เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. พลอยรุ้ง

    พลอยรุ้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +2,088
    ขอบคุณ k.kwan มากๆเลยค่ะ
    ขยันมากๆ post วันเดียว ข้อมูลเยอะมากเลย อ่านไม่ทันเลย ไม่ได้เข้ามา 2 วัน เข้าไม่ได้น่ะค่ะ เหมือนเว๊บล่ม เมื่อเช้าก็ยังเข้าไม่ได้ เลยลองตอนเย็นอีกรอบ ข้อมูลเพียบเลย ยิ่งอ่านช้าๆอยู่ (ไม่ได้ว่า k.kwan นะคะ)
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    แหะ แหะ อ่านเพลิน โพสท์เพลิน มาถึง 27 หน้ากันเลยทีเดียว
    คิดไม่ถึงเหมือนกันค่ะ คุณพลอยรุ้ง แต่ว่า 2-3 วันมานี้ คนเข้าเว็บเยอะมั้งคะ
    เซอร์เวอร์ทำงานหนัก ก็เข้าได้บ้างไม่ได้บ้างเหมือนกัน ข้อมูลก็เริ่มเฟ้อแล้วด้วย หุหุ
    เรื่องที่อยากรู้ ก็คิดว่าได้รู้แล้ว ที่เหลือก็คงเป็นการตามดูข่าวล่าสุดแล้วค่ะ
    ขุดข้อมูลคนอื่นมาอ่านก็ปลงชีวิตได้เหมือนกันเนาะ ดูชีวิตเขาเป็นบทเรียนของเรา
    ลงทุนน้อยแต่ได้กำไรชีวิตเกินคุ้ม ไม่ต้องลงทุนเรียนรู้ด้วยชีวิตของเราเองไงคะ(ก็เรามันจนเนอะ)
    เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาสิเป็นของจริง เราอาจจะได้เห็นความจริงของสัจธรรมนี้
    ในยุคของเราเอง อาจจะสิ้นสุดยุคของการเก็งกำไรตลาดหุ้น ตลาดเงิน หมดยุคของ ตลาดวอลสตรีท
    ตลาดลอนดอน เฮดจ์ฟันด์ ทุนนิยม ระบบธนาคารหน้าเลือดที่ขาดจริยธรรมล้มบนฟูกทำนาบนหลังคน
    ในช่วงอายุของพวกเราก็ได้ อเมริกาก็เคยขาดดุลมหาศาลตอนปี 2514 จนต้องชักดาบทองคำที่
    คนอื่นฝากไว้ มาลอยตัวราคาทองคำ ตอนนี้ก็ประวัติศาสตร์หมุนมาที่เดิมอีกแล้ว อเมริกา
    ขาดดุลมหาศาลอีกครั้ง ไม่รู้จะมีอะไร เกิดขึ้นอีก ถ้าลดค่าเงินแล้วยังรักษาอาการไม่ได้
    ก็ไม่รู้จะแก้ไขยังไงกันต่อ แต่ตอนนี้อาการหนักทั่วโลก พวกอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น แข่งกัน
    พิมพ์แบงค์มาทุ่มใส่กัน ก็น่าระแวงมิใช่น้อย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2010
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ส่งออกฝ่าบาทแข็งโตอีก28.5% หวังปี54กำลังซื้อโลกพุ่งรับQE2
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>20 ธันวาคม 2553 </TD></TR></TBODY></TABLE>

    นางพรทิวากล่าวว่า การส่งออกทั้งปี 2553 จะทำได้เกินเป้าหมายแน่นอน โดยตอนนี้ ยอดรวม 11 เดือนทำได้ 28.5% และเดือนธ.ค.เชื่อว่าจะส่งออกไม่ต่ำกว่า 14,000-17,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ทั้งปีขยายตัว 26-28% ขณะที่รูปของเงินบาทจะขยายตัว 19-20% ส่วนการส่งออกปีหน้าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% มีมูลค่าเกิน 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ

    ปัจจัยเสี่ยงปีหน้า ยังคงเป็นเรื่องของค่าเงินบาทที่มีความผันผวน ซึ่งผู้ส่งออกยังคงเรียกร้องให้มีการแทรกแซงไม่ให้มีการแข็งค่าเร็ว ส่วนปัจจัยบวกมาจากแนวโน้มความต้องการนำเข้าสินค้าจากทั่วโลกที่สูงขึ้น หลังประเทศยักษ์ใหญ่ อย่างสหรัฐฯ ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสอง (คิวอี2) อีก 6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ รวมถึงอังกฤษ 2 แสนล้านปอนด์ และญี่ปุ่น 5 ล้านล้านเยน ซึ่งจะช่วยให้กำลังซื้อประเทศเหล่านี้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การเกิดภัยพิบัติธรรมชาติ ก็ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ประชาชนสุข-ประเทศต้องรอด

    โดย : รักษ์ มนตรี rakmontri@twitter,facebook
    วันที่ 21 ธันวาคม 2553 01:00

    ผมทราบมาว่า กำลังจะเกิดปรากฏการณ์ช็อกโลก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ครั้งใหม่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
    ข่าวที่ว่านี้ จะออกเป็นข่าวปรากฏต่อสาธารณชนประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2554
    โดยสืบเนื่องจาก Fort Knox ซึ่งเป็นสถานที่เก็บทองสำรองของอเมริกา ตั้งอยู่ในรัฐเวอร์จิเนีย เพิ่งตรวจพบว่า ทองคำที่นำมาเก็บใน Fort Knox เป็นปรากฏว่า 80 ตันแรกที่นำมาส่งเป็นทองเก๊ทั้งหมด
    ผลของมันก็คือ จะทำให้เงินดอลลาร์มีปัญหา และจะเกิดความปั่นป่วนทั้งยุโรป และอเมริกา
    เมื่อดอลลาร์ กระเทือน นั่นหมายถึงค่าเงินดอลลาร์ จะลดลง เงินเท่าเดิมใช้หนี้ได้น้อยลง นี่คือเหตุผลที่อเมริกาต้องการก็จะปั๊มเงินดอลลาร์ออกมาเพิ่ม
    แต่คนที่จะกระเทือนมากที่สุดคือ จีน เพราะจีนไปซื้อบอนด์เอาไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้จีนลดค่าเงินหยวนไปโดยปริยาย
    สิ่งเหล่านี้ มันสะท้อนว่า การจัดการปัญหาภายในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจของ บารัก โอบามา ไม่เป็น
    เห็นตัวอย่างเช่นนี้แล้ว รัฐบาลไทยยังจะมุ่งไปที่การทำให้ประชาชนมีความสุขอย่างเดียวคงไม่ได้
    เพราะการมุ่งให้ประชาชนมีความสุขหมายความว่าประเทศชาติต้องอยู่รอดด้วย

     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

    "Operation Wikileaks" ปฏิบัติการป่วนโลก.......ภาคพิเศษ


    และแล้วกลุ่ม NWO ก็เริ่มดันร่างกฏหมาย S.3804 เข้าสู่สภาเพื่อที่จะเซนเซอร์หรือสั่งปิดเวบไซท์ต่างๆ โดยที่ไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า หรือมีการติดต่อใดๆไปที่ผู้ดูแลเวบไซท์แห่งนั้น โดยกฏหมายฉบับนี้จะมีผลให้หน่วยงานของรัฐมีอำนาจในการปิดเวบไซท์ที่จดทะเบียนหรือใช้โดเมนเนม ในสหรัฐ ( US Base Domain Name ) ได้ทั้งหมด และทั้งหมดนี้ก็เป็นผลมาจาก "Operation Wikileaks" ที่ถูก Set Up ขึ้นมาจากมือที่มองไม่เห็นในระดับโลก เพราะฉะนั้นการเปิดเผยข้อมูลใดๆ ได้โดยเสรี หรือ Free Speech ทางอินเตอร์เน็ตคงใกล้ที่จะสิ้นสุดแล้วล่ะครับ


    และถ้าข้อมูลเหล่านี้ไม่มีการ "แฉ" ออกมาจากฝั่งสหรัฐ ทั่วโลกก็คงจะยากที่เจ้าเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ เวบไซท์ข่าวใต้ดินที่เราอ่านๆกันอยู่ ทั้ง Beforeitnews, Pakalert หรือ Steve Quayle ที่ "ตี" พวกเครือข่าย NWO โดยตรงก็อาจจะอยู่ได้อีกไม่นาน คงต้องรีบอ่านรีบทำความเข้าใจในเรื่องต่างๆเหล่านี้ครับ


    ***ละครฉากนี้มีทั้งการถูกบุกค้น แถมถูกรวบตัวโดยตำรวจ เนียนไม๊ล่ะครับ แต่ตอนนี้กลับปล่อยให้ออกมาทำงานต่อ ลองนำไปเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ 911 สิครับ เป็นวิธีเดียวกัน เพียงแต่การโจมตีครั้งนี้ทำผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ก็เลยต้องจัดการอินเตอร์เน็ตมันซะเลย(แต่แอบแฝงพ่วงอย่างอื่นเข้าไปด้วย) ถ้าอยากจะรู้ว่าทำไมต้องไปไล่ปิดเวบข่าวใต้ดินเหล่านี้ก็ต้องดูลิ๊งค์ข้อมูลนี้ครับ ขืนไม่ปิดล่ะก็โดนเค้ารู้ทันจนหมดแน่นอน.......


    Faces of Evil that Rule the World....By Beforeitsnews


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/-OJ7sXLBWv4?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x402061&color2=0x9461ca width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    Note : ในช่วงกลางๆของลิ๊งค์จะมีชายหนุ่มอยู่คนหนึ่ง ทำความรู้จักไว้นะครับ คือ Nathaniel Rothschild หรือก็คือผู้นำในเจนเนอเรชั่นล่าสุดแห่งเครืองข่าย Rothschild ซึ่งถูกคาดหมายว่าจะขึ้นมาเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดอีกคนใน "โลกใบใหญ่" ที่น้อยคนจะรู้ว่ามีอยู่จริงครับ...



    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1


    โพสต์โดย What's going on in America โพสต์เมื่อ <A class=timestamp-link title="permanent link" href="http://jimmysiri.blogspot.com/2010/12/operation-wikileaks_21.html" rel=bookmark><ABBR class=published title=2010-12-21T10:28:00+07:00>10:28 ก่อนเที่ยง</ABBR> 0 comments [​IMG] [​IMG]






    <SCRIPT type=text/javascript>if (window['tickAboveFold']) {window['tickAboveFold'](document.getElementById("latency-5243107732561907426")); } </SCRIPT>

    วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

    60 Minutes " State Budgets : The Day of Reckoning "


    สารคดี 60 Minutes ตอนนี้นำเสนอปัญหาหนี้สินและงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลท้องถิ่นในแต่ละมลรัฐของสหรัฐ ที่กำลังประสบปัญหาอย่างหนักในด้านการเงิน ที่ต้องไล่กู้ยืมเงินเพื่อมาจ่ายเงินเดือนเจ้าหน้าที่รัฐและเพื่อให้บริการสาธารณะยังคงเปิดให้บริการต่อไปได้ ดูเหมือนปัญหาในระดับท้องถิ่นก็ทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะครับ


    "You can't avoid it forever....it's here now"


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/nP3b0_fnPxQ?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x5d1719&color2=0xcd311b width=500 height=306 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1


    โพสต์โดย What's going on in America โพสต์เมื่อ <A class=timestamp-link title="permanent link" href="http://jimmysiri.blogspot.com/2010/12/60-minutes-state-budgets-day-of.html" rel=bookmark><ABBR class=published title=2010-12-20T22:05:00+07:00>10:05 หลังเที่ยง</ABBR> 1 comments [​IMG] [​IMG]






    <SCRIPT type=text/javascript>if (window['tickAboveFold']) {window['tickAboveFold'](document.getElementById("latency-1178783060434624860")); } </SCRIPT>Phase II.......Part 5 of ( "การทำลายล้าง" และ "ความรอด" 1 )


    Disclaimer : สิ่งที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นข้อมูลที่ เป็น "ความเชื่อส่วนบุคคล" ครับ ซึ่งเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ความเชื่อ เศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ การเมือง และอริยธรรมของมนุษย์ ในการการศึกษาค้นคว้าของผู้เขียน ความคิดต่าง เห็นต่าง ขอให้เป็นดุลยพินิจของท่านผู้อ่านครับ.......

    ตั้งแต่เกิดวิกฤติการเศรษกิจของสหรัฐ เมื่อปลายปี 2008 เกิดการเปลี่ยนแปลงและส่งผลกระทบที่ผมจะเรียกว่า "Economic Shock Wave" หรือก็คือคลื่นพลังที่หยุดการเติบโตของเศรษฐกิจโลกอย่างฉับพลัน และฉุดให้โลกทั้งใบเข้าสู่บ่วงหนี้ ผ่านทางการประชุม G20 ภายใต้แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการ "อัดเงิน" หรือจะเรียกอย่างสวยหรูว่า การอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ ซึ่งประเทศน้อยใหญ่ก็น้อบรับไปปฏิบัติแต่โดยดี เพราะโครงสร้างและทิศทางเศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศในระบบทุนนิยมซึ่งไม่ต่างกันมาก



    ซึ่งเราลืมกันไปครับว่าประเทศน้อยใหญ่ทั่วโลกที่จะทำอย่างนั้นได้ ต้องทำด้วยการระดมกู้ยืมเงินจากนอกประเทศบ้างในประเทศบ้างเพื่ออัดเข้าสู่ระบบ แต่วิกฤติการครั้งนี้ต่างออกไป เพราะต้นตอของวิกฤติเกิดขึ้นกับประเทศใหญ่ๆในโลกตะวันตก โดยเฉพาะเป็นประเทศที่ไม่ได้ผูกระบบระบบการเงินของตัวเองไว้กับทองคำหรือสินทรัพย์ใดๆ นั่นก็คือ สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ซึ่งค่าเงินของประเทศดังกล่าวถูกผูกไว้กับ "ความเชื่อมั่น" ล้วนๆ ครับ ก็คือใช้ความเชื่อมั่นเหล่านี้เป็นทุนในการพิมพ์กระดาษเหล่านี้ออกมาเพื่อเป็น "เงินตรา" แล้วใช้หมุนเวียนในตลาด



    แต่ปัญหาก็คือ "สหรัฐ" ซึ่งมีฐานอำนาจโดยมีเงินดอลล่าซึ่งเป็นเงินสกุลกลางและสกุลหลักของโลก ที่ถูกเก็บเป็นเงินคงคลังของรัฐบาลต่างๆทั่วโลก มาตลอดเกือบ 40 ปี และเชื่อมโยงระบบการค้าโลกทั้งหมดเข้าด้วยกันด้วย "เงินดอลล่า" บนความเชื่อที่เปรียบเงินดอลล่าได้กับทองคำ แต่ทั้งหมดก็ยังอยู่บนความเชื่อมั่นอยู่ดีครับ แต่.....



    ถ้าเมื่อไหร่ที่ "ความเชื่อมั่น" ในเงินดอลล่า "สิ้นสลาย" ลง ก็เท่ากับเงินดอลล่าเหล่านั้นจะกลายเป็นกระดาษในพริบตา เรามาดูสถานการณ์ที่ประกอบกันขึ้นเป็นความเชื่อมั่นต่อเงินสกุลนี้ครับ ว่าอยู่ในสภาพไหนแล้ว



    1.เป็นลูกหนี้รายใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีหนี้โดยรวมของประเทศหรือ Outstanding Debt อยู่ที่ 13.989 Trillion หรือคิดเป็น 90% ของ GDP และจะแตะ 14 Trillion ในเดือนมกราคมของปี 2011



    2.เป็นหนี้ที่เกิดจากงบประมาณหรือภาระผูกพันธ์ต่อคนอเมริกันผ่านทางโครงการ Welfare ต่างๆ หรือที่เรียกว่า Unfunded Liability ของรัฐบาล อีกอย่างน้อย 75 Trillion ที่จะต้องจ่ายออกอย่างต่อเนื่องในอนาคต ให้กับผู้ใช้สิทธิ์ที่รัฐบาลเกิบเงินเข้ากองทุนไว้แล้ว



    3.สภาวะการว่างงาน U6 ที่พุ่งขึ้นสูงแตะระดับ 17% และสูงถึง 22-25% ในบางรัฐ



    4.อันเนื่องมาจากการ Outsourcing หรือการย้ายฐานการผลิตไปที่ประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ ทีมีค่าแรงงานที่ถูกกว่า ทำให้ประเทศเหล่านั้นกลายเป็น Emerging Market หรือประเทศเศรษฐกิจใหม่ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีราคาถูกกว่า แต่สิ่งนี้กลับเป็นผลสะท้อนกลับไปที่ตลาดแรงงานของสหรัฐอย่างรุนแรงเช่นกัน จนคำว่า "Made in USA" แทบจะหาไม่ได้บนชั้นสินค้าที่วางขายอยู่ในสหรัฐ



    5. ตัวเลขของคนอเมริกันที่กำลังฝากท้องไว้กับโปรแกรมคูปองอาหาร หรือ Food Stamp ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องแตะที่ละดับ 42 ล้านคน หรือ 1 ใน 7 ของคนอเมริกันฝากชีวิตไว้กับโปรแกรม Food Stamp นี้



    6.Extend Unemployment Benefit หรือการขยายเงินชดเชยการว่างงานเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 2 ปี ให้กับผู้ใช้สิทธิ์เรียกร้องเงินส่วนนี้ ซึ่งสิ้นสุดระยะเวลาของเงินชดเชยลงแล้ว จาก 99 สัปดาห์ หรือที่เรียกกันว่า "กลุ่ม 99ers" (ไนตี้ไนเนอร์) และมีที่ท่าว่าคองเกรสจะตัดลดเงินส่วนนี้ในที่สุด



    7.Poverty Line หรือเส้นแบ่งระดับความยากจนของสหรัฐลดต่ำลงเรื่อยๆ แต่ฐานกลับกว้างขึ้นเรื่อยๆ ก็คือคนอเมริกันเข้าสู่ภาวะยากจนเพิ่มมากขึ้น



    8.สถาบันการเงินที่ล้มไปแล้วกว่า 300 แห่ง และมีอีก 920 แห่ง(อย่างไม่เป็นทางการ)ที่กำลังเข้าสู่สภาวะล้มละลาย


    9.ราคาอสังหาริมทรัพย์เฉลี่ยที่ปรับตัวลงไปแล้วกว่า 50 % และยังคงปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องเพราะดีมานด์ที่ขาดหายไปในตลาด เนื่องจากปัญหาการว่างงานที่พุ่งขึ้นสูง



    10.อัตราการฟ้องยึดบ้านและที่อยู่อาศัยพุ่งขึ้นสูงสุดต่อเนื่องติดกันในรอบหลายสิบปี


    11.การล้มละลายของ Commercial Real Estate Lender หรือสถาบันการเงินขนาดยักษื ที่ปล่อยกู้ให้กลุ่มค้าปลีกหรือห้างสรรพสินค้าต่างๆ ที่จะเป็นปัญหาใหญ่มากต่อภาคธนาคาร ที่ยังถูกซุกไว้ใต้พรมมาจนถึงวันนี้



