พุทธบารมีฯ เหตุ๑ กรณีหลวงพ่อฯลาพุทธภูมิ และกิจหลังจากนั้นฯ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย sravnane, 16 กุมภาพันธ์ 2006.

  1. ศิษโมกคัลลานะ

    ศิษโมกคัลลานะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,317
    ข้อความเดิมโดยคุณ KeLbErOs

    [​IMG] องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรก
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->
    [​IMG]
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรก<O:p</O:p<O:p</O:p

    การบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์เป็นเรื่องราวที่เป็นไปได้ยากยิ่งตามหลักฐานที่ปรากฎในพระไตรปิฎกพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตกาลมีมากมายนับจำนวนไม่ได้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ปฐมคือ เสด็จปู่บรมครูสัพพัญญูเจ้าแห่งสวรรค์ซึ่งพระองค์ได้ใช้เวลาในการสร้างบารมีถึง ๑๑๑ อสงไขยจึงได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยพระมหากรุณาธิคุณได้ทรงวางแนวทางการสร้างบารมีสำหรับเหล่าพระโพธิสัตว์ (เป็นประเภทวิญญาณใหญ่มีไม่มากเป็นกลุ่มเล็กๆ นานๆ จะบังเกิดขึ้น)โดยย่นระยะเวลาแบ่งเป็น บารมี ๓ จำพวก

    <O:p</O:p
    ๑.พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยิ่งด้วย ปัญญาธิกะพระองค์ทรงสร้างบารมีด้วยความพินิจพิจารณาอย่างที่สุด ด้วยการใช้องค์ปัญญาต้องสร้างบารมีถึง ๔ อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัลป์<O:p</O:p

    ๒.พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยิ่งด้วย ศรัทธาธิกะพระองค์ทรงสร้างบารมีด้วยความศรัทธาอันยิ่งใหญ่อย่างที่สุด ด้วยการใช้องค์ศรัทธาต้องสร้างบารมีถึง ๘ อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัลป์<O:p</O:p

    ๓.พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยิ่งด้วย วิริยาธิกะพระองค์ทรงสร้างบารมีด้วยความพากเพียรอย่างที่สุด ด้วยการใช้องค์ความเพียรต้องสร้างบารมีนานมากถึง ๑๖ อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัลป์<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธพงษ์บรมโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์เมื่อบังเกิดขึ้นในมนุษย์โลกจะต้อนญาติทั้งหลายให้เดินไปสู่พระนิพพานเป็นที่สุดพระองค์ทรงใช้ปัญญาข่มจิตของญาติและสัตว์โลกให้บริสุทธิ์ผุดผ่องและเกิดศรัทธาก่อนแล้วจึงยื่นศีลปรมัตถ์ไว้ให้ยึดถือบุคคลใดเมื่อได้ศีลเป็นพื้นฐานไว้แล้วท่านก็จะมอบสมาธิไว้ให้พิจารณาเพื่อให้เกิดปัญญาให้ประพฤติปฏิบัติให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วยเวลาที่มีน้อยเหลือเกินมิให้เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนาท่านจะคอยดูแลคอยแนะนำสั่งสอนคอยจูงคอยต้อนมิให้หลงทางเพื่อให้ถึงพระนิพพานขอเพียงแต่พวกเราอย่าเพิ่งท้อแท้ท้อถอยตั้งใจปฏิบัติเพิ่มบุญเพิ่มกุศลดันจิตใจให้บริสุทธิ์เพื่อปฏิบัติพระคุณพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์พระคุณของพระพุทธพงษ์บรมโพธิสัตว์ที่จะขัดเกลาให้เขาได้รู้ทางพระนิพพานอันเป็นจุดหมายปลายทางของชีวิต<O:p</O:p
    http://www.watthapklo.com/firstbudha.html
    <!-- / message --><!-- sig -->

    ____________________________________________________________
    -~O ด้วยเดชะบารมีที่บำเพ็ญ แสนทุกข์เข็ญยากแม้นมิมีเหมือน ทีกระทำทุกขกิริยามิแชเชือน อันสะเทือนเลื่อนลั่นทั้งไตรภูมิ O~-

    <!-- / sig --><!-- edit note -->
     
  2. ศิษโมกคัลลานะ

    ศิษโมกคัลลานะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,317
    ข้อความเดิมโดยคุณ wit ครับ

    จุลลกาลิงคชาดก (เทวดากีดกันความพยายามของคนไม่ได้)
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->
    จุลลกาลิงคชาดก
    เทวดากีดกันความพยายามของคนไม่ได้

    [​IMG]

    พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภการบรรพชาของปริพาชิกา ๔ คน จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้
    <TABLE class=MsoTableGrid style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BACKGROUND: #f3f3f3; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-COLLAPSE: collapse" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="80%" border=1><TBODY><TR><TD style="BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: maroon 1.5pt solid; PADDING-LEFT: 5.4pt; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; WIDTH: 100%; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: maroon 1.5pt solid" vAlign=top width=568 height="100%">ได้ยินว่า ในนครเวสาลี มีกษัตริย์ลิจฉวี ๗ พัน ๗ ร้อย ๗ พระองค์ประทับอยู่ กษัตริย์ลิจฉวีเหล่านั้นทั้งหมดได้เป็นผู้ใคร่ในการถามและการย้อนถาม ครั้งนั้น นิครนถ์ผู้ฉลาดในวาทะ ๕๐๐ วาทะ คนหนึ่งมาถึงพระนครเวสาลี กษัตริย์ลิจฉวีเหล่านั้นได้ทรงกระทำการสงเคราะห์นิครนถ์นั้น นางนิครนถ์ผู้ฉลาดปานกันอีกคนหนึ่ง ก็มาถึงพระนครเวสาลี กษัตริย์ทั้งหลายจึงให้ชนทั้งสองแสดงวาทะโต้ตอบกัน ก็ปรากฏว่าคนทั้งสองก็เป็นผู้ฉลาด เท่าเทียมกัน กษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลายจึงคิดว่า คนทั้งสองนี้ถ้ามีบุตรด้วยกัน บุตรนั้นก็จักเป็นผู้ฉลาดเฉียบแหลม จึงให้กระทำการวิวาหมงคลแก่คนทั้งสองนั้น แล้วให้คนทั้งสองอยู่ร่วมกัน
    ต่อมานิครนถ์ทั้งสองนั้นมี ทาริกา ๔ คนและทารก ๑ คน โดยลำดับ บิดามารดาได้ตั้งชื่อนางทาริกาทั้ง ๔ คนว่า นางสัจจา ๑ นางโสภา ๑ นางอธิวาทกา ๑ นางปฏิจฉรา ๑ ตั้งชื่อทารกว่า สัจจกะ คนแม้ทั้ง ๕ นั้นเมื่อเติบใหญ่แล้ว ก็พากันเรียนวาทะ ๑๐๐๐ วาทะ คือจากมารดา ๕๐๐ จากบิดา ๕๐๐ มารดาบิดาได้ให้โอวาทแก่นางทาริกาทั้ง ๔ อย่างนี้ว่า ถ้าคฤหัสถ์ผู้ใดก็ตามสามารถโต้วาทะชนะพวกเจ้าได้ พวกเจ้าพึงยอมเป็นบาทบริจาริกาของเขา ถ้าเป็นบรรพชิต ก็ควรบวชในสำนักของบรรพชิตนั้น
    ในกาลต่อมา เมื่อมารดาบิดาสิ้นชีวิตไปแล้ว นิครนถ์น้องชายคนสุดท้อง ก็ได้เป็นผู้สั่งสอนศิลปะแก่กษัตริย์ลิจฉวีอยู่ในนครเวสาลีนั้นนั่นเอง ส่วนพี่สาวทั้ง ๔ ถือกิ่งหว้าเที่ยวสัญจรไปตามนครต่าง ๆ เพื่อต้องการโต้ วาทะ ครั้นเดินทางมาจนถึงพระนครสาวัตถี จึงปักกิ่งหว้าไว้ใกล้ประตูพระนคร แล้วกล่าวแก่พวกเด็ก ๆ ว่า ผู้ใดจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ตาม ที่คิดว่าจะสามารถโต้วาทะสู้พวกเราได้ ผู้นั้นจงเอาเท้าเกลี่ยกองฝุ่นนี้ให้กระจายแล้วเหยียบกิ่งหว้าด้วยเท้านั่นแหละ ประกาศแล้วจึงพากันเข้าไปยังพระนครเพื่อหาอาหาร
    ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรกวาดที่ซึ่งยังไม่ได้กวาด ตักน้ำดื่มใส่หม้อเปล่า ปรนนิบัติภิกษุไข้ แล้วจึงเข้าไปบิณฑบาตในนครสาวัตถีเวลาสาย ท่านแลเห็นกิ่งหว้านั้น จึงถามเมื่อได้ความแล้วก็ให้พวกเด็กนั่นแหละล้มกิ่งหว้าเหยียบเสีย แล้วกล่าวแก่พวกเด็กว่า หากพวกคนผู้วางกิ่งหว้านี้ไว้นั้น ทำภัตกิจกลับมาแล้ว จงพาไปพบเราที่ซุ้มประตูพระวิหารเชตวัน สั่งแล้วก็เข้าไปยังพระนคร กระทำภัตกิจเสร็จแล้วได้ยืนอยู่ที่ซุ้มพระวิหาร
    ฝ่ายนางปริพาชิกาเหล่านั้นเที่ยวภิกษาแล้วกลับมา เห็นกิ่งหว้าถูกเหยียบย่ำจึงถามว่า ใครเหยียบย่ำกิ่งหว้านี้ พวกเด็กว่า พระสารีบุตรเถระเหยียบ และพูดว่า ถ้าท่านทั้งหลายต้องการโต้วาทะ จงไปยังซุ้มพระวิหาร นางปริพาชิกาเหล่านั้นจึงพากันกลับเข้าพระนครอีก ประกาศให้มหาชนมาประชุมกันแล้วไปยังซุ้มพระวิหาร ถามวาทะหนึ่งพันกะพระเถระ พระเถระได้วิสัชนาตอบวาทะเหล่านั้นทุกประการแล้วถามว่า พวกท่านรู้อะไรๆ อย่างอื่นอีกบ้าง ?
    นางปริพาชิกาเหล่านั้นกล่าวว่า ข้าแต่ท่าน พวกข้าพเจ้าไม่รู้อะไรอย่างอื่น
    พระเถระจึงพูดว่า เราจะถามอะไร ๆ กะพวกท่านบ้าง
    นางปริพาชิกาเหล่านั้นจึงว่า ถามเถิดท่าน เพื่อพวกข้าพเจ้ารู้ จักกล่าวแก้
    พระเถระจึงถามว่า เอกํ นาม กึ อะไรชื่อว่าหนึ่ง ?
    นางปริพาชิกาเหล่านั้นหาทราบไม่ พระเถระจึงวิสัชนาให้ฟัง นางปริพาชิกา เหล่านั้นจึงกล่าวว่า ข้าแต่ท่าน ความปราชัยเป็นของพวกข้าพเจ้า ชัยชนะเป็นของท่าน
    พระเถระจึงถามว่า บัดนี้ พวกท่านจักทำอย่างไร ?
    นางปริพาชิกาทั้งสี่จึงตอบว่า มารดาบิดาของพวกข้าพเจ้าได้ให้โอวาทนี้ไว้ว่า ถ้าคฤหัสถ์ทำลายวาทะของพวกเจ้าได้จงยอมเป็นภรรยาของเขา ถ้าบรรพชิตทำลายได้ก็จงพากันบวชในสำนักของบรรพชิตนั้น เพราะฉะนั้นท่านโปรดให้บรรพชาแก่พวกข้าพเจ้าเถิด
    พระเถระ กล่าวว่าดีแล้ว จึงให้นางบวชในสำนักของพระอุบลวรรณาเถรี ไม่นานนัก ทั้งหมดก็ได้บรรลุพระอรหัต
    อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งประชุมสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย พระสารีบุตรเถระเป็นที่พึ่งอาศัยของปริพาชิกาทั้งสี่ ให้ทุกนางบรรลุพระอรหัต พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน สารีบุตรก็ได้เป็นที่พึ่งอาศัยของปริพาชิกาเหล่านี้ แต่ในกาลบัดนี้ ได้บวชให้ ส่วนในปางก่อน ได้ตั้งปริพาชิกาเหล่านี้ไว้ในตำแหน่งมเหสีของพระราชา แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้ากาลิงคราชครองราชสมบัติอยู่ในพระนครทันตปุระ แคว้นกาลิงครัฐ พระราชาพระนามว่า อัสสกะ ครองราชสมบัติในนครโปตละ แคว้นอัสสกรัฐ พระเจ้ากาลิงคะทรงสมบูรณ์ด้วยรี้พลและพาหนะ แม้พระองค์เองก็มีกำลังดังช้างสาร ไม่เห็นผู้จะต่อยุทธ์ พระองค์เป็นผู้ประสงค์จะทรงกระทำการรบ จึงตรัสบอกแก่อำมาตย์ทั้งหลายว่า เรามีความต้องการจะทำการรบ แต่ไม่เห็นผู้จะต่อยุทธ์ เราจะกระทำอย่างไร
    อำมาตย์ทั้งหลายจึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช มีอุบายอยู่อย่างหนึ่ง พระราชธิดาทั้ง ๔ ของพระองค์ ทรงพระรูปโฉมอันงาม พระองค์โปรดให้ประดับตกแต่งพระราชธิดาเหล่านั้น แล้วให้นั่งในราชยานอันมิดชิด แวดล้อมด้วยรี้พล แล้วให้เที่ยวไปยังคามนิคม และราชธานีทั้งหลาย โดยป่าวร้องว่า พระราชาพระองค์ใดจักมีพระประสงค์จะรับเอาไว้เพื่อตน พวกเราจักทำการรบกับพระราชาพระองค์นั้น
    พระราชาจึงทรงให้กระทำอย่างนั้น ในสถานที่พระราชธิดาเหล่านั้นเสด็จไปแล้วๆ พระราชาทั้งหลายไม่ ยอมให้พระราชธิดาเหล่านั้นเข้าพระนครเพราะความกลัวภัย พากันส่งเครื่องบรรณาการออกไป แล้วให้ประดับอยู่เฉพาะภายนอกพระนคร พระราชธิดาเหล่านั้นเสด็จเที่ยวไปตลอดทั่วชมพูทวีปอย่างนี้ จนบรรลุถึงพระนครโปตละ แคว้นอัสสกรัฐ ฝ่ายพระเจ้าอัสสกะก็ทรงให้ปิดประตูพระนครแล้วทรงส่งเครื่องบรรณาการออกไปถวาย อำมาตย์ของพระเจ้าอัสสกะนั้น ชื่อว่านันทเสน เป็นบัณฑิตเฉลียวฉลาดในอุบาย นันทเสนอำมาตย์นั้นคิดว่า ข่าวว่า พระราชธิดาของพระเจ้ากาลิงคราชเหล่านี้ เสด็จเที่ยวไปทั่วชมพูทวีป ก็ไม่มีผู้จะต่อยุทธ์ด้วย แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ ชมพูทวีปก็ได้ชื่อว่าว่างจากนักรบ เราเองจักรบกับพระเจ้ากาลิงคราช นันทเสนอำมาตย์นั้นจึงไปยังประตูพระนคร แล้วเรียกคนรักษาประตูมาให้เขาเปิดประตูรับพระราชธิดาเหล่านั้น
    ครั้นแล้วอำมาตย์นันทเสนนั้น จึงให้เปิดประตูรับพระราชธิดาทั้ง ๔ นั้นไปถวายพระเจ้าอัสสกะ แล้วกราบทูลว่า พระองค์อย่าทรงเกรงกลัวเลย เมื่อมีการรบกัน ข้าพระองค์จักรับอาสา พระองค์โปรดทรงกระทำพระราชธิดาผู้ทรงพระรูปโฉมอันเลอเลิศเหล่านี้ให้เป็นพระอัครมเหสีเถิด พระเจ้าอัสสกะจึงอภิเษกพระราชธิดาเหล่านั้น แล้วส่งราชบุรุษผู้มากับพระราชธิดาเหล่านั้นกลับไป แล้วพูดว่า ท่านทั้งหลายจงกราบทูลพระราชาของท่าน ในเรื่องที่พระเจ้าอัสสกะราชทรงตั้งพระราชธิดาทั้ง ๔ ไว้ในตำแหน่งอัครมเหสี
    ครั้นเมื่อราชบุรุษเหล่านั้นไปกราบทูลให้ทรงทราบ พระเจ้ากาลิงคราช ทรงดำริว่า พระเจ้าอัสสกะนั้นชรอยจะไม่ทราบกำลังของเราแน่นอน จึงเสด็จไปด้วยกองทัพใหญ่ในขณะนั้นทันที เมื่อนันทเสนอำมาตย์ทราบการเสด็จยกทัพมาของพระเจ้ากาลิงคราช จึงส่งสาส์นไปว่า ขอพระเจ้ากาลิงคราชจงอยู่เฉพาะแต่ในรัฐสีมาของพระองค์ อย่าล่วงล้ำเข้ามาในรัฐสีมาแห่งพระราชาของข้าพระองค์ มิฉะนั้นการสู้รบจักมีระหว่างแคว้นทั้งสอง พระเจ้ากาลิงคราชทรงสดับสาส์นแล้วได้ทรงหยุดกองทัพไว้เฉพาะปลายพระราชอาณาเขตของพระองค์ ฝ่ายพระ เจ้าอัสสกราชก็ได้ทรงหยุดกองทัพเฉพาะปลายราชอาณาเขตของพระองค์เหมือนกัน
    ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์บวชเป็นฤๅษี อยู่ที่บรรณศาลาระหว่างอาณาเขตแห่งพระราชาทั้งสองนั้น พระเจ้ากาลิงคราชทรงพระดำริว่า ธรรมดาสมณะทั้งหลายย่อมจะรู้อะไรๆ ดี ใครจักมีชัยชนะหรือความปราชัยจักมีแก่ใคร เราจักถามพระดาบสดู จึงปลอมพระองค์เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ ไหว้แล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง กระทำปฏิสันถารแล้วถามว่า ท่านผู้เจริญ พระเจ้ากาลิงคะ กับพระเจ้าอัสสกะประสงค์จะรบกัน พากันตั้งทัพยันอยู่เฉพาะใน รัฐสีมาของตนๆ ในพระราชาทั้งสองพระองค์นั้น ใครจักมีชัยชนะ ใครจักปราชัยพ่ายแพ้
    พระดาบสโพธิสัตว์กราบทูลว่า ท่านผู้มีบุญมาก อาตมาภาพไม่ทราบว่า พระองค์โน้นชนะ พระองค์โน้นพ่ายแพ้ แต่ ท้าวสักกเทวราชเสด็จมาที่นี้ อาตมภาพถามท้าวสักกเทวราชนั้นแล้วจักบอกให้ทราบ พรุ่งนี้ท่านมาฟังเอาเถิด
    ครั้นเมื่อท้าวสักกะเสด็จมาสู่อาศรมของพระโพธิสัตว์แล้วประทับนั่ง ทีนั้น พระโพธิสัตว์จึงทูลถามเนื้อความกะท้าวสักกเทวราช ท้าวเธอจึงตรัสทำนายว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระเจ้ากาลิงคราชจักมีชัย พระเจ้าอัสสกะจักปราชัย และจะมีบุรพนิมิตเช่นนี้ เช่นนี้ปรากฏ
    ในวันรุ่งขึ้น พระเจ้ากาลิงคราชเสด็จมาถาม พระโพธิสัตว์ก็ทูลความแก่พระเจ้ากาลิงคราชนั้น พระเจ้ากาลิงคราชไม่ตรัสถามเลยว่า บุรพนิมิตเช่นไรจักปรากฏ ทรงหลีกลาไปด้วยพระทัยยินดีว่า ท่านว่าเราจักชนะ เรื่องนั้นได้แพร่ไปแล้ว
    พระเจ้าอัสสกะได้ทรงสดับเรื่องนั้นจึงรับสั่งให้เรียกอำมาตย์นันทเสนมา แล้วรับสั่งว่า เขาว่าพระเจ้ากาลิงคราชจักชนะ เราจักพ่ายแพ้ เราควรจะทำอย่างไรกัน
    นันทเสนอำมาตย์นั้นกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ใครจะทราบข้อนั้นได้ ชัยชนะหรือความปราชัยจักเป็นของใคร ขอพระองค์อย่าทรงคิดไปเลย
    ครั้นกราบทูลเอาพระทัยพระราชาแล้ว ก็ได้เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ ไหว้แล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง ถามพระโพธิสัตว์ว่า ท่านผู้เจริญ ใครจักชนะ ใครจักแพ้
    พระโพธิสัตว์กล่าวว่า พระเจ้ากาลิงคะจักชนะ พระเจ้าอัสสกะจักแพ้
    อำมาตย์นันทเสนถามว่า ท่านผู้เจริญ บุรพนิมิตอะไรจักมีแก่ผู้ชนะ บุรพนิมิตอะไรจักมีแก่ผู้แพ้ พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ท่านผู้มีบุญมาก อารักขเทวดาของผู้ชนะจักเป็นโคผู้ขาวปลอด อารักขเทวดาของผู้แพ้จักเป็นโคผู้ดำปลอด อารักขเทวดาแม้ของทั้งสองฝ่ายรบกันแล้ว ความมีชัยและปราชัยจักปรากฏ
    นันทเสนอำมาตย์ได้ฟังดังนั้น จึงลุกขึ้นลาไป พาทหารใหญ่ประมาณพันคนผู้เป็นสหายของพระราชา ขึ้นไปยังภูเขาในที่ไม่ไกลนัก แล้วถามว่า ผู้เจริญทั้งหลาย พวกท่านจักอาจเพื่อถวายชีวิตแก่พระราชาของพวกเราได้หรือไม่
    ทหารใหญ่เหล่านั้นกล่าวว่า พวกเราจักสามารถถวายได้
    นันทเสนอำมาตย์กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นพวกท่านจงโดดลงไปในเหวนี้
    ทหารใหญ่เหล่านั้นได้เตรียมจะโดดลงเหว นันทเสนอำมาตย์จึงห้ามทหารใหญ่เหล่านั้นแล้วกล่าวว่า อย่าโดดลงเหวนี้เลย ท่านทั้งหลายเป็นผู้มีขวัญดี ไม่ถอยหลัง ช่วยกันรบเพื่อถวายชีวิตแก่พระราชาของเรา ทั้งหลายเถิด
    ทหารใหญ่เหล่านั้นรับคำแล้ว ครั้นเมื่อสงครามประชิดกัน พระเจ้ากาลิงคราชทรงวางพระทัยว่า นัยว่าเราจักชนะ แม้หมู่พลนิกายของพระองค์ก็พากันวางใจว่า เขาว่าพวกเราจักมีชัยชนะ จึงไม่ทำการผูกสอดเครื่องรบให้มั่นคง ไม่รวมกันเป็นพรรคเป็นพวก พากันหลีกไปตามความชอบใจ ในเวลาที่ควรจะกระทำความเพียรพยายามก็ไม่ทำ
    ฝ่ายพระราชาทั้งสองพระองค์เสด็จขึ้นทรงม้าเข้าไปหากันและกันด้วยหมายมั่นว่า จักต่อยุทธ์ อารักขเทวดาของพระราชาทั้งสองออกไปข้างหน้า อารักขเทวดาของพระเจ้ากาลิงคะเป็นโคผู้ขาวปลอด อารักขเทวดาของพระเจ้าอัสสกะ เป็นโคผู้ดำปลอด โคผู้แม้เหล่านั้นแสดงอาการต่อสู้เข้าไปหากันและกัน ก็โคผู้เหล่านั้นย่อมปรากฏเฉพาะแก่พระราชาทั้งสองเท่านั้น ไม่ปรากฏแก่คนอื่น
    อำมาตย์นันทเสนทูลถามพระเจ้าอัสสกะว่า ข้าแต่มหาราช อารักขเทวดาปรากฏแก่พระองค์แล้วหรือยัง
    พระเจ้าอัสสกะตรัสว่า เออปรากฏ
    นันทเสนถามว่า ปรากฏโดยอาการอย่างไร
    พระเจ้าอัสสกะตรัสว่า อารักขเทวดาของพระเจ้ากาลิงคะปรากฏ เป็นโคผู้ขาวปลอด อารักขเทวดาของเราปรากฏเป็นโคผู้ดำปลอด
    นันทเสนอำมาตย์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์อย่าทรงเกรงกลัวเลย พวกเราจักชนะ พระเจ้ากาลิงคะจักพ่ายแพ้ พระองค์จงเสด็จลงจากหลังม้า ทรงถือพระแสงหอกนี้ เอาพระหัตถ์ซ้ายแตะด้านท้องม้าสินธพ แล้วรีบไปพร้อมกับบุรุษพันคนนี้ เอาหอกประหารอารักขเทวดาของพระเจ้ากาลิงคะให้ล้มลง ต่อแต่นั้น พวกข้าพระองค์ประมาณหนึ่งพัน จักประหารด้วยหอกพันเล่ม เมื่อทำอย่างนี้ อารักขเทวดาของพระเจ้ากาลิงคะจักฉิบหาย จากนั้นพระเจ้า กาลิงคะจักพ่ายแพ้ พวกเราจักชนะ
    พระราชาทรงรับว่าได้ แล้วเสด็จ ไปเอาหอกแทงตามสัญญาณที่นันทเสนอำมาตย์ถวายไว้ ฝ่ายอำมาตย์ทั้งหลายก็แทงด้วยหอกพันเล่ม อารักขเทวดาของพระเจ้ากาลิงคะก็ถึงแก่ความตาย ณ ที่นั้นนั่นเอง
    ทันใดนั้น พระเจ้ากาลิงคะก็ทรงพ่ายแพ้เสด็จหนีไป อำมาตย์ทั้งหลายพันคนเห็นพระเจ้ากาลิงคะเสด็จ หนีไปก็พากันโห่ร้องว่า พระเจ้ากาลิงคราชหนี พระเจ้ากาลิงคะทรงกลัวต่อมรณภัยเสด็จหนีไป
    พระเจ้ากาลิงคราชนั้นก็เสด็จหนีไปยังพระนครของพระองค์ ไปอาจที่จะเหลียวมามองดู แต่นั้น เมื่อล่วงไป ๒ - ๓ วัน ท้าวสักกะได้เสด็จมายังอาศรมของพระดาบส พระดาบสเมื่อจะทูลกับท้าวเธอ จึงกล่าวคาถาว่า :
    ข้าแต่ท้าวสักกะ เทวดาทั้งหลายยังประพฤติล่วงมุสาวาทอีกหรือ
    พระองค์ควรกระทำถ้อยคำให้จริงแท้แน่นอนมิใช่หรือ
    ข้าแต่ท้าวมัฆวาฬผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน
    พระองค์ทรงอาศัยเหตุอะไรหรือ จึงได้ตรัสมุสา
    ท้าวสักกะทรงสดับดังนั้นจึงตรัสคาถาว่า :
    ดูก่อนพราหมณ์ เมื่อชนทั้งหลายพูดกันอยู่
    ท่านก็เคยได้ยินแล้วมิใช่หรือว่า
    เทวดาทั้งหลายย่อมเกียดกันความพยายามของลูกผู้ชายไม่ได้
    ความข่มใจ ความตั้งใจแน่วแน่ ความไม่แตกสามัคคีกัน
    ความไม่แก่งแย่งกัน การรุกในกาลควรรุก
    ความเพียรมั่นคง และความบากบั่นของลูกผู้ชาย ( มีอยู่ในพวกพระเจ้าอัสสกะ )
    เพราะเหตุนั้นแหละ ชัยชนะจึงมีแก่พวกพระเจ้าอัสสกะ
    ก็แหละเมื่อพระเจ้ากาลิงคราชหนีไปแล้ว พระเจ้าอัสสกราช ให้กวาดต้อนเชลยและยุทธภัณฑ์ แล้วเสด็จไปยังพระนครของพระองค์ อำมาตย์นันทเสนส่งสาส์นไปถวายพระเจ้ากาลิงคราชว่า พระองค์จงส่งส่วนทรัพย์มรดกไปถวายพระราชธิดาทั้ง ๔ พระองค์นี้ ถ้าไม่ทรงส่งไป พวกเราจักทำกิจที่จำเป็นจะต้องทำในเรื่องนี้ พระเจ้ากาลิงคราช ได้ทรงสดับข่าวสาสน์นั้นแล้ว ทั้งกลัวทั้งสะดุ้งหวาดเสียว จึงส่งพระ ราชทรัพย์มรดกที่พระราชธิดาเหล่านั้นจะพึงได้ไปประทาน นับแต่นั้นมา พระราชาทั้งสองก็อยู่อย่างสมัครสมานกัน
    พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้วจึงทรงประชุมชาดกว่า พระราชธิดาของพระเจ้ากาลิงคราชในกาลนั้น ได้เป็นภิกษุณีสาวเหล่านี้ ในบัดนี้ อำมาตย์นันทเสนในครั้งนั้น ได้เป็น พระสารีบุตรในบัดนี้ ส่วนดาบสในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล

    ที่มาจาก
    http://www.dharma-gateway.com/buddha/buddha-main-page.htm
    <!-- / message -->
     
  3. ศิษโมกคัลลานะ

    ศิษโมกคัลลานะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,317
    ข้อความเดิมโดยคุณ wit ครับ

    จุลลกาลิงคชาดก (เทวดากีดกันความพยายามของคนไม่ได้)
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->
    จุลลกาลิงคชาดก
    เทวดากีดกันความพยายามของคนไม่ได้

    [​IMG]

    พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภการบรรพชาของปริพาชิกา ๔ คน จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้
    <TABLE class=MsoTableGrid style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BACKGROUND: #f3f3f3; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-COLLAPSE: collapse" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="80%" border=1><TBODY><TR><TD style="BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: maroon 1.5pt solid; PADDING-LEFT: 5.4pt; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; WIDTH: 100%; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: maroon 1.5pt solid" vAlign=top width=568 height="100%">ได้ยินว่า ในนครเวสาลี มีกษัตริย์ลิจฉวี ๗ พัน ๗ ร้อย ๗ พระองค์ประทับอยู่ กษัตริย์ลิจฉวีเหล่านั้นทั้งหมดได้เป็นผู้ใคร่ในการถามและการย้อนถาม ครั้งนั้น นิครนถ์ผู้ฉลาดในวาทะ ๕๐๐ วาทะ คนหนึ่งมาถึงพระนครเวสาลี กษัตริย์ลิจฉวีเหล่านั้นได้ทรงกระทำการสงเคราะห์นิครนถ์นั้น นางนิครนถ์ผู้ฉลาดปานกันอีกคนหนึ่ง ก็มาถึงพระนครเวสาลี กษัตริย์ทั้งหลายจึงให้ชนทั้งสองแสดงวาทะโต้ตอบกัน ก็ปรากฏว่าคนทั้งสองก็เป็นผู้ฉลาด เท่าเทียมกัน กษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลายจึงคิดว่า คนทั้งสองนี้ถ้ามีบุตรด้วยกัน บุตรนั้นก็จักเป็นผู้ฉลาดเฉียบแหลม จึงให้กระทำการวิวาหมงคลแก่คนทั้งสองนั้น แล้วให้คนทั้งสองอยู่ร่วมกัน
    ต่อมานิครนถ์ทั้งสองนั้นมี ทาริกา ๔ คนและทารก ๑ คน โดยลำดับ บิดามารดาได้ตั้งชื่อนางทาริกาทั้ง ๔ คนว่า นางสัจจา ๑ นางโสภา ๑ นางอธิวาทกา ๑ นางปฏิจฉรา ๑ ตั้งชื่อทารกว่า สัจจกะ คนแม้ทั้ง ๕ นั้นเมื่อเติบใหญ่แล้ว ก็พากันเรียนวาทะ ๑๐๐๐ วาทะ คือจากมารดา ๕๐๐ จากบิดา ๕๐๐ มารดาบิดาได้ให้โอวาทแก่นางทาริกาทั้ง ๔ อย่างนี้ว่า ถ้าคฤหัสถ์ผู้ใดก็ตามสามารถโต้วาทะชนะพวกเจ้าได้ พวกเจ้าพึงยอมเป็นบาทบริจาริกาของเขา ถ้าเป็นบรรพชิต ก็ควรบวชในสำนักของบรรพชิตนั้น
    ในกาลต่อมา เมื่อมารดาบิดาสิ้นชีวิตไปแล้ว นิครนถ์น้องชายคนสุดท้อง ก็ได้เป็นผู้สั่งสอนศิลปะแก่กษัตริย์ลิจฉวีอยู่ในนครเวสาลีนั้นนั่นเอง ส่วนพี่สาวทั้ง ๔ ถือกิ่งหว้าเที่ยวสัญจรไปตามนครต่าง ๆ เพื่อต้องการโต้ วาทะ ครั้นเดินทางมาจนถึงพระนครสาวัตถี จึงปักกิ่งหว้าไว้ใกล้ประตูพระนคร แล้วกล่าวแก่พวกเด็ก ๆ ว่า ผู้ใดจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ตาม ที่คิดว่าจะสามารถโต้วาทะสู้พวกเราได้ ผู้นั้นจงเอาเท้าเกลี่ยกองฝุ่นนี้ให้กระจายแล้วเหยียบกิ่งหว้าด้วยเท้านั่นแหละ ประกาศแล้วจึงพากันเข้าไปยังพระนครเพื่อหาอาหาร
    ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรกวาดที่ซึ่งยังไม่ได้กวาด ตักน้ำดื่มใส่หม้อเปล่า ปรนนิบัติภิกษุไข้ แล้วจึงเข้าไปบิณฑบาตในนครสาวัตถีเวลาสาย ท่านแลเห็นกิ่งหว้านั้น จึงถามเมื่อได้ความแล้วก็ให้พวกเด็กนั่นแหละล้มกิ่งหว้าเหยียบเสีย แล้วกล่าวแก่พวกเด็กว่า หากพวกคนผู้วางกิ่งหว้านี้ไว้นั้น ทำภัตกิจกลับมาแล้ว จงพาไปพบเราที่ซุ้มประตูพระวิหารเชตวัน สั่งแล้วก็เข้าไปยังพระนคร กระทำภัตกิจเสร็จแล้วได้ยืนอยู่ที่ซุ้มพระวิหาร
    ฝ่ายนางปริพาชิกาเหล่านั้นเที่ยวภิกษาแล้วกลับมา เห็นกิ่งหว้าถูกเหยียบย่ำจึงถามว่า ใครเหยียบย่ำกิ่งหว้านี้ พวกเด็กว่า พระสารีบุตรเถระเหยียบ และพูดว่า ถ้าท่านทั้งหลายต้องการโต้วาทะ จงไปยังซุ้มพระวิหาร นางปริพาชิกาเหล่านั้นจึงพากันกลับเข้าพระนครอีก ประกาศให้มหาชนมาประชุมกันแล้วไปยังซุ้มพระวิหาร ถามวาทะหนึ่งพันกะพระเถระ พระเถระได้วิสัชนาตอบวาทะเหล่านั้นทุกประการแล้วถามว่า พวกท่านรู้อะไรๆ อย่างอื่นอีกบ้าง ?
    นางปริพาชิกาเหล่านั้นกล่าวว่า ข้าแต่ท่าน พวกข้าพเจ้าไม่รู้อะไรอย่างอื่น
    พระเถระจึงพูดว่า เราจะถามอะไร ๆ กะพวกท่านบ้าง
    นางปริพาชิกาเหล่านั้นจึงว่า ถามเถิดท่าน เพื่อพวกข้าพเจ้ารู้ จักกล่าวแก้
    พระเถระจึงถามว่า เอกํ นาม กึ อะไรชื่อว่าหนึ่ง ?
    นางปริพาชิกาเหล่านั้นหาทราบไม่ พระเถระจึงวิสัชนาให้ฟัง นางปริพาชิกา เหล่านั้นจึงกล่าวว่า ข้าแต่ท่าน ความปราชัยเป็นของพวกข้าพเจ้า ชัยชนะเป็นของท่าน
    พระเถระจึงถามว่า บัดนี้ พวกท่านจักทำอย่างไร ?
    นางปริพาชิกาทั้งสี่จึงตอบว่า มารดาบิดาของพวกข้าพเจ้าได้ให้โอวาทนี้ไว้ว่า ถ้าคฤหัสถ์ทำลายวาทะของพวกเจ้าได้จงยอมเป็นภรรยาของเขา ถ้าบรรพชิตทำลายได้ก็จงพากันบวชในสำนักของบรรพชิตนั้น เพราะฉะนั้นท่านโปรดให้บรรพชาแก่พวกข้าพเจ้าเถิด
    พระเถระ กล่าวว่าดีแล้ว จึงให้นางบวชในสำนักของพระอุบลวรรณาเถรี ไม่นานนัก ทั้งหมดก็ได้บรรลุพระอรหัต
    อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งประชุมสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย พระสารีบุตรเถระเป็นที่พึ่งอาศัยของปริพาชิกาทั้งสี่ ให้ทุกนางบรรลุพระอรหัต พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน สารีบุตรก็ได้เป็นที่พึ่งอาศัยของปริพาชิกาเหล่านี้ แต่ในกาลบัดนี้ ได้บวชให้ ส่วนในปางก่อน ได้ตั้งปริพาชิกาเหล่านี้ไว้ในตำแหน่งมเหสีของพระราชา แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้ากาลิงคราชครองราชสมบัติอยู่ในพระนครทันตปุระ แคว้นกาลิงครัฐ พระราชาพระนามว่า อัสสกะ ครองราชสมบัติในนครโปตละ แคว้นอัสสกรัฐ พระเจ้ากาลิงคะทรงสมบูรณ์ด้วยรี้พลและพาหนะ แม้พระองค์เองก็มีกำลังดังช้างสาร ไม่เห็นผู้จะต่อยุทธ์ พระองค์เป็นผู้ประสงค์จะทรงกระทำการรบ จึงตรัสบอกแก่อำมาตย์ทั้งหลายว่า เรามีความต้องการจะทำการรบ แต่ไม่เห็นผู้จะต่อยุทธ์ เราจะกระทำอย่างไร
    อำมาตย์ทั้งหลายจึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช มีอุบายอยู่อย่างหนึ่ง พระราชธิดาทั้ง ๔ ของพระองค์ ทรงพระรูปโฉมอันงาม พระองค์โปรดให้ประดับตกแต่งพระราชธิดาเหล่านั้น แล้วให้นั่งในราชยานอันมิดชิด แวดล้อมด้วยรี้พล แล้วให้เที่ยวไปยังคามนิคม และราชธานีทั้งหลาย โดยป่าวร้องว่า พระราชาพระองค์ใดจักมีพระประสงค์จะรับเอาไว้เพื่อตน พวกเราจักทำการรบกับพระราชาพระองค์นั้น
    พระราชาจึงทรงให้กระทำอย่างนั้น ในสถานที่พระราชธิดาเหล่านั้นเสด็จไปแล้วๆ พระราชาทั้งหลายไม่ ยอมให้พระราชธิดาเหล่านั้นเข้าพระนครเพราะความกลัวภัย พากันส่งเครื่องบรรณาการออกไป แล้วให้ประดับอยู่เฉพาะภายนอกพระนคร พระราชธิดาเหล่านั้นเสด็จเที่ยวไปตลอดทั่วชมพูทวีปอย่างนี้ จนบรรลุถึงพระนครโปตละ แคว้นอัสสกรัฐ ฝ่ายพระเจ้าอัสสกะก็ทรงให้ปิดประตูพระนครแล้วทรงส่งเครื่องบรรณาการออกไปถวาย อำมาตย์ของพระเจ้าอัสสกะนั้น ชื่อว่านันทเสน เป็นบัณฑิตเฉลียวฉลาดในอุบาย นันทเสนอำมาตย์นั้นคิดว่า ข่าวว่า พระราชธิดาของพระเจ้ากาลิงคราชเหล่านี้ เสด็จเที่ยวไปทั่วชมพูทวีป ก็ไม่มีผู้จะต่อยุทธ์ด้วย แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ ชมพูทวีปก็ได้ชื่อว่าว่างจากนักรบ เราเองจักรบกับพระเจ้ากาลิงคราช นันทเสนอำมาตย์นั้นจึงไปยังประตูพระนคร แล้วเรียกคนรักษาประตูมาให้เขาเปิดประตูรับพระราชธิดาเหล่านั้น
    ครั้นแล้วอำมาตย์นันทเสนนั้น จึงให้เปิดประตูรับพระราชธิดาทั้ง ๔ นั้นไปถวายพระเจ้าอัสสกะ แล้วกราบทูลว่า พระองค์อย่าทรงเกรงกลัวเลย เมื่อมีการรบกัน ข้าพระองค์จักรับอาสา พระองค์โปรดทรงกระทำพระราชธิดาผู้ทรงพระรูปโฉมอันเลอเลิศเหล่านี้ให้เป็นพระอัครมเหสีเถิด พระเจ้าอัสสกะจึงอภิเษกพระราชธิดาเหล่านั้น แล้วส่งราชบุรุษผู้มากับพระราชธิดาเหล่านั้นกลับไป แล้วพูดว่า ท่านทั้งหลายจงกราบทูลพระราชาของท่าน ในเรื่องที่พระเจ้าอัสสกะราชทรงตั้งพระราชธิดาทั้ง ๔ ไว้ในตำแหน่งอัครมเหสี
