พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ยอดปราชญ์แห่งแผ่นดิน

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย 5314786, 20 พฤษภาคม 2011.

  1. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    ประวัติพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี

    [​IMG]


    วันเดือนปีเกิด
    ๒๙ มกราคม ๒๕๑๖

    บรรพชา
    ๘ เมษายน ๒๕๓๐ ณ พัธสีมาวัดครึ่งใต้ ต.ครึ่ง อ.เชียงของ จ.เชียงราย

    อุปสมบท

    ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๓๗ ณ พัธสีมาวัดครึ่งใต้ ต.ครึ่ง อ.เชียงของ จ.เชียงราย

    การศึกษา
    ศษ.บ. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (๒๕๔๓)
    พธ.ม. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (๒๕๔๖)
    ป.ธ.๙ สำนักวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม (๒๕๔๓)

    การทำงาน
    อาจารย์พิเศษ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร

    อาจารย์พิเศษ สถาบันพระปกเกล้า วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน

    อาจารย์ พิเศษและวิทยากรบรรยายพุทธศาสนากับศาสตร์ร่วมสมัย ของมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาชั้นนำของรัฐ และเอกชนมากมาย เช่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยศรีปทุม มหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นต้น

    เป็น อนุกรรมการทูตสันติภาพฝ่ายศาสนสัมพันธ์ โครงการทูตสันติภาพ (Ambassador for Peace) ของสหพันธ์นานาชาติและศาสนาเพื่อสันติภาพโลก (ประเทศไทย) สหพันธ์สันติภาพสากล

    เป็นที่ปรึกษา คณะกรรมการส่งเสริมการอ่านเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต กระทรวงศึกษาธิการ

    เป็น คอลัมนิสต์เขียนบทความเชิงวิชาการ กึ่งวิชาการ และบทความทั่วไปให้กับหนังสือพิมพ์และนิตยสารมากมาย เช่น เนชั่นสุดสัปดาห์ มติชนสุดสัปดาห์ ประชาชาติธุรกิจ โพสต์ทูเดย์ กรุงเทพธุรกิจ แพรว WE, HEALTH & CUISINE ชีวจิต ชีวิตต้องสู้ หญิงไทย แก้จน และบางกอก ฯลฯ

    เป็นวิทยากรบรรยายธรรมและนำภาวนาตามสถาบันและองค์กรของรัฐรวมทั้งเอกชน ทั้งในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัดและต่างประเทศ

    เป็น ผู้ก่อตั้งสถาบันวิมุตยาลัย (Vimuttayalaya Institute) : อันเป็นสถาบันเพื่อการศึกษา วิจัย ภาวนา และนำเสนอภูมิปัญญาทางพุทธศาสนาสู่ประชาคมโลก โดยเน้นปรัชญาการทำงานในลักษณะพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพโลก (Buddhism for World Peace)

    เป็น วิทยากรประจำรายการโทรทัศน์หลายรายการ เช่น ธรรมะติดปีก (TPBS), มหัศจรรย์แห่งปัญญา (ช่อง ๑๑), เมืองไทยวาไรตี้ (ททบ.๕) ร้านชำยามเช้า (TITV), กล้าคิดกล้าทำ (ททบ.๕), พุทธประทีป (ททบ.๕) สยามทูเดย์ (ททบ.๕) รอยธรรม,ธรรมาภิวัฒน์ (ASTV) และ ที่นี่หมอชิต (ช่อง ๗) ตาสว่าง (ช่อง ๙) และอื่นๆ

    ผลงานนิพนธ์

    ภาษาไทย

    ผล งานนิพนธ์ภาคภาษาไทยมีมากกว่า ๕๐ เล่ม เช่น ธรรมะติดปีก ธรรมะดับร้อน ธรรมะหลับสบาย ธรรมะบันดาล ธรรมะทำไม ธรรมะรับอรุณ ธรรมะราตรี ธรรมะเกร็ดแก้ว ธรรมะสบายใจ ธรรมะทอรัก ธรรมะชาล้นถ้วย ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง สบตากับความตาย ในหลวงครองราชย์พุทธทาสครองธรรม หนังสือเรียนพระพุทธศาสนา (ม.๑ – ม.๖) กำลังใจแด่ชีวิต DNA ทางวิญญาณ ตายแล้วเกิดใหม่ตามนัยพุทธศาสนา คลื่นนอกคลื่นใน ตื่นรู้อยู่ด้วยรัก ทุกข์กระทบธรรมกระเทือน สิ่งสำคัญไม่อาจเห็นด้วยตา แค่ปล่อยก็ลอยตัว ธัมมิกประชาธิปไตย (Buddhist Democracy) ธัมมิกเศรษฐศาสตร์ (Buddhist Economics) ตะแกรงร่อนทอง ว่ายทวนน้ำ เป็นต้น

    ภาษาอังกฤษ

    ผลงานภาคภาษาไทย ที่ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ และภาษาต่างประเทศ อื่น เช่น ภาษาจีน ภาษาสเปน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาญี่ปุ่น ประกอบด้วย

    -ธรรมะหลับสบาย ANGER MANAGEMENT


    -ธรรมะทอรัก LOVE MANAGMENT

    -ธรรมะรับอรุณ DHARMA AT DAWN

    -ธรรมราตรี DHARMA AT NIGHT

    -สบตากับความตาย LOOKING DEATH IN THE EYE

    -ธรรมะสบายใจ MIND MANAGEMENT

    อนึ่ง หนังสือ “ธรรมะหลับสบาย ธรรมะทอรัก และสบตากับความตาย” นอกจากได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษแล้ว ปัจจุบันยังได้รับการแปลเป็นภาษาสเปน อินโดนีเชีย จีน ญี่ปุ่นและศรีลังกาอีกด้วย

    เกียรติคุณ

    พ.ศ.๒๕๔๗ ผลงาน “ธรรมะติดปีก” ได้รับการนำไปดัดแปลงเป็นละครโทรทัศน์ทางไทยทีวีสีช่อง ๓ ได้รับรางวัลจากสถาบันต่างๆ กว่าสิบรางวัล

    พ.ศ.๒๕๔๘ รางวัล “ผู้มีผลงานด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาดีเด่น” (จากผลงานนิพนธ์ ๔ เรื่อง คือ ธรรมะติดปีก ธรรมะหลับสบาย ธรรมะดับร้อน ธรรมะบันดาล) จากมูลนิธิศาสตราจารย์พิเศษจำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิต

    พ.ศ.๒๕๔๘ สภาศาสนาเพื่อสันติภาพโลก ยกย่องเป็น “ทูตสันติภาพโลก”

    พ.ศ.๒๕๔๙ นิตยสาร Positioning ยกย่องให้เป็นหนึ่งใน “๕๐ ผู้ทรงอิทธิพลของสังคมไทย ปี ๒๕๔๙”

    พ.ศ.๒๕๔๙ รางวัล “The Great Dharma Putta Award” (พระธรรมทูตผู้มีผลงานดีเด่นระดับโลก) จากรัฐบาลและคณะสงฆ์แห่งประเทศศรีลังกา และองค์กร WBSY (World Buddhist Sangha Youth) ในฐานะเจ้าภาพจัดงาน “สมโภช ๒๕๕๐ ปีแห่งพระพุทธศาสนายุกาล” (The Celebration of 2550th Buddha Jayanti)

    พ.ศ.๒๕๕๐ รางวัล BUCA HONORARY AWARDS ในฐานะผู้มีผลงานโดดเด่นในการนำเสนอธรรมะแบบอินเทรนด์ และมีคุณูปการต่อวงการวิชาชีพนิเทศศาสตร์ จากคณะ นิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

    พ.ศ.๒๕๕๐ รางวัล “รตนปัญญา” (Gem of Wisdom Award) ซึ่งเป็นรางวัลเกียรติยศสำหรับพระสงฆ์ผู้ทรงภูมิปัญญาเป็นเอก จากคณะสงฆ์และประชาชนจังหวัดเชียงราย

    พ.ศ. ๒๕๕๐ รับพระราชทานรางวัล “เสาเสมาธรรมจักรทองคำ” ในฐานะผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา สาขาการแต่งหนังสือทางพระพุทธศาสนา จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ในงานสัปดาห์วิสาขบูชาโลก ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง

    พ.ศ.๒๕๕๐ รับพระราชทานรางวัล “บุคคลผู้ทำคุณประโยชน์ต่อเยาวชน”

    สาขา การศึกษาและวิชาการ จากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสวันเยาวชนแห่งชาติ ณ อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น)

    พ.ศ.๒๕๕๐ รางวัล “Young & Smart VOTE 2007 สาขา คนรุ่นใหม่ที่มีบทบาทต่อสังคม” จากนิตยสารสุดสัปดาห์ บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พลับลิชชิ่ง

    พ.ศ.๒๕๕๐ รางวัล “ผู้มีอุปการคุณต่อวงการห้องสมุด และการศึกษาวิชาบรรณรักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์” จากสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

    พ.ศ.๒๕๕๑ รางวัล “นักเขียนบทความดีเด่นประจำปี ๒๕๕๑” จากมูลนิธิ ม.ร.ว.อายุมงคล โสณกุล

    พ.ศ.๒๕๕๑ รางวัลกิตติคุณสัมพันธ์ “สังข์เงิน” ในฐานะผู้ที่มีผลงานการประชาสัมพันธ์ดีเด่น จากสมาคมนักประชาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

    พ.ศ.๒๕๕๑ รางวัล “ผู้มีอุปการคุณต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา” ของมูลนิธิรวมใจเผยแผ่ธรรมะ จากสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช

    พ.ศ.๒๕๕๑ รางวัล “ผู้บำเพ็ญประโยชน์ในการพัฒนาจิต ประจำปี ๒๕๕๑” จากสภาชาวพุทธ ร่วมกับมูลนิธิโลกทิพย์

    พ.ศ.๒๕๕๑ รางวัล “ผู้ทำคุณประโยชน์และสร้างชื่อเสียงให้แก่บัณฑิตวิทยาลัย” จากบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

    พ.ศ.๒๕๕๑ รางวัล “ลูกที่มีความกตัญญูกตเวทีอย่างสูงต่อแม่ ประจำปี ๒๕๕๑” จากสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์

    พ.ศ.๒๕๕๑ ได้รับคัดเลือกเป็น “๑ ใน ๑๐๐ บุคคลผู้เป็นแรงบันดาลใจ” (100 idols)จากนิตยสาร a day

    พ.ศ.๒๕๕๑ ได้รับยกย่องจากกรุงเทพธุรกิจและกรุงเทพธุรกิจออนไลน์เป็น นักคิดนักเขียนแห่งปี

    พ.ศ.๒๕๕๑ ได้รับยกย่องจากหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ให้เป็น “คนรุ่นใหม่ผู้เป็นความหวัง”

    พ.ศ.๒๕๕๒ ได้รับโหวตให้เป็นสุดยอดนักคิด ปี ๒๕๕๑ จากสถานีวิทยุ อสมท. F.M.96.5 MHz คลื่นความคิด

    พ.ศ.๒๕๕๒ รางวัล “บุคคลคุณภาพผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม” จากโรงเรียนสุวรรณสุทธารามวิทยา

    พ.ศ.๒๕๕๒ รางวัล “บุคคลต้นแบบคนดีศรีแผ่นดิน ปี ๒๕๕๑” จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

    พ.ศ.๒๕๕๒ รางวัล “พุทธคุณูปการ รัชตเกียรติคุณ” ผู้มีพุทธคุณูปการต่อพระพุทธศาสนา จากคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร



    เครดิตที่มา http://banimboonpravovachiramati.blogspot.com/2009/10/blog-post_25.html
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2011
  2. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    พระพุทธเจ้าเคยตรัสเอาไว้ว่า จงอย่าได้ประมาทใน

    1.กษัตริย์ ว่ายังเยาว์

    2.งูว่าตัวเล็ก

    3.ไฟว่ากองเล็ก

    4.ภิกษุว่ายังหนุ่ม
     
  3. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    25 ตุลาคม พ.ศ. 2552

    พร 4 ข้อของ ท่านว.วชิรเมธี


    [​IMG]

    1. อย่าเป็นนักจับผิด

    คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่าหลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง "กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก"

    คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส "จิตประภัสสร" ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี

    "แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข"

    2. อย่ามัวแต่คิดริษยา

    "แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน"

    คนเราต้องมีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

    คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า "เจ้ากรรมนายเวร"

    ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้อง ถอดถอน

    ความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น "ไฟสุมขอน" (ไฟเย็น)

    เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อน

    เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี "แผ่เมตตา"

    หรือ ซื้อโคมมา แล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล่อยให้ลอยไป

    3. อย่าเสียเวลากับความหลัง

    90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ "ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น"

    มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องเคราต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย

    ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ

    "อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน"

    "อยู่กับปัจจุบันให้เป็น"

    ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี "สติ" กำกับตลอดเวลา

    4. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ

    "ตัณหา" ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่ เกินพอดี

    เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ

    ธรรมชาติของตัณหา คือ "ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม"

    ทุกอย่างต้องดูคุณค่าที่แท้ ไม่ใช่คุณค่าเทียม

    เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกา คืออะไร คือ ไว้ดูเวลา ไม่ใช่มีไว้ ใส่เพื่อความโก้หรู

    คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือ คืออะไร คือไว้สื่อสาร

    แต่องค์ประกอบอื่น ๆ ที่เสริมมาไม่ใช่ คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์



    เราต้องถามตัวเองว่า "เกิดมาทำไม"
    "คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน"

    ตามหา " แก่น " ของชีวิตให้เจอ

    คำว่า "พอดี" คือถ้า "พอ" แล้วจะ "ดี"

    รู้จัก "พอ" จะมีชีวิตอย่างมีความสุข



    มอบสิ่งที่ดี ๆ ให้แก่คนที่ท่านรักแลปรารถนาดี เป็นบุญเป็นกุศลยิ่งนัก




    เครดิตที่มา http://banimboonpravovachiramati.blogspot.com/2009/10/blog-post_25.html
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2011
  4. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    ๒๐ คำถามกับท่าน ว.วชิรเมธี


    [​IMG]


    หลักคิดจาก ว.วชิรเมธี


    ๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน?

    ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก

    ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ

    ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ


    ๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี?

    (๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด

    (๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง

    (๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว

    (๔) ขออย่าให้ตายในสงครามระหว่างคนไทยด้วยกันเอง


    ๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี?

    ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ

    ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ

    ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข


    ๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน?

    งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน

    รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน

    อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน


    ๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา?

    โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว

    คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์ ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง


    ๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี?

    (๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง

    (๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน

    (๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา


    ๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร?

    เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้


    ๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี?

    (๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ

    (๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ

    (๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ


    ๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร?

    โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม

    คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี

    คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้ เป็นของธรรมดา

    ทำงานดีจนมีคนริษยา ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา


    ๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี?

    (๑) หางานใหม่

    (๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก

    (๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ

    (๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่


    ๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย?

    คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง

    คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย


    ๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม?

    ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ

    แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป

    แทนที่จะไถ่โคกระบือ คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า


    ๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน?

    ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน

    ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน


    ๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี?

    มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน

    ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ


    ๑๕. จัดงานวันเกิดควรได้อะไร?

    (๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร

    (๒) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาจากใคร

    (๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง


    ๑๖. สวดมนต์บทไหนดี?

    (๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น

    (๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ

    (๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้ คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง


    ๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี?

    (๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู

    (๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น

    (๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด


    ๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก?

    (๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป

    (๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย

    (๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน


    ๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม?

    ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน


    ๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ?

    ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์

    ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน มองอย่างพินิจจะพบว่า ในดีมีเสีย ในเสียมีดี




    เครดิตที่มา http://banimboonpravovachiramati.blogspot.com/2009/10/blog-post_25.html
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 0999.jpg
      0999.jpg
      ขนาดไฟล์:
      45.8 KB
      เปิดดู:
      1,955
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2011
  5. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    งานเลี้ยงลูกของมารดาสำคัญกว่าการปั้นพระของศิลปิน


    [​IMG]

    ขอเจริญพร ท่านกัลยาณมิตร แห่งบ้านเรือนธรรม

    ก่อน ที่จะฟังธรรม ขอเจริญพรทุกท่านได้สำรวมจิตใจด้วยการยืดตัวขึ้นมา ประสานมือไว้ที่หน้าตัก แล้วก็หลับตา ตามดูลมหายใจของแต่ละคนอย่างน้อยๆ สามครั้งจนสิ้นเสียงระฆัง เสร็จแล้วจากนั้นเมื่อจิตสงบเราก็มาฟังธรรมกัน



    หัวข้อธรรมที่อาตมาภาพตั้งใจจะพูดถึงในวันนี้ก็คือ อยากจะให้ชื่อว่า

    เด็กๆ คือรากแก้วของมนุษยชาติ ที่ อยากจะพูดเรื่องนี้ ก็เพราะมองว่าเด็กและเยาวชนของเราทุกวันนี้ ถูกทอดทิ้งกันมาก
    วันวานอาตมาภาพได้รับเชิญไปร่วมงานเปิดตัวหนังสือเล่มหนึ่ง เป็นหนังสือเกี่ยวกับความรัก ก็มีดารานักแสดงคนหนึ่งมาร่วมเสวนาด้วย
    อาตมาภาพก็ได้เปิดประเด็นไว้ว่าเด็กๆ ของเราทุกวันนี้ เด็กก็ดี เยาวชนก็ดี ในเมืองไทยมีปัญหามาก แม้แต่ในโรงเรียนก็มีปัญหามาก
    ปัญหาที่สำคัญยิ่งยวดของเด็กไทยทุกวันนี้ก็คือค่านิยมเสรีทางเพศ กระทรวงศึกษาเองก็ตระหนักรู้ถึงขั้นพยายามที่จะให้เด็กๆ ได้เรียนวิชาเกี่ยวกับการจัดการ ในเรื่องของการมีสัมพันธภาพที่ถูกต้อง ระหว่างผู้หญิงผู้ชาย ให้ชื่อว่าวิชาเพศศึกษา
    แต่ปรากฎว่าทำคู่มือออกมาแล้วกลายเป็นวิชาเพศสัมพันธ์ นายกรัฐมนตรีสั่งงดห้ามแจกหนังสือคู่มือวัยใส
    ก็จะเห็นว่าการแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนของเมืองไทยเรานั้น ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐบาลก็ดี ภาคเอกชนก็ดี ภาคสื่อมวลชนก็ดี
    แม้แต่ในสถาบันการศึกษาต่างๆ ก็ดี ทำกันอย่างผิดฝาผิดตัวมาโดยตลอด เรื่องนี้จะเป็นเรื่องใหญ่ถึงขนาดเป็นวาระแห่งชาติของสังคมไทย




    ทำไม จึงพูดอย่างนี้ ก็เพราะว่า ทุกวันนี้ข่าวที่พ่อแม่เด็ก คลอดลูกแล้วก็เอาลูกไปทิ้งตามถังขยะ เป็นเรื่องปกติมาก
    ล่าสุดวันก่อน หนังสือพิมพ์เพิ่งลงข่าวมีวัดๆหนึ่งแถวปทุมธานี อนุญาตให้มีการเอาเด็กที่ทำแท้งแล้วไปฝัง
    พระก็ทำพิธีให้ พอตำรวจรู้เรื่องนี้ ก็ไปทำข่าว นักข่าวก็ตามไปขุดคุ้ย กลายเป็นประเด็นใหญ่ทางสังคมขึ้นมาอีก
    เพราะว่าถ้ามีการทำแท้งแล้วมีสำนักๆ หนึ่งรับจัดทำพิธีกรรมทางศาสนาให้เป็นพิเศษ มันก็เหมือนกับว่าคนกลุ่มหนึ่งผลิตสินค้าออกมา
    แล้วคนกลุ่มหนึ่งก็เปิดช่องทางการขายให้ เพราะฉะนั้นเวลามีคนทำแท้งวัดก็จัดงานศพให้


    แทนที่วัดจะบอกว่านี่คือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง วัดก็เหมือนกับเป็นแหล่งปล่อยสินค้าไป นี่คือความวิปริตผิดเพี้ยนซึ่งเกิดขึ้นในสังคมไทย
    แล้วถ้าเราไม่รู้เท่าทัน สิ่งนี้กำลังจะเป็นปัญหา เพราะว่าเด็กของเรา
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพูดเมื่อ วันที่ 4 ธันวาคม ปีที่ผ่านมา
    บอกว่าเด็กไทยตอนนี้สมองเสีย หูเสีย หูเสียเพราะอะไร? อยู่กับสื่อซึ่งอึกทึก รุนแรง
    อยู่กับดนตรีซึ่งหาความเป็นคลาสสิคแทบไม่ได้ สมองไปเสียกับอะไร? เรื่องเกมส์ เรื่องรายการโทรทัศน์ซึ่งไร้สาระ สุรา นารี เหล้า บุหรี่
    สิ่งเหล่านี้พรากเอาศักยภาพทางสมองอันเลิศเลอของเด็กๆ ของเราไป ผู้ใหญ่ในสังคม
    โดยเฉพาะยิ่งในสังคมยุคการตลาดกันใหญ่ยุคอุตสาหกรรมหรือยุคข่าวสารข้อมูลทุก วันนี้ ผู้ใหญ่ของเราก็มองเด็กๆว่า
    เป็นทาร์เก็ตกรุ๊ปจ้องแต่จะขายของกับเด็ก ซึ่งผิดกับคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเรามองเด็กๆว่าเป็นความหวังของประเทศชาติบ้าน เมือง




    ครั้ง หนึ่งในการประชุมที่ทำเนียบรัฐบาล อาตมาภาพเคยเสนอว่าทำไมไม่เอาหนังสือธรรมะดีๆ เข้าไปเป็นหนังสืออ่านนอกเวลา
    เพราะว่าหนังสืออ่านนอกเวลาที่เรามีๆอยู่นั้น เดี๋ยวนี้ล้าสมัยไปมาก หนังสือธรรมะเหล่านั้นบริบทมันไม่เข้ากับยุคกับสมัยของเยาวชนรุ่นใหม่เป็น
    เหตุหนึ่ง เป็นเหตุให้เด็กเบื่อธรรมะ ตอนนี้เรามีหนังสือธรรมะดีๆเยอะแยะไปหมด ทำไมเราไม่เอาหนังสือดีๆ เหล่านี้เข้าไป
    ให้เด็กๆได้เห็นว่ารูปโฉมของหนังสือธรรมะนั้นเปลี่ยนแปลงไปแล้วนะ ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งก็บอกว่า
    “เรื่องอย่างนี้มันไม่ใช่ง่าย” อาตมาก็สงสัยว่าทำไมเวลาเราจะทำอะไรดีๆให้สังคมไทยนี้ ใครต่อใครก็บอกว่ามันยากมาก เข้าใจว่า


    ครั้งหนึ่งมีคนมาเล่าให้ฟังว่า ตอนที่มีการปฎิรูปหลักสูตรใหม่ วิชาที่หายไปก็คือวิชาพระพุทธศาสนากับวิชาประวัติศาสตร์ วิชาพระพุทธศาสนา
    นี่ชาวพุทธเดินขบวนประท้วงกันล่ารายชื่อกันได้เป็นล้านราย ชื่อ สุดท้ายก็ได้วิชาพระพุทธศาสนาคืนมา
    แต่มีข้อแม้ว่าให้สอนสัปดาห์ละคาบ สอนมากๆ ไม่ได้เดี๋ยวเด็กไทยมีคุณธรรม วิชาประวัติศาสตร์หายไป
    เข้าใจว่าผู้ที่ทักท้วงก็คือสมเด็จพระเทพรัตราชสุดา ของเรา อันนี้ข้อเท็จอย่างไรไม่รู้ รู้มาว่า
    พระองค์ท่านถามว่า “ถ้าไม่ให้เด็กไทยเรียนประวัติศาสตร์ เด็กเหล่านี้ต่อไปเขาจะรู้หรือเปล่าว่าเมืองไทยใครเป็นคนที่ก่อร่างสร้างตัว
    ขึ้นมา สุโขทัยมาจากไหน อยุธยามาจากไหน รัตนโกสินทร์มาจากไหน
    บ้านเมืองที่อยู่ทุกวันนี้ บรรพบุรุษของเราลำบากกันมายังไงเด็กๆ ก็จะไม่รู้” ประวัติศาสตร์ไทยเอาออก
    แต่เรียนประวัติศาสตร์สากล พระพุทธศาสนาเอาออกให้เรียนจริยธรรมสากล




    นี่คือสภาพความเป็นจริง ซึ่งเด็กๆของเรากำลังคลุกคลีอยู่ การที่จะทำอะไรดีๆ ให้เด็กให้เยาวชนคนไทยของเรานั้น
    เหมือนกับว่าเรากำลังสิ่งซึ่งไม่มี คุณค่าเพราะพอตั้งใจจะทำก็มีเสียงคัดค้านออกมาทุกที เหมือนการปฎิรูปการศึกษา
    ทำมาหกปีล่าสุดรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ คนใหม่ท่านบอกว่าหกปีที่ผ่านมาเราแทบไม่ได้ทำอะไรเลยที่มีประโยชน์ที่แท้ จริง
    หกปีเปลี่ยนรัฐมนตรีไปอย่างน้อยสี่คน เด็กไทยเป็นเด็กที่น่าสงสารมากๆ คือเฉพาะรัฐบาล
    เถียงกันว่าจะให้เด็กเข้าไปเรียนในระบบมหาวิทยาลัยอย่างไรดี แล้วก็เถียงกันอย่างน้อยสามสี่ปี
    ในขณะที่บางประเทศซึ่งเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว การศึกษาระดับปริญญาตรีเป็นเรื่องซึ่งรัฐจะต้องจัดให้
    เด็กทุกคนต้องได้หนังสืออย่างน้อยจบปริญญาตรี แต่ของเราถ้าเด็กมีปัญญาเรียนจบม.๖ ได้ก็วิเศษแล้ว
    ปริญญาตรีเป็นเรื่องที่ต้องขวนขวายกันเอง บ้านเมืองใดก็ตามถ้าไม่ให้ความสำคัญเรื่องการศึกษาบ้านเมืองนั้นก็ล้าหลัง
    และเช่นเดียวกันบ้านเมืองใดก็ตามที่ละเลยเด็กๆ บ้านเมืองนั้นก็ไม่มีอนาคต เมืองไทยของเราเป็นบ้านเมืองซึ่งมีอนาคตที่น่าเป็นห่วงมาก




    ดยเฉพาะ ทุกวันนี้มีค่านิยมอย่างหนึ่ง นอกจากค่านิยมเรื่องการเห็นเด็กๆ เป็นกลุ่มเป้าหมายของการขายสินค้าแล้ว
    ก็ยังมีค่านิยมอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า สิ่งใดก็ตามที่ไปเห็นกันว่าเป็นสิ่งผิด สิ่งเลว แต่เดี๋ยวนี้สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงาม
    คนทุกคนมุ่งไปสู่ความสำเร็จโดยไม่คำนึงถึงความสง่างาม ค่านิยมแบบนี้ทำให้ระบบจริยธรรมในสังคมคนไทยกลายเป็นสีเทา
    เพราะอะไร เพราะผู้ใหญ่ไม่ค่อยพูดถึงเรื่องความซื่อสัตย์ สุจริตมากนัก ผู้ที่ใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    คือ ด็อกเตอร์สุเมธ ตันติเวชกุล พยายามรณรงค์เรื่อง ฉันรักคนดี ฉันเกลียดคนโกง รณรงค์อยู่เป็นปีๆ ก็ไม่มีใครขานรับ เหมือนเสียงกู่กลางทะเลทราย ทำไมจึงไม่มีใครขานรับก็เพราะว่า ถ้ามีคนขานรับมากๆ การฉ้อโกง การทุจริตการคอรัปชั่น ในสังคมไทยก็จะทำได้ยากขึ้น เพราะฉะนั้นคนทำดีในเมืองไทย เป็นคนที่ค่อนข้างโดดเดี่ยว อยากจะตั้งเป็นข้อสังเกตุเอาไว้ว่า ท่ามกลางสภาพสังคมอย่างนี้เอง ถ้าเราปล่อยให้ลูกให้หลานของเราเติบโตขึ้นมาโดยไม่มีธรรมะมากำกับ ลูกหลานของเราจะอยู่กันอย่างไร จะบริหารประเทศชาติบ้านเมืองกันอย่างไร นี่เป็นเหตุที่ยกเอาเรื่องเด็กๆ คือรากแก้วของมนุษยชาติขึ้นมาพูดในวันนี้







    เร็วๆ นี้อาตมาภาพมีโครงการจะทำหนังสือสวดมนต์สำหรับเด็ก ประชุมมาแล้วรอบหนึ่ง ตั้งชื่อว่าสัปดาห์หนึ่งมีเจ็ดมนต์
    แนวคิดหลักก็คืออยากให้พ่อแม่ลูก ได้สอนลูกตัวเล็กๆ สวดมนต์พร้อมกันก่อนนอน
    เพื่อเป็นการปลูกฝังคุณธรรมลงไปในจิตใจของเด็กๆ ตั้งแต่เป็นเด็กเป็นเล็ก
    แล้วประการต่อมา
    เพื่อให้พ่อแม่ลูก ได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความอบอุ่นทางจิตวิญญาณ ความอบอุ่นทางจิตวิญญาณนี้สำคัญมาก ใช่ไหม
    คนเราแสวงหาความอบอุ่นจากอ้อมกอดของคนนั้น จากคนนี้ จากทรัพย์สมบัติ จากทรัพย์ศฤงคาร จากเงิน จากทอง
    แต่ถ้าเขาไม่มีความอบอุ่นทางจิตวิญญาณ คนซึ่งมีเงินมากๆ อบอุ่นเพราะว่ามีเงินมาก ก็ใช้เงินไปในทางที่ผิด เอาเงินไปต่อเงิน
    ไปฉกชิงวิ่งราวผลประโยชน์ของสังคมเอามาเป็นผลประโยชน์ของตัวเอง เห็นไหมว่าความอบอุ่นต่างๆ มันเป็นความอบอุ่นภายนอก
    ถ้าไม่มีความอบอุ่นทางจิตวิญญาณเป็นเกราะป้องกัน คนซึ่งมีโอกาสมากกว่าก็จะใช้โอกาสนั้นเพื่อการทำร้ายเพื่อนมนุษย์
    แต่ถ้าเขามีความอบอุ่นทางจิตวิญญาณ ความอบอุ่นทางวิญญาณในอ้อมกอดของพ่อของแม่ที่อบอุ่น
    ถ้าเด็กคนนั้นเติบโตมาท่ามกลางพ่อแม่ที่ให้ความรักให้ความเอ็นดู อบรมบ่มเพาะในทางจิตวิญญาณมาเป็นอย่างดี
    เด็กดีๆ คนหนึ่งเมื่อหลุดไปสู่สังคมจะทำให้คนนับร้อย นับพัน นับหมื่น นับแสน นับล้าน กลายเป็นคนดี


    เด็ก เลวๆ กร้าวร้าวคนหนึ่งที่หลุดออกมาจากครอบครัว ไปยืนอยู่ท่ามกลางสังคม อาจจะทำให้สังคมทั้งสังคม
    ประเทศทั้งประเทศ โลกทั้งโลกปั่นปวนได้ทั้งหมด


    เมล็ดพันธ์แห่งความดีเมล็ด หนึ่ง ถ้าไปตกแผ่นดินใดก็ตามอาจทำให้แผ่นดินนั้นเป็นแผ่นดินทอง
    เช่นเดียวกันเมล็ด พันธุ์แห่งความชั่วร้ายเพียงเมล็ดเดียว ไปตกอยู่ในแผ่นดินใดก็ตามอาจจะทำให้แผ่นดินนั้นลุกเป็นไฟ

    เด็กๆ มีศักยภาพที่จะเป็นได้ทั้งเมล็ดพันธุ์แห่งความดี และก็ความชั่วร้าย
    ทั้งหมดนี้มันก็ขึ้นอยู่กับผู้เป็นพ่อและแม่ จะอบรมบ่มเพาะให้เขาเป็นเมล็ดพันธุ์ของอะไร
    อาตมาภาพเองเติบโตขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศที่โยมพ่อโยมแม่รักมาก ที่บ้านของอาตมาภาพเป็นบ้านนอกชนบทชายขอบ
    เราเรียกตัวเองว่าเป็นพวกปลายอ้อ ปลายแขน
    โยมแม่ก็จบแค่ป.๔ แต่เป็นผู้หญิงซึ่งเรียนเก่งมาก โยมพ่ออ่านหนังสือไม่ออก

