หลวงปู่แหวนมาโปรดในนิมิตร(ฝัน)

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย psombat, 18 มีนาคม 2010.

  1. "นนต์"

    "นนต์" เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +1,157
    ขอขยายภาพพระเกศาธาตุของพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช ที่กำลังกลายเป็นพระธาตุองค์กลมสีขาวเล็กๆ กระจายอยู่ใต้เส้นเกศาที่ปลงได้ไม่นาน ปีใหม่คงจะได้เห็นกันอีกครั้งครับ

    ขอเจริญในธรรม
    ดร.นนต์
    22 ธันวาคม 2554


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. "นนต์"

    "นนต์" เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +1,157
    พระสมเด็จวัดระฆังองค์แก่น้ำมันผสม
    ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐนนต์ สิปปภากุล
    22 ธันวาคม 2554

    พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่ เนื้อผงผสมปูนแก่น้ำมันผสม(ตังอิ้วหรือน้ำอ้อย) มีธรรมชาติและความเก่าที่ดูชัดเจนอีกองค์หนึ่ง มีมวลสาร เนื้อหา และพิมพ์ทรง เป็นไปตามหลักสากลของเซียนครับ ศึกษาไว้ไม่เสียหาย เผื่อเจอะเจอจะได้อัญเชิญกลับบ้านได้

    ปล. ผมนำมาให้ดูเพื่อเป็นวิทยาทาน ขอให้โชคดีครับ

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. "นนต์"

    "นนต์" เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +1,157
    ฆราวาสบรรลุธรรม (น่าสนใจมาก)
    โดยคุณปะขาวหนุ่ม จาก http://palungjit.org/threads/คุณลุงหวีด-บัวเผื่อน-ฆราวาสบรรลุธรรม.318397/
    <TABLE class=alt1 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    จิตเป็นอมตะ : ลุงหวีด บัวเผื่อน โดยหนังสือพิมพ์โพสทูเดย์




    หาผู้รู้ให้เจอ แล้วปล่อยผู้รู้ ทางที่ผ่านแล้วของลุงหวีด บัวเผื่อน

    กัลยาณมิตรธรรมส่งหนังสือ “จิตเป็นอมตะ” ซึ่งเพิ่งพิมพ์เมื่อเดือนก่อนมาให้ หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติของคุณลุงหวีด บัวเผื่อน ฆราวาสบรรลุธรรม และแนวทางปฏิบัติของท่าน

    โดย…ภัทระ คำพิทักษ์


    กัลยาณมิตรธรรมส่งหนังสือ “จิตเป็นอมตะ” ซึ่งเพิ่งพิมพ์เมื่อเดือนก่อนมาให้ หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติของคุณลุงหวีด บัวเผื่อน ฆราวาสบรรลุธรรม และแนวทางปฏิบัติของท่าน

    เนื้อหาสองส่วนนี้สอดคล้องต้องกันกับเจตนารมณ์ของผู้จัดทำต้นฉบับซึ่งประกาศเจตนาของการทำหนังสือไว้ว่า “…เป็นหนังสือที่ต้องการบอกให้ทุกคนที่ต้องการแสวงหาความสุขทางใจได้รับรู้ว่า ไม่ว่าท่านจะอยู่ในสภาพไหน อย่างไร ก็มีสิทธิปฏิบัติธรรมและได้รับผลแห่งการปฏิบัติสมควรแก่ธรรมนั้นๆทั้งสิ้นทุกคน…” นั่นประการหนึ่ง

    อีกประการหนึ่งคือ “…ในหนังสือยังกล่าวถึงแนวทางปฏิบัติของคุณลุง ตลอดจนธรรมะที่คุณลุงเห็นว่า สำคัญที่สุด อันเป็นหัวใจพระพุทธศาสนาคือ ‘รู้’ และธรรมอื่นๆ อันเป็นแก่นของพุทธศาสนา”