    ครั้นเมื่อราชบุรุษเหล่านั้นไปกราบทูลให้ทรงทราบ พระเจ้ากาลิงคราช ทรงดำริว่า พระเจ้าอัสสกะนั้นชรอยจะไม่ทราบกำลังของเราแน่นอน จึงเสด็จไปด้วยกองทัพใหญ่ในขณะนั้นทันที เมื่อนันทเสนอำมาตย์ทราบการเสด็จยกทัพมาของพระเจ้ากาลิงคราช จึงส่งสาส์นไปว่า ขอพระเจ้ากาลิงคราชจงอยู่เฉพาะแต่ในรัฐสีมาของพระองค์ อย่าล่วงล้ำเข้ามาในรัฐสีมาแห่งพระราชาของข้าพระองค์ มิฉะนั้นการสู้รบจักมีระหว่างแคว้นทั้งสอง พระเจ้ากาลิงคราชทรงสดับสาส์นแล้วได้ทรงหยุดกองทัพไว้เฉพาะปลายพระราชอาณาเขตของพระองค์ ฝ่ายพระ เจ้าอัสสกราชก็ได้ทรงหยุดกองทัพเฉพาะปลายราชอาณาเขตของพระองค์เหมือนกัน
    ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์บวชเป็นฤๅษี อยู่ที่บรรณศาลาระหว่างอาณาเขตแห่งพระราชาทั้งสองนั้น พระเจ้ากาลิงคราชทรงพระดำริว่า ธรรมดาสมณะทั้งหลายย่อมจะรู้อะไรๆ ดี ใครจักมีชัยชนะหรือความปราชัยจักมีแก่ใคร เราจักถามพระดาบสดู จึงปลอมพระองค์เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ ไหว้แล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง กระทำปฏิสันถารแล้วถามว่า ท่านผู้เจริญ พระเจ้ากาลิงคะ กับพระเจ้าอัสสกะประสงค์จะรบกัน พากันตั้งทัพยันอยู่เฉพาะใน รัฐสีมาของตนๆ ในพระราชาทั้งสองพระองค์นั้น ใครจักมีชัยชนะ ใครจักปราชัยพ่ายแพ้
    พระดาบสโพธิสัตว์กราบทูลว่า ท่านผู้มีบุญมาก อาตมาภาพไม่ทราบว่า พระองค์โน้นชนะ พระองค์โน้นพ่ายแพ้ แต่ ท้าวสักกเทวราชเสด็จมาที่นี้ อาตมภาพถามท้าวสักกเทวราชนั้นแล้วจักบอกให้ทราบ พรุ่งนี้ท่านมาฟังเอาเถิด
    ครั้นเมื่อท้าวสักกะเสด็จมาสู่อาศรมของพระโพธิสัตว์แล้วประทับนั่ง ทีนั้น พระโพธิสัตว์จึงทูลถามเนื้อความกะท้าวสักกเทวราช ท้าวเธอจึงตรัสทำนายว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระเจ้ากาลิงคราชจักมีชัย พระเจ้าอัสสกะจักปราชัย และจะมีบุรพนิมิตเช่นนี้ เช่นนี้ปรากฏ
    ในวันรุ่งขึ้น พระเจ้ากาลิงคราชเสด็จมาถาม พระโพธิสัตว์ก็ทูลความแก่พระเจ้ากาลิงคราชนั้น พระเจ้ากาลิงคราชไม่ตรัสถามเลยว่า บุรพนิมิตเช่นไรจักปรากฏ ทรงหลีกลาไปด้วยพระทัยยินดีว่า ท่านว่าเราจักชนะ เรื่องนั้นได้แพร่ไปแล้ว
    พระเจ้าอัสสกะได้ทรงสดับเรื่องนั้นจึงรับสั่งให้เรียกอำมาตย์นันทเสนมา แล้วรับสั่งว่า เขาว่าพระเจ้ากาลิงคราชจักชนะ เราจักพ่ายแพ้ เราควรจะทำอย่างไรกัน
    นันทเสนอำมาตย์นั้นกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ใครจะทราบข้อนั้นได้ ชัยชนะหรือความปราชัยจักเป็นของใคร ขอพระองค์อย่าทรงคิดไปเลย
    ครั้นกราบทูลเอาพระทัยพระราชาแล้ว ก็ได้เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ ไหว้แล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง ถามพระโพธิสัตว์ว่า ท่านผู้เจริญ ใครจักชนะ ใครจักแพ้
    พระโพธิสัตว์กล่าวว่า พระเจ้ากาลิงคะจักชนะ พระเจ้าอัสสกะจักแพ้
    อำมาตย์นันทเสนถามว่า ท่านผู้เจริญ บุรพนิมิตอะไรจักมีแก่ผู้ชนะ บุรพนิมิตอะไรจักมีแก่ผู้แพ้ พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ท่านผู้มีบุญมาก อารักขเทวดาของผู้ชนะจักเป็นโคผู้ขาวปลอด อารักขเทวดาของผู้แพ้จักเป็นโคผู้ดำปลอด อารักขเทวดาแม้ของทั้งสองฝ่ายรบกันแล้ว ความมีชัยและปราชัยจักปรากฏ
    นันทเสนอำมาตย์ได้ฟังดังนั้น จึงลุกขึ้นลาไป พาทหารใหญ่ประมาณพันคนผู้เป็นสหายของพระราชา ขึ้นไปยังภูเขาในที่ไม่ไกลนัก แล้วถามว่า ผู้เจริญทั้งหลาย พวกท่านจักอาจเพื่อถวายชีวิตแก่พระราชาของพวกเราได้หรือไม่
    ทหารใหญ่เหล่านั้นกล่าวว่า พวกเราจักสามารถถวายได้
    นันทเสนอำมาตย์กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นพวกท่านจงโดดลงไปในเหวนี้
    ทหารใหญ่เหล่านั้นได้เตรียมจะโดดลงเหว นันทเสนอำมาตย์จึงห้ามทหารใหญ่เหล่านั้นแล้วกล่าวว่า อย่าโดดลงเหวนี้เลย ท่านทั้งหลายเป็นผู้มีขวัญดี ไม่ถอยหลัง ช่วยกันรบเพื่อถวายชีวิตแก่พระราชาของเรา ทั้งหลายเถิด
    ทหารใหญ่เหล่านั้นรับคำแล้ว ครั้นเมื่อสงครามประชิดกัน พระเจ้ากาลิงคราชทรงวางพระทัยว่า นัยว่าเราจักชนะ แม้หมู่พลนิกายของพระองค์ก็พากันวางใจว่า เขาว่าพวกเราจักมีชัยชนะ จึงไม่ทำการผูกสอดเครื่องรบให้มั่นคง ไม่รวมกันเป็นพรรคเป็นพวก พากันหลีกไปตามความชอบใจ ในเวลาที่ควรจะกระทำความเพียรพยายามก็ไม่ทำ
    ฝ่ายพระราชาทั้งสองพระองค์เสด็จขึ้นทรงม้าเข้าไปหากันและกันด้วยหมายมั่นว่า จักต่อยุทธ์ อารักขเทวดาของพระราชาทั้งสองออกไปข้างหน้า อารักขเทวดาของพระเจ้ากาลิงคะเป็นโคผู้ขาวปลอด อารักขเทวดาของพระเจ้าอัสสกะ เป็นโคผู้ดำปลอด โคผู้แม้เหล่านั้นแสดงอาการต่อสู้เข้าไปหากันและกัน ก็โคผู้เหล่านั้นย่อมปรากฏเฉพาะแก่พระราชาทั้งสองเท่านั้น ไม่ปรากฏแก่คนอื่น
    อำมาตย์นันทเสนทูลถามพระเจ้าอัสสกะว่า ข้าแต่มหาราช อารักขเทวดาปรากฏแก่พระองค์แล้วหรือยัง
    พระเจ้าอัสสกะตรัสว่า เออปรากฏ
    นันทเสนถามว่า ปรากฏโดยอาการอย่างไร
    พระเจ้าอัสสกะตรัสว่า อารักขเทวดาของพระเจ้ากาลิงคะปรากฏ เป็นโคผู้ขาวปลอด อารักขเทวดาของเราปรากฏเป็นโคผู้ดำปลอด
    นันทเสนอำมาตย์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์อย่าทรงเกรงกลัวเลย พวกเราจักชนะ พระเจ้ากาลิงคะจักพ่ายแพ้ พระองค์จงเสด็จลงจากหลังม้า ทรงถือพระแสงหอกนี้ เอาพระหัตถ์ซ้ายแตะด้านท้องม้าสินธพ แล้วรีบไปพร้อมกับบุรุษพันคนนี้ เอาหอกประหารอารักขเทวดาของพระเจ้ากาลิงคะให้ล้มลง ต่อแต่นั้น พวกข้าพระองค์ประมาณหนึ่งพัน จักประหารด้วยหอกพันเล่ม เมื่อทำอย่างนี้ อารักขเทวดาของพระเจ้ากาลิงคะจักฉิบหาย จากนั้นพระเจ้า กาลิงคะจักพ่ายแพ้ พวกเราจักชนะ
    พระราชาทรงรับว่าได้ แล้วเสด็จ ไปเอาหอกแทงตามสัญญาณที่นันทเสนอำมาตย์ถวายไว้ ฝ่ายอำมาตย์ทั้งหลายก็แทงด้วยหอกพันเล่ม อารักขเทวดาของพระเจ้ากาลิงคะก็ถึงแก่ความตาย ณ ที่นั้นนั่นเอง
    ทันใดนั้น พระเจ้ากาลิงคะก็ทรงพ่ายแพ้เสด็จหนีไป อำมาตย์ทั้งหลายพันคนเห็นพระเจ้ากาลิงคะเสด็จ หนีไปก็พากันโห่ร้องว่า พระเจ้ากาลิงคราชหนี พระเจ้ากาลิงคะทรงกลัวต่อมรณภัยเสด็จหนีไป
    พระเจ้ากาลิงคราชนั้นก็เสด็จหนีไปยังพระนครของพระองค์ ไปอาจที่จะเหลียวมามองดู แต่นั้น เมื่อล่วงไป ๒ - ๓ วัน ท้าวสักกะได้เสด็จมายังอาศรมของพระดาบส พระดาบสเมื่อจะทูลกับท้าวเธอ จึงกล่าวคาถาว่า :
    ข้าแต่ท้าวสักกะ เทวดาทั้งหลายยังประพฤติล่วงมุสาวาทอีกหรือ
    พระองค์ควรกระทำถ้อยคำให้จริงแท้แน่นอนมิใช่หรือ
    ข้าแต่ท้าวมัฆวาฬผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน
    พระองค์ทรงอาศัยเหตุอะไรหรือ จึงได้ตรัสมุสา
    ท้าวสักกะทรงสดับดังนั้นจึงตรัสคาถาว่า :
    ดูก่อนพราหมณ์ เมื่อชนทั้งหลายพูดกันอยู่
    ท่านก็เคยได้ยินแล้วมิใช่หรือว่า
    เทวดาทั้งหลายย่อมเกียดกันความพยายามของลูกผู้ชายไม่ได้
    ความข่มใจ ความตั้งใจแน่วแน่ ความไม่แตกสามัคคีกัน
    ความไม่แก่งแย่งกัน การรุกในกาลควรรุก
    ความเพียรมั่นคง และความบากบั่นของลูกผู้ชาย ( มีอยู่ในพวกพระเจ้าอัสสกะ )
    เพราะเหตุนั้นแหละ ชัยชนะจึงมีแก่พวกพระเจ้าอัสสกะ
    ก็แหละเมื่อพระเจ้ากาลิงคราชหนีไปแล้ว พระเจ้าอัสสกราช ให้กวาดต้อนเชลยและยุทธภัณฑ์ แล้วเสด็จไปยังพระนครของพระองค์ อำมาตย์นันทเสนส่งสาส์นไปถวายพระเจ้ากาลิงคราชว่า พระองค์จงส่งส่วนทรัพย์มรดกไปถวายพระราชธิดาทั้ง ๔ พระองค์นี้ ถ้าไม่ทรงส่งไป พวกเราจักทำกิจที่จำเป็นจะต้องทำในเรื่องนี้ พระเจ้ากาลิงคราช ได้ทรงสดับข่าวสาสน์นั้นแล้ว ทั้งกลัวทั้งสะดุ้งหวาดเสียว จึงส่งพระ ราชทรัพย์มรดกที่พระราชธิดาเหล่านั้นจะพึงได้ไปประทาน นับแต่นั้นมา พระราชาทั้งสองก็อยู่อย่างสมัครสมานกัน
    พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้วจึงทรงประชุมชาดกว่า พระราชธิดาของพระเจ้ากาลิงคราชในกาลนั้น ได้เป็นภิกษุณีสาวเหล่านี้ ในบัดนี้ อำมาตย์นันทเสนในครั้งนั้น ได้เป็น พระสารีบุตรในบัดนี้ ส่วนดาบสในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล

    ที่มาจาก
    http://www.dharma-gateway.com/buddha/buddha-main-page.htm
    <!-- / message -->
     
  4. ศิษโมกคัลลานะ

    ศิษโมกคัลลานะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,317
    ถ่ายเล่นครับ

    DSCF0001_resize.JPG DSCF0002_resize.JPG DSCF0003_resize.JPG DSCF0004_resize.JPG
    DSCF0005_resize.JPG DSCF0006_resize.JPG DSCF0007_resize.JPG DSCF0008_resize.JPG
    DSCF0009_resize.JPG DSCF0010_resize.JPG DSCF0011_resize.JPG DSCF0012_resize.JPG
    DSCF0013_resize.JPG DSCF0014_resize.JPG DSCF0015_resize.JPG DSCF0016_resize.JPG
    DSCF0017_resize.JPG DSCF0018_resize.JPG DSCF0019_resize.JPG
    เพื่อเห็นไรดีๆ (อธิฐานอยากได้รูปลอยพระบาท) ไม่รู้มีมั่งป่าว
     
  5. ศิษโมกคัลลานะ

    ศิษโมกคัลลานะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,317
    สวยดีครับ

    DSCF0001.JPG DSCF0006.JPG
     
  6. ซังกุงเอ๋

    ซังกุงเอ๋ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +2,410
    คุณของศีล (version ละเอียดมากค่ะ )

    คุณของศีล ตอน 1[​IMG][​IMG]

    ขออันเชิญโอวาทของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ จากหนังสือ โอวาทหลวงพ่อ ฯ เล่ม 5 หน้า 3 มาให้ทุกคนได้อ่านกันนะคะ[​IMG][​IMG]

    มองดูศีล ๕ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ลำบากเล่น ๆ
    หรือว่ามันมีผลดี มองดู
    [​IMG] ประการที่หนึ่ง การไม่เป็นศัตรูซึ่งกันและกัน เพราะอารมณ์เมตตาความรักที่เรา
    เห็นหน้ากัน ยิ้มแย้มแจ่มใสกันซึ่งกันและกัน อันนี้มันสุขหรือมันทุกข์ มองปัจจุบัน
    [​IMG] ประการที่สอง ถ้าเราไม่ลัก ต่างคนต่างไม่ลักไม่ขโมยทรัพย์สินซึ่งกันและกัน
    ต่างเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน นี่มันเป็นที่รักของคน หรือเป็นที่น่าเกลียดชัง นึกดูว่า
    เป็นอารมณ์ของความสุขหรือความทุกข์
    [​IMG] ประการที่สาม กาเมสุมิจฉาจาร การที่ยื้อแย่งความรักของบุคคลอื่นน่ะ ความรัก
    คู่ครองมันจะสวยสดงดงามกันอยู่ตลอดสมัยก็เปล่า เดี๋ยวก็มีทรุดโทรม และเรื่อง
    ความรักระหว่างเพศนี่ก็เป็นเรื่องสาธารณะ ที่ไหนก็มีถมเถไป ทำไมต้องไปแย่ง
    คนรักเขา ถ้าเราไปแย่งคนรักเขา เขาจะเกลียดเราหรือรักเรา เอาใจเราเป็นที่ตั้ง
    [​IMG] ประการที่สี่ พระพุทธเจ้าทรงแนะนำ พูดจริงนะอย่าโกหกกันเราเกลียดคนโกหกฉันใด
    เขาก็เกลียดโกหก ในเมื่อเราไม่โกหก ก็เป็นที่รักของเขา
    [​IMG] ประการที่ห้า เราไม่ดื่มน้ำเมา น้ำเมานี่มันสร้างคนให้เป็นคนบ้า ทำไมเราชอบ
    บ้าไหมละ ถ้าชอบบ้าก็กินมันไป น้ำเมาน่ะ บ้าเพราะมันบ้าจริง ๆ นะ ดีกว่าบ้าเพราะ
    ความเมา
    นี่เป็นอันว่าเรานั่งพิจารณาศีลห้าข้อว่า ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนดีหรือไม่ดี ถ้าไม่ดี
    ก็มีหวังลงนรกแน่ เป็นอันว่าดีหรือไม่ดีต้องใช้ปัญญา ถ้าคนมีปัญญาก็ต้องเห็นว่าดี


    โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ:cool: :cool: :cool: :cool:
     
  7. sravnane

    sravnane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    695
    ค่าพลัง:
    +17,914
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบุชาฯ

    [​IMG]
    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ ขออาราธนาบารมีพระทุกพระองค์ ของน้อมถวายบุญสร้างพระพุทธรูปที่ได้สร้างถวายเป็นพุทธบูชาฯ ทั้งหมดชีวิตนี้(ขออภัยจำจำนวนพระที่สร้างไม่ได้แล้ว) ถวายร่วมโมทนาบุญทั้งหมดในพระพุทธศาสนาร่วมกับพระพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ อันมีสมเด็จองค์ปฐมเป็นต้น พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหมด พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์และพรหมเทพเทวาทั้งหลายที่ได้ปกปักรักษาพระศาสนาฯ ขอทุกพระองค์และทุกท่านได้โปรดโมทนาและรับซึ่งผลบุญนี้ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองตั้งมั่นแห่งพระพุทธศาสนาตลอดกาลนานเทอญฯ
    ปล.อธิษฐานโมทนากันตามอัธยาศรัยเลยครับ สาธุ
    :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool:
     
  8. jaggrit

    jaggrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +3,793
    พระพุทธองค์โปรดบุพพการี พระนางมาคัณฑิยา

    พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
    ข้าพเจ้าขอกราบขอขมาต่อพระรัตนมณีโชติ ขอน้อมจิตอารธนาบารมีขององค์สมเด็จพระภัควันต์ อันมีสมเด็มพระองค์ปฐมเป็นต้น พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหมด พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบ ๆ กันมา อันมีหลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นที่สุด

    ขอพระเจ้าขอน้อมโมทนาบุญกุศลทั้งหมดของทุกท่านที่ได้ทำถวายแด่พระพุทธศาสนา อันไม่มีประมาณแล้วนั้น จงดลบันดาลให้พระพุทธศาสนาได้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยเถิด

    ข้าพเจ้าจักขอนำเรื่องราวอันประเสริฐของพระพุทธเจ้าซึ่งเกี่ยวข้องกับรอยพระพุทธบาทมาร้อยเรียงให้ทุกท่านได้สดับ เพื่อบังเกิดพุทธานุสติกรรมฐาน และก่อปิติแก่จิตอันงามของทุกท่านเถิด

    ณ.บ้านพราหมณ์หลังหนึ่งภายนอกนครโกสัมพีนี้ ได้มีบุตรสาวอันเลอโฉมงดงามเป็นที่โจกขานไปทั่วทั้งใกล้และไกล ความงามของนางเป็นที่ตราตรึงของบุคคลที่ได้พบเห็นยิ่งนัก จนกระทั่งถ้าบ้านใดมีบุตรคลอดออกมาเป็นหญิง ก็จะอวยพรกันว่า ขอให้เจริญวัยขึ้นมีรูปงามดั่งบุตรีของบ้านพราหมณ์ดังกล่าว อันมีนามว่า มาคัณฑิยา

