หลวงปู่แหวนมาโปรดในนิมิตร(ฝัน)

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย psombat, 18 มีนาคม 2010.

  1. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +975
    พระพิฆเณศองค์วรรณะเหลืองโลหะผสมทองคำ กรุบรบือ สมัยทวารวดี 1,300 ปีล่วงมาแล้ว พลังและอิทธิคุณด้านขจัดอุปสรรคและขอพรสำเร็จเป็นที่น่าอัศจรรย์มากครับ หลายคนได้สัมผัสและได้ประจักษ์ด้วยตนเองมาแล้ว ลองชมดูนะครับ (มีน้อยมากๆๆๆจึงไม่มีใครรู้จัก)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +975
    พระพิฆเณศเนื้อดินว่าน กรุนาดูน (ยุคเดียวกันกับกรุบรบือ เป็นอาณาจักรจำปาศรี) ทวารวดี สวยงามธรรมชาติอีกแบบหนึ่ง
    ปล. ลูกแก้วสีแดงส้มและสีเขียวข้างหลัง เมื่อใช้กล้องส่องที่มีไฟ จะเห็นเกล็ดสีดำเป็นจุดคล้ายเกล็ดพญานาคอยู่ใต้ผิวนอกอีกชั้นหนึ่ง ใครมีลองส่องดูนะครับ โดยเฉพาะลูกที่เป็นสายรุ้ง ความลับนี้พึ่งเปิดเผยเมื่อคืนครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2011
  3. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    [​IMG]

    หากเพื่อนธรรมท่านใดมีวาสนาพบเจอ
    ก็อย่าได้พลาด...พระพิมพ์วังหน้าลงรักปิดทองสององค์ สองขนาดนี้นะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1200477.JPG
      P1200477.JPG
      ขนาดไฟล์:
      141.2 KB
      เปิดดู:
      951
    • P1200479.JPG
      P1200479.JPG
      ขนาดไฟล์:
      136 KB
      เปิดดู:
      87
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2013
  4. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    พระพิฆเณศองค์วรรณะเหลืองโลหะผสมทองคำ กรุบรบือ สมัยทวารวดี 1,300 ปีล่วงมาแล้ว พลังและอิทธิคุณด้านขจัดอุปสรรคและขอพรสำเร็จเป็นที่น่าอัศจรรย์มากครับ หลายคนได้สัมผัสและได้ประจักษ์ด้วยตนเองมาแล้ว ลองชมดูนะครับ (มีน้อยมากๆๆๆจึงไม่มีใครรู้จัก)
    <!-- google_ad_section_end -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]


    </FIELDSET>


    (มีน้อยมากๆๆๆจึงไม่มีใครรู้จัก) - โชคดีเป็นของกลุ่มเราจริงๆครับ :cool:

    พระพิมพ์วังหน้า ดีเลิศทุกทาง มีอยู่มากมาย แต่คนที่รู้จักดีและเห็นคุณค่า มีน้อยมากๆ

    โชคดีเป็นของกลุ่มเราอีก ดีจริงๆครับ :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2013
  5. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    สวยงามมาก ขอบคุณครับ

    ลูกแก้วที่ว่า...ไม่มีเลยครับ แต่ที่มีก็จะใสเข้มออกไปทางดำ
    ส่องบ่อยๆระวังพญานาคท่านอายนะครับ :)
     
  6. สาวกธรรม1

    สาวกธรรม1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +173
    ยังครับวันนี้ก็หนักครับ
     
  7. สาวกธรรม1

    สาวกธรรม1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +173
     
  8. ----

    ---- สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +22
    อนุโมทนาบุญกับคุณสมบัติ, คุณสมาชิกธรรม , ดร.นนท์ กับการถวายพระพิมพ์วังหน้าแก่พ่อแม่ครูอาจารย์ ด้วยนะครับ
    ได้เห็นปฐวีธาตุของคุณสมบัติ จึงขอเล่าเกี่ยวกับปฐวีธาตุหลวงปู่คำพันธ์ที่ผมมีอยู่ซึ่งเช่ามาจากเว็บไซต์หนึ่งซึ่งมีลักษณะคล้าย ๆ กับของคุณสมบัติ มีอยู่วันหนึ่งผมนำองค์ปฐวีธาตุไปให้ผู้ปฏิบัติธรรมท่านหนึ่งได้พิสูจน์ว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ มีอานุภาพเช่นไร ผมกลับได้คำตอบว่าปฐวีธาตุองค์นั้นไม่มีพลังอะไรเลย เป็นเพียงก้อนกรวดธรรมดา มันทำให้ผมผิดหวังมาก แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า บางทีอาจเป็นที่ผู้ปฏิบัติธรรมท่านนั้นคงมีความสามารถไม่มากพอที่จะพิสูจน์ได้ ซึ่งทุกวันนี้ผมก็ไม่มีความมั่นใจในปฐวีธาตุที่มีอยู่
     
  9. สมาชิกธรรม

    สมาชิกธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2011
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +1,308
    โอกาสหน้าหากได้ไปร่วมทำบุญหรือได้พบเจอกับท่านดร.นนต์ นำไปให้ท่านตรวจสอบให้อีกทีนะครับ.....
     
  10. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    อันที่จริงต้องบอกว่า...ท่านสมาชิกธรรมและท่าน dr.นนต์ ตรวจอีกทีเน้อ หุหุ
    ถ้าใจร้อนก็เข้าเครื่องสแกนออร่าของท่านอาจารย์สถิตธรรมเลยครับ
     
  11. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    ในเรื่องนี้มีความเป็นได้ทุกกรณีนะครับ
    1. เป็นของไม่แท้จริงๆ เพราะของจริงนั้นมีน้อยและหายาก
    2. เป็นของแท้นั่นแหละซึ่งย่อมมีพลัง แต่แยกอธิบายเป็นแต่ละกรณีดังนี้
    - องค์ในปิดกระแสพลังไม่ให้ตรวจ/เบื้องบนไม่ให้ตรวจ (ซึ่งท่านย่อมอยู่สูงกว่าคนตรวจ)
    - หรือเป็นวันเปื่อย คือวันที่ไม่มีพลัง (จาก อ.ปู่ประถม)
    - กรณีพิเศษ คือ หากพลังท่านเหมือนกลุ่มพระธาตุ เมื่อตรวจเข้าไปจะเป็นว่างๆ หรือวนๆลูป ไม่สามารถวัดค่าออกมาได้
    - การตรวจให้ได้ผลที่มั่นใจได้ควรตรวจสัก 3 ท่าน แล้วได้ผลตรงกัน
    - อย่างน้อยคนตรวจ ควรได้ฌาน 4 ละเอียด จึงจะน่าเชื่อถือ

