พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    โห ข้าน้อยมิบังอาจครับ ท่านกูรูตัวจริง ข้าน้อยเป็นเพียงตัวสำรอง ไว้ขันอาสาขัดตาทัพเท่านั้น ขอหลบๆๆๆก่อน
     
  2. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    เอ่อต้องย้อนกลับไปเมื่อเด็กๆ ผมก้ชอบนะครับถึงเรียกว่าบน(มาจากสินบน)จนกระทั่งได้พบเจอบางเหตุการณ์เมื่อสัก10ปีก่อน อยู่ๆ ผมก็ฝันประหลาด มากเหมือนมีอะไรมาเข้าสู่จิตใจแล้วพุ่งจากล่างขึ้นบน ผมก็งงว่าอะไร ด้วยความกังวลจึงไปสอบถามจากผู้มีฌานลาภีบุุคคล ท่านแจ้งว่า แอ๊ะ เหมือนมีบนอะไรมาบ้างแล้วไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย เขามาทวงถาม ซึ่งก้ได้ไปจัดพิธีใหญ่เลยกับอีกท่านหนึ่ง ซึ่งแปลกเมื่อผ่านพิธีไปแล้วก็รู้สึกเบาสบาย หลังจากนั้นมาผมจึงเลิกบนไปเลย และก็ได้สอบถามท่านที่เช็คสอบให้ท่านก็ แจ้งว่า ที่ถูกคือเวลาเราไปกราบว่าสิ่งศักดิ์สิทธินั้นเราเล่าให้ท่านฟังถึงถึงความเดือดร้อนของเรา แล้วขอความเมตตาจากท่าน ซึ่งตามหลักเหตุและผลแล้วสิ่งที่เราทำไปนั้นอย่างน้อยทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายลง ลดความกังวลลง นั่นคือสิ่งที่กลับมาโดยธรรมชาติคือความมีสติ อันเป็นเหตุผลจริงๆที่ช่วยให้เราสามารถกลับไปคิดแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสมครับ ส่วนการที่สมควรหรือไม่นั้นผมมีความเห็นว่า สิ่งสำคัญในการกราบไหว้สิ่งคักดิ์สิทธินั่นคือความสงบที่จะทำให้เราเกิดปัญญาครับ ดังนั้นต่อไปนี้อย่าบนเลยครับ ทุกอย่างสำเร็จด้วยจิตจริงๆครับ หุ หุ
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    เรื่องนี้ มี 2 ประเด็นใหญ่ๆ

    1.เรื่องการบน

    2.เรื่องการขอ

    ทั้งสองประเด็น มีลักษณะเดียวกันคือ มีความต้องการในสิ่งที่ตนเองปราถนา และ สำเร็จในสิ่งที่ตนเองต้องการ

    ในการบน มีสิ่งที่เกี่ยวข้องอยู่หลายประการ

    1.ตัวเรา

    2.เรื่องที่จะบน

    3.ท่านที่เราจะไปบน

    4.บุญ วาสนา และ บารมีของตนเอง

    5.วัตถุมงคล หรือ สิ่งของ หรืออื่นๆ เช่น การรักษาศีล หรือการปฎิบัติสมาธิภาวนา ในกรณีที่บนแล้วผู้บนประสบความสำเร็จ (ผมขอเรียกว่า สิ่งแลกเปลี่ยน)

    เดี่ยวมาต่อครับ


    .
     
  4. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    เมื่อสักครู่ พี่ท่านหนึ่งในเทศบาลนครฯ พาผมไปทานก๋วยเตี๋ยวเป็ดขึ้นชื่อของหาดใหญ่ ร้านเปิดขายสองห้องแถว คนเข้าแถวรอก็มาก ผมเองรอนานเหมือนกัน แต่ก็คุ้มค่ากับการรอคอยใช้ได้เลยครับ น่องเป็ดหอม อร่อยไม่มีกลิ่นคาวเลย
    ตั้งแต่มาเมืองนี้ยังหาอะไรที่ไม่ถูกปากไม่ได้เลยนะเนี่ย สงสัยเริ่มต้นด้วยดี จริงใช่มั๊ยปฐม หุหุ

    แว่วๆว่าพรุ่งนี้เช้าน้องใน ICT อีกคณะจะพาไปลองกินโชคดีติ่มซำ (แต่เตี๊ยม) ก็น่าสนดีครับ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]

    [​IMG]

    "บุญเราไม่เคยสร้าง...ใครที่ไหนจะมาช่วยเจ้า"..!

    "ลูกเอ๋ย ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด
    เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเองคือบารมีของตนลงทุนไปก่อน
    เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่ว ย
    มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สิน ในบุญบารมี
    ที่เที่ยวไปขอยืมมาจนพ้นตัว... เมื่อทำบุญทำกุศลได้
    บารมี ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด ไม่มีอะไรเหลือติดตัว..
    แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้..แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง"...!

    "จงจำไว้นะ...เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่ วยเจ้าไม่ได้....
    ครั้นถึงเวลา...ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่..
    จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดินเมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลยจะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า..."

    นี่คือคำเทศนา ของเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรมรังษี ที่ได้โปรดชี้ธรรมไว้ในนิมิตหลังจากที่ท่านล่วงลับไป แล้วเมื่อ 100 กว่าปี อันเป็นปฐมเหตุที่ต้องสร้างความดีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด [​IMG]
     
  6. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ก๋วยเตี๋ยวเป็ดเจ๊อ้วนไหมเนี่ย แหมน่าอิจฉาพี่ท่านจริงๆมีลาภปากนะเนี่ย หุหุหุ
     
  7. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    กำลังจะแนะนำอยู่เชียวครับ สงสัยไม่ต้องพรุ่งนี้คงได้ลองแล้วครับ หุ หุ
     
  8. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    ขอบคุณครับ
    เป็นก๋วยเตี๋ยวเป็ด ไก่ หมู แต่ตั้งชื่อว่า xxไก่xx อะไรซักอย่างนิแหละ เปิดมาร่วมยี่สิบปีแล้วครับ ต้องขอโทษจำชื่อไม่ได้ :'(
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มาต่อครับ

    ในเรื่องที่เราจะบนบานนั้น เป็นเรื่องที่ผมได้บอกไปทั้ง 5 เรื่อง มีความเกี่ยวเนื่องต่อกันทั้งหมด

    1.ตัวเรา


    2.เรื่องที่จะบน

    3.ท่านที่เราจะไปบน

    4.บุญ วาสนา และ บารมีของตนเอง

    5.วัตถุมงคล หรือ สิ่งของ หรืออื่นๆ เช่น การรักษาศีล หรือการปฎิบัติสมาธิภาวนา ในกรณีที่บนแล้วผู้บนประสบความสำเร็จ (ผมขอเรียกว่า สิ่งแลกเปลี่ยน)


    ในการบนบานต่างๆ เราบนในเรื่องอะไร หากเป็นเรื่องที่เกินกว่าวาสนาและบารมีของตนเอง ต่้อให้บนอีกกี่ล้านแห่ง ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

