พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    ส่งรูปพระพิมพ์ให้ผมชมเป็นบุญตาด้วยครับพี่หนุ่ม และผมไม่นำลงบล๊อคหรือส่งต่อครับ
    กราบขอบคุณครับ
     
  2. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    เรื่องที่ว่า ปัจจุบันมีการทำเทียมเลียนแบบ ไม่ทราบเหตุผมจริงๆ ว่าพวกนั้นเค้าจะทำไปทำไม ในเมื่อพระพิมพ์ชุดนี้ไม่มีค่าเป็นเงินทองสูงในตลาดค้าพระ งงจริงๆ ครับ
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องนี้เป็นเรื่องยาวครับ

    รายละเอียดเยอะมาก

    ผมได้คุยกับหลายๆท่านให้ฟังในเรื่องนี้แล้ว แต่ไม่สามารถนำมาออกอากาศได้


    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  6. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    วันนี้รถติดมาก เลยตัดสินใจโดดร่ม ไปทานบะหมี่จับกัง เห็นว่า จะเปิดกิจการถึงสิ้นปีเท่านั้น....

    131ปี เหียกวงเอี่ยม วีรชนจีนโพ้นทะเล

    <SPAN id=afterPageTitleHideDuringEdit class=announcementsPostTimestamp><SCRIPT type=text/javascript xmlns="http://www.w3.org/1999/xhtml"> //<![CDATA[ function JOT_insertRelDate(timestamp, absTimeStr, isSiteLocale, dir) { var relTimeStr = JOT_formatRelativeToNow(timestamp, isSiteLocale); if (relTimeStr) { if (isSiteLocale) { document.write('<span timestamp="' + timestamp + '" issitelocale="' + isSiteLocale + '" title="' + absTimeStr + '" dir="' + dir + '">' + relTimeStr + '<' + '/span>'); } else { document.write('' + relTimeStr + '<' + '/span>'); } } else { document.write(absTimeStr); } } //]]></SCRIPT>โพสต์12 ธ.ค. 2553, 7:55โดยKevin Ma
    <TABLE class="sites-layout-name-one-column sites-layout-hbox" cellSpacing=0 xmlns="http://www.w3.org/1999/xhtml"><TBODY><TR><TD class="sites-layout-tile sites-tile-name-content-1">คนไทยเชื้อสายจีนได้มีบทบาทในการต่อต้านกองทัพฝ่ายอักษะ โดยเฉพาะปรากฏวีรชนจีนโพ้นทะเล “เหียกวงเอี่ยม” ต้นตระกูลเอี่ยมสุรีย์ ใช้ชีวิตเข้าแลกต่อสู้เพื่อแผ่นดินเกิด และแผ่นดินผู้มีคุณ....
    ช่วงมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กองทัพฝ่ายอักษะเปิดฉากมหาสงครามเอเชียบูรพา ปรากฏคนไทยผู้รักชาติจัดตั้งกลุ่มกองกำลังขึ้นมาต่อต้าน ที่รู้จักกันดีคือ กลุ่มเสรีไทย แต่ก่อนหน้านั้นยังมีคนไทยเชื้อสายจีนได้มีบทบาทในการต่อต้านกองทัพฝ่าย อักษะ โดยเฉพาะปรากฏวีรชนจีนโพ้นทะเล “เหียกวงเอี่ยม” ต้นตระกูลเอี่ยมสุรีย์ ใช้ชีวิตเข้าแลกต่อสู้เพื่อแผ่นดินเกิด และแผ่นดินผู้มีคุณ
    ชีวิต เหียกวงเอี่ยม เริ่มต้นเหมือนกับชาวจีนโพ้นทะเลอื่นๆ ถือกำเนิดใน พ.ศ. 2422 บนเกาะหน่ำโป่ยจิว ตรงปากแม่น้ำหั่งกัง มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน ในครอบครัวที่ยากจน มีที่ดินปลูกผักยังชีพเพียงเล็กน้อย อาศัยการทำงานหามรุ่งหามค่ำเพียงเพื่อพอมีแค่อาหารประทังชีวิต ตกกลางคืนต้องนอนเบียดเสียดกันในบ้านเล็กๆ เก่าๆ ที่เช่าอยู่ ความเป็นอยู่ที่แร้นแค้น ทำให้ในวัยเด็ก เหียกวงเอี่ยม ได้เข้าเรียนหนังสือเพียง 3 เดือน เมื่ออายุ 17 ปี ก็ตัดสินใจจากบ้านเกิดเมืองนอน นั่งเรือสำเภากว่า 40 วัน มาเผชิญโชคที่เมืองบานัม ประเทศกัมพูชา เพื่อทำงานในโรงสุรา
    [​IMG]เหียกวงเอี่ยม(ขวา) กับ พระยาพหลพลพยุหเสนา อดีตนายกรัฐมนตรี
    เหียกวงเอี่ยม ใช้ชีวิตที่กัมพูชา 6 ปี ก็ได้ตัดสินใจเดินทางเข้าประเทศไทย เริ่มทำงานหาบผักที่ห้างเซี่ยงกี่ ซึ่งมีธุรกิจนำเข้าส่งออกสินค้า โรงสี โรงงานผักกาดดอง จากนั้นย้ายไปขนของขึ้น-ลงที่ท่าเรือ ด้วยความขยัน ซื่อสัตย์ ทำให้ได้รับเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้างาน จนกระทั่งได้คุมการส่งสินค้าทั้งหมด รวมไปถึงการจัดการเรื่องภาษี สำหรับสินค้าที่ส่งออกไปจากไทย และนำเข้าจากจีนกับฮ่องกง
    การทำงานหนัก และได้รับมอบหมายงานเพิ่มขึ้น ทำให้ เหียกวงเอี่ยม มองเห็นช่องทางการค้า ครั้งแรกได้ใช้เงินสะสม 300 บาท ซื้อเรือสินค้าขนาดเล็ก 1 ลำ และเช่าเรืออีก 2 ลำ มาทำธุรกิจขนส่งสินค้าของตัวเอง จนกระทั่งอายุ 30 เศษ ได้ร่วมกับเพื่อนอีก 5 คน ตั้งบริษัท หลักสุง ทำกิจการขนส่งสินค้าทางเรือ จากเรือไม่กี่ลำ ก็กลายเป็นเรือสิบกว่าลำ ภายหลัง เหียกวงเอี่ยม ซื้อหุ้นจากเพื่อนทั้งหมด และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น หลักสุงเฮง จนกิจการก้าวหน้าเป็นลำดับ จากที่มีแค่เรือไม้ ก็กลายเป็นเรือสินค้าขนาดใหญ่ จากเรือล่องตามแม่น้ำ ก็เพิ่มเรือโป๊ะสำหรับส่งสินค้าไปยังเรือใหญ่ในทะเล
    เหียกวงเอี่ยม ย้ายกิจการของตัวเองอีกครั้งไปปักหลักตรงริมน้ำเจ้าพระยา เขตบางรัก และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น กวงเฮง|หลี และแตกตัวไปในหลายธุรกิจ อาทิ ในช่วงที่ธุรกิจครั่งตกต่ำจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ราคาครั่งที่ใช้ในอุตสาหกรรมสีและแผ่นเสียงในยุคนั้นราคาเหลือตันละสิบกว่า บาท จาก 60 กว่าบาท เจ้าของสวน โรงงานครั่ง ประสบปัญหาทางการเงิน เหียกวงเอี่ยม เข้าไปซื้อสวนครั่งและโรงงานแปรรูป ในเวลาไม่นานนักราคาครั่งก็ฟื้นตัวจนทำกำไรอย่างมหาศาล
    เหียกวงเอี่ยม ยังเข้าไปซื้อกิจการโรงสีข้าวกวงสุ่งหลี และบริหารจนขยายกิจการเป็นโรงสีกว่าสิบแห่ง จนในช่วง พ.ศ. 2500 เป็นกลุ่มโรงสีข้าวที่ใหญ่สุดในประเทศไทย นอกจากนั้นยังวางแผนปลูกปอกระเจาทำกระสอบ เพราะขณะนั้นข้าวไทยที่ส่งออกต้องใช้กระสอบนำเข้าจากอินเดีย เหียกวงเอี่ยม เข้าไปซื้อที่ดินประมาณ 4,000 ไร่ แถบบางนา บางพลี เพื่อวางปลูกปอ|กระเจา และตั้งโรงงานทอกระสอบ แต่โครงการต้องหยุดชะงักไป อันเนื่องมาจากการรับตำแหน่งสำคัญทางสังคม
