NEW ! NEW AGE PLUS+ พลังงานใหม่ พลังงานอิสระ.. GRAND NATURE ..

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Little Duck, 25 กุมภาพันธ์ 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** ศึกษาสัจจะ รับสัจจะ ให้สัจจะ เปิดเผยสัจจะสู่มวลมนุษย์****

    ถ้ำกระบอก จ.สระบุรี คือ โลกุตตระภูมิ
    ผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าต่อๆไป เมื่อมาเห็นมาสัมผัสมาเรียนรู้ ก็จะตรัสรู้ไปเลย
    บันทึกเรื่องราวศาสนศาสตร์โลก ก็อยู่ในหิน
    หินที่หลอมขึ้นมา ก็แล้วแต่บารมีใครมีแค่ไหน ก็เห็นต่างกันไป

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  2. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** สมุดธรรมของโลก ****

    ถาม : สมุดธรรมของโลกอยู่ที่ไหน ?
    ตอบ : อยู่ที่ โลกุตตระภูมิ ถ้ำกระบอก

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  3. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** ลักษณะผู้ทำได้ ****

    เป็นคนซื่อสัตย์
    เป็นคนจริง มั่นคงในจุดยืน
    กล้าทำ เสียสละเพื่อส่วนรวม
    ชีวิตที่ผ่านมา อาจผิดพลาดมาบ้าง เป็นเรื่องปกติ
    เพราะทุกคนต้องเรียนรู้ จากการดำเนินชีวิตตนเอง ด้วยนิสัยที่มีอยู่
    ที่สำคัญ กำลังค้นหาสัจจะธรรมความจริง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  4. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    ฝากมาให้อ่านกัน

    วันนี้จะพูดถึงความสัมพันธ์ในมิติของจิตเหนือสำนึก ญาติโยมที่ไม่ได้ปฏิบัติอาจจะฟังยากสักหน่อย แต่ไม่เป็นไร เพราะว่าโดยปกติแล้วพื้นฐานของชาวพุทธเราส่วนมาก ตัวการงานหรือตัวชีวิตประจำวัน มันเป็นตัวการปฏิบัติอยู่แล้ว ถ้าใครฟังด้วยจิตเหนือสำนึกก็จะเกิดความเข้าใจ ชีวิตปกติธรรมดาที่เราดำเนินชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เราดำเนินชีวิตด้วยความรู้สึกว่ามีตัวเรา มีอัตตา มีตัวตน แบ่งแยกจากสิ่งต่างๆที่เรารับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส การดำเนินชีวิตที่มีความรู้สึกว่ามีตัวเราเป็นศูนย์กลาง.

    ดำเนินชีวิตอย่างนี้ ทำให้ปัญหาต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ทุกคนดำเนินชีวิตอย่างนี้ตั้งแต่เราเริ่มจำความได้ ดำเนินชีวิตด้วยความรู้สึกว่ามีตัวเราเป็นศูนย์กลาง เพราะตั้งแต่เราเริ่มจำความได้ หรือเราเริ่มคิดเป็นนี่. สิ่งที่เราจดจำต่างๆนั้น มันไม่ใช่ความจริง

    สัญญาที่เราจำเรียกว่าสัญญาวิปลาส เราไม่ได้จำความจริง หรืออัตสัญญา เราจำสิ่งต่างๆ เรื่องราวต่างๆ ชื่อต่างๆที่เราสมมติขึ้นมา หรือบัญญัติขึ้นมา ขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมซึ่งเป็นเรื่องของสังคมมนุษย์มากมายที่เราจดจำ จนกระทั่งเราอายุมากขึ้น ที่อาตมาบอกว่าเราโตขึ้นมาพร้อมกับอะไรบางสิ่ง นั่นคือความรู้ต่างๆที่เราจดจำไว้ ความรู้ต่างๆเหล่านี้แหละจะกำหนดมาเป็นกรอบ
    มาเป็นกฎเกณฑ์หรือมาเป็นข้อมูลสำหรับที่จะนำไปเปรียบ เทียบ ที่จะนำไปให้ค่าตัดสินลงความเห็นที่เรายึดถือไว้ หรือที่เรารู้ไว้ ในการลงความเห็น มันก็มาจากข้อมูลที่แต่ละคนได้สะสมไว้ บางคนมีความรู้มาก ก็มีข้อมูลในการที่จะวิเคราะห์วิจารณ์ลงความเห็น ให้ค่าตัดสินที่แยบคายหรือกว้างไกลกว่าคนที่ไม่มีความรู้ หรือมีความรู้น้อย

    แม้กระนั้นก็ตาม ความรู้เหล่านี้ก็เป็นเพียงข้อมูลที่จะนำมาเป็นข้อสรุปเปรียบเทียบ ทำให้เกิดความเห็นที่ขัดแย้งกันเป็นคู่ๆ เท่านั้นเรียกว่าทวิภาวะ การลงความเห็นอย่างนี้นำไปสู่ความรู้สึกพอใจ – ไม่พอใจ พอใจก็อยากจะได้เข้ามา ไม่พอใจก็อยากจะทำลาย ไม่อยากให้เกิดขึ้น เกิดความต้องการ เมื่อได้มาก็มีอุปาทาน สำคัญมั่นหมาย หรือยึดติดในสิ่งที่ได้ ที่เป็น ที่มี เป็นภาวะหนึ่งของความรู้สึกว่ามีตัวเราในขบวนการของความคิดนั้น ที่เริ่มจากอวิชชา เริ่มจากสติปัญญาที่ไม่เห็นความจริง ปัญญาในระดับนี้เรียกว่าปัญญาในระดับเหตุผล ปัญญาในระนาบเหตุผล

    ปัญหาต่างๆเกิดขึ้นเพราะว่ามีตัวเราเป็นศูนย์กลาง, ที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัส “สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา” ว่าโดยย่อที่มันทุกข์เพราะมันมีการยึดถือ ถ้าเราไม่ยึดถือ ตัวเราก็ไม่มี ตัวเราไม่มีนี่คือที่สุดแห่งทุกข์ ที่พระพุทธเจ้าทรงชี้แนะให้พาหิยะ“พาหิยะเธอจงเห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน”ถ้าดำเนินชีวิตที่รับรู้อย่างแบ่งแยก มีตัวเราเป็นศูนย์กลาง ท่ามกลางสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นจากสมมติบัญญัติที่เกิดขึ้นจากการแบ่งแยกใน ระดับของปัญญาที่เรียกว่าปัญญาในระดับเหตุผล จินตมยปัญญาหรือภาษาสันสกฤตเขาเรียกว่าปัญญาในระดับ วิชญานะ ปัญญาในระดับวิชญานะ มันจะจำแนกแยกซอยละเอียด เหมือนกับมีดที่หั่นศพของหมออย่างไรอย่างนั้น เพื่อที่จะเป็นไปตามเหตุผล