    แต่ที่บ้านอาตมาภาพมีวัฒนธรรมอยู่อย่างหนึ่งคือวัฒนธรรมกอด วัฒนธรรมกอดกับวัฒนธรรมสุพรรณไปไหนไปกัน
    ไปไหนไปกัน ยกกันไปเป็นคณะ พ่อแม่ลูกหลาน ยกกันไปหมดเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง
    หลานของอาตมาภาพสอบติดโรงเรียนนายร้อยสามพรานเป็นนักเรียนนายร้อยนักเรียน เตรียมทหาร
    เชื่อไหมว่าถึงแม้ว่าเขาจะแยกมาอยู่กับพ่อกับแม่แล้วที่คนละหมู่บ้าน แต่ทุกครั้งที่กลับจากกรุงเทพไปเชียงของ
    หลานของอาตมาภาพลงรถเสร็จแล้ว ไปบ้านคุณตาคุณยาย ไปไหน? ไปกอด ไปหอมคุณตาคุณยายก่อน
    เมื่อวัฒนธรรมอย่างนี้ก็ทำให้ลูกให้หลานรักกันมาก



    พ่อ แม่ลูกหลาน เราเป็นครอบครัวขยาย ซึ่งทุกวันนี้นับวันยิ่งขยาย อาตมาภาพมาอยู่กรุงเทพก็เป็นหลวงน้า
    ไปบรรยายมหาวิทยาลัยไหนๆ ก็มีหลานตามมาเป็นพรวน เค้าก็เรียกอาตมาว่าหลวงน้าตามลูกศิษย์อาตมาหมดเลย
    จนมีคนเข้าใจผิดมาถามอาตมาภาพว่าทำไมหลานคนนี้ดำปิ๊ดปี๋เลย ไม่เหมือนหลวงน้าตัวขาวๆ วันวานนักข่าวคนหนึ่งถาม
    ว่าทำไมหลานท่านว. ไม่เหมือนกันเลย ก็มีคนเข้าใจผิดก็เพราะเด็กๆ เหล่านั้น
    เรียกอาตมาภาพเป็นหลวงน้าตามลูกศิษย์ของอาตมาซึ่งเป็นหลานแท้ๆ เติบโตขึ้นมาจากวัฒนธรรมกอดและก็วัฒนธรรมรักกัน
    ไปไหนไปกันดูแลกันเป็นอย่างดี เมื่อเราได้รับความอบอุ่นอย่างนี้เราเข้ามาสู่สังคม
    เรากลายเป็นบุคคลซึ่งอบอุ่นสามารถแบ่งปันความรักได้ทั่ว เห็นการเบียดเบียนคนอื่น
    เป็นอาชญากรรมเห็นการเย็นชาต่อเพื่อนมนุษย์ซึ่งตกทุกข์ได้ยากเป็นเรื่องซึ่ง จะละเลยไม่ได้

    ก่อนนอนโยมแม่ของอาตมาภาพจะสอนสวดมนต์ ท่านไม่ได้รู้บาลีนะตอนเป็นเด็กๆน่ะ
    ท่านไม่ได้รู้บาลีแต่ท่านสอนสวดมนต์ เวลาไปวัดคนแก่ คนเถ้าแถวชนบทจะท่องบทสวดมนต์ทำวัตรเช้าทำวัตรเย็นได้ทั้งหมู่บ้าน
    คนแก่คนเถ้าไม่ได้เรียนนะแต่เพราะการไปวัดคือวิถีชีวิตต้องไปทุกวันพระ
    โยมแม่ของอาตมาภาพไปวัดทุกวันพระจนได้รับรางวัลทั้งพรรษาไม่ขาดเลย



    วัน หนึ่งโยมแม่อาตมาภาพเสียแล้ว อาตมาภาพจากบ้านมาปีนึง กลับไปที่บ้าน เหงามากเลยที่บ้าน
    ไม่มีใครอยู่สักคนก็ปิดทิ้งไว้ พี่สาวพี่เขยย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด เรากลับไปบนบ้านเห็นประกาศนียบัตรใบหนึ่งของโยมแม่
    ซึ่งหลวงพ่อเจ้าอาวาสมอบ ให้แปะติดอยู่ที่ตู้เส้อผ้าอาตมาภาพขนลุกเลย ขนลุกว่านี่คงเป็นเพียงเกียรติยศใบเดียวที่โยมแม่ได้รับ
    คือทางวัดออกใบเกียรติบัตรแสดงว่าโยมแม่เป็นผู้หญิงที่ไปวัดไม่ขาดเลยภายใน พรรษาสามเดือนจนได้รับรางวัล
    าตมามาคิดดูว่าบางที เกียรติบัตรของโยมแม่อาจจะยิ่งใหญ่กว่าเกียรติคุณที่อาตมาภาพได้รับจากทุกๆ สถาบันในเวลานี้ก็ได้
    เพราะอะไร ถ้าโยมแม่ไม่ขยันไปวัดจนได้เกียรติบัตรแบบนั้น อาตมาภาพก็คงไม่ได้รับอิทธิพลมาจนทุกวันนี้
    ความดีงามทั้งปวงในตัวอาตมาภาพเป็นหนี้โยมแม่ทั้งหมดเลย ทุกคนก่อนนอนสอนสวดมนต์ผิดบ้างถูกบ้าง
    เราก็สวดกันทั้งแม่ทั้งลูกคืนไหนไม่ ได้สวดนอนกระสับกระส่าย ไม่เป็นอันหลับไม่เป็นอันนอน
    มีงานบุญที่ไหนกระเตงไปหมด ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง บางทีก็หลับ
    ต่อมาพอเราโตขึ้นก็พาไปวัดตอนเช้าคนก็ไปกันเต็มโบสถ์เต็มวิหารตอนบ่ายวัย รุ่นไม่ค่อยไป
    แต่อาตมาภาพก็ไปกับโยมแม่ฟังไม่รู้เรื่องก็หลับ แต่ทุกครั้งที่เรากลับจากวัดเรารู้สึกว่ามันมีความอบอุ่นในหัวใจ
    รู้สึกว่า เอ๊ะ ชีวิตฉันมีคุณค่านะ ความรู้สึกดีงามนี้ก็ประทับอยู่ในใจต่อมาวันพระวันไหนที่ไม่ได้ไปวัดก็
    รู้สึก เหมือนบางสิ่งบางอย่างในชีวิตหายไป



    เมื่อ ไปวัดแล้วอาตมาภาพก็ไปค้นสิ่งอีกสิ่งหนึ่งซึ่งทำให้อาตมาภาพรู้สึกว่าเรียน จบชั้นบวชแน่
    ไปค้นพบห้องสมุดของวัด หนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับเดียวคนอ่านกันทั้งหมู่บ้าน ห้องสมุดก็เก่ามากๆ
    เวลาเข้าไปในห้องสมุด ต้องเอาผ้าปิดจมูกก็เพราะว่ามันชื้น กำแพงมันชื้น ท่านกั้นกำแพงเป็นห้องสมุด
    แล้วกำแพงถ้าเราเผลอเอามือก็ดี เอาส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายก็ได้ไปถูกกำแพงเข้า
    ปูนก็กระเทาะทันที แต่ที่นั้นเองที่สอนอาตมาภาพได้รับการอ่าน หนังสือเก่าๆขาดๆ กรอบซีดๆ เหลืองๆ
    ซึ่งญาติโยมบริจาคจาก ไหนก็ไม่รู้ ไปกองอยู่ตามมุมห้องสมุด ตรงนั้นเองที่อาตมาภาพทำตัวเป็นหนอนแทะหนังสือ
    อ่านหนังสือเหมือนปลวกกินไม้เลย มีความสุขมาก ใครจะไปรู้ว่าห้องสมุดเล็กๆอย่างนั้น จะทำให้วันหนึ่งเรามาเขียนหนังสือ
    ทั้งหลายทั้งปวงนี้โยมแม่ไม่รู้หรอก แต่ถ้าไม่มีโยมแม่อาตมาภาพก็ไม่ได้มา ใครจะรู้ล่ะว่าวันนี้เราจะมาเขียนเรื่องบทสวดมนต์
    โยมแม่สอนให้เราสวดมนต์เพียงบทเดียว สวดบาลีผิดๆ ถูกๆ เป็นบาลีเถื่อนด้วยซ้ำไป
    วันหนึ่งพระลูกชายมานั่งชำระหนังสือสวดมนต์พิมพ์แจกไปแล้วสามสี่หมื่นเล่ม แล้วตอนนี้จะทำอีก
    บทสวดมนต์บทเดียวที่คุณแม่สอนกลายเป็นหนังสือสวดมนต์นับร้อยบท นับพันบท
    พระลูกชายคนเดียวซึ่งคุณแม่สอนให้สวดมนต์อาจจะสอนให้คนทั่วประเทศสวดมนต์กัน
    ทั้งบ้านทั้งเมืองก็ได้ เหล่านี้คือมรดกตกทอดที่อาตมาภาพได้รับจากโยมแม่ทั้งนั้น




    เห็นหรือยังว่าความ รักความอบอุ่นทางจิตวิญญาณที่พ่อแม่ให้กับลูกเพียงคนเดียวบางครั้งพ่อก็ไม่ รู้แม่ก็ไม่รู้หรอก
    ว่ามันจะส่งผลต่อลูกชายอย่างไงลูกสาวยังไง แต่ถ้าท่านได้ทำหน้าที่ของท่านอย่าง ดีที่สุดแล้ว
    วันหนึ่งเมล็ดพันธุ์ความดีที่ท่านอบรมบ่มเพาะถ้ามันไปตกในเนื้อนาที่อุดม สมบูรณ์ถึงแม้คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องการให้มันงอกงาม
    แต่เพราะเหตุปัจจัยมันงอกงามมันก็ทำให้สมบูรณ์ของมันเอง เรามีเมล็ดข้าวเปลือกอยู่เม็ดหนึ่ง
    โยนลงบนพื้นซีเมนต์ ร้อยวันพันปีก็คงไม่งอก ตรงกันข้าม เรามีเมล็ดข้าวเปลือกอยู่เมล็ดหนึ่ง เอาไปโยนลงโคลนที่ใดที่หนึ่ง
    ดินดีอากาศดีน้ำดี สภาพแวดล้อมดี เราลืมไปแล้วว่าเราโยนเมล็ดข้าวเปลือกเมล็ดนั้นไปตรงไหน
    กลับมาอีกที งอกงามเป็นต้น เป็นรวงเหลืองอร่ามเมล็ดข้าวเปลือกเมล็ดเดียวออกมาเป็นรวง
    หนึ่งรวงมีเป็นเท่าไร สองสามร้อยเมล็ดแต่ละเมล็ดมีศักยภาพที่จะงอกไปอีกเป็นเท่าไร เป็นพันเป็นหมื่นเป็นล้าน
    เต็มทุ่งเต็มนาเต็มลานเพราะฉะนั้นเมล็ดพันธุ์แห่งความดีและเมล็ดของข้าว
    เปลือกนี้ก็เช่นเดียวกันเมล็ดพันธุ์แห่งความดีหนึ่งเมล็ดเมล็ดข้าวเปลือก หนึ่งเมล็ด มีศักยภาพที่จะงอกงามเติบโตได้เกินประมาณ
    แล้วทุกวันนี้เราท่านทั้งหลายปล่อยให้เมล็ดพันธุ์แห่งความซึ่งอยู่ดีอยู่ใน มือเราซึ่งคือเด็กของเรา เติบโตขึ้นมาสภาพแวดล้อมอย่างไร




    อาตมาภาพมีความเชื่อเป็นส่วนตัวว่า งานเลี้ยงเด็กหรือ
    งานเลี้ยงลูกของคุณพ่อของแม่ คุณพ่อคุณแม่ มีความสำคัญพอๆ กับงานปั้นพระพุทธรูป

    ถึงขนาดนั้นแต่ดูสิคนไทยรุ่นใหม่ทุกวันนี้อยากให้ลูกเป็นคนดีแต่ไม่มีเวลา ให้ลูก อยากให้ลูกเป็นคนเก่งแต่ไม่มีเวลาสอนลูก
    อยากให้ลูกฉลาดเฉลียวสมบูรณ์พร้อมด้วยความรู้ ด้วยความดีงาม มีจริต จรรยามารยาทในทางสังคมดีเยี่ยม
    เราเอาแต่อยากแต่ไม่เคยสร้างเหตุปัจจัยให้เด็กของเราเป็นคนดีเหมือนอย่างกับ ที่เราอยากเลย
    นี้คือเมล็ดพันธุ์เมล็ดหนึ่งถ้าเราดูแลอย่างดีก็เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความดี งาม แต่ถ้าเราดูแลไม่ดีก็เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความชั่วร้าย
    งานเลี้ยงลูกงานเลี้ยงเด็กจึงความสำคัญพอๆกับงานปั้นพระ ใครมีลูกใครมีหลานขอให้รู้ว่าเรากำลังปั้นพระพุทธรูปทำไมจึงพูดอย่างนั้น
    ก็เพราะว่าในตัวเด็กทุกคนมีจิตและจิตของเด็กทุกคนมี พุทธภาวะลูกของเราทุกคน
    มีศักยภาพที่จะ เป็นพระอรหันต์ด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นคุณเลี้ยงดีๆ คุณปั้นดีๆ เขาก็เป็นพระอรหันต์ ก็คือยิ่งกว่าพระพุทธรูปด้วยซ้ำไป
    เพราะฉะนั้นถ้าพูดให้ตรงจริงๆ งานเลี้ยงลูกงานดูแลเด็กและเยาวชนก็คือ สำคัญพอๆ กับงานปั้นพระอรหันต์
    เพราะว่าเด็กทุกคนมีจิตและจิตของเด็กๆทุกคนมีพุทธภาวะซ่อนอยู่ในนั้น เราตระหนักรู้ความสำคัญของเด็กและเยาวชนอย่างนี้แล้ว
    ก็ ก้าวต่อไปอีกว่าเอาล่ะและทีนี้เราจะเลี้ยงเด็กๆของเรากันยังไง เราจะเลี้ยงดูลูกๆ ของเรากันยังไง
    อาตมาภาพจะเล่าให้ฟังแบบสบายๆ แบบไม่เน้นวิชาการ




    ในพระพุทธศาสนา มีพุทธสุภาษิตอยู่บทหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า พระพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตว์ก็แล้วแต่ท่านบอกว่า
    อุตตาวัตถุมนุสสานัง
    แปลตามตัวอักษรก็คือเด็กคือพื้นฐานของมนุษย์ทั้งหลาย แต่
    แปลตามสำนวนธรรมะติดปีกบอกว่าเด็กๆ คือรากแก้วของมนุษยชาติมันเพราะกว่ากันเยอะแต่ว่าความหมายเท่ากัน
    เด็กๆ คือรากแก้วของมนุษยชาติ ท่านพุทธทาสบอกว่าศีลธรรมของยุวชนคือสันติภาพของโลก
    ทำไมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงปัญหาเด็ก ทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงอุทิศเวลาเล่นทายปัญหากับเด็ก
    คิดดูนะ พระบรมศาสดาเอกของโลกเจอเด็กๆ เล่นทายปัญหาเลย น่ารักมาก
    ทำไมพระสารีบุตรเวลาเดินทางไปสอนหนังสือสอนธรรมะที่ไหนเจอเด็กๆ ชวนมาบวชหมดเลย
    พระสารีบุตรนี้เป็นนักสังคมสงเคราะห์ก่อนพระพยอม เจอเด็กๆที่ไหนพ่อแม่ทิ้งเอามาบวชเป็นพระอรหันต์ไม่รู้กี่รูป
    บรรดาสามเณรเก่งๆ ในพระพุทธศาสนา ที่ปรากฏชื่อในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา
    แปดสิบเปอร์เซนต์เป็นลูกศิษย์ พระสารีบุตร สามเณรเก่งๆ ทั้งหลายนี่ลูกศิษย์พระสารีบุตรทั้งนั้น
    นี่คือความสำคัญของเด็ก เด็กคือรากแก้วของมนุษยชาติ




    เมื่อ ตอนที่อาตมาภาพตัวเล็กๆ ถึงแม้ตอนนี้จะอายุมากขึ้นแต่ตัวก็ไม่ได้โตนะ ก็ยังเล็กๆ เหมือนเดิม
    เคยอ่านนิทานในหนังสือหลายเล่มประทับใจมากก็จะเล่าให้ท่านทั้งหลายฟัง ที่อยากจะเล่าให้ฟังในแง่หนึ่ง
    นอกจากตระหนักถึงความสำคัญของเด็กแล้ว ไม่นานมานี้ อาตมาภาพอ่านประวัติของนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง
    ซึ่งเขาชื่นชมลีโอนาโดดาวินชี่มาก นักวิทยาศาสตร์คนนี้เป็นชาวญี่ปุ่น
    แกพูดประโยคหนึ่งขึ้นมาแล้วเป็นประโยคที่ดังก้องกังวาลไปทั่วโลก ในวงการการศึกษาเด็กและเยาวชน
    แกบอกว่า เด็กๆ คือบุตรธิดาของสิ่งแวดล้อม ๆ จริงหรือไม่จริง เรื่องซึ่งอาตมาภาพเล่าให้ฟังมาตั้งแต่ต้น
    ตอบได้ แม่สอนให้สวดมนต์ผิดๆ ถูกๆ พอลูกเรียนบาลี ลูกชำระบทสวดมนต์
    ลูกสอนให้คนนับร้อยนับพันนับหมื่น สวดมนต์ ลูกพิมพ์หนังสือสวดมนต์แจกเกือบแสนเล่ม
    ใช่หรือเปล่า เด็กๆ คือบุตรธิดาของสิ่งแวดล้อม เดี๋ยวจะขยายความต่อไป
    เพื่อทดสอบทฤษฏีนี้จะเล่านิทานทางพุทธศาสนาให้ฟัง.......




