดมสมบูรณ์” มาพบกับความสุข
    ในการได้สร้างสรรค์อะไรๆด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นความคิดใหม่ๆ หรือสิ่งของ หรืออารมณ์ หรือประสบการณ์ใหม่ๆ
    เราต้องมาลิขิตชีวิตของตนเอง ต้องใช้พรสวรรค์ที่เรามีติดตัวมา ในการเผชิญหน้ากับทั้งความล้มเหลวและความสำเร็จ
    เราต้องมาใช้เสรีภาพและการตั้งเจตนาที่เรามีอยู่แล้ว มาขยายขอบเขตชีวิตของตนให้กว้างขวางขึ้น มีคุณค่ายิ่งขึ้น

    (ยังมีต่อครับ)

    ...............................................
     
  8. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อานุภาพรัก (Embraced By The Light)

    เขียนโดย : Betty J. Eadie
    แปลโดย : อมรา ตัณฑ์สมบุญ

    (หน้า 40 - 46)

    “กฎธรรมชาติ (The Laws)” (ต่อ)



    ด้วยความเข้าใจทั้งหมดนี้เอง ฉันจึงเข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่า เมตตาธรรมนั้นคือสิ่งสูงสุด เมตตาธรรมต้องค้ำจุนโลกได้
    เมตตาธรรมค้ำจุนจิตวิญญาณตลอดมา และจิตวิญญาณก็ต้องเข้มแข็งขึ้น เพื่อปกครองดูแลจิตใจและร่างกาย

    ฉันเข้าใจลำดับขั้นตอนธรรมชาติของพัฒนาการความรักในทุกหนทุกแห่ง แรกสุดก็คือ เราต้องรักพระผู้สร้างก่อน
    นี้เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์จะสามารถมีได้ (แม้ว่าเราอาจจะไม่รู้ตัวว่ามีอยู่ด้วยซ้ำ จนกว่าจะได้ไปพบกับพระองค์เข้าแล้วจริงๆ)

    ต่อไปก็คือ เราต้องมีความรักให้ตัวเราเอง ฉันรู้ดีว่า ถ้าปราศจากความรู้สึกของความรักในตัวเองแล้วไซร้
    ความรักที่เราจะรู้สึกมีให้กับคนอื่นนั้น ก็เป็นเพียงของปลอม

    และขั้นต่อไปก็คือเราต้องรักผู้อื่นทั้งหมด เช่นเดียวกับที่รักตัวเราเอง เมื่อเราเห็นแสงแห่งพระคริสต์ (หรือพุทธิปัญญา – ผู้แปล)
    ที่อยู่ในตัวเราเองแล้ว เราก็จะเห็นแสงนั้นในตัวผู้อื่นไปด้วยเช่นกัน และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เป็นไปไม่ได้
    ที่เราจะไม่รักส่วนหนึ่งของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในตัวพวกเราด้วย

    ขณะที่ฉันยังอยู่ในรัศมีของพระเยซู อยู่ในความรักที่พระองค์ทรงมีให้นั้น ฉันก็ได้ตระหนักขึ้นมาว่า เมื่อตอนเป็นเด็กที่ฉันกลัวพระองค์นั้น
    แท้จริงแล้วเป็นการดึงตัวฉันเองให้ออกไปห่างไกลจากพระองค์ท่านยิ่งขึ้นทุกที เวลาที่ฉันคิดว่าพระองค์ทรงไม่รักฉันนั้น
    ฉันนั้นแหละที่ดึงเอาความรักของตัวเองออกจากพระองค์ต่างหาก พระองค์ทรงไม่เคยจากไปเลย

    ฉันรู้แล้วหละว่า พระองค์ทรงเหมือนดวงอาทิตย์ในกาแล็กซี่ของฉัน ฉันโคจรไปรอบๆพระองค์ บางครั้งก็เข้าใกล้ขึ้น
    แต่บางครั้งก็ไกลออกไป แต่ความรักของพระองค์ไม่เคยห่างหายเลิกราไปเลย

    ฉันเข้าใจถึงการที่คนอื่นๆ ก็เคยเป็นเครื่องผลักให้ฉันไกลห่างจากพระองค์ยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่เหลือความรู้สึกขมขื่น
    หรือข้อวิจารณ์ใดๆที่มีต่อพวกเขาอีกแล้ว