    พระเครื่องหรืออะไรที่มีพระธาตุเป็นองค์ประกอบ เวลาตรวจพลัง ผู้ตรวจจะต้องสามารถแยกธาตุ แยกมวลสารออกมาได้ จึงจะรับรู้ในพลังที่สถิตในองค์พระในแต่ละส่วนๆ เมื่อนำสองอย่างมารวมกัน(ตัวคูณ) พลังที่ได้ ยากที่จะประมาณ ซึ่งองค์เสกที่เก่งๆจึงจะสามารถรวมธาตุแปรผันธาตุและมวลสารได้ - หากพระคณาจารย์ทั่วไป ไม่แน่ว่าจะเสกได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2011
  12. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    ขอบพระคุณที่เยี่ยมชมครับ
     
  13. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2013
  14. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    ใส่แหวนอย่างไร ให้ถูกต้องตามหลักโหราศาสตร์

    <!-- <iframe src="http://hilight.kapook.com/view/fb_button.php?id=30561" scrolling="no" frameborder="0" allowTransparency="true" style="border:none; overflow:hidden; width: 80px; height: 100px;"></iframe> //--><!--Share<script src="http://static.ak.fbcdn.net/connect.php/js/FB.Share" type="text/javascript"></script> Tweet<script type="text/javascript" src="http://platform.twitter.com/widgets.js"></script>-->
    [​IMG]

    ข้อมูลจาก Forward Mail
    ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต ​


    เพราะชายหญิงมีธาตุที่แตกต่างกันจึงมีวิธีการที่แตกต่างกัน จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แหวนวงน้อยนี้ สามารถคุ้มครองผู้สวมใส่ได้เช่นกัน เรื่องนี้เป็นวัฒนธรรมที่มีมาแต่โบราณกาล อย่างที่ขุดได้ในกรุสมัยโบราณ ลองไปดูที่พิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยาที่จังหวัดอยุธยา ก็จะมีแหวนหยกแหวนทองคำแท้และรัตนชาติต่างๆ รวมอยู่ด้วย สิ่งนี้เป็นหลักฐานพยานที่ดีอย่างยิ่ง ลองดูรายละเอียดต่อไปนี้

    [​IMG] ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์

    ท่านที่เกิดวันอาทิตย์ ผู้หญิงให้สวมแหวนมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายสวมแหวนมือข้างขวา ตัวเรือนควรทำจากทองแท้ เงินแท้หรือหยก ถึงจะส่งพลังดีๆ ออกมาคุ้มครอง ในการสวมแหวน หากเป็นผู้ชายให้เน้นไปที่นิ้วกลาง และนิ้วชี้ อันหมายถึงพลังอำนาจการปกครอง และวาสนาบารมี แต่หากจะสวมแหวนที่นิ้วหัวแม่มือก็ขอให้ดูตัวเองก่อน เพราะการสวมที่หัวแม่มือนั้น ต้องเป็นผู้มีเงินทองแบบหลงจู๊อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นจะเกินวาสนาตน ส่วนผู้หญิงก็ให้สวมมือซ้ายนิ้วนาง หรือนิ้วกลาง ก็จะเสริมพลังของตัวเองให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง นอกจากนี้ในการสวมแหวนหลายวงในนิ้วเดียวกันนั้นไม่ควรทำ จะทำให้เกิดความผิดพลาดในเรื่องของความรักได้ง่ายๆ​

    [​IMG] ผู้ที่เกิดวันจันทร์

    ท่านที่เกิดวันจันทร์ ผู้หญิงให้สวมที่นิ้วมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายให้สวมมือข้างขวา ตัวเรือนควรทำด้วยทองคำ เงิน นาค โลหะผสม หรือหินสีต่างๆ ก็ได้ แต่ควรเป็นแหวนที่วงค่อนข้างผอม บาง หัวแหวนเล็กๆ จึงจะสอดคล้องกับผู้ที่เกิดในวันจันทร์ ผู้ชายควรสวมแหวนเน้นไปที่นิ้วชี้ นิ้วนาง นิ้วกลาง ก็จะเสริมดวงและคุ้มครอง ห้ามสวมแหวนนิ้วก้อยและนิ้วหัวแม่มือเด็ดขาด ส่วนผู้หญิงก็ให้สวมที่นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย ก็จะเกิดความเจริญรุ่งเรือง สร้างพลังแห่งเมตตามหานิยมแก่เจ้าของ ไม่ควรสวมแหวนที่นิ้วชี้ และนิ้วหัวแม่มือ สามารถสวมแหวนซ้อนกันสองวงได้ แต่ถ้าเป็นสามวงซ้อนในนิ้วเดียวกันไม่ควรอย่างยิ่ง จะทำให้เกิดความผิดพลาดในเรื่องของความรักได้ง่ายๆ​

    [​IMG] ผู้ที่เกิดวันอังคาร

    ท่านที่เกิดวันอังคาร ผู้หญิงให้สวมที่นิ้วมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายให้สวมนิ้วมือข้างขวา ตัวเรือนทำด้วยอะไรก็ได้ แต่ไม่ควรเป็นของที่แตกหักได้ ตัวแหวนควรค่อนข้างหนาสักหน่อยจึงจะดี หัวแหวนควรใหญ่เช่นกัน ก็จะสามารถเหนี่ยวนำความเจริญรุ่งเรืองได้ ผู้ชายควรสวมไว้ที่นิ้วกลาง นิ้วชี้ ก็จะคุ้มครองผู้สวมใส่ ไม่ควรสวมแหวนนิ้วนางหรือนิ้วก้อย จะทำให้ไม่มีพลัง ส่วนผู้หญิงควรสวมแหวนที่นิ้วกลาง นิ้วชี้ และนิ้วนางเท่านั้น ก็จะส่งพลังคุ้มครองในทุกเรื่องไม่ควรสวมแหวนที่นิ้วก้อยจะทำให้เสียพลังที่เข้มแข็ง ที่สำคัญการสวมแหวนซ้อนกันหลายวงในนิ้วเดียวกันสามารถทำได้ ไม่ได้ทำให้เกิดการสูญเสียหรือมีผลใดๆ ในเรื่องของความรัก​

