นัยอันล้ำลึกของคำว่า "ขอบคุณ" บทความธรรมะดีๆ มีให้อ่านที่นี่ทุกวันค่ะ

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย อรชร, 9 ธันวาคม 2010.

  1. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    มาต้อนรับการกลับมาของเจ้าของกระทู้แล้วค่ะ...
    ในที่สุดน้องน่านน่ะซิ...ก็กลับมาแว๊ววววววววววววซิ ...
    ดีใจจังเยยยยย ๆ ๆ ....
    catt4catt7catt2_heart+love_;aa15
    catt18catt21
    catt12catt3catt10
     
  2. pimapinya

    pimapinya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +2,044
    [​IMG]
    นู๋น่านนะซิ.....มาแว้วcatt7catt7catt7
     
  3. อรชร

    อรชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +11,465
    กราบขอบพระคุณ พี่ใจ พี่จั่น พี่พิม เป็นอย่างสูงค่ะ

    และขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาเยือนค่ะ

    อนุโมทนากับทุกๆบทความนะคะ
    catt10​
     
  4. อรชร

    อรชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +11,465
  5. pimapinya

    pimapinya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +2,044
  6. อรชร

    อรชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +11,465
  7. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=549 align=center bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD colSpan=4>อิทธิบาท 4

    </TD></TR><TR><TD width=12> </TD><TD colSpan=4> คำว่า อิทธิบาท แปลว่า บาทฐานแห่งความสำเร็จ หมายถึง สิ่งซึ่งมีคุณธรรม เครื่องให้ลุถึงความสำเร็จตามที่ตนประสงค์ ผู้หวังความสำเร็จในสิ่งใด ต้องทำตนให้สมบูรณ์ ด้วยสิ่งที่เรียกว่า อิทธิบาท ซึ่งจำแนกไว้เป็น ๔ คือ
    ๑. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
    ๒. วิริยะ ความพากเพียรในสิ่งนั้น
    ๓. จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
    ๔. วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น
    ธรรม ๔ อย่างนี้ ย่อมเนื่องกัน แต่ละอย่างๆ มีหน้าที่เฉพาะของตน
    ฉันทะ คือความพอใจ ในฐานะเป็นสิ่งที่ ตนถือว่า ดีที่สุด ที่มนุษย์เรา ควรจะได้ ข้อนี้ เป็นกำลังใจ อันแรก ที่ทำให้เกิด คุณธรรม ข้อต่อไป ทุกข้อ
    วิริยะ คือความพากเพียร หมายถึง การการะทำที่ติดต่อ ไม่ขาดตอน เป็นระยะยาว จนประสบ ความสำเร็จ คำนี้ มีความหมายของ ความกล้าหาญ เจืออยู่ด้วย ส่วนหนึ่ง
    จิตตะ หมายถึงความไม่ทอดทิ้ง สิ่งนั้น ไปจากความรู้สึก ของตัว ทำสิ่งซึ่งเป็น วัตถุประสงค์ นั้นให้เด่นชัด อยู่ในใจเสมอ คำนี้ รวมความหมาย ของคำว่า สมาธิ อยู่ด้วยอย่างเต็มที่
    วิมังสา หมายถึงความสอดส่องใน เหตุและผล แห่งความสำเร็จ เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ให้ลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไปตลอดเวลา คำนี้ รวมความหมาย ของคำว่า ปัญญา ไว้อย่างเต็มที่
    </TD></TR><TR><TD width=12> </TD><TD colSpan=4> </TD></TR><TR bgColor=#ffffcc><TD width=24> </TD><TD width=156> </TD><TD colSpan=2></TD><TD width=176> </TD></TR><TR bgColor=#ffffcc><TD width=24> </TD><TD width=156></TD><TD width=141></TD><TD width=102>
    อิทธิบาท 4​
    </TD><TD width=176></TD></TR><TR bgColor=#ffffcc><TD width=24> </TD><TD width=156></TD><TD width=141></TD><TD width=102></TD><TD width=176></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. pimapinya

    pimapinya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +2,044
    :: ความรักเกิดจากความพลัดพราก ::

    <!--Main-->









    :: ความรักเกิดจากความพลัดพราก ::



    ภาพและคำ ~ สิงห์โตหมอบ
















    [​IMG]





    [​IMG]





    [​IMG]





    [​IMG]












    <!--End Main-->
     
  9. อรชร

    อรชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +11,465
    <TABLE width="100%"><TBODY><TR><TD>
    [​IMG][​IMG][​IMG]



    เมื่อพูดถึงความดี..
    ทุกคนก็คงเข้าใจเป็นอย่างดีแล้วว่า..


    ความดี..คือ...ความอ่อนน้อมทางกาย...
    ความดี..คือ...ความอ่อนหวานทาง...
    ความดี..คือ...ความอ่อนโยนทางใจ...
    ความดี..คือ...ความงดงามทั้งกาย วาจา และจิตใจ...
    ความดี..คือ..คุณธรรมที่น้อมนำให้เราเป็นคนดี..(ความดีคู่กับคุณธรรม)..
    ความดี..คือ..สภาพของความรู้สึกแสดงความปลาบปลื้มเป็นสุขให้กับผู้กระทำ..