    ฉันได้เห็นว่าทั้งชายและหญิงที่เคยมีอำนาจในชีวิตฉันมานั้น ล้วนแล้วแต่เคยตกเป็นเหยื่อของพลังงานลบๆมาก่อน
    จึงได้เผยแพร่ความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าด้วยวิธีให้หวาดกลัว เจตนาของพวกเขานั้นเป็นในทางบวก แต่การกระทำที่ออกมาเป็นในทางลบๆ
    ก็เพราะตัวเขาเองมีความหวาดกลัวอยู่ในส่วนลึก เขาจึงใช้ความหวาดกลัวเป็นเครื่องมือในการควบคุมคนอื่นอีกต่อหนึ่ง
    เขาขู่ให้ทุกคนที่อยู่ภายใต้อาณัติเขานั้น มีความเชื่อต่อพระเจ้าในแบบที่ว่า “กลัวพระเจ้านะ หรือไม่ ก็ไปตกนรกเลย”
    ซึ่งสิ่งนี้เองที่ขวางกั้นฉันไม่ให้รักพระเจ้าได้จริงๆ

    ฉันเข้าใจอีกว่า ความกลัวนั้น อยู่ตรงข้ามกับความรัก และก็เป็นไม้เด็ดสุดยอดของซาตานพญามารร้ายเสียด้วย
    ดังนั้น เมื่อฉันเกิดกลัวพระเจ้าเสียแล้ว จึงไม่สามารถจะรักพระองค์ได้อย่างแท้จริง แล้วเมื่อรักพระองค์ไม่ได้จริง
    ฉันก็ไม่สามารถรักตัวเองหรือคนอื่นๆได้อย่างบริสุทธิ์จริงๆไปด้วยเช่นกัน กฎแห่งความรักได้ถูกทำลายลงเสียก่อนแล้ว

    พระเยซูทรงแย้มพระสรวลให้ฉัน ทรงพอพระทัยที่ฉันสนุกกับการเรียนรู้ และตื่นเต้นกับประสบการณ์ที่ได้รับ

    บัดนี้ฉันรู้แล้วว่าพระเจ้านั้นมีจริงๆ ฉันไม่จำกัดความเชื่ออยู่แต่ขุมพลังแห่งจักวาลเท่านั้น อย่างที่เมื่อก่อนเคยเป็น
    แต่เดี๋ยวนี้ ฉันได้เห็นมหาบุรุษ ผู้อยู่เบื้องหลังพลังแห่งจักรวาลนั้นด้วย แล้วได้รู้ถึงผู้ทรงความรักความเมตตา ซึ่งสร้างจักรวาลนี้ขึ้นมา
    และได้บรรจุองค์สรรพความรู้เข้าไว้ในจักรวาลนี้ด้วย ฉันได้เข้าใจว่าพระองค์ทรงคอยค้ำจุนองค์สรรพความรู้นี้
    และคอยควบคุมดูแลพลังอานุภาพของความรู้นี้อยู่ด้วย

    ฉันเข้าใจอย่างกระจ่างบริสุทธิ์เลยว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้เราไปถึงสภาวะอย่างพระองค์ จึงทรงทุ่มเทใส่คุณสมบัติต่างๆ
    ซึ่งเสมอเหมือนกับพระองค์นั้น ให้เราติดตัวมาอยู่แล้ว

    คุณสมบัติดังเช่นอานุภาพแห่งจินตนาการและการสร้างสรรค์ เสรีภาพแห่งการตั้งเจตนา ภูมิปัญญา และยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
    ก็คือพลังแห่งความรักความเมตตา ฉันเข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้ว พระองค์ทรงมี ”พระประสงค์ให้เรา” รู้จักนำพลังต่างๆจากเบื้องบน
    มาใช้ด้วย และเราสามารถจะทำได้จริงๆ โดย “การเชื่อ” ในศักยภาพที่เรามีอยู่แล้ว ว่าจะทำได้นั่นเอง

    ................................
     
  9. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    อานุภาพรัก (Embraced By The Light)

    เขียนโดย : Betty J. Eadie
    แปลโดย : อมรา ตัณฑ์สมบุญ




    หน้า 68 – 70

    “หลายภพ หลายโลก (Many Worlds)”


    ความทรงจำของฉัน ถูกดึงกลับไปที่กาลเวลา ซึ่งยิ่งนานไกลกว่าที่เคยเป็นมา ย้อนกลับไปไกลก่อนยุคสร้างโลกด้วยซ้ำ
    เลยไปถึงตอนที่เป็นนิรันดรของนิรันดร ฉันจำได้แล้วว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกต่างๆ ตลอดจนกาแล็กซี่ หมู่ดาวทั้งหลาย
    และอีกหลายภพหลายภูมิที่ความเข้าใจของเราไม่มีทางไปถึง และฉันก็อยากเห็นทั้งหมดนั้น

    พอความปรารถนานี้ขึ้นมา ความคิดก็ให้พลังแก่ฉันทันที ทำให้มีดวงจิตคู่ใหม่มาพาฉันลอยออกไปจากสวนนั้น
    ซึ่งต่อมาทั้งคู่ก็ทำหน้าที่เป็นเทวดาผู้นำทางองค์ใหม่ของฉันด้วย กายทิพย์ของเราลอยห่างออกไปจากเพื่อนๆที่ในสวน
    และเข้าไปสู่ความมืดมิดของอวกาศ