    [​IMG]ผู้ที่เกิดวันพุธ

    ท่านที่เกิดวันพุธ ผู้หญิงให้สวมที่นิ้วมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายให้สวมที่นิ้วมือข้างขวา ตัวเรือนควรทำด้วยวัสดุธรรมชาติอย่าง ทอง เงินหรือหยก ตัวแหวนควรพอดีกับนิ้ว ไม่ควรหนาหรือบางจนเกินไป หัวแหวนควรทำด้วยรัตนชาติแท้ หรือทำเป็นรูปเหลี่ยมๆ จะสามารถเพิ่มพลังของความเจริญรุ่งเรืองได้ ผู้ชายควรสวมแหวนไว้ที่นิ้วชี้ นิ้วกลางหรือนิ้วนางก็ได้ หรือจะใส่ที่นิ้วหัวแม่มือก็ได้เช่นกัน ส่วนผู้หญิงควรสวมแหวนที่นิ้วชี้ นิ้วกลาง หรือนิ้วนาง ก็จะสามารถคุ้มครองได้ในทุกๆ เรื่อง นอกจากนี้ยังสามารถสวมแหวนหลายวงหลายนิ้วพร้อมกันได้ หรือจะซ้อนในนิ้วเดียวกันหลายวงก็ได้ ไม่ทำให้เกิดผลเสียในเรื่องของความรักอย่างแน่นอน​

    [​IMG] ผู้ที่เกิดวันพฤหัส

    ท่านที่เกิดวันพฤหัส ผู้หญิงให้สวมที่นิ้วมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายสวมที่นิ้วมือข้างขวา ตัวเรือนทำด้วยวัสดุธรรมชาติอย่าง ทองคำ เงิน หรือทองคำขาว ตัวแหวนควรพอดีกับนิ้ว หรือค่อนข้างใหญ่หน่อยก็ยังดี หัวแหวนควรทำด้วยรัตนชาติแท้ แต่ควรจะมีประกายส่องสว่าง ถึงจะสามารถเพิ่มพลังของความเจริญรุ่งเรืองได้ ผู้ชายควรสวมแหวนที่นิ้วชี้ นิ้วกลาง หรือนิ้วนาง ก็ได้ หรือจะใส่ที่นิ้วหัวแม่มือก็ได้เช่นกัน แต่ไม่ควรสวมแหวนนิ้วก้อย ส่วนผู้หญิงควรสวมแหวนที่นิ้วชี้ นิ้วกลาง หรือนิ้วนาง ก็จะสามารถคุ้มครองได้ในทุกๆ เรื่อง นอกจากนี้ไม่ควรสวมแหวนพร้อมกันหลายวง จะทำให้เสียพลังในเรื่องของความรัก เปรียบเหมือนการมีรักซ้อนซ่อนรัก​

    [​IMG]ผู้ที่เกิดวันศุกร์

    ท่านที่เกิดวันศุกร์ ผู้หญิงให้สวมที่นิ้วมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายสวมที่นิ้วมือขวา ตัวเรือนควรทำด้วยวัสดุธรรมชาติอย่าง ทองคำ เงิน หรือทำจากหิน ตัวแหวนควรมีลักษณะเป็นแฟชั่นหยักๆ หรือเป็นคลื่น หัวแหวนควรมีสีสัน หรือเป็นแหวนหลายหัวก็ได้ จะสามารถเพิ่มพลังของความเจริญรุ่งเรืองได้ ผู้ชายควรสวมแหวนที่นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง หรือนิ้วก้อย หรือจะใส่ที่นิ้วหัวแม่มือก็ได้เช่นกัน ส่วนผู้หญิงสามารถสวมแหวนนิ้วไหนก็ได้ในทุกนิ้ว จะสามารถคุ้มครองได้ในทุกๆ เรื่อง แต่การสวมแหวนซ้อนกันมากจนเกินไป จะทำให้เสียพลังในเรื่องของความรัก เปรียบเหมือนการมีรักซ้อนซ่อนรัก หรือจะกลายเป็นคนที่รักอิสระจนเกินกว่าจะควบคุมได้​

    [​IMG]ผู้ที่เกิดวันเสาร์

    ท่านที่เกิดวันเสาร์ ผู้หญิงให้สวมที่นิ้วมือข้างซ้าย ส่วนผู้ชายสวมที่นิ้วมือขวา ตัวเรือนควรทำด้วยวัสดุธรรมชาติอย่าง ทองคำ เงิน หรือหิน ตัวแหวนควรมีความพอดีกับนิ้ว หรือค่อนข้างใหญ่หน่อยก็ยังดี หัวแหวนควรทำด้วยรัตนชาติแท้ แต่ควรจะมีสีค่อนข้างเข้ม จะสามารถเพิ่มพลังของความเจริญรุ่งเรืองได้ ผู้ชายควรสวมแหวนที่นิ้วชี้ นิ้วกลาง หรือจะใส่ที่นิ้วหัวแม่มือก็ได้เช่นกัน แต่ไม่ควรสวมแหวนที่นิ้วก้อย หรือนิ้วนาง จะเสียพลังในการคุ้มครอง ส่วนผู้หญิง ควรสวมแหวนที่นิ้วชี้ นิ้วกลาง หรือนิ้วนาง ก็จะสามารถคุ้มครองได้ในทุกๆ เรื่อง นอกจากนี้ไม่ควรสวมแหวนพร้อมกันหลายวง จะทำให้เสียพลังในเรื่องของความรัก เปรียบเหมือนการมีรักซ้อนซ่อนรัก


     
  15. ----

    ---- สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +22
    ขอขอบคุณมากครับ สำหรับข้อมูลดี ๆ
     
  16. ----

    ---- สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +22
    ไม่ทราบว่าชุดแผงโซล่าเซลล์ที่ได้ติดตั้งที่ภูด่านไหนั้น ใช้งบประมาณเท่าไรครับ คือว่าเกิดสนใจจะติดตั้งที่บ้านมั่งนะครับ
     
  17. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    น่าจะประมาณ 2 หมื่น (2 แผง) นะครับ
    รอท่านผู้บริจาคมาไขข้อสงสัยนี้ร่วมกันครับ
     