    ในส่วนแรกที่ว่านั้น พึงทราบว่าคุณลุงหวีดเป็นแรงบันดาลใจของผู้คนจำนวนมากเพราะท่านเป็นคนพิการ แต่อย่างที่ผู้จัดทำต้นฉบับได้ระบุไว้คือ ขอเพียงเราเป็นผู้แสวงหาความสุขทางใจ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาพไหน อย่างไรเราก็ปฏิบัติธรรมได้และย่อมจะได้รับผลแห่งการปฏิบัตินั้นๆ โดยสมควรแก่ธรรมทั้งสิ้น
    ไม่เพียงแต่คุณลุงจะไม่เอาข้อจำกัดทางร่ายกายมาเป็นอุปสรรคบั่นทอนตนเอง หากแต่กลับนำสิ่งที่คนอื่นอาจจะคิดว่าเป็นจุดด้อยพลิกมาเป็นจุดแข็งอีกต่างหากนั่นคือ เมื่อคุณลุงหวีดย้ายจาก ต.หนองบัว มาอยู่ที่เขาไร่ยา จ.จันทบุรี นั้น มีพระภิกษุรูปหนึ่งมาแนะนำคุณลุงว่า
    “สภาพร่างกายที่พิการอย่างคุณลุง ไปไหนมาไหนไม่ได้แบบนี้ นับเป็นโอกาสที่ดีในการรักษาศีลห้า เพราะจะไปเที่ยวลักทรัพย์ใครก็ไม่ได้ ไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตก็ไม่ได้ และโดยนิสัยคุณลุงก็ไม่ใช่คนชอบมุสาอยู่แล้ว เรื่องไปผิดลูกผิดเมียใครก็ไปไม่ได้ สุราของมึนเมา คุณลุงก็ไม่ดื่มไม่แตะ ดังนั้นศีลห้าของคุณลุงก็นับว่า แทบบริบูรณ์ ขาดแต่เพียงเจตนาเท่านั้น ขอเพียงคุณลุงตั้งใจเจตนาว่าจะรักษาศีลห้า ศีลห้าก็จะบริบูรณ์ทันที…”

    คุณลุงหวีดจึงสมาทานศีลห้ามาตั้งแต่บัดนั้น

    เส้นทางของการได้ครูดี ศิษย์เป็นคนมีปัญญาจึงเริ่มขึ้น

    พิจารณาแล้วก็น่าคิดว่า โลกไม่เคยตัดรอนใคร สมดังคำกล่าวที่ว่า ในดีมีเสีย ในเสียมีดีจริงๆ

    เส้นทางการปฏิบัติธรรมของคุณลุงหวีดมีช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญหลายตอน แต่ที่กลายเป็นฐานอันมั่นคงในกาลถัดมาเกิดขึ้นในปี 2530 เมื่อพระอาจารย์ของท่านสอนให้ท่านปฏิบัติ โดย “พยายามให้มีสติ หยุดความคิด อย่าให้มีความคิด เพราะความคิดเป็นต้นเหตุของความทุกข์”

    เมื่อจับอยู่กับสติได้แล้วขั้นต่อไปคือ “เมื่อมีสติแล้ว พอมีความคิด เราก็จะเห็น เมื่อเห็นความคิด ก็หยุดซะ อย่าให้มันมีต่อไปให้ยาวนัก…”

    สิ่งที่ท่านมาประยุกต์เอาในการปฏิบัติจริงคือ “พยายามมีสติให้ได้ทั้งวันทั้งคืน ช่วงแรกๆ ทำได้นิดเดียว แวบหนึ่งก็ขาดสติแล้วแต่ด้วยความที่คุณลุงไม่ยอมแพ้ ตั้งใจแน่วแน่ว่า จะทำตรงนี้ให้จงได้ ตอนนั้นคุณลุงเข้าใจว่า สติก็คือ ตัวตื่นที่ใจ แล้วก็จับเอาตรงนั้นไว้เรื่อยมา เวลาขาดสติก็ระลึกขึ้นมาให้ตื่นที่ใจ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ให้ตื่นที่ใจเอาไว้ จะคิดจะพูดจะทำอะไรก็ให้ตื่นที่ใจไว้ จับตรงนี้…”