    [​IMG]
    (obr1507)

    เราลอยเร็วขึ้นเรื่อยๆ ฉันรู้สึกเบิกบานใจกับการได้ล่องลอยครั้งนี้มาก จะทำอะไรก็ได้ตามที่อยาก ไปที่ไหนก็ได้ตามที่ปรารถนา
    จะลอยอย่างเร็วๆก็เร็วได้อย่างเหลือเชื่อ หรือจะลอยช้าๆก็ได้ ฉันรักความอิสรเสรีนี้จริงๆ

    ฉันลอยเข้าสู่อวกาศอันกว้างใหญ่ไพศาล และรู้ว่าอวกาศนั้นไม่ใช่ความว่างเปล่าหรอกนะ ที่แท้กลับเต็มไปด้วยความรักและแสงสว่าง
    ซึ่งก็คือส่วนหนึ่งของพระจิตของพระผู้เป็นเจ้า ที่เราสามารถสัมผัสรับรู้ได้

    ฉันได้ยินเสียงนุ่มนวลไพเราะ ซึ่งถึงจะแผ่วเบาเหมือนอยู่ห่างๆ แต่ก็อ่อนโยนจนฉันรู้สึกเป็นสุข เสียงนั้นมีระดับเสียงเดียว
    คล้ายๆเสียงโน้ตดนตรีตัวหนึ่ง แต่เป็นเสียงของจักรวาล และเหมือนว่าซึมแทรกอยู่ในอวกาศรอบตัวฉันเลย
    แล้วก็ยังมีอีกเสียงตามติดมาด้วย แต่เป็นระดับเสียงที่ต่างกัน อีกไม่นานฉันจึงสังเกตว่ามีเสียงอื่นที่คล้ายกับทำนองขับลำนำ
    เป็นเพลงแห่งจักรวาลอันไพศาล ที่คอยปลอบโยนทำให้ฉันรู้สึกสบาย ระดับเสียงต่างๆนั้น ก็ให้เกิดแรงสั่นสะเทือนเบาๆขึ้นเป็นระลอก
    และเมื่อมากระทบฉันเบาๆ ฉันรู้ทันทีว่าระลอกความสั่นสะเทือนของเสียงบางเสียง มีพลังในการรักษาเยียวยาอยู่ในตัวเอง
    ฉันรู้ว่าอะไรก็ตามที่ถูกสัมผัสด้วยเสียงนั้น ย่อมได้รับการรักษาเยียวยาไปในตัว เหมือนเป็นยาชโลมรักษาจิตวิญญาณ
    เป็นเสียงของความรักที่มาซ่อมแซมวิญญาณที่แตกสลาย

    แต่สองผู้นำทางที่ไปด้วยนั้นบอกว่า ไม่ใช่ว่าระดับเสียงทุกเสียงมีคุณสมบัติสำหรับเยียวยาได้เสมอไป
    บางเสียงกลับก่อให้เกิดความปั่นป่วนทางอารมณ์ที่ไม่ดี ขึ้นในตัวเราก็ได้ ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า ขณะที่ฉันมีชีวิตอยู่บนโลกนั้น
    ซาตานมารร้าย ได้ใช้เสียงชนิดไม่ดีนี้เอง ใส่ไว้ในดนตรีที่ทำให้ฉันเกิดป่วยเจ็บทั้งทางจิตใจและทางกาย

    รายละเอียดของสิ่งที่ฉันได้ไปประสบพบเห็นต่อจากตรงนั้นบางส่วน ได้ถูกลบออกไปจากความทรงจำของฉัน
    แต่ก็ยังเหลือเป็นความประทับใจหลายอย่าง

    ฉันรู้สึกว่าได้ไปเยี่ยมชมสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างสรรค์ไว้มากมาย จนราวกับว่าใช้เวลาเป็นอาทิตย์ๆหรือเป็นเดือนๆด้วยซ้ำ
    ขณะที่เดินทางอยู่นั้น ฉันรู้สึกได้ตลอดว่ายังอยู่ในความรักความเมตตาของพระเจ้า ฉันรู้สึกเหมือนว่า ได้ “กลับ” มาอยู่ที่บ้านเกิด
    และก็ทำอะไรได้อย่างเป็นธรรมชาติของตัวเองจริงๆ

    ฉันได้เดินทางไปในอีกหลายๆภพภูมิ ทั้งในโลกที่เหมือนโลกมนุษย์ แต่สวยงามกว่า และเพียบพร้อมไปด้วยคนที่มีเมตตาและสติปัญญาสูง

    เราทุกคนล้วนเป็นลูกๆของพระเจ้า และพระองค์ก็ทรงอยู่ในทุกอณูของอวกาศที่ใหญ่มหึมานี้ ให้พวกเราไม่รู้สึกว่างเปล่า