  18. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    สังโยชน์ 10


    สังโยชน์ แปลว่า กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัดจิตใจให้ตกอยู่ในวัฎฎะ มี 10 อย่าง
    1. สักกายทิฏฐิ เห็นว่า ร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา (คำว่าร่างกายนี้หมายถึง ขันธ์ 5)
    2. วิจิกิจฉา ความลังเลสังสัย ในคุณพระรัตนตรัย
    3. สีลัพพตปรามาส รักษาศีลแบบลูบ ๆ คลำ ๆ ไม่รักษาศีลอย่างจริงจัง
    4. กามฉันทะ มีจิตมั่วสุมหมกมุ่น ใคร่อยู่ในกามารมณ์
    5. พยาบาท มีอารมณ์ผูกโกรธ จองล้างจองผลาญ
    6. รูปราคะ ยึดมั่นถือมั่นในรูปฌาน
    7. อรูปราคะ ยึดมั่นถือมั่นในอรูปฌาน คิดว่าเป็นคุณพิเศษที่ทำให้พ้นจากวัฎฎะ
    8. มานะ มีอารมณ์ถือตัวถือตน ถือชั้นวรรณะเกินพอดี
    9. อุทธัจจะ มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน ครุ่นคิดอยู่ในอกุศล
    10. อวิชชา มีความคิดเห็นว่า โลกามิสเป็นสมบัติที่ทรงสภาพ
    นักปฏิบัติที่ท่านปฏิบัติกันมาและได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอา สังโยชน์ เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ เทียบจิตกับ สังโยชน์ ว่า เราตัดอะไรได้เพียงใด แล้วจะรู้ผลปฏิบัติอารมณ์ที่ละนั้นเอง
    สังโยชน์ทั้ง 10 ข้อนี้ ถ้าพิจารณาวิปัสสนาญาณแล้ว จิตค่อย ปลดอารมณ์ที่ยึดถือได้ครอบ 10 อย่าง โดยไม่กำเริบอีกแล้ว ท่านว่า ท่านผู้นั้นบรรลุอรหัตผล
    สักกายทิฏฐิ ท่านแปลว่า ให้รู้สึกในอารมณ์ของเราว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายนี้ไม่มีในเรา หรือตามศัพท์ที่เรียกว่า ขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้มันไม่ใช่ของเรา เราไม่่มีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ไม่มีในเรา อารมณ์ขั้นต้นของพระโสดาบัน กับสกิทาคามี ท่านมีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ต้องตาย เราต้องคิดว่า ร่างกายนี้ต้องตายแน่ ร่างกายนี้น่าเกลียดโสโครก ต้องเกลียดจริง ๆ เราไม่ต้องการทั้งร่างกายเรา และร่างกายของคนอื่น หรือวัตถุธาตุใด อย่างนี้เป็นกำลังใจของพระอนาคามี และถ้ามีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา อย่างนี้เป็นกำลังใจของพระอรหันต์
    ถ้าจะปฏิบัติกันตามลำดับแล้ว ต้องใช้อารมณ์ตามลำดับ คือ
    อารมณ์ขั้นต้น ใช้อารมณ์แบบเบา ๆ คือมีความรู้สึกตามธรรมดาว่า ชีวิตนี้ต้องตาย ไม่มีใครเลยในโลกนี้ที่จะทรงชีวิตได้ตลอดกาล ในที่สุดก็ต้องตายเหมือนกันหมด ใช้อารมณ์ให้สั้นเข้า คือมีความรู้สึกไว้เสมอว่า เราอาจจะตายวันนี้ไว้เสมอ จะได้ไม่ประมาทในชีวิต
    อารมณ์ขั้นกลาง ท่านให้ทำความรู้สึกเป็นปกติว่า ร่างกายของคนและสัตว์ ตลอดจนวัตถุทุกชนิดเป็นของสกปรกทั้งหมด มีทั้ง อุจจาระ ปัสสวะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง เป็นต้น พยายามทำอารมณ์ให้ทรงจนเกิดความเบื่อหน่ายในร่างกายทั้งหมด
    อารมณ์สูงสุด มีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย และร่างกายไม่มีในเรา มีอาการวางเฉยในร่างกายทุกประเภท เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์
    วิจิกิจฉา แปลว่า สงสัย คือสงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า สงสัยในความดีของพระธรรมคำสั่งสอน สังสัยในความดีของพระอริยสงฆ์ สงสัยว่า พระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ เมื่อสงสัยเข้าก็ไม่เชื่อ ถ้ามีอารมณ์อย่างนี้ ต้องลงอบายภูมิ
    เพราะฉะนั้นจงอย่ามีในใจ ใช้ปัญญาพิจารณานิดเดียว ก็จะเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าพูดถูก พูดจริง ยอมรับนับถือคำสั่งสอนของพระองค์


    สีลัพพตปรามาส คือ ลูบคลำศีล รักษาศีลไม่จริงจัง อย่างนี้จงอย่ามีในเรา จงปฏิบัติให้ครบถ้วนด้วย 3 ประการ
    1. มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้มันจะต้องตาย
    2. ไม่สงสัยในคำสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมยอมรับปฏิบัติตาม
    3. รักษาศีลครบถ้วนโดยเคร่งครัด
    ทำอย่างนี้ได้ ท่านผู้นั้นเป็นพระโสดาบัน และพระสกิทาคามี

    กามฉันทะ คือมีความพอใจในกามคุณ คือ รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ เราต้องกำจัดในสิ่งเหล่านี้ ให้รู้ว่าสกปรก โสโครก เราไม่ต้องการ และกำจัด
    ปฏิฆะ คือ การกระทบกระทั่งความไม่พอใจออกจากจิต มีความเมตตา กรุณา เข้ามาแทน จิตมีความเบื่อหน่ายในร่างกายเป็นที่สุด ท่านตรัสว่า เป็นอารมณ์ของพระอนาคามี
    รูปราคะ และ อรูปราคะ เป็นการหลงในรูปฌาน และอรูปฌาน เราต้องไม่หลงติด ไม่มัวเมาใน รูปฌาน และอรูปฌาน แต่จะรักษาไว้เพื่อประโยชน์แก่จิตใจ แล้วใช้่ปัญญาพิจารณาขันธ์ 5 ว่ามีแต่ความทุกข์ มีการสลายตัวไปในที่สุด เมื่อขันธ์ 5 ไม่ทรงตัวแบบนี้แล้ว
    มานะ การถือตัวถือตนว่าเราดีกว่าเขา วางอารมณ์แห่งการถือตัวถือตนเสีย มีเมตตาบารมีเป็นที่ตั้ง
    ตัดอุทธัจจะ คืออารมณ์ฟุ้งซ่าน
    การถือตัวถือตน เป็นปัจจัยของความทุกข์ เราควรวางใจแต่เพียงว่า ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์ โสกะปริเทวะทุกขะ โทมะสัส อุปยาส ความเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์ ทุกข์มาจากไหน ทุกข์มาจากการเกิด แล้วเกิดนี่มาจากไหน การเกิดมาจาก กิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม เราควรวางใจเป็นกลาง การถือตัวถือตนเป็นปัจจัยของความทุกข์ จิตใจเราพร้อมในการเมตตาปรานี ไม่ถือตน เขาจะมีฐานะเช่นใดก็ช่าง ถือว่า เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกันหมด ถ้ากำหนดอารมณ์อย่างนี้ได้ เราก็สามารถจะกำจัดตัวมานะของตนได้
    อวิชชา หมายถึง อุปาทาน คือความยึดมั่นถือมั่น ไม่รู้ตามความเป็นจริง อุปาทานนี้มีคำจัดกัดอยู่ 2 คำ คือ ฉันทะ และราคะ
    อุปาทาน ได้แก่ ฉันทะ คือความหลงใหลใฝ่ฝันในโลกามิสทั้งหมด มีความพอใจในสมบัติของโลก โดยไม่ได้คิดว่ามันจะต้องสลายไปในที่สุด
    ราคะ มีความยินดีในสมบัติของโลกด้วยอารมณ์ใคร่ในกิเลส
    ฉะนั้นการกำจัด อวิชชา ก็พิจารณาเห็นว่า สมบัติของโลกไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา เราไม่มีในสมบัติของโลก ไม่มีในเรา จนมีอารมณ์ไม่ยึดถืออะไร มีอยู่ก็เป็นเสมือนไม่มี จิตไม่ผูกพันเกินพอดี เมื่อมีอันเป็นไปก็ไม่เดือดร้อน มีจิตชุ่มชื่นต่ออารมณ์พระนิพพาน ฉันทะ กับ ราคะ ทั้งสองนี้เป็นอารมณ์ของ อวิชชา ถือว่าเป็นความโง่ ยังไม่เห็นทุกข์ละเอียด ความจริงอารมณ์ตอนนี้ก็เข้มแข็งพอ คนที่เป็นอนาคามีแล้ว เป็นผู้มีจิตสะอาด มีอารมณ์ขุ่นมัวบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ อารมณ์ใจยังเนื่องอยู่ในอวิชชา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ยังไม่เข้าถึงสุขที่สุด ที่เรียกว่า เอกันตบรมสุข ก็ควรจะใช้บารมี 10 นำมาประหัตประหารเสีย
    อวิชชานี้ ที่ว่า มีฉันทะ กับราคะ นั้น ท่านก็ตรัสว่า ฉันทะ คือมีความพใจในการเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพรหม ราคะ เห็นว่า มนุษยโลก เทวโลก พรหมโลกก็ดี ยังเป็นกิเลสเบา ๆ คือไม่สามารถจะพ้นทุกข์
    ฉะนั้น ถ้าจะตัดอวิชชา ให้ตัดฉันทะ กับราคะ ในอารมณ์ใจ คิดว่า มนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก ทั้ง 3 ภพนี้ ไม่เป็นที่หมายของเรา คือยังเป็นแดนของความทุกข์ เทวโลก พรหมโลกเป็นแดนของความสุขชั่วคราว เราไม่ต้องการ ต้องการจิตเดียวคือ พระนิพพาน ในใจของท่านต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์ เป็นเอกัคตารมณ์ ในอุปสามานุสสติกรรมฐาน
     