    ในครั้งพุทธกาลก่อน หน้าพุทธองค์ของเรา มีพระมหากษัตริย์อยู่พระองค์หนึ่งทรงมีม้าพระที่นั่งเยอะ
    ฝูงหนึ่งก็มีหลายร้อยตัว วันหนึ่งก็มีคนเลี้ยงม้าคนใหม่มาขอสมัครงาน พระองค์ก็รับ
    ทีนี้คนเลี้ยงม้าคนนั้นบุคคลิกภาพไม่ค่อยดีนักคือเป็นคนเดินขากระเผลก ขอประทานโทษ
    ถ้าหากตรงกับใครในที่นี้ อาตมาภาพไม่ได้ว่าใครนะ แต่ก็จะเล่าไปตามเนื้อผ้า
    เพราะว่าคุณค่าของคนไม่ได้อยู่ที่บุคคลิกดีหรือไม่ดี อันนี้เป็นเรื่องของนิทานนะ อย่ามาเอ๊ะวันนี้ท่านว.พูดปากคอเราะร้ายจังว่าเรา
    ไม่เกี่ยวนะ อาตมาภาพเล่าไปตามเนื้อผ้า คนเลี้ยงม้านี่เป็นคนขากระเผลกมาเลี้ยงม้าให้พระราชา
    ม้านี่สั่งซื้อมาอย่างดีเหมือนรัชกาลที่ห้าสั่งซื้อจากฝรั่งเศส จากอิตาลีเลยนะ ตัวหนึ่งๆ นี้สร้างโบสถ์สร้างวิหารได้
    เป็นม้าพันธุ์ดี แต่ผ่านไปได้หนึ่งอาทิตย์เท่านั้นเอง คนเลี้ยงม้าใหม่สร้างผลงาน
    พระองค์มาทอดพระเนตรดูม้าของพระองค์ทั้งฝูงตั้งร้อยกว่าตัวมัน เดินขากระเผลกหมดเลย
    พระองค์ก็ใจหายแว๊บเลย อุ้ย.. ทำไมม้าของฉันดีๆ มันเสียหมดเลยนี่ก็สั่งหมอหลวงมาตรวจม้าทุกตัวเลย
    หมอหลวงก็ไม่อาจวินิจฉัยได้ว่าม้าทุกตัวป่วยเป็นโรคอะไรถึงได้เดินขากระเผลก อืม ม้าเป็นโรคอะไร
    หมอรองกระดูกเคลื่อนหรือเปล่า ตรวจหมดเลย สรุปแล้วแพทย์หลวงบอกว่าจนปัญญา ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชา
    ข้าพระพุทธองค์เรียนมาเป็นสิบปียี่สิบปีไม่เคยเจอโรคแบบนี้เลย สุดท้ายหมอรักษาไม่ได้ไปปรึกษา
    ราชบัณฑิตประจำสำนัก ราชบัณฑิตบอกว่า ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวข้าพระองค์ไปดู ราชบัณฑิตก็ไปพิจารณาดู
    สังเกตุทำวิจัยภาคสนามอยู่สามสี่วัน ก็สังเกตเห็น อ้อ คนเลี้ยงม้าขากระเผลกนี่เวลาจูงม้าไปกินน้ำมันก็เดินไปเอียงไป
    ม้าเดินตามข้างหลังเป็นฝูงก็เดินเอียงเป็นแถวเลยเอียงคอหมดเลย เอียงคอไม่พอเอียงขาด้วย
    ทำตามคนเลี้ยงม้าหมดเลย ราชบัณฑิตไปยืนดูก็ขำอยู่ในใจ รู้แล้ว
    ไม่ต้องเปลืองงบประมาณรักษาโรคของม้าหรอกพะยะค่ะ เพียงแต่เราปลดคนเลี้ยงม้าคนปัจจุบันออก
    แล้วเอาคนเลี้ยงม้าคนใหม่มา รับรองสามวันนี่




    พระ ราชาก็บอกว่าทำยังไงก็ทำเถอะพ่อ ไม่เสียดายงบประมาณ ก็ปลดแล้วสมัครคนเลี้ยงม้าคนใหม่
    ทีนี้ได้คนเลี้ยงม้า บุคคลิกดีมากเลย จากโรงเรียนนายร้อย คนเลี้ยงม้าคนใหม่เดินอกผายไหล่ผึ่ง
    บุคคลิกดี มาเลี้ยงม้าอยู่เจ็ดวัน ราชบัณฑิตก็ทูลเชิญพระราชามาดูคอกม้า พระองค์ก็เสด็จมาดู อ้าว
    ดูแล้วก็ขนลุกเหมือนกันนะ เอ ทำไมม้าทั้งฝูงเมื่ออาทิตย์ก่อนเดินขากะเผลกหมดเลยทำไมมันดีผิดหูผิดตาอย่าง นี้
    บัณฑิต ท่านเก่งจริงๆ สั่งทูลบำเหน็จเลยนะ ราชบัณฑิตบอกโอ้ยไม่ต้องหรอก ไม่ใช่ความสามารถอะไรหรอก
    เป็นเรื่องง่ายๆ พระราชาก็ถามว่ามันเคล็ดลับอยู่ตรงไหน ราชบัณฑิตก็เล่าให้ฟังว่าที่ม้าขากะเผลก
    ก็เพราะว่าคนเลี้ยงม้าขากะเผลก ม้าเหล่านี้อยู่ใกล้ใครก็ทำตัวอย่างนั้นพระราชาก็ดีดนิ้วเปราะเลย
    ถ้าอย่างนั้นก็ตรงกับสำนวนที่ว่าคบคนเช่นใดก็กลายเป็นคนเช่นนั้นสิ ราชบัณฑิตก็บอกว่าใช่แล้ว
    เราอยู่ใกล้คนเช่นใดก็กลายเป็นคนเช่นนั้น
    ภาษาบาลีท่านบอกว่า ยํ เว เสวติ ตาทิโส คบคนเช่นใดก็จะกลายเป็นคนเช่นนั้น
    ม้านะ ไม่ใช่คน อยู่ใกล้คนยังเหมือนคนเลย คิดดู แล้วคนซึ่งมีศักยภาพในการเลียนแบบได้มากกว่าสัตว์
    มันอยู่ใกล้ใครคนหนึ่ง ดีหรือไม่ดีก็ตามมันจะเลียนแบบได้มากขนาดไหน ใช่ไหม




    มีนักเขียนคนหนึ่งไฮ โซมากเขียนเล่าไว้ในคอลัมน์ของเธอ บอกว่าวันๆ เธอเอาแต่ทำงานสังคมสงเคราะห์วันหนึ่งกลับมาบ้าน
    ลูกคนเล็กทักแม่เป็นภาษาอีสาน ขอประทานโทษไม่ใช่ภาษาอีสานไม่ดีนะ อันนี้ก็จะเล่าไปตามเนื้อผ้าเหมือนกัน
    เดี๋ยวหาว่าอาตมาภาพดูถูกภูมิภาค ไม่ใช่หรอก อันนี้ก็จะเล่าไปตามที่เขาเล่ามานั่นแหละ ไม่ได้มีอคติอะไรทั้งสิ้น
    คุณผู้หญิงตกใจมากเพราะตัวเองไฮโซมาก จบเมืองนอก ลูกทุกคนจบเมืองนอกแต่ลูกคนเล็ก
    แม่เข้ามาทักเป็นภาษาอีสานจ๋อยๆ เลย เธอก็ไม่ว่าใครนะ แต่ตั้งแตนั้นมานะ งดงานนอกบ้านสามวันเพื่อ อะไร
    เพื่อมาอยู่กับลูกเพราะรู้แล้ว ลำพังการอยากให้ลูกเป็นคนดีอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องสร้างสิ่งแวดล้อมด้วย
    นี่เป็นเรื่องซึ่งอาตมาภาพได้อ่านมานาน จากหนังสือเล่มหนึ่ง
    วันนี้ก็เอามาเล่าไว้ประดับความรู้ เรื่องเด็กๆ คือบุตรธิดาของสิ่งแวดล้อม




    นิทาน อีกเรื่องหนึ่งมันใกล้เคียงกัน ก็มีช้างอยู่เชือกหนึ่งเป็นช้างทรงของพระมหากษัตริย์
    เขาเรียกว่าหัตถีมงคล คือช้างมงคล ช้างพระที่นั่ง ช้างนี้ก็อยู่ที่โรงช้างต้น อยู่มาพักหนึ่ง ก็มีพวกโจรไปปล้นข้าว ปล้นของ
    ได้เขามา แอบแบ่งข้าวแบ่งของกันที่โรงช้างต้น ตอนที่แบ่งของกันเสร็จแล้วพวกโจรก็วางแผนด้วยนะ
    โจรวางแผนฆ่าคน วางแผนจะปล้นยังไง จะฆ่ายังไง จะข่มขืนจะทำชำเราเจ้าทรัพย์ยังไง
    ช้างมันฟังแล้ว โอโห มันเชื่อหมดเลย อาตมาภาพเอานิทานเรื่องนี้ไปเล่าที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
    เด็กคนหนึ่งลุกขึ้นยืนกลางคัน ทะลุกลางห้องเลย พระอาจารย์ ว.พูดอะไร มีอย่างหรือช้างมันจะฟังภาษาคนรู้เรื่อง
    อาตมาก็เลยย้อนถามว่าลูกเคยดูการ์ตูนวอลดีสนีย์ไหม เคย แล้วเคยเห็นหมาพูดได้ไหม
    เคยเจ้าค่ะ อ้าวแล้วทีนี้มันไม่ถามต่อเลยนะ เราบอกว่าถ้าวอลดีสนีย์ดังเด่นในวงการการ์ตูนทำให้สัตว์พูดได้
    รู้ไว้ด้วย พระพุทธเจ้าเราน่ะเล่าเรื่องนี้มานานตั้งสองพันกว่าปี ฝรั่งเขาตามเราทั้งนั้นแหละ พอฝรั่งทำทำไมเธอไม่สงสัย
    เขียนการ์ตูนพอยกพระพุทธเจ้าหน่อยมันเชยหรือยังไง เด็กจ๋อยไปเลย อันนี้คือเราอย่าไปติดที่เป็นเทคนิค
    เราต้องเอาแก่น แก่นของมันก็คือ ช้างมันเปลี่ยนพฤติกรรมเพราะอะไร จากช้างทรงดีๆอยู่เนี่ยพอฟังภาษาโจรทุกคืนๆ วันต่อมา
    ควาญช้างมาบังคับช้าง มันเหยียบควาญช้างเลย ควาญช้างเสียชีวิต ทุกคนก็งงว่าทำไมช้างหัตถีของพระราชา
    ช้างดีๆอยู่แท้ๆ เป็นช้างในราชสำนัก กลายเป็นช้างใจบาปขึ้นมาได้ ก็หาวิธีแก้อยู่นาน สุดท้ายก็ไม่มีใครแก้ได้ก็ไปหาราชบัณฑิต
    คำว่าราชบัณฑิตนี่มีความหมายมากเลยนะ สมัยก่อนนะ ไม่เหมือนสมัยนี้ความหมายมันลดลง
    เพราะใครอยากเป็นราชบัณฑิตก็ทำเรื่องขอขึ้นไปกว่าจะได้เป็น ก็พิสูจน์กันอยู่นาน มันเลยไม่มีคุณค่าเท่าไร
    ของที่มีคุณค่ามันต้องเป็นเรื่องที่ท่านสั่งลงมา ขอรางวัลให้ตัวเองมันไม่น่าตื่นเต้นหรอกไม่น่าภูมิใจเท่าไร อาจารย์สุชีพ
    บุญญานุภาพบอกว่าเกียรติยศที่ไปขอเขามานี่มีเกียรติจริงหรือ? เพราะฉะนั้นราชบัณฑิตสมัยก่อน
    ใครจะได้เป็นราชบัณฑิตต้องมีภูมิปัญญาจริงๆ เวลาพูดอะไรจึงมีน้ำหนัก พระมหากษัตริย์ก็อยากจะรู้ว่าทำไมช้างของฉัน
    ช้างดีๆ เป็นช้างดุร้าย ก็ให้ราชบัณฑิตมาดู ราชบัณฑิตก็ไปทำวิจัย ทุบตีงวงอยู่สักพักหนึ่งก็รู้
    สมัยนั้นกล้องวีดีโอวงจรปิดไม่มี อาศัยแอบดูเอา เสี่ยงชีวิตหน่อย ก็ไปดูก็ค้นพบความจริง




    ก็ รู้อ๋อเข้าใจล่ะ ช้างมงคลหัตถีกลายเป็นช้างดุร้ายก็เพราะว่าพวกโจร ซ้องสุมอยู่โรงช้างต้น
    พอรู้อย่างนี้เท่านั้นเอง สัปดาห์ต่อมา นิมนต์พระเลย นิมนต์พระมาสวดมนต์ฉันเพล เสร็จแล้วเทศน์
    ทำอยู่อาทิตย์เดียวเท่านั้นเอง ช้าง โอโห เชื่อง เดินอย่างมีสง่าราศี สมาทานศีลห้าทั้งเนื้อทั้งตัวเลย ทำร้ายใครไม่ลง
    ช้างเลยเป็นมังสะวิรัตจนทุกวันนี้ กินแต่หญ้า เพราะอยู่ใกล้บัณฑิตนะ เห็นหรือยัง พอช้างเชื่องแล้วกลับมาเป็นช้างมงคลเหมือนเดิม
    พระมหากษัตริย์ก็ตบรางวัลราชบัณฑิต เรื่องนี้สรุปง่ายๆ ยํ เว เสวติ ตาทิโส คบคนเช่นใดก็จะกลายเป็นคนเช่นนั้น
    ถามว่าสัตว์เดรัจฉานอยู่ใกล้คนยังได้รับอิทธิพล ของคนปานนี้ สัตว์เดรัจฉานนี่โครงสร้างทางสมองไม่วิจิตรเท่าคน
    แต่ก็ยังเรียนรู้ได้ถึงขนาดนี้ แล้วคนซึ่งมีโครงสร้างทางสมองอันวิจิตรที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตในโลก อยู่ใกล้ใคร
    ทำไมเขาจะไม่เรียนรู้ได้มากกว่าสัตว์ล่ะ ปัญหาก็คือว่า เด็กๆ ของเรากำลังอยู่ใกล้ใคร และเรากำลังปล่อยให้เขาเรียนรู้อะไร ใช่ไหมล่ะ




    เรื่อง นี้ยังไม่จบมันยังมีอีกเรื่องหนึ่งท่านยกตัวอย่างเอาไว้ ท่านบอกว่ามีมะม่วงซึ่งหวานมากๆ
    เลย อร่อยมากใครๆ ก็มาขอพันธุ์ไปปลูก ขึ้นชื่อลือชามาก คงจะเหมือนสับปะรดนางแลจากเชียงราย
    ใครอยากทานอะไรอร่อย ไปทานที่เชียงราย ใครก็มาขอเพาะพันธุ์ไปปลูก มะม่วงหวานนี้ก็เช่นเดียวกัน
    เป็นมะม่วงที่หวานกรอบ และหอมอร่อย พระราชา มหากษัตริย์ได้ชิมแล้วก็ประทับใจ วันหนึ่งก็ให้คนไปขอมาปลูกไว้ที่สวนหลวง
    บังเอิญว่า คนที่ดูแลสวน เอามะม่วงพันธุ์ไปปลูกติดกับต้นสะเดาขม ต้นสะเดานี่ขมมากๆเลยตอนเป็นเด็กอาตมาแตะไม่ได้เลยนะ
    แต่ต่อมาชอบมากเลย สะเดานี่ลวกๆหน่อย จิ้มกับน้ำพริก โอ พูดแล้วน้ำลายสอ ชอบของขมแสดงว่าแก่แล้ว
    ใช่ไหม แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนี้ ประเด็นก็คือว่า เคยกรอบเคยหอมอร่อยพอมันผลิตผลออกมา
    ขมจนลุก พระองค์ก็ถามว่า เอามาจากที่ไหน มหาดเล็กก็กราบทูลว่า ก็มะม่วงที่พระองค์สั่งให้ไปแสวงหามานั่นแหละพะยะค่ะ
    แล้วทำไมมันถึงได้กลายพันธุ์ ไปดูสิ ก็ไปดูกันทั้งคณะเลย ทั้งพระราชา พระมหากษัตริย์ มหาดเล็กไปหมด
    พอไปเห็น อ้อ มันห่างจากต้นสะเดาแค่ สามเมตร ห้าเมตร มีรับสั่งให้ขุด ขุดตามลงไป
    ปรากฎว่ารากมะม่วงไปพันกับรากสะเดา เห็นไหม รากมะม่วงแอบกิ๊กกับรากสะเดา
    มันเลยกลายพันธุ์ มะม่วงหวานเลยขมเลย เรื่องนี้สะท้อนอะไร สะท้อนว่าแม้แต่พืชพันธุ์ธัญชาติอยู่ใกล้กันก็ยังกลายพันธุ์ ใช่ไหม