    ความรู้ต่างๆจะเป็นข้อมูลที่จะทำให้เรานำไปเปรียบเทียบ ท่ามกลางการแบ่งแยกที่มีตัวเราเป็นศูนย์กลางอย่างนี้ เราจะไม่พบตัวเรากับสรรพสิ่งที่เป็นองค์รวมหรือเป็นหนึ่งเดียวกันเลย เพราะเราดำเนินชีวิตที่มีตัวเราเป็นศูนย์กลาง ผลการดำเนินชีวิตที่มีตัวเราเป็นศูนย์กลางก็คือความกลัว มีความกลัวเป็นพื้นฐานของชีวิตจิตใจ. เราจึงแสวงหา เราจึงต้องการ เราจึงปรารถนาสิ่งต่างๆ ไม่ว่าลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ว่าจะความสุข เราแสวงหาหรือเราต้องการเพื่อที่จะทำให้ความรู้สึกกลัวนั้นมันหายไป.

    แสวงหาความปลอดภัยในการดำเนินชีวิต.แสวงหาการยอมรับจากคน อื่น แสวงหาอำนาจแสวงหาที่สูงสุดคือแสวงหาความเข้าใจชีวิตตัวเอง เพราะพื้นฐานความกลัวของแต่ละคนนี่แหละนำไปสู่การแสวงหา, แสวงหาความสุข, ซึ่งขบวนการของความสุข หรือความรู้สึกที่เกิดจากขบวนการของความคิดนั้น มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง

    การดำเนินชีวิตในระดับจิตสามัญสำนึกหรือในระดับปัญญาที่ มีเหตุผลนี่ ไม่สามารถจะเห็นความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งในโลกของความจริงหรือในโลกที่พ้นไป จากสมมติบัญญัติได้ ในโลกของความจริงนั้นสรรพสิ่งมีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นองค์รวม ไม่ได้แบ่งแยก แต่เราอยู่ในโลกของความคิด ทุกคนอยู่ในโลกของความคิดที่แบ่งแยก เราจึงไม่มีความสัมพันธ์แม้ในครอบครัวเดียวกัน สามี ภรรยา ลูก ก็ไม่มีความสัมพันธ์ พอเราเห็น เราไม่ได้เห็นความจริง เราเห็นข้อมูล เราเห็นเบื้องหลังหรือ Image หรือเรื่องราวอดีตของคนๆนั้น เช่นเราพบใครสักคนหนึ่ง นี่เราไม่เห็นตรงๆ ไม่เห็นด้วยความสัมพันธ์อย่างซาบซึ้ง
    แต่เราเห็นเขาในฐานะที่เขามีเรื่องราว หรือมีประวัติเช่นคนนี้ไม่ดีเป็นคนขี้เหล้าเมายา พอเราเห็นก็นึกถึงเรื่องราวนั้นหรือคุณสมบัติของสิ่งต่างๆ เราเห็นต้นไม้ต้นหนึ่ง เรารู้จักว่าต้นไม้นี้คือต้นสัก เราก็มีข้อมูลต้นสักว่า มันอดทน สวยงามดี ทำเฟอร์นิเจอร์ ทำเครื่องเรือนทนทาน นี่เราไม่เห็นตรงๆ การเห็นอย่างนี้ การรับรู้อย่างนี้ทำให้ไม่มีความสัมพันธ์กับสิ่งนั้นไม่มีความสัมพันธ์อย่าง ซาบซึ้งกับสิ่งนั้นถ้าเราไปพ้นโลกของความคิด ในโลกของความจริงหรือในโลกของสัจจะ เราก็จะรู้สึกว่าเรากับสรรพสิ่งมีความสัมพันธ์กัน

    เพราะในขณะนั้นมันไปพ้นโลกของบัญญัติต่างๆ โลกของการแบ่งแยกต่างๆ
    เราจะรู้สึกถึงความแนบแน่นประสานกลมกลืนกับสรรพสิ่งเรียก ว่าความเป็นเอกภาพ ในขณะเดียวกันจิตของเราก็เป็นอิสระหรือหลุดพ้นจากอำนาจหรืออิทธิพลของสิ่ง ที่เราเคยตกเป็นทาส. เคยเป็นทาสก็คือเคยเห็นเคยรับรู้นี่ เราจะมีความรู้สึกพอใจไม่พอใจ นี่คือความเป็นทาสของอารมณ์ต่างๆ

    ถ้าเรายังไม่สามารถออกไปจากมิติหรือภูมิของจิตสามัญสำนึก เราจะไม่รู้จักความสัมพันธ์หรือ Relationship ของเรากับสรรพสิ่งได้เลย ความสัมพันธ์ก็เป็นมุมหนึ่งที่นักปฏิบัติควรสังเกตว่าเราปฏิบัติถูกไหม. ในการปฏิบัติของเราไม่ว่ารูปแบบใดก็ตาม เป้าหมายของการปฏิบัติจะต้องไปพ้นจากการรับรู้อย่างแบ่งแยก. ไปพ้นจากความรู้สึกว่ามีตัวเรา. ถ้าเรายังไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความสัมพันธ์ในความเป็นเอกภาพหรืออิสรภาพได้ แล้วละก้อ นั่นยังไม่ใช่ทางสำหรับที่จะเดินไปสู่เป้าหมาย นั่นยังไม่ได้ไปพ้นโลกของจิตสำนึก หรือที่เราปฏิบัติกันระดับทั่วไปที่เรียกว่าอุบายต่างๆ นี่คือปัญญาหรือมิติของจิตสำนึกเท่านั้นเอง เช่นการกำหนดรู้สิ่งต่างๆ มีสิ่งที่ถูกรู้ มีผู้รู้ ยังมีอัตตาหรือตัวตน ยังมีการแบ่งแยก
    เมื่อยังรู้อย่างมีการแบ่งแยกตัวรู้ตัวนั้นคือปัญญาใน ระดับจิตสามัญสำนึก. ปัญญาในระดับจิตสามัญสำนึกนี่ มันมีขอบเขตจำกัด รู้ได้ทีละทวาร รู้ได้ทีละทาง เช่นตั้งใจจะรู้ทางกาย ตั้งใจจะรู้ทางตา หรือตั้งใจจะรู้ทางหู มันรู้เฉพาะทวารนั้นๆ ทวารอื่นมันไม่รู้หรือรู้ก็ไม่ชัด เพราะเราไม่มีเจตนาที่จะรู้ทางอื่น เพราะฉะนั้นจึงขึ้นอยู่กับเจตนาที่เราตั้งใจ