    สิ่งที่เกิดตามมาคือ “มันให้ผลเร็ว สติเริ่มต่อเนื่อง ต่อมาก็ทำได้นานขึ้น สติยาวเป็นสาย ไม่ว่าจะพูดจะทำอะไร รู้สึกว่ามีสติตลอด หลังผ่านไป 2 ปีคุณลุงสามารถมีสติได้ตลอดเวลา ไม่มีความคิดแทรกเข้ามาเลย อยากจะหยุดความคิดเมื่อไหร่ มันก็หยุดได้ในทันทีอย่างง่ายดาย”

    พระอาจารย์ท่านว่า ตรงนี้มันถูกจุดที่สุด จะนำไปสู่การหลุดพ้น!

    หลังจากนั้นท่านก็ได้เห็นทุกข์ ได้พบความว่าง ได้รู้จักความว่างที่แท้จริง ได้พิจารณาโดยมีสติรู้ตลอดเวลาแล้วรู้ว่า การพิจารณาตามความเป็นจริงนั้นเป็นอย่างไร ได้พิจารณาจนเวทนาขาดจากจิต ได้รู้ว่าเวทนาไม่ใช่จิต สัญญาไม่ใช่จิต สังขารความคิดก็เป็นคนละอันกับจิต วิญญาณก็ไม่ใช่จิต

    เมื่อเวทนาขาดจากจิต ก็ได้ทบทวนใหม่ว่า จากเดิมที่เข้าใจว่า สติเป็นเรา ไม่เกี่ยวกับขันธ์ห้าเลยนั้น แท้จริงแล้วเราคือใคร?

    ท่านว่าระหว่างนั้น “เราก็มาอยู่กับสติตามเดิมแต่รู้แล้วว่า สติ คือ ความระลึกได้เท่านั้นเอง ที่เราไม่ขาดจากจิตก็เพราะมีสติระลึกอยู่…”

    เมื่อผ่านด่านนั้นมาแล้ว ท่านจึงสรุปภาวะที่เกิดขึ้นตอนนั้นว่า “…ตอนนั้นมันยังมีอุปทานอยู่ว่า เราก็คือ จิตนั่นแหละคือ ความรู้สึกอันนี้ แต่กาย ขันธ์ห้าไม่เกี่ยว (กับจิต)…รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เกี่ยว เรียกว่า เราไปอยู่กับความรู้สึก (ซึ่งก็คือจิต) ในขณะนั้น”

    ต่อมาท่านพบว่า จิตกับสติเป็นคนละสิ่งกัน

    ฉะนั้นวิหารธรรมของท่านจึงกลายเป็นว่า “…ตอนนี้เราไม่ได้ใช้สติแล้ว มันมาอยู่กับจิตโดยตรง”

    และนั่นทำให้ท่านได้ข้อสรุปว่า “เราคือจิต จิตคือเรา จิตคือรู้ รู้คือจิต”

    สภาวะของจิตอยู่กับจิตนั้นเป็นอย่างไร

    คุณลุงหวีดเล่าไว้ว่า จากที่เมื่อก่อนต้องคอยประคองสติให้จ่อกับผู้รู้หรือจิต เวลานี้ไม่ต้องประคอง คือ เป็นรู้โดยอัตโนมัติ จิตทรงอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา เป็นความรู้สึกที่ชัดเจนอยู่ข้างในว่านี่คือ เรา…”

    เราที่ว่าก็คือ “เราคือจิต จิตคือเรา จิตคือรู้ รู้คือจิต”