    ด้วยความงามของนาง จึงกลายเป็นที่ใฝ่ฝันของบุรุษทั้งหลาย มีตั้งแต่ชายหนุ่มจนกระทั่งชายมีอายุที่ตกพุ่มหม้าย ต่างพากันมาสู่ขอต่อบิดาของนางเพื่อเป็นภรรยา แต่บิดาของนางมิได้ตัดสินใจยกบุตรสาวของตนให้แก่ผู้ใด ด้วยว่ายังไม่เล็งเห็นผู้ใด ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมดังที่กำหนดไว้ในใจนั่นเอง
    วันหนึ่งสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จผ่านมาทางบ้านพราหมณ์นี้ พราหมณ์ผู้บิดาได้เห็นแล้วก็ชื่นชมในความสง่างามของพระพุทธองค์ รำพึงในใจว่า โอ้หนอ...ตั้งแต่เราเกิดมา ยังมิเคยเห็นผู้ใดที่มีความสง่างามดุจสมณะรูปนี้เลย ดูแล้วบุตรสาวของเราช่างเหมาะสมควรคู่กับสมณะท่านนี้เสียจริงๆ
    อย่ากระนั้นเลย เรายกนางให้แก่สมณะท่านนี้เถิด คิดดังนั้นแล้วจึงร้องขึ้นว่า [​IMG]
     
  9. WORLD

    WORLD เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2006
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +1,545
    เลี้ยงส่งพี่สมชาย

    ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพและอย่าลืมบุญที่ทำมา ให้หมั่นสวดมนต์ทำสมาธิ พยายามนึกถึงพระบ่อยๆ โดยเฉพาะตอนที่มีทุกข์ ตอนมีความสุขก็อย่าลืมนึกถึงพระเหมือนกันนะ ขอให้มีความสุขมากๆนะ ทนไม่ไหวก็ขอให้กลับมาบ้านเรา แค่นี้นะ
    (bb-flower (b-oneeye) (bb-flower
     
  10. กิติยา9

    กิติยา9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +118
    Have a safe and happy jurney

    เนื่องในโอกาสที่พี่สมชายต้องเดินทางไปพำนัก ณ อียิปต์ เป็นเวลาแรมปี ก็ขอให้พี่สมชายดำเนินงานได้บรรลุจุดมุ่งหมาย ความมุ่งหวังอื่นๆก็ขอให้สมหวังด้วยเช่นกัน

    อย่าลืมนึกถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ไว้เสมอจะได้มีที่พึ่งเพื่อตนเอง และดวงจิตอื่นๆแถวๆนั้น

    โชคดีครับ กลับมาแล้ว อย่าลืมมาตลุยทริปด้วยกันอีก
    (bb-flower (bb-flower
     
  11. ao.angsila

    ao.angsila เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,332
    ค่าพลัง:
    +26,683
    พระแม่กวนอิมท่านสงเคราะห์ กลางวันแสกๆ

    เมื่อเช้านี้ตื่นมาเสร็จเรื่องสวดคาถาเงินล้าน(สวดเป็นปกติ) (แต่ทุกครั้งผมจะต้องทำสมาธิทุกวันแต่วันนี้นอนตื่นสายมากแล้วผมจึงรีบไป อาบน้ำ แต่งตัวออกจากบ้าน และเปิดร้านฯ พอเปิดร้านเสร็จผมเริ่มทำความสะอาดโต๊ะหมู่บูชาฯ (พรุ่งนี้วันไหว้ของคนจีนแล้วต้องสวยหน่อย)ถวายดอกบัวพระฯ และเปิดบทสวดมนต์บูชาพระแม่ฯ จนแผ่นเล่นซีดีนี้หยุดไปแล้ว(แต่เครื่องยังเปิดอยู่) ต่อจากนั้นผมได้อารธนาพระแม่ฯมาทำน้ำมนต์และขอให้ท่านเสด็จมาปะพรมน้ำมนต์ โดยผมจับภาพพระแม่ตลอดทำน้ำมนต์ และพรมน้ำมนต์สินค้าที่จะขายด้วย เสร็จผมก็นำขันน้ำมนต์พร้อมด้วยกิ่งหลิวและก้านทับทิมวางไว้หน้าโต๊ะหมู่บูชาพระฯ และได้ยกมีพนมกราบขอขอบพระคุณพระแม่ ทันใดนั้นแผ่นซีดีที่มันได้หยุดเล่นไปนานมากแล้วกลับเล่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเป็นบทบูชาพระแม่กวนอิม ผมจึงไปถามว่าใครได้กดปุ่มเล่นซีดีบ้างทุกคนต่างตอบว่าไม่ได้กดครับและต่างคนต่างอยู่คนละที่กันครับ(ผมนึกว่าใครแกล้งผมหรือเปล่า) เครื่องเล่นซีดีก็อยู่ใกล้ผมและผมก็เห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นนอกจากผม และผมก็ไม่ได้กดเล่นเอง
    ผมจึงคิดว่าหน้าจะเป็นพระแม่ฯ แน่นอน....(verygood) (bb-flower ท่านคงมาสงเคราะห์เองจริงๆผมเชื่อครับ
    มันเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับผมมากเลยนำมาเขียนเป็นเรื่องเล่าให้ทุกท่านได้อ่าน ถ้าใครมีประสบการณ์ ที่เกิดขึ้นกับคุณ(เกี่ยวกับพระฯท่านสงเคราะห์ ในเรื่อง,สอนสมาธิ,สอนวิปัสสนา และอื่นๆ เป็นต้น) ในเรื่องทางฝันหรือไปอยู่ในเหตุการณ์ต่างๆ (ที่น่าสนใจและเป็นประโยนช์ต่อเพื่อนธรรมทั้งหลาย) ขอให้พิมพ์เป็นเรื่องเล่าให้ทุกท่านได้อ่านและโมทนาบุญ เพื่อเจริญศรัทธาในพระศาสนายิ่งๆขึ้นไปครับ(i) (i) (i) (i)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2007
  12. สุริยทรงศีล

    สุริยทรงศีล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +1,873

    ขอร่วมโมทนบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯขอบารมีพระทุกพระองค์จงปกป้องคุ้มครองท่านและข้าพเจ้าให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญฯ

    <O:pพี่ sravnane ครับ วันนี้หลังจากผมทำงานเสร็จประมาณ 15.30 น ผมก็กลับมาที่ห้อง มาโมทนาบุญในเว็ปพลังจิต และได้กดโมทนา ข้อความที่ผมอ้างอิงนี้ด้วย ผมมองดูภาพเพียงครั้งเดียว อ่านแล้วกดโมทนา หลังจากนั้นก็นอนพักภาวนาไปเรื่อย ในที่สุดผมก็หลับฝันว่าเห็นภาพดังที่อ้างอิงมา แต่มีแสงสว่างมากและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนทั้งภาพหายไปในที่สุด ผมมีความสุขมาก เลยอยากเล่าให้ทุกท่านฟัง</O:p>
    <O:p>ครับ สาธุ สาธุ สาธุ</O:p>
    <O:p>(f) (f) (f) </O:p>
    <O:p></O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2007
  13. ศิษโมกคัลลานะ

    ศิษโมกคัลลานะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,317
    ข้อความเดิมโดยคุณ noi ครับ

    .......ตรุษจีนนี้ร่วมกันสร้าง มณฑปพระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่ที่สุด วัดไตรมิตร**********
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->[​IMG]วัดไตรมิตรฯเปิดตัว มณฑป"หลวงพ่อทองคำ"งบก่อสร้างกว่า 600 ล้าน
    [​IMG] <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE borderColor=#88b5ef cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" borderColorLight=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=3 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG] ความงดงามแห่งเนื้อทองบริสุทธิ์ขององค์พระปฏิมาจึงปรากฏให้เห็น
    [​IMG]เมื่อวันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมา พระพรหมเวที (สนิท ชวนปญฺโญ ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม กรุงเทพฯ พร้อมด้วยพระเทพภาวนาวิกรม (เจ้าคุณธงชัย) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส เฝ้ารับเสด็จฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และในวันที่ 30 ม.ค. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ซึ่งพระองค์ได้เสด็จเนื่องในเทศกาลตรุษจีนเยาวราช

    ในวันดังกล่าวทางวัดไตรมิตรฯ ได้ทูลเกล้าถวาย "พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร" และได้ทูลเชิญทอดพระเนตร "โมเดลมณฑปหลังใหม่" ซึ่งจะใช้เป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ "หลวงพ่อทองคำ" องค์ใหญ่ของวัดไตรมิตรฯ

    ประวัติความเป็นมาของพระพุทธรูปองค์นี้ เดิมถูกหุ้มด้วยปูน ซึ่งได้ถูกอัญเชิญมาจากวัดพระยาไกรตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 เจ้าอาวาสวัดไตรมิตร นำพระพทธรูปปูนองค์นี้มาประดิษฐานที่ข้างเจดีย์ใหญ่ ปลูกโรงสังกะสีคลุมไว้ แล้วได้บอกให้วัดอื่นๆ นำไปเป็นพระประธาน แต่ไม่มีวัดใดต้องการเพราะเป็นพระพุทธรูปปูนที่ไม่สวยงาม <TABLE style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px dotted; BORDER-TOP: #ffffff 1px dotted; BORDER-LEFT: #ffffff 1px dotted; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px dotted" cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=1><TBODY><TR bgColor=#ffe9ff><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    เมื่อคราวที่สร้างพระวิหารเสร็จแล้ว กำลังอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐาน ปูนที่ส่วนพระหัตถ์กระเทาะออกจนเห็นว่ามีองค์พระที่ทำด้วยทองคำอยู่ข้างใน จึงได้ทราบความจริงว่าเป็น "พระพุทธรูปทองคำ" ที่งดงาม

    สำหรับประวัติวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เดิมเรียกว่า "วัดสามจีนใต้" เดิมตั้งอยู่บนที่ลุ่มมีสระคูคลองตื้นเขิน มีเสนาสนะสร้างด้วยไม้ พระอุโบสถที่ชำรุดทรุดโทรม ต่อมาเมื่อปีพ.ศ.2477 พระมหากิ๊ม สุวรรณชาติ ซึ่งเป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาสในขณะนั้น ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่งประกอบด้วยคฤหัสถ์และบรรพชิต เพื่อดำเนินการปรับปรุงพื้นที่และเสนาสนะต่างๆ

    แต่โครงการยังไม่ได้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์ก็ต้องหยุดชะงักลง <TABLE style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px dotted; BORDER-TOP: #ffffff 1px dotted; BORDER-LEFT: #ffffff 1px dotted; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px dotted" cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=2><TBODY><TR bgColor=#ffffe8><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ต่อมาปลายพ.ศ.2480 สมเด็จพระวันรัต เขมจารี วัดมหาธาตุ พระนคร ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะแขวงล่างเป็นประธานส่งเสริมปรับปรุงวัดนี้ให้เป็นไปตามโครงการอีกครั้ง ซึ่งในขณะนั้น พระมหาเจียม กมโล เปรียญ 5 ประโยค นักธรรมเอก เป็นผู้รักษาการในตำแหน่งเจ้าอาวาส เป็นกำลังในฝ่ายบรรพชิต โดยมี พระมหาไสว ฐิตวีโร พระเงิน ธมฺมโชติ และพระชื่น เป็นผู้ช่วย ฝ่ายคฤหัสถ์มี น.อ.หลวงศุภชลาศัย ร.น.อธิบดีกรมพลศึกษา เป็นประธาน

    ได้ดำเนินการปรับพื้นที่ถมคูและสระ จัดการก่อสร้างกุฏิตึก 2 ชั้น 14 หลัง และได้ประสานงานกับกรมศึกษาธิการในขณะนั้น ได้จัดสร้างโรงเรียนตึกคอนกรีต 3 ชั้น 2 หลัง พร้อมตึกทดลองวิทยาศาสตร์ 1 หลัง เป็นสถานที่ศึกษาของเด็ก

    วันที่ 3 ก.พ.2442 ได้ทำพิธีเปิดป้ายวัด สมเด็จพระวันรัต จึงได้เปลี่ยนชื่อวัดใหม่เพื่อเชิดชูเกียรติของผู้สร้างและอุปถัมภ์