    ส่วนปัญญาที่เกิดจากจิตว่างหรือปัญญาที่ไปพ้นโลกของจิต สามัญสำนึก มันเป็นตัวรู้ที่ไม่มีขอบเขตจำกัดเรียกว่า ปรีชาญาณหรือภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญาหรือปรีชาญาณหรือญาณทัศนะ มันจะแสดงตัวออกมาในรูปของความสัมพันธ์ มันจะเป็นตัวเชื่อมเรากับสรรพสิ่งให้เป็นหนึ่งเดียวกัน นี่คือปัญญาที่เราจะต้องสังเกตรับรู้ให้ได้ว่า ปรีชาญาณหรือญาณทัศนะนี่มันไม่ได้มาจากขบวนการความรู้ที่เราสะสมไว้ แต่มันเป็นเรื่องของการตระหนักรู้ การหยั่งรู้ โดยไม่ได้ใช้ความคิดเลย.

    การตระหนักรู้ การหยั่งรู้ก็ดีที่เราจะต้องสัมผัสมันด้วยตัวของเราเอง ซึ่งไม่สามารถจะอธิบายให้ญาติโยมหรือผู้ฟังเข้าใจด้วยภาษาสมมติอันนี้ได้ เมื่อใดก็ตามที่เรา ไม่มีความคิด เราจะรู้สึกด้วยตัวของเราเองว่าเรากับสรรพสิ่งนี่เป็นหนึ่งเดียวกัน หรือเป็นอิสระ ความเป็นอิสระนี่ไม่ว่าจะรับรู้ทางตา ใจก็เฉย ไม่เอาสิ่งที่เราเห็นมาปรุงแต่งทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย อะไรต่างๆ ทางทวารต่างๆเหล่านี้ เรารู้แต่ใจไม่ปรุงแต่งเลย นี่คือความเป็นอิสรภาพปัญญาตัวนี้แหละทำหน้าที่ของความสัมพันธ์คือเชื่อม เชื่อมโยงสรรพสิ่งให้เป็นองค์รวมหรือเป็นหนึ่งเดียวกันหรือเป็นเอกภาพเดียว กัน.

    นี่คือโลกหรือ มิติของจิตเหนือสำนึก อันเป็นภูมิธรรมของจิตที่เราเข้าถึงสัจจะสูงสุด พ้นไปจากอดีต พ้นไปจากอนาคต เราก็จะเห็นสัจจะในแต่ละขณะ จากขณะหนึ่งไปสู่ขณะหนึ่งๆ พ้นจากกาลเวลา นี่เป็นสัจจธรรมสูงสุดที่แสดงตัวของมันเองออกมาในรูปของความรู้สึกที่เราจะ สัมผัสได้ ปรีชาญาณเกิดจากสัจจะสูงสุดเหมือนกับกระจกเงา, กระจกเงาจะสะท้อนสิ่งต่างๆที่อยู่ต่อหน้ามัน ตามสิ่งที่มันอยู่ต่อหน้า หรือสะท้อนสิ่งต่างๆตามความเป็นจริงของสิ่งที่อยู่ต่อหน้ากระจก

    สิ่งที่อยู่ต่อหน้ากระจกรูปร่างเป็นอย่างไร ปรีชาญาณหรือกระจกก็จะสะท้อนออกมาในรูปร่างลักษณะนั้นโดยไม่ผิดเพี้ยน โดยไม่บิดเบี้ยว, ไม่เหมือนกับปัญญาในระดับจิตสามัญสำนึก ปัญญาในระดับจิตสามัญสำนึก เมื่อเรารับรู้แล้ว สิ่งที่สะท้อนออกมา. มันยังมีความขัดแย้งเป็นคู่ๆ เราจะเห็นว่ามันใหญ่ ตรงข้ามกับเล็ก สูงตรงข้ามกับต่ำ ดำตรงข้ามกับขาว สิ่งที่มันสะท้อนออกมาจากปัญญาในระดับจิตสำนึกนี่ มันเหมือนกับผ่านกระจกเว้า กระจกนูน กระจกที่มันทำให้ภาพนั้นบิดเบี้ยวไม่เหมือนสิ่งที่อยู่ต่อหน้ามัน

    ผลจาก การดำเนินชีวิตของสติปัญญาในระดับจิตสามัญสำนึกจึงเกิดปัญหาต่างๆมากมาย เพราะเราไม่ได้เห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริงความสัมพันธ์จึงเกิดขึ้นไม่ได้ ไม่ว่าเราจะรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เราจะเห็นแต่ Image เราจะเห็นแต่เรื่องราว หรือเงา หรือประวัติของสิ่งนั้นๆ นี่คือ Image นี่คือภาพสะท้อนหรือเงาสะท้อน เราจึงไม่ได้เห็นความจริง เราเห็นผ่านกระบวนการของการลงความเห็น เราเห็นผ่านกระบวนการของความคิด

    ที่ท่านอาจารย์พุทธทาสได้แต่งกลอนกลอนหนึ่งไว้ “ดูให้ดีพระองค์มีอยู่หลังม่าน มีตลอดอนันตกาล ท่านไม่เห็น” “หลังม่าน“ นี่คือหลังม่านความคิดนั่นเอง,ความคิดมันจะสรุปออกมาเป็นของคู่ แต่หลังของของคู่นั่นแหละคือความจริง. “ดูให้ดีพระองค์มีอยู่หลังม่าน มีตลอดอนันตกาลท่านไม่เห็น เฝ้าเรียกหาดุจเห่าหอนห่อนหาเป็น ไม่รู้เช่นเชิงหายิ่งหาไกล”