    ถ้าจะถามว่า..
    ระหว่างความดีกับความชั่วอะไรจะทำได้ง่ายกว่ากัน ??? [​IMG]

    หลายต่อหลายเหตุผล...แล้วแต่เราจะตอบ..
    แต่มีพระพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้าของเราตรัสไว้ว่า..

    ความดี.....คนดี.......ทำได้ง่าย
    ความดี.....คนชั่ว.....ทำได้ยาก
    ความชั่ว...คนดี.......ทำได้ยาก
    ความชั่ว...คนชั่ว.....ทำได้ง่าย


    ดังนั้นเราก็พอจะวัดคุณภาพความดีของเราได้ว่า...
    เราจัดอยู่ในความดีประเภทใด..

    เพราะฉะนั้นเครื่องวัดคุณธรรม คือ ความดีของเรา..
    สามารถวัดได้จาก....เกรดแห่งคุณธรรม ๔ ระดับ คือ....


    เกรด D เป็นการทำความดีเพื่อตนเอง..
    ……....ไม่สนใจผู้อื่นว่าจะเป็นอย่างไร..
    ……....คิดเห็นแต่ประโยชน์ตนเป็นหลัก..
    เป็นความดีระดับเบื้องต้น..คือ...(ดี)....ธรรมดา..

    เกรด C เป็นการทำความดีเพื่อผู้อื่น
    ……...โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ตนเองเลยสักนิด..
    ……....แต่สนใจและคำนึงถึงการทำเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา..
    เป็นความดีระดับปานกลาง..คือ...(ดีมาก).....

    เกรด B เป็นการทำความดีเพื่อตนเองและผู้อื่น
    ……...ประเภทนี้ก็ถือว่า..ยกระดับความดีควบคู่กัน คือ..
    ……...ทำดีเพื่อตนแล้ว ยังทำเพื่อคนอื่น รวมถึงสังคมด้วย..
    เป็นความดีระดับสูง..คือ...(ดีที่สุด).....

    เกรด A เป็นการทำความดีที่ไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น..
    ……....เมื่อมีโอกาสก็ทำทันที ไม่ต้องเดี๋ยว ไม่ต้องรอ
    ……....ถ้าเป็นเรื่องดี....คิดแล้วทันที...
    ……....ถ้าเป็นเรื่องไม่ดี...ต้องคิดแล้วคิดอีก..คิดเป็นร้อยครั้ง...พันครั้ง..
    ……....จนลืมไปเลยว่า..เราคิดเรื่องไม่ดี...(ลืมความชั่ว..ทำแต่ดี..มีคุณจริง)...
    เป็นความดีระดับดีที่สูงกว่าที่สุด...จนหาประมาณมิได้..
    ดีแท้แน่นอน..ประเสริฐสุด..สุดยอด)...และไม่หยุดทำความดี..ทำดีตลอดเวลา..[​IMG]

    เพราะฉะนั้น...
    การที่เราวัดใครเป็นคนดี...มีคุณธรรม..
    ก็วัดได้จาก ๔ เกรดดังที่กล่าวแล้ว...


    เกรด ( ( A ) )…ดีที่สุดกว่าที่สุด...จนหาประมาณมิได้...ทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน


    เกรด ( ( B ) )…ดีที่สุด...ทำเพื่อประโยชน์ของตน ของผู้อื่น และสังคม..


    เกรด ( ( C ) )…ดีปานกลาง....ทำเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นเป็นหลัก..

    เกรด ( ( D ) )…ดีธรรมดา...เพราะทำเพื่อประโยชน์ตนโดยส่วนเดียว...

    ดังบทกลอนที่ว่า...
    อยากได้ดี ไม่ทำดี นั่นมีมาก
    ดีแต่อยาก ไม่ยอมทำ น่าขำหนอ
    อยากได้ดี ไม่ทำดี มีแต่รอ
    ดีแต่ขอ รอแต่ดี เดี๋ยวค่อยทำ..ฯ [​IMG]

    ขอขอบคุณ...

    บทความโดย...ชายน้อย..
    </TD></TR></T></TBODY></TABLE>
    ที่มา : ที่มา ::: http://dhammahi5.blogspot.com/
     
  10. pimapinya

    pimapinya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +2,044
    [​IMG]
     
  11. อรชร

    อรชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +11,465
    [​IMG]

    [​IMG]ขอบคุณค่ะ คุณ...ยาย อึ้ย..พี่พิม ขอบคุณนะคะ[​IMG]
     
  12. อรชร

    อรชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +11,465
    สัจธรรมแห่งชีวิต 1

    ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส
    ปราศจากเมฆหมอก
    ทุกสิ่งดูน่าเจริญตาเจริญใจ
    ลองมองออกไปรอบ ๆ ตัวเรา
    แสงแดดเรืองรองกระจายไปทั่ว
    ต้นไม้ไปหญ้าเขียวชะอุ่ม
    นกนานาชนิดส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว
    บินถลาไปมาเพื่อหาอาหาร
    ผีเสื้อแสนสวยตัวเล็ก ๆ
    บินว่อนอยู่เหนือดอกไม้ที่แย้มบาน
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ในสายตาของชาวโลก
    ธรรมชาติเป็นสิ่งที่น่ารื่นรมย์
    แต่ในสายตาของนักธรรมะที่มีปัญญา
    เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    และพระอรหันตสาวกผู้ที่ดำเนินรอยตามพระองค์