    บางครั้งไม่ต้องบน หากบุญ , วาสนา และ บารมีของตนเองที่ทำไว้แต่หนหลังมาถึง บุญนั้นก็ส่งผลให้ เช่น การซื้อล็อตเตอร์รี่ บางคนไปบนบานไว้หลายๆแห่ง ซื้อล็อตเตอร์รี่ไม่เคยถูกเลย บางคนโดนแม่ค้าหรือพ่อค้าขายล็อตเตอร์รี่ยัดเยียดให้กลับถูกรางวัลที่ 1

    ผมเปรียบเทียบการบน เหมือนกับการไปกู้เงินที่ธนาคาร

    หากเรามีความประสงค์ที่จะซื้อบ้าน ราคา 10,000,000 บาท เรามีเงินเดือน 10,000 บาท มีเงินเก็บอยู่ 500,000 บาท โดยที่เราไม่มีเงินอื่นๆ ทรัพย์สินอื่นเลย เราจะไปขอกู้เงิน 9,500,000 บาท ผมถามว่า ธนาคารจะยอมปล่อยเงินกู้ให้หรือไม่

    ในกรณีเดียวกัน แต่หากว่า เราจะไปซื้อบ้าน ราคา 1,000,000 บาท ธนาคารจะยอมปล่อยเงินกู้ให้หรือเปล่าครับ

    คำตอบก็คือ หากเป็นประเ็ด็นหลัง มีความเป็นไปได้สูง

    หากกู้เงินได้ ผมเปรียบเทียบว่า เราบนบานสำเร็จ ได้ในสิ่งที่ตนเองปราถนา ถึงตอนนี้ เหมือนอะไรครับ เหมือนกับการที่เราติดหนี้ เราต้องนำสิ่งที่เราได้บอกกล่าวไว้ว่า เมื่อเราบนสำเร็จ เราจะนำอะไรมาถวายในการแก้บน


    ผมเปรียบเทียบว่า ธนาคารก็คือท่านที่เราจะไปบน หากเรามีความสนิทสนมกับธนาคาร หากเรามีปัญหาที่ไม่หนักหนา ก็สามารถแก้ปัญหาไปได้ ผมเปรียบก็คือการที่เรากับท่านที่เราจะไปบน หากมีบุญ , วาสนา และ บารมีร่วมกันมา ก็ง่ายขึ้น

    สำหรับในการบน บางคนขอเพียงข้อเดียว หรือ สองข้อ บางคนขอเป็นสิบข้อ ถึงจะขอมากหรือขอน้อย หากท่านที่เราจะไปบนมีพระเมตตา ท่านก็จะดูว่า สิ่งที่เราขอนั้น จะได้กี่ข้อ เรื่องนี้......เคยเล่าให้ฟังว่า ......ไปกราบองค์หลวงพ่อโสธร ที่วัดโสธร ตอนที่กราบนั้น องค์หลวงพ่อโสธร ท่านมาหา...... และถามว่า ทราบหรือไม่ว่า ผู้หญิงที่ขอ ที่ันั่งข้างๆ ขอกี่ข้อ .....ก็ตอบว่า ทราบ องค์หลวงพ่อโสธรท่านบอกกับ.....ว่า แล้วให้ได้กี่ข้อ .......ตอบว่า ขอเป็นสิบข้อ ให้ได้เพียง 2 ข้อ องค์หลวงพ่อโสธรท่านบอกกับ...... ว่า เมื่อขอมา 2 ข้อ ก็ให้.....ช่วยสงเคราะห์ให้กับผู้หญิงคนดังกล่าวด้วย

    สำหรับองค์ที่เราจะไปบน ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ เราไม่ได้ไปบนกับพระพุทธรูป หรือ พระพุทธเจ้า แต่เราไปบนกับเทพเทวาหรือพรหมที่ท่านอยู่ในพระพุทธรูป ดังนั้น เทพเทวาหรือพรหม ท่านก็มีวาสนาและบารมีที่ไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน

    ในเรื่องที่ท่านจะให้ก็ขึ้นอยู่้กับ วาสนา และ บารมีของแต่ละองค์เช่นกัน ท่านไหนที่วาสนาและบารมีสูงมากๆ มีบริวารมากๆ ท่านก็สามารถที่จะบันดาลให้ได้

    สุดท้าย เรื่องพระแก้บน

    ทางวังหน้าและวังหลวง มีการสร้างพระแก้บน ซึ่งสร้างขึ้นด้วยความวิจิตรบรรจง ผมเองก็เก็บไว้บางส่วน องค์ที่ผมเก็บไว้เป็นพระที่หลุดจากการแก้บนเรียบร้อยแล้วครับ


    .










    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    7 วิธีใช้เงินอย่างฉลาด

    7 วิธีใช้เงินอย่างฉลาด (Momypedia)

    โดย Piper

    เศรษฐกิจฝืดเคืองการรู้จักใช้เงินจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด

    ช่วงนี้ถึงน้ำมันจะราคาลดลงมาบ้าง แต่ของกินของใช้กลับขึ้นราคาสวนทางกัน การประหยัดและรู้จักใช้เงินจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด

    [​IMG] 1. การวางแผนระยะยาว ในอีก 10 ปีข้างหน้า ด้วยการสำรวจการใช้เงินของตัวเอง จัดสัดส่วนการใช้เงินให้อยู่ในขอบเขตที่วางไว้ หากยังไม่ได้ ก็ให้ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปบ้าง

    [​IMG] 2. จัดงบดุลค่าใช้จ่ายส่วนตัว ด้วยการนำรายรับทั้งหมดมารวมกัน และทำรายรับรายจ่ายเป็น รายวัน รายเดือน แล้วมาดูว่าการใช้จ่ายของเราเป็นบวกหรือติดลบ

    [​IMG] 3. ออมแบบลบสิบบวกสิบ เป็นวิธีการออมที่นิยมใช้กันมาก ด้วยการหักเงินรายรับ 10% มาเป็นเงินออม หรือ หากใครที่ชอบซื้อของก็นิยมใช้แบบบวกสิบ คือเพิ่มเงิน 10% ของราคาของเพื่อใช้เป็นเงินออมแทน

    [​IMG] 4. แผนการเงินเพื่อซื้อรถ ไม่ควรผ่อนเกิน 15% ของรายได้ครอบครัว ควรเลือกรถที่คุ้มค่ากับการใช้งาน และดูที่ดอกเบี้ยต่ำ โดยศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจ

    [​IMG] 5. แผนการเงินเพื่อซื้อบ้าน ราคาบ้านที่ซื้อไม่ควรเกิน 30 เท่าของรายได้ต่อเดือนของครอบครัว และค่าผ่อนบ้านไม่ควรเกิน 25-30% ของรายได้ต่อเดือน

    [​IMG] 6. แผนการใช้เงินเพื่อลูกน้อย รู้จักวางแผนล่วงหน้าก่อนการมีลูก ว่าค่าใช้จ่ายในการคลอดต้องใช้เงินเท่าไร และรายเดือนประมาณเท่าไร แล้วมาดูว่าคุณสามารถออมรายเดือนได้มากน้อยแค่ไหน เพื่อเก็บไว้ใช้จ่ายเมื่อยามมีลูก