    คุณโยมเห็นจิ้งจกตามแถวนี้ไหม พอมันไปอยู่ใกล้ฝาผนังสีขาวเปลือกไข่อย่างนี้นะ มันกลับสีมันเลย
    มันคือสัตว์นะ คือแมลงกระถางต้นไม้ซึ่งเราเพาะไว้อย่างดี เอามาวางไว้ข้างหน้าต่างนะอาตมาภาพ
    เคยสังเกตดูแรกๆอาตมาก็สงสัยเอ๊ะทำไมมัน เอียงออกไปทางนอกหน้าต่าง สังเกตดูต่อมาก็ได้คำตอบก่อน
    ที่จะยกให้เป็นเรื่องของปาฎิหารเราก็ได้คำตอบ ว่าอ้อมันเอียงออกไปข้างนอกเพราะมันต้องการแสง
    ใช่ไหม อันนี้ง่ายนะธรรมชาตินะไม่มีตานะ แต่แสงมาทางไหนมันเอียงเข้าหา โน้มตัวลงไป
    นี่คือพืชพันธุ์ธัญชาติ ยังรู้จักที่จะเลียนแบบ ยังรู้จักที่จะยอมตามสิ่งซึ่งอยู่ใกล้
    จะเปรียบกับเด็กๆและเยาวชนของเราอยู่ใกล้คุณพ่อคุณแม่ อยู่ใกล้พี่เลี้ยงอยู่ใกล้สิ่งแวดล้อมอยู่ใกล้โทรทัศน์
    อยู่ใกล้อินเตอร์เน็ต อยู่ใกล้สื่อมวลชน สิ่งที่เขาอยู่ใกล้นั้นมันเป็นสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ร้าย เราต้องถามแล้ว
    ถ้าเราทอดทิ้งเขาให้อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย เด็กๆ ของเราจะเลวร้าย ยิ่วกว่าสภาพแวดล้อม
    ก็เพราะว่าเขามีศักยภาพในการเลียนแบบ ศักยภาพในการเรียนรู้ได้มากกว่าพืช มากกว่าสัตว์




    เคยอ่านประวัติของนักโทษจาก คุกบางขวางคนหนึ่ง เขาเล่าให้ฟัง วันหนึ่งมีเหตุต้องฆ่าคน
    ด้วยความไม่ตั้งใจ แต่ไหนๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ก็ไปเป็นมือปืน ครั้งแรกที่ฝึกงานยิงคนๆ หนึ่งตาย
    เขานอนสะดุ้งอยู่สามอาทิตย์ รุ่นพี่บอกใหม่ๆก็อย่างงี้ ทุกคน พอฆ่าคนที่สองสะเทือนใจอยู่สองอาทิตย์
    ฆ่าคนที่สามสะเทือนใจหนึ่งอาทิตย์ คน ที่สี่ที่ห้า ฆ่าคนเหมือนทุบหัวปลา เขาบอกอย่างนั้นเลย
    พอฆ่าคนที่สิบ สิบเอ็ด สิบสอง เห็นคนตายเหมือนใบไม้ปลิดปลิว ไม่ใช่เรื่องใหญ่
    ยิงเสร็จสูบบุหรี่ ขึ้นรถ เดินกลับ รับเงิน เที่ยว บินไปต่างประเทศ เห็นหรือยัง นอกจากสิ่งแวดล้อจะทำให้เราเปลี่ยนเป็นดี
    ก็ได้เป็นร้ายก็ได้แล้วอีก สิ่งหนึ่งซึ่งเปลี่ยนก็คือความเคยชิน สำคัญมากๆ
    เราปล่อยให้เด็กและเยาวชนของเราอยู่กับสภาพความเคยชินแบบไหน




    อาตมา ภาพเกิดมาท่ามกลางความเคยชินก็คือทุกคืนต้องสวดมนต์ก่อนนอน ก็เลยชินกับคุณพระคุณเจ้า
    ทุกเช้าตื่นมาคุณแม่เปิดวิทยุเปิดไว้ตั้งแต่ตีห้า พอหกโมงมีข่าวคุณปรีชา ทรัพย์โสภา
    อาตมาเป็นเด็กเพียงป.๔ ป.๕ ป.๖ คนเดียวในหมู่บ้านเท่านั้นเอง ที่รู้จักชื่อปรีชา ทรัพย์โสภา
    ก่อนหน้ารายการของคุณปรีชา ทรัพย์โสภา จะมีรายการสิ่งแวดล้อม จัดโดยคุณลดาวัลย์ วงศรีวงษ์
    ก่อนเข้ารายการจะมีเสียงอินโทนขึ้น เสียงสายน้ำไหลเย็น เสียงนกร้อง สดชื่น
    อาตมาภาพได้รับวิตามินแห่งความรู้ ตั้งแต่เรียนอยู่ ป.๓ ป.๔ ป.๕ ป.๖ เช้ามาทำงานบ้านกับคุณแม่
    ก็เปิดวิทยุทิ้งไว้ทั้งวัน ต่อมาเรากลายเป็นคนที่ใฝ่รู้อย่างมหากาฬเลย จนทุกวันนี้อาตมาภาพก็ยังสงสัยว่าเมื่อไร
    จะหยุดความใฝ่รู้เสียที




    สาม ปีที่แล้วอาตมาภาพเคยสงสัยตัวเองว่าตกลงเธอจะเอาอะไรแน่ ถ้ามันอยากเก่งทุกเรื่อง
    มันอ่านหมดเลย อ่านหมด ไปสอนหนังสือ ลูกศิษย์บอกว่าเรียนกับอาจารย์เหมือนเรียนกับอาจารย์อนุกรม
    เราถามว่าฉันพูดมากใช่ไหม ลูกศิษย์บอกว่าไม่ใช่หรอกครับ แต่ผมสงสัยว่าทำไมอาจารย์สอดรู้สอดเห็นไปทุกเรื่องเลย
    จริงๆ เราต้องบอกว่า ทำไมเธอไม่พูดให้เพราะๆล่ะ ไม่บอกว่าอาจารย์ช่างเป็นคนที่มีสายตากว้างไกลไปทุกเรื่องเลย
    สิ่งที่อาตมาภาพได้รับมา ภาษาธรรมะเขาเรียกว่า ธรรมะกามะตา แปลว่า ความสนใจใฝ่รู้ แล้วสิ่งนี้ใครปลูกมา
    ใครเพาะมา คุณแม่นั่นเอง จนทุกวันนี้อาตมาภาพก็ยังอ่านหนังสือพิมพ์รายวัน วันละสามฉบับ รายเดือนๆละสี่ฉบับ
    รายอาทิตย์ ๆละ สองฉบับ ตกแล้วเดือนหนึ่งก็แปดฉบับ ไม่นับข้อมูลข่าวสารซึ่งสำนักพิมพ์ต่างๆส่งมาถวาย เป็นประจำ
    ฉะนั้นกุฎิทุกวันนี้แทบไม่มีที่อยู่เลย หนังสือจะถล่มทับมรณะภาพสักวันหนึ่ง อาตมาภาพอ่านหนังสือโดยที่ไม่มีใครขู่เข็ญเลย
    ในขณะที่เด็กไทย ครูบอกให้อ่านหนังสือ เป็นยานอนหลับ เห็นหนังสือแล้วโอย ไปวางไว้ใกล้ๆหัว
    ให้มันออสโมซิส ซึมเข้าไป แต่ของอาตมาไม่ได้นะ ถ้าเข้าร้านหนังสือ ถอดรองเท้าไว้ที่หนึ่ง เดินเปลือยเท้า
    ท่องไปทั่วร้านหนังสือเลย ลืมวันลืมคืนก็ได้ไม่ฉันเพลได้ เวลาจะไปร้านหนังไม่ค่อยชวนใครหรอก
    เพราะเดี๋ยวคนอื่นชวนกลับ เวลาเดินเข้าร้านหนังสือเหมือนอยู่กับสาวคนรักเลย อุ้ยไปอยู่มุมไหนก็ชื่นอกชื่นใจ
    ซื้อเก็บ ไม่เก็บก็ขอให้ได้ครอบครอง พอเรามาสอนหนังสือ สิ่งนี้เป็นอุปาการะ เป็นจุดเด่นเป็นอย่างมาก
    คือทำให้เราเป็นคนที่สามารถรองรับ ภูมิปัญญาจากทุกๆ สายธารได้ ภูมิปัญญาจากฝรั่ง ภูมิปัญญาจากตะวันออก
    ตะวันตก จากมหายาน จากเถรวาท จากวัชระยาน จากเซน ภูมิปัญญาร่วมสมัย ศาสตร์ต่างๆ รัฐศาสตร์
    เศรษฐศาสตร์ นิติศาสตร์ ภาษาศาสตร์ อักษรศาสตร์ ซึ่งพระทั่วไปเขาไม่ค่อยรู้หรอก แต่เราน่ะดัดจริตไปรู้หมดเลย
    รู้ไม่มากหรอก รู้เหมือนเป็ด แต่ว่าพอเอามาประกอบการเรียนการสอนได้ สิ่งนี้ภาษาธรรมะเรียกว่า
    ธัมมกามยตา คือความสนใจใฝ่รู้ ความสนใจใฝ่ธรรม ความสนใจใฝ่เรียน หรือความสนใจใฝ่ดี
    สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับอาตมาภาพเพียงคนเดียว เมื่อได้ศึกษาประวัติของบุคคลสำคัญๆ
    ว่าหลายคนในสังคมไทยและอาตมาภาพก็เชื่อนะ ว่าเด็กๆ คือบุตรธิดาของสิ่งแวดล้อม




    วันหนึ่งได้อ่านพระราชจริยวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับใจมากผู้เขียนท่านเล่าว่า
    ตอนที่พระองค์ยังเป็นยุวกษัตริย์เล็กๆ อยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์กับสมเด็จย่า มีอยู่วันหนึ่ง เจ้านายเล็กๆองค์นี้ก็ไปหาพระราชชนนี
    แล้วบอกว่าแม่หนูอยากได้จักรยาน แทนที่สมเด็จย่าจะซื้อให้ จะซื้อให้เลยก็ได้ จะแพงขนาดไหนก็ได้
    ว่าที่ยุวกษัตริย์ แต่สมเด็จย่าบอกว่า ลูกอยากได้จักรยานทำไมลูกไม่เก็บเงินล่ะ เก็บเงินสิลูกวันละเหรียญนะ
    พระองค์ท่านก็เก็บเงินวันละเหรียญจนครบหนึ่งปี ครบหนึ่งปีสมเด็จย่าบอกลูก เรามาทุบกระปุกกัน
    ก็มาทุบกระปุกก็ได้เงินเต็มกระปุกไม่พอซื้อจักรยานสมเด็จย่าก็ควักเงินส่วน พระองค์ให้ซื้อจักรยาน
    ไปซื้อจักรยานได้คันหนึ่ง แล้วพระองค์ท่านก็รักจักรยานคันนี้มาก




    วัน หนึ่งได้อ่านปาฐกถาของคุณสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ท่านเล่าว่าในวังสวนจิตรไม่มีใครประหยัดเท่าในหลวง
    คุณโยมเห็นหรือยัง นี่เองคือสิ่งที่แม่ให้มา ในการใช้ดินสอ พระองค์จะใช้จนกุดเลย ถ้าใครเอาไปทิ้งโดยไม่มีรับสั่ง
    โกรธมากเป็นเรื่องใหญ่ในวังเลย เอาดินสอฉันไปทิ้ง
    วันหนึ่งมีท่านผู้หญิงเพชรา เตชะกำพุช ทันตแพทย์หญิงซึ่งเป็นอาจารย์พิเศษอยู่ที่มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์
    ไปทำพระทนต์ถวายพระองค์ท่าน ในระหว่างทำพระทนต์ก็กราบ บังคมทูลเรื่องสัพเพเหระ
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็เรื่องนิสิตในมหาวิทยาลัย ท่านผู้หญิงท่านนี้ก็เล่าว่าเด็กๆ ในมหาวิทยาลัยทุกวันนี้
    ไปเรียนหนังสือเหมือนกับไปเดินอยู่บทแคทวอล์คมันใช้ ของแพงๆไม่รู้จะบอกจะสอนอย่างไงแล้ว
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงฟังแล้วก็ทรงเล่าเรื่องของพระองค์แลกเปลี่ยน เรื่องของพระองค์มีอยู่ว่า
    วันหนึ่งเสด็จไปที่ห้องสรง ปรากฎว่าหลอดยาสีพระทนต์ซึ่งเคยใช้อยู่นั้นหายไป
    ก็ถามมหาดเล็กว่าใครเอาหลอดยาสีฟันฉันไปไหน มหาดเล็กก็กราบบังคมทูลว่าเอาไปทิ้งแล้ว ทิ้งได้ไง ฉันไม่ได้สั่ง
    ไปเอามา ดีนะที่มหาดเล็กยังเก็บไว้ไม่งั้น จะคอขาด ก็ไปเอาหลอดยาสีพระทนต์ซึ่งในสายตามหาดเล็ก
    เห็นว่ามันหมดแล้วพระองค์ท่านเอาหลอดยาสีพระทนต์นั้นมาบีบมารีดใช้ บางเหมือนแผ่นกระดาษได้ห้าวัน
    ท่านผู้หญิงเพชรา เตชะกำพุช ฟังแล้วก็บอก จริงเหรอ กราบบังคมทูลขอดูเป็นบุญตา
    ท่านก็ให้มหาดเล็กไปหยิบมาให้ดู ปรากฎว่าหลอดสีพระทนต์แบนเหมือนแผ่นกระดาษ


    อาตมาภาพเก็บภาพนี้ไว้และก็นำไป เขียนเล่าไว้ในหนังสือปรัชญาหน้ากุฎิ
    มีผู้เขียนหนังสือประกอบของกระทรวงศึกษาธิการหลายท่านมาขอเอาไปเป็นบทเรียน
    เฉพาะตอนนี้ ตอนที่ว่าด้วยปรัชญาจากหลอดยาสีพระทนต์ของในหลวง
    อาตมาภาพถามว่าความประหยัดแบบนี้พระองค์ท่านได้มาจากไหน
    พระองค์ท่านเล่าเมื่อปีที่แล้ว วันที่ 4 ธันวาคม ว่าสมเด็จย่าสอนพระองค์มาโดยตลอด

    มาเลิกสอนตอนพระองค์อายุได้หกสิบ บอกว่าหกสิบแม่เลิกสอนได้แล้ว
    เห็นหรือยังคนเป็นพ่อเป็นแม่จะสอนลูกไม่เฉพาะตอนเป็นเด็กเป็นเล็กนะ
    หกสิบแล้วพ่อก็ยังสอนแม่ก็ยังสอนนะคิดดู นี่คือแบบอย่างที่ดีงามจริงๆ