    หาได้เห็นเช่นนั้นไม่
    ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรคงที่
    ไม่ถาวรยั่งยืน เกิดแล้วก็ตาย
    มีแล้วก็กลับไม่มี

    พิจารณาให้ดี จะเห็นจริงตามท่าน

    [​IMG]วันเวลาผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ต้นไม้ใบหญ้าที่เขียวชะอุ่มไม่ช้าก็ร่วงหล่นแห้งเหี่ยวตาย นกก็ดี ผีเสื้อก็ดี ล้วนแต่มีชีวิตอยู่ไม่นานแล้วก็ตาย แม้แต่ตัวเราเองก็ต้องตาย ทุกอย่างในโลกนี้ตกอยู่ในลักษณะนี้ คือต้องเปลี่ยนแปลงแตกสลายไปในที่สุด ถ้าเราไม่รู้จักดำเนินชีวิตของเราให้ถูกต้องแล้ว เราจะไม่พ้น
    ไปจากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้เลย

    พระพุทธเจ้าและพระอริยสาวกทั้งปวง ล้วนแต่มองเห็นความจริงข้อนี้ ท่านจึงได้ดำเนินชีวิตของท่าน ไปตามทางสายกลางอันประกอบด้วยองค์ ๘ ที่เรียกว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ จนได้บรรลุคุณธรรมขั้นสูง เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันตขีณาสพตามลำดับ ดับกิเลสและขันธ์ได้หมดสิ้นไม่ต้องเกิดไม่ต้อง
    ตายอีกต่อไป [​IMG]

    มีสักกี่คนที่ต้องการดำเนินรอยตามพระพุทธองค์ ส่วนมากยังรักที่จะเกิดอยู่ทั้งสิ้น แม้จะทุกข์บ้าง สุขบ้าง แต่ชีวิตก็ยังน่ารื่นรมย์ น่าอยู่ น่าทดลอง พระพุทธองค์มิได้ทรงสอนให้ทุกคนดำเนินรอยตามพระองค์แต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ผู้ใดยังรักที่จะอยู่ในโลกนี้ พระองค์ก็ทรงสอนให้อยู่ในโลกนี้ด้วยความสุข แม้จะต้องตายและเกิดใหม่อีก ก็ให้เกิดในที่ดี มีความสุขสบาย มีรูปสวยรวยทรัพย์ เป็นต้น

    นั่นคือทรงสอนให้ละชั่วประพฤติดี [​IMG]

    เพราะถ้าประมาทพลาดพลั้ง ต้องตกไปเกิดในที่ชั่วเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน
    แล้ว โอกาสที่จะกลับมาเกิดในที่ดี เป็นมนุษย์เป็นต้นนั้นแสนยาก เพราะอะไร ?
    เพราะเมื่อไปเกิดในที่ชั่วเหล่านั้นแล้ว ต้องทนทุกข์ทรมาน อดอยากยากแค้น ด้วยอำนาจของความชั่วที่ทำไว้โอกาสที่จะทำความดี
    แทบจะไม่มี

    [​IMG]เมื่อโอกาสที่จะทำความดีหายาก เราจะได้ผลความดีที่ไหนมานำเราไปเกิดในที่ดี ผู้ที่เกิดในที่ชั่วอาศัยกรรมชั่วนำไปเกิด ฉันใด ผู้ที่เกิดในที่ดีก็ต้องอาศัยกรรมดีนำไปเกิด ฉันนั้น

    สัตว์เดรัจฉานที่เราเห็นว่าน่ารัก เช่น นก เป็นต้นนั้นความจริงเกิดในที่ชั่ว โอกาสที่จะทำความดีมีน้อยหรือเกือบไม่มีเลย มักจะทำความชั่วเสียมากกว่า วันหนึ่งๆ ท่านเห็นนกทำความดีอะไรได้บ้าง [​IMG]

    มีแต่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ด้วยการหาหนอน หาแมลงกินเป็นอาหาร ชีวิตของนกส่วนมากจึงมีแต่จมลงไปในที่ชั่วมากขึ้นทุกวัน

    ฉะนั้น โอกาสที่จะกลับมาเกิดเป็นคนนั้นแสนยาก ยังมีสัตว์อีกมากมายรอบๆ ตัวเรา ในฤดูที่ฝนฉ่ำฟ้า เราจะพบลูกกบ ลูกเขียด ลูกคางคกมากมายในแอ่งน้ำตื้นๆ ส่งเสียงร้องกันเซ็งแซ่

    ฝนตกที่ไหนมีน้ำขังเพียงเล็กน้อย เราจะเห็นสัตว์จำพวกนี้เต็มไปหมด ยังไม่ทันโตก็ถูกคนเหยียบตายบ้าง รถทับตายบ้าง

