ทำไมมีแต่คนอ้างคำสอนของครูบาต่างๆมากกว่าพระไตรปิฏก

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย I2D2, 4 กันยายน 2011.

  1. I2D2

    I2D2 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2011
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +0


    ทิ้งท้ายก่อนนอน ปาฏิโมกขสังวรศีล และอินทรีย์สังวรศีลครับ
    ซึ่งก็ครอบครุมศีลทั้งหมด แต่ต้องปรารถนาพระนิพพานด้วย ไม่เช่นก็ไม่พ้นวัฏฏะอยู่ดี


    นอนแว้ววววววววว พรุ่งนี้ลุยต่อครับ ฝันดีทุกท่าน
     
  2. tOR_automotive

    tOR_automotive เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    582
    ค่าพลัง:
    +184
    สุดยอดดดดด
    สาธุ สาธุ สาธุ

    ตั้งกระทู้ถูกใจที่สุดเลยยยย
     
  3. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    อนุโมทนากับบทความของท่าน..
     
  4. I2D2

    I2D2 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2011
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +0


    รุ้ได้อย่างไรว่าท่านเป็นจริงๆ ไม่ใช่แค่หลอกเราครับ ดูที่ศีลเหรอ???ก็ไม่ได้อีกล่ะ


    เพราะแค่สีลบริสุทธิ์ก้ไม่ได้หมายความวาท่านเป็นพระอรหันต์เสมอไป บางท่านยิ่งแล้วใหญ่ ทำเป็นเคร่งต่อหน้าโยมพอลับหลังก็อีกแบบนึง

    เช่น บอกว่าไม่รับเงิน แต่พอโยมเอาซองมาถวายก็เปิดย่ามออก ให้ใส่ในย่ามแทน มันก้ไม่ต่างกันอยู่ดี เพียงแต่เอามาทำเป็นพิธีให้คนเห็นว่าไม่จับเงินแค่นั้นเอง
     
  5. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    อินทรีย์สังวรศีล เป็นไฉน

    ก็ในเมื่อ การมีศีล ๕ ศีล๘ ศีลปาฏิโมกข์ นั้น
    ไม่ไปทำอะไรผิด ใจมันก็เป็นปกติ เท่านี้ศีลก็บริบูรณ์แล้วมิใช่หรือ


    ต้องปรารถนาพระนิพพานด้วย เป็นไฉน

    ก็ในเมื่อ ศีล สมาธิ ปัญญา บริบูรณ์ ผลแห่งมรรคย่อมปรากฏมิใช่หรือ
    เท่านี้ก็เพียงพอต่อ การพ้นวัฏฏะมิใช่หรือ
     
  6. I2D2

    I2D2 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2011
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +0


    อินทรีย์สังวรคือความสำรวมทางกายและใจ เป็นศีลที่ใช้ในการปฏิบัติวิปัสสนา
    แต่ปาฏิโมกนั้นเป็นการสำรวมกายเพียงอย่างเดียว เป็นศีลของพระภิกษุ

    เมื่อเกิดอินทรีย์สังวรขึ้นแล้ว ปาฏิโมกสังวรก็จะสำเร็จตามมา

    พูดง่ายๆคือ เมื่อสำรวมอินทรีย์ได้แล้ว ก้ไม่มีเจตนาที่จะล่วงละเมิดศีลได้เลย
    จึงทำให้ปาฏิโมกบริสุทธิ์ไปด้วย

    หรืออีกนัยหนึ่งคือ

    ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ ,๘ ,๑๐ ,หรือ๒๒๗ หากไม่มีอินทรีย์สังวรศีลเข้ามาด้วยแล้ว ก็ย่อมเป็นเพียงโลกีย์ศีล คือ ยังเป็นไปเพื่อมนุษย์สมบัติและสวรรค์สมบัติเท่านั้น