    [​IMG] 7. การออมเพื่อการลงทุน แต่ก่อนที่คุณจะลงทุน คุณต้องมั่นใจแล้วว่าได้กันเงินไว้ในส่วนของค่าใช้จ่ายกรณีฉุกเฉิน และเงินสร้างหลักประกันชีวิตเรียบร้อยแล้ว ซึ่งประเภทของการลงทุนก็มีมากมาย เช่น กองทุนรวม หุ้น เงินฝาก ซึ่งผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจอย่างละเอียด



    Momypedia | โลกของผู้หญิง | Yourself | Relationship | House & Home | Finance | Working mom | Life up-date | Single mom


     
  11. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    กราบขอบพระคุณพี่ Nongnooo ที่สละเวลาให้ความรู้ครับ
     
  12. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    วิเคราะห์และยกตัวอย่างได้ชัดเจนเข้าใจแจ่มมากเลยครับพี่หนุ่ม ขอบพระคุณครับ
     
  13. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    พี่หนุ่มครับ ประโยคของสมเด็จฯที่ว่า
    ครั้นถึงเวลา...ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่..
    มีตัวอย่างที่ฟิลิปปินส์ครับ เร็วๆ นี้มีชายท่านหนึ่งอายุ 67 ปี กลับมาเที่ยวที่บ้านเกิด (ทำงานอยู่อเมริกา) แล้วช่วงนั้นมีการออก lotto ขณะยืนรอซื้อนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งขอแซงคิวซื้อก่อนชายคนนั้น ชายคนนั้นก็ดีมีน้ำใจก็ให้เธอซื้อก่อน เมื่อผล lotto ออก ชายคนนั้นถูกรางวัลใหญ่ถึงห้าร้อยกว่าล้านบาท ตามข่าว ชายคนนั้นกล่าวว่า รางวัลนี้ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ขอแซงคิวแล้ว เธอจะเป็นผู้ที่ถูกรางวัลนี้
    ผมเข้าใจแล้วว่า - ครั้นถึงเวลา... ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่ ครับ
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 8 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 5 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, somlatri, ปฐม+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อรุณสวัสดิ์ วันพุธ สุขใจ ครับ

    มีความสุขใจกันทั้งวันนะครับ

    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ของๆใคร ก็ต้องเป็นของๆคนนั้นครับ

    หลายๆเรื่องที่เคยทราบมา เป็นเช่นนั้นครับ
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    การทำบุญ ต้องทำกับพระสงฆ์

    การทำทาน ต้องทำกับฆารวาส

    ในการทำบุญกับพระสงฆ์ ต้องทำกับพระอริยสงฆ์ หรือ การทำสังฆทาน

    ส่วนการทำทาน ที่ต้องทำกับฆารวาส ผมแนะนำว่า หากเราได้ทำทานกับฆารวาสผู้ทรงธรรม สิ่งนั้นจะเป็นผลกลับมาหาเรามากกว่าที่เราทำกับฆารวาสที่ไม่มีธรรม ผมเองคิดไว้อยู่ว่า ชมรมพระวังหน้า จะทำบุญกับสภากาชาดไทย , มูลนิธิชัยพัฒนา และ มูลนิธิพระดาบส ครับ รายละเอียดผมจะแจ้งการเปิดประชุมทาง Email ให้ทราบกันอีกครั้งครับ

    ส่วนในเดือนมกราคม หรือกุมภาพันธ์ ผมเองว่าจะนัดกับสมาชิกชมรมพระวังหน้า ไปร่วมกันบริจาคเลือด และ ไปบริจาคเงินกันที่ สภากาชาดไทย กัน รายละเอียดผมจะแจ้งให้ทุกๆท่านทราบทาง Email ครับ


    .
     
  18. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ประวัติ สมเด็จพระบรมครู หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา


    หลวงพ่อกบ เป็นใคร ? มาจากไหน ? เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ? ไม่มีใครรู้แน่ชัด เพราะท่านไม่เคยเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟังแม้แต่คนเดียว ใครถามมักตอบเพียงว่า “กูไม่มีอดีต กูมีแต่ปัจจุบันและอนาคต" และหากใครถามถึงอายุ ท่านจะว่า “กูจำไม่ได้" แล้วไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย

    คนใกล้ชิดและคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านเขาสาริกาเล่าว่า หลวงพ่อกบ น่าจะเป็นพระธุดงค์ รูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาว คาดว่าน่าจะมีเชื้อสายจีน ท่านเดินด้วยเท้าเปล่ามาจากไหนไม่มีใครเห็น คาดว่ามาจากทางแม่น้ำน้อยหรือทางทิศตะวันตกของ อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี มีท่าทีประหลาดไม่เหมือนพระทั่วไป ชาวบ้านพบครั้งแรกในสภาพนุ่งห่มจีวรเก่าคร่ำคร่า แบกไม้คานหาบกระบุงเปล่าไว้บนบ่า 2 ใบ เดินผ่านมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ชาวบ้านร้องทักว่า “หลวงพ่อหาบกระบุงเปล่าไปทำไม”ท่านก็พูดว่า “กูหาบมาใส่เงินใส่ทองโว้ย”ว่าแล้วก็เดินดุ่ม ๆ เข้าไปพำนักในวัดเขาสาริกา หมู่ 6 ต.สนามแจง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ซึ่งสมัยนั้นเป็นวัดเก่า ๆ เกือบจะเป็นวัดร้าง ราวปี พ.ศ. 2430

    หลวงพ่อกบมาถึงวัดเขาสาริกาไม่พูดจากับใคร นั่งบำเพ็ญเพียรภาวนา เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานอย่างเดียว ไม่ทำความรู้จักกับใครทั้งนั้น แม้พระภิกษุด้วยกันในวัดก็ไม่เคยพูดด้วย ท่านฉันภัตตาหารแต่น้อยไม่กี่คำก็เลิก ข้าวปลาอาหารที่ญาติโยมนำมาถวายก็โกยมากองรวมกันโยนให้สุนัขและแมวกินเป็นประจำ ใครนำเงินทองมาถวายก็โยนเข้ากองไฟหมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว

    แรก ๆ หลวงพ่อกบนั่งบำเพ็ญเพียรอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในวัดเขาสาริกา ตากแดดตากฝนอยู่เพียงลำพัง ชาวบ้านสงสารปลูกเพิงพักหลังคามุงแฝกหลังเล็ก ๆ ให้พอหลบแดดฝน ท่านก็ไม่ว่าหรือทักท้วงอะไร ยอมขึ้นไปพำนักในเพิงพักโดยดี
    นานหลายปีที่หลวงพ่อกบนั่งบำเพ็ญเพียรเพียงรูปเดียวอยู่เช่นนั้น ก็เริ่มมีคนต่างถิ่นและคนแปลกหน้าเดินทางมากราบไหว้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์เล่าเรียนวิปัสสนากัมมัฏฐานที่วัดเขาสาริกามากขึ้นทุกที สร้างความแปลกใจให้ชาวบ้านและพระในวัด เพราะท่านไม่เคยออกจากวัดไปไหน สอบถามทุกคนจะตอบว่า “เคยใส่บาตรกับท่าน รู้สึกศรัทธาก็เลยมาหา" บางคนมาจากเชียงใหม่บ้าง กรุงเทพฯบ้าง สุราษฎร์ธานีหรือภูเก็ตก็มี ไม่เว้นแม้สงขลา ยะลา ปัตตานี ยิ่งทำให้ชาวบ้านกังขามากขึ้น ซึ่งนับวันผู้คนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ท่านก็ไม่ค่อยพูดกับใครเหมือนเดิม ยกเว้นลูกศิษย์ใกล้ชิดไม่กี่คน

    ต่อมาเพิงหลังคามุงแฝกของหลวงพ่อผุพังลง ลูกศิษย์และชาวบ้านที่ศรัทธารวบรวมเงินบริจาคสร้างกุฎิไม้ถวาย 1 หลัง มีขนาดกว้างขวางกว่าเดิม ใช้เป็นที่พำนักของหลวงพ่อและลูกศิษย์ที่บ้านอยู่ไกล เผื่อเดินทางมาหาหลวงพ่อจะได้ไม่ลำบากเรื่องที่นอน

    นับวันวัดเขาสาริกาจะกลายเป็นศูนย์รวมผู้ศรัทธาในตัวหลวงพ่อ ทำให้ถูกทางการสมัยนั้นจับตามองกล่าวหาว่าเป็นแหล่งมั่วสุมผู้คน พ.ศ. 2450 ทางการส่งเจ้าหน้าที่มาสอบถามและตรวจสอบ แต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย พบเพียงผู้คนมาปฏิบัติธรรมและไม่ได้เป็นที่ซ่องสุมผู้คนจึงกลับไป

    ต่อมามีคณะพระผู้ใหญ่เดินทางมาหา หลวงพ่อกบ อีกครั้ง เพื่อสอบสวนประวัติความเป็นมา เนื่องจากกลัวเป็นพวกลัทธิใหม่หรือพวกนอกรีต เนื่องจากพฤติกรรมของท่านค่อนข้างประหลาดไม่เหมือนพระทั่วไป แต่ท่านไม่ยอมบอกว่าเป็นใครและใครเป็นพระอุปัชฌาย์ จึงมีการทดสอบความรู้เรื่องธรรมะกันขึ้น ไม่ว่าจะถามเรื่องอะไร ในพระไตรปิฎกเล่มไหน หน้าอะไร หัวข้อเท่าไหร่ หลวงพ่อกบตอบถูกทั้งหมดและท่านถามกลับไปว่า “หัวใจของพระพุทธศาสนาคืออะไร”ปรากฎว่าไม่มีใครหรือพระเถรผู้ใหญ่ตอบได้แม้แต่รูปเดียว เงียบกันหมด ท่านจึงเฉลยให้ฟังว่าหัวใจพุทธศาสนาก็คือ “ศีล สมาธิ ปัญญา”เพราะเป็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์

    เท่านั้นเองกลายเป็นสาเหตุสำคัญที่พระผู้ใหญ่ไม่พอใจ สั่งให้ หลวงพ่อกบ ลาสิกขาบท กล่าวหาว่าเป็นพระเถื่อนไม่มีใบสุทธิบัตร พูดจาเพ้อเจ้อไร้สาระ ไม่น่าเชื่อถือ ท่านก็ไม่สนใจหรือเถียงอะไรยอมถอดจีวรออกลาสิกขาบทโดยดี หันมานุ่งขาวห่มขาวแทน ตอนนั้นลูกศิษย์ร้องไห้ระงมทั่ววัดเขาสาริกา เพราะสงสารท่าน จนหลวงพ่อบอกว่า “พวกมึงจะร้องทำไมกันวะ พระก็คือพระวันยังค่ำ จะใส่อะไรก็เป็นพระ เหมือนทองจมขี้โคลน ยังไงก็เป็นทองนั่นแหละ”ทำให้ลูกศิษย์คิดได้ว่า พระไม่ได้หมายถึงการนุ่งห่มผ้าเหลือง แต่หากสามารถลดละกิเลสได้ ไม่ว่าแต่งกายชุดอะไรก็ถือว่าเป็นพระอยู่วันยังค่ำ พระแท้พระดีจึงมิไช่อยู่ที่ผ้าเหลืองด้วยประการฉะนี้

    หลวงพ่อกบมรณภาพและสังขารในวันที่ 17 ธ.ค. 2497 ท่ามกลางความเศร้าโศกของศิษยานุศิษย์ทั่วหน้า และน่าแปลกใจที่ว่าเช้าวัดถัดไปคือวันที่ 18 ธ.ค. หลวงพ่อโอภาสีเดินทางมาถึงวัดเขาสาริกาเพื่อมาเป็นธุระในการทำพิธีฌาปนกิจศพของหลวงพ่อกบ ผู้เป็นอาจารย์ เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความงุนงงให้ผู้คนและลูกศิษย์ เนื่องจากสมัยก่อนการสื่อสารไม่รวดเร็วเหมือนปัจจุบัน การส่งข่าวไปหากันแต่ละครั้งใช้เวลาหลายวัน บ่งบอกได้ว่า หลวงพ่อโอภาสี ก็เป็นพระอภิญญาเหมือนอาจารย์ทุกประการ เพราะสามารถหยั่งรู้ความเป็นไปในโลกและรับรู้ว่าอาจารย์ละสังขารแล้วอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก



    ที่มาของชื่อ “หลวงพ่อกบ"


    ชั่วชีวิตของ หลวงพ่อกบ ท่านไม่เคยบอกว่าชื่ออะไร ? มาจากไหน ? เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ? เกิดเมื่อไหร่ ? บวชเมื่อไหร่ ? ใครเป็นพระอุปัชฌาย์ ? ลูกศิษย์ลูกหาจึงต้องหาชื่อมาเรียกกันไปต่าง ๆ นานา เช่น หลวงพ่อใหญ่บ้าง หลวงพ่อ เฉย ๆ บ้าง