    กระบวนการ หรือแนวทางที่จะเข้าถึงพุทธะ เข้าถึงพระองค์ ก็จะต้องผ่านม่านของตัวตนทะลุไปพบพระองค์ด้วยวิธีการเรียนรู้ ศึกษาหรือที่เรียกว่าสิกขา เพื่อให้เกิดความเข้าใจการดำเนินชีวิต ที่เกิดจากอวิชชา เข้าใจขบวนการความคิด ที่เกิดจากอวิชชา ตัณหา อุปาทานที่เรายึดติดอยู่ เรียนรู้มัน เข้าใจมัน นั่นคือการเรียนรู้ทะลุผ่านตัวตน ทะลุผ่านม่านเข้าไปพบพระองค์นั่นก็คือสภาวะของสัจจะสูงสุดที่พระองค์ได้ ตรัสรู้ ที่พระองค์เข้าถึงและยังความเป็นอยู่หรือยังความมีอยู่ตราบทุกวันนี้ ที่พระองค์ตรัสว่า “อุปปวาโท ตถาคตานัง อนุปปวาโท ตถาคตานัง ฐิตา วสา ธาตุ” ธาตุนี้มีอยู่แล้ว “ธัมมัฏฐิตตา ธัมมนิยามตา” เป็นธรรมชาติหรือเป็นอย่างนั้นเองอยู่แล้ว เป็นกฎตายตัวของมันอย่างนั้นอยู่แล้ว พระองค์จะเกิดหรือไม่เกิด สิ่งนี้ก็มีอยู่แล้ว

    ตราบใดที่เรายังไม่สามารถแทงทะลุผ่านตัวตนหรือแทงทะลุ ม่านของความคิดที่เกิดจากอวิชชาแล้ว เราก็จะไม่สามารถที่จะพบพระองค์ได้เลย “โยธัมมัง ปัสสติ โสมัง ปัสสติ“ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต.” เราตถาคตในที่นี้คือสิ่งที่พระองค์ได้เข้าถึงสัจจะสูงสุด นั่นคือ อมตธรรมหรือสุญญตาหรือนิพพาน
    ถ้าใครเข้าถึงหรือสัมผัสได้กับสิ่งนี้ สภาวะตรงนั้นเราเรียกว่าอนัตตา อนัตตาไม่ใช่ไม่มีตัวตน อนัตตาคือสภาวะที่อยู่เหนือ คือสภาวะที่เข้าถึงสัจจะสูงสุด จึงอยู่เหนือของคู่, อยู่เหนือความมีและไม่มี, อยู่เหนือถูกเหนือผิด, เหนือดีเหนือชั่ว, เหนือใกล้เหนือไกล, เหนือร้อนเหนือเย็น, เหนือทวิภาวะ ก็ตรงกับที่พระองค์ได้ปฏิบัติในอิริยาบททั้งสี่ ไม่ว่าเดิน ยืน นั่ง นอน ที่ทรงตอบเทวดาว่าพระองค์ปฏิบัติอย่าง ไม่พัก ไม่เพียรในอิริยาบททั้งสี่ อิริยาบทคือปฏิบัติที่ไม่มีของคู่หรืออยู่เหนือของคู่นั่นเองในทุกอริยาบท

    การงานในชีวิตประจำวันจึงเป็นกิจกรรมของการปฏิบัติหรือ เป็นตัวของการปฏิบัติ หรือเป็นวิถีชีวิตที่มีการปฏิบัติ เคลื่อนตัวของมันเองตามวิถีพุทธธรรม หากใครได้เข้าถึงสภาวะนี้ สู่สภาวะแรกหรือวาระแรกที่สัมผัสได้ เมื่อนั้นเราได้ดวงตาเห็นธรรมได้เห็นทางแล้ว

    สิ่งนี้แหละคือทางสายกลาง สิ่งนี้คือ มัชฌิมาปฏิปทาหรือเอกายนมัคโค ทางที่เป็นวิถีของความเป็นองค์รวม หรือวิถีของความเป็นหนึ่งนั่นเอง ที่นางกุณฑลเกสีโต้วาทีกับพระสารีบุตร พระสารีบุตรถามนางกุณฑลเกสีว่า “เอกัง นามิกิง” อะไรคือความเป็นหนึ่ง นางกุณฑลเกสีตอบไม่ได้เพราะในขณะนั้นนางกุณฑลเกสียังไม่เห็นทางหรือได้ดวงตา เห็นธรรม “ เอกัง นามิกิง “

    ความเป็นหนึ่ง ก็คือสภาวะที่เราเข้าถึงสัจจะสูงสุด เข้าถึงความเป็นเอกภาพ เข้าถึงการรับรู้อย่างไม่แบ่งแยก นั่นแหละคือความเป็นหนึ่ง ท่านเว่ยหล่างท่านเรียกว่า จิตหนึ่ง หรือจิตเดิมแท้ จิตหนึ่งคือ จิตที่เป็นเอกภาพ จิตที่รับรู้อย่างไม่แบ่งแยกนั่นเอง นี่คือทางที่เราจะต้องเดิน ถ้าเราไม่เห็นทาง เราก็ตกไปอยู่ในโลกสามัญสำนึก โลกของคู่ที่เราเคยชินกับสิ่งนั้นมา

    หากใครไม่จริงจัง หรือไม่ให้ความสำคัญ กับสิ่งที่เราได้พบคือทางนี้แล้ว เราจะไม่เกิดความยินดี พอใจที่เรียกว่า ฉันทะ วิริยะความเพียร ก็จะไม่ตามมาและก็จะไม่ใส่ใจ ไม่จดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น ผลของการปฏิบัติก็จะไม่เกิดขึ้น หากเราได้รู้ว่าสภาวะจิตที่พ้นไปจากของคู่คือ ”ทาง” ตรงนี้แหละ คือกุญแจหรือความสำคัญที่เราจะต้องพยายามรักษา ที่เราจะพยายามใส่ใจเพื่อให้มันเกิดขึ้นบ่อยๆ ผลก็จะตามมา