    ความคิดของ เหียกวงเอี่ยม ภายหลังประสบความสำเร็จทางธุรกิจก็ไม่ได้ต้องการใช้ชีวิตอย่างร่ำรวย แต่กลับต้องการรับใช้สังคม เหียกวงเอี่ยม มักจะพูดกับผู้ที่รู้จักเสมอว่า “ผมจากบ้านเกิดมาด้วยสองมือเปล่า ทรัพย์สมบัติของผมที่มีอยู่ทั้งหมดนี่ได้มาจากสังคม จึงต้องคืนกลับไปให้สังคม หากไม่มีสังคมแล้ว ไฉนเลยจะมีทรัพย์สินเงินทองเหล่านี้ หากไม่มีประเทศชาติ ไฉนเลยจะมีตัวผม”
    เหียกวงเอี่ยม เข้าไปช่วยเหลือกิจการเพื่อสังคมอย่างมากมาย เริ่มตั้งแต่เป็นผู้ก่อให้เกิดสมาคมแต้จิ๋วในประเทศไทย ขณะเดียวกันด้านการศึกษาได้ให้เงินสนับสนุนโรงเรียน และเป็นประธานกรรมการโรงเรียนซิงมิ้งในกรุงเทพฯ การช่วยโรงเรียนประถมฉ่งชิก ที่เป็นโรงเรียนของลูกจีนที่ยากจน โรงเรียนมัธยมตงฮั้ว โรงเรียนศึกษาผู้ใหญ่จุ้งไช้ รวมไปถึงการบริจาคให้กับโรงเรียนอื่นๆ อาทิ โรงเรียนอัสสัมชัญ และการสร้างโรงเรียนประถมที่บ้านเกิดในประเทศจีน
    เหียกวงเอี่ยม ยังเข้าไปมีบทบาทสำคัญในมูลนิธิด้านสังคมสงเคราะห์ นั่นคือเป็นประธานคนแรกของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง หรือฮั่วเคี้ยวป่อเต็กเซี่ยงตึ๊ง หลังจากมีการจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย
    จุดกำเนิดของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งมาจากการอพยพของคนจีนเข้าประเทศไทย บางรายเจ็บป่วยไม่มีญาติ เมื่อเสียชีวิตไม่มีคนดูแล จึงเกิดการสงเคราะห์เก็บศพให้ ในยุคแรกจะมีคนสวมหมวกจีน วิ่งเท้าเปล่า ลากรถไม้สองล้อคันยาวๆ ไปตามถนน บนรถจะบรรทุกศพ โดยการทำงานในยุคแรกของป่อเต็กตึ๊งไม่เป็นระบบ ไม่มีการหาแหล่งเงินทุนที่ชัดเจน ขนาดสำนักงานยังต้องอาศัยศาลเจ้าแห่งหนึ่งเป็นที่ทำงาน ทั้งหมดทำให้เกิดแนวคิดการปฏิรูปการทำงานของมูลนิธิขึ้นใน พ.ศ. 2479 ด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูปกิจการ ในปีเดียวกันนั้นเองรัฐบาลได้อนุญาตให้ป่อเต็กตึ๊งเป็นมูลนิธิเพื่อการกุศล อย่างเป็นทางการ เหียกวงเอี่ยม ได้รับเลือกเป็นประธานคนแรก และอุเทน เตชะไพบูลย์ เป็นรองประธาน
    มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง หลังการปฏิรูปได้เกิดระบบการทำงานใหม่ ขยายขอบเขตอย่างกว้างขวางด้านสาธารณกุศลไปยังจังหวัดอื่นๆ เหียกวงเอี่ยม เป็นประธานอยู่ 3 สมัย จนกระทั่งถูกสังหาร อันเป็นผลจากการที่ เหียกวงเอี่ยม ทำงานในฐานะประธานหอการค้าไทย-จีน สมัยที่ 15 เมื่อ พ.ศ. 2479 และต่อเนื่องถึงสมัยที่ 16
    หอการค้าไทย-จีน เป็นทั้งองค์กรตัวแทนของนักธุรกิจชาวจีน และองค์กรนำของคนจีนทั้งหมดในประเทศไทย ทำหน้าที่ประสานเชื่อมต่อระหว่างคนจีนในไทยกับรัฐบาลไทย รวมถึงทำหน้าที่กงสุลกลายๆ ในแง่การติดต่อธุรกิจการค้า ออกหนังสือรับรอง จัดการหนังสือเดินทางของคนจีนในประเทศไทยที่ต้องการกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด รับรองผู้นำด้านต่างๆ จากประเทศจีน เนื่องจากช่วงเวลานั้นรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีนยังไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูต
    การดำรงตำแหน่งประธานหอการค้าไทย-จีน ทำให้ เหียกวงเอี่ยม ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดทางสังคม ทว่าการรับตำแหน่งเป็นประธานหอการค้าของ เหียกวงเอี่ยม อยู่ในช่วงของสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ไฟสงครามลามมาถึงเอเชียด้วย เป้าหมายแรกเป็นการบุกยึดจีน จากนั้นเป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และไทย
    ช่วง พ.ศ. 2480 จีนถูกบุก เหียกวงเอี่ยม เปิดฉากต่อสู้ด้วยการรณรงค์ต่อต้านสินค้าของฝ่ายที่บุกรุกรานจีน ภายใต้การนำของหอการค้าไทย-จีน จากกรุงเทพฯ ซึ่งสร้างกระแสการต่อต้านแพร่ไปยังจังหวัดใกล้เคียง สำหรับธุรกิจส่วนตัว เหียกวงเอี่ยม สั่งให้ขบวนเรือยุติการขนส่งสินค้า ทุกโรงสีไม่ขายข้าวให้ เลิกทำการค้ากับคู่สงครามทุกประเภท
    หอการค้าไทย-จีน ยังเปิดรับบริจาคเงิน ขายพันธบัตรระดมเงินไปช่วยรบ รวมถึงส่งผู้แทนไปยังประเทศต่างๆ ในเอเชียอาคเนย์ เพื่อประสานงานเป็นเครือข่ายแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร กระทั่งในเดือน เม.ย. 2482 เหียกวงเอี่ยม ได้รับเชิญไปประชุมสภามณฑลกวางตุ้ง ท่ามกลางไฟสงครามในประเทศจีน ช่วงขากลับจากจีนนั้นเอง ขณะที่ เหียกวงเอี่ยม แวะพักที่เวียดนาม ก็ได้ข่าวจากเมืองไทยว่ากำลังเกิดความเคลื่อนไหว เป้าหมายสำคัญคือการขัดขวางไม่ให้ เหียกวงเอี่ยม กลับเมืองไทย
    ครั้งนั้นมีความเห็นเป็น 2 ฝ่าย โดยฝ่ายแรกให้ เหียกวงเอี่ยม พักอยู่ที่เวียดนามสักพักเพื่อความปลอดภัย กับอีกฝ่ายต้องการให้กลับ เนื่องจากในประเทศไทยขาดผู้นำการรวมพลังต่อสู้ สุดท้าย เหียกวงเอี่ยม ตัดสินใจกลับ แต่แทนที่จะใช้เส้นทางจากไซ่ง่อนไปกรุงพนมเปญ ผ่านเมืองพระตะบอง เข้าสู่ไทยด้านอรัญประเทศ ซึ่งเป็นเส้นทางปกติที่ใช้เดินทางกันในขณะนั้น เหียกวงเอี่ยม ก็เลือกจะอ้อมไปทางเหนือ ผ่านเมืองปากเซในประเทศลาว เข้าไทยด้าน จ.อุบลราชธานี เพื่อความปลอดภัย
    แต่แล้วในค่ำวันที่ 21 พ.ย. 2482เหียกวงเอี่ยม ถูกยิงที่หน้าโรงงิ้วฮั้งจิว ย่านเยาวราช ก่อนไปสิ้นลมที่โรงพยาบาลกลาง คำพูดสุดท้ายที่ เหียกวงเอี่ยม บอกต่อภรรยาก็คือ ...ถึงฉันจะตายไป พวกเธอก็อย่าได้เศร้าโศกเสียใจ ประเทศจีนจะต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน
    2 ปีหลังจาก เหียกวงเอี่ยม เสียชีวิต ประเทศไทยถูกบุก ชาวจีนในเมืองไทยหลายคนถูกจับกุม กิจการเดินเรือสินค้าของ เหียกวงเอี่ยม ทั้งหมดถูกยึด และโรงสี 2 แห่ง ก็ถูกยึดเช่นกัน
    หลังมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง ร่างของ เหียกวงเอี่ยม ได้รับการฝังไว้ที่ศาลที่ระลึก อ.บางปูใหม่ จ.สมุทรปราการ โดยในวันที่ 16-18 ธ.ค. 2553 นี้ จะมีการประกอบพิธีฌาปนกิจให้ เหียกวงเอี่ยม ณ วัดเทพศิรินทร์ โดยมีสมาคมหอการค้าไทย-จีน สมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และสมาชิกตระกูลเอี่ยมสุรีย์ เป็นเจ้าภาพ
    และพิธีดังกล่าวเป็นการแสดงความอาลัยวีรชนจีนโพ้นทะเล ผู้รักแผ่นดินเกิดและแผ่นดินไทยผู้มีคุณจนลมหายใจสุดท้าย