    วันหนึ่งฝนตกหนัก ฟ้าผ่าเสียงดังและลมพายุพัดแรงมากจนกุฎิสั่นคลอน ชาวบ้านและลูกศิษย์กลัวกุฏิพังชวนท่านหนี ท่านบอกว่า “มึงกลัวอะไรกัน เดี๋ยวก็หยุดตกแล้ว"พักเดียวฝนหยุดจริง ๆ และมีเสียงกบร้องดังลั่นทุ่งนา ชาวบ้านและลูกศิษย์ดีใจพากันไปจบกบมาแกงกิน แต่ไม่เจอสักตัวเดียว หลวงพ่อเลยอาสาไปจับมาให้เอง ปรากฎว่าจับมาเต็มข้องส่งให้ไปทำกินกันและท่านกำชับว่า “กินไม่หมดให้เอาไปปล่อยอย่าให้เหลือ" แต่มีชาวบ้านและลูกศิษย์บางคนแอบใส่ไหซ่อนไว้ รุ่งเช้ามาดูกลายเป็นใบสะแกและใบไม้อื่น ๆ อีกมากมาย สร้างความตกตะลึงให้ทุกคน ต่างขนานนามของท่านว่า “หลวงพ่อกบ" ด้วยเหตุนี้
    แต่ในบรรดาลูกศิษย์ใกล้ชิดที่ได้รับการสอนธรรมะมักจะเรียกท่านว่า “สมเด็จพระบรมครู" หมายถึง ครูคนแรกในการสอนวิปัสสนากัมมัฏฐาน แต่ภายหลังกลายมาเป็น สมเด็จพระบรมครู หลวงพ่อเขาสาริกา หรือ หลวงพ่อเขาสาริกา แต่คนทั่วไปมักเรียกท่านว่า หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา จนทุกวันนี้



    ปริศนาธรรม “ทองหนึ่ง"


    บนกุฎิหลังใหม่ลูกศิษย์นำระฆังทองเหลืองมาถวายหลวงพ่อกบหลายใบ วันดีคืนดีท่านก็จะลุกขึ้นมาตีระฆังเสียงดังกังวาน “หง่าง หง่าง" และตะโกนว่า “ทองหนึ่ง ทองหนึ่ง ทองหนึ่ง ทองหนึ่ง" และท่านชอบเขียนเลข ๑ หรือเครื่องหมาย + ตามข้าวของเครื่องใช้จนเปื้อนไปหมด

    เคยมีลูกศิษย์ถามว่า “หลวงพ่อเจ้าค่ะ ทองหนึ่ง คืออะไรเจ้าค่ะ" ท่านหันมาตอบว่า “หนึ่งคือหนึ่งไม่มีสอง เปรียบเสมือนทองยังไงก็เป็นทองวันยังค่ำ" หมายถึง “ธรรมะ" หรือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่หนึ่งในโลก ไม่ว่ากาลเวลาผ่านพ้นไปเท่าใดก็ยังคงเป็นที่หนึ่งเสมอนั่นเอง
    (คำว่า “ทองหนึ่ง" มีหลายคนแปลความหมายผิดเพี้ยนคิดว่าเป็นคาถาประจำตัวของท่าน จริง ๆ แล้วเป็นปริศนาธรรมของหลวงพ่อกบ ข้อมูลนี้ได้รับการยืนยันจาก หลวงพ่อชื้น อริยธัมโม วัดปฐมเทศนาอรัญวาสี (เขาพลอง) จ.ชัยนาท ศิษย์สายตรงของหลวงพ่อกบและศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกับหลวงพ่อโอภาสี ผู้บูชาไฟเผากิเลสอาศรมบางมด ฝั่งธนบุรี ซึ่งมีการเล่าขานสืบต่อกันมาในหมู่ลูกศิษย์สายเดียวกัน)



    ปาฏิหาริย์แห่ง "อภิญญา"


    หลวงพ่อกบท่านเป็นพระอภิญญา อุดมไปด้วยอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์และอภินิหารมากมาย วันหนึ่งท่านเห็นลูกศิษย์ของท่าน (เป็นผู้ชายไม่ทราบชื่อแน่ชัด) กำลังนั่งทุกข์ใจ เพราะมีปัญหาทางครอบครัว ทำกิจการขาดทุนสิ้นเนื้อประดาตัว หนี้สินท่วมหัว ท่านก็พูดว่า "เฮ้ย มึงจะเป็นอะไรนักหนาว่ะ อีแค่หมดตัวแค่นี้ไม่ถึงตายดอก เงินทองมันของนอกกาย ไม่ตายหาใหม่ได้ ถือว่าเป็นเวรเป็นกรรมก็แล้วกัน กูแนะนำให้มึงขึ้นไปทำมาหากินแถวภาคเหนือแล้วจะรวย" สิ้นคำหลวงพ่อ ท่านก็หันหลังไปนั่งท่องคำว่า "ทองหนึ่ง ทองหนึ่ง" ต่อไม่พูดอะไรอีกเลย ลูกศิษย์คนดังกล่าวพอได้ฟังก็ก้มกราบแทบเท้าท่านขอตัวกลับบ้าน ไปปรึกษาครอบครัวแล้วตัดสินใจขายบ้านและที่ดินย้ายไปปักหลักค้าขายที่ จ.เชียงใหม่ เวลาผ่านไป 1 ปี เหลือเชื่อชดใช้หนี้สินได้หมดและกิจการเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยกลายเป็นพ่อเลี้ยงเมืองเหนือ

    หลังกิจการเข้าที่เข้าทางแล้ว ลูกศิษย์ก็พาครอบครัวมากราบท่านที่วัดเขาสาริกา โดยถือชะลอมใส่ลำไย ลิ้นจี่ มาถวายท่านพะรุงพะรังไปหมด ท่านเหลือบเห็นเข้าก็หัวร่อบอกว่า "อ้าว ไอ้พ่อเลี้ยงเมืองเหนือมันมาหากูว่ะ เอ้าใครอยากกินลำไย ลิ้นจี่ เอาไปแบ่งกัน เหลือให้กู 2-3 ลูกก็พอ" ปรากฏว่าหวยงวดนั้นออกรางวัลเลขท้าย 23 อย่างน่าอัศจรรย์จนเป็นที่ฮือฮาในยุคนั้น



    สอนธรรมะ "ชั่งเขา ชั่งมัน"


    หลวงพ่อกบท่านชอบสอนปริศนาธรรมให้ลูกศิษย์และคนใกล้ชิดไปขบคิดกันเอาเอง อย่างเช่นวันหนึ่งท่านหยิบเขาควายและหัวมันมานั่งชั่งกิโลแล้วนั่งมองซ้ายมองขวา หยิบแล้วหยิบอีกอยู่อย่างนั้น จนลูกศิษย์เห็นเข้าถามว่า "หลวงพ่อทำอะไร" ท่านก็ตอบว่า "กูกำลังชั่งเขา ชั่งมันอยู่โว้ย อย่ามากวนใจ" ลูกศิษย์ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่านี่ท่านกำลังสอนธรรมะพวกเราอยู่แน่ ๆ โดยการกระทำของท่านน่าจะหมายถึง การให้รู้จักปล่อยวางเดินตามทางสายกลาง ไม่ยึดติดด้านใดด้านหนึ่ง เพราะเป็นตัวถ่วงในการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานและการพิจารณาลดละกิเลสนั่นเอง