    12.รัฐที่ล้มเหลว หรือรัฐต่างๆ ที่เข้าสู่สภาวะล้มละลายในทางงบประมาณแล้ว 10-12 รัฐ และอีก 40 รัฐที่กำลังประสบปัญหาเดียวกันในระดับความรุนแรงที่ต่างกันไป


    13.ฟองสบู่ตลาดหุ่นสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นถึง 70% ในระยะเวลาเพียง 2 ปี ด้วยการ "Bailed Out" หรือเงินอุ้ม ที่มาจากฟากรัฐบาล โดยที่เงินดังกล่าวเกือบทั้งหมดยังคงติดค้างเป็น "กับดักสภาพคล่อง" อยู่ในสถาบันการเงินเหล่านั้น โดยไม่มีการปล่อยกู้ต่อลงมาสู่ตลาดด้วยความกังวลปัญหาของหนี้เสียและการรักษาทุนสำรองเงินฝากของธนาคาร หรือ Tier ต่างๆ


    14.งบประมาณขาดดุลย์ของรัฐบาลสหรัฐที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากงบประมาณรายจ่ายต่างๆที่พุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการสงครามและการทหารซึ่งถูกใช้ไปแล้ว 60-65% ของงบประมาณรัฐบาลในภาพรวม


    15.ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐชนิด 10 และ 30 ปี พุ่งขึ้น โดยเฉพาะพันธบัตรชนิด 10 ปี พุ่งขึ้นสุงสุดในรอบ 20 ปี นับจากปี 1988 เป็นต้นมา อยู่ที่ระดับ 3.5xx


    16.บริษัทจัดอันดับเครดิตจ้องจะหั่นเครดิคเรตติ้งของสหรัฐลง เนื่องจากปัญหาหนี้สินที่กำลังจะพุ่งขึ้นสู่ระดับ 90% ของ GDP



    17.การทำ Quantitative Easing หรือการผ่องถ่ายเชิงปริมาณ หรือจะเรียกให้ตรงๆ เลยก็คือ การพิมพ์เงิน ออกมาใช้จ่ายนั่นแหละครับ และคงต้องทำอย่างต่อเนื่อง อีกไม่นานคงจะประมาณ เดือน 4-5 ของปี 2011 FED คงจะต้องเริ่มพูดถึงเรื่องนี้ หรือ QE3 นั่นเองครับ


    18.อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การปกปิดของรัฐบาลสหรัฐ และมีทิศทางที่จะนำไปสู่ Hyper Inflation หรือสภาวะเงินเฟ้อยิ่งยวด ที่อาจจะเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติจากปัจจัยหลายๆ อย่าง ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในปี 2012-2015 แต่ดูเหมือนอาจจะเร็วกว่านั้นครับ คือเริ่ม Kick In หรือเริ่มต้นประมาณไตรมาส 2 หรือ 3 ของปี 2011 เป็นอย่างเร็วครับ


    ทั้งหมดนี้เป็น Under Lying Diseases หรือเชื้อร้ายที่กัดกินสหรัฐอเมริกาอยู่ในขณะนี้ คำถามคือ "ความเชื่อมั่น" ของเงินดอลล่าสหรัฐอยู่ที่ตรงไหน แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป


    ในทางลึก การทหารและกฏหมายรองรับทุกอย่างถูกเตรียมไว้เรียบร้อยทั้งหมดแล้วครับ เพื่อรองรับการ Collapse หรือการล้มของเศรษฐกิจสหรัฐ และเงินดอลล่า นักเศรษฐศาสตร์ นักการเงิน นักวิเคราะห์ หรือแม้แต่โบร๊คเกอร์ในตลาดโลหะมีค่า ที่ตรงไปมาคือไม่เอียงข้างหรือฝักไฝ่รัฐบาล จะพูดในลักษณะฟันธง ตรงกันว่า "Collapse is Imminent" หรือการ "ล้ม" คงจะหลีกเลี่ยงได้ยากครับ

    หลายๆ ท่านคงรู้จัก Jim Sinclair หรือ Mr.Gold ที่เรียกว่าเป็นเซียนมือเก๋าคนหนึ่งในตลาด Precious Metal ของสหรัฐ ทุกวันนี้ไม่ว่าแกจะเดินทางไปไหน แกจะต้องพก "เหรียญทองคำ" ติดตัวไว้ไม่ต่ำกว่า 20 เหรียญ โดยแกให้เหตุผล โดยแกคิดว่า "Flash Collapse" หรือการล้มตัวแบบฉับพลันของสหรัฐจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วเงินกระดาษบัตรเครดิตทุกอย่างก็จะหยุดทำงานในทันที ซึ่งผมอ่านแล้วก็คิดในใจว่า แกเป็นขนาดนั้นเลยหรือ แต่ในความเป็นจริงแกน่ะ "ถูก" ครับ คนยิ่งรู้มากก็ยิ่งกลัวยิ่งระวังมาก ซึ่งถ้าผมอยู่ในสหรัฐตอนนี้ ก็คงนึกภาพตัวเองไม่ออกครับ ว่าจะต้องเตรียมอะไรขนาดไหน เพราะคนที่อยู่วงในที่มีข้อมูลลึกๆเค้าเตรียมสำรองอาหารและน้ำดื่มไว้อย่างน้อย 6 เดือน เตรียมทุกอย่างในลักษณะ HIGH ALERT กันแล้วครับ จึงจะฝากไปถึงเพื่อนๆผู้อ่านในสหรัฐ แคนาดาและกลุ่มสหภาพยุโรปครับว่า



    ******* PREPARE NOW *******


    ถ้าท่านยังอยู่ในสหรัฐในตอนนี้อาจจะสังเกตุเห็นการเคลื่อนกำลังทางทหารในลักษณะที่ไม่เคยมีมาก่อนเกิดขึ้นทั่วสหรัฐครับ โดยเฉพาะการขนย้ายยุทโธปกรณ์หรืออาวุธต่างๆ ด้วยรถไฟ ซึ่งปกติ โดยรัฐธรรมนูญสหรัฐ ทหาร หรือ Military แทบจะไม่สิทธิ์เหยียบ American Soil หรือแผ่นดินตัวเอง เพราะต้องทำสงครามนอกบ้านกันหมด แต่ครั้งนี้ต่างออกไปครับ



    ตั้งแต่ออกจากสหรัฐผมพยายามศึกษาและเก็บข้อมูล Sequence หรือลำดับเวลาของการ "ล้ม" ของเศรษฐกิจสหรัฐ ว่าจะออกมาในรูปแบบไหน โดยการอ้างอิง 18 ข้อข้างต้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาเท่านั้นครับ ซึ่งเกือบทุกประเด็นเชื่อมต่อกันหมด จะแตะตรงไหนก่อนที่เหลือก็จะตามไปในลักษณะโดมิโน่ได้ไม่ยากเลย


    ผมเชื่อว่า การศึกษา Sequence ของการล้มมันคุ้มค่าต่อการทุ่มเวลาหรือการลงทุนครับ เพราะมันจะเป็นวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ของโลก แต่ในทางกลับกันมันจะเป็นโอกาสของคนหลายๆ คนที่มองเห็น ก็คือผมกำลังรอที่จะพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสอยู่นั่นเองครับ คือยอมรับว่ามันเป็นเรื่องที่ใหญ่และตื่นเต้นมาก ถ้าคุณต่อทุกอย่างจนติดแล้วจะเข้าใจครับ และผมเชื่อว่าคงมีอีกหลายๆ คนที่คิดเหมือนกัน สำหรับผมตอนนี้ก็พร้อมในระดับหนึ่งครับ เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่เรื่องของการทำมาหากินหรือความโลภแล้ว เพราะไม่เช่นนั้นผมคงเก็บไว้คนเดียว ไม่ต้องมาแบ่งปันนั่งพิมพ์เพื่อบอกเล่าเรื่องเหล่านี้เพื่อเตือนผู้คนอีกมากมายครับ และทุกอย่างคุณก็ได้เห็นกับตาตัวเองเกือบทั้งหมดแล้ว เพราะฉะนั้นเชื่อตัวคุณเองเถอะครับ ไม่ต้องเชื่อใครหรืออะไรที่ดูน่าเชื่อถือ เชื่อการศึกษาค้นคว้าของตัวคุณเอง


    โดย Sequence ต่างๆ ที่คุณพัฒนาขึ้นมามันจะเป็นสัญญานเตือนภัยให้กับคุณครับว่าเมื่อไหร่จะต้องทำอะไร และที่ไหน ต้องดูอะไรเป็นสัญญาน ก็ไม่ต่างอะไรจากสัญญานเตือนภัยซึนามิ แต่วันนี้ไม่มีใครมีครับ เพราะทุกคนต้องทำเอาเอง



    ถ้าใครที่ฟังสัมนาเรื่องภัยภิบัติเมื่อวานนี้ เรื่องนี้ก็ไม่ต่างไปจากเรื่อง "ซึนามิ" ของอาจารย์สมิธ ธรรมสโรชครับ แต่ลูกนี้ "เงาดำทมิฬ" มารออยู่ที่ปลายขอบฟ้าแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาคิดครับว่ามันจะเกิดหรือไม่เกิด ถ้าลงมือตอนนี้ยังเตรียมตัวยังเก็บข้าวของทัน ถึงเวลาก็วิ่งหรือจะลุยก็ได้เลยครับ หรือจะรอดูให้ชัดอีกหน่อยก็ไม่ว่ากัน เมื่อวันก่อนผมเข้าไปดูข้อมูลเวบหุ้นเวบหนึ่งครับ ก็มีการนำบทความของผมบางส่วนไปลง และมีอยู่ความเห็นนึงน่าสนใจครับ คือเค้าบอกว่า



    "โอ๊ย มันจะล้มได้ยังไง ทั้งยูโร ทั้งดอลล่า เพราะเป็นเงินคงคลังของรัฐบาลทั่วโลกทั้งหมด ถ้าล้มก็ล้มกันหมดทั่วโลก มันไม่เกิดขึ้นหรอก ต้นเรื่องคงจะสติเฟื่องไปเอง".....555555 อันหลังนี่ผมหัวเราะเองครับ


    นี่แหละครับคนเราก็เป็นอย่างนี้ ผมก็เลยเขียนลึกลงไปในรายละเอียดอีกซักหน่อย เพราะเสียดายครับ เพราะถ้าคุณเรียกตัวเองว่าเป็นนักลงทุนแต่คุณไม่รู้ข้อมูลเหล่านี้ แต่กลับคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก แล้วยังเล่นหุ้นอีก ก็คือคุณกำลัง "เล่นกับไฟ" ครับ ซึ่งตอนแรกผมก็เข้าใจว่าจะมีแต่คนอเมริกันเท่านั้นที่คิดอย่างนี้ ถ้าเกิดขึ้นแล้ว รับรองว่าคงเหนื่อยหนักครับ.......

    The Gold War Phase II.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>.<WBR></WBR>by Jimmy Siri บน Facebook
    http://www.facebook.com/<WBR></WBR>home.php?sk=group_17040824<WBR></WBR>6326805&ap=1



    โพสต์โดย What's going on in America

    Dec 20 2010, 9:17 AM
    JimmySiri: คลิปวีดีโอที่ผมโพสต์ไว้ 2 ตอนนี้เป็นการสัมภาษณ์ Harvey Organ ครับเป็นเรื่องทองคำและเงิ<WBR>นล้วนๆ สำคัญมากครับ คนนี้ "<WBR>เก่ง"<WBR> ครับแล้ว ขนาดที่คณะกรรมาธิการของสภ<WBR>าคองเกรสต้องเชิญไปให้ความ<WBR>เห็นในเรื่องการปั่นตลาด เค้าอธิบายว่ากำลังเกิดอะไ<WBR>รขึ้นที่ Comex แล้วจะเกิดอะไรขึ้นอีกเรื่<WBR>องใหญ่ๆทั้งนั้นครับ ผมเองยังต้องฟังซ้ำแล้วซ้ำ<WBR>อีกเพื่อจะได้ไม่พลาดบางปร<WBR>ะเด็น ถ้าซื้อขายทองคำอยู่อย่าพล<WBR>าดครับ โดยเฉพาะคำว่า Hyperinflationary Depression ที่เค้ามั่นใจว่าจะเกิดขึ้<WBR>นทั่วโลก

    ....."The Gold War phase II" by Jimmy Siri
     
  6. ForeverYoung

    ForeverYoung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +135
    เอาโพสของคุณ Nexttonothing แห่งเวป thaigold มาฝากครับ

    สำหรับท่านที่ต้องการข้อมูลอย่างครอบคลุม กรุณาเคาะไปยังลิ้งค์เพิ่มเติมได้เลยครับ


    ผมขอย้ำอีกครั้งนะครับว่าผมเพียงต้องการให้ท่านสามารถรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างค่อนข้างแน่นอนในอนาคตอันไม่ไกล(อย่างช้าไม่เกินสองปีครับอย่างเร็วไม่เกินหกเดือน)
    ผมไม่แนะนำให้ท่านลงทุนในทองกระดาษนะครับเพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นทองกระดาษก็แทบจะไม่เหลือค่าเช่นเดียวกับเงินกระดาษ
    และไม่ต้องการให้ท่านลงทุนในทองคำเพียงเพื่อซื้อขายเพื่อให้ได้กำไรระยะสั้น แต่สิ่งที่ผมนำมาบอกก็เพื่อให้ท่านถือทองคำแท่งหรือรูปพรรณไว้ กอดไว้แน่น ๆ ไม่ใช่เพื่อความมั่งคั่ง แต่เพื่อความมั่นคงครับ

    โพสต์ <abbr class="published" title="2010-10-29T05:39:18+00:00">29 October 2010 - 12:39</abbr>

    <abbr class="published" title="2010-10-29T05:39:18+00:00"></abbr>
    <abbr class="published" title="2010-10-29T05:39:18+00:00">
    </abbr>
    [​IMG]

    สวัสดีครับ :]

    ต่อไปก็ขอประจำอยู่ที่กระทู้นี้เลยนะครับ หลังจากแว่บไปแว่บมาซะนาน ผมเองอยู่ในวงการทองคำมาตั้งแต่เด็ก แต่ในช่วงหลังๆ
    ตลาดทองคำผันผวนและเปลี่ยนแปลงไปไวมาก ทุกวันที่ติดตามตลาดก็จะ คุย MSN กับ Mr.Bullish(กูรูทางเทคนิค)ตลอด นานเป็นปีเลยครับ
    จนคิดได้ว่า ที่เราคุยๆ กันหากนำเสนอออกไป พูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเพื่อนๆนักลงทุนทองคำในวงกว้างน่าจะมีประโยชน์กว่า
    เพื่อนสมาชิกคนไหนมีความคิดเห็นเหมือนกันต่างกัน ยินดีพูดคุยแชร์ความคิดเห็นกันนะครับ จะเป็นเกียรติมากครับที่เข้ามาเยี่ยมชมและโพสข้อความต่างๆในกระทู้นี้



    ใช้ชื่อกระทู้ว่า โอกาส"ทอง" จริงๆ เพราะว่า คำว่าโอกาสทอง ถูกแอบอ้างนำไปใช้กับอย่างอื่นมากมายครับเช่น
    พอหุ้นราคาถูก ก็บอกว่านี่ "คือโอกาสทองในการช้อนหุ้น" (จริงๆมันน่าจะเรียกว่าคือโอกาส"หุ้น" มากกว่า) [​IMG]
    พอเจอที่ดินแปลงสวยๆเสนอขายในราคาถูกก็บอกว่า ต้องซื้อ!! เพราะนี่คือโอกาสทอง ??

    พอกันทีครับ.....

    ทองคำ ถึงเวลาที่เป็น โอกาสของ"ตัวมันเอง"บ้างแล้วครับ
    ผมขอบอกเลยครับว่าตลาดทองคำที่เราอยู่ในช่วงเวลานี้ คือ โอกาส"ทองคำ" อย่างแท้จริงครับ และนี่เป็นโอกาสการลงทุนเพียงครั้งเดียวในชั่วชีวิต ของพวกเรา
    หากคุณเคยพลาด โอกาสการลงทุนหลายๆครั้งในชีวิต
    ผมขอบอกคุณอีกว่า "ความเสียดาย" ที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่คุณพลาดโอกาสเหล่านั้นไป เอามารวมกัน ยังไม่เท่ากับความเสียดายที่จะเกิดขึ้น
    หากคุณพลาดโอกาสทอง(จริงๆ)ครั้งนี้เพียงครั้งเดียว !

    ทำไม?? แน่นอนครับว่างานนี้ต้องคุยกันยาว

    ขอยกประโยคของ
    MIKE MALONEY (ผู้เชียวชาญทางด้านการลงทุนใน Gold and Silver กูรูผู้นี้อยู่ในทีมงานของ ROBERT KIYOSAKI ผู้แต่งหนังสือซีรีย์สุดฮิตพ่อรวยสอนลูก)
    กล่าวว่านี่คือ "The biggest financial opportunity in history" (โอกาสทางการเงินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์)

    ถึงขนาดนั้น ??