    ที่รอดมาได้ก็ต้องตายเพราะน้ำในแอ่งแห้งเสียก่อนบ้าง แดดเผาตายบ้าง สิ้นชีวิตไปชาติหนึ่งโดยที่ไม่มีโอกาสทำความดีอะไรเลย

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  13. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    [​IMG] โต๊ะทำงาน-ชีวิตวุ่นวาย แต่ให้จิตว่างก็เพียงพอเนอะ นู่น่านเนอะ...[​IMG]
     
  14. อรชร

    อรชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +11,465
    ขอบคุณค่ะพี่ใจขาๆๆๆ

    ถูกต้องมากมายค่ะ สบายๆ ปล่อยวาง สุข...ดีแท้ค่ะ
     
  15. อรชร

    อรชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +11,465
    สัจธรรมแห่งชีวิต2

    [​IMG]ลองมองให้ใกล้ตัวอีกนิด สุนัขก็ดี แมวก็ดี แม้จะได้รับการเลี้ยงดูอย่างมีความสุข มีอาหารอุดมสมบูรณ์ด้วยผลของบุญเก่าที่เคยทำไว้ แต่บุญใหม่ ท่านเคยเห็นสุนัขหรือแมวทำคุณงามความดีอะไรบ้าง[​IMG]

    มีแต่คอยประจบประแจงเจ้านายให้รักใคร่เพื่อปากเพื่อท้องของตนเอง ริษยาพยาบาทกันเองบ้าง คอยทำลายชีวิตนกและหนูบ้าง

    โอกาสที่จะทำความดีเกือบไม่มี เมื่อบุญเก่าก็ใช้หมด บุญใหม่ก็ไม่ได้ทำแล้วจะได้บุญ
    ที่ไหนมาช่วยให้ไปเกิดในที่ ๆ ดี ในเมื่อสิ้นชีวิตลง มีแต่จะตกต่ำลงไปทุกที[​IMG]

    ลองมองให้ซึ้ง จะเห็นว่าลำพังแต่เกิดมาเป็นสัตว์ก็น่าสงสารอยู่แล้ว ซ้ำยังมีคนใจร้ายคอยเบียดเบียนซ้ำเติมให้ทุกข์ยากลำบากขึ้นไปอีก นี่เป็นเพียงชีวิตของสัตว์ที่เรามองเห็นได้

    ส่วนที่เรามองไม่เห็นมีอีกมากมาย โดยเฉพาะพวกสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เหล่านี้ยิ่งลำบากทุกข์ยากยิ่งกว่าสัตว์ที่เราเห็นๆ
    กันอยู่นี้หลายแสนเท่า ช่างน่าสงสารนัก[​IMG]

    เราเคยคิดกันบ้างหรือไม่ว่า อะไรทำให้ไปเกิดเป็นสัตว์ อะไรทำให้ไปเกิดเป็นมนุษย์ อะไรทำให้ไปเกิดเป็นเทวดา

    เพราะอะไรสัตว์จึงมีมากมายหลายชนิดจนนับไม่ถ้วน แม้เทวดาและมนุษย์เองก็มีมากมายหลายจำพวก

    สัตว์ในโลกนี้จะมีอย่างเดียวไม่ได้หรือ มนุษย์และเทวดาก็น่าจะมีแต่คนดีอย่างเดียวไม่
    มีคนชั่ว หรือมีแต่คนชั่วอย่างเดียวไม่มีคนดีเลยไม่ได้หรือ ?[​IMG]

    ตอบได้ทันทีว่า ไม่ได้
    เพราะอะไร ? เพราะสัตว์ทุกชนิดมีกรรมคือการกระทำแตกต่างกัน เกิดเป็นสัตว์ก็เพราะกรรม

    เกิดเป็นมนุษย์ก็เพราะกรรม สัตว์และมนุษย์ตลอดจนเทวดามีมากมายหลายชนิด ก็เพราะกรรม คือการกระทำของตนเอง มิใช่การกระทำของผู้อื่น

    สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ จึงเป็นไปตามกรรม มีกรรมเป็นผู้จำแนกให้ดี เลว ประณีต แตกต่างกัน[​IMG]

    ทุกท่านไม่มีใครอยากถูกฆ่า ถูกขโมย ถูกผู้อื่นล่วงเกินบุตรภรรยาสามีของตน ไม่มีใครอยากได้ยินคนอื่นโป้ปดมดเท็จเรา หรือพูดคำหยาบ เสียดสีเรา

    ไม่อยากขาดสติเป็นคนบ้าเลอะเลือน แต่ว่าทำอย่างไรเล่า จึงจะไม่ประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจเหล่านี้

    ไม่ยากเลย
    พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ว่า เมื่อเราไม่อยากถูกฆ่าก็อย่าฆ่าคนอื่นสัตว์อื่น และไม่ใช้ให้ผู้อื่นฆ่าแทนเราด้วย [​IMG]

    เราไม่อยากถูกลักขโมย ก็อย่าลักขโมยหรือหยิบฉวยของที่เจ้าของหวงแหน ที่เจ้าของเขามิได้อนุญาต ทั้งไม่ใช้ผู้อื่นลักขโมยหยิบฉวยแทนตนด้วย

    เราไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงเกินบุตรภรรยาสามีของเรา ก็อย่าได้ล่วงเกินบุตรภรรยาสามีของคนอื่น

    เราไม่อยากได้ยินคำเท็จ คำหยาบ เราก็อย่าพูดคำเท็จ อย่าพูดคำหยาบ พูดแต่คำสัตย์ คำจริง คำอ่อนหวาน [​IMG]

    เราไม่อยากเลื่อนลอย ขาดสติ เป็นบ้า ก็อย่าดื่มสุราเมรัยของเสพติดมึนเมาทั้งหลาย

    ในทางตรงข้าม ทุกคนอยากร่ำรวย อยากรูปสวยผิวพรรณงดงามมีคนเคารพนอบน้อมเชื่อฟัง มีคนคอยปรนนิบัติรับใช้ช่วยเหลือกิจการงานต่างๆ ให้สำเร็จ

    ทุกคนอยากมีสติปัญญาดี เฉลียวฉลาดด้วยกันทั้งนั้น ปัญหาอยู่ที่ว่าเราจะได้สิ่งที่เราต้องการ ที่น่าพึงพอใจเหล่านี้มาจากไหน ไม่ยากอีกเช่นเดียวกัน[​IMG]

    เราอยากร่ำรวย ก็ต้องละความตระหนี่ ยินดีในการจำแนกแจกทาน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปันข้าวของเงินทองเครื่องใช้แก่ผู้อื่น

    ใครขาดแคลนสิ่งใด เรามีเราก็หยิบยื่นให้ด้วยความเต็มใจ ไม่หวงแหน ไม่หวังผลตอบแทน ความดีที่เราเคยแบ่งปันให้ทานแก่ผู้อื่นอยู่เป็นนิตย์นั้น มิได้สูญหายไปไหน แต่จะกลับมาตอบสนองให้เราได้ข้าวของเงินทองเหล่านั้น เป็นคนร่ำรวย ไม่ยากจนในอนาคต

    เราอยากมีรูปงาม พระพุทธเจ้าก็ตรัสสอนให้รักษาศีล มีศีล ๕ คือการงดเว้นจากการฆ่า
    สัตว์เป็นต้น ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ตามสมควรแก่กำลังของผู้รักษา[​IMG]

    ศีลเป็นเครื่องขัดเกลา กายวาจาใจให้สะอาด มีกิริยาวาจาใจเรียบร้อย คนที่มีกิริยาวาจาสุภาพเรียบร้อยมีใจดีนั้นเป็นคนน่ารักนักหนา

    ใครเห็นใครก็ชอบ ใครเห็นใครชม ใครได้อยู่ใกล้ชิดก็เอ็นดูรักใคร่ มีศีลหน้าตาอิ่มเอิบ ผิวพรรณผ่องใส ด้วยความดีคือศีลที่เราทำไว้นี้จะเป็นเหตุให้เราได้มีรูปสวย ผิวพรรณงามในกาลภายหน้า[​IMG]

    เราอยากให้คนอื่นเคารพนอบน้อมเชื่อฟังเรา เราก็ต้องหัดเคารพนอบน้อมเชื่อฟังผู้ที่เราควรเชื่อฟังเสียก่อน

    ผู้ที่ควรเคารพนอบน้อมเชื่อฟังนั้นได้แก่ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มารดาบิดา ครูอาจารย์

    ตลอดจนผู้ที่สูงกว่าเราด้วยชาติตระกูล ด้วยความรู้ และด้วยวัย ถ้าเราเคยเคารพนอบน้อมยกย่องผู้อื่น ไม่ดูหมิ่นผู้อื่นอย่างนี้ เราก็จะได้รับผลเช่นนั้นเองในภายหลัง[​IMG]

    เราต้องการให้ใคร ๆ ช่วยเหลือกิจการงานของเรา เราก็ต้องรู้จักช่วยเหลือกิจการงานของผู้อื่น

    กิจการงานในที่นี้หมายถึงกิจการงานที่ดีที่ชอบที่สุจริต ไม่ใช่กิจการงานที่ทุจริตคิดมิชอบมีการลักขโมยเป็นต้น

    เราเคยช่วยเหลือกิจการงานของผู้อื่นด้วยความเต็มใจอย่างใด เราก็จะได้รับผลคือการช่วยเหลือจากผู้อื่นอย่างนั้น[​IMG]

    เราอยากมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เราก็ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ ด้วยการอ่านหนังสือที่ดีมี
    คุณค่า และหมั่นคบหาสมาคมใกล้ชิดกับท่านผู้รู้

    สดับตรับฟังคำสอนของท่านผู้รู้ทั้งหลายเหล่านั้น มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นอยู่เสมอ ๆ อ่านแล้วฟังแล้วก็นำมาคิดพิจารณาใคร่ครวญให้รอบคอบสติปัญญาความเฉลียวฉลาดจึงจะ
    เกิดได้[​IMG]