    วัดนี้เดิมชื่อ "วัดสามจีน" เข้าใจกันว่าชาวจีน 3 คนเป็นผู้สร้างเป็นวิหารทานการบุญใหญ่ ต่อมาเป็นที่ตั้งสำนักเรียนวินัยและบาลี ทั้งเป็นที่ตั้งโรงเรียนระดับประถมถึงมัธยมชั้นสูง จึงตั้งนามวัดใหม่ว่า "วัดไตรมิตรวิทยาราม" และเปลี่ยนนามโรงเรียนมัธยมวัดสามจีนใต้ใหม่ว่า "โรงเรียนวัดไตรมิตรวิทยาลัย"

    สิ่งที่ดึดดูดความศรัทธาทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้มาเยี่ยมชมวัดไตรมิตรวิทยาราม ก็คือ พระพุทธรูปทองคำองค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก "พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร หรือ พระพุทธรูปสุโขทัยไตรมิตร" ประดิษฐานอยู่ที่มณฑปหลังเก่า ซึ่งเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย ปางมารวิชัย

    ในเวลาอันใกล้นี้กำลังจะได้มณฑปหลังใหม่ที่มีความงดงามยิ่ง





    </TD></TR></TBODY></TABLE>http://www.wattraimit.com/goldthai.asp</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. ศิษโมกคัลลานะ

    ศิษโมกคัลลานะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,317
    โพสเล่นๆเล่าสู้กันฟังครับ(อาจจะไร้สาระนะครับ)

    วันนี้เก็บห้องเจอเม็ดหินคล้ายรูปรอยพระนั่งครับ จริงๆเจอตั้งนานแล้วแต่ตอนนั้นไม่ได้สนใจว่าเป็นรูปอะไรเห็นเป็นหินธรรมดา เจอครั้งแรกอยู่บนที่นอนครับ
    ก็หยิบขึ้นมาดูหินไรหว่าใครเล่นของป่าวว๊ะมาอยู่บนที่นอนได้ไงเนี่ยเลยสงสัยว่าจาติดกับกางเกงยีนมาเพราะกางเกงมานพับปลายกางเกงอาจะกะเด็นเข้ามาก็ได้ก็ไม่สนใจวางไว้บนโต๊ะหลังจากวันนั้นก็ลืมไปเลยหายไปไหนไม่รู้จนมาเจออีกทีวันนี้อะครับ
    พักหลังก็นั่งทำสมาธิทุกวันวันละประมาณชั่วโมง2ชั่วโมงไม่ได้จับเวลาตามที่จะทำได้ แต่ไม่รู้ทำไมอยากได้รอยพระพุทธบาทมากราบไว้บูชา(อยากให้ท่านมาเหยียบไว้ให้เลยอะ แบบว่าในห้องเลยอะไรประมาณเนี่ย) ดูอะไรก็จะให้เป็นรอยพระบาทหมด ก้อนเมฆก็อธิฐานให้เห็นเป็นรูปรอยพระพุทธบาท ไปไหนก็อยากให้เจอรอยพระพุทธบาท แล้วก็อยากให้พระบรมธาตุท่านเสด็จมา ก็คอยดูว่าเมื่อไหร่ท่านจะเสด็จมาเพิ่มซะทีน้า ก็ทำดีนั่งสมาธิ หย่อนบาตรทุกวัน
    ล่าสุดตอนนั่งสมาธิมีอะไรไม่รู้ครับหล่นใส่ลงมาในคอเสื้อแล้วก็ไหลลงไปตามตัวลงไปที่ตัก ขนาดประมาณเมล็ดข้าว ก็เลยลองคลำหาดูแต่ไม่เจอ ผมก็ลองคิดว่าก้อนอะไรนะ ขี้จิ๊งจกรึปล่าว แต่ตรงตู้บนหัวที่ผมทำสมาธิมานไม่น่าจะมีจิ้งจกอยู่ อีกอย่างตอนนั่งสมาธิผมเอาผ้าห่มคลุมตัวไว้จนถึงไหล่ก็ไม่น่าจะมีอะไรเข้ามาในคอเสื้อได้ก็เลยคิดว่าเป็นพระบรมธาตุเสด็จมารึเปล่าก็ไม่รู้นะครับ(คิดเข้าข้างตัวเองนิดนึง) สาธุๆ ขอให้ท่านมาจริงๆด้วยเทิด อิอิ
    ด้านหน้า
    DSCF0002.JPG
    ด้านหลัง
    DSCF0003.JPG
    รูปนี้รังมดหน้าห้องครับ(รูปดอกบัว)
    [b-wai] [b-wai] [b-wai] [b-wai] [b-wai]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF0024.JPG
      DSCF0024.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      48
  15. ศิษโมกคัลลานะ

    ศิษโมกคัลลานะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,317
    ข้อความเดิมโดยคุณ toya ครับ

    วิธีห้ามจิตไม่ให้คิดอกุศล
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ธรรมชาติของจิต ไม่ชอบอยู่นิ่ง ชอบนึกคิดไปต่างๆ นานาเช่น นึกคิดไปในทางกามบ้าง นึกคิดไปในทางอาฆาตพยาบาทบ้าง การนึกคิดในทางที่ไม่ดีเช่นนี้เรียกว่าอกุศลวิตกการห้ามจิตไม่ให้นึกคิดในทางอกุศลนั้น ทำได้ยากบุคคลส่วนมากไม่ต้องการคิดในทางอกุศล แต่มักจะอดคิดไม่ได้คิดจนนอนไม่หลับหรือเป็นโรคประสาทก็มี ตรงกันข้ามเมื่อต้องการคิดเรื่องที่เป็นบุญเป็นกุศล มักจะคิดในทางกุศลไม่ได้นานการห้ามจิตไม่ให้คิดอกุศลจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ในที่นี้จะได้กล่าวถึงวิธีห้ามจิตไม่ให้คิดอกุศล 5 วิธีด้วยกัน

    (1)
    เมื่อใส่ใจในอารมณ์ใดอยู่ อกุศลวิตกเกิดขึ้น ก็ให้ใส่ใจอารมณ์อื่นที่เป็นกุศลและเป็นคู่ปรับกันเช่น เมื่อนึกคิดไปในทางราคะ ก็ให้หันมาเจริญอสุภสัญญา พิจารณาว่าร่างกายนี้เป็นของเน่าเปื่อยไม่สะอาด มีของโสโครกไหลออกอยู่เนืองๆจะหาสิ่งที่เป็นแก่นสาร หรือสิ่งประเสริฐในกายนี้ไม่ได้เลยเมื่อมาใส่ใจอารมณ์อื่นที่เป็นกุศล คือ อสุภสัญญา ย่อมละราคะนี้ได้ถ้าโลภอยากได้ข้าวของเงินทองต่างๆก็ให้พิจารณาว่าทรัพย์สมบัติเหล่านั้นเป็นของกลางสำหรับแผ่นดินไม่มีใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง เป็นเพียงของยืมมาใช้ชั่วคราวตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ ต้องทิ้งไว้ในโลกให้คนอื่นใช้ต่อไปเมื่อมาใส่ใจเรื่องอื่นที่เป็นกุศล คือความไม่มีเจ้าของและเป็นของชั่วคราว ย่อมละความโลภในทรัพย์สมบัติได้ถ้านึกคิดไปในทางเบียดเบียนด้วยอำนาจโทสะก็พึงเจริญเมตตาด้วยการระลึกถึงพุทธพจน์ ที่เป็นไปเพื่อคลายความอาฆาต เช่นพุทธพจน์ในกกจูปมสูตร (12/272) ที่ว่า

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลายหากจะมีพวกโจรผู้มีความประพฤติต่ำช้าเอาเลื่อยที่มีที่จับทั้งสองข้างเลื่อยอวัยวะใหญ่น้อยของพวกเธอ แม้ในเหตุนั้นภิกษุมีใจคิดร้ายต่อโจรเหล่านั้นภิกษุนั้นไม่ชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสอนของเราเพราะเหตุที่อดกลั้นไม่ได้นั้น ภิกษุทั้งหลาย แม้ในข้อนั้นพวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่แปรปรวน เราจักไม่เปล่งวาจาลามกเราจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์ เราจักมีจิตเมตตาไม่มีโทสะภายในเราจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์ ใหญ่ยิ่ง หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทาง ซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้นเมื่อมาใส่ใจอารมณ์อื่นอันเป็นกุศล คือ เจริญเมตตา ย่อมละโทสะได้เหมือนช่างไม้ผู้ฉลาด ใช้ลิ่มอันเล็กตอก โยก ถอน ลิ่มอันใหญ่ออก ฉะนั้น

    (2)
    เมื่อใส่ใจอารมณ์อื่นอันเป็นกุศล อกุศลวิตกยังเกิดขึ้นเรื่อยๆก็ควรพิจารณาโทษของอกุศลวิตกว่า ย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้างเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง เบียดเบียนทั้งตนและผู้อื่นบ้าง ทำให้ปัญญาดับก่อให้เกิดความคับแค้น ให้ผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนไม่เป็นไปเพื่อพระนิพพาน เมื่อพิจารณาโทษอยู่อย่างนี้ย่อมละอกุศลวิตกนั้นได้ เหมือนชายหนุ่มหญิงสาวรู้ว่ามีซากศพซึ่งเป็นของปฏิกูลน่ารังเกียจผูกอยู่ที่คอย่อมรีบทิ้งซากศพนั้นโดยเร็ว

    (3)
    เมื่อพิจารณาโทษของอกุศลวิตกนั้นอยู่ อกุศลวิตกยังเกิดขึ้นเรื่อยๆก็อย่าใส่ใจ อย่านึกถึงอกุศลวิตกนั้นเมื่อไม่นึกไม่ใส่ใจก็ย่อมละอกุศลวิตกนั้นได้ เหมือนบุรุษผู้มีจักษุไม่ต้องการเห็นรูปที่ผ่านมา เขาพึงหลับตาเสีย หรือเหลียวไปทางอื่นเสีย

    พระโบราณาจารย์ก็เคยใช้วิธีนี้ แก้ความกระวนกระวายของติสสสามเณรที่ต้องการลาสิกขา

    เรื่องมีอยู่ว่าติสสสามเณรคิดจะลาสิกขา จึงแจ้งให้พระอุปัชฌาย์ทราบพระเถระจึงหาวิธีเบนความสนใจของสามเณร โดยกล่าวว่า ในวิหารนี้หาน้ำได้ยากเธอจงพาเราไปที่จิตตลดาบรรพต สามเณรก็กระทำตามพระเถระกล่าวกับสามเณรอีกว่าเธอจงสร้างที่อยู่ใหม่ให้เป็นที่อยู่อาศัยเฉพาะบุคคลหนึ่ง สามเณรก็รับคำแล้วสามเณรก็เริ่มสิ่งทั้งสามพร้อมๆ กัน คือเรียนคัมภีร์สังยุตตนิกายตั้งแต่ต้น การชำระพื้นที่ที่เงื้อมเขาและการบริกรรมเตโชกสิณจนถึงอัปปนา เมื่อเรียนสังยุตตนิกายจบลงแล้วก็เริ่มทำอยู่ในถ้ำ เมื่อทำกิจทั้งปวงเสร็จแล้ว ก็แจ้งให้พระอุปัชฌาย์ทราบพระอุปัชฌาย์กล่าวว่า สามเณร ที่อยู่เฉพาะบุคคล ที่เธอทำเสร็จนั้นทำได้ยากเธอนั่นแหละจงอยู่ สามเณรนั้น เมื่ออยู่ในถ้ำตลอดราตรี ได้อุตุสัปปายะจึงยังวิปัสสนาให้เจริญ แล้วบรรลุพระอรหัต ปรินิพพานในถ้ำนั่นแหละชนทั้งหลายจึงเอาธาตุของสามเณรก่อสร้างพระเจดีย์ไว้นี่คือเรื่องของติสสสามเณรที่ถูกพระอุปัชฌาย์เบนความสนใจให้ไปกระทำสิ่งอื่นที่เป็นกุศล จนลืมความคิดที่จะลาสิกขา เมื่อไม่ใส่ใจไม่นึกถึง ความคิดที่จะลาสิกขาก็ดับไปเอง