    ก่อนอื่นขอจูนกันก่อนนะครับ [​IMG]

    มีคำอยู่สองคำที่สัมพันธ์ เชื่อมโยงกันคือคำว่า “ความจริง” กับ คำว่า “ความคิด” ความจริงคือข้อมูล ที่เป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นตัวเลข เป็นเอกสาร เป็นกราฟ ฯลฯ ที่พิสูจน์แล้วว่ามันเป็น “ความจริง” ส่วนความคิดคือความรู้สึก ความเห็นของพวกเรา ภาพที่เราเห็น ข้อมูลที่เราได้รับ แต่ละคนได้รับความจริง สิ่งเดียวกัน แต่ ความคิดเห็นต่อข้อมูลเหล่านั้น ต่างกัน…

    เป็นสิ่งที่ง่ายมากครับที่ผมจะนำเสนอ “ความจริง” นำกราฟ นำตัวเลข นำเอกสารอ้างอิงทางวิชาการ มายื่นให้
    แต่ เป็นสิ่งที่ยากมาก ที่จะเปลี่ยน “ความคิด” ของคนคนนึง แม้ข้อมูลที่นำเสนอจะเป็น ความจริง ก็ตาม… เพราะว่า

    [​IMG] คุณอาจจะคิดว่า ข้อมูลพวกนี้ ต่อให้จริง แต่ไม่น่าสนใจ น่าเบื่อ

    [​IMG] คุณอาจจะคิดว่า ข้อมูลพวกนี้ ไม่มีประโยชน์ และ ไม่เกี่ยวข้องกับคุณ

    [​IMG] คุณอาจจะคิดว่า ข้อมูลพวกนี้ เป็นเท็จ

    [​IMG] ฯลฯ

    เหล่านี้ เป็นสิ่งที่ปิดกั้นโอกาสของคุณ เป้าหมายของผมคือพยายามนำเสนอความจริง เพื่อเปลี่ยนความคิด และ มุมมองต่อโลกการเงินของคุณ (ถ้าคุณจะอนุญาติ) แม้ว่าจะยาก
    แต่ผมจะพยายาม ผมจะพยายามชี้ให้เห็นว่า ข้อมูลที่แท้จริงเหล่านี้ เกี่ยวข้องกับคุณและยัง ชี้ให้คุณเห็นและได้ใช้ประโยชน์จากโอกาสทอง(จริงๆ)ในครั้งนี้…

    ARTICLE 1 : QE2 กำลังจะมา
    ARTICLE 2 : DOW VS. SET
    ARTICLE 3 : เงินคืออะไร ? What's money
    ARTICLE 4 : เงินคืออะไร ? What's money (ต่อ)
    ARTICLE 5 : ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว "เงิน" คืออะไร? What is real money
    ARTICLE 6 : ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว "เงิน" คืออะไร? What is real money (ต่อ)
    ARTICLE 7 : คิวอี หรือ คิวอั๊ว ?
    ARTICLE 8 : กับแกล้ม(Starter Dish)
    ARTICLE 9 : โอกาส"ทอง" จริงๆ ครั้งที่ 1 (The First Golden Opportunity)
    ARTICLE 10 : ขอเคลียร์ (Clarify)
    ARTICLE 11 : หลังจากนั้น......(Then)
    ARTICLE 12 : บททดสอบที่1 (Exercise 1)
    ARTICLE 13 : เงินเฟ้อ คืออะไร? "What is Inflation?"
    ARTICLE 14 : ที่เก็บ(Deposit Box)
    ARTICLE 15 : บี๊ป บี๊ป Beep Beep
    ARTICLE 16 : เหตุผลที่ทองลง
    ARTICLE 17 : สิบปี (TEN)
    ARTICLE 18 : อภิมหา "เงินเฟ้อ" (Hyperinflation)
    ARTICLE 19 : ว่ากันด้วยเหตุผล (The Reason)
    ARTICLE 20 : แอปเปิ้ล VS ส้ม (Apple versus Orange)
    ARTICLE 21 : โอกาส"ทอง" (จริงๆ) : ปรับตามอัตราเงินเฟ้อ (Inflation adjust).
    ARTICLE 22 : โอกาส"ทอง" (จริงๆ) : Dow/Gold Ratio
    ARTICLE 23 : โอกาส "ทอง" (จริงๆ) : ปริมาณเงิน (Monetary Base)
    ARTICLE 24 : โครงการสู่ดวงจันทร์ (Go to the moon)
    ARTICLE 25 : หน้าไมค์ (On the air)
    ARTICLE 26 : ระบบ Gold money
    ARTICLE 27 : สหรัฐอเมริกา (United States)
    ARTICLE 28 : แขกรับเชิญ : จิม ซินแคลร์ (Jim Sinclair)

    ปล.ถ้ามีคำถามสงสัยก็เข้าไปถามคุณเน็กซ์โดยตรงที่เวป thaigold ได้ครับ
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

    "Operation Wikileaks" ปฏิบัติการป่วนโลก.......Bank of America


    <OBJECT id=flashObj style="CLEAR: right; FLOAT: right" codeBase=http://download.macromedia.com/pub/shockwave/cabs/flash/swflash.cab#version=9,0,47,0 height=225 width=300 classid=clsid:D27CDB6E-AE6D-11cf-96B8-444553540000>
























    <embed src="http://c.brightcove.com/services/viewer/federated_f9?isVid=1&isUI=1" bgcolor="#FFFFFF" flashVars="videoId=697852824001&playerID=673439667001&playerKey=AQ~~,AAAAAEBQhPI~,35stD8-Ka9GKFxZcCQe95tSFjP99jVtJ&domain=embed&dynamicStreaming=true" base="http://admin.brightcove.com" name="flashObj" width="300" height="225" seamlesstabbing="false" type="application/x-shockwave-flash" allowFullScreen="true" allowScriptAccess="always" swLiveConnect="true" pluginspage="http://www.macromedia.com/shockwave/download/index.cgi?P1_Prod_Version=ShockwaveFlash"></embed></OBJECT>เพียงแค่กระแสข่าวของวิกีลีคที่ประกาศจะปล่อยข้อมูลออกมาเกี่ยวกับธนาคารใหญ่ของสหรัฐ ที่คาดการณ์กันว่าน่าจะเป็น Bank of America (BAC) ส่งผลให้ราคาหุ้นของของธนาคารดังกล่าวร่วงลงไป 3.5% แตะที่ระดับ 52 weeks low ด้วยมูลค่าหุ้นที่หายไปถึง 4,000,000,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (4 Billion) เข้าไปแล้วครับ


    โพสต์โดย What's going on in America โพสต์เมื่อ <A class=timestamp-link title="permanent link" href="http://jimmysiri.blogspot.com/2010/12/operation-wikileaks-bank-of-america.html" rel=bookmark><ABBR class=published title=2010-12-21T12:48:00+07:00>12:48 หลังเที่ยง</ABBR> 0 comments [​IMG] [​IMG]






    <SCRIPT type=text/javascript>if (window['tickAboveFold']) {window['tickAboveFold'](document.getElementById("latency-5082419738084260259")); } </SCRIPT>Reviews ล่าสุดโดย Porter Stansberry /// Stansberry Research


    The End of America - 19th December 2010


    How to survive the inevitable collapse of the United States' credit...

    The INTERNATIONAL MONETARY FUND estimates the 20 largest industrial nations (known as the G20) are on course to see their combined government debt exceed 100% of their combined GDP within three years, write Porter Stansberry and Braden Copeland at Daily Wealth.

    Debts of this size simply cannot be financed, let alone repaid. The first step in this great unraveling is underway – the collapse of the Euro.


    Back in March 2010, I wrote:
    "Like dominoes, the highly indebted economies of Europe are going to topple. Greece was first. But plenty more problems are coming. Italy has no way to meet its obligations. Nor do Portugal or Spain...

    "Events over the past two weeks in Greece should give you plenty of warning governments all over the world have too much debt.

    "What will the US do when a major European financial institution fails? If the resulting contagion causes one of America's major banks to fail, what will the US government do?

    "The answer, my friends, is simple: It will print, print, print, and print. Here's the important fact to remember...
    "The United States is the only government in the world that can actually afford to underwrite the world's banking system. That's not because we have any real savings, but because we control the world's reserve currency. It's a paper standard, which means we can always print more of it."​
    The US announced exactly that last month, setting up an enormous $1 trillion bailout fund for the Euro via the IMF and beginning a new round of quantative easing – this time $600 billion of new Dollar reserves will be injected into the US Treasury market.

    Despite the enormous buying of Treasurys by the Fed, long-term Treasury bond rates have soared on these announcements. Investors have begun to flee the US Dollar into all other forms of savings:
    • Coal and oil are trading at two-year highs;
    • Corn, soybeans, wheat, cotton, and sugar are trading at multiyear highs;
    • Gold and copper are trading at record highs;
    • Silver is trading at a 30-year high;
    • Even long-depressed natural gas is now rallying.
    This list sums up the arguments and warnings we've been giving for years. We are not going to have a crisis. We are in a crisis right now.

    What's the best way to protect yourself?


    Well, if you had done nothing this year but buy real money (gold) and short US Treasury bonds, you would be sitting on a significant profit.


    Gold is up about 23% in the last year. The TLT Treasury bond fund is flat. It was keeping pace...right up until the US Federal Reserve announced its latest slug of quantitative easing...all $800 billion of it.


    The credit of the US, which backs every bankrupt government in the western world, must soon collapse. Our ongoing debts and deficits are too big to be financed in sound money. Thus, the Fed is turning on the printing presses, and they will be running for a long time.


    The time to act is now.


    It's critical you orient your investments so you're long real money and real assets and short bad credits – starting with the US government. Buy the things people need – food, energy, and money. Sell things that are vastly encumbered – especially the stocks of corporations that are deeply in debt.


    As you look through your portfolio, the first thing you ought to consider adding is silver. Silver is the best hedge against paper money for one simple reason: When it's not used as money, there's very little demand for it. When it is used as money, there's a tremendous demand for it.

    I expect gold will continue to move higher, too...much higher. If you wanted to put the US Dollar on a 10% gold-reserve standard, the price of gold would have to reach nearly $10,000 an ounce to back all the outstanding money of zero maturity. Assuming gold reaches this price, the price of silver at its full monetary value (at a 15:1 ratio to gold) would be around $650 an ounce.

    I know these prices seem ludicrous today...but those numbers are real.

    Remember, we're a long way from the end of this crisis. Most people don't even own any gold or silver yet. So now is the best time to hedge your portfolio...before the rest of the world realizes a massive inflation is underway.


    Porter Stansberry, 19 Dec '10

    โพสต์โดย What's going on in America
     
  8. พลอยรุ้ง

    พลอยรุ้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +2,088
    ขอบคุณทั้งคุณ k.kwan และคุณ ForeverYoung มากๆเลยค่ะ({) ที่ทำให้ได้เปิดโลกทัศน์ในอีกมุมหนึ่ง และตอนนี้ก็ได้กลายเป็นแฟนประจำของ blog k.Jimmy และ อาจารย์ Nexttonothing ไปด้วยค่ะ:cool: ซึ่งทั้งสอง ก็เป็นแหล่งข้อมูลที่ยอดเยี่ยมมากๆค่ะ เป็นผู้มีความรู้ มีวิสัยทัศน์ด้านการเงิน ช่วยเปิดความคิดของเรา ให้มองไกลขึ้นอีกค่ะ (จากลูกอ๊อด เป็นกบนอกกะลา อิ อิ^-^^-^)
     
  9. ForeverYoung

    ForeverYoung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +135
    ยินดีครับคุณพลอยรุ้ง ถือว่าแลกเปลี่ยนทัศนะกันครับ


    เม้นท์นี้เหมือนเฉลยเลยครับ ว่าการ END GAME ถูกกำหนดด้วยการเปิดเผยเรื่องทองคำเก๊นี้ครับ

    จับตาดูกันให้ดีครับ หาทางป้องกันให้กับตัวคุณและครอบครัวให้ดีครับ

    รู้ตอนนี้ยังพอรับมือทันครับ ใครมีวิธีการรับมือดี ๆ อย่าลืมบอกกันบ้างนะครับ ถือว่าแชร์กัน
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ผวาอเมริกาล้มละลาย! สะพัดรัฐบาลต่างชาติถอนทองคำกลับประเทศ!

    [​IMG]

    ธนาคาร กลางสหรัฐฯสาขานิวยอร์กหรือ New York Fed (The Federal Reserve Bank of New York) ซึ่งเป็นผู้เก็บรักษาทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลกออกมากล่าวว่า เฟดสาขานิวยอร์กมีทองคำแท่งที่มากฝากเอาไว้น้อยลงกว่าที่ผ่านมาไปบ้าง ฉายภาพให้เห็นถึงส่วนหนึ่งของความเคลื่อนไหวที่มักจะไม่เปิดเผยตัวของะนาคา รกลางต่างๆในตลาดทองคำ

    ธนาคารกลางต่างๆมีส่วนช่วยดันราคาทองคำพุ่ง ทำสถิติสูงสุดตลอดกาลในแง่ของราคาที่เป็นตัวเงินที่ไม่ได้คำนึงถึงเงินเฟ้อ ด้วยการกลับมาเป็นผู้ซื้อสุทธิในตลาดเป็นครั้งแรกในรอบ 21 ปี อย่างไรก็ตามการค้าทองคำของธนาคารกลางมักจะถูกปิดเป็นความลับอยู่เสมอ เช่นเดียวกับข้อมูลในเรื่ีองของสถานที่ที่เก็บทองคำสำรองเอาไว้

    เฟด สาขานิวยอร์กได้ทบทวนจำนวนประเทศที่เก็บทองคำสำรองไว้ที่แบงก์ชาติสหรัฐฯใน นิวยอร์กนี้ลดลงจากเดิมไปกว่า 40% เหลือเพียงแค่ 36 ประเทศเท่านั้น จากเอกสารล่าสุดในปี 2004ซึ่งระบุว่ามีธนาคารกลาง 60 ประเทศฝากทองคำสำรองไว้ที่เฟดสาขานิวยอร์ก

    การทบทวนตัวเลขนี้ถือว่า มีนัยสำคัญมากเพราะ ตู้เซฟตู้ประวัติศาสตร์ของเฟดนิวยอร์กซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้ชั้นหินอันแน่นหนา ของเกาะแมนแฮตตันที่ใช้เก็บรักษาทองคำนี้ถือว่าเป็นโกดังเก็บทองคำที่ใหญ่ ที่สุดในโลกด้วยมูลค่าของทองคำที่เก็บรักษาไว้กว่า 290,000 ล้านดอลลาร์ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่ามีรัฐบาลประเทศไหนบ้างที่เก็บทองคำไว้ที่นี่ แต่ละตู้จะมีทองคำจำนวนมากดังนั้นแล้วผู้ที่มาเยี่ยมชมจะไม่สามารถบอกได้ว่า ทองคำแท่งไหนเป็นของรัฐบาลใด

    อย่างไรก็ตามเฟดนิวยอร์กกล่าวว่า การปรับตัวเลขในครั้งนี้เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงวิธีการนับจำนวนประเทศที่ ใช้บริการของแบงก์ชาติสหรัฐฯในการเก็บรักษาทองคำสำรอง ตัวเลขที่สหรัฐฯอ้างก่อนหน้านี้ว่ามี "ประมาณ 60 ประเทศ" นั้นหมายถึงจำนวนของธนาคารกลางต่างประเทศซึ่งมีบัญชีกับเฟดนิวยอร์กซึ่งนั่น รวมถึงธนาคารกลางซึ่งไม่ได้เก็บทองคำไว้ที่เฟดนิวยอร์กแล้วด้วย

    เฟดนิวยอร์กกล่าวอีกว่า ตัวเลข 36 นั้นหมายความถึงแค่ธนาคารกลางต่างประเทศที่เก็บทองคำสำรองที่นิวยอร์กจริงๆเท่านั้น

    "ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตัวเลขจำนวนบัญชีที่เก็บทองคำไว้ที่นิวยอร์กไว้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา" โฆษกเฟดนิวยอร์กแถลง

    มี เอกสารอยู่เพียง 2 ฉบับเท่านั้นที่ระบุถึงข้อมูลเกี่ยวกับทองคำสำรองที่เฟดสาขานิวยอร์กนั่นคือ แผ่นพับหรือโบรชัวร์ของธนาคารกลางสหรัฐฯสาขานิวยอร์กเกี่ยวกับทองคำสำรองที่ เก็บไว้ใต้ดินซึ่งมี 2 เวอร์ชั่นด้วยกันได้แก่ เวอร์ชั่นปี 2004 และ 2008 โดยเอกสารดังกล่าวนี้ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์เฟดนิวยอร์กนั้น มีชื่อว่า "The Key to the Gold Vault"

    โดยแผ่นพับฉบับปี 2004 ระบุว่า "ทองคำที่คุณเห็นในตู้เซฟของเฟดสาขานิวยอร์กนี้ ... เป็นของรัฐบาลและธนาคารกลางและองค์กรการเงินระหว่างประเทศประมาณ 60 ประเทศ" อย่างไรก็ตามเฟดนิวยอร์กก็ไม่เคยมีการอธิบายก่อนหน้านี้ว่า จำนวนเหล่านี้รวมถึงบัญชีของผู้ที่ไม่ได้เก็บทองคำไว้กับแบงก์ชาติสหรัฐฯ แล้ว

    แต่หลังจากหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์ติดต่อไปยังเฟดเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างเอกสารทั้ง 2 ฉบับนี้ ก็ปรากฏว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯได้ถอนเอาเอกสารแผ่นพับที่สามารถดาวน์โหลดได้นี้ออกจากเว็บไซต์ของเฟดนิวยอร์กแล้ว

    เฟด นิวยอร์กยังกล่าวเสริมอีกว่า ตู้เซฟใต้ดินนี้เก็บทองคำไว้ทั้งสิ้น 226 ล้านออนซ์ช่วงกลางปี 2004 ไม่ใช่ 266 ล้านออนซ์อย่างที่เอกสารฉบับก่อนหน้านี้กล่าวอ้าง

    ตู้เซฟใต้ดินนี้ เปิดให้บริการในปี 1924 เป็นที่เก็บรักษาทองคำสำรองของรัฐบาลและธนาคารกลางต่างๆคิดเป็นเกือบ 1 ใน 4 ของทองคำสำรองทั้งโลก ขณะที่แหล่งเก็บรักษาทองคำสำรองที่สำคัญที่อื่นนอกเหนือจากสหรัฐฯก็คือที่ ธนาคารกลางอังกฤษในลอนดอนและธนาคารเพื่อการชำระเงินระหว่างประเทศหรือ BIS (Bank for International Settlement) ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์

    ตลาด ทองคำยังคงอยู่ในภาวะมืดมัวเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางและหน่วยงา นอื่นๆของรัฐบาลในตลาดทองคำเนื่องจากผู้ซื้อและผู้ขายรายใหญ่บางรายไม่ได้ เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อขายบ่อยนัก

    อย่างซาอุดิอาระเบียในปี นี้ได้กล่าวว่า ทองคำสำรองพุ่งขึ้นเกือบเท่าตัว โดยทางธนาคารกลางซาอุดิอาระเบียอธิบายในงบการเงินประจำไตรมาสว่า การเพิ่มขึ้นของทองคำสำรองเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงทางบัญชีเท่านั้น ขณะที่ก่อนหน้านี้จีนได้ทำให้ตลาดประหลาดใจเมื่อทางกาารจีนออกมาเปิดเผยว่า ทองคำสำรองได้พุ่งขึ้นเกือบเท่าตัวโดยไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม

    นัก ลงทุนกำลังจับตามองการซื้อขายทองคำของธนาคารกลางเนื่องจากภาครัฐน่าจะมีการ ซื้อสุทธิทองคำจำนวน 15 ตันในปีนี้ จากการคาดการณ์ของจีเอฟเอ็มเอส บริษัทที่ปรึกษาด้านโลหะมีค่า ซึ่งถือเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาซึ่งโดยเฉลี่ย แล้วธนาคารกลางมักจะเป็นผู้ขายสุทธิทองคำมากกว่า 400 ตันต่อปี

    อย่างไร ก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหน้านี้ก็เริ่มมีสัญญาณถึงความไม่มั่นใจของรัฐบาลต่างๆที่มีต่อการถือ เงินดอลลาร์ไว้ในทุนสำรองจำนวนมากและเริ่มที่จะพูดถึงการซื้อทองกันแล้ว ซึ่งนั่นน่าจะเป็นสัญญาณที่สอดคล้องกับความเป็นไปได้ที่รัฐบาลหลายๆประเทศ อาจเริ่มถอนทองคำออกจากสหรัฐฯแบบลับๆอยู่ โดยในเดือนกันยายนปีที่แล้ว มีกระแสข่าวว่าธนาคารกลางฮ่องกงได้ถอนเอาทองคำสำรองทั้งหมดออกจากลอนดอนมา เก็บไว้ที่คลังเก็บทองคำสำรองของแบงก์ชาติฮ่องกงเองใกล้กับสนามบินนานาชาติ เช็ก ลัป ก๊อก ขณะเดียวกันคลังเก็บทองคำใหม่นี้จะให้บริการในการเก็บรักษาทองคำให้กับ รัฐบาลต่างๆทั่วโลกด้วย จากแถลงการณ์ของธนาคารกลางฮ่องกงหรือ HKMA (Hong Kong Monetary Authority)