    ขอขอบคุณที่มา...http://www.innovaclub.net/SMF-Board/...?topic=10403.0
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 มีนาคม 2011
  16. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    [​IMG][​IMG] [​IMG] [​IMG][​IMG]
    ขออนุโมทนาในกุศลจิตของน้องน่านค่ะ
    มีธรรมะมาให้อ่าน
    ขอบคุณบทความดีๆ ค่ะ
    [​IMG][​IMG]
    [​IMG]
     
  17. อรชร

    อรชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +11,465
    [​IMG]ขอบคุณค่ะ พี่จั่นขาๆๆ[​IMG]

    สัจธรรมแห่งชีวิต3

    เพราะฉะนั้นเมื่อเราต้องการอย่างไร ก็จงทำเหตุให้ตรงกับผลที่จะได้รับ เหตุดีผลต้องดี เหตุชั่วผลต้องชั่ว

    พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น เราหว่านข้าว เราก็ย่อม
    ได้รับเมล็ดข้าว เราทำกรรมดี เราก็ได้รับผลดี เราทำกรรมชั่ว เราก็ได้รับผลชั่ว

    คำตรัสของพระพุทธองค์ข้างต้นนี้ เป็นความจริงอย่างยิ่ง และจะจริงอยู่ตลอดไป ไม่มีสิ่งใดจะมามีอำนาจทำให้ผันแปรเป็นอย่างอื่น
    ได้

    ด้วยเหตุนี้ สัตว์ทั้งหลายจึงเกิดมาด้วยกัน คือ การกระทำของเราเองทั้งสิ้น เกิดมาแล้วก็มีชีวิตอยู่ด้วยกรรม คือ รับผลของกรรมเก่าบ้าง สร้างกรรมใหม่ที่จะเป็นเหตุให้เกิดผลต่อไปอีกบ้าง

    ตายไปแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป ก็เพราะกรรม ไม่ใช่เพราะพระพรหมลิขิต หรือผู้อื่นดลบันดาลให้เป็นไป แต่กรรมที่ เราได้สะสมเอาไว้นั่นแหละ เป็นผู้ลิขิตชีวิตเรา ให้เป็นไปต่างๆ

    รวมความว่าเราไม่มีวันที่จะหนีกรรมที่เราทำไว้ได้พ้น นอกเสียจากว่า เมื่อเราได้ทำลายเหตุ ที่จะทำให้เราเกิดได้หมดสิ้นแล้วด้วยอริยะมรรค

    เมื่อนั้นเราจะไม่ต้องรับกรรมหรือสร้างกรรมใดๆ อีกเลย เราจะเป็นผู้พ้นแล้วจากกรรมทั้งหมดเช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกของพระองค์ได้พ้นกันมาแล้ว

    ตามปกตินั้น คนเราไม่มีใครเลยที่เคยทำแต่ความดีหรือความชั่วเพียงอย่างเดียว ทุกคนล้วนแต่เคยทำความดีบ้างทำความชั่วบ้างกันมาแล้วทั้งสิ้น

    บางคนเคยทำความดีมากทำชั่วน้อย บางคนทำความดีน้อยทำชั่วมาก และก็ไม่ได้ทำกันแต่เฉพาะชาตินี้เพียงชาติเดียวเท่านั้น

    หากแต่ได้เคยทำไว้ในชาติก่อนๆ ที่เคยเกิดมาแล้วจนนับไม่ถ้วนนั้นด้วย ด้วยเหตุนี้คนเราจึงต่างกัน ตามกำลังของบุญและบาปที่ได้เคยทำเอาไว้

    บางคนเกิดในตระกูลสูง เกิดในถิ่นที่เจริญ มีรูปสวย รวยทรัพย์ มีคนเคารพนับถือ มีสติปัญญา เฉลียวฉลาด

    บางคนเกิดในตระกูลต่ำ เกิดในถิ่นที่ห่างไกลความเจริญ รูปไม่สวย ยากจน ขาดคนนับถือ ขาดสติปัญญา เมื่อเกิดแล้วยังทำกรรมดีกรรมชั่วแตกต่างกันอีก

    พระพุทธองค์ จึงตรัสว่า "กรรมคือบุญและบาปเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ทั้งหลายให้ ดี เลว
    ประณีต แตกต่างกัน"

    บางคนกำลังทำความชั่วอยู่ แต่กลับได้รับความสุขความสบายมีหน้ามีตา ทั้งนี้ก็เพระความดีที่
    เขาเคยทำมากำลังให้ผล

    แต่กรรมชั่วที่เขากำลังทำอยู่ยังไม่ให้ผล ตรงกันข้ามบางคนกำลังทำความดีอยู่ แต่กลับได้รับความทุกข์ยากลำบากนานาประการ

    ทั้งนี้เพราะความชั่วที่เขาเคยทำมาแต่ก่อนๆ กำลังให้ผล ส่วนความดีที่เขากำลังทำอยู่ยังไม่ให้ผล

    ขึ้นชื่อว่าบุญคือความดีนั้นจะให้ผลชั่วย่อมไม่มี และขึ้นชื่อว่าบาปคือความชั่วจะให้ผลดีย่อมไม่มี