  19. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385


    ....วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ ข้อ เป็นอย่างไรนั้น ให้ท่านศึกษาให้ดี ข้าพเจ้าจะอธิบายเป็นข้อๆพอเป็นแนวให้ได้รู้เอาไว้ เพราะ วิปัสสนูปกิเลสเป็นตัวขัดขวางปิดเส้นทางแห่งมรรคผลนิพพาน ให้ท่านได้สังเกตดูตัวเองอยู่เสมอว่าลักษณะอย่างนี้เป็นวิปัสสนูข้อใด จะได้ระวังตัวเอาไว้ ถ้าได้เกิดเป็นวิปัสสนูข้อใดข้อหนึ่งแล้วก็จะทำให้ใจไขว้เขวได้ เกิดความเห็นผิดแล้วมาคิดว่าตัวเองมีความเห็นถูกเรื่อยไป จึงยากที่จะแก้ไขเยียวยาให้จิตเป็นปกติได้ ในต้นเหตุที่จะเกิดเป็นวิปัสสนูนี้เพราะทำสมาธิไม่มีปัญญารอบรู้นั่นเอง

    ....เปรียบเทียบได้กับขวดที่มียาพิษติดอยู่ภายในซึ่งมองไม่เห็น เมื่อใส่ยาที่มีคุณภาพลงไป สารเป็นพิษก็จะดูดซึมเข้าไปในยา เมื่อนำมากิน ยาที่มีคุณภาพก็จะกลายเป็นยาพิษด้วยกันทั้งหมด เกิดโทษแก่ตัวเองนี้ฉันใด ผู้ปฏิบัติที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดที่ฝังแน่นภายในใจยังไม่ได้แก้ไข เมื่อทำสมาธิจิตเริ่มมีความสงบได้แล้ว มิจฉาทิฏฐิความเห็นผิดก็จะไปบวกกับสมาธิ จิตก็จะเกิดวิปลาสกลายเป็นมิจฉาสมาธิเป็นวิปัสสนูปกิเลสขึ้นโดยไม่รู้ตัว จะเกิดภาพนิมิตต่างๆ จิตก็จะออกไปเกาะติดในนิมิตนั้นๆ ในขณะนั่ง สมาธิจิตจะมีความเพลิดเพลินนั่งสมาธิได้นาน เหมือนกับว่า กายเบาจิตเบาอยากจะนั่งในลักษณะนี้ต่อไป ในอีกระยะหนึ่งนิมิตต่างๆก็จะเลือนลางจางหายไป ใจก็จะเกิดความหวั่นไหวนั่งสมาธิต่อไปอีกไม่ได้ เกิดความหงุดหงิดจนนั่งสมาธิไม่ติดอีกต่อไป ในลักษณะนี้ผู้ทำสมาธิเพื่ออยากรู้อยากเห็นในสิ่งใด ก็จะถูกกิลเสมารหลอกใจให้หลงทางเกิดเป็นมิจฉาความเห็นผิด กลายเป็นวิปัสสนูโดยไม่รู้ตัว ดังจะได้อธิบายเป็นหัวข้อดังนี้

    ....๑. โอภาส ผู้ทำสมาธิเมื่อจิตมีความสงบได้นิดหนึ่งก็จะเกิดเป็นแสงสว่างขึ้นในลักษณะต่างๆ จิตก็จะพุ่งออกไปภายนอก เกาะติดอยู่กับแสงสว่างนั้นๆ ความสว่างมากบ้างน้อยบ้าง มีหลากสีที่แตกต่างกันไปไม่เหมือนกัน ก็จะเกิดมีความสุขเพลิดเพลินอยู่กับโอภาสความสว่างนั้นๆ เมื่อความสว่างนั้นได้จางลงจะนั่งสมาธิต่อไปไม่ได้ ใจก็จะเกิดความหงุดหงิดออกจากการนั่งสมาธิทันที จิตจะมีความอาลัยอาวรณ์ในความสว่างนั้น ไม่อยากให้ความสว่างนั้นเสื่อมไป