    ครั้ง หนึ่งแถวราชเทวีใกล้ๆ ใกล้ๆ วังสวนจิตร ใกล้ๆวัดเบญจมบพิตร มีร้านตัดรองเท้าอยู่ร้านหนึ่ง
    ชื่อร้านของช่างไก่ เขารับตัดรองเท้า วันหนึ่งมีนายทหารเอารองเท้ามาให้ตัดแกก็ตัดอย่างดี แล้วก็ส่งไป
    อาทิตย์ต่อมาก็ได้มาอีกคู่หนึ่ง ก็สงสัยว่ารองเท้าใครนี่ มาบ่อยจัง ทหารก็บอกว่าของในหลวงเท่านั้นเอง
    ตกใจเลยนะ ทีนี้กราบก่อนตัด ดูว่ามันเสียตรงไหนมันซ่อมตรงไหน เจ้าของร้านนี่เธอก็ซ่อมไป น้ำตาคลอหน่วยไป
    คือนึกในใจว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา หากมีพระราชประสงค์ต้องการสิ่งใดในแผ่นดินนี้
    เพียงแสดงเจตจำนงก็มีคนพร้อมจะทูลเกล้าถวายอยู่แล้ว แต่ทำไมพระองค์ท่านทรงใช้ฉลองพระบาทจนสึก สึกแล้วยังส่งมาซ่อม
    มีไหมในโลกที่พระมหากษัตริย์ที่ทรงประหยัดมัธยัสถ์ขนาดนี้ ซ่อมเสร็จแล้วเศษรองเท้าไม่ทิ้งเก็บเก็บใส่พาน
    ยกขึ้นกราบทูลเกล้าเอาไว้เป็นมิ่งขวัญของร้าน ทุกวันนี้แขกไปใครมาก็ไปกราบ กราบเศษธุลีจากฉลองพระบาท
    ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นี่คือพระมหากษัตริย์ที่ประหยัดที่สุดในโลกนะ
    นิสัยประหยัดแบบนี้ทรงได้มาจากใครล่ะถ้าไม่จากพระชนนีของพระองค์ซึ่งสอน
    ตั้งแต่รู้จักคุณค่าของเงินแต่ละเหรียญๆ ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กเป็นเล็ก นี้เองคือ เด็กๆ คือบุตรธิดาของสิ่งแวดล้อม
    พ่อแม่สอนเขามาอย่างไร พ่อแม่ทำตัวให้เขาเห็นอย่างไร เมื่อโตขึ้นเด็กๆ ก็จะเป็นอย่างนั้น




    เมื่อตอนเด็กๆ อาตมาภาพชอบมากที่ได้เข้าสวน ปลูก ฟัก แฟง แตง ถั่ว เวลาเราปลูก ฟัก แฟง แตง ถั่ว
    เราก็ต้องทำร้านให้ใช่ไหม เวลาทำร้านเสร็จแล้วอาตมาภาพก็เคยสังเกตทุกเย็นเราก็ตักน้ำรดน้ำเสร็จแล้ว
    ยังมีความสุขเลยนะ มีวิทยุเล็กๆ คล้องที่คอนะเปิดเพลงไปด้วย หาบน้ำนี่เชี่ยวชาญมากไม่ต้องเอามือจับเลยยกขึ้นไหล่แล้วเดิน
    อุ้ย สบาย ฮัมเพลงไปด้วย คิดดูเชี่ยวชาญไหมงานบ้านอย่างดี ตั้งแต่ที่นอนยันที่วางรองเท้าของบ้าน
    เป็นผู้ชายที่นิสัยเหมือนผู้หญิง คือละเมียดละไมมากเรื่องระเบียบ สิ่งนี้ได้มาจากคุณพ่อคุณแม่หมดเลย
    คุณพ่อนี่เวลาเหลาตอกแล้วเอาไปสานเป็นกระบุงเป็นอะไรนี่
    เพื่อนบ้านแซวว่าตอกของโยมพ่อเวลาเอาลิ้นเลียมันยังไม่บาดลิ้นเลย ประณีตไหม




    คิด ดูแล้วกันเมื่อปีที่แล้วอยู่มาวันหนึ่งท่านเซ็งมากเซ็งชีวิตเพราะแก่แล้ว อาตมาภาพก็หาวิธีให้ท่าน
    ฝึกสมาธิ บอกว่าเนี่ยอยากกระบุง บุ๋งกี๋ ผลงานพื้นบ้านเก่าๆ เดี๋ยวนี้จะหาดูที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
    เก็บไว้อยากให้คุณพ่อทำเล็กๆ เอาไว้ในพิพิธภัณฑ์ โยมพ่อก็ทำ สานกระบุง สานบุ๋งกี๋
    แล้วก็ทำเอาไว้แล้วก็ตากแดดไว้หน้าบ้าน มีชาวบ้านมาขอซื้อ ท่านก็ขาย ไม่ได้ต้องการเงินหรอก
    อันละยี่สิบ สามสิบก็ขาย อยู่ต่อมาวันหนึ่งมี อบต. มาเห็นบอกว่าฝีมือดีขนาดนี้มันต้องเอาไปทำเป็นผลิตภัณฑ์โอทอป
    พอสั่งทีเดียวนะ สั่งกระบุงสองร้อยอัน โยมพ่ออาตมาภาพเลิกทำเลย ทำไม ไม่ใช่เป็นศิลปินนะ
    แต่โยมพ่อบอกว่าฉันทำก็เพราะมีความสุขที่จะทำไม่ได้อยากได้เงิน พออยากได้เงินปุ๊บมันเครียดไง
    ต้องทำตามออร์เดอร์ แต่ท่านไม่ทำ นี่คือนิสัยของท่านที่ปราณีตบรรจง เราก็ติดมาสิ
    เราก็ติดมาอย่างนี้แล้วมาฟังเรื่องของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็เอามาเปรียบเทียบว่า เออ
    มันจริงนะคุณพ่อคุณแม่สอนไม่มีในตำราเลยและการสอนก็ไม่เคยรู้สึกว่าสอนหรอก เพราะอะไร
    สอนตอนที่ทานข้าว ที่บ้านอาตมาจะมีวัฒนธรรมอย่างหนึ่งก็คือลูกๆ จะไม่ทานข้าวก่อนคุณพ่อคุณแม่
    ต้องให้ท่านทานก่อน แล้วเวลาพอมาถึงแล้ว ถึงหิวแค่ไหน ถ้าท่านไม่จิ้มก่อนเราก็จิ้มไม่ได้นะ ข้าวเหนียวนี่
    เพราะต้องรอให้คุณพ่อคุณแม่ก่อน และในระหว่างทานนั้นนี่ก็จะเป็นช่วงเวลาดีๆ คือท่านเล่านิทานไป
    ก็เป็นช่วงที่สนุกที่สุดแต่ถ้าท่านด่าเราจะป็นช่วงที่เทศน์ ก็อยู่กันมาอย่างนี้เติบโตกันมาอย่างนี้
    แล้วก็บ้านก็มีควายเยอะมาก เวลาไปเลี้ยงควายก็มัดไว้กลางทุ่งแล้วก็ไปอยู่ใต้ต้นไม้ คุณพ่อไม่ได้เรียนหนังสือแต่นิทานเยอะจริงๆ
    ก็เล่าให้ฟัง มีอยู่เรื่องหนึ่ง เรื่องสองคนพี่น้องเข้าป่าแล้วเสือกัด พี่ขึ้นต้นไม้ได้ก่อน น้องขึ้นไม่ได้เสือก็ตามมา
    พี่ก็กระโดดไปรับน้องขึ้นต้นไม้ส่งน้องขึ้นไปแล้วพี่ถูกเสือกัดตาย เป็นพี่เป็นน้องขอให้รักกันเหมือนนิทานเรื่องนี้

    อาตมาภาพ นี้คือได้รับวัฒนธรรมแห่งความรัก ก็ได้มา รู้รักสามัคคีได้มาจากครอบครัวเล็กๆ ได้มาจากคุณพ่อซึ่งไม่รู้หนังสือแต่เป็นนักเล่า
    สมัยก่อนเขาเรียกว่าโม้ แต่สมัยนี้เขาเรียกว่ามีวาทะศิลป์ ใครจะไปรู้ว่ามรดกตกทอดจนถึงทุกวันนี้จะทำให้ลูกเป็นพระนักเทศน์
    ใช่ไหมอาตมาภาพคิดว่าการพูดถึงคุณงามความดีของคุณพ่อคุณแม่ต่อสาธารณะชนฟัง
    คือการชดใช้หนี้ศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่งซึ่งลูกจะทำต่อพ่อต่อแม่ คือการพร่ำสรรเสริญคุณของบิดามารดา
    เพราะฉะนั้นไม่ได้ยกพ่อแม่ตัวเองเป็นฮีโร่เพราะความหลงตัวเองนะ
    แต่ยกเพราะตระหนักรู้ว่านี่คือส่วนหนึ่งของการทำหน้าที่ของลูก คือการตระหนักรู้ในคุณของผู้มีพระคุณแล้วตอบแทนคุณ
    ภาษาพระเรียกว่า กตัญญูกตเวที ไม่ได้เล่าเพราะหลงพ่อหลงแม่ของตัวเองว่าเลิศกว่ามนุษย์ทั้งโลก
    ไม่ใช่ แต่เอาเรื่องนี้มาเล่าเพราะอยากจะบอกว่า วิธีหนึ่งที่เราจะตอบแทนพระคุณพ่อพระคุณแม่ได้ก็คือบอกสังคมให้รู้ว่าพ่อแม่
    ดีกับเราอย่างไงจะได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นต่อๆ ไป เรื่องของในหลวงก็พิสูจน์ทฤษฏีได้ว่า เด็กๆ คือบุตรธิดาของสิ่งแวดล้อม




    ที นี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่งก็เรื่องของพระพรหมะคุณาพร ท่านพระพรหมะ คุณาพร หรือท่านป.ปยุตโต เพราะฉะนั้นก็จะเล่าเลย
    อาตมาภาพเป็นคนที่ทำประวัติของท่านตอนที่เรียนปริญญาโท อ่านหนังสือของท่านสามสี่ร้อยเล่มอ่านหมด
    เพราะว่าต้องเขียนรายงานการวิจัย ก็ไปเจอประวัติของท่าน ตอนเด็กๆ ท่านเล่าว่า ตอนเด็กๆ
    คุณแม่เป็นนักเล่านิทาน ตัวยงเหมือนกัน ถ้าจำไม่ผิดนะอาจจะเป็นคุณแม่หรือคุณยายนี่แหละ อาจจะเป็นคุณยายหรือไม่ก็คุณแม่
    อ้าวแล้วสองคนนี้แล้วกัน เป็นนักเล่านิทาน แต่ไม่เล่าเองนะ ให้หลานอ่านให้ฟัง ลูกหลานก็ได้อ่านนิทานได้ฟังนิทาน
    แล้วความที่คุ้ยเคยกับหนังสือ ต่อมาเจ้าลูกเจ้าหลานตัวเล็ก ๆ คนนั้น มาบวชพระ
    เป็นพระมหาปยุต เป็นพระมหาปยุตเท่านั้นเอง ก็เริ่มสะสมหนังสือเพื่อทำพจนานุกรมพระพุทธศาสนาแล้วพออายุสามสิบต้นๆ เท่านั้นเอง
    เริ่มเขียนงานชิ้นเยี่ยมที่ชื่อพุทธธรรมแล้ว ทุกวันนี้จากเด็กตัวเล็กๆ ซึ่งคุณแม่ คุณยายชอบอ่านหนังสือให้ฟัง
    หรืออ่านหนังสือนิยายพื้นบ้านทั้งหลายเขียน หนังสือ เป็นมรดกทางปัญญาให้กับสังคมไทยและโลกไม่ต่ำกว่าสามร้อยเล่ม
    ต่อไปท่านจะเป็นคนไทยที่เขียนหนังสือไว้มากที่สุดในประเทศนี้ แล้วหนังสือของท่านทุกเล่มได้รับการยกย่อง
    ว่าเป็นงานซึ่งถึงพร้อมด้วยความ งามทางวรรณศิลป์ทางภาษาศาสตร์ และทางพุทธศาสตร์อย่างไม่มีที่แตะที่ต้อง
    เป็นสามัญชนเพียงคนเดียวที่ได้รับการยกย่อง รับรางวัลมากที่สุดในประเทศไทย ปริญญาดุษฏีบัณฑิตจากไทยและต่างประเทศ
    ถึงสิบห้าปริญญา ทั้งๆ ที่ตัวเองจบแค่ปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง แต่ได้ปริญญาเอก กิตติมศักดิ์สิบห้าใบ
    เขาบอกว่าในเมืองไทยเว้นแต่ในหลวงแล้ว พระธรรมปิฏกหรือพระพรหมคุณากร
    ไม่เป็นรองใครในเรื่องปริญญากิตติมศักดิ์และสิ่งนี้ไม่ใช่ได้มาเพราะท่าน เป็นพระนักปกครองนะที่ท่านบริหารซึ่งควรจะได้โดยตำแหน่ง
    ไม่ใช่ ท่านเป็นพระธรรมดา แต่ทำงานเผยแผ่ด้วยการเขียนหนังสือ นี่คือผลงานของมรดกทางปัญญาที่เกิดจากคุณแม่คุณยาย
    ใช้ให้ลูกให้หลานอ่านหนังสือให้ฟัง จำได้อยู่ว่ามีช่วงหนึ่ง พี่ชายของท่านซึ่งเป็นนักเรียนหมออยู่ที่กรุงเทพฯ
    ชอบซื้อหนังสือภาษาอังกฤษกับหนังสือธรรมะฝากไปให้น้องชายอยู่เสมอ


    วันหนึ่งหนังสือธรรมะที่ดีที่สุดในยุคนั้น ดังยิ่งกว่าธรรมะติดปีกตอนนี้อีกก็คือใต้ร่มกาสาวพักตร์
    ของอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ตกไปถึงเด็กชายประยุต ท่านได้อ่านหนังสือเล่มนี้
    ธรรมะนิยายอิงพุทธประวัติเรื่องแรกของประเทศไทย คือความประทับใจในพระพุทธศาสนา
    บางทีนี่อาจจะเป็นหมุดใหม่หลักแรกที่ปักลงไปที่ทำให้เด็กคนหนึ่งอยากบวชเป็น พระก็ได้ พอเป็นพระ
    ท่านก็เริ่มเขียนงานชิ้นเยี่ยมทางพระพุทธศาสนา นี่คือเด็กๆคือบุตรธิดาของสิ่งแวดล้อม

    ภาษาอังกฤษซึ่งพี่ชายชอบซื้อหนังสือจากกรุงเทพฯ ไปให้ก็ทำให้น้องชายเก่งภาษาอังกฤษถึงขนาด
    ทุกเทอมที่กลับจากกรุงเทพฯไปโอน ห้องเรียนสอนพี่น้องด้วยกันตั้งแต่ยังเป็นเด็กชาย พี่น้องสี่ห้าคนมาเรียนภาษาอังกฤษด้วยกัน
    ใครสอน? สอนกันเอง คิดดูแล้วกัน นี่คือการจัดสภาพแวดล้อมที่ยอดเยี่ยมมาก
    แล้วโยมพ่อเป็นมหาเปรียญอยู่วัดเบญจมบพิตรซึ่งทำหน้าที่เป็น
    ว่าที่เลขาฯ ของสมเด็จพระสังฆราชกิตติโสพณะมหาเถระซึ่งเป็นเจ้าอาวาส องค์ที่สองของวัดเบญจมบพิตร
    เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่สิบสี่ ในระหว่างนั้นสมเด็จพระสังฆราชเสด็จไปดูงานพระศาสนาที่ยุโรป
    โยมพ่อของหลวงพ่อพระพรหมะคุณาพรกลัวว่าจะได้เป็นเลขาฯของสมเด็จพระสังฆราช เลยลาสิกขาก่อน


    หรือบางทีอาจจะมีเหตุผลมากกว่านี้ก็เป็นได้ ก็ไม่รู้เหมือนกัน ท่านก็ลาสิกขา ลาสิกขาไปที่บ้านก็ไปเปิดโรงเรียน
    เป็นโรงเรียนเอกชนด้วยนะ เปิดโรงสีข้าว เปิดร้านขายของชำ โยมพ่อของท่านมีบุคคลิกอยู่อย่างหนึ่งก็คือซื่อสัตย์
    เดินไปไหนถ้ามีต้นตาลก็ ขึ้นต้นตาล ไม่หลีก ซื่อสัตย์ไหม คิดดูก็แล้วกันเป็นไม้บรรทัดของหมู่บ้าน ของตำบล ของอำเภอ
    รู้กันทั้งอำเภอ ท่านพระพรหมะ คุณากรเล่าให้ฟังว่า คนในหมู่บ้าน คนในตำบล คนในอำเภอ
    ถ้าทะเลาะกันไม่ว่าเรื่องสามีภรรยา เรื่องสินทรัพย์เงินทองเรื่องฉ้อโกงทุจริตอะไรก็ตามถ้าทะเลาะกันมีปัญหาตกลง
    กันไม่ได้ ไม่ต้องไปศาลไปหาคุณลุงมหา โยมพ่อของท่านเอง เพราะอะไร เพราะทุกคนเชื่อมั่น
    ว่าท่านเป็นผู้ทรงความเที่ยงธรรมซื่อสัตย์สุจริตพระธรรม ปิฏกหรือพระพรหมะคุณากรพร้อมกับญาติพี่น้องของท่าน
    เรียกโยมพ่อของท่านว่า ท้าวมาลีวราชในเรื่องรามเกียรติ ท้าวมาลีวราชเป็นผู้ที่มีบทบาทมากในเรื่องการตัดสินคดีความ
    และด้วยที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่คุณแม่เป็นคนชอบวรรณคดีหรือ ไม่ก็คุณยายชอบวรรณคดี
    คุณพ่อเป็นคนซื่อตรงอย่างยิ่งเหมือนไม้บรรทัดต่อมา สิ่งที่ได้จากโยมแม่ หรือคุณยาย ก็คือท่าน
    ต่อมาก็ได้เป็นนักอ่านนักเขียนซึ่งมีงานชนิดดีที่สุดเกือบทุกๆ เล่ม รังสรรค์งานทางปัญญาไว้ให้ประเทศไทยเป็นหนังสือสามร้อยสี่ร้อยเล่ม
    คงถึงห้าร้อยเล่มอย่างแน่นอนเพราะว่ามีเทปคลาสเซ็ทแถบบันทึกเสียงซึ่งยังไม่ได้ถอดเป็นหนังสือ
    อีกเป็นพันๆ ชิ้น ต่อไปเสนอให้เป็นหนังสือทั้งหมด อาจจะเป็นคนที่เขียนหนังสือไว้มากที่สุดในโลกก็เป็นได้
    และสิ่งที่ท่านได้มาจากโยมพ่อของท่านก็คือว่า ท่านกลายเป็นพระซึ่งซื่อสัตย์ต่อพระพุทธเจ้าและพระธรรมวินัยมาก