    ล่าสุดทาง Mtoday ได้ตรวจสอบข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคารกลางสหรัฐฯสาขานิวยอร์กแล้วพบว่า ลิ้งก์เชื่อมโยงไปยังข้อมูลแผ่นพับซึ่งเปิดเผยข้อมูลสถานะของทองคำสำรองที่ รัฐบาลต่างประเทศที่เข้าผ่านหน้า "New York Fed Services for Central Banks and International Institutions" ซึ่งอธิบายบริการของเฟดนิวยอร์กที่ให้กับรัฐบาลต่างประเทศนั้น ไม่สามารถเปิดหน้าเพื่อไปดุข้อมูลแผ่นพับได้จริงตามที่ FT กล่าวอ้าง โดยลิ้งก์แผ่นพับที่อยู่ในหน้านี้จะอยู่ใน New York Fed Services for Central Banks and International Institutions - Fedpoints - Federal Reserve Bank of New York

    อย่างไร ก็ตาม เมื่อทาง Mtoday ได้เข้าไปยังหน้าที่เกี่ยวกับรายละเอียดการเข้าเยี่ยมชมธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขานิวยอร์กหรือเฟดนิวยอร์กกลับพบว่า เอกสารแผ่นพับนั้นยังสามารถดาวน์โหลดได้อยู่ ซึ่งอาจแสดงให้เห็นถึงความรีบร้อนของเจ้าหน้าที่ผู้ดุแลเว็บของแบงก์ชาติ สหรัฐฯที่อาจตรวจสอบไม่ถี่ถ้วนดี โดยลิ้งก์หน้าเยียมชมหรือ Visiting สามารถเข้าผ่านทาง Visiting - Federal Reserve Bank of New York และเอกสารแผ่นพับที่มีให้ดาวน์โหลดไว้ชื่อ "The Key to the Gold Vault"

    ทั้งนี้ ข้อความในแผ่นพับได้ระบุชัดเจนถึงปริมาณทองคำล่าสุด ณ ปี 2008 ว่า ในช่วงต้นปี 2008 รัฐบาลต่างประเทศเก็บทองคำสำรองไว้กับเฟดราว 216 ล้านออนซ์ ซึ่งราคาปัจจุบันที่ประมาณ 1,300 ดอลลาร์จะมีมูลค่าที่ 280,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งน่าสังเกตว่าน้อยกว่า 226 ล้านออนซ์ตามที่เฟดนิวยอร์กแถลงตอบโต้ FT

    ที่มา Financial Times

    FT.com / Commodities - Chink of light shed on New York Fed gold

    ท่านสามารถอ่านรายละเอียดทั้งหมดของข่าวที่แบงก์ชาติฮ่องกถอนทองคำกลับประเทศได้ที่

    Hong Kong recalls gold reserves from London - MarketWatch

    ทั้งนี้เพื่อป้องกันการสูญหายของเอกสารโดยไม่ทราบสาเหตุ ท่านสามารถดาวน์โลหดแผ่นพับล่าสุดนี้ได้ที่เว็บไซต์ของเรา
    Muslim Today - ผวาอเมริกาล้มละลาย! สะพัดรัฐบาลต่างชาติถอนทองคำกลับประเทศ!
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]


    ฟื้นมาตรฐานทองคำ ทางออกย้อนยุค กู้วิกฤตค่าเงิน

    ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเสียงเรียกร้องอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินต่างๆ อ้างอิงกับทองคำ หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า ระบบมาตรฐานทองคำ (Gold Standard ในที่นี้จะเรียกว่า การอ้างอิงค่าเงินกับทองคำ) หลังจากที่ล่าสุด โรเบิร์ต โซลลิก ประธานธนาคารโลก เสนอแนะให้ประชาคมโลกหวนกลับมาใช้ระบบอ้างอิงทองคำอีกครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤตค่าเงินอันสืบเนื่องมาจากการอัดฉีดทุนของสหรัฐจนยังผล ให้ค่าเงินต่างๆ แข็งค่ากันอย่างถ้วนหน้า

    ก่อนหน้านี้ยังมีนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของโลกหลายรายที่เรียกร้องให้ระบบค่า เงินโลกหวนกลับไปใช้กลไกการอ้างอิงกับทองคำเช่นเดิม ตัวอย่างเช่น อลัน กรีนสแปน อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ก่อนหน้านี้เคยคัดค้านแนวคิดนี้ แต่แล้วหันมาสนับสนุนระบบอ้างอิงทองคำอย่างเต็มที่

    นอกจากนี้ยังมี จิม เบเกอร์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ในช่วงทศวรรษที่ 80 ซึ่งในช่วงเวลานั้น โรเบิร์ต โซลลิก เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกระทรวงการคลังสหรัฐ จึงไม่น่าประหลาดใจที่ประธานธนาคารโลกจะมีแนวคิดเดียวกับอดีตนายเก่า

    แต่แม้จะมีข้อเรียกร้องมานานกว่า 2 ทศวรรษ แต่ยังไม่มีเสียงตอบรับที่จริงจัง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเงินเหรียญสหรัฐยังผูกขาดความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อ เศรษฐกิจโลก ดังที่เรียกกันว่าเป็นภาวะ “เผด็จการ” หรือ “กุมอำนาจ” โดยเงินเหรียญสหรัฐ หรือ Dollar Hegemony

    อย่างไรก็ตาม การที่มีข้อเสนอให้สกุลเงินต่างๆ ของโลกกลับไปผูกค่ากับทองคำแทนเงินเหรียญสหรัฐ แสดงให้เห็นถึงความเสื่อมถอยของภาวะเผด็จการโดยเงินสกุลนี้

    และหมายความว่า ความน่าเชื่อถือต่อเงินกระดาษเริ่มเสื่อมถอยลงเช่นกัน

    สำหรับระบบค่าเงินอ้างอิงกับทองคำนั้น มีกลไกอยู่ที่การที่เงินสกุลหนึ่งๆ จะมีมูลค่าอิงกับปริมาณทองคำที่แน่นอน

    หากประเทศหนึ่งๆ ตรึงทองกับค่าเงินของตนโดยตรงจะเรียกว่า ระบบมาตรฐานทองคำ (Gold Standard)

    แต่หากกระทำผ่านการจัดการโดย กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ดังเช่นที่สหรัฐเคยตรึงค่าเงินของตนอยู่ที่ 35 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ จะเรียก ระบบมาตราปริวรรตทองคำ (Gold Exchange Standard)

    ระบบนี้ยุติไปแล้วตั้งแต่ปี 1971

    เมื่อพิจารณาข้อเสนอของ โซลลิก จะพบว่าแม้จะเปี่ยมไปด้วยความหวังดี แต่แฝงไว้ด้วยวาระซ่อนเร้นบางประการ

    เพราะนอกเหนือจากข้อเสนอให้กลับไปใช้ระบบอ้างอิงทองคำแล้ว ยังมีข้อเสนอที่เป็นเสมือนคู่ขนานกัน นั่นคือ การเสนอให้ประชาคมโลกระดมกำลังเพื่อจัดระเบียบการเงินโลกเสียใหม่

    ข้อเสนอนี้เรียกว่า Bretton Woods II หรือรอบ 2 ตามการประชุม Bretton Woods ครั้งแรก ซึ่งเป็นการยุติระบบอ้างอิงทองคำแล้วให้สกุลเงินต่างๆ ผูกติดกับเงินเหรียญสหรัฐ โดยที่เงินเหรียญสหรัฐจะอิงกับทองคำเพียงผู้เดียว หรือระบบมาตราปริวรรตทองคำภายใต้การบริหารจัดการโดย IMF

    การผุดแนวคิด Bretton Woods II เริ่มถี่ขึ้นระหว่างปี 2551-2553 นับตั้งแต่การหยอดแนวคิดนี้โดย ประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โกซี แห่งฝรั่งเศส เมื่อปี 2551 จนถึงการประชุม G20 เมื่อปี 2552 ซึ่งที่ประชุมมีข้อตกลงให้ประเทศที่ขาดดุลการค้าปรับค่าเงินให้อ่อนลง ส่วนประเทศที่ได้ดุลต้องปรับให้แข็งขึ้น

    โปรดสังเกตว่า มติของ G20 เอื้อประเทศตะวันตกอย่างชัดเจน เพราะเป็นฝ่ายที่ขาดดุล ที่ยิ่งชัดคือขณะนี้สหรัฐถูกมองว่ากำลังกดให้ค่าเงินของตัวเองอ่อนลงเพื่อ หวังผลด้านการส่งออก

    การกระทำเช่นนี้เรียกว่า Beggar thy Neighbor หรือกระตุ้นการส่งออกของตนด้วยการลดค่าเงิน บนความวอดวายของประเทศเพื่อนบ้าน

    แต่วาระที่ซ่อนเร้นยิ่งกว่าคือความพยายามรื้อฟื้นข้อตกลง Bretton Woods ภาค 2 เท่ากับเป็นความพยายามต่ออายุการกุมอำนาจของเงินเหรียญสหรัฐในระบบเศรษฐกิจ การเงินโลก

    กับข้อเสนอใช้มาตรฐานทองคำอ้างอิงค่าเงินนั้น ยังเป็นผลดีต่อประเทศที่มีทองคำสำรองเป็นจำนวนมาก ซึ่งย่อมไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นสหรัฐ ซึ่งมีทองคำสำรองสูงถึง 8,133.5 ตัน

    เข้าทาง Bretton Woods II เข้าอย่างจัง!

    เพราะแท้จริงแล้ว สหรัฐเป็นเพียงประเทศเดียวในโลกที่สามารถพิมพ์ธนบัตรได้เองโดยไม่ต้อง อ้างอิงทองคำสำรองของตน โดยใช้เพียงความเชื่อมั่นของทุกประเทศต่อเศรษฐกิจสหรัฐ แต่บัดนี้ความเชื่อมั่นนั้นได้เสื่อมถอยลงเสียแล้ว สหรัฐและพันธมิตร (เช่นยุโรปและธนาคารโลก) จึงไม่อาจเสนอระบบอ้างอิงทองคำเพียงอย่างเดียว จำต้องผลักดันให้เกิด Bretton Woods รอบ 2 เพื่อฟื้นฟูการผูกขาดที่แท้จริงให้กลับคืนมาสู่เงินเหรียญสหรัฐอีกครั้ง

    ปัญหาเชิงเทคนิคที่ซ่อนเร้นอีกประการคือ มูลค่าที่แท้จริงของค่าเงินและทองคำมักไม่ตรงกัน

    ปริมาณทองคำทั่วโลกอยู่ที่ราว 1.42 แสนตัน หากปัดราคาทองคำเฉลี่ยให้อยู่ที่ 1,000 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ จะพบว่า ราคาทองคำทั้งโลกจะอยู่ที่เพียง 4.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าปริมาณเงินหมุนเวียนในสหรัฐในปีหนึ่งๆ ด้วยซ้ำ เพราะอยู่ที่ราว 8.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

    วิธีแก้ปัญหาคือการปัดให้ราคาทองคำสูงขึ้นมาอย่างน้อยอยู่ที่ 2,000 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ เพื่อให้สอดคล้องกับมูลค่าและปริมาณเงินไหลเวียนที่แท้จริง

    แต่การทำเช่นนี้ จะยังผลให้ราคาทองคำสูงขึ้นรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ

    จึงไม่น่าแปลกใจที่คล้อยหลังเพียงวันเดียวที่ประธานธนาคารโลกแย้มข้อเสนอ ระบบอ้างอิงทองคำสำหรับอัตราแลกเปลี่ยน ปรากฏว่า มิใช่แต่ค่าเงินทั่วโลกจะไม่มีเสถียรภาพขึ้นมาเท่านั้น แต่ยังทำให้ราคาทองคำถีบตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์

    ทะลุหลัก 1,400 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ เป็นครั้งแรก!

    แม้จะมิใช่การกล่าวด้วยเจตนาแอบแฝงเพื่อหวังให้ราคาทองคำพุ่งขึ้น แต่นี่คือข้อเสียที่เห็นได้ชัดจากการใช้ระบบอ้างอิงทองคำ ที่โซลลิกสมควรตระหนัก

    นั่นคือ ราคาทองคำและปริมาณทองคำในวันนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเมื่อหลายทศวรรษ ก่อน กล่าวโดยสรุปก็คือ ทองคำมีความผันผวนอย่างน่ากลัว และรุนแรงยิ่งกว่าเงินเหรียญสหรัฐด้วยซ้ำ

    ที่สำคัญอีกประการคือ มูลค่าและปริมาณการค้าทั่วโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนปริมาณทองคำสำรองสำหรับอ้างอิงไม่อาจไล่ตามได้ทันอีกต่อไป

    สาเหตุที่ทำให้ระบบการเงินโลกที่วางไว้ในการประชุม Bretton Woods ครั้งแรก ต้องล่มสลายลงก็เนื่องมาจาก ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน แห่งสหรัฐ ยุติการตรึงเงินเหรียญสหรัฐกับทองคำเมื่อปี 1971 เนื่องจากปริมาณของทองคำไม่เพียงพอกับปริมาณการค้าโลก ยังผลให้เกิดภาวะเงินฝืดขึ้น

    นับแต่นั้นสหรัฐจึงพิมพ์ธนบัตรโดยอิงกับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาล สหรัฐ ที่บัดนี้ยังมีความน่าเชื่อถือสูง แต่เริ่มเสี่ยงที่จะแปรปรวนเช่นกัน ภายหลังการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบล่าสุด หรือที่เรียกกันว่า QE2

    นี่คือความซับซ้อนและความเสี่ยงของการใช้ระบบอ้างอิงทองคำ

    นอกเหนือจากนี้ การใช้ทองคำอ้างอิงอาจเผชิญกับกระแสคัดค้านอย่างรุนแรงจากประเทศมหาอำนาจทาง เศรษฐกิจของโลก ไม่ว่าจะด้วยความหวั่นเกรงว่า พันธบัตรสหรัฐที่ถืออยู่จะสูญสิ้นมูลค่า หรือเพราะกริ่งเกรงว่า สหรัฐและพันธมิตรจะมีวาระซ่อนเร้นในการพลิกฟื้นระบบมาตรฐานทองคำอีกครั้ง ก็ตาม

    ดีไม่ดี ความพยายามใช้ทองคำเพื่อแก้ปัญหาค่าเงินโลก อาจยิ่งเป็นการราดน้ำมันลงบนกองเพลิง ให้ลุกโหมยิ่งกว่าเดิม
    ฟื้นมาตรฐานทองคำ กู้วิกฤตค่าเงิน
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ทำไมประเทศสหรัฐอเมริกา สามารถพิมพ์ธนบัตรใช้เองได้โดยไม่ต้องใช้ทองคำสำรอง
    โดยคุณ space lord
    จะขอตอบจากความทรงจำเก่า
    ถือว่าอ่านเอา้ข้อมูลแบบทีเล่นทีจริง ชนิด เฮฮาปนสาระสไตล์ลุงหลอด ณ ท่อดูด ก็แล้วกัน
    ใครเคยรู้บ้างไหมว่าเมื่อครั้งแผ่นดินรัชกาลที่ 7 ลงไป เงินอเมริกันอ่อนค่ากว่าเงินบาท
    แต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริก้นผู้วางเฉยตอนต้นสงคราม กลับกลายเป็นสิงห์ลำพอง ตอนปลายสงคราม และเป็นผู้ปิดประตูตอกฝาโลงให้ฝ่าย อักษะ กลายเป็นพระเอก เสมือนเป็นผู้ชนะสงครามแต่เพียงผู้เดียว ประเทศอื่นๆ กลายเพียงหุ้นส่วนเล็กๆที่ ไม่มีเสียงเท่าไรนัก
    หลังหลังสงครามโลก2 อเมริกัน
    ได้สร้างกฎเกณฑ์บนเวทีโลกผ่าน สหประชาชาติ รวมทั้งด้านเศรษฐกิจ อเมริกันได้ผลักดันให้ ยูเอส ดอลล่า เป็นเงินตรากลางของโลก ทุกชาติจำเป็นต้องซื้อขายสินค้าในดลาดโลกโดยใช้ ยูเอส ดอลล่า ทำให้ง่ายต่อการซื้อขาย พูดกันแบบ ง่ายว่า ทำให้ซื้อง่ายขายคล่อง เมื่อโลกยอมรับ มันก็กลายเป็นเงินทุนสำรองได้ อเมริกัน เลยพิมพ์ออกมาเป็นการใหญ่ เพราะยังไง ก็ได้รับความเชื่อถือ
    ต่อมา อเมริกันได้เป็นผุ้นำในด้านอุตสาหกรรม บริโภคนำ้มันเป็นจำนวนมหาศาล อเมริกันก็ได้ทำข้อตกลงกับโอเปคว่า การซื้อขายน้ำมันในตลาดโลกต้องใช้เงินยูเอส ดอลล่า เท่านั้น ทำให้เงินอเมริกันติดลมบน และด้วยข้อตกลงนี้ ทำให้ประเทศต่างๆต้องสะสมยูเอส ดอลล่า กันเข้าไปใหญ่
    การพิมพ์แบงค์ของอเมริกาจึงพิมพ์ได้สนุกสนาน ประชากรอเมริกันก็สุรุ่ยสุร่าย อ้าว!ก็คุณพ่อพิมพ์แบงค์เองนี่นา
    ต่อมา ซัดดัมแห่งอิรัก ประกาศขายน้ำมันของตัวด้วยเงินยูโรเท่านั้น
    ปัจจุบันหลายประเทศก็หันไปใช้เงินสกุลอื่นซื้อน้ำมัน
    ประธานาธิบดี ซาเวส แห่งเวเนซุเอลลา ก็เริ่มท้าทายด้วยการไม่ขายน้ำมันให้กับผู้ซื้อที่ซื้อด้วยยูเอส ดอลล่า จนอเริกาอยากตื๊บซักเปรี้ยง แล้วเรียกว่าไอ้ประธานาธิบเลว
    แหะ แหะ ดีมานเริ่มตก คุณพ่อพิมพ์แบงค์แล้วไม่ค่อยจะได้ราคา
    ทำให้ปีที่แล้วอเมริกาขาดดุลบัญชีเดินสะพัด (current account deficit) $811 พันล้านเหรียญ - 8.11 ล้านล้านเหรียญ หรือ 6% ของจีดีพี ตัวเลขนี้ คือ รายจ่ายที่มากกว่ารายรับ
    การ ที่อเมริกาเป็นประเทศเดียวที่สามารถ ขาดดุลชำระเงินและขาดดุลการค้าได้มากขนาดนี้ หรือ เรียกว่า "การขึ้นรถฟรี (free rider)" ก็เพราะได้ใช้อิทธิพลทำข้อตกลงกับกลุ่มประเทศโอเปกเมื่อปี 1971ให้การซื้อขายน้ำมันโลกใช้เงินดอลลาร์เพียงสกุลเดียว
    อิหร่านเองเริ่มยุติการซื้อขายน้ำมันของตนจากเงินดอลลาร์มาเป็นเงินยูโรแทน เมื่อปี 2003 และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ค่าเงินดอลลาร์ก็ลดลงแล้วถึงร้อยละ 30 ในวันนี้ ตามหลักความต้องการซื้อ (demand) และความต้องการขาย (supply) เมื่อความต้องการซื้อลดลง ราคาของสิ่งนั้นก็ลดตามด้วย การเลิกใช้เงินดอลลาร์เป็นการคุกคามเศรษฐกิจอเมริกาอย่างยิ่งการ แก้เกมของอเมริกาคือ การปั่นราคาน้ำมันโลกให้สูงขึ้นเพื่อสร้างความต้องการซื้อดอลลาร์ให้อยู่ใน ระดับเดิม ทุกวันนี้ราคาน้ำมันจึงพุ่งทะยานขึ้นเกือบแตะ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลแล้ว ถ้า วิธีนี้ไม่ได้ผล อเมริกาอาจจะตัดสินใจ โจมตีอิหร่านเหมือนเช่นที่ทำกับอิรักด้วยเหตุผลเดียวกันคือ กำลังพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ โดยใช้ยุทธวิธี "โจมตีก่อนแล้วพิสูจน์ทีหลัง" (pre-emptive strike ) ตัวเลขในปี 2007 จีน ถือพันธบัตรอเมริกันไว้ทั้งสิ้น 396.7 พันล้านเหรียญ หรือเกือบๆ 4 แสนล้านเหรียญ ส่วนญี่ปุ่นเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ ที่สุดของอเมริกา คือ 582.2 พันล้านเหรียญ หรือเกือบ 6 แสนล้านเหรียญ ประเทศ ผู้ขายน้ำมันก็นำเงินดอลลาร์มาขาย ในตลาดเงิน - Foreign Exchange Markets (Forex) เช่น ที่ลอนดอน หรือนิวยอร์ก สิงคโปร์ ให้ประเทศที่ต้องการบริโภคน้ำมันซื้อไปเพื่อใช้ซื้อน้ำมันต่อไป เงินดอลลาร์จึงหมุนเวียนอยู่ภายนอกอเมริกาเป็นเช่นนี้มาหลายสิบปีติดต่อกัน มา แต่ วงจรนี้กำลังจะถูกทำให้สะดุด และอเมริกาจะยอมไม่ได้ เพราะว่าถ้าปล่อยให้มันเกิดขึ้น หนี้สินจำนวน 8.11 ล้านล้านเหรียญที่อเมริกา เป็นหนี้ชาวโลก ก็ต้องหามาจ่าย และอเมริกาก็ไม่มีเงินนี้จ่าย นอกจากจะต้องขายทรัพย์สิน หรือบริษัทไปสักครึ่งประเทศ
    อี้ยยย์เห็นป่าวว่ามันน่าหวาดเสียวแค่ไหนในการพิมแบงค์เอง
    หรือใครยังอยากจะโม้ว่ากินไปเลยเพื่อน พ่อตรูปั๊มแบงค์เอง ก็เอาเลยแหะๆ