    นี่คือสิ่งที่อาตมาสามารถจะแนะนำญาติโยมได้ ก็เอาประสบการณ์มาเล่าให้โยมฟังในแนวทางของการปฏิบัติว่า ถ้าตราบใดเรายังรับรู้อย่างแบ่งแยก ตราบนั้นเราก็ยังอยู่ในระดับจิตสามัญสำนึก ยังไม่พ้นไปจากจิตสามัญสำนึก ยังไม่พ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ นั่นคือมีตัวเราทำกรรม มีผลของกรรมคือวิบาก มีความพอใจ ไม่พอใจ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นกิเลสให้ทำกรรมใหม่ กรรมกิเลสวิบาก
    กรรมกิเลสวิบากคือ สังสารวัฏฏ์ที่มีตัวเราเป็นเจ้าภาพ เป็นศูนย์กลางของการรับผลอันนี้ ตราบใดที่เรายังไม่ออกไปจากจิตสามัญสำนึก เราก็จะตกอยู่ในสังสารวัฏฏ์อย่างนี้ เมื่อใดก็ตามถ้าเราไปพ้นจากจิตสามัญสำนึก พ้นไปจากความรู้สึกว่ามีตัวเรา เราก็ออกไปได้จากสังสารวัฏฏ์อันยาวนาน ที่เราดำเนินชีวิตมา ตั้งแต่เราเริ่มจำความได้ไม่รู้กี่แสนกี่ล้านชาติของสังสารวัฏฏ์ ที่เกิดความรู้สึกว่ามีตัวเรา ท่านจึงบอกว่า ใครที่สามารถออกจากสังสารวัฏฏ์ แม้ชั่วช้างกระดิกหูงูแลบลิ้น นี่เป็นกุศลยิ่งกว่ามหากุศล

    ความสำคัญ ของการที่เราได้พ้นไปจากจิตสามัญสำนึกได้ นี่แหละคือจุดเริ่มต้นหรือกุญแจที่เราต้องศึกษาเรียนรู้ในโลกของความ สัมพันธ์ที่เป็นหนึ่งเดียว. ในโลกของความเป็นอิสรภาพ ในโลกของภาวะที่อยู่เหนือกาลเวลา เราจะต้องใช้เวลาในการศึกษาโลกของ จิตเหนือสำนึก

    โลกของสัจจะหรือความจริงอีกยาวไกล ซึ่งจะต้องผ่านประสบการณ์หรือผ่านกระบวนการของอุปสรรคต่างๆ จากความอยากที่เราเคยยึดถือมาในเรื่องของกิเลสตัณหาอุปทาน ในเรื่องของนิวรณ์อย่างกลาง และอนุสัยที่หมักดองอยู่ในขันธสันดานของเราจนกว่าสิ่งเหล่านี้จะมลายหรือหาย ไป

    เราก็จะได้พบกับความเป็นอิสระที่แท้จริง พบกับความสุขที่ไม่ได้เกิดจากขบวนการของความต้องการ หรือไม่ได้เกิดจากขบวนการของความคิด เป็นความสุขที่เกิดขึ้นจากสุขที่เรามีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพ สิ่ง เกิดขึ้นจากจิตที่เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติเปรียบเหมือนคลื่นกับน้ำ ไม่มีคลื่นใดที่ไม่มีน้ำ คลื่นคืออาการของน้ำ

    เมื่อเราเข้าถึงความเป็น น้ำ เราก็จะรู้ถึงการเคลื่อนไหว รู้อาการของคลื่นทั้งหมดที่มีการเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นคลื่นเล็ก คลื่นน้อย คลื่นใหญ่ คลื่นต่างๆ เราจะรู้อาการเมื่อเราเข้าถึงความเป็นน้ำ คนโบราณสอนง่ายๆ “เห็นเสื้อไม่เห็นผ้า” เสื้อตัวนี้สวยเหลือเกินแต่เราไม่ได้เห็นลงไปถึงเนื้อผ้าของมัน “เห็นตุ๊กตาไม่เห็นยาง” คนอยู่ในโลกไม่รู้จักโลก นั่นคือชีวิตของเราที่ผ่านมา

    หากเรายังไม่สามารถออกไปจากโลกของสรรพสิ่งที่เกิดจากความ คิด, โลกของการแบ่งแยกที่มีตัวเราเป็นศูนย์กลางในการรับรู้ เราก็จะไม่พบกับความเป็นอิสระที่แท้จริง เราจะไม่พบกับความเป็นเอกภาพ หรือความเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่งได้เลย เราก็จะไปไม่พ้นโลกของเครื่องพันธนาการจากอุปาทาน จากการสำคัญมั่นหมาย

    ในโลกจิตสามัญสำนึกที่ทุกคนกำลังดำเนินชีวิตอยู่ มันเป็นความทรมาน มันเป็นเครื่องที่ทำให้เราหรือสังคมของเราเปลี่ยนแปลงมาจากการดำรงอยู่ร่วม กับธรรมชาติ เปลี่ยนแปลงจิตใจของมนุษย์ เอาเปรียบธรรมชาติ ทำลายธรรมชาติ จนกว่าเมื่อใดสังคมมนุษย์จะได้รู้จักว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่เราจำเป็นที่จะ ต้องไปให้พ้นให้ได้ อยู่เหนือมันให้ได้ เมื่อเราสามารถจะอยู่เหนือมันได้ เราก็จะอยู่ร่วมกับมันโดยไม่มีความขัดแย้ง โดยไม่มีความอึดอัดขัดเคือง ถ้าเราสามารถเข้าถึงสภาวะตรงนี้ได้ นั่นคือสิ่งที่เราจะต้องพยายามทำ, มันคือสิ่งที่เราจะต้องประจักษ์มัน
    เราจะต้องศึกษาเรียนรู้ผ่านความรู้สึกว่ามีตัวเรา นี่แหละที่เขาเปรียบไว้เหมือนว่า เอามือไปล้างมือ เอาเท้าไปล้างเท้า เอาอัตตาไปทำลายอัตตา นั่นคือเรามีความตั้งใจ มีตัวเรามีความตั้งใจที่จะออกไปเสียจากภพภูมิของความรู้สึกว่า มีตัวเราเป็นศูนย์กลาง หากเราสามารถไปพ้นสิ่งนี้ได้หรือไปเหนือภพภูมินี้ได้ เราก็จะพบ ความสุขที่แท้จริง เราก็จะพบสิ่งที่เราตั้งความปรารถนาไว้ นั่นคือเป้าหมายสูงสุดของชีวิต หากเราไม่รู้จักเป้าหมายหรือไม่เข้าใจเป้าหมายของชีวิต การปฏิบัติของเราก็จะไม่ชัดเจน เมื่อการปฏิบัติไม่ชัดเจน ผลของการปฏิบัติก็จะไม่เกิดขึ้น