    อัศจรรย์ละสังขารไปแล้วยังปรากฎกายได้


    เรื่องนี้ได้รับการถ่ายทอดจากแม่ชีคนหนึ่ง (ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว) บนวัดปฐมเทศนาอรัญวาสี (เขาพลอง) อ.เมือง จ.ชัยนาท ราวก่อนเข้าพรรษาปี พ.ศ. 2521 สมัยนั้น หลวงพ่อชื้น เจ้าอาวาสยังไม่มรณภาพ ทางวัดได้จัดงานขึ้น โดยมีคณะศิษย์เก่าและใหม่หลายพันคนมาร่วมงานแน่นขนัดศาลาหลังใหญ่บนเขาพลอง ระหว่างมีพิธีสวดเพื่อถวายจตุปัจจุยไทยทานแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แม่ชีเกิดปวดท้องไปเข้าห้องน้ำที่ศาลาเล็กด้านหลังศาลาใหญ่ พอเสร็จธุระออกมาเห็นพระภิกษุชรา นุ่งห่มจีวรสีกรักเก่าคร่ำคร่านั่งอยู่บนโต๊ะม้าหินอ่อนข้างศาลา 1 รูป แม่ชีถามว่า "หลวงพ่อเจ้าค่ะ นิมนต์ไปศาลาใหญ่ดีกว่าเจ้าค่ะ" แต่พระภิกษุชราไม่ไป บอกเพียงว่า "ข้ามาดูเฉย ๆ ว่างานเรียบร้อยดีไหม เดี๋ยวก็ไปแล้ว" แม่ชีก็ไม่คิดอะไร ทิ้งท่านนั่งอยู่รูปเดียว รีบเข้าไปร่วมพิธีในศาลาใหญ่จนเสร็จพิธีออกมามองหาพระภิกษุชราก็ไม่เห็นแล้ว ถามใครก็ไม่มีใครรู้ จนแม่ชีด้วยกันถามว่าหาใครอยู่หรือ จึงเล่าเรื่องราวให้ฟังสร้างความสงสัยให้ทุกคนว่าพระภิกษุชรามาจากไหน กระทั่งเม่ชีหลือบไปเห็นรูปถ่ายหลวงพ่อกบประดิษฐานที่โต๊ะหมู่บูชาถึงกับเข่าอ่อน ยืนยันว่าพระภิกษุชราที่ตามหากันอยู่คือพระในรูปนั่นเอง พอหลวงพ่อชื้นทราบเรื่องเข้าก็หัวร่อบอกว่า "หลวงพ่อเขาสาริกาท่านเป็นห่วงลูกศิษย์เลยแวะมาดู ไม่มีอะไรหรอก วันหลังเดี๋ยวท่านก็มาใหม่"

    เรื่องปาฏิหาริย์นี้ถูกเล่าขานในหมู่ลูกศิษย์สมัยนั้นมาก จนหลวงพ่อชื้นต้องเฉลยว่า "ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหลวงพ่อกบท่านเป็นพระอภิญญา มีกายและจิตเป็นทิพย์ สามารถไปไหนมาไหนได้ทั้ง 3 โลก (มนุษย์ สวรรค์ นรก) แม้สังขารหรือกายเนื้อท่านจะไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว แต่จิตยังสำแดงอิทธิฤทธิ์ได้ จึงปรากฎกายให้เห็นได้ เหมือนหลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด ฝั่งธนบุรี"



    วัตถุมงคลของหลวงพ่อกบ


    หลวงพ่อกบเป็นพระที่แปลก ชั่วชีวิตของท่านไม่เคยสร้างวัตถุมงคลหรือเครื่องรางของขลังให้เช่าบูชาเหมือนเกจิอาจารย์รูปอื่น ๆ ยกเว้นท่านจะทำแจกลูกศิษย์ใกล้ชิดและผู้ศรัทธาไม่กี่คน ซึ่งมีจำนวนน้อยและเป็นวัสดุที่หาไม่ยากในท้องถิ่น หลายคนอาจไม่เคยมีโอกาสได้เห็นและนึกไม่ถึงตามคำกล่าวที่ว่า "มีเงินมีทองไช่ว่าจะครอบครองของดีกันได้ง่าย ๆ"


    http://sites.google.com/site/patihan2009
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จากกัลยาณมิตรส่งมาให้ผมครับ

    ข้อมูลจาก Web แห่งหนึ่ง
    [FONT=&quot]ทำบุญ [/FONT]VS. [FONT=&quot]ทำทาน[/FONT]
    [FONT=&quot]วันนี้เราไปอ่านกระทู้ในลานธรรมมา..[/FONT]
    [FONT=&quot]เจอคนถามคำถามนี้ คิดว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับหลายๆคน..[/FONT]
    [FONT=&quot]สรุปมาวางไว้ในนี้ด้วยดีกว่านะ
    [/FONT]

    [FONT=&quot]คำถามคือ ทำบุญ กับ ทำทานเหมือนกันรึเปล่า[/FONT]? [FONT=&quot]ต่างกันยังไง[/FONT]?
    [FONT=&quot]คำตอบคือ ไม่เหมือนกัน.. ทานเป็นเพียงหนึ่งในการกระทำที่ทำให้เกิดบุญ[/FONT]

    [FONT=&quot]คำถาม: อ้าว! ถ้าการทำทานเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง แล้วที่เหลือมีอะไรบ้างล่ะที่ทำแล้วได้ชื่อว่าเป็นการทำบุญ[/FONT]?
    [FONT=&quot]คำตอบ: มาดูบุญกริยาวัตถุ๑๐กัน..[/FONT]

    [FONT=&quot]อย่า! อย่าเพิ่งตกใจกับชื่อนะ.. ไม่ยากอย่างที่คิดหรอก..
    [/FONT]
    [FONT=&quot]มาดูดีกว่าว่าการกระทำแบบไหนที่เรียกว่าทำบุญบ้าง..[/FONT]

    [FONT=&quot]๑. ทานมัย การให้สิ่งที่เป็นประโยชน์สุขแก่ผู้รับ ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้[/FONT]
    [FONT=&quot]๑- เป็นที่มาของทรัพย์สมบัติทั้งหลาย[/FONT]
    [FONT=&quot]๒- เป็นที่ตั้งของโภคทรัพย์ทั้งปวง[/FONT]
    [FONT=&quot]๓- ผู้ให้ย่อมได้รับความสุข[/FONT]
    [FONT=&quot]๔- ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของคนหมู่มาก[/FONT]
    [FONT=&quot]๕- ผู้ให้ย่อมผูกไมตรีผู้อื่นไว้ได้[/FONT]
    [FONT=&quot]๖- ทำให้เป็นผู้มีเสน่ห์น่านับถือ[/FONT]
    [FONT=&quot]๗- ทำให้เป็นที่น่าคบหาของคนดี[/FONT]
    [FONT=&quot]๘- ทำให้เข้ากับสังคมอื่นได้คล่องแคล่ว[/FONT]
    [FONT=&quot]๙- มีบุคลิกองอาจ สง่าผ่าเผย[/FONT]
    [FONT=&quot]๑๐- ทำให้มีชื่อเสียงเกียรติคุณดี[/FONT]
    [FONT=&quot]๑๑- ตายแล้วเกิดในสุคติภูมิ[/FONT]