    แต่หากว่ามีอินทรีย์สังวรศีลซึ่งเป็นสีลที่ใช้ในการปฏิบัติวิปัสสนาอยู่แล้ว
    ก็ย่อมชื่อว่าปราถนาพระนิพพานไปด้วย ไม่ปราถนาทั้งมนุษย์สมบัติหรือสวรรค์สมบัติทั้งสิ้น ย่อมมุ่งตรงต่อพระนิพพานเพียงอย่างเดียว จึงได้ชื่อว่าโลกุตตรศีลนั่นเองครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2011
  7. I2D2

    I2D2 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2011
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +0
    ูผู้ที่รักษาเพียงโลกียศีลไม่ใช่ว่าจะไม่เกิดกิเลสเลยนะครับ กิเลสยังกรุ้มรุมอยู่ได้ เพียงแต่กั้นไว้ไม่ให้มันล่วงออกมาทางกายวาจาเท่านั้นเอง แต่ใจอาจจะยังคิดได้อยู่


    เหมือนคนที่กำลังพยายามจะเลิกบุหรี่ แม้ไม่ได้มีการสูปก็จริงแต่ยังไม่ได้ชื่อว่าเลิกมันได้ เพราะในใจยังอยากจะสูบมันอยู่เป็นต้น
     
  8. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80

    งั้นที่เข้าใจว่า ศีล คือ ความปกติ นั้น
    ไม่ได้หมายความว่า อยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไนผิด เดี๋ยวศีลเกิดเอง ข้อนี้ก็ไม่ถูกนัก
    หากเป็นเช่นนั้น สังวรณ์ศีล ต้องยึดมั่นรักษาไว้แบบระมัดระวัง
    กระดิกตัวไม่ได้ เดี๋ยวผิดศีล ข้อนี้มีอยู่มิใช่หรือ

    ส่วน ศีล ๕ ๘ ๑๐ เกิดในผู้มีปกติวิปัสสนา
    กับ ศีล ๕ ๘ ๑๐ มนุษย์สมบัติ หรือ สวรรค์สมบัติ
    เป็น ศีล ๕ ๘ ๑๐ เหมือนกัน

    แต่ในวิรัสตีศีล สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
    เกิดได้ในผู้มีปกติ ภาวนา และ เกิดไม่ได้ในผู้มีปกติ ภาวนา
    เพราะเหตุใดหนอ
     
  9. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,960
    โอ้โหยังไม่จบอีกหรอ กระทู้นี้อิอิอิอิ:cool:
     
  10. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    ที่ผมเคยโพสต์ไว้นะครับที่ว่า

    ถ้าเรามีปัญญาพอ จะสามารถแยกเพชรออกจากก้อนกรวดได้..
     
  11. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    พระท่านที่ไม่รับเงินจริงๆก็มี คุณไม่เคยเห็นอย่าไปเหมารวมกันสิครับ

    ผมศัทธาหลวงปู่มั่นด้วยใจจริง และ ท่านก็ชอบอยู่ในป่ามากกว่าที่จะอยู่ข้างนอกป่า

    แล้วในป่าจะเอาเงินไปทำอะไรครับ ไม่มีร้านสะดวกซื้อซะหน่อย

    ของจริงมีอยู่ครับ อย่านำไปรวมกับที่เขาหลอกสิครับ

    อย่างหลวงปู่มั่น ท่านสั่งสอนได้ไหมครับ ท่านสำเร็จมรรคผลไหมครับ

    ยังมีลูกศิษย์ของท่านอีกหลายรูปที่สำเร็จมรรคผลไปมากมายอีกนะครับ

    จะเชื่อสิ่งใดใช้เหตุ และ ผล ในการตรึกตรองดูครับ อย่าได้ยึดติดครับ
     
  12. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    สมัยพุทธกาล เวลาชาวพุทธศรัทราในพระธรรมปราถนาจะสร้างกุศล ทำทาน

