นักฟิสิกส์ฮ่องกง พิสูจน์ "การเดินทางข้ามเวลา" เป็นไปไม่ได้

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย chate_SP, 25 กรกฎาคม 2011.

  1. Siani_3D

    Siani_3D เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    723
    ค่าพลัง:
    +607
    "จักรวาล กำลังขยายตัวด้วย อัตราความเร็ว ที่มากกว่า ความเร็วแสง"

    งั้นก็แสดงว่า ทุกวันนี้เราก็กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเหนือแสงอยู่นิ...งงเข้าไปอีก
     
  2. Enzo

    Enzo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    279
    ค่าพลัง:
    +60

    มีสิ่งที่เร็วกว่าแสง และ การขยายตัวของจักรวาลนะครับ... ความคิดของคนนี่แหละครับ เร็ว เกินกว่า สิ่งใดๆ จะตามได้ทัน หรือคุณว่าไม่จริง?
     
  3. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ obs2553 [​IMG]
    ขออนุญาตคิดด้วยคน

    เรื่องจิตนี่เป็นปัจจัตตัง (รู้ไ้ด้เฉพาะตน) รึเปล่าคะ?
    คือต้องใช้ประสาทสัมผัสที่ 6 หรือใจ เป็นเครื่องมือพิสูจน์

    แต่วิทยาศาสตร์มุ่งนำความจริงที่พิสูจน์ไ้ด้ทางประสาทสัมผัส 5 มาตีแผ่
    มันก็เลยเป็นข้อแตกต่างกันอย่างคนละขั้ว
    </td> </tr> </tbody></table>
    พุทธศาสนาก็มุ่งนำความจริงที่พิสูจน์ได้ทางนามธรรมครับ ไม่ใช่ความเชื่อที่ถ่ายทอดกันมาแบบเทพนิยาย

    ดิฉันว่า ไม่มีอะไรที่ขัดแย้งหรือเห็นต่างกันนี่คะ และไม่เคยกล่าวว่าการพิสูจน์ความจริงด้วยจิตหรือใจ เป็นเรื่องเทพนิยาย

    ขออธิบายเพิ่มเติมว่า...
    แก่นธรรมของพระพุทธองค์และสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ สำหรับคนทั่้วไปถือเป็นความจริงในลักษณะที่เป็นนามธรรม เนื่องจากคนทั่วไปไม่ สามารถใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 มาพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ เว้นแต่จะใช้จิตหรือใจเป็นเครื่องมือพิสูจน์ ซึ่งลักษณะดังกล่าวเป็นปัจจัตตัง คือ รู้ได้เฉพาะตน ผู้นำมาปฏิบัติด้วยตนเอง ทดลองด้วยตนเองจึงจะเห็น จึงจะเข้าใจ


    ปัจจัตตังคำแปล2

    ว. เฉพาะตน, (ศน.) พระธรรมคุณบทหนึ่งว่าปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ แปลว่า พระธรรมอันผู้บรรลุจะพึงรู้เฉพาะตัว, คำว่า ปัจจัตตัง ในที่นี้หมายถึงว่า ความสุขที่เกิดจากการบรรลุธรรมนั้น เป็นความสุขที่ผู้บรรลุจะรู้กับใจของตัวเอง ต้องปฏิบัติจึงจะรู้ ไม่เป็นสิ่งที่จะรู้ได้ด้วยการฟังคนอื่นเล่าหรือให้คนอื่นปฏิบัติแทนตน.


    http://guru.sanook.com/dictionary/d...E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8.87/



    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ถ้านักวิทยาศาสตร์ศึกษาเรื่องทางจิต เขาอาจพิสูจน์ได้ รู้ได้ด้วยตนเอง สามารถอธิบายหรือให้ทฤษฎีได้ แต่ถ้าเขาไม่สามารถนำมาแสดงให้สาธารณชนทราบได้ทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 มันก็ดูจะขัดแย้งกันกับแนวทางของเขา </td> </tr> </tbody></table>
    ถามกลับนะครับ แล้วเจ้าของทฤษฏีสัมพันธภาพและสัมพันธภาพพิเศษ เขามีห้องทดลองหรือเปล่าล่ะครับ ก่อนที่จะนำทฤษฏีมาประมวลในเวลาต่อมา ?

    เขาจินตนาการเอาไม่ใช่เหรอครับ ?
    การจินตนาการของเขา เขายอมรับในเวลาต่อมาว่า เขาไม่ได้คิด เพียงแต่เขาสัมผัสความเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วของแสงไม่ใช่เหรอครับ ?
    เขามีสติสูงกว่ามนุษย์ปรกติทั่วไป รวมถึงนักวิทฯคนอื่นๆระดับโลกเช่นกัน

    สุดท้าย นักวิทยาศาสตร์จำแนกออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ในหลายๆแขนง
    - นักวิทยาศาสตร์หลักการหรือทฤษฏี
    - นักวิทยาศาสตร์ต่อยอดหรือประดิษฐ์

    เมื่อทฤษฏีเกิดขึ้น > ความเป็นไปได้ > ทดลอง > สรุปผล

    ในข้อนี้ ดิฉันไม่ได้หมายถึงไอน์สไตน์โดยตรง เรากำลังพูดถึงนักวิทย์โดยทั่วไป
    หน้าที่ของพวกเขาคือ ค้นหาความจริง พิสูจน์ความจริงให้เห็นจนเป็นที่ยอม รับของคนทั่วไปได้ โดยที่คนทั่วไปไม่ต้องลงมือด้วยตนเอง และคนส่วนใหญ่จะรับรู้ได้จากประสาทสัมผัสทั้ง 5 เป็นเบื้องต้น

    ขบวนการค้นหาและพิสูจน์ความจริงของนักวิทย์ โดยส่วนใหญ่จึงหยุดอยู่แค่ปัจจัตตังหรือรู้ได้เฉพาะตนไม่ได้ หรือจะสิ้นสุดแค่ทฤษฏีไม่ได้ ส่วนใหญ่จะมุ่งนำทฤษฏีไปพิสูจน์อย่างเป็นรูปธรรมอีกที เมื่อได้ผลอย่างไร ก็แสดงต่อสาธารณชน ถ้าเขาสวมหมวกนักวิทยาศาสตร์ สิ่งนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเขา ที่ดิฉันต้องการสื่อก็ประมาณนี้


    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> วิทยาศาสตร์จึงเหนื่อยหนักมากในการพิสูจน์ความจริง เพราะต้องทำให้คนอื่นเห็นได้ด้วย </td> </tr> </tbody></table>
    แสดงว่าไม่เข้าใจครับ.. เราจะติดอยู่กับตำราทางวิชาการมากเกินไปจนทำอะไรต้องอยู่ภายใต้หลักการ เรากำลังศึกษาในสิ่งที่ถูกตีกรอบไว้แล้ว
    ผมจึงกล่าวว่า การแทนค่าสมการครับ นำเอาพุทธศาสนามาศึกษาและปฏิบัติและควบคู่กับแนวทางการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ ...

    เผลอๆคุณอาจจะได้คำตอบในเรื่องเดียวกันครับ

    มีคนมาขาย MLM คนนึง เขาขายแบบการขายในลักษณะท่องจำ
    พอผมถามว่า ผมอยากทราบถึงโครงสร้างทางธุรกิจ เขาก็ตอบได้เฉพาะภายในความรู้ที่เขาฟังและเข้าใจมาเท่านั้น เขาไม่สามารถอธิบายได้มากกว่าที่เขาฟังและจำมาได้เลย.

    ประโยคดังกล่าว เกิดขึ้นจากความเห็นของดิฉันที่ว่า การ พิสูจน์ของนักวิทยาศาสตร์ต้องแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งแก่คนทั่วไปได้ โดยที่คนทั่วไปส่วนใหญ่แล้วจะใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 เป็นตัววัด มันก็เลยเป็นงานที่ดูจะเหนื่อยและหนัก

    แต่ดิฉันเห็นด้วยนะคะ ถ้าคนจะศึกษาพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์แบบควบคู่กันไป และถ้าเป็นนักวิทย์ด้วยก็ยิ่งดี

    เช่น กรณีไอน์สไตน์ มันเป็นเรื่องที่ส่งเสริมกันดีทีเดียว

    "การค้นพบของพระพุทธเจ้านั้น เป็นการค้นพบทางนามธรรม ซึ่งยากต่อการพิสูจน์ เมื่อไอน์สไตน์ได้คิดทฤษฎีสัมพันธภาพขึ้นมา การค้นพบส่วนหนึ่งของพระพุทธเจ้าจึงได้รับการพิสูจน์ และยืนยันด้วยการคำนวณทางคณิตศาสตร์"


    ที่มา :
    http://www.tutorsom.com/Columnist/Posttoday.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2011
  4. abha12345

    abha12345 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2009
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +125
    การระเบิดยิ่งใหญ่บิกแบง (Big Bang)

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  5. Enzo

    Enzo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    279
    ค่าพลัง:
    +60
    แค่ ให้ทั้งโลก ไปใช้ วัสดุธรรมชาติ หรือ อินทรีย์สารที่ย่อยสลายได้หมด แค่นั้นก็ไม่มีปัญหาแล้วครับ...ปัญหาใหญ่มันอยู่ที่ว่า เรายังไม่มีเทคโนโลยี ที่จะผลิตของแบบนั้นได้ และรองรับการใช้งานทุกรูปแบบ...แค่นั้นเอง...ไม่แน่นะครับ อนาคต เราอาจจะเห็น เครื่องบินทำจากขนมปัง แต่บินได้จริงก็ได้...
     