    ฉันเดินทางไปไกลสุดคณานับ และรู้ว่าดวงดาวทั้งหลายที่ฉันเห็นนั้น ไม่ได้อยู่ในวิสัยที่จะมองเห็นได้จากโลกมนุษย์

    พอฉันเห็นกาแล็กซี่หมู่ดาวต่างๆปุ๊บ ก็สามารถไปถึงได้อย่างง่ายดาย ด้วยความเร็วเกือบจะในทันที
    ได้ไปเยี่ยมชมดินแดนและพบกับชาวโลกอื่น ซึ่งล้วนก็เป็นลูกของพระเจ้าเช่นเดียวกับเราทั้งนั้น
    พวกเขาทั้งหมดก็เป็นพี่หรือน้องกับเราในทางจิตวิญญาณ ทั้งหมดที่ไปพบเห็นนี้ ก็เป็นการย้อนรำลึกถึงอดีต
    หรือเรียกว่าเป็นการกลับตื่นอีกครั้ง ฉันรู้ดีว่าเคยได้ไปในสถานที่เหล่านั้นมาก่อนแล้ว

    ต่อมาอีกนาน เมื่อฉันกลับมาสู่ชีวิตในกายเนื้อแล้ว เวลาที่ฉันจำรายละเอียดต่างๆของประสบการณ์เหล่านี้ไม่ได้
    ฉันเคยรู้สึกเหมือนกันว่าถูกโกง แต่เมื่อเวลาผ่าไปสักพัก ถึงได้รู้ว่าการลืมนี้ เป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อประโยชน์ของตัวฉันเอง

    ถ้าฉันยังจำความงดงามและโลกที่สมบูรณ์แบบอย่างที่ได้ไปเห็นมานั้นแล้วละก็ ฉันคงต้องมีชีวิตที่เหลืออยู่อย่างอึดอัดคับใจ
    ไม่มีความสุขไปตลอด ซึ่งจะบั่นทอนการปฏิบัติภารกิจที่พระเจ้ามอบหมายให้มาทำในชีวิตนี้
    ความรู้สึกถูกโกงนี้ จึงแปรเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกยำเกรง และสำนึกในบุญคุณอย่างลึกซึ้ง ที่ได้ไปมีประสบการณ์เช่นนั้น

    พระเจ้าจะทรงไม่ต้องให้ฉันได้เห็นถึงภพภูมิอื่นๆก็ได้ และก็ไม่ต้องให้ฉันจำอะไรเกี่ยวกับพระองค์ไว้เลยก็ได้
    แต่ด้วยพระกรุณา พระองค์จึงทรงได้ให้ฉันมากมาย ฉันได้ไปเห็นภพภูมิอื่นๆ ซึ่งกล้องโทรทัศน์ใดๆ ที่ทรงพลังที่สุดในโลกของเรานี้
    ก็ไม่มีทางจะส่องไปเห็นได้ และได้รู้ว่า ณ.ที่นั้นมีความรักความเมตตาที่แท้จริงสถิตอยู่

    .............................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • obr1507.jpg
      ขนาดไฟล์:
      0 bytes
      เปิดดู:
      3,577
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2011
  10. ผ่านมาจริงๆ

    ผ่านมาจริงๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    501
    ค่าพลัง:
    +635
    _heart+love__heart+love__heart+love_ ขอบคุณค่ะ คืนนี้จะมาอ่านต่อ...
     
  11. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ส่วนที่เหลือ ท่านใดสนใจก็เข้าไปดาวน์โหลดมาอ่านได้นะครับ
    ที่นี่ครับ (ของคุณ zipper upload เอาไว้ให้หนะครับ)

    4shared - อานุภาพรัก - shared folder - การใช้แฟ้มร่วมกันและพื้นที่จัดเก็บโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

    แต่ถ้าโชคดี ก็อาจจะมีคนพิมพ์และโพสต์ให้อ่านครับ

    ......................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2011
  12. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    เล่มนี้ได้ซื้อมาอ่านด้วย :) หนังสือของคุณอมรา ตัณฑ์สมบุญ ส่วนมากจะแนวๆ นี้ทั้งนั้นเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2011
  13. rainbow 12

    rainbow 12 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +49
    ขอบคุณ มากๆๆๆค่ะ[MUSIC]:VO[/MUSIC]
     
  14. ภควัน

    ภควัน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +14
    ผมมีความคิดเรื่องเกี่ยวกับนรกสวรรค์มานานแล้ว ผมจะถามกับคนที่ผมคุยด้วย
    ว่าทำไมเทวดาจีนต้องแต่งชุดงิ้ว เทวดาฝรั่งทำไมต้องมีปีกและวงกลมสีขาวที่หัว
    ทำไมเทวดาไทยต้องมีสร้อยสังวาลและชฎา