    ท่านก็ปราวนาถวายเป็นผ้า ภาชนะ ที่อาศัย อาหาร ปัจจัยสี่

    ไม่เห็นมีว่าให้เงินทองอะไรเลย เข้าใจว่าฆารวาสผู้ศรัทราเข้าใจวินัยสงฆ์บ้าง

    อีกอย่างภิกษุ ผู้บำเพ็ญเพียรเผากิเลสนั้น ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ทรัพย์ สะสมทรัพย์

    ส่วนสมัยนี้ เข้าใจว่าทรัพย์นั้นจำเป็นในการศึกษาเล่าเรียน เดินทาง ค่าตำราต่างๆ

    แต่ถ้าไม่ได้เล่าเรียนอะไรแล้ว มันก็เป็นเรื่องปฏิบัติ ปฏิเวธ ไม่เห็นจำเป็นต้องสะสมทรัพย์แต่อย่างใด

    วัดยิ่งใหญ่วิจิตรพิศดาลเท่าไหร่ พีธีรีตรองยิ่งเยอะ อัตตาผู้อาศัยยิ่งมาก
     
  13. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    อนุโมทนาครับ กับความคิดเห็นนี้ครับ ต้องตรึกตรองด้วเหตุด้วยผล
     
  14. I2D2

    I2D2 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2011
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +0


    นั่งๆนอนๆเฉยๆไม่ได้มีศีลแน่นอนครับ เพราะบางคนไม่ได้มีเจตนาจะรักษาศีล


    ส่วนในกุศลจิตที่เป็นโลกียนั้น สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะนั้น
    ว่าโดยองค์ธรรมก้คือเจตสิกสามตัว

    ทั้งสามตัวนี้ล้วนเกิดได้ในศีลที่เป็นโลกีย์และเป็นโลกุตตระ แต่อารมย์นั้นต่างกัน
     
  15. I2D2

    I2D2 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2011
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +0
    เดี๋ยวนี้อาจารย์บางท่านพูดไปถึงขนาดว่า รักษาศีล๕ก็เข้าถึงพระนิพพานได้แล้ว
    อันนี้ไปกันใหญ่เลย
     
  16. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    เป็นกุศลโลบายรึเปล่า
     
  17. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ฆราวาสก็มีหวังได้ลิ้มรสนิพพาน


    ปัญหา เท่าที่ได้ฟังมานั้น การที่จะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน รู้สึกว่าเป็นกิจที่ทำได้ยากมาก จะต้องสละโลกออกบวช ไปอยู่ในป่าบำเพ็ญศีลสมาธิปัญญาอย่างเคร่งครัด ซึ่งน้อยคนจะกระทำได้ สำหรับฆราวาสที่ยังต้องอยู่ครองเรือนมีหน้าที่ในการเลี้ยงครอบครัว จะปฏิบัติอย่างไรจึงจะมีโอกาสได้ลิ้มรสแห่งนิพพานสุขบ้าง ?

    พุทธดำรัสตอบ
    “.....สาวกของพระอริยเจ้าในศาสนานี้ย่อมพิจารณาเห็นว่า เราปรารถนาชีวิตไม่คิดอยากตาย ปรารถนาแต่ความสุขสบายเกลียดหน่ายต่อความทุกข์ บุคคลผู้ใดจะพึงปลงเราเสียจากชีวิต ข้อนั้นจะไม่พึงเป็นที่รักใคร่ชอบใจของเราเลย ก็แล ถ้าเราจะพึงปลงผู้อื่นเสียจากชีวิต ถึงข้อนั้นก็จะไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของผู้นั้น ธรรมอันใดที่ไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของเราธรรมอันนั้นก็ไม่เป็นที่รักใคร่ ชอบใจของคนอื่น....... พิจารณาเห็นอย่างนี้แล้วตนก็เว้นเสียจากปาณาติบาต แลชักชวนผู้อื่นให้เว้นเสียจากปาณาติบาต และกล่าวพรรณนาคุณของการเว้นจากปาณาติบาต......