  6. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    วิทยาศาสตร์และศาสนาในวิถีนักวิทย์อาวุโส “ระวี ภาวิไล”

    วิทยาศาสตร์และศาสนาในวิถีนักวิทย์อาวุโส “ระวี ภาวิไล” <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" valign="middle" align="left">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" valign="middle" align="left">14 มีนาคม 2549 16:14 น.</td></tr></tbody></table>

    อดีตที่ผ่านมาหากมีปรากฏการณ์บนฟาก ฟ้า เช่น การปรากฏของดาวหาง สุริยุปราคา จันทรุปราคา หรือเหตุการณ์ทางวิทยาศาสตร์ใดๆ นักวิทยาศาสตร์ที่เหล่าสื่อมวลชนมักจะนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ คือ “ศ.ดร.ระวี ภาวิไล” ราชบัณฑิตสาขาดาราศาสตร์ แต่ระยะหลังไม่เพียงแค่แวดวงวิทยาศาสตร์หากชื่อของนักวิทยาศาสตร์อาวุโสยัง เข้าไปเกี่ยวข้องกับศาสนา จนเรียกได้ว่าท่านเป็นปราชญ์ด้านนี้อีกท่านหนึ่งทีเดียว

    ก่อนหน้าที่ ศ.ดร.ระวี จะหันมาศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจังนั้น ท่านได้สอนหนังสือในภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย เริ่มรับราชการเป็นอาจารย์เมื่ออายุเพียง 19 ปีเท่านั้น ส่วนผลงานที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไปเป็นงานทางด้านดาราศาสตร์ที่ส่วนใหญ่ เกี่ยวข้องกับการศึกษาธรรมชาติของดวงอาทิตย์

    ปัจจุบัน ศ.ดร.ระวี ในวัย 80 ได้พาตัวเองเข้าสู่ทางธรรมะอย่างเต็มตัว ขณะที่โลกของวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่ท่านติดตามอยู่ห่างๆ แต่ท่านก็ยังได้รับเชิญให้ไขข้อสงสัยในปรากฏการณ์วิทยาศาสตร์ให้กับ สังคมอยู่ๆ เสมอ อย่างล่าสุดกรณีการส่งจรวดขึ้นไปยิงดาวหางเทมเปิล-1 ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐหรือนาซาเมื่อปีที่ผ่านมา ท่านก็ให้ความเห็นว่าเป็นเพียงการสร้างภาพของ “พี่เบิ้ม” เท่านั้น ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เราต้องใส่ใจนัก

    ...วันนี้ “ผู้จัดการวิทยาศาสตร์” จะนำท่านเรียนรู้แนวคิดทางวิทยาศาสตร์และพุทธศาสนาในวิถีของ ศ.ดร.ระวี...

    ผู้จัดการวิทยาศาสตร์ - เหตุใดถึงหันมาสนใจธรรมะ หลังจากที่ศึกษาวิทยาศาสตร์มาก่อน

    ศ.ดร.ระวี - อันที่จริงตลอด มาผมมีความสงสัยอยากรู้อยากเข้าใจเรื่องของชีวิต เรื่องของโลก ผมก็หาความรู้มาในทางต่างๆ วิทยาศาสตร์ก็เป็นความรู้ที่ว่าด้วยเรื่องโลกและชีวิต เมื่อผมสนใจอยากรู้ผมก็ศึกษาหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ต่อมาเมื่อผมได้เรียนรู้ความเป็นมาเรื่องพระพุทธศาสนา ผมก็สนใจแล้วก็ศึกษาหาความรู้ทางศาสนา ผมมองเห็นว่าทั้งพระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ให้ความรู้ด้วยกัน

    วิธีการหาความรู้ในขั้นต้นก็คือการเรียนรู้ในสิ่งที่มีคำกล่าวคำ สอนอยู่ในตำราหรือคัมภีร์ เราเริ่มต้นอย่างนั้นกันทั้งนั้น ความรู้เหล่านั้น ผู้เขียนตำราหรือคัมภีร์ก็ได้เอาประสบการณ์ของเขามาเขียน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว สิ่งที่ผมได้อ่านในตำราหรือคัมภีร์ ทั้ง 2 ทางคือศาสนาและวิทยาศาสตร์ ก็นำเอามาตรวจสอบโดยหาประสบการณ์ของผมเองด้วย เพื่อพิสูจน์ว่าประสบการณ์ของผมที่หาเองนั้นตรงกับตำราที่กล่าวไว้หรือเปล่า สิ่งที่ได้พูดไปเป็นเพียงการกล่าวกว้างๆ ว่าเราเรียนรู้จากที่คนอื่นเขาเรียนไว้ เขียนไว้ แล้วดูว่าเขามีวิธีหาความรู้อย่างไร แล้วเราก็ทำอย่างที่เขาทำบ้าง เราก็จะได้ความรู้โดยตรง

    ผู้จัดการวิทยาศาสตร์ - วิทยาศาสตร์กับพระพุทธศาสนามีความเหมือนหรือคล้ายกันอย่างไร

    ศ.ดร.ระวี - มันมีความสอด คล้องกันระหว่างพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ ทั้งพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ก็หาความรู้ความเข้าใจในเรื่องของโลกและชีวิต หมายความว่ามนุษย์เรามีความปรารถนาที่จะรู้จักให้ลึกซึ้งถึงเรื่องที่เกี่ยว กับโลกที่มาปรากฏต่อเราต่อมนุษย์เรา ต้องการจะมีความรู้ หาความรู้ พุทธศาสนาอาจจะทบทวนดูจากเรื่องพุทธประวัติได้ว่าพระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ นั้นได้เห็นว่าชีวิตมีปัญหาคือความทุกข์ แล้วก็แสวงหาวิธีการที่จะดับทุกข์ เมื่อพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นก็หมายความว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ เราใช้คำตรัสรู้นั้นก็หมายความว่าเกิดความรู้ที่มีความสำคัญนำความรู้นั้นไป ใช้แก้ปัญหาของมนุษย์ได้ จะเห็นได้ว่าวิทยาศาสตร์กับศาสนาต่างก็เป็นเรื่องของความรู้ของมนุษย์ ตรงนี้คือสิ่งที่สอดคล้องกัน

    ผู้จัดการวิทยาศาสตร์ - ความรู้ของพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ต่างกันอย่างไร

    ศ.ดร.ระวี - ความรู้ทาง วิทยาศาสตร์เป็นที่เพิ่มพูนมากขึ้นๆ ความรู้ที่มนุษย์หามาและถ่ายทอดทั้งโดยตำราก็ดี โดยวิธีการต่างๆ ก็ดี ก็เป็นความรู้ที่ปรับปรุงตัวตลอดเวลา ความรู้บางอย่างแค่นี้ในวันนี้ ในวันต่อๆ ไป ปีต่อๆ ไป ความรู้ก็เพิ่มขึ้น ความรู้ที่ไม่ยังสมบูรณ์ก็สมบูรณ์ยิ่งขึ้นๆ เป็นการขยายตัวตลอดมาตั้งแต่เริ่มมีการค้นคว้าหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ อะไรที่ยังไม่ถูกต้องก็ถูกแก้ไข ซึ่งจะเป็นอย่างนี้เรื่อยไป จะความรู้ที่ละเอียดขึ้น กว้างขึ้น ไม่มีวันจบ แต่ความรู้ทางพุทธศาสนามีการบรรลุถึงขั้นสูงสุด เกิดความรู้ที่เข้าใจวิถีทางชีวิตอย่างสมบูรณ์ได้