    (4)
    เมื่อไม่นึกถึงไม่ใส่ใจในอกุศลวิตกนั้น อกุศลวิตกก็ยังเกิดขึ้นเรื่อยๆก็ควรใส่ใจถึงเหตุ ของอกุศลวิตกนั้นว่า อกุศลวิตกนั้นมีอะไรเป็นเหตุมีอะไรเป็นปัจจัยเพราะเหตุไรจึงเกิดขึ้น เมื่อค้นพบเหตุปัจจัยอันเป็นมูลรากแล้ว อกุศลวิตกนั้นย่อมจะเบาบางลง แล้วถึงความดับไปโดยประการทั้งปวง

    (5)
    เมื่อใส่ใจถึงเหตุแห่งอกุศลวิตกนั้นอยู่ อกุศลวิตกยังเกิดขึ้นเรื่อยๆก็พึงกัดฟันด้วยฟัน ดุนเพดานด้วยลิ้น ข่ม บีบคั้น บังคับจิตด้วยจิตเมื่อข่มจิตอย่างนี้ ย่อมละอกุศลวิตกนั้นเสียได้เหมือนบุรุษผู้มีกำลังมากจับบุรุษผู้มีกำลังน้อยไว้ได้ แล้วบีบกดเค้นที่ศรีษะ คอหรือก้านคอไว้ให้แน่น ทำบุรุษนั้นให้เร่าร้อน ให้ลำบากให้สยบ ฉะนั้น (วิตักกสัณฐานสูตร 12/ 256 )

    วิธีควบคุมอกุศลวิตกทั้ง 5 วิธีนี้ อาจย่อให้สั้น เพื่อให้จำได้ง่ายดังนี้คือ

    1.
    เปลี่ยนนิมิต หันมาคิดเรื่องที่เป็นกุศลและเป็นคู่ปรับกัน
    2.
    พิจารณาโทษา พิจารณาโทษของความคิดฝ่ายชั่ว
    3.
    อย่าไปสน อย่าสนใจความคิดฝ่ายชั่ว หางานอื่นทำ
    4.
    ค้นเหตุที่คิด หาสาเหตุของความคิดฝ่ายชั่ว
    5.
    ข่มจิต เอาฟันกัดฟัน เอาลิ้นกดเพดาน เพื่อข่มจิต

    ผู้ที่ฝึกหัดตามวิธีทั้ง 5 นี้จนชำนาญย่อมควบคุมความคิดของตนได้ เมื่อต้องการความคิดเรื่องใดก็คิดเรื่องนั้นได้ไม่ต้องการคิดเรื่องใดก็เลิกคิดเรื่องนั้นได้การควบคุมความคิดได้ดังใจนึกเช่นนี้เป็นประโยชน์อย่างมากทั้งทางโลกและทางธรรม



    .................................................................

    คัดลอกมาจาก
    http://www.geocities.com/wat_thaton/index1.html

    <!-- / message -->
     
  16. ศิษโมกคัลลานะ

    ศิษโมกคัลลานะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,317
    ข้อความเดิมโดยคุณ wellrider ครับ

    ทิพยอำนาจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ทิพยอำนาจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    โดย สิริอัญญา



    เนื่องในมหามงคลสมัยวันฉัตรมงคลที่จะเวียนมาบรรจบครบรอบอีกครั้งหนึ่ง ในวันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม ศกนี้ นับเป็นมหามงคลสมัยที่ปวงชนชาวไทยจะได้ถวายความจงรักภักดี และได้ถวายพระพรต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระผู้เป็นทั้งพระมหากษัตริย์อันประเสริฐ และประดุจดังพระเทพบิดรของปวงชนชาวไทย

    ในวาระเช่นนี้ คอลัมน์นี้จะแสดงเนื้อความอันเป็นการเฉลิมพระเกียรติในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในบางมุมบางแง่ซึ่งอาจไม่เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป แต่เป็นความจริงซึ่งบังเกิดขึ้นแล้ว เพื่อพสกนิกรทั้งหลายจะได้รู้จะได้ทราบว่า พระประมุขของเรานั้นใช่ว่าจะเรืองพระบรมเดชานุภาพเฉพาะแต่ทางโลกก็หาไม่ แต่ในทางธรรมก็ทรงบรรลุภูมิธรรมอันสูงยิ่ง

    สมแล้วที่ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก เป็นหลักชัยที่ค้ำชูทำนุบำรุงพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าในพระราชอาณาจักรตลอดระยะเวลาอันช้านาน

    เมื่อแรกเริ่มครองราชย์ก็ทรงประกาศเป็นพระปฐมบรมราชโองการ อันยังก้องกังวานทั่วผืนฟ้าแผ่นดินสิ้นถึงทุกวันนี้ว่า
     
  17. ศิษโมกคัลลานะ

    ศิษโมกคัลลานะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,317
    ข้อความเดิมโดยคุณ wellrider ครับ

    ทิพยอำนาจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ทิพยอำนาจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    โดย สิริอัญญา



    เนื่องในมหามงคลสมัยวันฉัตรมงคลที่จะเวียนมาบรรจบครบรอบอีกครั้งหนึ่ง ในวันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม ศกนี้ นับเป็นมหามงคลสมัยที่ปวงชนชาวไทยจะได้ถวายความจงรักภักดี และได้ถวายพระพรต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระผู้เป็นทั้งพระมหากษัตริย์อันประเสริฐ และประดุจดังพระเทพบิดรของปวงชนชาวไทย

    ในวาระเช่นนี้ คอลัมน์นี้จะแสดงเนื้อความอันเป็นการเฉลิมพระเกียรติในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในบางมุมบางแง่ซึ่งอาจไม่เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป แต่เป็นความจริงซึ่งบังเกิดขึ้นแล้ว เพื่อพสกนิกรทั้งหลายจะได้รู้จะได้ทราบว่า พระประมุขของเรานั้นใช่ว่าจะเรืองพระบรมเดชานุภาพเฉพาะแต่ทางโลกก็หาไม่ แต่ในทางธรรมก็ทรงบรรลุภูมิธรรมอันสูงยิ่ง

    สมแล้วที่ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก เป็นหลักชัยที่ค้ำชูทำนุบำรุงพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าในพระราชอาณาจักรตลอดระยะเวลาอันช้านาน

    เมื่อแรกเริ่มครองราชย์ก็ทรงประกาศเป็นพระปฐมบรมราชโองการ อันยังก้องกังวานทั่วผืนฟ้าแผ่นดินสิ้นถึงทุกวันนี้ว่า
     
  18. ศิษโมกคัลลานะ

    ศิษโมกคัลลานะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,317
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sravnane [​IMG]
    [​IMG]


    ขอร่วมโมทนาบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯ ขออาราธนาบารมีพระทุกพระองค์ ของน้อมถวายบุญสร้างพระพุทธรูปที่ได้สร้างถวายเป็นพุทธบูชาฯ ทั้งหมดชีวิตนี้(ขออภัยจำจำนวนพระที่สร้างไม่ได้แล้ว) ถวายร่วมโมทนาบุญทั้งหมดในพระพุทธศาสนาร่วมกับพระพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ อันมีสมเด็จองค์ปฐมเป็นต้น พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหมด พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์และพรหมเทพเทวาทั้งหลายที่ได้ปกปักรักษาพระศาสนาฯ ขอทุกพระองค์และทุกท่านได้โปรดโมทนาและรับซึ่งผลบุญนี้ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองตั้งมั่นแห่งพระพุทธศาสนาตลอดกาลนานเทอญฯ
    ปล.อธิษฐานโมทนากันตามอัธยาศรัยเลยครับ สาธุ

    :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool:

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขอร่วมโมทนบุญทุกอย่าง ถวายเป็นพุทธบูชาฯขอบารมีพระทุกพระองค์จงปกป้องคุ้มครองท่านและข้าพเจ้าให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญฯ

    <O:pพี่ sravnane ครับ วันนี้หลังจากผมทำงานเสร็จประมาณ 15.30 น ผมก็กลับมาที่ห้อง มาโมทนาบุญในเว็ปพลังจิต และได้กดโมทนา ข้อความที่ผมอ้างอิงนี้ด้วย ผมมองดูภาพเพียงครั้งเดียว อ่านแล้วกดโมทนา หลังจากนั้นก็นอนพักภาวนาไปเรื่อย ในที่สุดผมก็หลับฝันว่าเห็นภาพดังที่อ้างอิงมา แต่มีแสงสว่างมากและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนทั้งภาพหายไปในที่สุด ผมมีความสุขมาก เลยอยากเล่าให้ทุกท่านฟัง</O:p>
    <O:p>ครับ สาธุ สาธุ สาธุ</O:p>

    <O:p>(f) (f) (f) </O:p>
    <O:p></O:p><!-- / message --><!-- sig -->

    ____________________________________________________________
    ขอโมทนาในบุญทั้งหลายทั้งหมดที่เกิดในพระพุทธศาสนาร่วมกับพระฯ ทุกพระองค์และท่านทั้งหลาย ขออานิสงฆ์จงสำเร็จแก่เราและดวงจิตทั้งหลายให้สมปรารถนาทุกประการตราบเข้าสู่พระนิพพานเทอญ

    ( ตั้งนโม 3 จบ, ขอขมาพระ, อุทิศส่วนกุศล)

    สาธุ สาธุ สาธุ

    [b-wai]

    โมทนาครับสาธุๆ

    <!-- / sig --><!-- edit note -->
     
  19. sravnane

    sravnane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    695
    ค่าพลัง:
    +17,914
    ภูกระดึง(อดีตสมัยหลวงพ่อฯเกิดในพระศาสนาพระโกนาคม) 7

    ได้พบรอยพระบาทในหว่างทาง มีรอยพระบาทหนึ่งชำรุดหักครึ่ง จึงได้บวงสรวงอธิษฐานปิดทองซ่อมรอยพระพระบาทนั้น ถวายเป็นพุทธบูชาฯ​
    [​IMG]
    ตั้ง นโมฯ3จบ ขอขมาพระรัตนตรัย ขออารธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกพระองค์อันมีสมเด็จองค์ปฐมเป็นต้น พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหมด พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์และพรหมเทพเทวาทั้งหลายที่ได้ปกปักรักษาพระศาสนาฯ ตลอดจนบุญกุศลทั้งหมดที่ได้บำเพ็ญมา ขอน้อมถวายแผ่นทอง พุทธบูชาฯนี้แด่พระทุกพระองค์และทุกๆท่าน ขอทุกพระองค์และทุกๆท่านได้โปรดทรงรับซึ่งแผ่นทองนี้ และขอทรงอธิษฐานแผ่พระบารมีให้แผ่นทองพุทธบูชานี้เป็นแผ่นแก้วมณีฯ เพื่อทำการปิดบูรณรอยพระบาทนี้ให้สมบูรณ์ดังเดิม ให้ประดิษฐานตั้งมั่นตามพุทธพยากรณ์ และตลอดไปตามพุทธประสงค์เทอญฯ ขอน้อมถวายเป็นพุทธบูชาฯ​
    [​IMG]
    ขอผลบุญแห่งทองคำพุทธบูชาฯนี้ ขอทองทิพย์นี้จงปิดลงบนพระบาทของพระทุกพระองค์ในพระนิพพานนิพพานตลอดไป และจงดำรงคงอยู่เพื่อปิดบูชาและบูรณรอยพระบาท,พระบรมธาตุ,พระศรีมหาโพธิ์ฯของพระทุกพระองค์ในอนาคตกาลข้างหน้า ถวายเป็นพุทธบูชาฯตลอดกาลนานเทอญฯ
    อุทิศส่วนกุศล กราบพระ แผ่เมตตาฯ
    ปล.ระหว่างบวงสรวงมีพระบรมธาตุเสด็จออกจากรอยพระบาทเป็นอัศจรรย์
    :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2007
  20. ao.angsila

    ao.angsila เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    2,332
    ค่าพลัง:
    +26,683
    ถวายปัจจัยร่วมทำบุญทุกอย่างกับพระฯ ร่วมทอดผ้าป่า สร้างพระอโบสถ ถวายภัตตาหารเพล ร่วมสร้างวัดวังมะริว ต เมืองคอง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
    พร้อมทั้งโมทนาบุญทุกอย่างในพระศาสนานี้ น้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา เพื่อความเจริญตั้งมั่นแห่งพระศาสนา และเพื่อพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ขอท่านทั้งหลายจงโปรดโมทนาบุญเพื่อประโยชน์และความสุขแก่ท่านทั้งหลายสิ้นกาลนานเทอญ


    :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool: :cool:
    (verygood) (verygood) (verygood) (verygood)
     

แชร์หน้านี้

Loading...