    ถ้าท่านเข้าใจผลของบุญและบาปอย่างถูกต้องอย่างนี้แล้ว ท่านจะไม่โศกเศร้าเดือดร้อนใจเมื่อได้รับความทุกข์ และจะไม่ลำพองใจเมื่อได้รับความสุข

    เพราะเราทำความดี ความชั่วด้วยตัวเราเอง เราจึงได้รับผลนั้นด้วยตัวเอง สักวันหนึ่งความทุกข์นั้นก็จะหมดไปความสุขจะมาแทนที่ แล้วแต่ว่าเมื่อไรความดีหรือความชั่วที่เราได้ทำมาแล้วมากมายนั้นจะให้ผล

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า การที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์นี้ยากนัก เพราะการเกิดเป็น
    มนุษย์นั้นต้องอาศัยบุญที่ได้ทำไว้แต่ปางก่อน

    นอกจากนั้นพระองค์ยังตรัสว่า มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ เพราะมีโอกาสที่จะบำเพ็ญบุญได้ทุกชนิดตั้งแต่บุญเล็กๆ น้อยๆ จนถึงบุญใหญ่ที่สามารถทำให้พ้นจากความทุกข์ทั้งมวลได้

    ชาตินี้เราท่านได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว โอกาสที่จะทำความดีมีไม่นานเลย อย่างมากไม่เกิน ๑๐๐ ปี

    จึงควรจะสั่งสมบุญของเราไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะบุญที่ท่านได้สั่งสมไว้ดีแล้ว ย่อมนำความสุขมาให้ทั้งชาตินี้และชาติหน้า

    ทรัพย์สมบัติอย่างอื่นไฟไหม้ได้ เสียหายได้
    โจรลักได้ แต่อริยทรัพย์คือบุญ ไฟไหม้ไม่ได้ เสียหายไม่ได้ โจรลักไม่ได้ ทั้งบุญยังเป็นมิตรติดตามตน เป็นที่พึ่งแก่ตนไปในภพหน้าด้วย

    ชีวิตของมนุษย์นี้น้อยนัก ไม่นานเลยก็ตาย ถ้ามัวรีรออยู่ ท่านอาจจะตายเสียก่อนได้ทำความดีก็ได้ เพราะใจของปุถุชนนั้นมักจะไหลไปหาบาปได้ง่าย

    พระพุทธองค์จึงทรงสอนว่า "เมื่อจิตคิดจะทำบุญเกิดขึ้นก็อย่ารีรอ จงรีบทำเสียในขณะนั้น
    เพราะมัวรีรออยู่จิตที่เป็นบาปก็จะเกิดแทน บุญที่บุคคลทำแล้วย่อมให้ผลเร็ว บุญที่บุคคลทำช้าย่อมให้ผลช้า"

    ดังที่เราท่านได้เคยพบอยู่เสมอๆ ว่า บางคนต้องการสิ่งใด เขาจะได้สิ่งนั้นตามต้องการโดยรวดเร็ว

    แต่บางคนต้องการสิ่งใด แล้วไม่ได้ตามต้องการก็มี ทั้งนี้เพราะไม่เคยคิดจะทำบุญ หรือคิดจะทำบุญแล้วไม่ได้ทำนั่นเอง

    รวมความว่า ทุกคนเกิดมาด้วยกรรม เป็นอยู่ด้วยกรรม จะเป็นอย่างไรต่อไปอีกก็เพราะกรรม
    กรรม จึงเป็นเรื่องน่าสนใจ น่าใคร่ครวญ น่าศึกษาให้เข้าใจ มิใช่เพื่อใครเลยแต่เพื่อความสุขความเจริญของผู้ศึกษาเอง

    และเพื่อความสุขความเจริญของผู้ที่แวดล้อมเกี่ยวข้องกับเรา เพื่อให้เรื่องนี้แจ่มแจ้งชัดเจน
    ขึ้น จึงขอนำเอาพระพุทธดำรัสที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเทศนาไว้ในพระสูตรต่างๆ มาอ้างอิงประกอบดังต่อไปนี้

    ใน จูฬกัมมวิภังคสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ (ข้อ ๕๗๙ - ๖๐๐)
    สุภมาณพ บุตรโตเทยยพราหมณ์ ได้เข้ามาทูลถามพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

    "อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่ทำให้มนุษย์ทั้งหลาย มีอายุสั้น มีอายุยืน มีโรคมาก มีโรคน้อย มีผิวพรรณทราม ผิวพรรณงาม มีศักดาน้อย มีศักดามาก

    ขอขอบคุณที่มา...http://www.innovaclub.net/SMF-Board/...?topic=10403.0
     
  18. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    บำรุงรักษาใจ

    [​IMG]
    การบำรุงรักษาสิ่งใด ๆ ในโลก
    การบำรุงรักษาตนคือใจเป็นเยี่ยม

    จุดที่เยี่ยมยอดของโลกคือใจ ควรบำรุงรักษาด้วยดี
    ได้ใจแล้วคือได้ธรรม เห็นใจตนแล้วคือเห็นธรรม

    รู้ใจแล้วคือรู้ธรรมทั้งมวล ถึงใจตนแล้วคือถึงพระนิพพาน
    ใจนี้คือสมบัติอันล้ำค่า จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมองข้ามไป