    ถึงขนาดนั้นแล้วก็ยังไม่ใช่ที่สุด

    พอรู้และอยู่กับรู้ ไป “ตั้งรู้อยู่นั้น” ผลคือ “รู้ ตัวนี้มันหนัก…มันเหมือนกับเราหิ้วหรือหาบอะไรอยู่ตลอดเวลา”

    เมื่อตามไปขอรับการชี้แนะจากครูบาอาจารย์ท่านก็แนะให้ “ให้ปล่อย ‘รู้’ เสีย…”

    ท่านว่าจากนั้นมาก็จนด้วยเกล้าไม่รู้จะปล่อยอย่างไร เพราะเราคือตัวนี้…ถ้าปล่อยมันก็คือ ตาย มันจะไม่มีเราไปได้ยังไง…มันจนด้วยเกล้า”
    เราคือตัวนี้ เพราะสรุปไว้ว่า “เราคือจิต จิตคือเรา จิตคือรู้ รู้คือจิต”

    วนเวียนอยู่กับภาวะ จะปล่อยยังไง ไม่ปล่อยก็ผิด ปล่อยก็ปล่อยไม่เป็น อยู่ 2 ปี วันหนึ่งตามไปกราบพระอาจารย์รูปดังกล่าวที่ภาคใต้ แนะกันยังไงมันก็ไม่ตก ไม่คลาย ท่านว่าเราคงไม่มีวาสนาบารมีแล้ว ไม่มีปัญญาแล้ว มันจนปัญญาจริงๆ รถก็กำลังจะออก ในเวลานั้นหน้าลุงหวีดมีแก้วอยู่ 2 ใบ พระอาจารย์ท่านจึงหยิบแก้ว 2 ใบนั้นมาตั้งเรียงกันแล้วกล่าวขึ้นว่า

    “โยม…เวลามีสิ่งมากระทบ โยมก็กระโดดจากแก้วนี้ไปอยู่แก้วนี้ เวลาไม่มีกระทบ โยมก็กลับไปอยู่ตัวเดิม คือ มันจับทั้งสองตัวใช่ไหม ปล่อยหัวจับหาง จับหางปล่อยหัว มันก็ไม่ปล่อยสักทีใช่ไหม เอาอย่างนี้ได้ไหมโยม ให้ปล่อยทั้งหัวทั้งหางเลย คือ เวลามีสิ่งกระทบ โยมปล่อยไปทั้งสองตัวเลย อย่างปล่อยตัวเดียว”

    “ท่านพูดเท่านั้นเองล่ะก็ดีดพัวะ…เหมือนกับตอนเวทนาที่หลุดลอยออกไป มันเหมือนที่รู้ที่เราจับไว้ มันดีดผึงออกไปจากใจ ถึงตอนนั้นเรารู้ทันทีว่า โอ้โฮ ความเป็นอิสระมันเป็นอย่างนี้ จิตใจที่เป็นกลางมันเป็นอย่างนี้ สิ่งเราไม่ต้องรักษามันเป็นอย่างนี้ คือ เขาเป็นของเขาเอง ไม่มีเรา

    เรานี่ดับพรึ่บไปเลย มันเหลือแต่จิตล้วนๆ จริงๆ ความรู้สึกที่เบา ไม่เป็นภาระเหมือนรู้ตัวก่อน

    รู้ตัวแรกมันเป็นภาระ เราประคับประคองไว้ ประคบประหงมเอาไว้เป็นอย่างดีเลย กลัวมันหลุดลอยไป เราไปหมายรู้ไว้อย่างชัดเจน แต่เราไม่รู้เลยว่าเราหมาย เอา “เรา” นี่แหละไปหมาย