    ....๒. ปิติ ในขณะนั่งสมาธิ จิตมีความสงบได้นิดหนึ่งจิตก็จะเกิดความเอิบอิ่มใจ เกิดน้ำตาไหลขนพองสยองเกล้า นั่งอยู่จะมีความเบากายเบาใจ มีความเอิบอิ่มภายในใจอยู่ตลอดเวลา อยากให้เป็นอยู่ในลักษณะนี้นานๆ อาการที่เกิดขึ้นลักษณะนี้ก็เพราะไม่มีปัญญารอบรู้ใสควงามเห็นผิดของตัวเอง จึงเกิดความเข้าใจว่าคุณธรรมได้เกิดขึ้นกับใจเราแล้ว เมื่อปิติได้เสื่อมไป ใจก็มีความอาลัยอาวรณ์ในปิตอนั้นๆ อยากให้เกิดความปิตินี้อยู่บ่อยๆใจจะมีความสุข ผู้ที่ทำสมาธิมีความอยากนำหน้าจะมีอาการลักษณะอย่างนี้เกิดขึ้น ผู้ทำสมาธิต้องระวังตัวให้ดีมีปัญญารอบรู้อยู่เสมอ ​

    ....๓. ปัสสัทธิ เมื่อทำสมาธิ จิตมีความสงบได้นิดหนึ่ง จะเกิดความสงัดกายสงัดใจขึ้นมา ความสงัดหมายถึงความเงียบ วิเวกวังเวงเหมือนอยู่ในที่ไหนก็ไม่รู้ หันหน้าหันหลังไปในทิศทางไหน นั่งอยู่ที่ไหนก็ไม่เข้าใจ ความสงัดในเหมือนได้ตัดขาดจากโลกภายนอกนี้ไป ความสงบสงัดเหมือนตัวเองนั่งอยู่ในโลกนี้คนเดียว ไม่มีอารมณ์ใดมายุ่งเกี่ยวภายในใจให้กระเพื่อมแต่อย่างใด ในความรู้สึกเข้าใจมีความหนักแน่นในการทำสมาธิที่มั่นคง จะนั่งสมาธินานๆก็ย่อมทำได้ ไม่มีความกังวลในสิ่งใดๆ ในลักษณะอย่างนี้เป็นอยู่ไม่นานก็เสื่อม ใจก็เกิดความอาลัยอาวรณ์อยากให้เป็นอย่างนี้ตลอดไป ​

    ....๔. สุขะ เมื่อนั่งสมาธิจนจิตดิ่งสู่ความสงบได้นิดหนึ่ง ก็จะมีความสุขภายในใจได้เกิดขึ้นอย่างมากทีเดียว หายใจเข้าหายใจออกจะมีความสุขอยู่ตลอดเวลา เป็นความสุขที่เกิดจากการทำสมาธิ มีความพอใจยินดีเป็นอย่างมาก อยากให้มีความสุขอยู่กับใจตลอดไป อีกไม่นานความสุขที่เกิดจากการทำสมาธิก็จะเสื่อมลง ความสุขก็จะหายไป ในลักษณะนี้ผู้ทำสมาธิจะมีความเสียดายอาลัยอาวรณ์ อยากให้มีความสุขต่อเนื่องกีนอยู่เสมอ การทำสมาธิก็เพื่อต้องการให้เกิดความสุข หารู้ไม่ว่าความสุขที่เกิดจากสมาธินี้เป็นเหตุให้เกิดความลุ่มหลง เป็นโมหะสมาธิ หลงในความสุข ไม่มีปัญญารอบรู้แต่อย่างใด ​

    ....๕. ญาณะ เมื่อจิตมีความสงบในสมาธิอยู่บ่อยๆ มี ญาณรู้เกิดขึ้น เป็นความรู้กระซิบภายในใจ เรื่องต่างๆเป็นเรื่องทาง
    โลกบ้างทางธรรมบ้าง ในบางครั้งก็รู้ขึ้นเอง ในบางครั้งกำหนดอยากรู้ในสิ่งใดก็จะเกิดความรู้ขึ้นมา ความรู้ทีเกิดขึ้นในครั้งแรกส่วนมากจะเป็นความจริง จึงมีการลืมตัวไปว่า ญาณรู้ได้เกิดขึ้นแล้ว เกิดความเข้าใจผิดความเห็นผิดไปว่า ปัญญาญาณได้เกิดขึ้นในตัวเราแล้ว รู้ในสิ่งใดก็อยากจะพูดให้คนอื่นฟังอยู่เสมอ มักอวดตัวไปว่าเป็นผู้ภาวนาดีปฏิบัติเก่งกล้าสามารถ รอบรู้ในสิ่งต่างๆ หารู้ไม่ว่าวิปัสสนูปกิเลสได้เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เมื่อนานๆเข้า ความรู้นี้จะเพี้ยนไป ไม่เป็นจริงดังที่เคยเป็นมา ​

    ....หากเป็นไปในลักษณะนี้ จะมีการอวดตัว ยกตัวข่มคนอื่นชอบไปตำหนิคนนั้นตำหนิคนนี้ว่าภาวนาปฏิบัติไม่ดีเหมือนเรา เพื่อให้คนอื่นยกย่องสรรเสริญ ยังเข้าใจว่าตัวเองมีคุณธรรม เป็นโลกวิทู มีญาณรู้แจ้งโลก หารู้ไม่ว่าตัวเองเป็นวิปัสสนูปกิเลส ผู้ที่เป็นอย่างนี้จะเกิดมีมานะอัตตาสูง ไม่ยอมฟังคำคนอื่นตักเตือนตำหนิว่าผิดทางแต่อย่างใด ในชาตินี้จะแก้ไขความเห็นผิดไม่ได้เลย เพราะเป็นสังขารจิตหลอกตัวเองว่า ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันบ้าง เป็นพระสกิทาคามี หรือเข้าใจไปว่า ตัวเองได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ มีความมั่นใจในตัวเองว่าเป็นพระอริยเจ้าจริงๆ ​

    ....หากมีคนถามว่าท่านผู้นั้นมีคุณธรรมในระดับไหน ถ้ามีความชอบใจกับท่านผู้นั้นก็จะพูดไปว่า มีคุณธรรมในขั้นนั้นขั้นนี้ไป ถ้าไม่ชอบใจในท่านผู้นั้นก็จะพูดว่าไม่มีคุณธรรมอะไรเลย ถ้าชอบพอกับใครที่เป็นสายเดียวกันจะยกย่องว่าเป็นเพชรน้ำหนึ่ง พูดเป็นเชิงนัยๆให้กลุ่มตัวเองได้รู้กัน เหตุนั้น ญาณะ ถ้าเกิดขึ้นกับใครแล้ว ในยุคนี้จะแก้ไขไม่ได้เลย เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเข้าใจผิดเห็นผิดไปตลอดจนวันตาย ญาณรู้นี้จะเกิดจากการทำสมาธิที่ไม่มีปัญญารอบรู้ในอาการของจิต จึงได้เกิดญาณนิมิตขึ้นโดยไม่รู้ตัว ​