    ที่มา: โพสต์ทูเดย์, 12 ธันวาคม 2553

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE id=event_profile_header class="uiGrid event_header" cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD class="vTop prs">พิธีฌาปนกิจ ท่านเหียกวงเอี่ยม วีรชนจีนโพ้นทะเล (ครบรอบ 131 ปี)
    แบ่งปัน · กิจกรรมสาธารณะ
    </TD><TD class="vTop phs"></TD><TD class="vTop pls event_nowrap"><FORM id=rsvp_form onsubmit="return Event.__inlineSubmit(this,event)" method=post name=rsvp_form action=/ajax/events/actions.php ajaxify="1"><INPUT value=19ee5c6ee7a80329606d7098838ca1ad type=hidden name=post_form_id autocomplete="off"><INPUT value=4aC7a type=hidden name=lsd autocomplete="off"><INPUT value=163670320343291 type=hidden name=eid autocomplete="off"><INPUT value=1 type=hidden name=inline autocomplete="off"><INPUT value=1 type=hidden name=new_profile autocomplete="off"><LABEL class="uiButton uiButtonConfirm uiButtonLarge"><INPUT value=ฉันจะเข้าร่วม type=submit name=rsvp_button[Attending]></LABEL></FORM></TD></TR></TBODY></TABLE>

    สนับสนุนโดย






    <TABLE class="uiInfoTable mvm profileInfoTable mvm mvm"><TBODY><TR><TH class=label>เวลา</TH><TD class=data>16 ธันวาคมเวลา 18:00 น. - 18 ธันวาคมเวลา 17:00 น.
    </TD></TR><TR class=spacer><TD colSpan=2><HR></TD></TR></TBODY><TBODY><TR><TH class=label>สถานที่</TH><TD class=data>วัดเทพศิรินทราวาส ถนนกรุงเกษม
    Bangkok, Thailand
    </TD></TR><TR class=spacer><TD colSpan=2><HR></TD></TR></TBODY><TBODY><TR><TH class=label>ชื่อผู้จัด:</TH><TD class=data>All-CHINESE.com
    </TD></TR><TR class=spacer><TD colSpan=2><HR></TD></TR></TBODY><TBODY><TR><TH class=label>รายละเอียด</TH><TD class=data>พิธีฌาปนกิจ ท่านเหียกวงเอี่ยม ณ วัดเทพศิรินทร์ โดยมีสมาคมหอการค้าไทย-จีน สมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และสมาชิกตระกูลเอี่ยมสุรีย<WBR>์ เป็นเจ้าภาพ (สวดอภิธรรม วันที่ 16-17 ณาปนกิจ วันที่ 18 ธันวาคม 2553 เวลา 16.00 น.)