    “บุคคลใดจะพึงถือเอาสิ่งของที่เราไม่ให้ซึ่งนับว่าเป็นขโมย ข้อนั้นก็ไม่พึงเป็นที่รักใคร่ชอบใจของเราเลย ก็แล เราจะถือเอาสิ่งของที่ผู้อื่นไม่ให้ ถึงขอนั้นก็ไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของผู้อื่น.... พิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ตนก็เว้นเสียจากอทินนาทานและชักชวนผู้อื่นให้เว้นเสียจากอทินนาทาน และกล่าวพรรณนาคุณของการเว้นจากการอทินนาทาน...

    “บุคคลใดจะประพฤติละเมิดในภรรยาของเรา ข้อนั้นไม่ถึงเป็นที่รักใคร่ชอบใจของเราเลย ก็แลเราจะถึงประพฤติละเมิดในภรรยาของผู้อื่น ถึงข้อนั้นก็ไม่พึงเป็นที่รักใคร่ชอบใจของผู้อื่น... พิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ตนก็เว้นเสียจากกาเมสุมิจฉาจาร และชักชวนผู้อื่นให้เว้นเสียจากกาเมสุมิจฉาจาร และพรรณนาคุณของการเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร....

    “บุคคลใดจะพึงทำลายประโยชน์ของเราเสียด้วยการพูดปด ข้อนั้นก็ไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของเราเลย ก็แลเราจะพึงทำลายประโยชน์ของผู้อื่นเสียด้วยการพูดปด ถึงข้อนั้นก็ไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของผู้อื่น.... พิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ตนก็เว้นเสียจากการพูดปด แลชักชวนผู้อื่นให้เว้นเสียจากการพูดปดแลกล่าวพรรณนาคุณของการเว้นจากการพูด ปด....

    “บุคคลใดจะพึงทำให้เราแตกจากมิตรด้วยการกล่าวส่อเสียด ข้อนั้นก็ไม่พึงเป็นที่รักใคร่ชอบใจของเราเลย ก็แลเราจะพึงทำผู้อื่นให้แตกจากมิตรด้วยการกล่าวส่อเสียด ถึงข้อนั้นก็จะไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของผู้อื่น.... พิจารณาเห็นอย่างนี้แล้ว ตนก็เว้นเสียจากกการกล่าวส่อเสียด และชักชวนผู้อื่นให้เว้นจากการกล่าวส่อเสียด และกล่าวพรรณนาคุณของการเว้นจากการกล่าวส่อเสียด

    “บุคคลใดจะพึงร้องเรียกเราด้วยคำหยาบ ข้อนั้นก็ไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของเราเลย ก็แลเราจะพึงร้องเรียกคนอื่นด้วยคำหยาบเล่า พึงข้อนั้นก็จะไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของผู้อื่น.... พิจารณาเห็นอย่างนี้แล้วตนก็เว้นเสียจากการกล่าวว่าจากหยาบ และชักชวนผู้อื่นให้เว้นจากการกล่าววาจาหยาบ และกล่าวพรรณนาคุณของการเว้นจากการกล่าววาจาหยาบ....

    “บุคคลใดจะพึงร้องเรียกเราด้วยการกล่าววาจาปราศจากประโยชน์ ข้อนั้นก็จะไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของเราเลย ก็แลจะพึงร้องเรียกผู้อื่นด้วยการกล่าววาจาปราศจากประโยชน์ ข้อนั้นก็จะไม่เป็นที่รักใคร่ชอบใจของผู้อื่น.... แลชักชวนผู้อื่นให้เว้นจากการกล่าววาจาปราศจากประโยชน์ และพรรณนาคุณของการเว้นจากการกล่าววาจาปราศจากประโยชน์