    ความรู้ทางศาสนาจะช่วยให้เราปรับตัวในวิถีทางที่เหมาะที่สุดเพราะทำ ให้มีปัญหาน้อยที่สุด ขึ้นอยู่กับว่าเราพัฒนาจิตใจของเรามากขึ้นๆ เราก็จะมีความสามารถแก้ปัญหาในเรื่องความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ส่วนตัวมาก ยิ่งขึ้น ความรู้ทางศาสนาเป็นความรู้ที่ปรับทั้งด้านร่างกายและจิตใจให้ปัญหานั้นลดลง ได้ มีคำกล่าวว่าพระพุทธเจ้านั้น เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้วทรงรู้ทุกสิ่ง หมายความว่าถึงยอดสุดในเรื่องชีวิตแล้ว แล้วพระองค์ก็เที่ยวประกาศ ทรงมีความรู้เพียงพอที่จะให้ทุกข์สิ้นไปได้ ถ้าทำตามวิธีปฏิบัติของพระองค์ถึงขั้นที่จะทำให้ทุกข์สิ้นไปได้ หรือว่าถ้าปรารถนาจะหาความรู้ต่อไปก็ยังทำได้ ก็หมายความว่าอยากจะรู้มากมายอย่างที่พระองค์ทรงรู้เช่นกัน

    ผู้จัดการวิทยาศาสตร์ - การศึกษาวิทยาศาสตร์ทำให้มีแนวโน้มที่จะหันมาศึกษาพุทธศาสนาด้วยหรือไม่

    ศ.ดร.ระวี - อย่างน้อยในสิ่งแวดล้อมที่ผมมาอยู่มันก็มีโอกาสรับรู้คำสอนทั้ง 2 ทาง อย่างที่กล่าวไว้ผมสนใจหาความรู้ ดังนั้นมีช่องทางไหนผมก็ทำเท่าที่จะทำได้ ชีวิตสำหรับผมคือการแสวงหาความรู้ ความเข้าใจ ทางไหนเปิดก็เอาทางนั้น ผมมีความสุขในการหาความรู้ วิธีไหนก็ได้ แล้วแต่ว่าความรู้ที่ยังไม่รู้จะเข้ามาทางไหน ทางหนังสือก็อ่านหนังสือ ถ้าให้ทำการสังเกตการณ์ ทำการทดลองก็ทดลอง

    ผู้จัดการวิทยาศาสตร์ - ความรู้ทั้ง 2 ทางมีความขัดแย้งกันบ้างหรือไม่

    ศ.ดร.ระวี - เป็นธรรมดาบางเรื่องก็มีความขัดแย้ง บางเรื่องก็สอดคล้องกัน ยกตัวอย่างความรู้เรื่องโลก เอาง่ายๆ คือโลกที่เราอยู่ ที่มนุษย์เกิดมา คุณอาจจะไปอ่านพบในคัมภีร์กล่าวว่า โลกที่เราอยู่เป็นแผ่นแบน อาศัยความรู้ที่จำกัดในยุคที่ศาสนาเกิดขึ้น ในปัจจุบันเราได้เรียนรู้ว่าโลกที่เราอาศัยอยู่เป็นก้อนกลม เมื่อเอาคำสอนของศาสนาที่ว่าโลกแบนมาเทียบกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ว่าโลก กลม จะเห็นว่าคัมภีร์ศาสนาในเรื่องของโลกด้านนี้ไม่ถูก

    เดี๋ยวนี้เรามีข้อพิสูจน์ตั้งมากมายว่าโลกกลม เรายืนอยู่บนพื้นที่โลกกลมไม่ใช่แบน ข้อนี้ต้องระวัง อย่าไปคิดเอาว่าผู้ประกาศศาสนาคือพระพุทธเจ้านั้นไม่รู้ เพราะว่าอย่างที่กล่าวไปแล้ว พระองค์ทรงหาความหลุดพ้นของมนุษย์แล้ว แล้วพระองค์ก็ทรงสอน สาระสำคัญคือเรื่องของ “ทุกข์” และความ “สิ้นทุกข์” สำหรับเรื่องธรรมชาติแวดล้อมของมนุษย์จะเป็นอย่างไร ไม่สำคัญ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

    สำหรับผู้ที่เชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า จะไม่ถือเอาแนวคิดที่ว่าโลกแบนเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นความรู้ในยุคของพระองค์ พระองค์คงจะรู้อะไรอย่างจริงๆ ในเรื่องนี้เราไม่ทราบ แต่ผมวินิจฉัยว่าสมมติพระองค์รู้ว่าจริงๆ โลกไม่ได้แบน แต่ท่านไม่เสียเวลามาแก้ความเข้าใจผิดในเรื่องนี้ เพราะว่าโลกจะแบนหรือกลมไม่ใช่ประเด็นสำคัญ มนุษย์เป็นทุกข์ไม่ใช่เพราะเชื่อสิ่งเหล่านี้หรือไม่เชื่อสิ่งเหล่านี้ มนุษย์เป็นทุกข์เพราะเหตุผลอื่น ถ้าจะไปพูดเรื่องโลกกลมโลกแบนมันเสียเวลา ท่านพูดประเด็นสำคัญคือทุกข์และการดับทุกข์

    ผู้จัดการวิทยาศาสตร์ -อาจารย์ได้อะไรจากการศึกษาธรรมะ

    ศ.ดร.ระวี - ผมได้ความเข้าใจในวิถีความคิดของตัวเอง รู้จักตัวเองมากขึ้น เมื่อได้ศึกษาคัมภีร์ แล้วเอาวิธีการตามคัมภีร์มาเลือกใช้มองดูวิถีทางของชีวิตก็มีความชัดเจนมาก ขึ้นมาเรื่อยๆ เมื่อมีความชัดเจน เข้าใจชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่แต่เพียงร่างกายแต่เข้าใจตัวความคิดของตัวเอง เมื่อเข้าใจวิถีความคิดของตัวเองในสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งเราเผชิญกันทุกคน เราจะพิจารณาอย่างไร เกิดความรู้ความเข้าใจชีวิตในทุกขณะ แล้วความทุกข์ก็ลดลงเรื่อยๆ

    ผู้จัดการวิทยาศาสตร์ - ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในทุกนี้ทำให้เราห่างไกลจากความเข้าใจพุทธศาสนาหรือห่างไกลจากความเข้าใจตัวเองหรือไม่

    ศ.ดร.ระวี - ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก็มีความสำคัญในแง่ว่าเรานำความรู้นั้นมาใช้ประยุกต์ เพื่อความสะดวกสบายให้กับชีวิตของเรา ตัววิทยาศาสตร์แท้ๆ นี้เป็นเรื่องความรู้ของธรรมชาติทางวัตถุ สารวัตถุที่มีอยู่รอบตัวมนุษย์ การนำเอาความรู้นั้นมาใช้เพื่อความสะดวกสบายของมนุษย์นั้นเราเรียกว่าความ รู้ที่นำมาใช้นั้นว่า “เทคโนโลยี” หรือ “วิทยาศาสตร์ประยุกต์” แต่พุทธศาสนานั้นเมื่อเรียนรู้มากขึ้น ความรู้นั้นก็เอาประยุกต์ใช้เพื่อการมีชีวิตอย่างมีความทุกข์น้อยลง ที่มีความทุกข์น้อยลงเพราะทำให้เข้าใจความเป็นไปของชีวิตลึกซึ้งยิ่งขึ้นและ ก็จะรู้เท่ารู้ทันชีวิต ทำให้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับชีวิตเราได้

    ดังนั้นเมื่อเราศึกษาพุทธศาสนาไปมากๆ แล้วรู้ว่าทุกขณะชีวิตมีปัญหาต่างๆ เกิดขึ้น แล้วเราจะแก้ปัญหานั้นอย่างไร ถ้าเป็นปัญหาเรื่องของการเปลี่ยนแปลงของวัตถุที่มารบกวน ขัดขวางความสะดวกสบาย เราก็ใช้วิทยาศาสตร์ในการแก้ปัญหาเท่าที่จะทำได้ ถ้าเรามีความรู้ทางเรื่องความรู้สึกนึกคิดของเราเอง เราก็สามารถปรับความรู้สึกนึกคิดของเราเองให้เผชิญกับปัญหาความเปลี่ยนแปลง ในธรรมชาติแวดล้อม เมื่อใช้วิทยาศาสตร์-เทคโนโลยีแก้ปัญหาไม่ได้ เราก็ต้องรู้จักทำใจให้ยอมรับในความเป็นไป

    ...ผู้จัดการวิทยาศาสตร์หวังว่าความ รู้ที่ได้จากบทสัมภาษณ์บัณฑิตอาวุโสผู้นี้ อาจช่วยให้หลายคนเข้าใจในความเหมือนและความต่างระหว่างศาสตร์ทางโลกและทาง ธรรมมากขึ้น และไม่จำเป็นเลยที่เราจะต้องละทิ้งการแสวงหาความรู้ในวิถีใดวิถีหนึ่ง ในเมื่อเราสามารถเลือกที่จะปรับใช้ความรู้ทั้ง 2 ทางให้เหมาะสมกับชีวิตของเราได้...