    พอเราหมายปุ๊บ รู้นั้นเป็นอวิชชาทันที แต่พอปล่อยปุ๊บ มันก็มีรู้ที่ไม่ต้องรักษา ไม่ต้องกำหนด ไม่ต้องไปทำอะไรทั้งสิ้น จิตที่เป็นกลางๆ เป็นปัจจุบันธรรมขึ้นมา ก็คือ รู้ที่เกิดใหม่ขึ้นมานี้เอง รู้เลยว่าจิตที่เป็นปัจจุบันธรรมเป็นอย่างนี้ จิตเป็นกลางเป็นอย่างนี้ ทั้งหมดทั้งปวงมันอยู่ในนี้หมดเลย ปล่อยตัวรู้ตัวเดียวมันเข้าใจหมด”

    ความนี้ทำให้ระลึกถึงคำชี้แนะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ซึ่งได้ชี้แนะ หลวงพ่อพุธ ฐานิโยว่า “พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ พบจิตให้ทำลายจิต”
    ถามว่า ผู้รู้คืออะไร

    รู้ไว้ใช่ว่า ปฏิบัติถึงไม่ถึงไม่เป็นไร คุณลุงหวีดบอกไว้ว่า ผู้รู้สำหรับท่านนั้นหมายถึง “ความรู้สึกที่ตื่นขึ้นมาจากใจตัวเอง”

    “คำว่าตื่นในที่นี้ มันเป็นความรู้สึกตื่นขึ้นที่ใจของเรา ธรรมดาคนเรามันมีความรู้สึกอยู่แล้ว แต่มันส่งไปข้างนอก ความรู้สึกตัวนี้ มันปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ความรู้สึกที่มันจุดประกายขึ้นภายใน ธรรมดามันก็จุดประกายด้วยกันอยู่แล้ว เพียงแต่ของคนอื่นมันเอาไปใช้ข้างนอกหมดสิ้นเลย แต่ของผู้ที่มีรู้อยู่ภายใน มันแบ่งเอาไว้ครึ่งหนึ่ง แทนที่จะไปรู้ข้างนอกหมดเลย มันรู้ข้างในด้วยเหมือนกับแสงสว่าง แทนที่มันจะไปสว่างที่จุดเดียวแต่อันนี้มันสว่างข้างนอก สว่างข้างใน จิตของคนทั่วไปทั้งที่มันติดสว่างอยู่ข้างใน แต่เหมือนกับดับ กล่าวคือ มันไปสว่างข้างนอกแล้วมันมืดข้างใน ในขณะที่จิตของผู้รู้อยู่ภายใน มันสว่างจากข้างในไปถึงข้างนอก หมายถึงว่า มันสว่างในบ้านด้วย สว่างนอกบ้านด้วย เรียกว่า เป็นตัวตื่น…”

    ท่านเทียบให้เห็นว่า รู้ของคนทั่วไปนั้นมันเหมือนไฟฉายพุ่งเป็นลำไปที่ใดที่หนึ่งทางเดียว แต่รู้ของนักปฏิบัตินั้นเหมือนเทียน เหมือนพระอาทิตย์กล่าวคือ มันสว่างใจกลางกินบริเวณกว้างโดยรอบ เห็นตลอดทั้งตัวเราและสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา

    ท่านว่า เราต้องขวนขวายให้เจอผู้รู้ว่า มันคืออะไร

    ท่านว่า เทคนิคมันมีง่ายๆ เพราะทุกคนมี “รู้” อยู่แล้ว แต่ความรู้ต่างๆ ที่ได้ยินจากหู ได้กลิ่นจากจมูก ตาเห็นภาพแล้ว ฯลฯ นั้นไม่ใช่ผู้รู้
    เวลาเห็นผู้หญิงหรือกระป๋อง ทั้งผู้หญิง ทั้งกระป๋องมิใช่ผู้รู้ แต่เป็นผู้ถูกรู้ ส่วนผู้เห็นนั่นล่ะผู้รู้

    ท่านว่า “เข้าใจรู้ จับรู้ได้ ถือเป็นก้าวแรกของการรู้จักพระพุทธศาสนา เริ่มเข้าถึงแก่นพระพุทธศาสนาแล้ว…”