    [FONT=&quot]๒. สีลมัย บุญที่สำเร็จได้ด้วยการรักษาศีล ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้[/FONT]
    [FONT=&quot]๑- ทำให้มีความสุขกาย สุขใจ[/FONT]
    [FONT=&quot]๒- ทำให้เกิดโภคทรัพย์ได้[/FONT]
    [FONT=&quot]๓- ทำให้สามารถใช้สอยทรัพย์นั้นได้เต็มอิ่ม โดยไม่หวาดระแวง[/FONT]
    [FONT=&quot]๔-ทำให้ไม่ต้องหวาดระแวงว่าจะมีใครมาทวงทรัพย์คืน[/FONT]
    [FONT=&quot]๕- ทำให้เกียรติคุณฟุ้งขจรไป ทำให้ผู้อื่นเกิดความเชื่อถือ[/FONT]
    [FONT=&quot]๖- ทำให้ชีวิตนั้นแกล้วกล้าองอาจท่ามกลางชุมชน[/FONT]
    [FONT=&quot]๗- ทำให้ไม่เป็นคนหลงลืมสติ[/FONT]
    [FONT=&quot]๘- ตายแล้วไปเกิดในสุคตภูมิ[/FONT]

    [FONT=&quot]๓. ภาวนามัย บุญที่สำเร็จได้ด้วยการเจริญสมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา ย่อมต้องได้รับอานิสงส์[/FONT]
    [FONT=&quot]๑- มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม[/FONT]
    [FONT=&quot]๒- มีผิวพรรณผ่องใส[/FONT]
    [FONT=&quot]๓- มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง[/FONT]
    [FONT=&quot]๔- มีความจำดี และกำลังปัญญาว่องไว[/FONT]
    [FONT=&quot]๕- เป็นคนใจคอเยือกเย็น[/FONT]
    [FONT=&quot]๖- เป็นที่ชื่นชอบของผู้พบเห็น[/FONT]
    [FONT=&quot]๗- มีบุคลิกอันน่าศรัทธา[/FONT]
    [FONT=&quot]๘- เกิดในตระกูลดี[/FONT]
    [FONT=&quot]๙- มีบุคลิกสง่างาม[/FONT]
    [FONT=&quot]๑๐- มีมิตรสหายมาก[/FONT]
    [FONT=&quot]๑๑- เป็นที่เคารพยำเกรงของคนทั่วไป[/FONT]
    [FONT=&quot]๑๒- เป็นที่ชื่นชอบของบัณฑิต[/FONT]
    [FONT=&quot]๑๓- สมบูรณ์ด้วยปัจจัย ๔[/FONT]
    [FONT=&quot]๑๔- ปราศจากอกุศลทั้งปวง[/FONT]
    [FONT=&quot]๑๕- ปลอดภัยจากศาสตราวุธ[/FONT]
    [FONT=&quot]๑๖- มีอายุยืน[/FONT]
    [FONT=&quot]๑๗- ตายแล้วเกิดในสุคติภูมิ[/FONT]

    [FONT=&quot]๔. อปจายนะ บุญที่สำเร็จได้ด้วยการอ่อนน้อมถ่อมตน ต่อผู้ที่ควรเคารพนบนอบ (คุณวุฒิ วัยวุฒิ ชาติวุฒิ) ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้[/FONT]
    [FONT=&quot]๑- เกิดในตระกูลสูง[/FONT]
    [FONT=&quot]๒- มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง[/FONT]
    [FONT=&quot]๓- มีมิตรสหายดี[/FONT]
    [FONT=&quot]๔- ได้รับคำชมเชยอยู่เสมอ[/FONT]
    [FONT=&quot]๕- มีความสมบูรณ์ในทรัพย์[/FONT]
    [FONT=&quot]๖- ได้พบเห็นแต่สิ่งที่ตนปรารถนา[/FONT]

    [FONT=&quot]๕. เวยยาวัจจะ บุญที่สำเร็จได้ด้วยการช่วยเหลือกิจการงานที่ชอบ ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้[/FONT]
    [FONT=&quot]๑- มีความเป็นอยู่ดี สุขกายสุขใจ[/FONT]
    [FONT=&quot]๒- มีมิตรสหายมาก[/FONT]
    [FONT=&quot]๓- มีไหวพริบความจำดี[/FONT]
    [FONT=&quot]๔- มีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง[/FONT]

    [FONT=&quot]๖. ปัตติทานะ บุญที่สำเร็จได้ด้วยการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้อื่น (การแผ่เมตตา) ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้[/FONT]
    [FONT=&quot]๑- ไม่มีความอดอยาก ยากจน[/FONT]
    [FONT=&quot]๒- ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน[/FONT]
    [FONT=&quot]๓- มีบริวารดี[/FONT]
    [FONT=&quot]๔- เป็นที่รักของผู้พบเห็น[/FONT]
    [FONT=&quot]๕- มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม[/FONT]
    [FONT=&quot]๖- มีอายุยืน[/FONT]

    [FONT=&quot]๗. ปัตตานุโมทนา บุญที่สำเร็จได้ด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้[/FONT]
    [FONT=&quot]๑- มีสุขภาพสมบูรณ์[/FONT]
    [FONT=&quot]๒- มีฐานะดี[/FONT]
    [FONT=&quot]๓- มากไปด้วยลาภสักการะ[/FONT]
    [FONT=&quot]๔- พบเห็นแต่สิ่งที่ทำให้เกิดความสบายใจ[/FONT]

    [FONT=&quot]๘. ธัมมสวนะ บุญที่สำเร็จได้ด้วยการฟังธรรม ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้[/FONT]
    [FONT=&quot]๑- เกิดในตระกูลสูง[/FONT]
    [FONT=&quot]๒- มีสติปัญญาดี[/FONT]
    [FONT=&quot]๓- มีมิตรสหายดี[/FONT]
    [FONT=&quot]๔- มีความเชื่อมั่นในตนเอง[/FONT]

    [FONT=&quot]๙. ธัมมเทสนา บุญที่สำเร็จได้ด้วยการแสดงธรรม ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้[/FONT]
    [FONT=&quot]๑- ไม่มีกลิ่นปาก[/FONT]
    [FONT=&quot]๒- มีฟันขาวเรียบ[/FONT]
    [FONT=&quot]๓- บุตรบริวารมีความเชื่อฟัง[/FONT]
    [FONT=&quot]๔- มีบุคลิกสง่างาม[/FONT]
    [FONT=&quot]๕- มีความจำดี[/FONT]
    [FONT=&quot]๖- เป็นที่ไว้วางใจแก่ผุ้พบเห็น[/FONT]

    [FONT=&quot]๑๐.ทิฏฐุชุกรรม บุญที่สำเร็จได้ด้วยการทำความเห็นให้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ ดังนี้[/FONT]
    [FONT=&quot]๑- มีปัญญาดี[/FONT]
    [FONT=&quot]๒- ไม่อดอยาก[/FONT]
    [FONT=&quot]๓- ไม่ยากจน[/FONT]
    [FONT=&quot]๔- มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง[/FONT]
    [FONT=&quot]๕- มีบุคลิกสง่างาม[/FONT]
    [FONT=&quot]๖- พบเห็นแต่สิ่งที่ทำให้เกิดความสบายใจ[/FONT]
    [FONT=&quot]๗- มีฐานะความเป็นอยู่ดี[/FONT]
    [FONT=&quot]๘- มีบริวารมาก[/FONT]
    [FONT=&quot]๙- มีความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่มีชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น[/FONT]