    ประกาศ
    หอการค้าไทย-จีน
    สมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย
    ...มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง

    เรื่อง กำหนดพิธีฌาปนกิจ นายเหีย กวง เอี่ยม ต้นตระกูลเอี่ยมสุรีย์

    นายเหีย กวง เอี่ยม ชาวจีนโพ้นทะเลผู้รักชาติ รักแผ่นดิน เมื่อทศวรรษที่ 20 ค.ศ.1930 (พ.ศ. 2473 ) นายเหีย กวง เอี่ยม ได้อพยพจากประเทศจีน มาตั้งรกรากในประเทศไทย นายเหีย กวง เอี่ยม ในฐานะชาวจีนโพ้นทะเล ผู้รักชาติ และแผ่นดินเกิด ได้ให้การสนับสนุนรัฐบาลจีน<WBR>อย่างเต็มที่ในช่วงสงครามโล<WBR>กครั้งที่ 2 ส่งผลให้ถูกลอบสังหารเสียชี<WBR>วิต เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1939 ( พ.ศ.2482 ) จวบจนถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลา 71 ปี

    ในช่วงเวลาดังกล่าว นายเหีย กวง เอี่ยม เคยดำรงตำแหน่ง ประธานหอการค้าไทย -จีน ประธานสมาคมแต้จิ๋วแห่งประเ<WBR>ทศไทย และ ประธานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง

    บัดนี้ถึงเวลาอันเหมาะสม คณะกรรมการ อันประกอบด้วย สมาคมหอการค้าไทย-จีน สมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และทายาทตระกูลเอี่ยมสุรีย์<WBR> ได้กำหนดพิธีฌาปนกิจ นายเหีย กวง เอี่ยม ขึ้นในวันที่ 18 ธันวาคม 2553 โดยเรียนเชิญเอกอัครราชทูตจ<WBR>ีนประจำประเทศไทย (ฯพณฯ ก่วนมู่) และ รองเจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย พระคณาจารย์ธรรมปัญญาจริยาภ<WBR>รณ์ (เจ้าอาวาส วัดมังกรกมลาวาส) เข้าร่วมในพิธี

    ประธานร่วมในพิธี
    ดร. สุธี มีนชัยนันท์ ประธานหอการค้าไทย-จีน
    ดร.ไกรสร จันศิริ ประธานสมาคมแต้จิ๋วแห่งประเ<WBR>ทศไทย
    ดร.สมาน โอภาสวงศ์ ประธานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง
    ทายาทตระกูลเอี่ยมสุรีย์

    กำหนดการ
    16 ธันวาคม 2553 เวลา 18.00 น. พิธีสวดอภิธรรมศพ ตามธรรมเนียมจีน
    17 ธันวาคม 2553 เวลา 19.00 น. พิธีสวดอภิธรรมศพ ตามธรรมเนียมไทย ศาลา 3
    18 ธันวาคม 2553 เวลา 16.00 น. พิธีฌาปนกิจ ณ เมรุ วัดเทพศิรินทราวาส

    สถานที่ วัดเทพศิรินทราวาส ศาลา 3

    งดรับดอกไม้และพวงหรีด

    การแต่งกายสากลนิยม

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เอ่ยถึงโจโฉ โจโฉก็มาเลยครับ..เพิ่งจะวางสายพี่เขาไปพักหนึ่ง พี่เขาฝากมาบอกว่า ที่มีโชคนั่นเกิดจากบุญร่วมสร้างไฉไบ๊ ทำให้มีโชคลาภ ๓ งวดต่อเนื่องกัน เว้น ๑ งวด รับโชคอีก ๑ งวด รวมทั้งสิ้น ๔ งวด...
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    “วาซาบิสด” รสชาติญี่ปุ่น สรรพคุณล้นเหลือ <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">16 ธันวาคม 2553 14:50 น.</td></tr></tbody></table>
    [​IMG] <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="450"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="450"> [​IMG] </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> “วาซาบิ” เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการกินอาหารญี่ปุ่น โดยเฉพาะอาหารพวกซูชิ หรือปลาดิบทั้งหลาย และที่ “108 เคล็ดกิน” จะพูดถึงในวันนี้ก็คือ “วาซาบิสด” ที่ทำมาจากโคนลำต้นของต้น Canola แล้วนำมาฝนด้วยแผ่นหนังปลาฉลาม ก็จะได้วาซาบิสดที่กินคู่กับอาหารญี่ปุ่นหลายชนิด

    รสเผ็ดของวาซาบิจะแตกต่างกับความเผ็ดของพริก คือจะมีรสเผ็ดขึ้นจมูกอยู่เพียงชั่วครู่ วาซาบิจะระเหยได้ง่ายโดยเฉพาะหากโดนน้ำและความร้อน และแนะนำว่า หากจะกินวาซาบิคู่กับโชยุ อย่านำทั้งสองอย่างลงไปผสมกัน เพราะวาซาบิจะละลายไปกับโชยุได้ง่าย ซึ่งจะทำให้รสชาติที่แท้จริงของวาซาบิผิดเพี้ยนไป

    ส่วนสรรพคุณของวาซาบินั้น นอกจากจะช่วยชูรสชาติอาหารให้อร่อยยิ่งขึ้นแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาอีกมากมาย อาทิ

    - ใช้ยับยั้งเชื้อโรคและเชื้อรา วาซาบิมีสรรพคุณลดการแพร่พันธุ์ของเชื้อโรคที่ทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษ

    - ใช้ยับยั้งพยาธิ มีผลหยุดการเกิดพยาธิที่อาศัยอยู่ในสัตว์ทะเล

    - ใช้ยับยั้งมะเร็งกระเพาะอาหาร หยุดการเจริญเติบโตและการกระจายตัวของเซลล์มะเร็งในกระเพาะอาหาร

    - ใช้ป้องกันเส้นเลือดตีบ ป้องกันเลือดแข็งตัวเป็นก้อน

    นอกจากนี้ ยังใช้กระตุ้นการดูดซับในระบบย่อยอาหาร ป้องกันการท้องเสีย ทำให้กระดูกแข็งแรง รวมถึงช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในการกำจัดเซลล์ที่เริ่มผิดปกติ

    สรรพคุณยาวเป็นหางว่าวแบบนี้ เห็นที “108 เคล็ดกิน” คงต้องรีบไปเสาะหา “วาซาบิสด” มากินเสียแล้ว