    ผมก็จะบอกเขาว่าเป็นเพราะวัฒนธรรม และประเพณีการสั่งสอน ของชนต่างๆ
    ที่ถูกครอบงำเข้ามาสู่จิตใจตลอด จนมันถูกบันทึกไว้ใจจิตวิญญาณ หรือพูดตามฝรั่ง คือถูกฝังไว้ในจิตใต้สำนึก และคำสอนแต่ละลัทธิและศาสนา ก็จะสอนกันตามสภาพสิ่งแวดล้อม และเหตุการณ์สถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นตามยุค
    ในสมัยนั้น และผู้นำทางความคิดก็จะสอนบอกตามที่ตัวเองเห็นและเข้าใจ

    เหมือนตาบอดคลำช้าง คนตาบอดคลำเจอตรงใหนก็บอกอย่างนั้นฉนั้นคน 10 คนคลำช้างคนละจุดของตัวช้าง ก็จะบอกไม่เหมือนกัน ถามว่าคนสิบคนพูดถูกมั๊ย
    ก็ถูกหมดทั้ง 10 คน เพราะทั้ง10 จุดก็คือส่วนต่างๆของตัวช้าง ฉนั้นคำสอนทุกศาสนาก็คือตัวธรรมะเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงมุมมองและความคิด

    สิ่งที่ทุกศาสนาสอนคือสัจจะธรรม สัจจะธรรมคือความเป็นจริงของธรรมชาติที่มันเป็น เช่นลมพัดใบไม้ เมื่อลมพัดใบไม้ๆมันยอมไหวเป็นธรรมดาของมัน นี่คือสัจจะธรรม ตรงกับธรรมะเพราะมีสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงมี เพราะมีลมเป็นปัจจัย ใบไม้มันจึงไหว

    ผมยังเคยคิดอีกว่านรกสวรรค์ เกิดขึ้นเพราะจิตปรุงแต่งไปตามสิ่งที่ถูกฝังไว้ในจิตใต้สำนึก ว่าสภาพสวรรค์เป็นอย่างไร นรกเป็นอย่างไร อาจมีคนถามว่าเด็กบางคนตายแล้วฟื้น ยังไม่เข้าใจเรื่องนรกสวรรค์เลย ทำไมบอกว่าเห็นกระทะทองแดง เห็นคนปีนต้นงิ้ว อันนี้ก็ต้องอ้างตามคำสอน คนเราไม่ได้เกิดมาชาติเดียว ตายแล้วเกิดไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ ไม่ว่าเราจะเกิดมากี่ภพกี่ชาติ ดวงจิตเราจะเก็บบันทึกสิ่งต่างๆของทุกภพชาติไว้หมด ฉนั้นจึงไม่แปลกที่เด็กไม่เคยรู้และเข้าใจเรื่องนรกสวรรค์มาก่อนจะพูดเรื่องนรกสวรรค์ได้

    ผมก็เปรียบเทียบอีกว่าเหมือนตอนเราฝันร่างกายเราหยุดนิ่ง จิตหลุดจากการควบคุมของร่างกาย ซึ่งถ้ามีร่างกายๆจะเป็นตัวบอกว่าอะไรจริงอะไรเท็จ ร่างกายจะเป็นตัวให้เหตุผลให้จิตรู้ เพราะจิตเราคิดเองไม่เป็น จิตเราเหมือนตัวเก็บข้อมูลในคอม
    ร่างกายเราคือตัวคอม จิตสำนึกเราคือผู้ป้อนข้อมูลให้กับคอม เมื่อไม่มีผู้ป้อนข้อมูล คอมก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะคิดเองไม่เป็น

    ก็เหมือนตอนเราหลับ จิตหลุดจากการควบคุมของจิตสำนึก จิตก็จะปรุงแต่งความฝันขึ้มมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร จิตจะคิดว่าเรื่องนั้นมันเป็นเรื่องจริง เมื่อเจอการฝันร้ายเราไม่สามารถขัดขืด หรือความคุมความคิดในฝันได้ หรือโต้ตอบเหมือนตอนเราตื่นได้ เพราะไม่มีจิตสำนึกคอยบอกมันว่าจะจัดการ หรือแยกแยะอย่างไร ฉนั้นพอเราตายไปจิตขาดจากร่างกาย จิตก็จะไปตามสิ่งที่มันมีข้อมูลซึ่งถูกเก็บไว้ในดวงจิต ตอนนี้จิตคิดเองไม่เป็นแล้ว จิตก็จะเอาข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในดวงจิต มาบริหารจัดการไปตามข้อมูลนั้น จิตจะจัดสรรไปตามข้อมูลความเป็นจริงที่บันทึกไว้ เช่นไปทำดีทำชั่วกับใครอะไรไว้ จิตก็อาจจะสร้างสภาพของนรกส่วนนั้นมา เพราะจิตเชื่ออย่างนั้น และจิตก็จะมีอารมณ์ความรู้สึกทุกข์ทรมาน ตามความรู้สึกตามความเข้าใจตอนที่เป็นคน และจิตก็จะจัดสรรไปตามนั้น ไม่มีการบิดเบือนเพราะจิตคิดเองไม่เป็น ถูกคือถูกผิดคือผิด