    ....๖. อธิโมกข์ หมายถึง ความเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดว่าเป็นเรื่องจริง เช่นโอภาส ความสว่างที่เกิดขึ้น ปีติ ความเอิบอิ่มใจ ปัสสัทธิ ความสงัดกายสงัดใจ สุขะ ความสุข ญาณะ ญาณรู้ที่เกิดจากใจ มีความเชื่อมั่นว่าทั้งหมดนี้เป็นแนวทางที่จะนำไปสู่มรรคผลนิพพาน เมื่อมีความเชื่อมั่นปักใจลงไปอย่างนี้จึงยากที่จะเปลี่ยนความเห็นผิดได้ ใครจะมาอธิบายให้ฟังว่าเป็นลักษณะนี้ผิด ตัวเองก็มีความมั่นใจว่าเป็นแนวทางที่ถูกอยู่นั่นเอง ใครจะว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิมีความเห็นที่ผิด ก็จะยืนยันว่าเป็นแนวทางที่ถูกตลอดไป จึงยากที่จะแก้ไขให้เป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นที่ถูกต้องชอบธรรมได้ ​

    ....ผู้ปฏิบัติควรศึกษาในความเชื่อขอตัวเองให้ดี ไม่เช่นนั้นจะเป็นศรัทธาวิปยุต เชื่ออะไรงมงายที่ขาดจากเหตุผล ชอบให้คนอื่นมายกย่องตัวเองว่าเป็นผู้ภาวนาดีมีคุณธรรมสูง ถ้ามีผู้ภาวนาเป็นไปเหมือนกันกับเราจะฟังรู้เรื่องกัน จะพูดคุยกันทั้งคืนทั้งวันก็ไม่จบสิ้น ยิ่งทำสมาธิมีความสงบลึกลงไปเท่าไร มิจฉาทิฏฐิความเห็นผิดก็เกิดความรุนแรงมากขึ้น พูดธรรมะได้อย่างละเอียดละออ ผู้ที่ไม่รู้ ได้ฟังอย่างนี้ก็จะมีความเข้าใจไปว่าพระอรหันต์สนทนาธรรมกัน ที่จริงก็คือวิปัสสนูพูดคุยกันนั่นเอง ​

    ....๗. ปัคคหะ มีความเพียรอย่างแรงกล้า ไม่ว่าจะเดินจงกรม นั่งสมาธิ ก็ทำอย่างเอาเป็นเอาตายเลยทีเดียว อุบายในวิธีการภาวนาจะเป็นรูปแบบการทำสมาธิเป็นหลักยืนตัว จะยืนก็กำหนดจิตให้เป็นสมาธิ จะเดินก็กำหนดจิตให้เป็นสมาธิ จะเดินก็กำหนดจิตให้เป็นสมาธิ จะนั่งก็กำหนดจิตให้เป็นสมาธิ จะนอนก็กำหนดจิตให้เป็นสมาธิ แต่อุบายในทางปัญญาทำไม่เป็นเลย แต่ละวันแต่ละคืนจะมีความเพียรอย่างเข้มแข็งโดดเด่นเป็นอย่างมาก มีความสำรวมระวังสิ่งที่มาสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้เป็นอย่างดี ถ้ามีมิจฉาทิฏฐิความเห็นผิดฝังแน่นอยู่ในใจอยู่แล้ว จะภาวนาปฏิบัติทำสมาธิอย่างเข้มข้นอยู่ก็ตาม กำลังใจที่เกิดจากการทำสมาธิก็จะไปบวกกับมิจฉาทิฏฐิ ทำให้เกิดความเห็นผิดมากขึ้น จึงกลายเป็นมิจฉาสมาธิขึ้นโดยไม่รู้ตัว ในชาตินี้จึงหมดสิทธิ์ที่จะได้บรรลุเป็นพระอริยเจ้าขั้นใดขั้นหนึ่งทันที ​

    ....๘. อุปัฏฐาน มีสติระลึกได้เป็นเยี่ยม การเคลื่อนไหวไปมาของร่างกายทุกส่วน จะมีสติระลึกได้เท่ากันทุกอาการที่เคลื่อนไหว กิริยาทางกายจะเฉื่อยช้าไม่ผลุนผลัน การก้าวการคู้ขา การเหยียดแขนคู้แขนก็เฉื่อยช้า ในอิริยาบาต่างๆจะมีสติระลึกรู้เท่าทันอยู่ตลอดเวลา เป็นผู้มีสติระลึกได้ทันต่อเหตุการณ์ แต่ไม่มีปัญญาที่จะนำเอาอุบายธรรมะมาพิจารณาให้เกิดความรู้เห็นตามความเป็นจริงแต่อย่างใดในหลักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ว่ากันไปตามตำรา จะไม่มีปัญญาเป็นของตัวเอง และไม่สนใจที่จะใช้ปัญญาพิจารณาแต่อย่างใด มีเพียงสติระลึกรู้เท่าทันในอารมณ์ภายในใจแต่ละวันเท่านั้น ในบางครั้งมีอารมณ์ของกิเลสหสังขารการปรุงแต่งเกิดขึ้น ก็ใช้สติระลึกรู้เท่าทันเอาไว้ในขณะหนึ่ง ตัณหาก็หลบตัวนอนเนื่องอยู่ภายในใจ เป็นอันว่าใช้สติสมาธิข่มกิเลสตัณหาสังขารไม่ให้ทำงานเท่านั้น
    ....๙. อุเบกขา ทำใจให้มีความวางเฉยได้เป็นอย่างดี จะมีเรื่องอะรเกิดขึ้นก็ทำใขไม่ให้เกิดความกังวลกับสิ่งใดๆ เพราะใจได้วางเฉยอยู่ตลอดเวลา เรื่องอดีตที่ผ่านไปแล้ว ไม่นำมาคิด เรื่องอนาคตก็ไม่คำนึงคิดถึง จะรำพึงอยู่ในใจปัจจุบัน ยืนหยัดอยู่ในความวางเฉยไม่มีความหวั่นไหวไปในสิ่งใดๆ ไม่มีความรัก ไม่มีความชัง โกรธเกลียดในสิ่งใด ใจไม่กระเพื่อมไปตามกระแสโลก ไม่มีอารมณ์ผูกพันเกี่ยวข้องในสิ่งทั้งปวง ไม่ห่วงในสิ่งนั้น ไม่ติดใจในสิ่งนี้ มีใจวางเฉยแน่วแน่ในปัจจุบันทุกกาลเวลา ไม่มีปัญญาพิจารณาให้รู้จริงเห็นจริงในสิ่งที่เป็นจริงได้เลย ​