    Travel - Manager Online -
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เตือนปชช.อย่าวิตกข่าวลือ 'สึนามิ' (ไอเอ็นเอ็น)

    ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เตือนประชาชน อย่าตระหนกข่าวลือ "สึนามิ" ยืนยัน เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังเต็มที่

    น.อ.สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ฝากประชาสัมพันธ์ เนื่องจากในระยะนี้มีข่าวลือ เรื่อง การเกิดสึนามิในอ่าวไทย และทะเลอันดามัน ทางศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ หรือ ศภช. ขอยืนยันว่า การเกิดสึนามิ ไม่สามารถพยากรณ์ล่วงหน้าได้ จึงขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกและสามารถวางแผนฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ได้อย่างปกติ

    ทั้งนี้ ศูนย์เตือนภัยฯ ผนึกกำลังร่วมกันเฝ้าระวังดูแลความปลอดภัยตลอดเวลา 24 ชั่วโมง จึงฝากประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบเป็นข้อมูล

    ที่มา ไอเอ็นเอ็น


     
  10. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    19 ธันวาคม วันประสูติเสด็จเตี่ย <SUP></SUP>


    เสด็จเตี่ยองค์บิดาทหารเรือไทย
    19 ธันวาคม วันคล้ายวันประสูติ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
    พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
    องค์บิดาของทหารเรือไทย
    หากเอ่ยพระนาม “ อาภากร ” ทหารเรือทุกหมู่เหล่าต่างทราบดีว่าหมายถึง นายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่ทหารเรือทุกนายเทิดทูนยิ่ง ไม่เพียงแต่บรรดาทหารเรือเท่านั้น แต่ประชาชนโดยทั่วไปก็เคารพสักการะ และยกย่องพระองค์ท่านเสมอเหมือนบิดาของตน ดังจะเห็นได้จากการถวายพระนามท่านว่า “ เสด็จเตี่ย ” ซึ่ง นายพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ นับได้ว่าเป็นเจ้านายที่มีบุคคลให้ความเคารพสักการะ เป็นจำนวนมาก เรียกได้ว่ามีจำนวน พระอนุสาวรีย์และศาลมากที่สุดพระองค์หนึ่งของไทย โดยในปัจจุบันมีมากกว่า 500 แห่ง ทั่วประเทศ
    นายพลเรือเอก นายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงมีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่28 ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่ 1 ใน เจ้าจอมมารดาโหมด ประสูติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ.2423 ในพระบรมมหาราชวัง
    เสด็จในกรมฯ เป็นเจ้านายพระองค์แรกที่สำเร็จการศึกษาวิชาการทหารเรือจากประเทศอังกฤษ ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่า กิจการทหารเรือไทยเท่าที่เป็นอยู่ในขณะนั้น ต้องอาศัยชาวต่างชาติเป็นผู้บัญชาการเรือและป้อม อยู่เป็นอันมาก จึงไม่สู้จะมีความมั่นคงเท่าใดนัก
    ภายหลังจากที่ เสด็จในกรมฯ ทรงสำเร็จการศึกษา และเข้ารับราชการทหารเรือแล้ว พระองค์ทรงเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นความสำคัญและโปรดเกล้าฯ พระราชทานน็ พระราชวังเดิม ให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ พระองค์ได้แก้ไขปรับปรุงระเบียบการในโรงเรียนนายเรือให้ทันสมัย เพื่อให้ผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายเรือเป็นนายเรือที่มีความรู้ ความสามารถ เทียบได้กับ นายทหารเรือต่างประเทศ
    จากการที่พระองค์ทรงเป็นนักยุทธศาสตร์ที่เล็งเห็นการณ์ที่ไกล พระองค์ได้ทูลเกล้าขอพระราชทานที่ดินบริเวณอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานที่ดิน ที่สัตหีบให้แก่กองทัพเรือ เพื่อจัดตั้งเป็นฐานทัพเรือ เมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2465
    นอกจากพระมหากรุณาธิคุณของ นายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ดังที่กล่าวมาแล้ว พระองค์ยังทรงมีพระปรีชาสามารถ และมีคุณูปการยิ่ง แก่กองทัพเรือ อาทิ ทรงเป็น ผู้บังคับการเรือนำเรือหลวงพระร่วงจากประเทศอังกฤษ เข้ามายังกรุงเทพมหานคร นับเป็นครั้งแรกที่นายทหารเรือไทยเดินเรือได้ไกลข้ามทวีป ทรงจัดตั้งกองการบินทหารเรือ ทรงเปลี่ยนสีเรือรบของทหารเรือจากสีขาวเป็นสีหมอกให้เหมือนกับเรือรบต่างประเทศ เพื่อให้เกิดความกลมกลืนกับลักษณะของสีน้ำทะเลและภูมิประเทศ ซึ่งกองทัพเรือได้นำสีดังกล่าวมาใช้เป็นสีเรือทุกลำของกองทัพเรือตราบจนปัจจุบัน
    ในด้านการดนตรี เพลงพระนิพนธ์ ของ เสด็จในกรมฯ ทุกเพลงจะมีเนื้อหาปลุกใจให้มีความรักชาติ กล้าหาญ ยอมสละชีวิตเพื่อชาติ โดยเพลงปลุกใจของพระองค์ นับว่าเป็นเพลงอมตะของทหารเรือ เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงเป็นอมตะอยู่ในจิตใจของทหารเรือตลอดเวลา
    นอกจากพระองค์จะทรงเป็นนักยุทธศาสตร์แล้ว ด้านการแพทย์แผนโบราณ พระองค์ทรงศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง ทรงเขียนตำรายาแผนโบราณลงในสมุดข่อยด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เองโดยทรงตั้งชื่อตำรายาเล่มนี้ว่า "พระคัมภีร์อติสาระวรรคโบราณะกรรมและปัจจุบันนะกรรม" นอกจากนั้นยังได้ทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บแก่คนทั่วไปโดยไม่เลือกคนจนหรือคนมี และมิได้คิดค่ารักษาหรือค่ายาแต่อย่างใด จนเป็นที่นับถือของบุคคลทั่วไป และถวายพระนามพระองค์ท่านว่า "หมอพร"
    นายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ได้กราบบังคมทูลออกจากราชการเพื่อพักผ่อนรักษาพระองค์ เมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ.2466 เนื่องจาก พระองค์ทรงมีสุขภาพไม่สมบูรณ์ และประชวรพระโรคภายในอยู่ด้วย โดยทรงประทับอยู่ ด้านใต้ปากน้ำ เมืองชุมพร ขณะที่พระองค์ประทับอยู่นี้ก็เกิดพระโรคหวัดใหญ่ เนื่องจากถูกฝน ทรงประชวรอยู่เพียง 3 วัน ก็สิ้นพระชนม์ที่ตำบลหาดทรายรี อ.เมือง จ.ชุมพร ในวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2466 สิริพระชนมายุ ได้ 44 พรรษา
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    19
     