    ด็อกเตอร์ระวี ภาวิไลเขียนวิจารณ์เอาไว้ว่าใครก็ตามที่ไปเถียงเรื่องพระธรรมวินัยกับหลวง พ่อพรหมะคุณาพร
    ก็เท่ากับไปเถียงกับพระพุทธเจ้าคิดดูแล้วกันว่าท่านซื่อตรง ต่อพระธรรมวินัยไหม ซื่อตรงต่อพระพุทธเจ้าไหม
    ไปเถียงกับท่านสิธรรมะน่ะเท่ากับไปเถียงกับพระพุทธเจ้าเลย ท่านไม่ออกนอกธรรมนอกวินัยเลย
    พระพุทธเจ้าสอนยังไงท่านสอนอย่างงั้นไม่มีการเอาทัศนะของตัวเองไปปนแล้ว
    บอกว่าเป็นของพระพุทธเจ้าเด็ดขาดงานของท่านจึงเป็นงานชิ้นเยี่ยม ความซื่อตรงท่านได้มาจากไหน
    อาตมาภาพสรุปไว้ในงานวิจัย ว่าแน่นอนที่สุดมองในทางจิตวิทยาต้องได้มาจากโยมพ่อใช่ไหมล่ะ นี่เอง




    แล้ว อีกคนหนึ่งคือพระที่ดีที่สุดเหมือนกัน หมอประเวศ บอกว่าร้อยปีจะมีรูปหนึ่ง ก็คือ ไม่ใช่อาตมาหรอก
    อย่างอาตมาหาที่ไหนก็ได้ คือหลวงพ่อพุทธทาส หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุเป็นพระซึ่งมีชีวิตอยู่
    ร่วมทุกข์กับพระธรรมปิฏกนั่นแหละแต่เป็นพระรุ่นพี่เพราะพระธรรมปิฏกก็เคยไป สนทนาวิสาสะด้วย
    และก็คงจะได้อิทธิพลของกันและกันมาตามสมควร ท่านพุทธทาสเกิดมาท่ามกลางครอบครัวซึ่งคุณแม่เป็นผู้หญิงซึ่งละเมียดละไม
    เจ้าระเบียบประหยัดมัธยัสถ์ท่านพุทธทาสนี่ประหยัดมากๆ นะ ท่านบอกว่าได้มาจากแม่
    เศษกระดาษซึ่งเป็นเรื่องสำคัญๆ ของท่านพุทธทาสคุณโยมเชื่อไหม บางชิ้นได้มาจากซองกฐิน
    บางชิ้นเขียนบนกระดาษเศษต่างๆ ที่คุณโยมห่อดอกไม้ไปถวาย บางชิ้นก็ได้มาจากซองปัจจัยที่คุณโยมไปบริจาคแล้วท่านไม่ทิ้ง
    ท่านเอามาจดบันทึก มีอยู่เล่มหนึ่ง เป็นบันทึกนึกได้เอง ตอนนี้สำนักพิมพ์มติชนเอามาพิมพ์สมุดบันทึกของท่าน
    เป็นสมุดบันทึกที่เขาแถมไปกับปฎิทิน ท่านพุทธทาสก็เอามาเขียน เรื่องอิทัพปัจยตา
    เขียนตรงสุลยตาท่านเล่าว่าเรื่องความประหยัดแม่ท่านสอนมีเรื่องหนึ่งซึ่ง ท่านพูดไว้ประทับใจอาตมามาก
    ท่านบอกว่า “แม่บอกอาตมาว่า ถ้าเรามีขนมอยู่ชิ้นหนึ่ง เรากินคนเดียวเราอิ่มคนเดียวแต่ถ้าเราแบ่งให้เพื่อนกินเรากินไปจนตาย”




    ปรัชญา จีนเขาบอกว่า ถ้าท่านแบ่งปลาให้คนหนึ่งเขาอิ่มไปมื้อเดียว แต่ถ้าสอนวิธีจับปลาให้เขา
    เขาจะมีกินปลากินไปทั้งชีวิต เรากินขนมคนเดียวเราอิ่มคนเดียวนะ เราแบ่งให้เพื่อนกิน
    เพื่อนซื้อขนมแบ่งเราทุกทีเห็นไหม แม่ท่านฉลาดไหม นี่คือท่านได้มาจากแม่ แล้วความประหยัดท่านก็ได้มาจากแม่
    ความกตัญญูก็ได้มาจากแม่ ท่านก็เล่าว่าตอนบวชใหม่ๆ เป็นพระใหม่ๆ กลับจากกรุงเทพไปอยู่ภุมเรียว
    ทุกวันแม่ให้คนมาส่งปิ่นโต ท่านก็ไม่รู้หนังสือมากมาย ธรรมะก็ไม่เก่ง แต่ทุกวันก็เขียนธรรมะใส่กระดาษเล็กๆฝากไปให้แม่
    แลกกันแม่เอาอาหารกายมาส่ง ลูกก็มอบอาหารใจไปส่ง ท่านบอกว่าตอนนั้นก็เป็นพระโง่ๆ
    ธรรมะที่รู้ก็เป็นธรรมะชั้นเด็กๆ ทั้งนั้น แต่ก็อยากตอบแทนพระคุณแม่เหลือเกิน
    รู้บ้างไม่รู้บ้างก็อุตส่าห์เขียนฝากไปให้แม่วันละข้อธรรม ทุกวันนี้อาตมาภาพโตแล้ว


    เสียดายรู้ธรรมะขั้นลึกอยากจะสอนแม่ แม่มาชิงตายไปเสียก่อน คิดอยู่ว่ามันไพเราะทางวรรณศิลป์
    ไพเราะทางธรรมะและประทับจิตประทับใจขนาดไหน ตอนที่ท่านพุทธทาสเด็กๆ ก่อนบวชที่ร้านขายของชำของโยมพ่อโยมแม่
    เป็นร้านน้ำชา แล้วประชาชนแถวสวนโมกแถวภุมเรียง มีวัฒนะธรรมอยู่อย่างหนึ่งก็คือ หัวก้าวหน้า
    คนใต้หัวก้าวหน้ามาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ ทุกวันสายๆ ก็จะมีคนมาจิบน้ำชา แล้วคนที่มาจิบน้ำชาก็เป็นคุณลุงคุณป้า
    คุณตาคุณยายซึ่งชอบอ่านหนังสือธรรมะกันเยอะแยะไปหมด อ่านเสร็จแล้วก็มานั่งถกกัน
    เด็กชายงุ่มก็ฟังคุณลุงคุณป้าถกธรรมะกันทุกวัน ทีนี้ก็ไปนั่งฟังก็เป็นบื้อเลย เอ๊ะทำไมเราอยากจะมีส่วนร่วม
    สู้อุตส่าห์ไปซื้อหนังสือเรียนนักธรรมชั้นตรีมา ที่เขามีเรียนกันที่กรุงเทพฯ นะ ซื้อแล้วก็แอบอ่าน
    เป็นเด็กนะ แอบอ่าน อ่านจนทนเลย วันหลังก็ไปนั่งคุย เวลาผู้ใหญ่ถกธรรมะกันก็บอกว่า มันไม่ใช่นะ
    อ้าว แล้วเธอว่าไม่ใช่แล้วมันยังไงล่ะลุกขึ้นอภิปรายเลย ทำอยู่อย่างนั้นสี่ห้าครั้ง หลังๆมา
    คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย ซึ่งธรรมะแตกทั้งหลายสู้เด็กไม่ได้ พ่อแม่ก็เลยเห็นแววว่าเอ๊ะเจ้านี่ไม่ธรรมดา
    ต่อมาซื้อหนังสือธรรมะมาอ่านเอง จนกระทั่งท่านบวชแล้ว เป็นนักอ่านตัวยง วันหนึ่งมีอาจารย์ธรรมศักดิ์
    นักเรียนจากอังกฤษลอนดอนไปเยี่ยมท่านพุทธทาสที่สวนโมก ในระหว่างที่ท่านพุทธทาสทำกิจธุระอยู่นั้น
    อาจารย์สัญญาก็เดินอยู่ตรงนั้นตรงนี้ แวะไปดูกุฏิของท่านที่กลางน้ำ ซึ่งตอนนี้ก็ยังอยู่นะ

    อาตมาภาพเคยไปดูที่สวนโมกเก่า อาจารย์สัญญาก็แวะไปดูกุฏิของท่านพุทธทาส ซึ่งเป็นห้องสมุดส่วนตัว
    ตกใจมาก ท่านบอกว่าผมเพิ่งกลับจากอังกฤษ นักเรียนทุนรัฐบาล จะเป็นเพราะรู้รักษา
    หนังสือเมืองนอกที่กำลังอยู่ในแฟชั่นอินเทรนด์ทั้งหลายผมรู้จักหมด พอไปเห็นหนังสือซึ่งวางอยู่ในกุฎิของท่านพุทธทาส
    คิดดูว่าสุราษฎร์สวนโมกตอนนั้นมันเป็นป่าเป็นดง คิดดูว่ามันเป็นป่า เป็นดงน่ะ ในภุมเรียง
    อยู่ตัวก็ไม่ไกลนะ อาตมาไปเจอมาแล้ว นี่เป็นคำอุปมานะ อย่านึกว่าจริง คืออยากจะพูดให้เห็นว่ามันกันดารขนาดไหน


    แต่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอย่างนั้น นักเรียนนอกอย่างอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ไปพบกับ
    หนังสือภาษาอังกฤษเล่มหนึ่งของพระเลื่อมอินทปัญโญ อายุเพิ่งเลยเบญจเพศไปหน่อย ตกใจจนขนลุก
    ถามตัวเองว่า ทำไมหนังสือประวัติศาสตร์ซึ่งขายดีติดเบสท์เซลเลอร์ระดับโลก
    มาวางอยู่ในกุฏิของพระบ้านนอก ถ้าจำไม่ผิดหนังสือเล่มนั้นน่าจะชื่อ out line of history ของนักประวัติศาสตร์คนหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมาก
    ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อ HG Well เป็นทั้งนักประวัติศาสตร์และนักเขียนจนได้รางวัลโนเบลด้วย
    อาจารย์สัญญาไปเห็นหนังสือของท่านพุทธทาสแล้ว จ๋อยไปครึ่งตัวเลย บอกว่าโอยไม่ไหวแล้ว ท่านลึกกว่าที่เรารู้จัก
    ท่านอยู่บ้านนอกก็จริงแต่ภูมิปัญญาของท่านนะหยั่งรู้ไปถึงระดับโลกตั้งแต่ นั้นอาจารย์สัญญากลับขึ้นมากรุงเทพฯ
    ต่อมา ใครไปอีก ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ก็ไปแล้ว ต่อมาใครไปอีก ส.ศิวรักษ์ก็ไป ส.ศิวรักษ์กลับมาแล้วใครไป
    อาจารย์หมอประเวศน์วสี กลับจากสหรัฐอเมริกาก็ไปอีก ส.ศิวรักษ์ หมอประเวศ ไปแล้วใครไป หลังๆก็อังคาร
    กัลยาณพงค์ กุหลาบสายประดิษฐ์ ปัญญาชนระดับมันสมองของประเทศทั้งนั้น ลงไปเป็นสิบๆ สวนโมกข์กันเป็นแถว
    สุดท้ายปัญญาชนหัวก้าวหน้ายุค 14 ตุลาคม อย่างเสกสรร ประเสริฐกุล ก็เคยพูดเอาไว้ อาตมาภาพเคยอ่านเจอในหนังสือพิมพ์

    ช่วงหนึ่งหลังจากที่ไปอยู่ป่ามาห้าหกปี เดินกลับออกมาจากป่าเข้าสู่เมืองไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นยังไงต่อไป
    ท่ามกลางความรู้สึกมึนงงกับชีวิตว่าจะไปตรงไหนดี พอได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งของท่านพุทธทาสนั่นเองก็ตอบตัวเองได้ว่าจะทำยังไง
    ต่อไป เราท่านทั้งหลายคิดดูสิ พระป่ารูปหนึ่ง ทำไมฉลาดกว่าคนซึ่งเป็นปัญญาชนของบ้านนี้เมืองนี้ ทุกๆเรื่อง
    เด็กไทยซึ่งจะเติบโตขึ้นมาเป็นปัญญาชนของบ้านนี้เมืองนี้อีก จะต้องอ่านงานของท่านพุทธทาสกันต่อไป
    อาตมาภาพไปที่ต่างประเทศไปมาหลายประเทศ ไปดูตามแผงหนังสือภาษาอังกฤษ
    อ่านไม่ได้หรอกแต่ไปดูให้ครึ้มอกครึ้มใจไปอย่างงั้น หนังสือธรรมะในเวทีโลก



    ก็มีของท่านดาไลลามะ ของท่านแห่งประเทศฝรั่งเศษ เมืองไทยก็มีของท่านพุทธทาสภิกขุ
    ครั้งหนึ่งอาจารย์นิราศมณีวัตรนักเขียนชื่อดัง ไปที่ซีแอตเติ้ลที่อเมริกา ไปคุยกับนักท่องเที่ยวที่เป็นแบคแพคเกอร์
    แบกเป้เที่ยว เจอกันกลางป่ากลางเขา ในระหว่างคุยกันนั้นเอง นักท่องเที่ยวคนนั้น ควักหนังสือออกมาจากเป้หลัง
    คุณวิลาศนักเขียนใหญ่ตกใจเพราะอะไร หนังสือเล่มนั้นเขียนโดยพุทธทาสภิกขุ แกกลับจากเมืองนอกไปสวนโมกเลย
    ทำไมคนทั่วโลกรู้จักท่านพุทธทาสแล้วฉัน ไปเป็นกบอยู่ที่ไหน พอคุณวิลาศลงไปสวนโมก
    จริงๆ ก็รู้จักท่านพุทธทาสก่อนอยู่แล้ว แต่ไม่นึกว่าภูมิปัญญาของท่านจะไปถึงเวทีโลกด้วยไง ยิ่งทึ่งเข้าไปใหญ่
    ก็กลับมาเขียนเรื่องราว ท่านพุทธทาสภิกขุเอาไว้ในงานชุดหนึ่งในหนังสือนิกรวันอาทิตย์ จนมีเล่มเป็นสายลมและแสงแดด
    หนังสือเล่มนี้ทำให้อาตมาภาพรู้จักท่านพุทธทาส และนับถือในโยมวิลาศมณีวัตมาก