    คนพลาดใจคือไม่สนใจปฏิบัติต่อใจดวงวิเศษในร่างนี้
    แม้จะเกิดสักร้อยชาติพันชาติก็คือผู้เกิดผิดพลาดอยู่นั่นเอง





    คำสอนหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
     
  19. อรชร

    อรชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +11,465
    ธาตุแท้ของสิ่งต่าง ๆ

    ลองสังเกตธรรมชาติรอบ ๆ ตัวเรา..
    แล้วเราจะพบว่า..
    ในธรรมชาติเหล่านั้น..
    ได้แฝงปรัชญาข้อคิดในการดำเนินชีวิตของเราได้เป็นอย่างดี..

    น้ำใส..กลายเป็นน้ำขุ่น..
    เพราะมีวัตถุอื่นมากระทบ..ก่อกวน..ฉันใด

    เปรียบเหมือน..จิตใจของคนเรา..ที่ขุ่นมัว..เศร้าหมอง..
    ก็เพราะมีกิเลสมาก่อกวน..หมักหมม..ฉันนั้น

    ธาตุแท้ของน้ำ คือ..ความใสสะอาด..
    แต่ธาตุแท้ในจิตใจของคน คือ..ความสงบ..

    ธาตุแท้ของแฟ๊บ,สบู่ คือ..ชำระความสกปรกภายนอกร่างกาย
    แต่ธาตุแท้ของธรรมะ คือ..เพิ่มความสะอาดภายในจิตใจ

    ธาตุแท้ของไฟ คือ..เผาไหม้เชื้อเพลิง
    ธาตุแท้ของไฟกิเลส คือ..เผาไหม้จิตใจ..
    แต่ธาตุแท้ของธรรมะ คือ..ดับกิเลสความเร่าร้อนในจิตใจ..

    ธาตุแท้ของลม คือ..พัดพายุนำความเสียหายมาให้..
    แต่ธาตุแท้ของธรรมะ คือ..พัดความชุ่มเย็นเข้ามาในชีวิต..

    ธาตุแท้ของดิน คือ..ความคงทนไม่หวั่นไหว..
    แต่ธาตุแท้ของจิตใจ คือ..ความไม่หวั่นไหวและมั่นคง..

    ธาตุแท้ของความจน คือ.. มีไม่พอ
    ธาตุแท้ของความรวย คือ..พอไม่มี
    แต่ธาตุแท้ของธรรมะ คือ..พอมี พอเป็น พออยู่ พอได้ และพอเพียง

    ธาตุแท้ของความทุกข์ คือ.. ทุกข์มันมาก..สุขจึงน้อย..
    ธาตุแท้ของความสุข คือ..ทุกข์มันน้อย..สุขจึงมาก..
    แต่ธาตุแท้ของธรรมะ คือ..สุขไม่มี ทุกข์ไม่มี ปล่อยวาง..ว่างเปล่า..เบาสบาย

    ดังนั้น..
    ธาตุแท้ในจิตใจ..ของเรา..ก็เหมือนกัน..จะใสสะอาด..
    เบาสบาย..ไม่เป็นทุกข์ได้..
    ก็เพราะมีธรรมะชำระล้างจิตใจ..


    บทความ...โดย..ชายน้อย

    ขอบคุณบทความจาก วัดปทุมคงคาฯ
     
  20. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    ความหมายและคุณค่า

    เมตตา หมายถึง ความรัก ความปรารถนาดี
    ต้องการให้มีความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป
    โดยปราศจากความอิจฉาริษยา
    ความมีไมตรีจิตต่อกันด้วยความจริงใจฐานมิตร
    ดังนั้น การแผ่เมตตาจึงเป็นการส่งกระแสจิตของตนไปสู่ผู้อื่น
    ทั้งที่เป็นเทวดา มนุษย์และสัตว์
    ด้วยความหวังดีที่จะให้เขามีความสุข สมหวังในชีวิต
    เป็นการแสดงออกซึ่งน้ำใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมของผู้แผ่เมตตา


    [​IMG]


    การแผ่เมตตา ผู้ที่ปฏิบัติเป็นประจำจะมีจิตใจอ่อนโยน
    เมื่อตัวเองได้รับความสุขแม้เพียงเล็กน้อย
    ก็ต้องการให้เพื่อนร่วมโลกได้รับความสุขอย่างนั้นบ้าง
    การแผ่กระแสจิตอันอ่อนโยนนั้นไปยังผู้อื่น
    ผู้ที่ได้รับเมตตาจิต ก็จะพลอยมีจิตใจอ่อนโยน
    เยือกเย็น และได้พบความสุขทางใจไปด้วย
    ทำให้มนุษย์และสัตว์อยู่กันด้วยความมีน้ำใจ รักใคร่ฉันพี่น้อง
    หันหน้าเข้าหากันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส อบอุ่นไว้วางใจกัน
    ปราศจากความระแวงกันและกัน ไม่เบียดเบียนกัน
    อุดหนุนเกื้อกูลกันและกันด้วยน้ำใจ


    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...