    ที่มา :
    http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9490000035012
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2011
  7. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    เพราะเหตุนี้ CERN จึงอุบัติขึ้นเพื่อพิสูจน์ทฤษฏี Big Bang
     
  8. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นเหมือนดาบสองคมค่ะ
    มีทั้งคุณอนันต์ และโทษมหันต์

    วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีส่วนหนึ่งอาจสร้างปัญหาขยะล้นโลก ซึ่งเกิดจากการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก และการตอบสนองต่อระบบเศรษฐกิจ/ เมื่อเกิดเป็นปัญหาขึ้น จึงต้องมีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอีกส่วนหนึ่งเข้ามาช่วยแก้ปัญหา

    ที่พอจะทราบ เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่จะมาช่วยแก้ปัญหาขยะล้นโลกก็คือ...(ตามบทความด้านล่างค่ะ v)


    <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr> <td><table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td> </td> <td> </td> <td> </td> </tr> <tr> <td>[​IMG]</td> <td width="36"> </td> <td>เทคโนโลยีการผลิตพลังงานจากขยะ


    1.เทคโนโลยีเตาเผาขยะ ระบบเตาเผาขยะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
    ‘ระบบการเผาไหม้มวล’ เป็นการเผาไหม้ขยะมูลฝอยที่มีองค์ประกอบหลากหลาย โดย ไม่ต้องมีการจัดการเบื้องต้นก่อน เทคโนโลยีนี้ปกติเป็นการเผาไหม้ในเตาเผาแบบตะกรับ เคลื่อนที่ได้ ที่ใช้กันแพร่หลาย สามารถรองรับการเผาทำลายขยะมูลฝอยที่มีองค์ประกอบ และค่าความร้อนที่หลากหลาย ขยะจะเคลื่อนที่จากจุดเริ่มต้นถึงจุดสุดท้าย มีการผสม ผสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ อากาศที่ใช้ในการเผาไหม้สามารถแทรกซึมไปทั่วพื้นผิว ของขยะ ระบบที่ได้รับความนิยมรองลงมา คือ ‘ระบบเตาเผาแบบหมุน’ เป็นการเผาไหม้ มวลของขยะมูลฝอยโดยใช้ห้องเผาไหม้ทรงกระบอก สามารถหมุนได้รอบแกน ขยะจะ เคลื่อนไปตามผนังของเตาเผาทรงกระบอกการหมุนของเต


    </td> </tr> </tbody></table> ‘ระบบที่ ต้องมีการจัดการขยะเบื้องต้น’ โดยการลดขนาดและการคัดแยก เช่น เตาเผาแบบฟลูอิดไดซ์เบด สำหรับการผลิตพลังงานเป็นการถ่ายเทความร้อน จากก๊าซร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ขยะในเตาเผา ซึ่งจะถูกทำให้เย็นตัวลงในหม้อน้ำหลังจากนั้น ก๊าซจะไหลเข้าสู่อุปกรณ์ควบคุมมลพิษทางอากาศก่อน ปล่อยออกสู่บรรยากาศโดยชนิดของหม้อที่ติดตั้งจะขึ้นอยู่กับรูปแบบความต้อง การพลังงาน เช่น น้ำร้อนเพื่อใช้กับระบบน้ำร้อนไอน้ำ เพื่อใช้ในกระบวนการ อุตสาหกรรม หรือเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า

    เตาเผาขยะเป็นเทคโนโลยีผลิตพลังงานจากขยะที่มีการใช้งานแพร่หลายที่สุดเมื่อ เทียบกับเทคโนโลยีอื่นๆ โดยประเทศไทยได้นำเตาเผามาใช้ผลิตพลังงาน จากขยะแล้ว ได้แก่ โรงเผาขยะเทศบาลนครภูเก็ต
    </td> </tr> <tr> <td> </td> </tr> <tr> <td> </td> </tr> <tr> <td><table width="100%" align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td width="40%">2.เทคโนโลยีการย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซิเจน

    เป็นกระบวนการหมักของเสียในสภาวะที่ไร้ออกซิเจน เพื่อให้จุลินทรีน์ย่อยสลายสารอินทรีย์ ให้กลายเป็นก๊าซชีวภาพ ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการผลิตพลังงานได้หลายรูปแบบ เช่น ผลิตไฟฟ้าโดยใช้เครื่องยนต์ก๊าซ หรือใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับหม้อน้ำเพื่อผลิตน้ำร้อน หรือน้ำ นอกจากนี้ยังได้ผลพลอยได้เป็นปู่ยสำหรับปรับสภาพดินที่สามารถนำมาใช้ใน การเพาะปลูกพืช.. การใช้ระบบย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซิเจนบำบัดขยะชุมชน ประกอบ ด้วยขั้นตอนการทำงาน 3 ขั้น</td> <td valign="top" width="60%"><table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td width="10%"> </td> <td width="90%">[​IMG]
    </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td> </td> <td> </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td> </td> </tr> <tr> <td>1.การคัดแยกและเตรียมสภาพขยะ ได้แก่ การคัดแยกขยะอินทรีย์ออกจากขยะรวม และการคัดแยกสิ่งปะปนออกจากขยะอินทรีย์ รวมทั้งการเตรียมสภาพขยะ อินทรีย์ให้เหมาะสำหรับการหมักในระบบย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซิเจน โดยการบดย่อยให้มีขนาดที่เหมาะสม
    2.การย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซิเจน เป็นขั้นตอนการผลิตก๊าซชีวภาพจากขยะอินทรีย์ โดยการทำงานของเชื้อจุลินทรีย์ และทำให้ขยะคงสภาพปราศจาก กลิ่นเหม็นและเชื้อโรค
    3.การบำบัดขั้นหลัง ได้แก่ การทำให้การย่อยสลายของขยะอินทรีย์สมบูรณ์มากขึ้น โดยใช้ระบบหมักปุ๋ยแบบใช้อากาศ การฆ่าเชื้อโรค และการทำให้สาร ปรับสภาพดินมีสภาพที่เหมาะสม และปลออดภัยสำหรับนำไปใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูกพืช
    สำหรับการใช้งานเทคโนโลยีการย่อยสลายแบบไม่ใช้ ออกซิเจนในการบำบัดและผลิตพลังงานจากขยะชุมชน ประเทศไทยมีการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ ได้แก่ โรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์และพลังงานจังหวัดระยอง โครงการศูนย์กำจัดมูลฝอยรวมจังหวัดชลบุรี โครงการกำจัดขยะเกาะช้าง จังหวัดตราด
    </td> </tr> <tr> <td height="23"> </td> </tr> <tr> <td>
    <table width="90%" align="left" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td width="9%">[​IMG]</td> <td valign="top" width="90%">[​IMG]</td> <td valign="top" width="1%"> </td> </tr> </tbody></table> ​
    </td> </tr> <tr> <td height="20"> </td> </tr> <tr> <td>3.เทคโนโลยีก๊าซชีวภาพจากหลุมฝังกลบขยะ

    การรวบรวมก๊าซชีวภาพจากหลุมฝังกลบขยะเป็นการพัฒนา และปรับปรุงระบบฝังกลบขยะเพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากหลุมฝังกลบขยะ และนำมาใช้ใน การผลิตพลังงานทดแทน เทคโนโลยีก๊าซชีวภาพจากหลุมฝังกลบขยะประกอบด้วย
    1.ระบบบำบัดขั้นต้น ได้แก่ การคัดแยกและการลดขนาด เพื่อปรับปรุงลักษณะสมบัติของขยะให้มีความเหมาะสมสำหรับการย่อยสลายของจุลินทรีย์มากขึ้น
    2.การฝังกลบขยะในพื้นที่ฝังกลบ สามารถแบ่งได้ 3 ประเภท ได้แก่ การฝังกลบแบบพื้นที่การฝังกลบแบบร่อง การฝังกลบแบบบ่อหรือพื้นที่ลาดเอียง
    3.ระบบปิดคลุมพื้นที่ฝังกลบ ประกอบด้วยการปิดคลุมชั้นฝังกลบรายวัน การปิดคลุมระหว่างชั้นฝังกลบขยะ และการปิดชั้นฝังกลบขั้นสุดท้าย
    4.ระบบควบคุมทางด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ระบบรวบรวมและบำบัดน้ำชะขยะ เพื่อควบคุมไม่ให้น้ำชะขยะหรือน้ำจากภายนอกไหลซึมเข้า ออก พื้นที่ฝังกลบ และระบบติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำใต้ดิน
    5.ระบบรวบรวมก๊าซชีวภาพ ประกอบด้วย หลุมดูดก๊าซ ระบบท่อเมน ระบบควบแน่นของเหลวในก๊าซ และระบบเผาก๊าซส่วนเกิน