    [FONT=&quot]บุญกริยาวัตถุ ๑๐ เมื่อสงเคราะห์ลงในทาน ศีล ภาวนา ได้ดังนี้คือ[/FONT]

    [FONT=&quot]ทาน ปัตติทานะ ปัตตานุโมทนา สงเคราะห์ใน ทาน[/FONT]
    [FONT=&quot]ศีล อปจายะ เวยยาวัจจะ สงเคราะห์ใน ศีล[/FONT]
    [FONT=&quot]ภาวนา ธัมมสวนะ ธัมมเทสนา ทิฏฐุชุกรรม สงเคราะห์ใน ภาวนา[/FONT]


    [FONT=&quot]ภาวนามัย อานิสงค์ ๑๗ ข้อดังกล่าว จะสรุปได้ว่า บุญที่สำเร็จได้ด้วยการเจริญสมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา ได้บุญ เพราะจิต ได้ ข่ม ลด ละ เลิก ตัด กิเลส เป็น ชั้นๆ จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ คือ พระนิพพาน[/FONT]


    [FONT=&quot]ในจำนวน ๑๐ ข้อ ภาวนามัย จึงสำคัญ ที่ สุด เพราะเป็น ปฏิบัติบูชา[/FONT]


    [FONT=&quot]มาทำบุญให้ครบสิบข้อกันดีกว่า
    [/FONT]

    ...........................
    [FONT=&quot]อ้างอิงจาก[/FONT]
    http://larndham.net/index.php?showtopic=15763&st=1
    http://larndham.net/index.php?showtopic=16056&st=5
    larnbuddhism.net
    __________________



    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>นิทานเซน : สรรพสิ่งมีเหตุจึงมีผล</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>29 ธันวาคม 2553 12:07 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left><CENTER>ภาพจาก tooopen.com</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><CENTER>
    《万事皆因果》</CENTER>

    มีคหบดีผู้หนึ่ง ประสบปัญหาในอาชีพการงานอย่างหนัก เนื่องจากกิจการค้าขายของเขา ยิ่งทำไปก็มีแต่ซบเซาลงทุกวันๆ เขาขบคิดไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด ดังนั้นจึงเดินทางขึ้นเขาไปขอคำชี้แนะจากอาจารย์เซน​

    เมื่ออาจารย์เซนได้ฟังปัญหาของคหบดี ก็กล่าวกับเขาว่า "ก่อนที่ข้าจะตอบคำถามของท่าน ที่ลานหลังวัดมีคันโยกน้ำบาดาลอยู่อันหนึ่ง ท่านจงไปโยกน้ำมาให้ข้า 1 ถัง" คหบดีรับคำ และรีบออกไปโยกน้ำบาดาล​

    ผ่านไปครึ่งวัน คหบดีจึงเข้ามาพร้อมเหงื่อชุ่มโชกตัว พลางกล่าวว่า "เครื่องโยกน้ำไม่สามารถโยกสูบน้ำขึ้นมาได้"​

    อาจารย์เซนจึงกล่าวว่า "เช่นนั้นท่านจงลงเขาไปซื้อน้ำมาถังหนึ่ง" คหบดีจึงเดินทางลงเขาไปซื้อน้ำ​

    เมื่อคหบดีแบกน้ำขึ้นมาที่วัด กลับมีน้ำอยู่เพียงครึ่งถังมิใช่หนึ่งถัง โดยคหบดีอธิบายว่า ที่นำน้ำขึ้นมาเพียงครึ่งถัง ไม่ใช่เพราะเขาเกรงจะหมดเปลืองเงิน แต่เป็นเพราะเส้นทางขึ้นเขาลำบาก จึงคิดว่าไม่อาจจะนำน้ำขึ้นมาเต็มถังได้​

    เมื่ออาจารย์เซนได้ฟังเหตุผล ก็ยังคงยืนยันให้เขากลับลงเขา ไปหาบน้ำเต็มถังกลับมาก่อน จึงจะเข้าใจว่าเหตุใดกิจการของเขาจึงมีแต่เจริญลง​

    คหบดีแม้รู้สึกแปลกใจ แต่สุดท้ายก็ยอมลงเขาไปอีกรอบ คราวนี้เขาพยายามแบกน้ำเต็มถังอีกหนึ่งถังขึ้นมาที่วัดบนเขาได้สำเร็จ จากนั้นอาจารย์เซนจึงนำคหบดีไปยังคันโยกน้ำบาดาลหลังวัดอีกครั้ง ทั้งยังให้เขาลองเทน้ำลงไปในบ่อบาดาล แล้วลองโยกคันโยกน้ำดู​

    เมื่อคหบดีเทน้ำครึ่งถังลงไปในบ่อ แล้วลองโยกคันโยกน้ำ ผลปรากฏว่าไม่มีน้ำไหลออกมาแม้สักหยด น้ำครึ่งถังกับแรงกายที่เขาทุ่มเทไปในการขึ้นลงเขากลับสูญเปล่า ถึงตอนนี้คหบดีเริ่มนึกเสียดายน้ำอีกหนึ่งถังที่ตนลงแรงไปหาบมาจากตีนเขา แต่หากเขาไม่เทน้ำอีกหนึ่งถังหนึ่งลงไปในบ่อ สิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็มีเพียงน้ำถังเดียวนี้ ที่รอวันใช้จนหมด​

    เมื่อคหบดีเข้าใจเหตุผล จึงได้ตัดสินใจเทน้ำเต็มถังลงไปในบ่อ จากนั้นลองโยกคันโยกน้ำดู ปรากฏว่าประสบผลสำเร็จ เครื่องโยกสูบน้ำได้รับน้ำและแรงดันที่มากพอจึงกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง เมื่อโยกคันโยกจึงมีน้ำไหลรินออกมามากมายไม่ขาดสาย ครานี้ คหบดีจึงเข้าใจแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นการโยกน้ำ หรือการทำกิจการค้าขาย จำต้องลงทุนลงแรงให้มากพอ จึงจะได้ผลตอบรับที่ดีกว่ากลับมา​

    ปัญญาเซน สรรพสิ่งล้วนมีเหตุเกิดขึ้น จึงค่อยมีผลตามมา "เมื่อให้ จึงได้รับ" เช่นเดียวกับการโยกน้ำบาดาลจากบ่อ หากไม่ยอมเสียสละน้ำในถังของตนเองออกไปให้มากพอ ย่อมไม่ได้รับน้ำกลับมาแม้สักหยดหนึ่ง ที่ลงแรงไปกลับกลายเป็นสูญเปล่าทั้งสิ้น แต่หากลงทุนทุ่มเทอย่างเต็มที่ สิ่งที่ได้รับกลับมาย่อมคุ้มค่าหรืออาจมากมายกว่าสิ่งที่เสียไปหลายเท่า

    ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​
    http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9530000182077



    .



    .



    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...