    อาตมาพยายามย้ำให้ญาติโยมได้เข้าใจว่าในมิติของจิตสามัญ สำนึก จะมีการรับรู้ที่แบ่งแยก ยังเห็นสิ่งต่างๆ ทั้งทางทวารต่างๆนี่แตกต่างกัน มีขอบเขตจำกัดของปัญญา มีตัวเราเป็นศูนย์กลาง, รับรู้แล้วลงความเห็น, เห็นสิ่งต่างๆไม่ใช่ตามที่มันเป็น, เห็นสิ่งต่างๆผ่านกระบวนการของการลงความเห็น ผ่านกระบวนการของการสรุป เห็นเป็นของคู่ๆ เช่นว่าเราเห็นมันเกิดมันดับ, เห็นมันอ่อนมันแข็ง, เห็นมันเย็นมันร้อน, เห็นมันเที่ยงไม่เที่ยง, นี่มันเป็นกลิ่นไอของของคู่
    ถ้าเรายังไปไม่พ้นของคู่ นั่นยังไม่ใช่ทาง ทางต้องไปพ้นการรับรู้อย่างแบ่งแยก, ไปพ้นรูปพ้นนาม เพราะฉะนั้นตราบใดที่เรายังรับรู้ในขบวนการของอุบายที่ยังมีสิ่งที่ถูกรู้ มีผู้รู้ มีรูปมีนาม อย่างนี้ ให้รู้เถิดว่าสภาวะตรงนั้นหรือการรับรู้อย่างนั้นยังอยู่ในระดับจิตสามัญ สำนึก ยังไม่ใช่ทาง

    ทางมันจะต้องไปพ้นการรับรู้อย่างแบ่งแยก ไปพ้นการรับรู้ที่มีสิ่งที่ถูกรู้และผู้รู้ สิ่งที่ถูกรู้ก็คือบัญญัติต่างๆ ตราบใดที่เรายังไปไม่พ้นบัญญัติหรือพ้นการแบ่งแยกสรรพสิ่งที่เกิดจากความคิด แล้วละก้อ, เราจะเข้าถึงทางหรือสัมผัสกับทางไม่ได้เลย

    ทางที่จะนำไปสู่เป้าหมายของชีวิต ทางที่จะนำไปสู่เป้าหมายของการดำเนินชีวิตในอีกทัศนะหนึ่งที่ไม่มีตัวเรา เป็นศูนย์กลาง จุดเริ่มต้นของมันก็จะต้องไม่มีตัวตน มันต้องเป็นการปฏิวัติอย่างสิ้นเชิง ถอนรากถอนโคน อย่างที่ท่านกฤษณะมูรติได้ใช้คำว่า Radical change เปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคน ไม่ใช่การปฏิรูปแต่เป็นการปฏิวัติ หรือออกไปจาก หรือพ้นไปจากการดำเนินชีวิตธรรมดาหรือในระดับจิตสามัญสำนึกที่มีตัวเราเป็น ศูนย์กลาง จะต้องไม่มีตัวเราเป็นศูนย์กลางนั่นคือการถอนรากถอนโคน นั่นคือการปฏิวัติ

    วิถีแนวคิดก็จะเปลี่ยนไป ความคิดที่อยู่บนเหตุผล, ความคิดที่มีความต้องการ, ความคิดที่มีอุปาทานความคิดที่อยู่บนฐานของสัมมาทิฐิคือปัญญา ความคิดที่อยู่บนฐานสัมมาทิฐิ นั่นคือสัมมาสังกัปปะนั่นเอง หรือการดำริชอบ นั่นแหละ สมังคีหรือรวมอยู่ในกระจก, โอบอุ้มอยู่ด้วยกระจกเงาหรือสัมมาทิฐิหรือปรีชาญาณนั่นเอง

    ปรีชาญาณนี่แหละจึงเป็นสิ่งสำคัญของเป้าหมายของการ ปฏิบัติซึ่งตรงกับหลักการพุทธศาสนาที่เข้าถึงปัญญาสูงสุดเจ้าปรีชาญาณหรือภา วนามยปัญญา, ใจของเราจะบริสุทธิ์ นั่นคือ สะจิตตะปะริโยทะปะนัง หลักการของพุทธศาสนาในหลักการที่ 3 ในการทำจิตของเราให้ขาวรอบ. ทำจิตให้บริสุทธิ์นั่นแหละจิตบริสุทธิ์คือจิตพุทธะ ปภัสสระมิทัง จิตตัง จิตประภัสสรนั่นเอง

    ถ้าเรายังเข้าถึงจิตประภัสสรไม่ได้. เราก็ไม่สามารถจะสัมผัสได้กับ อมตธรรมหรือ อสังขตธรรม ธรรมที่ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง นั่นก็คือ สุญญตานั่นเอง “นิพพานัง ปรมัง สุญญัง” ว่างอย่างยิ่งนั่นแหละคือนิพพาน สุญญตา นิพพาน ชื่อต่างๆกันนี้. มันคือสภาวะของอมตธรรม หรือธรรมที่ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง ธรรมที่พ้นไปจากของคู่นั่นเอง นี่เป็นสิ่งที่เราจะต้องพัฒนาให้เป็นพื้นฐาน เพราะมันเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของสรรพสิ่ง เราจะต้องพัฒนาสิ่งนี้

    สัจจะสูงสุดกับจิตประภัสสรของเรา เป็นฐานอยู่ก้นบึ้งของจิตใจเรา เราก็จะเห็นมันได้ตลอดเวลา เพราะมันเป็นสิ่งซึ่งไม่เปลี่ยนแปลง มันเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวเรา มันไม่ตกอยู่ในกฎของไตรลักษณ์ ถ้าเราเข้าไม่ถึงสภาวะของสิ่งนี้ หรือฝึกฝน ภาวนาสิ่งนี้ยังไม่มั่นคงเราก็จะตกไปในโลกของความคิด โลกของคู่ โลกของอัตตาตัวตนที่เราเคยชินมานั่นเอง ฉะนั้นนักปฏิบัติต้องฉลาดสังเกต เรียนรู้ ทำความเข้าใจให้เกิดขึ้น เมื่อเราสามารถที่จะทำความเข้าใจ สังเกต เรียนรู้ เข้าใจมันได้ เราก็จะพบความสุขที่แท้จริง ความสุขที่แท้จริงที่จะเกิดขึ้นจากธรรมชาติ มันเกิดขึ้นจาก ความว่าง เป็นความอิ่มเอิบ เป็นความเบิกบาน ร่าเริง เป็นความซาบซึ้ง ถ้าเราเข้าถึงสิ่งนี้ได้ นั่นคือเป้าหมายของชีวิตเรา