    ....๑๐. นิกันติ มีความยินดีพอใจในเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด อาการของจิตได้เกิดขึ้นจาก ข้อ ๑ ถึงข้อ ๙ เอามารวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกัน ว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้องอย่างฝังใจ ผลของการปฏิบัติอย่างไรจะมียินดีพอใจอย่างมั่งคง เพียงดำรงชีวิตให้เป็นอยู่ไปวันๆเท่านั้น มีความมั่นใจในตัวเองว่าคุณธรรมระดับสูงได้เกิดขึ้นกับเราแล้ว เหมือนกับว่าไม่มีภาระใดๆที่จะต้องทำอีกต่อไป นี้คือความเห็นของผู้ที่เป็นวิปัสสนูปกิเลสข้อสุดท้าย มีความพอใจในผลของการปฏิบัติของตนอย่างฝังใจ ถ้าใครเป็นลักษณะนี้จะไม่มีใครๆช่วยเหลือได้เลย ถึงครูอาจารย์จะมีคุณธรรมระดับสูงก็ช่วยเหลือไม่ได้ นี้เป็นมิจฉาทิฏฐิความเห็นผิดแต่ขั้นเริ่มแรก แล้วมีความเห็นผิดเรื่อยมา ไม่มีทางแก้ไขได้เลย ​

    ....ข้าพเจ้าได้ให้ข้อคิดแก่ผู้ปฏิบัติทั้งหลายเอาไว้ ในเรื่องวิปัสสนูปกิเลส ๑๐ ข้อนี้ น้อยคนที่จะได้ศึกษาให้เข้าใจว่า นี้เป็นภัยขัดขวางปิดเส้นทางของมรรคผลนิพพาน วิปัสสนูปกิเลสเกิดขึ้นจากความเห็นผิดเป็นต้นเหตุ วิปัสสนูปกิเลส หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า"กิเลสมาร" ผู้ที่ทำสมาธิ ที่ไม่รู้จักมารทั้ง ๑๐ อย่างนี้ จะมีปัญหาเกิดขึ้นอย่างมาก เฉพาะผู้ที่ทำสมาธิที่มีความอยากเป็นตัวเสริม จะเกิดปัญหามารหลอกใจได้ง่าย ถ้าทำสมาธิตามปกติธรรมดาก็ไม่เป็นไร เพียงทไสมาธิพักผ่อนชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เพราะแต่ละวันเราได้ใช้งานทางความคิดไปตามกระแสของโลกตลอดทั้งวัน คิดเรื่องนั้นบ้างคิดเรื่องนี้บ้างจนจิตไม่ได้พักผ่อนได้เลย ถ้าทำสมาธิเพื่อให้จิตได้พักผ่อนเท่านั้น วิปัสสนูปกิเลสหรือกิเลสมารก็ไม่เกิดขึ้นแต่อย่างใด การพักผ่อนใจคือการทำสมาธินี้มีความจำเป็น เหมือนงานทางโลกมีหลายสาขาอาชีพ งานทางราชการ งานของพวกพ่อค้าพานิชหรืองานกรรมกร มิใช่ว่าทำงานตลอดทั้งวันได้ เมื่อเหนื่อยก็ต้องมีการพักผ่อน เพื่อให้เกิดมีพลังทำงานต่อไปได้ฉันใด การทำสมาธิเพื่อให้จิตใจได้พักผ่อนก็ฉันนั้น วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ อย่างก็จะไม่เกิดขึ้น ฉะนั้นผู้ทำสมาธิอย่าทำด้วยความอยาก มากดดันใจตัวเองให้เกิดความอยาก ดังได้อธิบายมาแล้ว ​

    ....การภาวนาปฏิบัติเป็นอุบายวิธีแก้ปัญหาของใจโดยเฉพาะ ผู้ปฏิบัติต้องตั้งหลักให้ถูกกับทิศทางในจุดเริ่มต้นให้ถูกในหลักสัมมาทิฏฐิ ฝึกใจให้มีความเห็นที่ถูกต้องชอบธรรมเอาไว้ เมื่อปฏิบัติไปจะไม่เกิดปัญหาในภายหลัง ให้รู้จักอนุโลมปฏิโลมผ่อนหนักผ่อนเบาไปในตัว ​

    ....เปรียบได้กับวิ่งรถตามเส้นทางที่ไม่เคยไป ต้องขับรถมีความระวังเป็นพิเศษ ทางที่โค้ง ทางหักศอก ควรใช้ความเร็วเท่าไรจึงจะมีความปลอดภัย หากรถวิ่งไป
    ....เปรียบได้กับวิ่งรถตามเส้นทางที่ไม่เคยไป ต้องขับรถมีความระวังเป็นพิเศษ ทางที่โค้ง ทางหักศอก ควรใช้ความเร็วเท่าไรจึงจะมีความปลอดภัย หากรถวิ่งไปด้วยความเร็วสูงจนบังคับไม่ได้ เกิดแหกโค้งจะส่งผลอันตรายต่อชีวิตได้ ถ้าคนขับรถดี รถมีความสมบูรณ์ ทางก็เรียบและรอบรู้แผนที่เส้นทาง เมื่อครบในสาเหตุสี่อย่างนี้จะถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการแน่นอน ถ้าคนขับรถไม่ดี รถก็ไม่ดี เส้นทางเป็นหลุมเป็นบ่อขรุขระ และไม่รู้แผนที่เส้นทาง รับรองว่าไปไม่ถึงไหนเลย นี้ฉันใด การปฏิบัติก็ฉันนั้น การปฏิบัติเพื่อให้ถึงจุดหมายคือมรรคผลนิพพานนั้น ถ้าผู้ศึกษามีอุบายวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องตั้งแต่จุดเริ่มต้นแล้ว จะถึงจุดหมายปลายทางโดยไม่ต้องลังเลสงสัย ​

    ....ที่ได้อธิบายในเรื่องของผู้มีนิสัยเจโตวิมุติมาให้ท่านผู้อ่านได้รู้อย่างนี้ ก็เพื่อให้ท่านได้สำรวจดูตัวเองว่า เป็นนิสัยเจโตวิมุติ หรือเป็นนิสัยปัญญาวิมุติกันแน่ ถ้าเราไม่รู้จักนิสัยตัวเอง ก็ยากที่จะหาหมวดธรรมมาประกอบให้เข้ากันกับนิสัยของตัวเองได้ เหมือนกินยาไม่ถูกกับโรค กินยาทุกวันโรคก็ไม่หาย นี้ฉันใด การปฏิบัติก็เป็นไปฉันนั้น. ​
     
  20. สาวกธรรม1

    สาวกธรรม1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +173
    สาธุ ธรรมะ และวิธีการปฏิบัติ มาแล้วครับ:cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...