  11. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    บันทึก
    ของ
    เสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์



    เจอบันทึกนี้ให้เอาคำต่อไปนี้ของกูไปประกาศให้คนรับรู้ว่า
    กู กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
    ผู้เป็นโอรสของพระปิยะมหาราช
    ขอประกาศให้พวกมึงรับรู้ไว้ว่า
    แผ่นดินสยามนี้บรรพบุรุษได้เอาเนื้อเอาชีวิตเข้าแลกไว้
    ไอ้อีผู้ใดมัน คิดบังอาจทำลายแผ่นดิน
    ทำลายชาติ ทำลายศาสนา พระมหากษัตริย์
    ฤากระทำการทุจริตก่อให้เกิดความเดือนร้อนต่อส่วนรวม
    จงหยุดคิดการกระทำนั้นเสียโดยเร็ว
    ก่อนที่กูจะสั่งทหารผลาญสิ้นทั้งโคตรให้หมดเสนียดของแผ่นดินสยาม
    อันเป็นที่รักของกูตราบใดที่คำว่าอาภากร
    ยังยืนหยัดอยู่ในโลก กูจะรักษาแผ่นดินสยามของกู
    ลูกหลานทั้งหลาย
    แผ่นดินใดให้กำเนิดเรามา แผ่นดินใดให้ที่ซุกหัวนอน
    ให้ความร่มเย็นเป็นสุขมิให้อนาทรร้อนใจ
    จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น<O:p</O:p
     
  12. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    พรุ่งนี้ไปเรียนหนังสือ ต้องผ่านราชนาวีด้วยถือโอกาสไปกราบสักการะเสด็จเตี่ยด้วยเลย นอกจากนั้นพระองค์ท่านยังเป็นหมอพรที่ช่วยรักษาโรคภัยให้ผู้คนอีกมากมาย...
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 4 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong</td></tr></tbody></table>

    อรุณสวัสดิ์ยามเช้าวันอาิทิตย์หรรษาครับ


    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เหนือ-อีสานหนาวอุณหภูมิลดต่อเนื่อง

    คมชัดลึก :อุณหภูมิ ภาคเหนือ-อีสานลดลงต่อเนื่อง ล่าสุดที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย วัดได้ 17 องศา ยอดดอยอยู่ที่ 7-8 องศา เทือกเขาภูพาน 4-7 องศา แพทย์เตือนควรดูแลเด็กเล็กใกล้ชิด ชี้ปรับตัวไม่ทันอาจเสียชีวิต ขณะที่ชาวบ้าน 7 อำเภอแม่ฮ่องสอน เริ่มป่วยโรคทางเดินหายใจ