    นั่นคือสิ่งที่เราจะต้องพัฒนาที่เรียกว่าพัฒนาศักยภาพ พัฒนาศักยภาพคือ พัฒนาสิ่งที่มีอยู่แล้ว ไม่ใช่ทำให้มันเพิ่มขึ้นมาที่เรียกว่า พัฒนาความสามารถ ในระดับจิตสำนึกนี่เราพัฒนาความสามารถที่จะได้ จะเป็น จะมีในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพิ่มขึ้นมา แต่การพัฒนาศักยภาพคือ การพัฒนาสิ่งที่มันมีอยู่แล้ว แต่ถูกบดบังให้แสดงตัวออกมา เพราะสิ่งนี้มีอยู่แล้ว เราก็จะสัมผัสกับมันได้ เมื่อเราสามารถสัมผัสกับมันได้ นั่นคือสิ่งที่เราได้พัฒนาแล้วในชีวิตนี้ เข้าถึงความสมบูรณ์แล้วในชีวิตนี้ นั่นคือเป้าหมาย หรือสาระของชีวิตเรา


    *********************************************
     
  5. Little Duck

    Little Duck เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,981
    <table id="post4292246" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);">[​IMG] วันนี้, 06:06 PM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> #1966 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"> กบสามตัว
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Nov 2010
    ข้อความ: 88
    พลังการให้คะแนน: 18 [​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_4292246" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
    ตรัสไว้ดีแล้ว

    </td></tr></tbody></table>

    วันนี้ 22-01-2011

    18 = ROTARY กงล้อแห่งธรรม


    LOVE YOU..
     
  6. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว ****

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  7. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    <TABLE id=post470450 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid" class=thead>30-01-2007, 09:50 AM </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=thead align=right>#1 </TD></TR><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->หนุมาน ผู้นำสาร<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_470450", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Jul 2006
    ข้อความ: 11,059
    พลังการให้คะแนน: 5043 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]




    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_470450 class=alt1><CENTER><!-- google_ad_section_start -->*** โลกุตตระ...คือ ****<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "ca-pub-2576485761337625";/* 336x280 */google_ad_slot = "0551074580";google_ad_width = 336;google_ad_height = 280;//--> </SCRIPT><SCRIPT type=text/javascript src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js"> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20110120/show_ads_impl.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    *** โลกุตตระ คือ... ****

    องค์โลกุตตระ…….
    คือพระไตรปิฎก.......เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
    คือผู้ที่อยู่เหนือโลก.......เหนือ หลักสัจจะธรรม
    คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด.......รอบคอบจักรวาล
    คือมนุษย์เหนือโลก…….เมื่อปรากฏเป็นมนุษย์ ทุกหนึ่งหมื่นปี
    คือบรมาจารย์.......สั่งสอน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์
    คือผู้ที่นำพา.......ให้มนุษย์ผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้พบ หลักสัจจะธรรม
    คือผู้ที่ส่งมอบ สัจจะ.......ให้กับผู้ที่ถูกกำหนดให้มีสติของพระพุทธเจ้าได้พิจารณา
    คือผู้อยู่เหนือชะตาลิขิต.......จึงไม่มีมนุษย์ผู้ใดล่วงรู้ ในการมา
    คือตัวอักษร.......หลังจากละสังขาร จากไป
    คือ พระไตรปิฎก.......หลักธรรมของโลกุตตระนำสัตว์ให้หลุดพ้น

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20110120/show_ads_impl.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("ads_core.google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
    <SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20110120/show_ads_impl.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("ads_core.google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("ads_core.google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
     
  8. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    <TABLE id=post985759 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid" class=thead>17-02-2008, 09:08 PM </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=thead align=right>#42</TD></TR><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->หนุมาน ผู้นำสาร<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_985759", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Jul 2006
    ข้อความ: 11,059
    พลังการให้คะแนน: 5043 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]




    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_985759 class=alt1><!-- google_ad_section_start -->*** โลกุตตระ ****

    โลกุตตระอวตาร ทั้งหมด ๔๔๗ ปรางค์
    คือ กระจายกำลังเป็น ๔๔๗ ปรางค์
    เป็น ฐานยกกำลัง
    เป็น ผู้หญิง ๔๐ ปรางค์
    เป็น พระพุทธเจ้า ๕๒ ปรางค์ คือ เป็นตัวนำ เป็นสักขีพยานให้กับโลกุตตระ
    เป็น มนตรี ๔ ปรางค์ คือ เป็นที่ปรึกษา
    เป็น ธาตุ ๔ ปรางค์ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นองค์ประกอบ เป็นพี่เลี้ยง

    พระองค์หนึ่ง มีกำลัง ยึดจริง ทำจริง เชื่อจริง ก็จะมีกำลัง ๔๔๗
    เป็นอำนาจต่อรองกับจักรวาล

    หัวหน้า สมเด็จพุทธาจารย์เฒ่า ....ทำหน้าที่ไปเยือนทุกถิ่น เพื่อโปรดสัตว์

    มนตรี เป็นตัวถ่ายเท เบี่ยงเบน...กรรมสามารถหมดไปได้

    หลักยืน ท่านส่งสัจจะมาให้....เชื่อว่าสัจจะมีผลตอบแทน
    นอกนั้นเป็นอภินิหารของโลกุตตระ ที่จะหักเห แสง เสียง กรรม
    ซึ่งปกติจะเป็นไปตามหลักธรรมชาติ

    สิ่งที่เราเห็น และไม่เห็น...ก็มี

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "<!-- google_ad_section_end -->


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. Smile Buffalo

    Smile Buffalo สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2011
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +0
    แล้วผู้ทำได้มีกี่คนกันเล่า
    เป็นหญิงหรือชาย
    อายุเท่าไหร่

    เราอยู่ในห้วงแห่งทะเลทุกข์ จัดไปอีกเพลง

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=82a6x5-ynfQ]YouTube - ทะเลใจ[/ame]
     
  10. ^ ^

    ^ ^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +1,279
    ผู้ทำได้มีหลายคน

    โดยเริ่มจากผู้ทำได้คนแรก เขาเป็นอดีตเจ้าของอู่ซ่อมรถ
    เขาเป็นเหมือกับกระดาษเปล่าสำหรับคนตาดี ดังนั้น
    เขาจึงไม่เสนอตัวออกมาสู่สาธารณชน