    เทคโนโลยีผลิตพลังงานโดยใช้ก๊าซชีวภาพจากหลุมฝังกลบขยะมีการใช้งานกันมากใน ประเทศแถบอเมริกาเหนือ สำหรับประเทศไทย มีการนำเทคโนโลยี มาใช้ ได้แก่ โครงการผลิตไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซชีวภาพจากหลุมฝังกลบขยะมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และโครงการผลิตไฟฟ้าหลุมฝังกลบขยะราชาเทวะ สมุทรปราการ
    </td> </tr> <tr> <td height="50"><table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td width="264"> </td> <td width="35"> </td> <td height="20"> </td> </tr> <tr> <td valign="top">[​IMG]
    </td> <td valign="top"> </td> <td valign="top">4.เทคโนโลยีผลิตเชื้อเพลิงขยะ
    เป็นการนำขยะมาผ่านกระบวนการจัดการต่างๆ ได้แก่ การคัดแยกด้วยมือหรือเครื่องจักร การลดขนาด การผสม การทำให้แห้ง การอัดแท่ง การบรรจุและการเก็บ เพื่อปรับปรุง คุณสมบัติทางกายภาพและเคมีให้กลายเป็นเชื้อเพลิงขยะ ที่มีค่าความร้อนสูง สามารถนำ ไปใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตพลังงาน และสะดวกต่อการจัดเก็บ และขนส่ง ซึ่งในประเทศ ไทย เริ่มมีการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ ได้แก่ โครงการจัดการขยะของเทศบาลนครเชียงใหม่
    5.เทคโนโลยีผลิตก๊าซเชื้อเพลิง

    การผลิตก๊าซเชื้อเพลิงจากขยะชุมชน เป็นกระบวนการทำให้ขยะชุมชนกลายเป็นก๊าซโดย การทำปฏิกิริยาสันดาปแบบไม่ สมบูรณ์ คือ สารอินทรีย์ในขยะจะทำปฏิกิริยากับอากาศ หรือออกซิเจนในปริมาณจำกัด และทำให้เกิดก๊าซซึ่งมีองค์ประกอบหลักคือ คาร์บอนมอน ออกไซด์ ไฮโดรเจน มีเทน เรียกว่า Producer Gas ทั้งนี้องค์ประกอบของก๊าซเชื้อเพลิง จะขึ้นกับชนิดของเครื่องปฏิกรณ์ สภาวะความดัน อุณหภูมิ และลักษณะคุณสมบัติของ เชื้อเพลิงแข็ง


    </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td> </td> </tr> <tr> <td>ก๊าซเชื้อเพลิงที่ผลิตได้สามารถใช้งานได้หลาย รูปแบบ เช่น การให้ความร้อนโดยตรง เป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตไฟฟ้าโดยใช้กังหันก๊าซเครื่องยนต์สันดาป ภายใน หรือหม้อน้ำ และใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ ทั้งนี้การใช้งานต้องคำนึงถึงคุณภาพของก๊าซเชื้อเพลิง โดยอาจมีความจำเป็นต้องทำความ สะอาดก๊าซเชื้อเพลิงโดยการกำจัดก๊าซกรด สารประกอบของโลหะอัลคาไลน์ น้ำมันทาร์ และฝุ่นละออง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ ลดปัญหาการเสีย หายของอุปกรณ์ และป้องกันปัญหามลพิษที่เกิดขึ้น

    ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีผลิตก๊าซเชื้อเพลิงมาใช้ในการบำบัด และผลิตพลังงานจากขยะชุมชนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศแถบยุโรป และญี่ปุ่น สำหรับประเทศไทยยังไม่มีการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวแต่อย่างใด
    6.เทคโนโลยีพลาสมาอาร์ค (Plasma Arc)

    เป็นเทคโนโลยีด้านพลังงานขั้นสูง ที่ใช้กำจัดขยะมูลฝอยได้หลายลักษณะ Plasma Arc Field จะถูกสร้างขึ้นโดยการยิงกระแสไฟฟ้า ผ่านก๊าซความดันต่ำ ซึ่ง Plasma Arc Field จะมีอุณหภูมิสูงถึง 5,000 – 15,000 องศาเซลเซียส ซึ่งโซนส่วนที่ทีอุณหภูมิสูงจัดนี้สามารถใช้ในการแยกอะตอมของธาตุที่ เป็นองค์ประกอบขยะมูลฝอยได้โดยการป้อนขยะมูลฝอยเข้าไปใน Plasma Arc Field โดยตรง หรือการใช้ Plasma Arc เป็นแหล่งพลังงานความร้อนสำหรับ การเผาไหม้ เพื่อนำก๊าซที่เกิดขึ้นไปผลิตเป็นพลังงานกระแสไฟฟ้าโดยใช้เป็นเชื้อเพลิงของ หม้อไอน้ำ และนำไอน้ำมาผลิตเป็นพลังงานกระแสไฟฟ้าต่อไป หรือนำก๊าซที่เกิดขึ้นมาผ่านกระบวนการทำความสะอาดก๊าซก่อนนำไปผลิตกระแส ไฟฟ้าโดยผ่าน Combustion Turbine

    เทคโนโลยีการผลิตพลังงานจากขยะมูลฝอยชุมชน ด้วยเทคโนโลยี Plasma Arc สามารถกำจัดขยะได้หลายลักษณะ ทั้งในรูปของแข็ง ของเหลว กึ่งแข็ง กึ่งเหลว ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน คือ เครื่องปฏิกรณ์พลาสมา ระบบควบคุมด้านสิ่งแวดล้อม และระบบผลิตพลังงาน ประเทศไทยยังไม่มีการ ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในการบำบัด และผลิตพลังงานจากขยะชุมชน โดยเทคโนโลยี Plasma Arc มีข้อดีคือ มีประสิทธิภาพการกำจัดสูง กำจัดขยะได้ทุก ประเภทโดยทำให้ของแข็งทุกชนิดกลายเป็น Slag นำไปใช้ในการก่อสร้างได้ และได้พลังงานจากก๊าซร้อน นอกจากนี้ยังไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่สำหรับฝัง กลบเถ้า แต่ระบบนี้ก็มีข้อจำกัดเนื่องจากต้องใช้อุณหภูมิสูงถึง 5,000 – 15,000 องศาเซลเซียส และเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงจึงเหมาะกับการกำจัดของ เสียอันตราย


    แนวโน้มการพัฒนาเทคโนโลยีและการใช้ประโยชน์พลังงานขยะ
    ในหลายๆ ประเทศได้มีการดำเนินการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตพลังงานขยะอย่างต่อเนื่อง แต่ละประเทศให้ความสนใจเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน ตามความ เหมาะสมของปัจจัยต่างๆ อาทิ ภูมิอากาศ สภาพพื้นที่ ลักษณะ คุณสมบัติของมูลฝอย ส่วนใหญ่จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่การจัดการขยะ คัดแยกจากครัวเรือน การจัดเก็บมูลฝอยที่เป็นระบบ โดยแนวโน้มการจัดการขยะของโลกประกอบด้วย การลดปริมาณขยะสู่หลุมฝังกลบ การรณรงค์ 3 อาร์ (Reduce , Re – use , Recycle) และเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม

    ประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นผู้นำด้านการพัฒนา และใช้เตาเผาขยะเนื่องจากมีข้อจำกัดด้านพื้นที่ จึงไม่สามารถใช้พื้นที่ในการฝังกลบได้มากนัก เตาเผาของญี่ปุ่น ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูง ประกอบกับขยะที่เข้าระบบผ่านการคัดแยกมาแล้ว จึงมีค่าความร้อนสูง นอกจากนี้ยังมีระบบควบคุมมลพิษที่ได้มาตรฐาน สามารถตั้งอยู่ในแหล่งชุมชนได้