    ทุกวันนี้ท่านพุทธทาสเป็นปัญญาชนของโลกไม่ใช่ของเอเชีย แต่เป็นของโลกตามมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก
    เวลาเขาจะเรียนวิชาหนึ่งเรียกว่า Asian study เขาจะกำหนดให้เรียนภูมิปัญญาของท่านพุทธทาสด้วย
    คิดดู คำถามก็คือว่าที่เล่ามาทั้งหมดนี้สะท้อนอะไร? ทำไมพระรูปหนึ่งจึงกลายมาเป็นปราชญ์
    ทำไมพระรูปหนึ่งจึงเขียนหนังสือจนคนทั่วโลกยอมรับ? ถ้าไม่ได้มาจากสภาพแวดล้อม
    คืออยู่กับคุณพ่อคุณแม่ซึ่งมีนิสัยในทางใฝ่เรียนใฝ่รู้หรือถ้าไม่ใช่เพราะ ว่าเติบโตมาท่ามกลางร้านชำซึ่งเขาถกธรรมะกันทุกวัน
    จนทำให้เด็กคนหนึ่งเกิดอยากรู้อยากเรียนธรรมะสู้อุตส่าห์ไปซื้อหนังสือมา เรียนธรรมะด้วยตนเอง
    สุดท้ายแล้วกลายมาเป็นขุนเขาแห่งพุทธรรมอาจารย์ต่างประเทศท่านหนึ่ง
    ถ้าจำไม่ผิดน่าจะมาจากมหาวิทยาลัยคอแนลให้สมญาท่านพุทธทาสว่าเป็นนาคาระชุน แห่งเถรวาท
    ท่านนาคาระชุนเป็นคนซึ่งยิ่งใหญ่มากๆ พอสิ้นยุคท่านพระพุทธเจ้าแล้ว
    พระซึ่งยิ่งใหญ่ต่อมาคือพระโคสาจารย์หลังพระพุทธโคสาจารย์ก็คือท่านนาคาระ ชุน
    หลังท่านนาคาระชุนก็คือ เขาบอกว่าก็มีแต่ท่านพระพุทธทาสนั่นเอง คิดดูแล้วกันว่าเกียรติยศของท่านขนาดไหน

    การที่ท่านเป็นพระนักปราชญ์ของโลกก็เพราะว่า ได้มาจากสภาพแวดล้อมของท่านนี่แหละเป็นตัวสำคัญคือเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่ คุณพ่อคุณแม่ใฝ่รักคุณปัญญาใฝ่รักในคุณงามความดีท่ามกลางชุมชนแวดล้อมซึ่งมี ธรรมะ ถกธรรมะ
    ท่านจึงกลายเป็นนักปาฐกถา นักพูด นักเทศน์ นักเขียนธรรมะตัวยง สุดท้ายลูกซึ่งเติบโตมาท่ามกลางอ้อมอกของพ่อแม่
    ที่เลี้ยงมาอย่างอบอุ่น ก็สามารถเอาความรักของท่านมาห่มประเทศไทยทั้งประเทศให้อบอุ่นไปด้วยธรรมะ
    แล้วพอฝรั่งมังค่าเห็นคุณค่าของธรรมะของท่านธรรมะจากปลายปากกาภูมิปัญญาของ
    ท่านก็ไปปกล้อม ปกห่ม โอบคลุมคนทั้งโลกให้มีธรรมะด้วย คนสำคัญๆ ของโลกทั้งหลาย
    เวลาเขาอ่านหนังสือ เขาจะอ่านแนวคิดของคนสำคัญๆ ทั่วโลก คนเหล่านั้นก็ต้องไปอ่านงานของท่านพุทธทาส




    นำเรื่องเหล่านี้มาเล่าก็ เพื่อจะบอกว่าเบื้องหลังความยิ่งใหญ่หรือการประสบความสำเร็จในวิถีของยอดคน
    ทั้งหลายของโลกหากเราจะถามว่า คนเหล่านั้นเริ่มต้นจากอิฐก้อนแรกก้อนไหน
    อาตมาภาพเชื่อว่าฐานแห่งอนุสาวรีย์ ความสำเร็จของยอดคนเหล่านี้เริ่มต้นที่อิฐก้อนแรกคือพ่อกับแม่
    จากนั้นก็คนใกล้ชิดคือญาติๆทั้งหลายต่อมาถึงจะเป็นชุมชนและโรงเรียน ต่อมาถึงจะเป็นวัดเป็นสังคมเป็นสิ่งแวดล้อม
    เป็นสื่อมวลชนเป็นหนังสือหนังหา ถึงที่สุดแล้วเด็กและเยาวชนของเราจะเป็นยอดคนของโลกหรือจะเป็นมหาวายร้ายของ
    โลกขึ้นอยู่กับว่าเขาเติบโตขึ้นมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมอย่างไรและในบรรดาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุด
    คนคือสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุด และในบรรดาคนสำหรับเด็กๆ และเยาวชนของเราพ่อแม่สำคัญที่สุด
    เรื่องที่เล่ามาทั้งหมด ก็เพื่อฉายให้เห็นความเชื่อที่ว่าเด็กๆ คือบุตรธิดาของสิ่งแวดล้อม
    และเพื่อที่จะรองรับหลักความเชื่อทางพุทธศาสนาที่บอกว่า เด็กๆ คือรากแก้วของมนุษยชาติ
    เพราะฉะนั้นที่พูดมาทั้งหมดนี้อาตมาภาพก็ใคร่จะฝากเราท่านทั้งหลาย ช่วยกันนำไปพูดต่อ
    นำไปบอกต่อให้สังคมของเราให้บ้านเมืองของตระหนักรู้ถึงคุณค่าของเด็กและ เยาวชนของเรา
    ถ้าเราอยากให้บ้านเมืองของเราร่มเย็นเป็นสุข หันกลับมาดูแลเด็กของเราให้เติบโตขึ้นมาท่ามกลางสังคมท่ามกลางสิ่งแวดล้อม
    ที่ดีงาม ถ้าเราสร้างเหตุปัจจัยที่ดีงามแล้ว สังคมของเราประเทศของเราก็เป็นประเทศที่ดีงามและร่มเย็นเป็นสุข
    ทั้งหลายทั้งปวงนี้เริ่มต้นด้วยที่บ้าน เริ่มต้นด้วยที่เราท่านทั้งหลาย…………



    เครดิตที่มา http://banimboonpravovachiramati.blogspot.com/2009/10/blog-post_25.html
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2011
  6. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]



    ถึงแม้ผมเกิดมา ไม่เคยได้พบเจอท่าน แต่เมื่อผมได้ฟังธรรมของท่าน

    ผมก็รู้สึกได้เลยว่า นี่ละ ธรรมมะ ของผู้ทรงคุณธรรม ทำให้ผมกราบท่านได้อย่างสุดหัวใจ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2011
  7. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    ท่านเป็นพระภิกษุ ผู้ปลูกเมล็ดพันธ์แห่งปัญญาที่ประเสริฐยิ่งนัก


    [​IMG]





    [​IMG]





    [​IMG]






    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2011
  8. bamrung

    bamrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2006
    โพสต์:
    836
    ค่าพลัง:
    +1,524
    คนนับถือมากนะ แต่ไม่ใช่ผม
    ปราชญ์ของผมคือพระอริยบุคคลเท่านั้น
    นอกนั้นไม่นับว่าปราชญ์
    เว่ยหล่างไม่รู้หนังสือสักตัว ผมคารวะว่าเป็นปราชญ์
    รู้มากเพราะอ่านมาก รู้มากเพราะคิดมาก มันก็อยู่แค่สมอง
    มหาเปรียญ9 ยังต้องสึก
     
  9. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ไม่ว่าท่านใหนก็ตามที่ทำความดี...ผมยกย่องหมดครับ....

    อย่างน้อยที่สุดก็เป็นที่พึ่งทางใจ และกระตุ้นปัญญา สร้างภูมิคุ้มกันด้านจิตใจให้คนในสังคมได้...ถือว่าท่านมีความดีที่น่ายกย่อง...

    พระอริยบุคคลนี่หน้าตาเป็นอย่างไรนั้นก็ไม่ทราบ...ของอย่างนี้มองหน้าจะรู้ได้ไมว่าใครเป็นพระอริยบุคคลเว้นแต่เชื่อในสิ่งที่เขาบอกมานั่นหนะ....

    ใครไปรู้ท่าน ว.วชิรเมธี อาจเป็นพระอรหันต์แล้วก็ได้.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2011
  10. เกาทัณฑ์

    เกาทัณฑ์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +4
    สาธุ!!!! คุณ เจ้า ท่าน ปราชญ์ เเห่งยุค ท่านคือ ผู้นำผม สู่ ทางเเห่งธรรม _/l\_
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    คมธรรมคำสอนของ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี



    [​IMG]

    .....................................

    โกรธแล้ววาง คือทาง โพธิสัตว์


    โกรธแล้วกัด คือ สัตว์สองเท้า
    .....................................

    วางเป็น ก็เย็นได้

    ......................................

    เขตชุมชน โปรดลดความเลว

    .....................................





    ขอบคุณที่มา เฟสบุ้ค แฟนเพจ
    พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • re.jpg
      re.jpg
      ขนาดไฟล์:
      75.8 KB
      เปิดดู:
      1,754
  12. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    คมธรรมคำสอนของ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี



    [​IMG]





    [​IMG]





    ขอบคุณที่มาของภาพหน้าเฟสบุ้ค แฟนเพจ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    คมธรรมคำสอนของ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี



    [​IMG]





    [​IMG]





    [​IMG]





    ขอบคุณที่มาของภาพหน้าเฟสบุ้ค แฟนเพจ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    คมธรรมคำสอนของ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี



    [​IMG]





    [​IMG]





    [​IMG]

    ขอบคุณที่มาของภาพหน้าเฟสบุ้ค แฟนเพจ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี









     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. คิดดีจัง

    คิดดีจัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,626
    ค่าพลัง:
    +5,353
    ผมเองก็ชื่นชม และเครพนับถือท่านมากเลยครับ

    ฟังธรรมจากท่านมากอยู่เหมือนกัน เชื่อว่าท่านยังไปได้อีกไกลเลยที่เดียวครับในทางธรรม
     
  16. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    คมธรรมคำสอนของ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี



    [​IMG]




    [​IMG]




    [​IMG]




    [​IMG]





    ขอบคุณที่มาของภาพหน้าเฟสบุ้ค แฟนเพจ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. Scorpius

    Scorpius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +647
    สาธุ สาธุ สาธุ เคยนั่งฟังธรรมของท่านในโบกี้เดียวกับท่าน วรรณะงามมาก เทศน์ได้ฟังแล้วไม่เบื่อเลย.
     
  18. PrinceCharming

    PrinceCharming เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +773
    เตือนสติ ::: You can have faith in any person, but please meanwhile be realistic.


    1. จบเปรียญ 9 นี่นับเป็นปราชญ์ครับ เพราะจบมากหลายท่านหลายรูป ถ้าจะนับว่าเป็นยอดปราชญ์จริงๆต้องผ่านการพิสูจน์องค์เองว่าเหนือกว่า "ปราชญ์" เปรียญ 9 อีกหลายรูปที่ได้เปรียญ 9 ตั้งแต่ยังเป็นสามเณรทั่วแผ่นดิน หากจะนับพระมหาวุฒิชัยว่าเป็นยอดปราชญ์ แล้วระดับท่านพระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตโต)ละครับ เป็นอะไร? คำว่ายอด นี้มีเพียงหนึ่งเดียวไม่ใช่หรือครับ? หรือคุณจะยกย่องว่าคนนู้นก็ยอดคนนี้ก็ยอดจนยอดเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วตกลงมีใครไม่เป็นยอดบ้าง?


    2. ท่านสอนให้ทำดีคิดดีก็ดีแล้วครับ แต่ผมไม่ชอบคำสอนที่ว่า นิพพานที่นี่เดี๋ยวนี้ ในบริบทที่ตื้นเกินไปเพราะในแง่หนึ่งนั้นดีครับที่สอนให้คนทำจิตสันโดษ รู้จักความสงบ แต่การที่บอกว่านิพพานที่นี่เดี๋ยวนี้ หรือนิพพานระหว่างวันของท่าน อาจทำให้หลายคนคิดว่าตนถึงนิพพานแล้ว พลอยทำให้ไม่อธิษฐานหวังพระนิพพานจริงๆเป็นที่ไป ด้วยอาจจะเห็นผิดว่านิพพานสูญ ได้เข้าถึงนิพพานแล้วหรืออะไรก็ตามที่เป็นผลมาจากการเข้าใจสภาวะพระนิพพานที่แท้จริงผิดไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาและหลักธรรมคำสอนที่เป็นแก่นจริงๆคือพระนิพพานโดยตรงครับ


    เคยอ่านคำสอนของท่านในนิตยสาร Secret จับใจความได้ว่าคำว่านิพพานในบริบทของท่านคือการมีสติระลึกรู้เท่าทันในปัจจุบันขณะ ผมว่ายังไม่ถูกทั้งหมดครับ เพราะว่าการฝึกให้ตนเองมีสติในปัจจุบันขณะนั้นแท้จริงแล้วมีจุดประสงค์เพื่อให้คนเห็น pattern ที่ซ้ำๆๆๆกันของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ครับ แต่ปกติคนเราจะไม่เห็น pattern เหล่านี้เพราะขาดปัญญา การฝึกสติจึงบอกว่าเอ้าถ้าปัญญายังไม่ละเอียดขนาดเห็น pattern ของไตรลักษณ์ และเข้าใจมันขนาดนั้นก็ให้ตามดูปัจจุบันขณะไปนี่ละ เอาหยาบๆก่อน ฝึกจากอารมณ์หยาบๆเข้าหาอารมณ์ละเอียด พอรู้ๆๆๆ เห็นๆๆๆ นานเข้าๆ ตัวปัญญาก็จะเกิด ซึ่งตัวปัญญานี้คือวิปัสสนาญาณนั่นเองครับ


    เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งที่จะทำให้เราถึงพระนิพพานได้จึงมีเพียงสองอย่างคือ 1.สมถกรรมฐาน 2.วิปัสสนาญาณ ต้องมีสองอย่างนี้พร้อมกันครับจึงจะถึงนิพพานได้ ในความเห็นของผมการฝึกสติเป็นทางตรงเข้าสู่นิพพานก็จริงครับ แต่ยังไม่ใช่สภาวะพระนิพพาน เพราะถามว่าคนที่มีสติรู้เท่าทันปัจจุบันขณะอยู่นั้นมีนิพพิทาญาณคือความเบื่อในวัฏฏสังสารและสังขารุเปกขาญาณคือความวางเฉยทั้งหมดในวัฏฏะสังสารอันเป็นอารมณ์ของพระอนาคามีและพระอรหันต์แล้วหรือยังครับ


    หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเคยบอกไว้ว่าผู้ที่จะพูดเรื่องพระนิพพานแล้วไม่ผิดนั้นต้องเป็นผู้ที่มีอัชฌาสัยตั้งแต่วิชชาสามขึ้นไปที่อารมณ์จิตเข้าถึงโคตรภูญาณของพระโสดาบันแล้วเป็นอย่างน้อยเท่านั้น คิดเองว่าถ้าท่านได้ต่ำกว่านั้นพูดไปก็ผิดๆถูกๆครับ แล้วส่วนตัวก็คิดว่าพระมหาวุฒิชัยไม่ได้แม้แต่วิชชาสามด้วยซ้ำ เพราะดูจากคำสอนถ้าได้จะไม่ปฏิเสธหรือละทิ้งเรื่องพรหมเทวดาเลยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2011
  19. naron

    naron เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2009
    โพสต์:
    2,515
    ค่าพลัง:
    +3,573
    อนุโมทนาสาธุบุญกับท่านและทุกๆท่านครับผมทุกๆกองบุญครับผม
     
  20. PrinceCharming

    PrinceCharming เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +773
    ใช่ครับ ภูเขามีหลายยอด แต่ว่าการที่เรา identify ว่าตรงนี้เป็นยอดเขาได้เพราะเราเทียบกับความสูงของภูมิประเทศรอบข้าง ยอดเขาอาจมีได้หลายแห่งแต่ละแห่งก็เทียบกับความสูงของภูมิประเทศโดยรอบยอดของมันเอง อันนี้เห็นด้วย


    แต่ประเด็นที่อยากเตือนก็คือการที่เจ้าของกระทู้ใช้คำว่า"ยอดปราชญ์" นี่ ไม่ทราบว่า in comparison with ใครบ้างครับ ถ้าบอกว่าองค์นี้เป็นยอด ก็แสดงว่าต้องมีองค์ที่ต่ำกว่า ผมไม่แน่ใจว่าพระองค์ไหนบ้าง หรือปราชญ์คนไหนบ้างที่ ในความเห็นเจ้าของกระทู้คิดว่ามีความเป็นปราชญ์ต่ำกว่าพระมหาวุฒิชัย จึงได้ถามว่า แล้วพระพรหมคุณาภรณ์ละ เป็นยอดหรือเปล่า หรือไม่ใช่ หรือเมื่อเทียบกับทั้งหมดแล้ว พระมหาวุฒิชัยก็ยังคงเป็นยอดปราชญ์อยู่


    ถ้าจะกรุณาชี้เฉพาะลงไปจะดีมาก เพราะว่าบางคนก็ชอบมองโลกไม่ base on ความเป็นจริงครับ จึงถามมาเพื่อขอความกระจ่าง
     

แชร์หน้านี้

Loading...