    Yahoo! รู้รอบ - ทำไมประเทศสหรัฐอเมริกาสามารถพิมพ์ธนบัตรใช้เองได้โดยไม่ต้องใช้ทองคำสำรอง?
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สมุทัยของวิกฤตเศรษฐกิจ
    บทความโดยอาจารย์บรรจง บินกาซัน ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน
    [​IMG]
    การ พังทลายทางการเงินของวอลสตรีทใน ค.ศ. 1929 ทำให้โลกเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจและเกิดสงครามโลกครั้งที่สองติดตามมา ระหว่างสงครามโลก สหรัฐเป็นผู้จัดหาอาวุธยุทธภัณฑ์ให้แก่พันธมิตรของตน โดยไม่ยอมรับเงินสกุลใดนอกจากทองคำเท่านั้น

    ด้วยเหตุนี้ ในปี ค.ศ. 1945 ทองคำ 80% ของทั่วโลกจึงไปกองอยู่ที่กองคลังของสหรัฐ และเงินดอลลาร์ของสหรัฐได้กลายเป็นสกุลเงินสำรองทั่วโลกโดยไม่มีใครปฏิเสธจน ประเทศต่างๆถือว่าดอลลาร์สหรัฐปลอดภัยกว่าทองคำเสียอีก

    สหรัฐอาศัย ความได้เปรียบจากสถานการณ์ดังกล่าวในทศวรรษต่อมาด้วยการพิมพ์ธนบัตรดอลลาร์ ออกมาอย่างเต็มที่ และส่งธนบัตรดอลลาร์จำนวนมหึมาออกไปทั่วโลก ด้วยการซื้อสินค้า ทำสงคราม จ้างทหารรับจ้าง สายลับและนักการเมืองทั่วโลก เนื่องจากเงินดอลลาร์ถูกพิมพ์ในสหรัฐเพื่อไปใช้ในต่างประเทศ สหรัฐจึงไม่เกิดภาวะเงินเฟ้อในประเทศ และยิ่งนับวันสหรัฐก็ใช้เงินดอลลาร์ในต่างประเทศมากขึ้น จนประเทศต่างๆทั่วโลกมีเงินสำรองเป็นดอลลาร์สหรัฐถึง 66%

    ใน ค.ศ. 1971 หลายประเทศพยายามจะขายเงินดอลลาร์ให้สหรัฐเพื่อแลกทองคำคืน แต่รัฐบาลสหรัฐไม่ยอมขายทองคำให้ เพราะสหรัฐพิมพ์เงินดอลลาร์ออกมาเกินทองคำสำรองและต่อมาก็ประกาศยกเลิก มาตรฐานทองคำหนุนหลังดอลลาร์ของตน นับแต่นั้นมาเงินดอลลาร์ก็เริ่มหมดความน่าเชื่อถือเพราะซื้อทองคำจากสหรัฐ ไม่ได้

    ดังนั้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่เงินดอลลาร์ สหรัฐจึงได้หาทางสร้างความยอมรับให้แก่ดอลลาร์ของตน ด้วยการบังคับให้ประเทศผู้ผลิตน้ำมัน (โอเปก) ซื้อขายน้ำมันด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐ ด้วยเหตุนี้โลกที่ต้องขับเคลื่อนด้วยน้ำมันจึงจำเป็นต้องใช้เงินดอลลาร์ สหรัฐซื้อขายน้ำมันต่อไป ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าดอลลาร์สหรัฐมีค่าที่แท้จริงเท่าใด

    เมื่อรู้ชะตา กรรมเสื่อมค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ใน ค.ศ. 1990 กลุ่มประเทศยุโรปจึงคิดหาทางเลิกใช้เงินดอลลาร์สหรัฐและหันมาใช้เงินยูโรของ ตนเองใน ค.ศ. 1999

    หลังจากมีการนำเงินยูโรออกมาใช้เพียงไม่กี่เดือน ซัดดัม ฮุสเซน ก็เปลี่ยนสกุลเงินในการซื้อขายน้ำมันจากดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินยูโรอย่างเดียว ซึ่งเป็นการขัดต่อข้อตกลงของโอเปก ขณะเดียวกัน อิหร่าน รัสเซีย เวเนซุเอลา และลิเบีย ก็เริ่มพูดกันถึงเรื่องการที่จะเปลี่ยนสกุลเงินในการซื้อขายน้ำมันเป็นยูโร เช่นกัน
    สหรัฐรู้ดีว่าแม้ตัวเองจะเป็นเจ้าของตลาดผูกขาดการซื้อขายน้ำมัน แต่ตนเองมิได้เป็นผู้ผลิต ถ้าไม่มีบ่อน้ำมันเป็นของตนเอง หรือหากผู้ผลิตน้ำมันไม่ยอมรับเงินดอลลาร์สหรัฐ เศรษฐกิจการเงินของสหรัฐก็ต้องได้รับความหายนะ

    แล้วในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 เครื่องบินสองลำก็พุ่งชนตึกแฝดที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในสหรัฐ เป็นเหตุให้รัฐบาลของนายจอร์จ บุช ประกาศทำสงครามต่อต้านการก่อการร้าย หลังเหตุการณ์ครั้งนั้นสหรัฐก็เริ่มเตรียมตัวทำสงคราม และกรณีตึกเวิลด์เทรดถูกโจมตีก็เป็นเหตุผลอย่างดีที่รัฐบาลสหรัฐนำไปใช้ เรียกร้องประชาชนให้สนับสนุนการทำสงครามของรัฐบาล ประเทศผลิตน้ำมันอื่นๆจึงเฝ้าดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น ในปี ค.ศ. 2000 อิรักเริ่มขายน้ำมันเป็นเงินยูโร ในปี 2002 อิรักเปลี่ยนปีโตรดอลลาร์ในคลังของตัวเองทั้งหมดเป็นยูโร หลังจากนั้นอีกสองสามเดือน สหรัฐก็เริ่มบุกอิรัก เมื่อยึดครองอิรักได้ การซื้อขายน้ำมันก็กลับมาใช้เงินดอลลาร์สหรัฐอีกครั้งหนึ่ง ดอลลาร์สหรัฐจึงพ้นปากเหวไปได้

    ในตอนต้นปี ค.ศ. 2003 นายฮูโก ชาเวซ ประธานาธิบดีแห่งเวเนซุเอลาได้พูดอย่างเปิดเผยว่า จะขายน้ำมันของตนครึ่งหนึ่งเป็นเงินยูโร (ส่วนอีกครึ่งหนึ่งจะขายเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ) ในวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 2003 ผู้นำธุรกิจที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐและนายทหารบางคนก็ได้ลักพาตัวนาย ชาเวซไปและพยายามจะทำรัฐประหาร แต่ประชาชนได้ลุกขึ้นมาประท้วงต่อต้านจนกองทัพยอมแพ้ การทำรัฐประหารต้องประสบความล้มเหลว นี่เป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับสหรัฐ

    แต่ เรื่องที่เลวร้ายที่สุดสำหรับดอลลาร์สหรัฐก็คือ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2008 อิหร่านได้จดทะเบียนเปิดตลาดซื้อขายน้ำมันของตัวเองขึ้นมามีชื่อเรียกย่อว่า IOB (Iran Oil Bourse) เพื่อเป็นแหล่งซื้อขายน้ำมันสำหรับทั่วโลกโดยจะไม่ใช้เงินดอลลาร์สหรัฐในการ ซื้อขาย แต่จะใช้เงินยูโรเป็นหลัก ซึ่งประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ ให้การสนับสนุนเต็มที่

    ขณะนี้น้ำมันของโลกแทบทั้งหมดถูกขายกันที่ ตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) หรือไม่ก็ที่ IPE (International Petroleum Exchange) ในลอนดอน ตลาดทั้งสองแห่งนี้เป็นของเอกชนสหรัฐและจะซื้อขายกันโดยเงินดอลลาร์เท่านั้น ความสำเร็จของตลาดค้าน้ำมันของอิหร่านเป็นเรื่องดีสำหรับยุโรปที่ซื้อน้ำมัน จากอิหร่านถึง 70% และเป็นเรื่องดีสำหรับรัสเซียที่ขายน้ำมัน 66% ของตนให้ยุโรป แต่มันกลับเป็นเรื่องเลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีกสำหรับสหรัฐ เพราะจีนและอินเดียได้แสดงความสนใจในตลาดค้าน้ำมันของอิหร่านด้วย
    ตอนนี้ปัญหาสำหรับประเทศต่างๆทั่วโลกก็คือ จะขจัดเงินดอลลาร์ออกไปจากคลังของตัวเองได้อย่างไรก่อนที่มันจะไร้ค่า?

    เพราะ การมีเงินดอลลาร์มากมายมหาศาล แต่ถ้าหากไม่เป็นที่ยอมรับ ธนบัตรดอลลาร์ก็ไม่ต่างอะไรไปจากเศษกระดาษ ก่อนหน้านี้สหรัฐเคยไปข่มขู่คุกคามประเทศต่างๆทั่วโลก แต่ตอนนี้เราคงได้มีโอกาสเห็นประเทศต่างๆปฏิเสธสหรัฐกันบ้าง

    สหรัฐ ไม่อาจยอมรับที่จะให้ดอลลาร์ของตัวเองอ่อนค่าลงได้ เพราะมันจะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐดิ่งเหวแล้วฉุดเอาประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะอังกฤษตกเหวไปด้วย

    ถ้ารัฐบาลสหรัฐจะกอบกู้เศรษฐกิจของตัวเอง สหรัฐก็จะต้องบังคับคนงานอเมริกันให้ทำงานเยี่ยงทาสและได้รับค่าจ้างน้อย กว่าคนงานจีนและอินเดีย ซึ่งเราก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะหากทำเช่นนั้น สหรัฐก็จะเกิดจลาจล บางทีอาจถึงขั้นปฏิวัติโดยคนงานก็ได้ สถานการณ์ของสหรัฐในตอนนี้หากมองไปแล้วก็ไม่ต่างไปจากการเอาสถานการณ์ใน เยอรมันหลังปี ค.ศ. 1929 มาฉายซ้ำ

    ทุกข์ที่เกิดเพราะรัฐบาลสหรัฐส่ง ผลทำให้ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยต้องพลอยทุกข์ไปด้วย เมื่อเห็นทุกข์ รู้สมุทัยแล้วไม่ดับทุกข์ก็คงจะต้องอมทุกข์ไปตลอดกาลล่ะครับ


     
  14. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,306
    โฮ++++ มาเป็นกุนซืออยู่ที่นี้เองเหรอ อาม่าคิดถึง นึกว่าหายไปไหน แวะมาหานะ
    รู้ว่าอยู่ดีมีสุข ก็ยิ้มหล่ะ ไปหล่ะน่ะ อาkwan ม่ามี้ของพลทหารเป็ดน้อย
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    แหะ แหะ อยู่ห้องเทพกรูรู้ น่าเบื่อง่ะ อาม่า อาเคคุยกะใครก็ไม่รู้เรื่อง ++"
    ไอ่เรามันพวก กรูไม่รู้ เลยคุยกะเขาไม่รู้เรื่อง ซักคน
    เลยมาหาเรื่องใส่ตัวแทน อ่านโน่นอ่านนี่ไปเรื่อย หาประสบการณ์ให้ชีวิต หุหุ
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    โอบามาทุ่มเงินกระตุ้นเศรษฐกิจหรือตอกฝาโลงให้ดอลลาร์
    โดยคุณปุ๊กลุ๊ก
    7 / 06 / 2009

    ช่วงที่ทองขึ้นแรงๆแล้วดอลลี่ร่วงเป็นใบไม้ มีคนหลายคนออกมาประโคมโหมข่าวว่าดอลล่าร์จะลงหลุมในวันนี้วันพรุ่งยังไม่เร็วขนาดนั้นหรอก แต่ว่าลงหลุมน่ะมันแน่อยู่แล้วในอนาคตถ้าโอบามาและรัฐบาลแต่ละรัฐไม่เปลี่ยนนโยบายด้านการเงินละก็ เงินกระดาษไม่ว่าเงินบาทเงินยูโรหรือเงินดอลมันมีแต่เสื่อมค่าลงทุกวัน อยู่ที่ว่าจะเสื่อมค่าเร็วขนาดไหน ตอนคุณทวดผมยังมีชีวิตอยู่ท่านเป็นครูสอนหนังสือโรงเรียนประถมที่บ้านนอก เงินเดือนท่านแค่เดือนละ 1 บาท แต่ถ้าเอา 1 บาทไปจ่ายตลาดที่หมู่บ้านจะซื้อของได้ทั้งตลาดเลย คนทุกวันนี้ได้เดือนละเป็นหมื่นยังไม่พอยาไส้ ตาทิมไกช์เนอร์ก็แบกตุ้มไปเมืองจีนเพื่อให้คำมั่นรับรองกับจีนว่าเมกาจะไม่เล่นสกปรก (สร้างภาวะเงินเฟ้อ) แต่นักศึกษาจีนฟังแล้วหัวเราะ เงินหยวนเองก็ยังไม่สามารถมาแทนที่ดอลล่าร์ได้เพราะทองคำสำรองของจีนยังห่างไกลจากเมกามากนัก (เอแต่ว่าทองที่ Fort Knox มันยังมีอยู่จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้เพราะไม่เคยมีการตรวจสอบโดยบุคคลที่สาม) ปี 2009 จีนรายงานว่ามีทอง 1,054 ตัน เมกามี 8,133.5 ตัน ส่วนสหภาพยุโรปรวมกัน 11,065 ตัน


    เมกาไม่มีทางและไม่มีความคิดที่จะจ่ายหนี้ที่กู้มาจากใครก็แล้วแต่ เมกาคิดอย่างเดียวคือทำให้เงินเฟ้อ เช่นเดียวกับ 1 บาทเมื่อ 50 ปีที่แล้วมีค่าหมื่นบาทในวันนี้ รัฐบาลเมกาตอนนี้พยายามทำตัวให้น่าเชื่อและทำตัวไม่มีความรับผิดชอบในคราวเดียวกัน ที่ทำตัวให้น่าเชื่อมีเป้าหมายก็คือกระตุ้นให้เชื่อว่าจะเกิดเงินเฟ้อ ทำให้คนเชื่อว่าเงินจะมีค่าลดลงเอาไปใช้จ่ายและลงทุนดีกว่า แต่ตอนนี้คนมีเงินไม่ยอมใช้จ่าย คนที่มีเครดิตดีไม่ยอมกู้ เศรษฐีมีเงินไม่ลงทุน (ยกเว้นเก็งกำไรตลาดหุ้น) คนมีเงินเอาเงินไปฝากไว้กับพันธบัตรระยะสั้นดอกเบี้ยแตะ 0% ก็ยอมเพราะกลัวขาดทุน ธุรกิจไม่ขยายกิจการแถมลดกำลังการผลิตและไล่คนออก ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้เศรษฐกิจไม่เดินเมื่อเงินไม่เปลี่ยนมือก็ทำให้อตัราไหลของเงินลดลงเกิดภาวะเงินฝืด ยิ่งเมกันตอนนี้รู้ว่าตัวเองมีหนี้สินล้นเกินอัตราออมทรัพย์ติดลบในหลายปีที่ผ่านมา แต่ตอนนี้เริ่มตื่นหันมาออมกันใหญ่ทำให้เงินออมพุ่งจาก -2% ในปี 2006 เป็น +4% ในต้นปี 2009 เมื่อเศรษฐกิจเมกันมี GDP จากการจับจ่ายใช้สอยสูงถึง 70% เงินที่ออมก็ทำให้ GDP ลดลงเป็นเงาตามตัว เมื่อเมกันไม่ซื้อจีนก็ขายของไม่ออกรัฐบาลจีนเลยหันมาปล่อยเงินกู้อย่างไขหมดก๊อกเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศมาทดแทนการส่งออก