    ในสหรัฐอเมริกา ส่วนใหญ่มีการจัดการขยะด้วยการฝังกลบ ในยุโรป มีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตก๊าซชีวภาพจากขยะอินทรีย์ด้วยระบบการย่อยสลาย แบบไม่ใช้ออกซิเจนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในเยอรมนี เนื่องจากให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเทคโนโลยีมีความหลากหลาย และมีผู้ประกอบการ จำนวนมาก ขณะที่จีนเริ่มมีการพัฒนาเตาเผาขยะเพื่อผลิตพลังงานเพิ่มมากขึ้น ทั้งระบบ Incinerator และ Gasification

    สำหรับในประเทศไทย การพัฒนาการผลิตพลังงานจากขยะในระยะแรกนั้น โครงการส่วนใหญ่ยังมีการนำเข้า เทคโนโลยีจากต่างประเทศ จากนั้นจึงมีการ ปรับปรุงแก้ไขระบบบางส่วนให้มีความเหมาะสมกับสภาพ และคุณสมบัติของขยะในประเทศไทย พร้อมกันนี้ยังมีการศึกษาวิจัย และพัฒนาการผลิตพลังงาน จากขยะ
    </td></tr></tbody></table>
    ที่มา :
    Kanchanaburi
     
  9. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    บ้านเราต้องใช้เทคโนโลยีจากต่างประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่ ยังขาดแคลนผู้คิดค้นหรือสร้างเทคโนโลยีอยู่มาก

    คนรุ่นใหม่ ศึกษาทั้งเรื่องนอกตัว (วิทย์) และเรื่องในตัว (จิตใจ) ควบคู่กันไปคงจะดีมาก
     
  10. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    ไม่จริง >< (อิอิ ^^)

    mamboo คิดว่า ความคิดไม่ได้เดินทางเร็วกว่าแสง

    แต่.. ความคิดของคนเนี่ย ไม่มีการเดินทางเลยตะหากล่ะ ><

    ตามทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ก็พิสูจน์ให้เห็นได้แล้วว่า เวลา และ ระยะทาง เป็นแค่ ภาพลวงตา สามารถยืดหดได้ และเป็นสิ่งสมมติ

    ความคิดคนเรา ไม่ได้เดินทางเร็วกว่าแสง.. แต่ความคิดของเรา ไม่มีการเดินทางเลยตะหากล่ะ >< (คือ ไม่กินเนื้อที่ ไม่กินระยะทาง ไม่ขึ้นกับเวลา)
     
  11. นายเบทร์

    นายเบทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    882
    ค่าพลัง:
    +91
    ป๊ะ กระทู้น่าสนใจหลังจากหาอยู่นาน
     
  12. นายเบทร์

    นายเบทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    882
    ค่าพลัง:
    +91
    แต่ทำไมผมถึงคิดไปไกลเลยอ่ะ ????
     
  13. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676

    คนคิดน่ะมี คนเก่งไปอยู่นอกเสียหมด เพราะบ้านเมืองเรายังไม่พร้อม
    วิทยาศาสตร์เป็นวิถีทางหนึ่งในการค้นหาความจริงของธรรมชาติกายภาพ
    พุทธศาสนาก็เป็นอีกวิถีหนึ่งในการค้นหาความจริงของธรรมชาติทั้งภายในและภายนอก ซึ่งส่วนมากแล้วสำหรับกายภาพ ภายนอกมีข้อสรุปในกฏของไตรลักษณ์สามารถอธิบายสรรสิ่งได้ทั้งหมดของจักรวาลนี้ อันประกอบด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สรุปโดยย่อดังนี้..

    - อนิจจัง มันหมายถึงความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ก็ตามแล้วอยู่ภาวะของความไม่เที่ยง ไม่ว่าจะเรื่อง สสาร และ พลังงาน ซึ่งสามารถเปลี่ยนจากสิ่งหนึ่งไปเป็นอีกสิ่งหนึ่ง โดยที่สสารและพลังงานแท้จริงแล้วจะไม่สูญหาย เพียงแต่แปลสภาพจากธาตุหนึ่งเป็นอีกธาตุหนึ่ง

    -ทุกขัง หมายถึง สภาวะที่ทนอยู่ได้ยาก ไม่ว่าสรรพสิ่งใดๆก็ล้วนแต่ไม่สามารถคงสภาพได้ชั่วนิรันดิร์ แม้แต่จุดกำเนิดแรกเริ่มของจักรวาล โดยเชื่อกันว่า จักรวาลเกิดจากการอัดแน่นของพลังงานมหาศาลรวมกันเป็นจุดเล็กๆแล้วระเบิดออกมา หรือเรียกว่า บิ๊กแบง (big bang) และยังพิสูจน์ต่อมาอีกว่าจักรวาลกำลังขยายตัวแต่การขยายตัวนี้เราจะไม่สามารถสังเกตุเห็นได้ ก็เนื่องด้วยอิทธิพลของแสงในมิติของจักรวาลเป็นตัวควบคุมเวลา และต่อเมื่อแรงระเบิดทำให้จักวาลขยายตัวจนถึงที่สุดแล้ว ก็จะถูกดูดกลับเข้ามาอัดแน่นใหม่ บิ๊กครั้นซ์ (big crunch) ฉนั้นสรรพสิ่งที่ไม่สามารถคงสภาวะเดิมให้คงที่ตลาดไปได้ย่อมหมายถึง สภาวะที่ทนอยู่ได้ยากนั่นเอง (ทุกขัง)


    - อนัตตา หมายถึง ความไม่ใช่ตัวตน ซึ่งมีการศึกษาเกี่ยวกับอนุภาคพื้นฐานมากมายโดยย่นย่อแล้ว สรุปคือ จักรวาลมีอนุภาคพื้นฐานอันเดียวกัน ที่เรียกว่า โปรตอน การที่จำนวนโปรตอนไม่เท่ากัน ส่งผลให้เกิดความต่างชนิดของสสารและพลังงาน เพียงแค่จำนวนไม่เท่ากัน



    คนบ้านเราขาดเทคโนโลยีแบบนวัฒกรรมก็ไม่เชิง เพราะคนบ้านเราก็มีนวัฒกรรมเชิงการเกษตรอยู่มาก แต่ก็ยังต้องพึ่งพาวัตถุดิบ และเทคโนโลยีด้านอื่นจากต่างชาติอยู่มาก เหตุนี้บางอย่างของเทคโนโลยีเราไม่สามารถผลิตหรือทดแทนหรืออาจจะทำได้แต่ไม่คุ้มกับงบประมาณในการทดลองวิจัย จึงเป็นอุปสรรคในทฤษฏีใหม่ๆสำหรับคนไทย ...

    แต่จะว่าไป สตีเฟน ฮอว์กกิ้ง ผมเห็นเขาหยับได้แค่ลูกกะตา นอกนั้นพิกาลทั้งตัว แน่นอนว่าไม่สามารถใช้เครื่องคำนวนหรือแม้แต่หยิบปากกาและสมุดได้เลย ทำไมเขาจึงสามารถอธิบาย ควอนตัม ได้อย่างละเอียดอีกคนหนึ่ง ??...

    และที่สำคัญเมื่อยุคแห่งการค้นคว้าในระดับอะตอม แล้วเหตใดเราถึงเว้นว่างเรื่องสำคัญของจิต ??


    โดยสามัญสำนึกของผม มนุษย์ยึดติดอยู่กับทฤษฏีและหลักการณ์มากเกินไป และควรที่จะศึกษาเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานและนำมาเป็นเพียงความรู้องค์รวมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะเปิดทฤษฏีใหม่ในระดับมิติต่อไป...

    เหมือนกับที่พวกเรากำลังอ่านหนังสือวิทยาศาสตร์คนละเรื่อง คนละวรรคคนละตอน แล้วหยิบยกเอาของตนขึ้นแย้งขึ้นมาค้านกันเอาสนุก มันส์ เฮฮา สะใจ ตื่นเต้น มากกว่าที่จะศึกษาถึงธรรมชาติอย่างแท้จริงครับ
     
  14. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    ปัจจัตตัง...ความหมายโดยแท้แล้ว ไม่ได้จำกัดว่า จะรู้เฉพาะตนโดยที่ผู้อื่นไม่สามารถรับรู้ได้นะครับ


    สมัยก่อนมีคนออกมาบอกว่า โลกกลม ปัจจัตตังเกี่ยวกันตรงไหน ?
    มาสมัยนี้คนเชื่อและพิสูจน์ได้แล้วว่าโลกไม่แบน แต่ว่ามันไม่ได้กลมแล้วนะ หากไม่มีน้ำเหลือบนโลกนี้ เราจะเห็นความบิดเบี้ยวของโลกใบนี้...
     