    ไอ้ที่คอยโกหกคือจิตสำนึก ซึ่งมีแต่ความเห็นแก่ตัว ซึ่งมีอยู่ในตัวคนทุกคน
    แล้วแต่คนใหนมีมากมีน้อย แต่จิตแท้ไม่มี บุญคือบุญบาปคือบาป จิตจัดสรรดำเนินการไปตามความจริงของเรื่องนั้นๆ

    ผมยังคิดอีกว่า ยมบาลที่เป็นผู้ตัดสินว่าผู้ใดต้องตกนรก คนใหนได้ขึ้นสวรรค์ มีจริงหรือเปล่า เพราะถ้ามี บัญชีหนังหมาคงเล่มใหญ่หน้าดู น่าจะเปลี่ยนเป็นเครื่องสแกนจะดีกว่า ให้วิญญาณเดินผ่านเครื่องสแกนกรรม เครื่องก็จะอ่านออกมาว่าคนๆนี้ทำอะไรมาบ้าง เร็วด้วย และในเรื่องคนระลึกชาติ กลับชาติมาเกิด ก็ไม่ได้ผ่านหรือไปหายมบาลเลย ตามที่เขาเล่ามา

    แต่ผมก็ยังคงเชื่อว่า ตัวเองจัดสรรกรรมของตัวเอง เพราะแม้ความคิดเรายังเป็นกรรมเลย ความคิดเราใครรู้ ไม่มีใครรู้นอกจากตัวเรา และตัวเราเป็นผู้เก็บและบันทึกความคิดเหล่านั้นไว้

    ข้อความเหล่านี้เป็นเพียงความคิดของผมเอง อย่าได้ไปยึดถือหรือจริงจังกับมันเลย เพียงแค่คิดเล่นๆ
     
  15. ภควัน

    ภควัน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +14
    และผมยังมีความคิดความเข้าใจของผมเกี่ยวกับพระเจ้าอีก
     
  16. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขอแชร์ข้อมูลบางส่วนเท่าที่รู้มาหน่อยนะครับ
    เช่นเดียวกันครับ ไม่ใช่ว่าเพื่อให้ท่านเชื่อหรือไม่เชื่อหรอกนะครับ
    เพราะว่าผมเองก็บอกไม่ได้เหมือนกันครับ
    แต่เพื่อเป็นการแชร์ให้ท่านได้รู้ด้วยและเก็บเอาไปพิจารณาเท่านั้นเองนะครับ

    บางส่วนจากหนังสือ "Revelation for anew era"
    โดย Suzy Ward

    .........................................................


    S: แม่อยากถามลูกมานานแล้วว่า จิตวิญญาณปกติ จะไปทบทวน “บันทึกแห่งชีวิต” กันที่ไหน?


    Mathew:

    มันไม่มีที่พิเศษเฉพาะ ที่ถูกกำหนดไว้ให้เป็นที่สำหรับการทบทวนบันทึกแห่งชีวิตหรอกนะครับ
    เพราะว่าทุกๆกระแสความคิด, ความรู้สึก และทางเลือกอิสระที่เกิดขึ้นตลอดชีวิตของแต่ละคนนั้น
    จะถูกบันทึกไว้ในบัญชีชีวิตของตนเองอย่างทันทีทันใด และเมื่อคนผู้นั้นตายลงไป
    พลังงานที่คนผู้นั้นได้สะสมไว้นั้น ก็จะดึงดูดจิตวิญญาณของคนๆนั้นไปสู่แดนสุขาวดี
    ในที่ๆมีระดับพลังงานสอดคล้องตรงกันโดยอัตโนมัติ ณ.ที่นั่นเอง ที่จิตวิญญาณดวงนั้นๆ
    จะใช้เป็นที่สำหรับทบทวนบันทึกแห่งชีวิตของตนเอง

    และเพราะว่ามีเพียงจิตวิญญาณดวงนั้นเท่านั้นที่จะเป็นผู้ทบทวนมัน
    ดังนั้น มันจึงไม่จำเป็นต้องมีสถานที่ๆเป็นศูนย์กลางสำหรับการนี้แต่อย่างใด

    .................................................