    “ถ้าจับรู้ได้ก็เป็นการละกายอยู่แล้ว จะไม่ยึดว่ากายเป็นของเราอีก หรือละสักกายทิฏฐิ…”

    “หาผู้รู้ให้เจอ แล้วอยู่กับผู้รู้ให้ได้ 20-30% ในแต่ละวันแค่นี้ก็ปิดอบายภูมิได้แล้ว”

    “หาผู้ให้เจอ อยู่กับผู้รู้ให้ได้ 20-30% ในแต่ละวันก็ปิดอบายภูมิได้แต่หาเจอแล้วอย่าไปอยู่กับผู้รู้ เจอแล้วต้องปล่อยเพราะ “เมื่อปล่อย ‘รู้’ ได้ก็คือ ละสังโยชน์ได้ทั้งหมด”

    “ผู้รู้ นั่นแหละ อวิชชา กิเลสตัวใหญ่ ฉะนั้นเราต้องปล่อยรู้”

    “ปล่อยรู้ ก็คือ ปล่อยอวิชชานั่นเอง”

    ทั้งหมดนี้มีแจกแจงแสดงไว้ใน “จิตเป็นอมตะ” ผมได้หนังสือนี้มาห่อหนึ่ง ใครอยากได้แจ้งที่อยู่มานะครับ

    อ้อ…ว่าเรื่องสำคัญไปหมดแล้ว แต่เรื่องหญ้าปากคอกประการหนึ่งที่มิอาจข้ามไปได้นั่นคือ ท่านว่า นิพพานมีอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น ปัจจุบันไม่ถึง อนาคตมันก็ไม่ถึง ใครไปหวังนิพพานชาติหน้าโน้นเทอญนั้น ผิด ท่านว่า ไม่ถึงชาตินี้ โอกาสอื่นไม่มี

    ต้องมาสู่ปัจจุบันนี้ จึงจะถึงได้ ถ้าไม่มีปัจจุบันจะมีอนาคตได้อย่างไร

    ไม่ถึงชาตินี้ โอกาสอื่นไม่มี

    ไม่ถึงชาตินี้ โอกาสอื่นไม่มี

    ไม่ถึงชาตินี้ โอกาสอื่นไม่มี

    เตือนตัวเองครับ

    หนังสือของลุงหวีดบัวเผื่อนนะครับ หาอานได้ที่เวปด้านล่างนี้นะครับ
    ดาวน์โหลดหนังสือจิตเป็นอมตะ | ลุงหวีด บัวเผื่อน
    http://www.google.co.th/url?q=http:/...zvjl7qyKD2B8NQ
    ไม่มีแจก แต่ทุกท่านสามารถ อ่านหรือปริ้นได้ครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  4. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    ขอให้การปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่าง เป็นไปด้วยความเรียบร้อยดีเด๊อ
     
  5. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    [​IMG]
    [​IMG]
    มีญาติธรรมท่านหนึ่งส่งมาให้ดูว่าใช่พระกริ่งกรุวัดพระแก้วหรือไม่?
    ผมพิจารณาดูตอนแรกก็เข้าทีอยู่ แต่พอเห็นก้นแล้ว...ไม่ค่อยแน่ใจ
    ขอความกรุณาผู้รู้ท่านอื่นๆ โปรดชี้แนะด้วยนะครับ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00606.JPG
      DSC00606.JPG
      ขนาดไฟล์:
      144.1 KB
      เปิดดู:
      8,516
    • DSC00608.JPG
      DSC00608.JPG
      ขนาดไฟล์:
      138.7 KB
      เปิดดู:
      105
    • DSC00616.JPG
      DSC00616.JPG
      ขนาดไฟล์:
      132.5 KB
      เปิดดู:
      5,630
    • DSC00605.JPG
      DSC00605.JPG
      ขนาดไฟล์:
      102.1 KB
      เปิดดู:
      249
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2013
  6. สาวกธรรม1

    สาวกธรรม1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +173
    ถือว่าเป็นบุญมากครับที่ได้เป็นศิษย์ของพ่อแม่ครูอาจารย์ กราบ กราบ กราบ
     
  7. Natachai

    Natachai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +937

    --- องค์นี้เคยส่งเมล์มาสอบถาม และได้ตอบไปแล้วว่าไม่ใช่


    ธรรมสวัสดี
    ดร.ณัฐชัย
     
  8. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    ขอบคุณมากครับท่าน ดร.