  15. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    นี่ยังไม่รวมถึง ปรมณู หรือในสมัยใหม่นี้ตั้งชื่อว่า อะตอม

    ปรมณูเป็นคำในพุทธพจน์ พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ในปรมณูมีช่องว่างมหาศาล
    นิวตันเชื่อว่า อะตอม เป็นลักษณะกลมตัน
    ต่อมาในไม่นานมานี้ มีคนบอกว่า ข้างในอะตอมมีแต่ช่องว่าง
    ควอมตัม บอกอีกว่า อะตอนของอิเล็กตรอน มีช่องว่างมหาศาลข้างในนั้นมีอิเล็กตรอนที่สามารถเคลื่อนที่โดยเหนือกาลเวลา เพราะมันสามารถเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งโดยไม่อาศัยพื้นที่ว่าง (เหมือนแมททริกซ์)

    นี่ยังจะมีเรื่องมิติ เทียบกับ ภพภูมิ อีกนะ..ศ.ดร.ระวี คนเดียวกันนี่แหละที่บอกว่ามีคนกำลังพยายามอธิบาย กฏแห่งกรรม ด้วยทฤษฏี แอ็คชั่น และ รีแอ๊คชั่น
    จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็ระบุถึงจิตกับควอนตัม ว่าศึกษาทั้งศาสนาและวิทยาศาสตร์ควอนตัมไปพร้อมๆกัน ...
     
  16. abha12345

    abha12345 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2009
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +125
    พลังงานมืด แรงลึกลับที่กำหนดชะตากรรมของจักรวาล

    [​IMG]

    อนาคตของจักรวาลจะเป็นอย่างไร เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ครุ่นคิดหาคำตอบมาช้านานแล้ว ทฤษฎีฟิสิกส์ทำนายอนาคตของจักรวาลว่าอาจเป็นไปได้สามแบบขึ้นอยู่กับอำนาจของแรงโน้มถ่วง (Gravitational force) ในจักรวาล

    แบบแรก ถ้าปริมาณมวลสารและพลังงานในจักรวาลมีไม่มากพอ แรงโน้มถ่วงก็ไม่สามารถดึงดูดให้จักรวาลหดตัวกลับมาได้ จักรวาลก็จะขยายตัวไปเรื่อยๆ จากนั้นพลังงานในดวงดาว กาแล็กซี่จะถูกเผาผลาญจนหมด จักรวาลก็จะเข้าสู่ช่วงความหนาวเย็นที่เรียกว่าบิ๊กชิล (Big Chill)

    แบบที่สอง ถ้าปริมาณมวลสารและพลังงานมีมาก แรงโน้มถ่วงจะดึงดูดให้จักรวาลขยายตัวช้าลง และในที่สุดก็จะดึงดูดให้จักรวาลหดตัวกลับมาจนกาแล็กซี่และ ดวงดาวชนกันจนลุกเป็นเปลวเพลิง จักรวาลก็พังทลายลงที่เรียกกันว่าบิ๊กครันช์ (Big Crunch)

    แบบที่สาม ถ้าปริมาณมวลสารและพลังงานมีค่าในระดับที่แรงโน้มถ่วงสมดุลกับการขยายตัว จักรวาลก็ขยายตัวไปเรื่อยๆ แต่ช้าลง

    นักวิทยาศาสตร์สามารถหาคำตอบว่าจุดจบของจักรวาลจะเป็นแบบใดด้วยการวัดอัตราความเร็วในการขยายตัวของจักรวาล

    ในอดีต นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่รวมทั้ง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เชื่อว่าจักรวาลมีลักษณะสถิต (static) ไม่มีจุดกำเนิด ไม่มีจุดจบ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงและคงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์

    ทว่า ในปี 1917 ไอน์สไตน์ใช้ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปอธิบายธรรมชาติของจักรวาล ผลที่ได้ตรงกันข้ามกับความเชื่อของเขา นั่นคือจักรวาลในอนาคตจะต้องพังทลายลงแบบบิ๊กครันช์ด้วยอำนาจแรงโน้มถ่วงของสสารในจักรวาล แต่ด้วยความเชื่อว่าจักรวาลคงที่ไอน์สไตน์จึงแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มค่าหนึ่งขึ้นมาเรียกว่าค่า "คงที่ของจักรวาล" (Cosmological Constant) ในสมการของเขาเพื่อทำหน้าที่ต้านแรงโน้มถ่วงซึ่งจะพยุงจักรวาลเอาไว้ไม่ให้พังทลายลง

    ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วไปคิดว่ามันเป็นเพียงอุบายทางคณิตศาสตร์ของไอน์สไตน์เท่านั้นซึ่งไอน์สไตน์เองก็ไม่รู้ว่าแรงต้านแรงโน้มถ่วงจะมีอยู่จริงหรือไม่

    แต่แล้วในปลายทศวรรษที่ 1920 เอ็ดวิน ฮับเบิล นักดาราศาสตร์อเมริกันก็ทำให้นักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อว่าจักรวาลมีลักษณะคงที่ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่ากาแล็กซี่ที่อยู่ไกลๆ กำลังเคลื่อนที่ห่างออกจากกัน นั่นหมายความว่าจักรวาลกำลังขยายตัวไม่ได้คงที่แต่อย่างใด

    [​IMG]


    เมื่อไอน์สไตน์ได้พบกับ เอ็ดวิน ฮับเบิล ฮับเบิลได้แสดงให้ไอน์สไตน์เห็นว่าจักรวาลกำลังขยายตัวจริงๆ หลังจากนั้น ไอน์สไตน์จึงยกเลิกค่าคงที่ของจักรวาลของเขา และกล่าวว่า เป็น "ความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของข้าพเจ้า"

    หลังยุคสมัยของฮับเบิล นักวิทยาศาสตร์ยังเชื่อว่า จักรวาลจะขยายตัวช้าลงด้วยอำนาจแรงโน้มถ่วงของกาแล็กซี่ ดวงดาวและพลังงานอื่นๆ ในจักรวาล

    ในปี 1998 ความเชื่อนี้ถูกลบล้างโดยผลการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์สองกลุ่มจากการศึกษาซูเปอร์โนวา (Supernovae) ชนิด Type-1a หรือการระเบิดของดาวฤกษ์ที่หมดอายุขัยในกาแล็กซี่ที่อยู่ห่างไกลซึ่งพบว่าแสงจากซุปเปอร์โนวา จางกว่าที่ควรจะเป็น นั่นก็หมายความว่าซูเปอร์โนวานั้นอยู่ห่างไกลกว่าที่ควรจะเป็นเช่นกัน

    [​IMG]
    นักวิทยาศาสตร์สามารถคำนวณระยะทางของซุปเปอร์โนวาได้จากความสว่างของมัน และสามารถคำนวณอัตราความเร็วในการเคลื่อนที่ของซุปเปอร์โนวาได้ด้วย

    หากจักรวาลขยายตัวในอัตราหน่วง (Slowing expansion) หรือช้าลง ซุปเปอร์โนวาจะมีความสว่างน้อยกว่าที่คาดเอาไว้ประมาณ 20% ตรงกันข้ามหากจักรวาลขยายตัวด้วยอัตราเร่ง ตำแหน่งของซุปเปอร์โนวาจะอยู่ไกลออกไปทำให้ความสว่างของมันน้อยกว่ากรณีแรก

    ปรากฏการณ์นี้จึงอธิบายได้ว่า จักรวาลกำลังขยายตัวในอัตราเร่ง (Accelerating expansion) ไม่ได้ขยายตัวช้าลงอย่างที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันมานาน เพราะหากจักรวาลขยายตัวช้าลงกาแล็กซี่จะเคลื่อนที่เข้าใกล้กัน และจะทำให้ดวงดาวหรือเทหวัตถุในกาแล็กซี่มีความสว่างเมื่อมองจากโลก

    สิ่งที่พบทำให้นักวิทยาศาสตร์คิดว่าค่าคงที่ของจักรวาลของไอน์สไตน์ที่ทำหน้าที่ต้านแรงโน้มถ่วงอาจมีอยู่จริง