    (18ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อุณหภูมิในพื้นที่จ.เชียงราย ยังหนาวเย็น ถึงเย็นจัด สถานีอุตุนิยมวิทยาเชียงราย รายงานการตรวจวัดอุณภูมิต่ำสุด ที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง ต.บ้านดู่ อ.เมือง จ.เชียงราย สามารถวัดได้ 17องศาเซลเซียส ยอดดอยอยู่ที่ 7-8 องศาเซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิสูงสุดเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม วัดได้ 21 องศาเซลเซียส และคาดว่า อากาศในพื้นที่ จ.เชียงราย จะลดลงอีก 1-2 องศาเซลเซียส ในช่วง 2-3 วันนี้
    ทั้งนี้ จ.เชียงราย ยังจะเผชิญกับอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งวันไปอีก เพราะทั่วท้องฟ้า จ.เชียงราย มีเมฆปกคลุมเป็นจำนวนมาก ทำให้อากาศหนาวเย็นจัด เนื่องจากไม่มีแสงแดด
    ส่วนที่ จ.ลำปาง หลังจากที่มีฝนตกกระจายทั่วไปใน จ.ลำปาง เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ที่ผ่านมา ทำให้อุณหภูมิในพื้นที่เมื่อช่วงเช้าวันที่ 18 ธันวาคม ลดลงเหลือ 18 องศาเซลเซียส และมีหมอกปกคลุมในพื้นที่
    นายทิวา พันธ์ไม้สี หัวหน้าสถานีอุตุนิยมวิทยาลำปาง กล่าวว่า ในช่วงเช้าวันที่ 18 ธันวาคม ในตัวเมือง อ.ลำปาง และอำเภอใกล้เคียงหลายแห่งนั้น ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาทึบ โดยมีอุณหภูมิล่าสุดอยู่ที่ 18 องศาเซลเซียส และในช่วงนี้จนไปถึงปลายเดือนธันวาคม อุณหภูมิยังคงจะลดลงอีก
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านในพื้นที่ อ.เมือง อ.แม่เมาะ บางส่วน ที่มีบ้านอยู่ในพื้นที่สูงและอาศัยอยู่ริมสันเขาได้รับผลกระทบจากอากาศหนาวเย็นแล้ว โดยชาวบ้านส่วนใหญ่ต้องนำไม้มาก่อกองไฟผิงคลายหนาว
    ที่ จ.เลย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สภาพอากาศในช่วงนี้มีความหนาวเย็น และฝนตกติดต่อกัน 3 วัน สถานีอุตุนิยมวิทยาเลย รายงานว่า สาเหตุมาจากความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงจากประเทศจีนแผ่ลงมาปก คลุมภาคอีสานตอนบนของไทย เป็นปรากฏการณ์ที่อากาศเปลี่ยนแปลง ซึ่งอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 12 องศาเซลเซียส ส่วนบริเวณยอดภูอยู่ระหว่าง 4-10 องศาเซลเซียส และเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม วัดได้ต่ำสุดที่ อ.ผาขาว 14.0 องศาเซลเซียส ยอดภูที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง อ.ภูเรือ 8.0 องศาเซลเซียส
    ด้านนายวิวรรธน์ ก่อวิริยกมล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเลย กล่าวว่า ช่วงนี้สภาพอากาศเริ่มหนาวเย็น ขึ้นมาก โดยเฉพาะเวลากลางคืน จึงขอเตือนประชาชนทุกคน โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุควรที่จะต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะอาจจะทำให้เกิดการเจ็บป่วยด้วย โรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม ฯลฯ ดังนั้น จึงต้องดูแลสุขภาพร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ
    ที่ จ.กาฬสินธุ์ สภาพอากาศเริ่มหนาวเย็นลดลงเหลือ 12 องศาเซลเซียส ส่งผลให้ประชาชนเป็นไข้หวัดเป็นจำนวนมาก
    เทือกเขาภูพาน 4-7 องศาฯ
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สภาวะความกดอากาศสูง หรือมวลกดอากาศเย็น กำลังปกคลุมภาคอีสาน โดยที่ จ.กาฬสินธุ์ ประชาชนตามชนบท ต้องออกมาก่อไฟผิงไล่ความหนาวเย็น ซึ่งในช่วงกลางคืนและช่วงเช้า เนื่องจากความเย็นส่งผลให้อุณหภูมิลดลงเหลือเพียง 12 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะตามเทือกเขาภูพาน จะมีอุณหภูมิเฉลี่ยเหลือเพียง 4-7องศาเซลเซียส
    นายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ ระบุว่า ความหนาวเย็น ที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ ประชาชนที่ก่อไฟผิงยังเสี่ยงกับอัคคีภัย เพราะสภาพอากาศที่แห้งแล้ง สะเก็ดไฟจะทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้ง่าย ประชาชนจึงควรระมัดระวังและในช่วงนี้ ในช่วงตอนเช้า ยังมีหมอกหนา การเดินทางก็ยังต้องควรระมัดระวังด้วย
    สำหรับปัญหาความหนาวเย็น มีรายงานว่า ขณะนี้มีประชาชนทั่วทั้งจังหวัดเจ็บป่วยด้วยโรคไข้หวัดที่จะต้องเข้าไปรักษา ตามโรงพยาบาลชุมชน และสถานีอนามัยเฉลี่ยถึงวันละ 500 คน
    อากาศเย็นดูแลเด็กเล็กใกล้ชิด
    นพ.บุญเติม ตันสุรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก กล่าวว่า สภาพอากาศที่หนาวเย็น อาจทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน และเกิดการเจ็บป่วยได้ง่าย หากใส่เสื้อผ้าให้ความอบอุ่นร่างกายไม่เพียงพอ จะมีผลทำให้ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี อาจทำให้ช็อกเสียชีวิตได้ เนื่องจากความเย็น จะทำให้เลือดมีความหนืด หัวใจต้องทำงานสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ในร่างกายหนักขึ้น ที่น่าห่วงก็คือเด็ก ที่อยู่ในภาคเหนือและพื้นที่สูง ซึ่งอากาศจะหนาวเย็น กว่าพื้นที่อื่นๆ เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงเจ็บป่วย หรือเสียชีวิตสูงที่สุด เนื่องจากศูนย์ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายของเด็กยังทำงานไม่เต็มที่
    "ในช่วงที่อากาศเย็นยังต้องระวังโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจด้วย เช่น โรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หอบหืด หรือหลอดลมอักเสบ รวมถึงโรคปอดบวม โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว เป็นกลุ่มเสี่ยงสูง เนื่องจากร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่ำ ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ควรจะดูแลให้กลุ่มคนเหล่านั้นสวมเสื้อผ้าให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายอย่างเพียง พอ" นพ.บุญเติมกล่าว
    หนาวกะทันหันชาวบ้านป่วย
    นายธีรยุทธ จันทร์ดิษฐวงษ์ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า สภาพอากาศที่ จ.แม่ฮ่องสอนหนาวเย็น ลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ประชาชนทั้ง 7 อำเภอของจังหวัดต้องประสบกับความเดือดร้อน โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่บนยอดดอย ล่าสุด สำรวจพบว่าผู้ความต้องการผ้าห่มนวม จำนวน 8 หมื่นผืน ซึ่ง ปภ.ได้แจกจ่ายไปแล้ว 8.2 หมื่นผืน แต่ในส่วนของเสื้อกันหนาวที่ สำรวจพบว่ามีความต้องการ 1.4 แสนตัว แต่แจกจ่ายได้เพียง 1 หมื่นตัว เนื่องจากงบประมาณที่ได้รับไม่เพียงพอ ซึ่งขณะที่ ปภ.กำลังประสานหน่วยงานภาคเอกชนเพื่อขอรับบริจาคเพิ่มเติม
    นายธีรยุทธกล่าวด้วยว่า อุณหภูมิที่ลดลงอย่างกะทันหันเริ่มส่งผลให้มีประชาชนประสบปัญหาทางสุขภาพโดย เฉพาะโรคทางเดินหายใจ ปัญหาที่เกิดขึ้น นายถาวร กำธรสถิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้สั่งตั้งศูนย์อำนวยการ เฉพาะกิจขึ้นในทุกอำเภอ โดยมีการประกาศผ่านเสียงตามสายในทุกชุมชนให้ดูแลร่างกายให้อบอุ่นและหลีก เลี่ยงการสูดควันจากการผิงไฟคลายหนาว ขณะเดียวกันยังแจ้งเตือนไปยังนักท่องเที่ยวในจุดต่างๆ ให้หลีกเลี่ยงการก่อไฟใกล้เต็นท์ที่พักเพื่อป้องกันการสำลักควันขณะนอนหลับ ซึ่งอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้
    อดีตทหารผ่านศึกนอนหนาวตาย
    เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 18 ธันวาคม พ.ต.ท.นิกร ขำภูเขียว สารวัตร สภ.ป่าโมก จ.อ่างทอง รับแจ้งมีคนนอนเสียชีวิตภายในกระท่อมกลางนา พื้นที่หมู่ 5 ต.สายทอง อ.ป่าโมก หลังรับแจ้งจึงไปตรวจสอบยังที่เกิดเหตุพร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัยวีอาร์จังหวัด อ่างทอง ในที่เกิดเหตุพบศพนายเพ็ง รอดราคี อายุ 71 ปี อยู่บ้านเลขที่ 63/3 หมู่ 5 ต.สายทอง อ.ป่าโมก นอนห่มผ้าอยู่ในมุ้ง ตรวจสภาพร่างกายไม่พบร่องรอยของการถูกทำร้ายแต่อย่างใด ในที่เกิดเหตุก็ไม่พบร่องรอยการรื้อค้นและการต่อสู้
    พ.ต.ท.นิกรกล่าวว่า จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุไม่พบร่องรอยการถูกทำร้าย และทรัพย์สินของผู้ตายก็ไม่ได้สูญหาย เบื้องต้นสันนิษฐานว่า เมื่อกลางดึกอากาศหนาวเย็น ทำให้ผู้ตายเกิดอาการช็อกจนเป็นเหตุให้เสียชีวิต
    อากาศลดแห่ซื้อเสื้อกันหนาว
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สภาพอากาศที่หนาวเย็นลงแบบฉับพลันระลอกใหม่ ส่งผลให้ประชาชนชาวอุทัยธานี แห่ไปซื้อเสื้อกันหนาว เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ส่งผลตลาดนัดคึกคัก เพราะมีราคาถูกกว่าท้องตลาด และตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป
    โดยบรรดาพ่อค้า แม่ค้า ในเขต อ.ทัพทัน และอำเภออื่นๆ ใน จ.อุทัยธานี ต่างนำเสื้อกันหนาว หลากหลายรูปแบบ ทั้งของเด็ก และผู้ใหญ่ ที่เป็นของใหม่มาขายเป็นจำนวนมาก ทั้งในรูปแบบล้างสต็อก รวมทั้งเสื้อผ้ามือสอง โดยส่วนใหญ่ปีนี้ประชาชนให้ความสนใจเลือกซื้อเสื้อกันหนาวที่ เป็นของใหม่ มากกว่าเสื้อผ้ามือสอง โดยให้เหตุผลว่าเสื้อผ้าใหม่ปีนี้ราคาไม่แพงมากนัก และหวั่นว่าหากเสื้อผ้ามือสองแม้ว่าจะราคาถูกกว่า แต่กลัวติดเชื้อโรค แต่ก็มีประชาชนอีกไม่น้อยที่มีฐานะยากจนจำเป็นต้องเลือกซื้อเสื้อกันหนาวมือสองมาสวมใส่เพราะราคาถูกกว่ามาก
    ระวังซื้อเสื้อกันหนาวมือสอง
    นพ.บุญชัย ธีระกาญจน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุทัยธานี ได้แจ้งเตือนประชาชนที่พากันไปหาซื้อเสื้อผ้ากันหนาวมือสองมาสวมใส่เพื่อป้องกันภัยหนาว ว่า ควรที่จะซักหรือต้ม เพื่อทำความสะอาดเสื้อผ้ากันหนาวมือสองที่ซื้อมาก่อนที่จะนำเอาไปสวมใส่
    ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันเชื้อโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคผิวหนังต่างๆ ที่อาจจะติดมากับเสื้อผ้ากันหนาวมือสองก็ได้