    อยากบอกญาติธรรมว่า โปรดอย่าส่งภาพพระมาให้ผมพิจารณาให้เลยนะครับ
    หากส่งมาเพื่อศึกษาร่วมกันนั้นก็พอได้ หรือหากมีข้อสงสัย/ไม่แน่ใจก็แนะนำให้ลงในบอร์ดนี้
    เพื่อศึกษาร่วมกันกับท่านอื่นๆและยังเป็นการต่อยอดความรู้ได้อีกเช่นกัน

    สำหรับพระพิมพ์ที่ผมนำมาลงเพื่อเผยแพร่เกียรติคุณของ...
    - ผู้ทรงให้สร้าง
    - ผู้ทรงอธิษฐานจิต/อธิษฐานจิต
    - คณะช่างสิบหมู่
    - และเทวดาผู้รักษาองค์พระ
    ได้ตรวจจากท่านผู้รู้หรือผู้มีญาณแล้วเท่านั้น ทว่า...

    ความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคลจักบังเกิดเป็นผลอัศจรรย์ได้ ก็ต้องอาศัยแรงศรัทธาและความเชื่อมั่นของผู้อัญเชิญ ต่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดีเลิศขนาดไหน หากเราไม่เชื่อมั่นแลศรัทธาก็ไม่ยังผลให้เรา

    ก็ไม่ต่างจากพระธรรมคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาฯทุกๆพระองค์ ที่ถือว่าประเสริฐเลิศที่สุด
    หากเราไม่เชื่อ ไม่ศรัทธา ไม่น้อมนำมาปฏิบัติตาม ก็ไม่ได้ยังประโยชน์ใดๆให้กับเราเช่นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2011
  9. มูริญโญ่

    มูริญโญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +583
    สุดยอดครับ............ ท่าน คร.
    แบบนี้แหละครับน่านับถือ กล้าฟันธง ............ เยี่ยมครับ
     
  10. santacros

    santacros สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +22
    เรียน ดร นนท์ ครับ ผมมีข้อสงสัยว่า กลิ่นของพระสมเด็จมีความสำคัญในการพิจารณามากน้อยแค่ใหนคับ
     
  11. tar4momjaw

    tar4momjaw สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +0
    ผมน้องใหม่ผิดถูกประการใดโปรดชี้แนะ

    ไม่ได้ดีกว่าใครๆ แต่มีใจเป็นที่หนึ่ง ไม่ต้องการให้ใครซึ้ง แต่แค่อยากถึงซึ่งรสพระธรรม หากมีใจเป็นเมตตา ผมขอพาตัวเข้าสู่ ไปให้ถึงซึ่งที่รู้ ที่รออยู่ที่อยากไป
     
  12. หมวดซุบ

    หมวดซุบ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +20
    ขออนุโมทนาบุญกับท่าน อ.นนต์ นะครับที่ได้รับพระสมเด็จวัดระฆังองค์สวยๆซึ่งเนื้อนี้ พิมพ์นี้ของผมมีหนึ่งองค์ ได้มาแบบปาฏิหาริย์มากครับ คือลูกน้องในที่ทำงานนำมาแลกเปลี่ยน เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปมาลงให้ดูครับ ส่วนกลิ่นพระเนื้อนี้ องค์ของผมมีกลิ่นออกคล้ายๆกับกลิ่นของหมาก ครับ:cool:
     