    บางส่วนจากข้อความของ Almine

    http://palungjit.org/threads/almine...คู่มือการเลื่อนระดับขึ้น-จากเธอ.315634/page-5

    วิธีการเลื่อนระดับขึ้น โดยอาศัยสมองซีกซ้าย (The Left Brain Method)

    http://www.ascendedmastery.com/Resources/leftbrain.pdf


    A). การเผชิญหน้ากับมันเพื่อทบทวนมันซ้ำอีกครั้งหนึ่ง (Recapitulation)

    วิธีการหนึ่งที่จะทำให้สามารถละทิ้งอดีตไปได้ก็คือ
    “การเผชิญหน้ากับมันเพื่อทบทวนมันซ้ำอีกครั้งหนึ่ง (Recapitulation)”

    มันคือการตรวจสอบหรือการคิดใคร่ครวญอย่างละเอียด
    เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตทั้งหลาย
    ที่ยังคงมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของเราอยู่
    โดยทำให้เราต้องแสดงพฤติกรรมตอบสนองต่อบุคคล,
    เหตุการณ์ และความเชื่อ ไปในทางใดทางหนึ่งอยู่

    การ Recapitulation นี้ จะช่วยให้เราสามารถปลดปล่อยเศษซากของความเจ็บปวด
    ในอดีต ที่ยังค้างอยู่ออกไปได้ และจะช่วยให้เราสามารถกอบกู้ชิ้นส่วน
    ที่ได้รับความเสียหายจากความเจ็บปวดนั้นๆของเราเองกลับคืนมาได้

    ถ้าเรามีฉลากที่ชี้บ่งความเป็นตัวตนของเราแปะเอาไว้อยู่
    หรือถ้าเรามีความทะนงตน หรือความอหังการอยู่
    หรือถ้าเรายังคงเที่ยวไปตัดสินชี้ถูกผิดคนอื่นๆ หรือเหตุการณ์ต่างๆอยู่หละก็
    ทั้งหมดเหล่านี้ เราจำเป็นจะต้องชำระสะสางพวกมันออกไปให้หมดสิ้น

    การ Recapitulation สามารถที่จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติได้
    แต่มันจะเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจซะมากกว่า ถ้าจะทำให้มันง่ายขึ้นหละก็
    ให้จับเรื่องราวในอดีตที่ต้องการชำระสะสางนั้นให้มาอยู่กันเป็นหมวดหมู่ซะ
    เช่น เรื่องของปีนั้นปีนี้, เรื่องครอบครัว, เรื่องคู่สมรส, เรื่องคู่รัก, เรื่องเพื่อน,
    เรื่องครูบาอาจารย์, เรื่องเพื่อนร่วมชั้นเรียน, เรื่องเพื่อนนักเรียน,
    เรื่องเจ้านาย, เรื่องเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น

    บางครั้ง เราอาจจะได้รับภาพของเหตุการณ์ในอดีตที่แว๊บเข้ามาในหัวเรา
    ในระหว่างที่เราหลับฝันก็ได้ นั่นคือสัญญลักษณ์อย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่า
    เหตุการณ์เหล่านั้น จำเป็นจะต้องได้รับการปลดปล่อยแล้ว

    และมันก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก ถ้าเราสามารถรู้รูปแบบของวัฏจักร
    ของสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราเองได้ เพราะว่ามันจะทำให้เราจะสามารถ
    Recapitulation มันทั้งวัฏจักรไปเลย และก็จะสามารถปลดปล่อยวัฏจักรอื่นๆ
    ที่คล้ายๆกันนี้ ไปพร้อมๆกันด้วยเลย

    ผลที่ตามมาก็คือ เมื่อคุณทบทวนชีวิตของคุณเองแล้ว
    ต้องแน่ใจว่าคุณได้ทบทวนวัฏจักรย่อยๆทั้งหลาย
    ที่ซ้อนอยู่ในวัฏจักรใหญ่ๆนั้นด้วยแล้ว



    กระบวนการ Recapitulation นี้จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
    หลังจากที่เราตายไปแล้ว เพราะว่าภายหลังจากที่เราตายไปแล้วหลายชั่วโมง
    วิญญาณของเราก็จะยังอยู่ในสนามพลังงานรูปไข่
    ที่ล้อมรอบร่างกายเนื้อของเราอยู่

    ซึ่งในช่วงเวลานี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในชีวิตของเรา
    ก็จะมาปรากฎต่อหน้าเราให้เราได้เห็นอีกครั้งหนึ่ง
    และเมื่อเราเป็นผู้ดูมันอยู่ เราจึงสามารถที่จะมองเห็นมัน
    จาก “มุมมองของพระเจ้า” ได้

    และด้วยเหตุนี้ เรื่องราวทั้งหมดในชีวิตของเรา จึงถูกเรานำมาคิดใคร่ครวญ
    และทบทวนและตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
    จากนั้น วิญญาณของเราจึงจะจากไปสู่โลกแห่งจิตวิญญาณต่อไป
    แล้วสนามพลังงานรูปไข่ที่ว่านั้น ก็จะสูญสลายหายไป

    .....