    ผู้ทำได้คนที่ 2 เป็นผู้มีความรู้เกี่ยวกับด้าน Food Sience
    ชีวะ เคมี ฯลฯ เขาเป็นเหมือคำภีร์อันศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนตาบอด
    เมื่อถึงวันที่เขาทำได้ และ เปิดเผยตนเองสู้สาธารณชน เพื่อสอนผู้คน
    เมื่อนั้น จะมีผู้ทำได้อีกมากมายตามมาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มกราคม 2011
  11. Pavitporn

    Pavitporn สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +21
    ข้อความเตือน 4 ครั้ง
    11:11
    11:33

    *ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัวสำหรับเรา*
     
  12. Crystal DNA

    Crystal DNA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +530
    หมายความว่าอย่างไร
    โปรดชี้แจงแถลงไข

    อย่าปล่อยให้งงงวย
    อยากไปบางอ้อ ไม่ใช่บางกรวย

    ถึงไม่ได้อยู่บางแคร์
    แต่ก็แคร์ใครบางคน

    เวลาก็หมุนไป
    กฏแห่งกรรมก็หมุนกันไป
    ทุกสิ่งต่างหมุนไป
    ทุกสิ่งเป็นหยินหยาง
    หมุนกันไปเพื่อสมดุลย์

    ถ้าหากไม่อยากหมุน
    แล้วคุณๆจะทำอย่างไร
    ก็ไปอยู่ที่แกนการหมุน
    ระหว่างสมดุลย์ซ้ายและขวา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มกราคม 2011
  13. Pavitporn

    Pavitporn สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +21
    Crystal DNA

    ขอโทษที่ทำให้งงงวย เพียงอยากเตือนผู้ที่สับสน

    *บ้างดิ้นรนเพื่อหลุดพ้น
    *บ้างดิ้นรนเพื่ออยู่รอด
    *บ้างไขว่คว้าเพื่อให้ได้มา
    *บ้างแสวงหาเพื่อให้ได้เป็น

    แต่สุดท้ายสิ่งที่เหมือนกันคือ ความสิ้นสุดแห่งชีวิต
    จะตื่นเต้นไปทำไม ในเมื่อเราทุกคนก็กำลังเดินทางเช่นเดียวกัน
    หากแต่จุดประสงค์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เท่านั้นเอง

    *เราไม่ได้หมายจะตายตอนนี้ แต่สุดท้ายเราก็ต้องตาย นี่คือความจริง*
     
  14. Pavitporn

    Pavitporn สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +21
    เราอยู่บนโลกของความเป็นจริง และความเป็นจริงนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ไม่อยากจะยอมรับ
    ผู้คนทำ ผิด ให้ ถูก ความถูกต้อง ถูกปิดบังซ่อนเล้น อำนาจอยู่ในมือผู้อสัตย์
    ผู้มีอำนาจ + ผู้ใช้อำนาจ ทำให้ความสมดุลย์แปรเปลี่ยน

    "มนุษย์ และสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ช่างน่าสงสารเหลือเกิน"
    *อยากเป็นผู้ถูกรัก แต่ไม่เคยให้รัก อยากถูกปกป้อง แต่ไม่เคยคิดปกป้อง*
    *ถ้าจะถูกสั่งสอนให้หลาบจำบ้าง ก็คงสมเหตุสมผลแล้ว*
     
  15. Crystal DNA

    Crystal DNA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +530
    อย่ากลัวคนที่จะฆ่าได้เพียงแค่ร่างกาย
    แต่จงยำเกรงผู้ที่ฆ่าจิตวิญญาณของเราได้

    แล้ว 11:11 และ 11:33 เขียนมาเพื่อเหตุใด
    โปรดชี้แจงแถลงไข แล้วท่านล่ะเป็นใคร แล้วถึงใยมาที่นี่
    แล้วใยต้องต่อรองกับจักรวาล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มกราคม 2011
  16. Pavitporn

    Pavitporn สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +21
    end of transmission

    ไม่มีอะไรถูกทำลายไปมากกว่าผู้ที่ควรถูกทำลาย

    เราไม่รู้ว่าเราเป็นใคร แล้วท่านรู้หรือว่าท่านเป็นใคร
    แต่เรารู้ว่าเราจะไปไหน เราเดินมาครึ่งทางแล้ว

    *อย่ามัวแต่ค้นหา รอเวลาอีกเลย ทำสิ่งที่ควรทำเถิด*

    "เวลานี้ไม่ใช่ธุระแค่แวะมาดู ธุระมีอยู่ให้ทำเบื้องหน้า"
     
  17. ^ ^

    ^ ^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +1,279
    คนตาดี ส่งคนไร้คุณภาพ ออกตามหาผู้ทำได้ แล้วเมื่อไรจะพบเจอ?

    คนตาบอด มัวแต่ชื่นชม ผู้ทำได้ แต่ไม่เคยทำตาม คำแนะนำของผู้ทำได้
    เอาแต่พูดว่า "แค่ทางผ่าน ไม่ใช่ภารกิจ" แล้วเมื่อไรภาระกิจจะสำเร็จ?

    เซ็ง - -"


    ปล.คำเตือนที่เอาไว้เตือนกันเองภายใน คนนอกเขาไม่รับทราบด้วยหลอกนะ - -"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มกราคม 2011
  18. ^ ^

    ^ ^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +1,279
    ไม่มีใครสมควรถูกทำลายทั้งนั้นครับ


    ขนาดผมเซ็ง คนตาดี และ พวกสมุนไร้คุณภาพ ของเขา
    ผมยังไม่คิดเลยว่าพวกเขาสมควรถูกทำลายเลยนะเออ



    ปล.เมื่อข้อมูลทั้งหมดบ่งชี้ไปที่ใครคนหนึ่ง คนๆ นั้นเขาย่อมรู้ตัวว่าหมายถึงเขา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มกราคม 2011
  19. AFIKLIFI

    AFIKLIFI Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    560
    ค่าพลัง:
    +53
    เปรียบเทียบกับอักษร ในภาษาไทยไม่ได้เหรอครับ
     
  20. ^ ^

    ^ ^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +1,279
    ภาษาไทยติดปัญหาตรง สระ อ่ะครับ
    ไม่เหมือน สระ ภาษาอังกฤษ a e i o u
    มันจัดอันดับรวมกับพยันชนะไปเลย นับง่ายกว่า
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...