  13. สาวกธรรม1

    สาวกธรรม1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +173
    ยินดีต้อนรับครับท่าน:cool:
     
  14. "นนต์"

    "นนต์" เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +1,157
    กลิ่นของพระสมเด็จหรือพระอื่นๆ ก็ล้วนมีความแตกต่างกันมากบ้าง น้อยบ้าง กลิ่นบางกลิ่นเป็นของดั้งเดิมตั้งแต่มีการสร้าง กลิ่นบางกลิ่นเกิดจากเจ้าของนำพระมาวางไว้ในที่มีน้ำอบน้ำหอม หรือกลิ่นธูปเทียนหอม ดอกไม้หอม นานๆเข้าก็กลายเป็นส่วนที่ติดอยู่กับพระเหล่านั้น ดังนั้น กลิ่นในองค์พระจึงบอกข้อสรุปไม่ได้ครับ แต่เท่าที่ผมเคยสัมผัสพระสมเด็จวัดระฆังที่ไม่ผ่านการใช้หรือการสรงน้ำมาเลยมักจะมีกลิ่นของมะลิออกตุตุ ผมก็อธิบายไม่ถูก แต่เมื่อเรานำพระองค์นั้นมาแขวนหรือมาใช้พระองค์นั้นก็จะถูกกลิ่นของเหงื่อไปกลบอีกทีครับ

    ขอเจริญในธรรม
    ดร.นนต์
    23 ธันวาคม 2554
     
  15. "นนต์"

    "นนต์" เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +1,157
    เรียนทุกท่าน วันนี้ผมได้รับสิ่งมงคลที่ท่าน ดร.ณัฐชัย ได้นำมามอบแก่เหล่านักรบธรรมจำนวนหนึ่ง ดังที่ท่านได้โพสต์ไว้ เป็นของดีหายากจริงๆ ท่านบอกให้นำไปมอบที่ภูดานไห มีสองอย่างแล้วแต่ดวงใครดวงมันนะครับ
     
  16. Indhus

    Indhus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +113
    ขอต้อนรับด้วยความยินดีครับ หลาย ๆ ท่านในนี้คงให้ความรู้ในทางธรรมได้เยอะเลย

    ส่วนผมทำหน้าที่เรียนรู้ความก้าวหน้าของทุก ๆ ท่านเพื่อพัฒนาตนเองไปเรื่อย ๆครับ
     
  17. tar4momjaw

    tar4momjaw สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +0
    ต้องขอบคุณและคาระวะงามๆให้ท่านพี่somlatriที่จุดประกายแสงสว่างให้ผมได้เข้ามาครับ
     
  18. tar4momjaw

    tar4momjaw สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +0
    ต้องขอกราบขอบพระคุณสิ่งศักสิทธิ์ทั้งหลายที่ได้นำพาตัวผมได้มาพบได้มาเจอและได้มารู้จักกับของจริงอย่างทุกๆท่านครับ
     
  19. tar4momjaw

    tar4momjaw สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +0
    สิ่งที่คิดสิ่งที่หวัง สิ่งที่ยังตามหาอยู่ สิ่งที่คนอื่นไม่รู้ สิ่งที่ดูเหมือนห่างไกล สิ่งที่รอคือความหวัง สิ่งที่ยังอยู่อีกไกล สิ่งๆนี้ไม่เลือนหาย สิ่งสุดท้ายพระนิพพาน
     
  20. "นนต์"

    "นนต์" เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +1,157
    ผู้ฉลาด(มีบุญ) ย่อมแสวงหาบัณฑิต(มิใช่ผู้มีปริญญา) เพราะบัณฑิตจะพากันแสวงหาธรรม และท้ายสุดก็จะพากันไปพบพระพุทธเจ้า ท่านเป็นผู้ที่ฉลาดแล้วจึงขออนุโมทนาและยินดีต้อนรับทุกท่านครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...