    ต่อมาในปี 2001 ทีมนักวิทยาศาสตร์นำโดย อดัม รีสส์ แห่ง สถาบันวิทยาศาสตร์กล้องโทรทรรศน์อวกาศ (Space Telescope Science Institute) และศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยจอห์นฮ็อปกิ้น ยืนยันความจริงนี้อีกครั้งหนึ่งจากผลการศึกษาซุปเปอร์โนวา SN1997ff ซึ่งอยู่ไกลจากโลกหนึ่งหมื่นล้านปีแสงโดยใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล ซึ่งพบว่าจักรวาลกำลังขยายตัวด้วยอัตราเร่งจริงๆ นั่นหมายความว่าแรงต้านแรงโน้มถ่วงของไอน์สไตน์มีอยู่จริง และมันยังเอาชนะแรงโน้มถ่วงของสสารในจักรวาลอีกด้วย

    [​IMG]

    ทีมนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการขยายตัวด้วยอัตราเร่งของจักรวาลเกิดขึ้นเมื่อห้าพันล้านปีที่ผ่านมา ณ ช่วงเวลานั้น กาแล็กซี่ต่างๆ อยู่ห่างจากกันซึ่งมีผลทำให้แรงโน้มถ่วงของกาแล็กซี่อ่อนกำลัง ในขณะที่มีแรงต้านแรงโน้มถ่วงจากพลังงานลึกลับผลักให้จักรวาลขยายตัวและจะขยายตัวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    แรงลึกลับนี้คืออะไรและจะมีผลอย่างไรต่ออนาคตของจักรวาล? มันอาจเป็นปริศนาใหญ่ที่สุดของฟิสิกส์ ที่ยังไม่มีใครสามารถอธิบายได้ นักวิทยาศาสตร์เรียกแรงลึกลับนี้ว่าพลังงานมืด (Dark Energy)

    การศึกษาโดยใช้กล้องอวกาศฮับเบิลที่ผ่านมาพบว่าในช่วงเวลาประมาณพันล้านปีแรกๆของจักรวาลซึ่งกำเนิดจากบิ๊กแบงเมื่อ 13.7 พันล้านปีนั้นจักรวาลมีความหนาแน่นมาก ดังนั้น แรงโน้มถ่วงของสสารปกติและสสารมืดจึงดึงดูดจักรวาลให้ขยายตัวในอัตราหน่วงคือขยายตัวช้าลงเรื่อยๆ

    จนกระทั่งเมื่อประมาณ 5-6 พันล้านปีก่อนหรือพลังงานมืดสามารถเอาชนะแรงโน้มถ่วงของสสารปกติและสสารมืดใน "สงครามแรงดึงดูดในจักรวาล" ได้ เป็นผลให้จักรวาลขยายตัวในอัตราเร่งมาตราบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

    ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ประมาณว่า จักรวาลประกอบด้วยสสารปกติ 4% สสารมืด (Dark Matter) 21% และอีก 75% เป็นพลังงานมืด

    สสารปกติก็คือ กาแล็กซี่ เนบิวลา และเทหวัตถุทั้งหลาย อย่างเช่นดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ ดาวหาง เป็นต้น ส่วนสสารมืดคือสสารในจักรวาลที่เรามองไม่เห็นแต่รู้ว่ามีอยู่เพราะอิทธิพลจากแรงโน้มถ่วงของมันต่อสสารปกติ

    ล่าสุด เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทีมนักวิทยาศาสตร์ค้นพบหลักฐานอิทธิพลของพลังงานมืดที่มีต่อการขยายตัวของจักรวาล จากการวัดการขยายตัวของจักรวาลเมื่อ 9 พันล้านปีก่อนโดยโดยใช้กล้องอวกาศฮับเบิล ศึกษาซุปเปอร์โนวาระยะไกลที่สุดเท่าที่เคยศึกษามาจำนวน 23 ดวง เป็นเวลา 3 ปี

    ทีมนักวิทยาศาสตร์ซึ่งนำโดย อดัม รีสส์ พบว่า พลังงานมืดผลักจักรวาลให้ขยายตัวอย่างน้อยที่สุดตั้งแต่เมื่อ 9 พันล้านปีก่อน หรือเมื่อจักรวาลมีอายุได้ 4.4 พันล้านปี ไม่ใช่เมื่อ 5-6 พันล้านปีก่อนจากการค้นพบก่อนหน้านี้

    แม้ว่าการค้นพบใหม่นี้จะได้ร่องรอยที่สำคัญว่าพลังงานมืดเป็นส่วนประกอบของจักรวาลและมีบทบาทต่อจักรวาลมานานแล้วก็ตาม แต่มันก็ยังไกลต่อการพิสูจน์ว่าพลังงานมืดคืออะไร

    มาริโอ ลิวิโอ หนึ่งในทีมนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันวิทยาศาสตร์กล้องโทรทรรศน์อวกาศ เปรียบเทียบว่า พื้นผิวโลกปกคลุมด้วยน้ำมากกว่า 70% และ มนุษย์ได้ค้นพบคุณสมบัติของน้ำมานานหลายศตวรรษแล้ว แต่สำหรับพลังงานมืด นักวิทยาศาสตร์ยังอยู่ในขั้นตอนแรกของการหาคุณสมบัติของมันเท่านั้นเอง

    [​IMG]

    อย่างไรก็ตาม การค้นพบในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญต่อการศึกษาจักรวาลและพลังงานมืดเพราะนักวิทยาศาสตร์สามารถเปรียบเทียบสมบัติของซุปเปอร์โนวาเก่าแก่กับซุปเปอร์โนวาที่เพิ่งเกิดขึ้นในปัจจุบันซึ่งพบว่าองค์ประกอบทางเคมีของซุปเปอร์โนวาเมื่อ 9 พันล้านปีก่อนคล้ายกับองค์ประกอบทางเคมีของซุปเปอร์โนวาที่เกิดในปัจจุบัน ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถใช้ซุปเปอร์โนวาเป็นเครื่องมือในการสำรวจจักรวาลเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของพลังงานมืดได้อย่างมั่นใจ

    รีสส์ กล่าวว่า "มันมีความสำคัญทีเดียวเพราะเราใช้ (ซุปเปอร์โนวา) เป็นเครื่องมือในการวัดจักรวาลและเราจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมั่นใจว่าความเข้าใจของเราเกี่ยวกับธรรมชาติของซุปเปอร์โนวาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป"

    ปัจจุบันจักรวาลยังมีแนวโน้มขยายตัวด้วยอัตราเร่งไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป จุดจบของจักรวาลคือความหนาวเย็นหรือ Big Chill
     
  17. นายเบทร์

    นายเบทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    882
    ค่าพลัง:
    +91
    ค่าคงที่จักรวาล นี่มัุดยอดเนอะ
     
  18. เทพเมรัย

    เทพเมรัย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +80
    อยากมีอายุยืนไปสัก 100 ปี มนุษย์คงไขปริศนาจักรวาลผ่านกระบวนการวิทยาศาสตร์ได้ อาจเป็นไปได้ที่นำตัวแปร " จิต" ใส่เข้าไปในสมการ และไขปัญหาที่อยากรู้ได้อย่างไร้ขีดจำกัด ได้แต่หวังว่ามนุษย์คงไม่ทำสงครามล้างอารยธรรมกันไปก่อนที่จะถึงวันนั้น และต้องกลับมาเริ่มนับ 0 กันใหม่
     
  19. Enzo

    Enzo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    279
    ค่าพลัง:
    +60

    ผม เปรียบเปรยให้ฟังหน่ะครับคุณ mamboo ความเร็วแสงมีค่าเท่ากับ... 1,079,252,848.8 Km/H (เอามาจาก วิกิพีเดียนะ ผมคำนวนเองไม่ไหว)
    ผมไม่ได้หมายความว่า ความคิดมีการเดินทาง หรือ เอามาเทียบเป็น กิโลเมตร ได้ แค่ผม จะบอกว่า ....แค่คุณคิดถึงสิ่งใดสิ่งนึง หรือ มันแวบขึ้นมาในสมอง มันก็คือความคิด...ถูกมั้ย ผมเลยเปรียบเปรยเล่นๆ ว่าความคิดคนเรามันไวกว่าแสง แสงยังใช้เวลาเดินทาง...แต่ความคิดคนเรา...แค่คิดก็ถึงแล้ว อะไรเงี้ย..โหยย ไม่มีรมณ์ศิลปินเรย ^^
     
  20. abha12345

    abha12345 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2009
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +125
    ความคิดเกิดจากคลืนไฟฟ้าจากสมอง ไม่มีทางเร็วกว่าแสงเป็นแน่แท้ ที่พวกเราเห็นว่าเร็วเพราะมันไม่ต้องเดินทางในระยะไกลมากมายมันก็เดินทางในหัวเราแค่นั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...