    ....................................................
     
  17. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    เรื่องเทวดาทำไมจึงแต่งตัวไม่เหมือนกัน อันนี้ริว จิตสัมผัส เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า

    "ท่านบอกว่าสิ่งที่แบ่งแยกภาพนรกคือการจดจำ คนไทยจดจำภาพยมบาลว่านุ่งโจงกระเบนขณะที่ฝรั่งมองอีกอย่าง ทุกอย่างขึ้นกับมโนภาพตอนเป็นมนุษย์"

    ฉบับเต็มอยู่ในนี้ครับ คำถามกวนจิต “ ริว จิตสัมผัส” - คลิปแมส
     
  18. Ong

    Ong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +12,861
    "...ทำไมจึงมีศาสนาหรือความเชื่ออยู่มากมายในโลกนี้
    ทำไมพระเจ้าจึงไม่ทรงให้พวกเรามีเพียงหนึ่งเดียว..."


    แล้วคำตอบที่เธอได้รับก็คือ

    "...เราแต่ละคนต่างก็มีพัฒนาการระดับจิตและระดับความเข้าใจที่แตกต่างกัน...
    ทุกศาสนาในโลกนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งจำเป็นทั้งนั้น
    เพราะมีผู้คนมากมายที่ต้องการคำสอนในแบบที่แต่ละศาสนาสอนอยู่...
    แต่ละศาสนา ก็ตอบสนองความต้องการธรรมะบางอย่าง
    ในแบบที่ศาสนาอื่นไม่ได้เน้น


    ไม่มีศาสนาใดเพียงศาสนาเดียว ที่สามารถตอบสนองความต้องการ
    ของคนทุกคนได้ในทุกๆ ระดับจิต..."


    เบ็ตตี้ยังเล่าอีกด้วยว่า

    "...เมื่อฉันได้รับทราบตามนี้แล้ว ก็ตระหนักด้วยว่า
    เราไม่มีสิทธิ์จะวิพากษ์วิจารณ์นิกายหรือศาสนาอื่นๆ
    ไม่ว่าจะในทางใดก็ตาม ทุกศาสนา ทุกนิกาย
    ล้วนมีค่าสูงยิ่งและสำคัญในสายตาของพระเป็นเจ้า..."


    ------

    ชอบประโยคนี้จริงๆ
     
  19. Isreal

    Isreal เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    530
    ค่าพลัง:
    +1,327
    ขอบคุณคุณชยุตมากๆค่ะ ^^
     
  20. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขออนุญาตแถมอีกนิดหนึ่งครับ

    ที่มา:
    http://palungjit.org/threads/ข้อควา...ญ่ของมนุษยชาติ-ไปสู่มิติที่-5-a.246190/page-4
    ..............................................................
    Matthew Ward 14th February Channelling
    การสื่อสารทาง โทรจิตจาก Matthew Ward – 14 กุมภาพันธุ์ 2010

    ผู้รับการสื่อสาร: Suzy Ward


    ที่มา: February 14, 2010

    ตอน ที่ 1 / 4

    ...

    11. ใครที่กำลังประพฤติชั่วอยู่ในขณะนี้ พวกเขาคงจำไม่ได้ว่า
    เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว ทุกๆจิตวิญญาณ จะได้ทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมด
    ที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตที่เพิ่งผ่านมาของพวกเขาเอง ทุกๆนาทีเลยทีเดียว

    ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การได้เห็นภาพเหตุการณ์ ที่พวกเขาได้กระทำมาชั่วชีวิต
    อีกครั้งหนึ่งเท่านั้น แต่พวกเขาจะรู้สึกได้ถึง ทุกๆอารมณ์ความรู้สึก
    ที่ได้เกิดขึ้นจริง ของทุกๆคน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตพวกเขา
    ในแง่มุมใดมุมหนึ่งอีกด้วย


    ภพชาติต่อไปของเหล่าผู้ที่จมอยู่ในความมืดมิด ก็จะเป็น “นรก”
    ที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเอง ซึ่งคุณอาจจะเรียกมันว่า
    เป็นบทลงโทษสำหรับพวกเขาก็ได้
    ซึ่งมันเลวร้าย เสียยิ่งกว่าที่พวกคุณจะสามารถเข้าใจได้เสียอีก

    และจนกว่าพวกเขาจะยอมรับแสงสว่าง ที่ถูกส่องสาดอย่างต่อเนื่อง
    ไปสู่สถานที่ๆมีระดับพลังงานสอดคล้องกับระดับพลังงานชีวิตของพวกเขา
    ที่ดึงดูดให้พวกเขาต้องไปอยู่ ได้แล้วเท่านั้น
    พวกเขาจึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกครั้ง

    ............................................

     

แชร์หน้านี้

Loading...