    ทำตัวไม่มีความรับผิดชอบตรงที่โอบามาเองก็ออกมาประกาศ ว่างบประมาณจะขาดดุลนับล้านล้านเหรียญโดยจะกู้กะพิมพ์แบงค์ สรุปแล้วก็เกิดเงินเฟ้อแน่ๆ แต่ผลจากการใช้เงินอย่างเบี้ยกลับมีผลร้ายต่ออัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลระยะ 10 ปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ยตัวนี้เป็นตัวแปรในอัตราดอกเบี้ยเงินกู้บ้าน ตอนนี้หนี้สินรัฐบาลเมกันต่อ GDP อยู่ที่ 45% เทียบกับอังกฤษซึ่งอยู่ที่ 50% อีกไม่เกิน 2-3 ปี หนีสินเมกันจะกลายเป็น 100 % ของ GDP รายได้ของชาติ 5-6% ต้องไว้จ่ายดอกเบี้ยหรือไม่ก็กู้มาจ่ายดอก เป็นวงจรไปเรื่อยๆ เอาเถอะยังดีกว่าญี่ปุ่นที่รัฐมีหนี้ถึง 171% ของGDP ว่าแล้วก็อดออกนอกเรื่องอีกไม่ได้ ใครจะไปลงทุนที่ไหนก็ไปแต่ญี่ปุ่นเป็นสถานที่อโคจร ดูอย่างโตโยต้าขาดทุน $7.7 billion แย่ยิ่งกว่า GM ที่ขาดทุน $6 billion นอกจากนี้ตลาดแรงงานก็ย่ำแย่ 30% ของแรงงานทำงาน part-time ไม่มีบำนาญหรือประกันสุขภาพ แรงงานทั้งหมดราว 45 ล้าน มีถึง 10.3 ล้านที่มีรายได้ต่ำกว่า $21,000 ต่อปีซึ่งถือว่าเป็นคนจนบักโกรก สะท้อนถึงความต้องการบริโภคในประเทศต่ำ ส่งออกก็แย่เพราะญี่ปุ่นขายของให้เมกากะจีน แถมญี่ปุ่นค่าครองชีพสูงขนหัวลุก มี Professor จาก Tokyo University ทาบทามให้ผมไปเรียนเอกที่นั่นผมยังไม่เอา ขี้เกียจไปเรียญภาษาญี่ปุ่นด้วยแหละ มาเมกาดีกว่าอย่างน้อยก็ไม่ต้องไปเรียนภาษาอีก

    เมกาเองจะแซงฟองสบู่อสังหาในญี่ปุ่น Lost Decade ของญี่ปุ่นปี 1991-2000 ตอนนั้นรัฐบาลญี่ปุ่นลดดอกเบี้ยแทบไม่เหลืออะไร เงินเยนก็อ่อนปวกเปียก คนก็กู้เงินเยนดอกถูกไปลงทุนกันทั่วโลก แต่ประชาชนตาดำๆทั้งชาติสูญเสียดอกเบี้ยเงินฝากเกือบ $400 billion และมูลค่าอสังหาหดหายถึง $6.6 trillion ในเดือนมีนา 2009 มูลค่าบ้านโดยรวมในเมกาหายไปถึง $12.8 trillion จากมูลค่าสูงสุด $64.4 trillion เมื่อสิ้นปี 2007 เกือบเท่ามูลค่า GDP ในปี 2008 ซึ่งเป็น $14.2 trillion

    ตลาดแรงงานของเมกาก็ยังไม่ดีขึ้นแม้ว่าจำนวนคนตกงานครั้งแรกลดลงแต่จำนวนคนตกงานทั้งหมดเพิ่มขึ้นเป็น 9.4% จาก 8.9% แต่ถ้ารวมคนตกงานที่ไม่ได้หางาน คนจำยอมทำงานชั่วคราวเพราะหางานประจำไม่ได้ คนที่รับปันผลเพราะตกงานจนครบกำหนดเลยไม่โดนนับ ทำให้ยอดคนที่ไม่มีงานทำสูงถึง 16.4%

    คนเมกันทุก 1 ใน 10 คนหรือ 33.2 ล้านคน ใช้ Food stamps (คูปองซื้ออาหารแจกให้คนจนหรือคนตกงาน) โดยเฉลี่ยได้รับการช่วยเหลือคนละ $113.87 ต่อคนต่อเดือน เพื่อนบ้านของเพื่อนผมที่ชั้นเรียนเขาบอกว่าคนพวกนี้ไม่ทำอะไรออกลูกมากๆ แล้วขอคูปองนม ผ้าอ้อม อาหารต่างๆให้ลูก ตัวเองก็ได้กินไปด้วย บางทีก็เอาคูปองไปขายแลกเงินมาซื้อเหล้าบุหรี่ เงินรายได้ของเมกันโดยรวมในปีนี้ 16.2% เป็นเงินช่วยเหลือจากรัฐ ไม่ว่าจะเป็นเงินปันผลประกันสังคมยามเกษียณ คูปองอาหาร เงินประกันยามว่างงาน ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล นับเป็นยอดเงินสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ตั้งแต่มีการเริ่มเก็บข้อมูลในปี 1929

    ตอนนี้มรสุมสัพไพร์มก็ซาลงแล้ว มรสุม Alt-A Mortgages ที่เลวร้ายกว่า supprime เสียอีกกำลังจะซัดเข้าฝั่ง มูลค่ารวมของมันสูงถึง $2.4 Trillion ถ้าเบอนันกีไม่สามารถกดอัตราดอกเบี้ย TNX ให้ลดต่ำลงมารับรองมีสนุกกันอีกรอบโดยเฉพาะที่คาร์ลิฟอร์เนีย Option ARMs ซึ่งเป็นสินเชื่อเงินกู้ที่เสี่ยงและไร้ความรับผิดชอบที่สุดในสินเชื่อกู้บ้านทุกประเภท มีมูลค่าถึง $750 Billion 58% ของสินเชื่อประเภทนี้อยู่ในคาร์ลิฟอร์เนียและ 10% ในฟลอริด้า
    [​IMG]

    Goldhips Board ::
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2551
    อเมริกาจ๋อย (1) จากทุนนิยมล่ม



    อเมริกาเป็นยักษ์ใหญ่ของโลกมาหลายปีหลังจากโซเวียตล่มสลาย หลังจากจีนหันมาใช้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมบ้าง จีนก็เริ่มเข้ามาเทียบรัศมีอเมริกาแทนรัสเซีย


    อเมริกาต้นตำรับระบอบทุนนิยม มีนักคิดด้านทุนนิยมนับไม่ถ้วน ทุกประเทศในระบอบประชาธิปไตยล้วนแต่อยากเจริญแบบอเมริกา และถืออเมริกาเป็นต้นแบบ


    ในวิกฤติเศรษฐกิจไทยเมื่อปี40 ไทยได้มี IMF เข้ามาช่วยเหลือแต่ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของเขาอย่างค่อนข้างเคร่งครัด ซึ่งเขาก็เสนอนโยบายให้ไทยอย่าอุ้มสถาบันการเงินที่มีปัญหา ปล่อยให้เจ๊งไปตามกลไกตลาดที่ควรเป็น .
    แต่สุดท้ายเมื่อถึงคราวอเมริกาเกิดวิกฤติเศรษฐกิจกับตัวเองบ้างในปี2008 อเมริกากลับเข้าตำราที่ว่า "ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง" รัฐบาลกลางออกมาตรการเพื่อช่วยอุ้มสถาบันการเงินที่มีปัญหา แทนการปล่อยให้ล้มไปตามสภาพตลาด



    ภาวะการเกิดวิกฤติของอเมริกาในปี2008นี้นั้น ก็ไม่แตกต่างเท่าใดนักกับวิกฤติเศรษฐกิจ "ต้มยำกุ้ง"ของไทยเมื่อปี40 เพราะคนอเมริกันหันมาเก็งกำไรราคาอสังหาริมทรัพย์กันมาอย่างมาก แบบซื้อมาขายไป ซึ่งก็ไม่ต่างจากไทยเมื่อเริ่มมีการบูมของที่ดินและที่อยู่อาศัยในยุคชาติชาติ เรื่อยมาจนเกิดเป็นฟองสบู่ทางเศรษฐกิจ

    เมื่อความต้องการที่แท้จริงเริ่มลดลง ความต้องการแบบเก็งกำไรมากขึ้น การซื้อไม่เกิดจากการใช้ทุนทรัพย์ตัวเองมาซื้อ แต่ใช้การกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินต่างๆมาซื้อ แถมสถาบันการเงินก็ไม่มีวินัยในการให้กู้ กลับมีการเอิ้อเฟื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง ปั่นราคาสินทรัพย์ค้ำประกันเกินจริง กู้เงินเกินตัวเพราะหวังจะขายทำกำไรได้ก่อนใช้หนี้ สุดท้ายหายนะก็มาถึง

    คนอเมริกันก็เช่นเดียวกัน มีการกู้เงินเกินตัวเพื่อเก็งกำไรสินทรัพย์ แต่พอขายสินทรัพย์ไม่ออก หาเงินมาใช้หนี้สถาบันการเงินไมทัน ก็หันไปหาแหล่งเงินขนาดเล็กที่ไม่ได้มีมาตรฐานเท่าไหร่ ก็คล้ายคนไทยที่ชอบไปหาแหล่งเงินกู้นอกระบบ .
    สุดท้ายเมื่อความต้องการอสังหาริมทรัพย์แท้จริงหมดลง การลงทุนต่างๆในธุรกิจก่อสร้างก็เริ่มมีปัญหาหยุดชะงัก สร้างไม่เสร็จ แถมไม่มีคนซื้อคนผ่อน หนี้เสียเพิ่มมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจ
    .
    จึงทำให้ในที่สุด ก็เกิดการล่มสลายของสถาบันการเงินต่างๆมากมายเป็นแบบโดมิโน แต่ที่โด่งดังที่สุดก็คือ ธนาคารยักษ์ใหญ่อันดับ3ขอลโลกคือ "เลย์แมนบารเธอร์ลัมละลาย" ซึ่งเลย์แมนมีหุ้นอยู่ในธุรกิจทั่วโลกมากมาย โดยเฉพาะถือหุ้นในสถาบันการเงินทั่วโลก
    .
    อีกแห่งที่เป็นยักษ์ใหญ่ทางการเงินของอเมริกา คือ "กลุ่มเอไอจี" ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ บริษัทAIAประเทศไทย ก็เกิดปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างหนัก ธุรกิจขาดทุนย่อยยับ สร้างความสั่นสะเทือนถึงไทย

    ก่อนการเกิดการล่มสลายของเศรษฐกิจอเมริกา ก็มีภาวะการปั่นราคาน้ำมันในตลาดโลกเกิดขึ้น สร้างความเดือดร้อนให้กับคนทั่วโลก แต่เบื้องหลังการปั่นราคาน้ำมันนั้น และส่วนใหญ่ของการปั่นราคาน้ำมันก็น่าจะเกิดจากกลุ่มการเงินกองทุนต่างๆของอเมริกาเช่นกัน
    .
    กลุ่มทุนพวกนี้ได้เงินไปเป็นกอบเป็นกำ จากการเก็งกำไรราคาน้ำมัน แล้วก็เอาไปฝากในสถาบันการเงินต่างเป็นจำนวนมาก เมื่อสถาบันการเงินมีเงินสำรองในระบบมาก ก็ต้องปล่อยกู้ให้มากเพื่อสร้างผลกำไร จึงได้ปล่อยกู้ให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น สุดท้ายก็อย่างที่บอก ความต้องการแท้จริงสวนกลับความต้องการเก็งกำไร สุดท้ายหายนะก็กลับมาทำลายอเมริกาเอง
    .
    (แม้ราคาน้ำมันจะแพงมากขึ้นเท่าใด ก็ขายได้เพราะประเทศต่างๆทั่วโลกต่างมุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมมากขึ้น โดยเฉพาะจีนและอินเดีย2มหาอำนาจแห่งเอเซีย อย่างจีนก็กำลังเร่งสร้างสนามกีฬาโอลิมปิก ทำให้ทั้งน้ำมัน ทั้งเหล็กก่อสร้าง ฯลฯ ต่างก็ราคาพุงขึ้น ซึ่งก็ยิ่งเข้าทางพวกเก็งกำไรน้ำมัน)

    ก่อนหน้านี้เมือไม่กี่เดือนที่ผ่านมา IMF เอง ก็ตกภาวะขาดสภาพคล่องทางการเงิน ถึงกับต้องขายทองคำที่สำรองไว้ของตัวเอง

    บอร์ดบริหารกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ อนุมัติแผนการขายทองคำสำรอง จำนวน 403.3 ตัน หรือร้อยละ 12 ของปริมาณทองคำสำรองที่ไอเอ็มเอฟมีอยู่ ตามข้อเสนอเมื่อวันที่ 7 เมษายน ที่ผ่านมา เพื่อเสริมสภาพคล่องของแหล่งเงินทุนที่เหลือน้อยมาก
    .
    โดยมีสาเหตุมาจากโครงการปล่อยกู้ของไอเอ็มเอฟที่ทำให้เกิดหนี้สูญ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 12,670 ล้านบาท คาดว่าการขายทองคำในครั้งนี้จะทำเงินได้ประมาณ 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 352,000 ล้านบาท

    ทุกอย่างของปัญหาที่เกิดขึ้นจนสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้คนทั่วโลก ก็สืบเนื่องจากระบบทุนนิยมเก็งกำไร ไม่เอื้อเฟื้อแก่ผู้ด้อยกว่า แสวงหากำไรเกินควร การเก็งกำไรมีขึ้นในธุรกิจทุกอย่าง ทั้งการเก็งกำไรค่าเงิน เก็งกำไรราคาหุ้น เก็งกำไรราคาทอง เก็งกำไรราคาน้ำมัน เก็งกำไรราคาบ้านและที่ดิน

    สุดท้ายแม้แต่ราคาอาหาร ก็ได้รับผลจากการเก็งกำไรเหล่านั้นไปด้วย ระบบทุนนิยมเก็งกำไร ก็เปรียบเสมือน
    .
    ปลาเล็กกินปลาใหญ่ เมื่อปลาใหญ่ต่างรุมกินปลาเล็กกันแบบไม่หยุดยั้ง สุดท้ายปลาเล็กก็หมดหรือไม่พอให้ปลาใหญ่กิน
    .
    ท้ายที่สุด ไม่ว่าปลาใหญ่หรือปลาเล็ก ก็ล้วนกลับต้องถึงคราวลำบากหรือตายไปด้วยกันทั้วคู่ นี่แหล่ะสัจธรรม

    ทุกข์ทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะความเห็นแก่ตัว ไม่รู้จักพอนั่นเอง อมิตตาพุทธ !

    มุมมอง-ใหม่เมืองเอก: อเมริกาจ๋อย (1) จากทุนนิยมล่ม
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2551
    อเมริกาจ๋อย (2) เพราะไม่รู้จักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง



    Black Friday! Dow Falls Below 8,000 in Early Morning Trading

    [​IMG]Investors are clutching their stomachs as the Dow Jones Industrial Average fell hundreds of points this morning, momentarily diving below 8,000 (with a 600+ drop) to under 8,000. Right now (9:48 a.m.), it's down 262 points at 8,316 points (down 3%). Nasdaq is currently down 1.5% and the S&P 500 is down 2.7%.

    ต่อเนื่องจากบทความก่อน เรื่อง อเมริกาจ๋อย ทุนนิยมล่ม เมื่อวันก่อน พอดูข่าวเมื่อวันศุกร์ที่10ต.ค.ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกตกอย่างหนักที่เรียกกันว่า "black friday" โดมิโนจากอเมริกาล้มมาที่ยุโรป ลามมาเอเซีย นึกว่าจีนจะรอด ที่ไหนได้ จีนดันเอาเงินไปซื้อพันธบัตรของธนาคารอเมริกาเป็นเข่งๆ ทีนี้พอธนาคารอเมริกาพัง จีนเลยจะพังไปด้วย แต่โชคดีทุนสำรองของประเทศจีนยังเยอะ เลยแค่เจ็บตัวแบบเกือบสาหัส


    แต่ก็ไม่แน่ เพราะจีนดันมีนักธุรกิจมักง่ายแบบไม่ทิ้งนิสัยเดิมๆตามแบบพวกขุนนางกังฉิน ผลิตสินค้าแบบเอาแต่ได้ ไม่สนว่าใครจะตายก็ชั่งมัน สินค้าจีนก็เลยผลิตออกมาชุ่ยๆ หวาดหวั่นกันไปทั้งโลก


    ไอ้เราเคยได้ยินผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่าจีนจะกลายเป็นยักษ์ใหญ่แทนอเมริกา สงสัยคงต้องรอไปอีกหน่อยแล้ว เพราะคนทั้งโลกเขาก็ผวากับสินค้าจากจีนกันแบบขี้ขึ้นสมอง คงอีกนานกว่าจีนจะเรียกคะแนนนิยมกลับได้อีก


    จีนหลอกทั่วโลกได้ตั้งแต่นมเด็กยันปืนแก๊สน้ำตา?


    กลับมาที่อเมริกาล้มอีกครั้ง ผมเคยบอกไว้ที่บทความ อเมริกาจ๋อยฯ ไว้ว่า กรรมมันตามสนองอเมริกา เล่าให้ฟังแบบง่ายๆพอสรุปคือ


    1.บ.น้ำมันอเมริกาปั่นราคาน้ำมัน ได้เงินมามากก็เอาไปฝากธนาคารในอเมริกา


    2.ธนาคารอเมริกามีเงินฝากมากก็ต้องปล่อยกู้ให้มากเพื่อหาเงินมาจ่ายดอกเบี้ยเงินฝาก


    3.คนอเมริกากู้เงินง่าย ก็กู้กันใหญ่ ไปหนักเอาที่อสังหาริมทรัพย์ แล้วเริ่มเก็งกำไร ตามสันดานความโลภของมนุษย์


    4.กู้ง่าย ลงทุนง่าย ก็สร้างกันใหญ่ เกิดฟองสบู่ทางเศรษฐกิจ คนขายมีมากกว่าคนซื้อ สุดท้ายก็เจ๊ง


    ที่เล่ามาแบบย่อๆนะ ทีนี้ที่ยุโรปก็เริ่มล้มตาม หลายประเทศในยุโรปเห็นตัวอย่างอเมริกาล้ม รัฐบาลบางประเทศรีบกลับมาใช้นโยบายประกันเงินฝากของประชาชนเต็มร้อยในธนาคารต่างๆ กันประชาชนแตกตื่นแบบอเมริกา แล้วจะแห่กันมาถอนเงินกลับบ้านกัน (ขณะที่ไทยเรากำลังเริ่มมาตรการการลดการประกันเงินฝากประชาชนของรัฐบาลเป็นปีแรก)


    วิกฤติต้มยำกุ้งของไทย ได้สอนให้หลายๆคนรู้ว่า การโตแบบไม่พอเพียงมันทำให้ไม่มั่นคง นักธุรกิจคิดแต่จะเอากำไร อยากใหญ่ อยากขยาย เงินไม่พอก็กู้มาลงทุน อยากโตเร็ว สุดท้ายก็ตายเร็ว


    ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ก็สามารถนำมาปรับใช้กับแนวคิดแบบทุนนิยมได้ คือ