    “สาวก ของพระอริยเจ้านั้น ประกอบด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ไม่หวั่นไหว... ประกอบด้วยความเลื่อมใสมั่นในพระธรรมไม่หวั่นไหว... ประกอบด้วยความเลื่อมใสมั่นในพระสงฆ์ ไม่หวั่นไหว... ประกอบด้วยศีล ทั้งหลายอันพระอริยเจ้ารักใคร่ไม่ให้ขาด ไม่ให้เป็นท่อน ไม่ให้ด่างพร้อย เป็นไทย (ไม่เป็นทาสแหงตัณหา) อันผู้รู้สรรเสริญอันตัณหาแลทิฐิไม่ครอบงำได้เป็นไปเพื่อสมาธิ

    เมื่อใด สาวกของพระอริยเจ้า ประกอบด้วยสัทธรรมความชอบเหล่านี้แล้ว... ก็จะพึงพยากรณ์ได้ด้วยตนเองว่า เรามีนรกสิ้นแล้ว เรามีกำเนิดเดียรัจฉานเปรตวิสัย อบาย ทุคติ วินิบาตสิ้นแล้ว เราเป็นผู้ถึงต้นกระแสแห่งพระนิพพานแล้ว ไม่มีทางที่จะตกไปในอบายทั้งสี่อย่างแน่นอน เป็นผู้เที่ยงต่อพระนิพพาน เป็นผู้มีอันจะได้ตรัสรู้ในเบื้องหน้า” ดังนี้

    เวฬุทวารสูตร ม. สํ. (๑๔๕๙-๑๔๖๗)
    ตบ. ๑๙ : ๔๔๓-๔๔๖ ตท. ๑๙ : ๔๐๓-๔๐๖
    ตอ. K.S. V : ๓๐๘-๓๑๑

    http://www.84000.org/true/161.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2011
  18. I2D2

    I2D2 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2011
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +0
    ยกมาซะยาว


    “สาวก ของพระอริยเจ้านั้น ประกอบด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ไม่หวั่นไหว... ประกอบด้วยความเลื่อมใสมั่นในพระธรรมไม่หวั่นไหว... ประกอบด้วยความเลื่อมใสมั่นในพระสงฆ์ ไม่หวั่นไหว... ประกอบด้วยศีล ทั้งหลายอันพระอริยเจ้ารักใคร่ไม่ให้ขาด ไม่ให้เป็นท่อน ไม่ให้ด่างพร้อย เป็นไทย (ไม่เป็นทาสแหงตัณหา) อันผู้รู้สรรเสริญอันตัณหาแลทิฐิไม่ครอบงำได้เป็นไปเพื่อสมาธิ



    แปลดีๆนะครับท่อนนี้ ท่านไม่ได้หมายถึงศีล๕ทั่วๆไป แต่เป็นศีลที่ไม่มีตัญหาเข้ามาครอบงำ นั่นคือศีลที่เป็นอินทรีย์สังวร

    ส่วนศีล๕ปรกติที่ถืออยู่ทุกวันนี้
    เป็นศีลโลกีย์ เพราะยังหวังถึงสวรรค์สมบัติอยู่ ดูได้จากคำอธิฐาน
    หากเป็นศีลที่ใช้ในการปฏิบัตินั้นก็เพียงเพื่อให้เป็นบาทให้เกิดสมาธิ และปัญญา
     
  19. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    ทำไงได้ ก็เข้ากันมาอย่างนี้

    ที่จริง ศีลมีด้วยกันทุกศาสนานะ
     
  20. I2D2

    I2D2 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2011
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +0
    ศีลของสาสนาอื่นเป็นเพียงโลกีย์ศีล เพราะไม่มีศาสนาไหนสอนถึงความหลุดพ้นจากทุกข์ พ้นจากการเกิดโดยสิ้นเชิงนอกจากพุืทธศาสนา

    ลูซิเฟอร์ที่เคยเป็นเทพยังต้องลงมาเป็นลูกน้องซาตานซะงั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...