    เติบโตอย่างมั่นคง ไม่โตแบบก้าวกระโดด ไม่ค้ากำไรเกินควร เห็นใจคนอื่น เห็นใจคู่แข่ง ไม่เห็นแก่ตัว จริงใจกับลูกค้า พัฒนาคุณภาพ เอื้อเฟื้อเพื่อนมนุษย์ ใช้หลักคุณธรรมนำธุรกิจ เพียงเท่านี้รับรองจะไม่มีวิกฤติเศรษฐกิจเกิดขึ้นแน่ แต่ถึงจะมีผู้ใช้หลักความพอเพียงก็จะไม่เจ็บตัวมากเหมือนคนอื่น
    .
    นี่เป็นตัวอย่างที่เราควรศึกษาและระวัง เมื่อก่อนใครๆต่างก็เชื่อว่าระบบเอกชนนั้นดีเพราะทำกำไรได้ รัฐบาลนักเศรษฐศาสตร์ และนักธุรกิจส่วนใหญ่ เห็นเหมือนกันหมดว่าระบบราชการมันล้าหลัง มันไม่ทันสมัย มันต้องแปรรูป คือคิดอยากจะแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่มีกำไรอยู่แล้วหวังทำกำไร(กับประชาชน)
    .
    แต่ก็เห็นแต่แปรรูปธุรกิจที่เขาก็อยู่ของเขาได้อยู่แล้ว เขามีกำไรอยู่แล้วก็ยุให้เขาแปรรูปเพราะหวังกำไรที่มากขึ้น ไอ้ที่ขาดทุนก็ทำเป็นอยากแปรบังหน้า แต่ไม่ได้อยากแปรรรูปจริงหรอกเพราะมันขาดทุนอยู่ บอกแปรรูปแล้วรัฐวิสาหกิจจะอยู่ได้เองไม่ต้องพึ่งรัฐบาล
    ..
    คิดในทางสวยหรู แต่ลืมไปว่าหากมันขาดทุนล่ะ หากขาดทุนก็เท่ากับเอาเงินที่ประชาชนลงทุนไปทำเจ๊ง แต่ถ้าได้กำไร ประชาชนก้ไม่ได้รวยตามเขาไปด้วย จริงมะ

    .
    การบินไทยต้องทำการค้ากับต่างชาติเป็นหลัก เลยเจ๊งไม่เป็นท่า ส่วนปตท.ที่มันกำไร ก็เพราะมันผูกขาดน่ะสิ เล่นเป็นเจ้าของโรงกลั่นเพียงผู้เดียวในไทย ขายน้ำมันให้คู่แข่งเอง บีบคู่แข่งจนล้ม เช่น ปั๊มเจ็ท เป็นต้น แล้วก็ยึดเทคโอเวอร์กิจการเขามา ถ้าไม่กำไรก็กระบือแล้ว ที่
    สำคัญธุรกิจก็หากินหลักกับคนไทยไม่ได้ไปต่างประเทศเหมือนการบินไทย
    .
    เอ๊ะ! ผมออกนอกเรื่องไปหรือเปล่า เอาไว้ผมจะกลับมาเขียนเรื่องปตท.อีกทีแล้วกัน ถ้าอยากอ่านบทความเก่าเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจฯของผมที่ผ่านมา ก็ คลิกที่นี่ แล้วกัน
    ส่วนเรื่องอเมริกาก็ขอจบแต่เพียงแค่นี้ก่อนแล้วกันครับ ไว้มีโอกาสจะเขียนเรื่องนี้อีก

    มุมมอง-ใหม่เมืองเอก: อเมริกาจ๋อย (2) เพราะไม่รู้จักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    น้ำมัน-ทองคำ-ดอลลาร์

    15/06/2553

    วันสองวันก่อน…หน้าต่างประเทศ ไทยโพสต์ ได้ตีพิมพ์ข่าวชิ้นหนึ่ง ที่น่าคิด น่าสะกิดใจไม่น้อยทีเดียว นั่นก็คือ ข่าวคราวว่าด้วยกรณีสภาทองคำโลก (WGC) ออกมาระบุว่า ประเทศอภิมหาเศรษฐีน้ำมันอย่างซาอุดีอาระเบียได้พยายามเพิ่มจำนวนทองคำสำรองของประเทศ จากเดิมที่เคยมีอยู่ประมาณ 143 ตัน ขึ้นมาเป็น 323 ตัน หรือ เพิ่มพรวดพราดขึ้นมากว่าเท่าตัว…

    ความเคลื่อนไหวในการระดมหาซื้อทองคำมาเก็บกักเอาไว้ในคลังสำรองของประเทศต่างๆ ในช่วงระยะเมื่อไม่นานที่ผ่านมา ก็คงไม่ใช่มีแต่เฉพาะประเทศซาอุดีอาระเบียเท่านั้น แต่บรรดาประเทศ เศรษฐกิจใหม่ หลายต่อหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นจีน รัสเซีย อินเดีย บราซิล ฯลฯ ต่างก็ระดมหาซื้อทองคำมาเก็บกักไว้ภายในประเทศ จนกลายเป็นข่าวคราวปรากฏให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ โดยเฉพาะประเทศที่มาแรงแซงโค้ง มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างสุดแสนมหัศจอรอหันการันต์ยออย่างประเทศจีน…ว่ากันว่าความพยายามถือครองทองคำสำรองในประเทศพุ่งพรวดพราดขึ้นไปถึง 1,000 ตัน มากกว่าช่วงระยะที่เคยเป็นมาไม่รู้กี่เท่าตัว…
    —————————————————-
    แน่นอนว่า…ถ้าหากมองจากความเป็นไปทางเศรษฐกิจในช่วงระยะนี้ หรือ ในอนาคตข้างหน้าก็แล้วแต่ การที่ใครต่อใครไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือ เอกชน ต่างหันไปซื้อหาทองคำกันเป็นบ้าเป็นหลัง จนส่งผลทำให้ราคาทองคำพุ่งโด่เด่ ชนิดแทบไม่เกิดอาการหัวตกเอาเลยแม้แต่น้อย จากปลายปีที่แล้วราคาทองคำที่พุ่งทะลุ 1,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็ถือว่าออกัสซั่มกันไปแล้วไม่น้อย แต่ในช่วงกลางปีนี้…ว่ากันว่าราคาทองคำที่พุ่งทะลุ 1,240 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ไปเรียบร้อยแล้วนั้น อาจพุ่งเลยไปถึง 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ย่อมไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไรมากมาย ทั้งนี้ ทั้งนั้น…คงไม่มีอะไรมากไปกว่า ความไม่เชื่อมั่น ต่อระบบเศรษฐกิจของโลกทั้งโลกซึ่งต่างก็กำลังปั่นป่วน วุ่นวาย ไล่เรียงเป็นลูกระนาดตั้งแต่ยุโรปไปถึงสหรัฐอเมริกา…นั่นเอง…
    ————————————————-
    นอกเหนือไปจากวิกฤตการณ์หนี้สิน…ที่กำลังเขย่ายุโรปทั้งยุโรป ถึงขั้นส่งผลให้เสาหลักของกลุ่มสหภาพอียูอย่างเยอรมัน ต้องตัดสินใจประกาศแผนลดงบประมาณในตลอดช่วง 4 ปีข้างหน้า เป็นจำนวนถึง 80,000 ล้านยูโร หรือ กว่า 107,000 ล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยธนาคารกลางของสหรัฐต้องออกมาประกาศตรึงดอกเบี้ยเอาไว้ที่ 0-0.25 เปอร์เซนต์ ด้วยเหตุผลที่ว่าสถานะการเงินโลกและปัญหาวิกฤตการณ์หนี้สินในยุโรปไม่เอื้ออำนวยต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ…แต่สิ่งที่น่าคิด น่าสะกิดใจ ยิ่งไปกว่านั้น ก็คือว่า…ท่ามกลาง ความไม่เชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ อันเป็นตัวกระตุ้นให้ราคาทองคำเกิดอาการออกัสซั่มแบบพลั่กๆ มาโดยตลอด ยังมีข่าวคราวความเคลื่อนไหวบางอย่างที่ออกจะเกี่ยวพันกับการระดมหาซื้อทองคำ โดยเฉพาะในแง่ของรัฐบาลแต่ละประเทศ ไม่ว่าจะเป็นซาอุดีอาระเบีย จีน รัสเซีย อินเดีย บราซิล ดังที่ปรากฏเป็นข่าวออกมาเป็นระยะๆ….
    —————————————————
    ความเคลื่อนไหวบางอย่างที่ว่านี้…อันที่จริงได้เริ่มถูกจุดประกายให้เห็นเค้าลางมาตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมปี ค.ศ.2009 หรือ ตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้ว เมื่อผู้สื่อข่าวเฉพาะกิจของหนังสือพิมพ์ ดิ อินดีเพนเดนต์ แห่งอังกฤษในตะวันออกกลาง ชื่อว่า ด.ร.โรเบิร์ต ฟิสก์ ได้ตีพิมพ์เผยแพร่บทความชิ้นหนึ่งชื่อว่า The Demise Of The Dollar หรือ อวสานของเงินดอลลาร์ เปิดเผยถึงแผนการสมคบคิดระหว่างรัฐบาลของประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต กาตาร์ ที่จะร่วมมือกับประเทศเศรษฐกิจใหม่ อย่างจีน รัสเซีย อินเดีย บราซิล ตลอดไปจนถึงประเทศที่เป็นคู่กัดของสหรัฐอเมริกา อย่างอิหร่าน ลิเบีย หรือ เวเนซุเอลา ฯลฯ หาทางที่จะหยุดใช้เงินสกุลดอลลาร์เป็นหน่วยทางบัญชี (Unit of Account) ในการซื้อ-ขายน้ำมัน โดยจะหันไปใช้ระบบตะกร้าเงินอันมีทองคำสำรองของประเทศต่างๆ เป็นตัวหนุนหลัง!!!
    ——————————————————-
    แม้นว่าข่าวคราวที่ว่านี้…จะได้รับการปฏิเสธ (แบบอ้อมๆ แอ้มๆ) จากบรรดาผู้นำประเทศต่างๆ ที่ถูกโยงไปเกี่ยวข้อง แต่โดยข้อเท็จจริงของระบบเศรษฐกิจ การเงินโลก ที่นับวันมีแต่จะวิปริต ผันผวน มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ อันเป็นสิ่งที่สร้างผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย ทำให้ความเคลื่อนไหวของบรรดาประเทศเหล่านี้ออกจะสอดคล้องกับเรื่องราวว่าด้วยแผนการสมคบคิดที่ถูกจุดพลุขึ้นมาโดยผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์อังกฤษ ตลอดไปจนถึงผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ พลังงาน ที่ต่างก็ออกมายืนยันถึง ความเป็นไปได้ และการอ้างอิง แหล่งข่าว ว่าแนวความคิดเช่นนี้มีอยู่จริง อีกทั้งยังได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นขั้นเป็นตอน…
    ———————————————————
    อย่างเช่น เอฟ วิลเลียม เองดาห์ล ผู้เขียนหนังสือเรื่อง A Century of War : Anglo-American Oil Politic and the New World Oder ที่ได้ระบุเอาไว้ในข้อเขียนผ่านสำนักข่าวเอเชียไทมส์ ออนไลน์ ว่า แหล่งข่าวระดับสูง ของเขาในตะวันออกกลาง ต่างก็ให้การยืนยันถึงความเคลื่อนไหวดังกล่าวด้วยการสรุปว่า บรรดาประเทศเหล่านี้กำลังพยายามปรึกษาหารือตามแนวทางที่จะใช้ตะกร้าเงินหลายสกุล ที่สามารถสะท้อนความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคได้ดี โดยที่จะหนุนหลังด้วยทองคำ และถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นไปตามที่ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ได้ โม้ เอาไว้จริงๆ การพุ่งพรวดๆ พราดๆ ของราคาทองคำในทุกวันนี้ ก็คงไม่ได้ขึ้นอยู่กับ ความไม่เชื่อมั่น ต่อระบบเศรษฐกิจแต่เพียงเท่านั้น แต่มันอาจจะนำไปสู่ การจัดระเบียบใหม่ทางเศรษฐกิจ เอาเลยก็ไม่แน่???
    ——————————————————-
    ว่าไปแล้ว…หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐได้ตัดสินใจเปลี่ยนระบบทุนสำรองเงินดอลลาร์จากที่เคยหนุนหลังด้วยทองคำมาเป็นการอาศัย ความเชื่อ ตามหลักดีมานด์-ซัพพลาย หรือที่เรียกๆ กันว่า ระบบทุนสำรองดอลลาร์ที่เป็นกระดาษ (dollar paper reserve system) นับตั้งแต่ยุครัฐบาลนิกสันเป็นต้นมา นอกเหนือไปจากความเชื่อของประเทศต่างๆ ที่มีต่อระบบเศรษฐกิจสหรัฐแล้ว สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ การที่สหรัฐสามารถโน้มน้าวให้บรรดาชาติอาหรับซื้อ-ขายน้ำมันด้วยเงินสกุลดอลลาร์นั่นเอง ที่กลายเป็นตัวค้ำยันเงินดอลลาร์นับตั้งแต่บัดนั้นจนตราบเท่าทุกวันนี้ แต่ในขณะที่ระบบเศรษฐกิจสหรัฐนับวันจะก่อให้เกิดความไม่เชื่อหนักหนาสาหัสเพิ่มขึ้นในทุกขณะ ถ้าหากต้องเจอกับการปลดแอกราคาน้ำมันให้เป็นอิสระไปจากเงินสกุลดอลลาร์ตามมาด้วยแล้ว ก็แทบจินตนาการไม่ออกเลยว่า…ความล่มสลายของระบบเศรษฐกิจแบบเดิมก่อนหน้าที่การจัดระเบียบเศรษฐกิจใหม่จะปรากฏขึ้นมาแทนที่นั้น มันจะส่งผลให้ความฉิบหายขยายตัวลุกลามออกไปกว้างขวางมากน้อยขนาดไหน…???
    ————————————————————
    ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก บท วิวรณ์ พระคัมภีร์ไบเบิล…บรรดาพ่อค้าที่ได้ขายสิ่งของจนเป็นคนมั่งมี เพราะนครบาบิโลนนั้นจะยืนอยู่แต่ไกล เพราะกลัวภัยจากการทรมานของนครนั้น พวกเขาจะร้องไห้ คร่ำครวญ ด้วยเสียงดังว่า…วิบัติแล้ว วิบัติแล้ว มหานครนั้น…
    ที่มา www.thaipost.net
    ธรรมมาภิบาล
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สยามแรกมีรัฐธรรมนูญ เมื่ออเมริกาเจ๊งหุ้น

    posted on 10 Dec 2008 15:42 by terasphere in Special-Report
    "These are days when many are discouraged. In the 93 years of my life,
    depressions have come and gone. Prosperity has always returned and will again."


    John D. Rockefeller, On the day of Wallstreet Crash, October 29 1929.

    “มีหลายครั้งที่หลายคนรู้สึกย่ำแย่, ในชีวิต 93 ปีของข้าพเจ้า
    ภาวะตกต่ำมาแล้วผ่านไป ความมั่งคั่งกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ทุกครั้งคราว”


    จอห์น ดี ร็อกกี้เฟลเลอร์, กล่าวถึงวันที่ตลาดหุ้นล่มสลาย 29 ตุลาคม 1929


    โลกาภิวัตน์มิได้เริ่มต้นในทศวรรษ 1990 อย่างที่เรารู้จักกัน
    เมื่อวาสโก ดา กามาเดินทางอ้อมแหลมกู๊ดโฮปผ่านมาถึงอินเดีย
    เมื่อคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เหยียบพื้นทรายแห่งหมู่เกาะเวสต์ อินดีส
    เมื่อเฟอร์ดินานด์ แม็กเจลเลน แล่นเรือข้ามผ่านสามเหลี่ยมปากแม่น้ำริโอ เดอ ลา ปลาตา
    ลัทธิพาณิชยนิยมและการค้าข้ามทวีป นักบุกเบิกทั้งหลายก็ได้เริ่มรุ่งอรุณของโลกาภิวัตน์
    ไปพร้อมๆกันกับการเชื่อมสายใยทางเศรษฐกิจทั่วโลกเข้าหากันด้วยเรือปืนและศาสนา


    [​IMG]
    เซอร์ จอห์น บาวริง ผู้นำพาณิชยนิยมและโลกาภิวัตน์ระลอกแรกมาสู่ประเทศสยาม

    สนธิสัญญาเบาว์ริงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เปิดประตูประเทศไทยสู่ภาวการณ์แข่งขันกับตลาดโลก และความผันผวนของโลกก็กระทบกับภาวะเศรษฐกิจในไทยมาโดยตลอด ดังจะเห็นได้ว่าการเสียรายได้จากอากรขนอนน้ำขาเข้าทำให้ต้องส่งออกสินค้าอย่างไม้สัก งาช้าง และข้าว เพิ่มปริมาณขึ้นแบบทวีคูณ
    นอกจากนี้ไทยยังต้องนำเข้าสินค้าด้านเทคโนโลยี อาวุธ การจ้างนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาพัฒนาและบริหารประเทศในตำแหน่งสำคัญๆ เช่นตำแหน่งที่ปรึกษาประจำกระทรวงต่างๆ และการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยของเหล่าผู้มีฐานันดรทำให้เงินตราสำรองของไทยลดลงอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะเมื่อต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามให้ฝรั่งเศสหลังเหตุการณ์ร.ศ. 112 เงินถุงแดงที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสะสมไว้ถึงสามหมื่นชั่งในพระคลังข้างที่ถูกใช้จ่ายจนหมด และงบประมาณแผ่นดินก็ติดลบถึงขั้นต้องกู้หนี้ยืมสิน

    ดังพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวถึงสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระวชิรญาณวโรรสตอนหนึ่งความว่า

    [​IMG]
    เหรียญกษาปณ์ทองคำรูปนกอินทรีเม็กซิโก ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเก็บสำรองไว้ในถุงแดง
    "…ในเวลาครึ่งปีต่อมา เงินภาษีอากรก็ลดเกือบหมดทุกอย่าง ลดลงไปเป็นลำดับ จนถึงปีมะแม ตรีศก (พ.ศ. ๒๔๑๔) เงินแผ่นดินที่เคยได้อยู่ปีละ ๕๐,๐๐๐-๖๐,๐๐๐ ชั่งนั้น เหลือจำนวนอยู่ ๔๐,๐๐๐ ชั่ง
    แต่ไม่ได้ตัวเงินกี่มากน้อย แต่เงินเบี้ยหวัดปีละ ๑๑,๐๐๐ ชั่ง ก็วิ่งตาแตก ได้เงินในคลังมหาสมบัติ
    ซึ่งเป็นของเจ้าหน้าที่วิ่งมาหาเป็นพื้น นอกนั้นก็ปล่อยค้าง ที่ได้เงินตัวจริงมีประมาณ ๒๐,๐๐๐ ชั่งเท่านั้น ...
    เงินไม่พอจ่ายราชการต้องเป็นหนี้ตั้งแต่งานพระบรมศพมาจนปีมะแมนี้ (พ.ศ.๒๔๑๔) เป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ ชั่ง
    เพราะเหตุเช่นนี้ หม่อมฉันจึงนิ่งอยู่ไม่ได้ จับจัดการคลังมหาสมบัติ..."

    แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงปฏิรูประบบภาษีอย่างเข้มแข็งด้วยการตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ ตราประมวลรัษฎากรเพื่อจัดเก็บภาษีเข้าท้องพระคลังอย่างเต็มที่แต่ก็มิได้ช่วย เหลือภาวะเงินคงคลังของสยามให้พ้นจากภาวะวิกฤตได้มากเท่าใดนัก ประเทศสยามติดค้างยอดเงินกู้จากธนาคารอังกฤษกว่า 5 ล้านปอนด์เพื่อใช้จ่ายเป็นงบประมาณแผ่นดิน ซื้อคืนระบบรถไและ จ่ายค่าจ้างที่ปรึกษาชาวต่างชาติ ในยุคที่ 1 ปอนด์สเตอร์ลิงแลกเป็นเงินไทยได้ 10 บาท และเงินเดือนข้าราชการชั้นเอกอยู่ที่เดือนละ 12 บาทเท่านั้น
    เมื่อปลายรัชกาลถึงกับมีบันทึกสนธิสัญญายกดินแดนปักษ์ใต้(ปะลิส ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู)ให้อังกฤษเพื่อลดดอกเบี้ยเงินกู้

    เมื่อย่างเข้าแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรายจ่ายประจำปีงบประมาณยิ่งขาดดุล
    ทำให้มีพระราชบัญญัติเงินรัชชูปการ ยกเลิกการเกณฑ์แรงงานจากหลวงโดยชายฉกรรจ์อายุ 20-60 ปีทุกคนต้องจ่ายเงินปีละ 6 บาท ซึ่งสมัยนั้นข้าวสารราคาถัง(20 ลิตร)ละ 50 สตางค์ สั่งห้ามนำเงินออกนอกประเทศ ออกธนบัตรแทนเหรียญเงิน หลอมเหรียญเงินออกไปซื้อดอลลาร์สหรัฐแล้วซื้อทองคำแท่งเก็บสำรองไว้เป็นทุนสำรองเงินตรา
    เมื่อไทยผูกอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรากับเงินปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษ แต่เศรษฐกิจอังกฤษเสียหายมหาศาลจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้เงินบาทสยามอ่อนค่าลงตามไปด้วย ประกอบกับภาวะสงครามทำให้ทุกชาติชะลอการนำเข้าสินค้า ดุลการค้าของสยามจึงขาดดุลมากขึ้นสะสมกันทบทวีตามเวลาที่ผ่านไป จนถึงขั้นต้องยุบกรมทหารรักษาวัง ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ ในปี พ.ศ. 2468 กู้เงินจากอังกฤษเพิ่มในอัตราร้อยละ 6 ต่อปีอีก 3 ล้านปอนด์ ตัดทอนงบประมาณรายจ่ายและปลดข้าราชการกว่าร้อยละ 10
    เมื่อรวมยอดเงินกู้ทั้งหมดแล้ว สยามมีหนี้สาธารณะกว่า 15 ล้านปอนด์เมื่อสิ้นรัชกาล
    และเมื่อเข้าสู่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เหตุการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายลงเป็นลำดับ
    และถูกซ้ำเติมด้วยเหตุการณ์เศรษฐกิจตกต่ำครั้งยิ่งใหญ่ทั่วโลก (The Great Depression) จนเป็นสาเหตุหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475

    [​IMG]
    ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ค ปี พ.ศ. 2472

    ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำนั้นมีที่มาจากความล่มสลายของฟองสบู่การเงินในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกาที่ตั้งอยู่บนถนนวอลล์สตรีต ทศวรรษที่ 1920(ช่วงพ.ศ. 2463-2472) ได้รับสมญาว่า roaring twenties หรือยุคยี่สิบฟู่ฟ่า
    อัตราการเกิดที่พุ่งสูงและความต้องการสินค้าของโลกเพื่อทดแทนกำลังการผลิตของเหล่าจักรวรรดิอาณานิคมในยุโรปที่เสียหายจากภาวะสงครามทำให้เหล่านักอุตสาหกรรมในสหรัฐอเมริกาเร่งผลิตสินค้าออกสู่ตลาดโลก อีกทั้งนวัตกรรมใหม่ๆในระบบอุตสาหกรรม เช่น ระบบสายพานการผลิต(Assembly line) การคิดค้นหลอดไฟฟ้า ยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้ระบบเศรษฐกิจของอเมริกามากขึ้นจนเกิดฟองสบู่ในตลาด การเงิน บรรษัทเงินทุนและธนาคารต่างๆปล่อยเงินกู้ให้ภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐโดยไม่มีข้อบังคับหรือกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดเพียงพอจากภาครัฐ เนื่องจากแนวคิดตลาดเสรีที่รัฐไม่ควรมีบทบาทหรือมีบทบาทน้อยที่สุดของมิลตัน ฟรีดแมน เป็นแนวคิดกระแสหลักของระบบเศรษฐกิจโลกสมัยนั้น

    เมื่อบริษัทที่นำนวัตกรรมใหม่ๆมาใช้อย่าง Genaral Electric หรือ Ford เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์
    นักลงทุนต่างมั่นใจว่าตนเองจะต้องได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า จึงแห่เข้าไปซื้อหุ้นของบริษัทต่างๆจนทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อธนาคารและบรรษัทลงทุนเห็นกำไรจึงเชิญชวนให้ประชาชนเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งยังนำเงินทุนของตนเองที่ได้จากเงินฝากของประชาชนเข้าไปเก็งกำไรด้วย เกิดการเพิ่มตัวคูณในระบบการเงิน (Multiplying Leverage) จนทำให้เงินในระบบมีมากกว่าสินทรัพย์ทุนที่แท้จริงกว่า 20 เท่า ประมาณการกันว่า ครึ่งหนึ่งของพลเมืองอเมริกันในช่วงปลายทศวรรษที่ 1920 ถือหุ้น หรืออยู่ในระบบเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับหุ้น ความเฟื่องฟูของตลาดหลักทรัพย์ที่เกินจริงและไม่สัมพันธ์กับการจ้างงานในภาค เศรษฐกิจจริง(Real Sector)นำมาซึ่งความกังวลของนักเศรษฐศาสตร์อย่าง จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ แต่เหล่านักลงทุนที่หลงระเริงอยู่กับตัวเลขบนกระดานหลักทรัพย์ก็มองข้ามไปเสีย

    จนเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม 2472 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อุตสาหกรรมนิวยอร์คหรือดาวโจนส์เริ่มร่วงจากดัชนีสูงสุดที่ 381.17 จุด ตามด้วยวันจันทร์และอังคารที่ 28 และ 29 ตุลาคม ที่ดัชนีดาวโจนส์หล่นลงมาวันละ 10% ติดต่อกัน จากนั้นเหล่าธนาคารและบรรษัทเงินทุนก็เริ่มเรียกเงินกู้กลับคืน นักลงทุนทั้งหลายต้องการเงินสดก็ยิ่งต้องการขายหุ้นที่ตนเองถือไว้ในมือ หรือที่ซ้ำร้ายกว่านั้นคือชอร์ตเซลหุ้นเพื่อหวังกำไรเงินสด
    ซึ่งยิ่งเป็นการกดราคาหุ้นของบริษัทอุตสาหกรรมให้ต่ำลงกว่าเดิม และต้องเพิ่มทุนตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ แต่ไม่มีธนาคารหรือบรรษัทเงินทุนใดปล่อยกู้ เกิดเป็นกับดักสภาพคล่องและต้องล้มละลาย อัตราการว่างงานพุ่งสูง ส่วนเงินทุนของประชาชนที่ลงทุนไว้ในหุ้นของบริษัทเหล่านั้นก็หายไปกลายเป็นแผ่นกระดาษเปล่า
    ตลาดหลักทรัพย์ตกต่ำยาวไปถึงค.ศ. 1933 และกว่าจะฟื้นขึ้นมาในระดับเดิมก็ล่วงไปถึงปี ค.ศ. 1954 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2

    [​IMG]
    ความรุ่งเรืองและตกต่ำของดัชนีตลาดหุ้นดาวโจนส์ในรอบ 15 ปี

    เมื่อหัวรถจักรเศรษฐกิจของโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 อย่างสหรัฐอเมริกาเริ่มหยุดชะงัก
    ธนาคารและบรรัทการเงินทั่วโลกต่างระแวงกันไม่ปล่อยกู้ เกิดสภาพเงินฝืด(Deflation)
    ประเทศต่างๆตั้งกำแพงภาษีศุลกากร(tariff) เพื่อปกป้องพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรมภายในประเทศ
    การค้าระหว่างประเทศลดลงไปพร้อมกับ GDP ของประเทศต่างๆ ก่อกำเนิดลัทธิชาตินิยมใหม่และพรรคเผด็จการอย่างฟาสซิสต์และนาซี แม้ว่ารัฐบาลของแฟรงคลิน ดี รูสเวลต์จะพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายนิวดีล (New Deal)เพิ่มการผลิตและการจ้างงานภาครัฐ ตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แผนใหม่ของจอห์น เมย์นาร์ด เคนส์อันเลื่องชื่อแต่การฟื้นฟูที่แท้จริงกลับมีสาเหตุจากอุตสาหกรรมที่ได้รับผลประโยชน์จากสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งปะทุขึ้นในปี พ.ศ. 2482

    [​IMG]
    ฝูงชนที่กำลังกราดเกรี้ยวและสิ้นหวังหน้าตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ค 28 ตุลาคม 2472

    [​IMG]
    ป้ายโฆษณาให้กำลังใจคนตกงานของหอการค้าอเมริกัน
    ผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและการล่มสลายของฟองสบู่การเงินดังกล่าวเข้ามาถึงสยามอย่างรวดเร็ว
    โดยเฉพาะเมื่อสยามขาดดุลงบประมาณและปราศจากเงินทุนคงคลังสำรองที่จะใช้กระตุ้นเศรษฐกิจให้รับมือกับภาวะผันผวนของตลาดโลก สินค้าออกของไทยต้องเผชิญกับกำแพงภาษีไม่สามารถส่งออกนำเงินตราเข้ามาพยุงภาวะเศรษฐกิจได้ การใช้จ่ายของประชาชนลดลง ธนาคารและบรรษัทเงินทุนต่างชาติที่รับฝากเงินของประชาชนชาวไทยล้มละลาย รัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทำทุกวิถีทางเพื่อบรรเทาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เริ่มจากการลดเงินงบประมาณรายจ่ายส่วนพระองค์จาก 12 ล้านบาทต่อปี เป็น 6 และ 3 ล้านบาทต่อปีตามลำดับ ตัดเบี้ยหวัดเงินปีที่พระราชทานให้แก่พระบรมราชวงศ์
    ยุบรวมกระทรวงต่างๆ เช่น ยุบกระทรวงทหารเรือ กระทรวงมุรธาธิการ ยุบมณฑลจาก 14 มณฑลเหลือ 10 มณฑล ยุบจังหวัดจาก 79 จังหวัดเหลือ 70 จังหวัด ยุบกำลังพลในกองทัพจาก 10 กองพล เหลือ 2 กองพลในปีพ.ศ. 2474 ตัดงบประมาณรายจ่ายของนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงในต่างประเทศ และปลดข้าราชการที่ทำราชการอยู่นาน หรือข้าราชการในตำแหน่งซ้ำซ้อน เรียกว่าการดุลยภาพ ซึ่งผู้ถูกปลดเรียกกันง่ายๆว่า “ถูกดุน”


    เหล่าข้าราชการ ทหาร และนักเรียนทุนต่างประเทศที่ถูกปลด ถูกลดเงิน ช่วงภาวะที่รัฐบาลสยามขาดเงินทุนคงคลังเหล่านี้เองที่มาเป็นกำลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
    การเริ่มต้นของคณะราษฎรเกิดจากการเรียกร้องค่าใช้จ่ายรายเดือนที่เอกอัครราชทูตสยามประจำกรุงปารีสขณะนั้นของสามัคยานุเคราะห์ สมาคมนักเรียนสยามในกรุงปารีสว่า เอกอัครราชทูตสยามเก็บกักเงินไว้ไม่จ่ายให้นักศึกษาตามอัตราที่เหมาะสม ทั้งๆที่รัฐบาลหรือทางบ้านของนักศึกษาเหล่านั้นส่งเงินมาให้อย่างเพียงพอ จึงถวายฎีการ้องทุกข์แด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และก่อตั้งคณะราษฎรขึ้นอย่างเป็นทางการที่บ้านพักถนน Rue du Somerard ในปี พ.ศ. 2470 ผู้ก่อตั้งแรกเริ่มมี 7 คนได้แก่ ร.ท. ประยูร ภมรมนตรี นายทหารกองหนุน อดีตผู้บังคับหมวดทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์รัชกาลที่ 6 ร.ท. แปลก ขีตตะสังคะ นักศึกษาในโรงเรียนนายทหารปืนใหญ่ฝรั่งเศส ร.ต. ทัศนัย มิตรภักดี นักศึกษาในโรงเรียนนายทหารม้าฝรั่งเศส
    นายตั้ว ลพานุกรม นักศึกษาวิทยาศาสตร์ในสวิตเซอร์แลนด์ หลวงสิริราชไมตรี ผู้ช่วยสถานทูตสยามประจำกรุงปารีส นายแนบ พหลโยธิน เนติบัณฑิตอังกฤษ นายปรีดี พนมยงค์ ดุษฎีบัณฑิตกฏหมายฝ่ายนิติศาสตร์ ฝรั่งเศส


    [​IMG]
    ผู้ก่อตั้งคณะราษฎร จากฝรั่งเศส

    เมื่อนักเรียนต่างประเทศเหล่านั้นทั้งสายทหารและพลเรือนกลับเข้ามารับราชการในประเทศไทย
    ได้ติดต่อกับกลุ่มนายทหารผู้เสียหายจากนโยบายดุลยภาพ และผู้กุมกองกำลังชั้นปฏิบัติการอย่าง
    พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา รองจเรทหารบก กับ พ.อ. พระยาทรงสุรเดช เสนาธิการโรงเรียนนายร้อย
    พ.อ.พระยาฤทธิอาคเนย์ และ พ.อ. พระประศาสน์พิทยายุทธ เรียกกันว่าเป็น 4 ทหารเสือของคณะราษฎรในยุคนั้น

    [​IMG]
    สี่ทหารเสือคณะราษฎร พระยาทรงสุรเดช พระยาหลพลพยุหเสนา พระยาฤทธิอัคเณย์ และพระประศาสน์พิทยายุทธตามลำดับ

    แม้ว่ารัฐบาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงพยายามตัดค่าใช้จ่ายอย่างถึงที่สุด แต่ก็ไม่เพียงพอ
    เนื่องจากแผ่นดินพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้สร้างหนี้สาธารณะไว้เพื่อการพระราชนิยมต่างๆเป็นอันมาก ทั้งกิจการละคร กิจการลูกเสือ การสร้างพระตำหนักและพระราชฐานตามหัวเมือง โดยเฉพาะการพระราชทานฐานันดรยศ เบี้ยหวัด บ้านพัก หรือที่ดินให้แก่มหาดเล็กและข้าราชการรับใช้ใกล้ชิดคนสนิท เช่น ทรงพระราชทานบ้านนรสิงห์แก่เจ้าพระยารามราฆพ พร้อมเบี้ยหวัดเงินปีซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าระบุไว้ในพระราช พินัยกรรมว่าห้ามตัดทอน หรือความขุ่นเคืองของข้าราชการที่ถูกดุลยภาพว่า ผู้รับใช้ใกล้ชิด มีเส้นสายกับองค์อภิรัฐมนตรีต่างๆเช่น พระเจ้าพี่ยาเธอเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต หรือพระเจ้าพี่ยาเธอพระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ไม่ถูกดุลยภาพเหมือนข้าราชการกลุ่มอื่น
    เจ้านายผู้เป็นทหารกุมกำลังหลักอย่างพระองค์เจ้าบวรเดชก็มีข้อขัดแย้งถึงขั้นบุก เข้าไปกราบทูลถามในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีถึงเหตุปลดยุบกองพล และถูกจับตามองว่าอาจก่อการกบฏ จนทำให้เหล่าผู้บริหารบ้านเมืองในรัฐบาลมองข้ามนายทหารและพลเรือนกลุ่มหนุ่มของคณะราษฎรไปเสีย
    แม้ก่อนวันก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองสองวัน มีสายจากสันติบาลรายงานถึงกรมพระนครสวรรค์วรพินิตผู้กุมกำลังป้องกันพระนครว่า กลุ่มนายทหารที่นำโดยพระยาพหลพลพยุหเสนา และร.ท. ประยูร ภมรมนตรี จะก่อปฏิวัติ แต่พระองค์ก็มิได้ใส่ใจและหัวเราะเป็นนัยว่า ทั้งสองนายทหารนั้นพระองค์เห็นมาตั้งแต่ยังเด็ก ไม่มีทางคิดก่อการล้มพระราชวงศ์ได้ แน่นอนว่าพระองค์ทรงคิดผิดและการคิดผิดครั้งนี้เองที่ทำให้พระองค์ทรงต้องลี้ภัยไปประทับอยู่ ณ เมืองบันดุง เกาะชวา จนสิ้นพระชนม์ชีพ

    [​IMG]
    พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม 2475

    และแล้วการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ก็เริ่มต้นขึ้นและจบลงภายในวันเดียว
    โดยจุดประสงค์เป้าหมายหลักที่คณะราษฎรใช้โจมตีรัฐบาลคือความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจ

    ประเทศสยามเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเปลี่ยนระบอบกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ
    หรือ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรก แก่ปวงชนชาวไทย โดยมีพระราชปรารภลงท้ายในโทรเลขทรงประกาศสละราชสมบัติในปี พ.ศ. 2477 ว่า
    "ข้าพเจ้ามีความเต็มใจ ที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป
    แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ
    เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร"

    ในรัฐธรรมนูญดังกล่าวระบุให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งชาติสยาม
    แต่ความวุ่นวายจากการแย่งชิงอำนาจภายหลังก็เปิดโอกาสให้ระบอบทหารนิยมเข้ามาครอบงำประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน

    ผลกระทบของโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจต่อประเทศไทย ไม่ได้ส่งผลต่อเศรษฐกิจและความเป็นอยู่เท่านั้น
    ยังส่งผลต่อความเชื่อ อุดมการณ์การเมือง และโครงสร้างการปกครองขั้นพื้นฐานของประเทศไปพร้อมๆกัน
    วิกฤตเศรษฐกิจทุกครั้งนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ทุกชาติ ประเทศหนึ่งๆไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบอันเกิดจากประเทศอื่นๆ ได้ตราบเท่าที่เครือข่ายการค้าและความสัมพันธ์ยังโยงใยกันอยู่อย่างไม่อาจตัดขาด
    เมื่อนักลงทุนในวอลล์สตรีตสร้างความผิดพลาดครั้งใหญ่ ประเทศสยามจึงได้รัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยมาด้วยเหตุเช่นนี้เอง


    บรรณานุกรม

    จิรวัฒน์ รจนาวรรณ. 23 สุดยอดผู้นำรัฐบาล อดีต-ปัจจุบัน. กรุงเทพมหานคร. 2532
    นายหนหวย(นามแฝง). เจ้าฟ้าประชาธิปก ราชันผู้นิราศ. โอเดียนสโตร์. กรุงเทพฯ. 2530
    ราชกิจจานุเบกษาเล่ม 46.
    สุพจน์ ด่านตระกูล. สืบต่อเจตนารมณ์ 24 มิถุนายน 2475. กรุงเทพฯ. มปป.
    สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกับการปกครองระบบรัฐสภา.
    10 ธันวาคม 2523.
    About the Great Depression
    A Photo Essay on the Great Depression
    Great Depression - Wikipedia, the free encyclopedia
    Stock market crash - Wikipedia, the free encyclopedia
    Site Suspended - This site has stepped out for a bit
    A new Great Depression? It's different this time - latimes.com

    เครดิต สยามแรกมีรัฐธรรมนูญ เมื่ออเมริกาเจ๊งหุ้น | หอสมุดแห่งสากลจักรวาล
     

แชร์หน้านี้

Loading...