    ที่มา คมชัดลึก

     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คำวัด - พระเครื่อง เครื่องราง ของขลัง

    คมชัดลึก :คติ ความเชื่อในการสร้างพระเครื่องส่วนใหญ่ การสร้างให้มีขนาดเล็ก เพื่อที่จะสามารถสร้างได้จำนวนมาก สำหรับบรรจุในพระพุทธเจดีย์ เพื่อว่าในอนาคตเมื่อพระพุทธศาสนาเสื่อมลง วัตถุต่างๆ พังทลาย ยังสามารถพบรูปสมมติของพระพุทธเจ้า เพื่อแสดงให้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา

    ใช้เป็นเครื่องรางสำหรับ คุ้มครองป้องกันในการออกศึกสงครามของคนโบราณ เป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์อย่างหนึ่ง ปัจจุบันนิยมนำมาห้อยคอเป็นเครื่องรางสำหรับคุ้มครองป้องกัน และเพื่อความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต
    คำว่า "พระเครื่อง" ในประเทศไทยนั้น เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ท่านสั่งเครื่องจักรจากยุโรปมาเพื่อผลิตเหรียญกษาปณ์ ทำให้มีการผลิตเหรียญของเกจิอาจารย์ขึ้น ทำให้เรียกว่าพระที่ทำจากเครื่องจักรว่า "พระเครื่อง" หรือเรียกพระองค์เล็กๆ ที่เป็นพระพิมพ์เรียกเหมือนกันว่า "พระเครื่อง"
    พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต) เจ้าอาวาสวัดราชโอสาราม ได้อธิบายความหมายของคำว่า "เครื่องราง" คือ ของที่นับถือว่าป้องกันอันตราย ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า เช่น ตะกรุด ผ้ายันต์ เหล็กไหล แม้พระเครื่องก็ถือว่าเป็นเครื่องรางเช่นกัน โดยเรียกว่า "พระเครื่องราง"
    ส่วน "ของขลัง" คือของที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ มีพลัง มีอำนาจที่อาจบันดาลให้เป็นไป หรืออาจบันดาลสิ่งที่ต้องประสงค์สำเร็จได้
    สองคำนี้มักนิยมพูด หรือนิยมเขียนคู่กันเสมอ คือ เครื่องรางของขลัง
    เครื่อง รางของขลัง ปกติเป็นเรื่องนอกคำสอนของพระพุทธศาสนา ถูกจัดอยู่ในประเภทไสยศาสตร์มากกว่า แต่เป็นที่นิยมกันมาแต่โบราณ ด้วยเห็นว่าพลังหรืออำนาจนั้น มาจากพุทธคุณ

    ในขณะที่คำว่า "พระเครื่อง" นั้น พระธรรมกิตติวงศ์ ได้อธิบายไว่ว่า ความหมายเดิม คือพระพุทธรูปองค์เล็กๆ ที่นับถือว่าเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันอันตราย เป็นคำย่อมาจากคำว่า "พระเครื่องราง"
    พระเครื่อง ปัจจุบันหมายรวมทั้งพระพุทธรูป และรูปพระสงฆ์ที่เรียกกันว่าเกจิอาจารย์ซึ่งหล่อเป็นองค์เล็กๆ หรืออัดจากผงชนิดต่างๆ ดุนเป็นรูปนูนขึ้นมา มีรูปทรงต่างๆ เช่น ทรงกลม สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม ที่ผ่านการปลุกเสกที่เรียกว่า "พุทธาภิเษก" มาแล้ว ถือกันว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ สามารถป้องกันอันตราย และนำโชคลาภมาให้ได้เป็นต้น
    พระเครื่อง มีวิวัฒนาการมาก นอกจากนิยมในด้านความศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังนิยมในด้านศิลปะ และความเก่าด้วย บางองค์มีค่ามากกว่าเพชรพลอย โดยเรียกการซื้อขายแลกเปลี่ยนว่า "เช่า"
    "พระธรรมกิตติวงศ์"



    ที่มา คมชัดลึก
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เทิดพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

    [​IMG]
    ข้าวอบเผือก



    [​IMG]
    ปลากระบอกจีน



    [​IMG]
    ผัดหมี่เตี๊ยว



    [​IMG]
    ขาหมูพระโล้แต้จิ๋ว / โอวนี้แปะก๊วย



    [​IMG]




    คมชัดลึก :ทุก ครั้งที่ คุณมนูญ พุฒทอง ประธานชมรมร้านอาหารเขตคลองสาน จัดเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยา ตามรอยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ต้องเชิญผมไปร่วมบรรยายถึงสายสัมพันธ์เมืองสยาม เชื่อมแผ่นดินซัวเถาที่หมู่บ้านเท่งไฮ้ บ้านเกิดของ นายไหฮอง พระราชบิดาของ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช



    เมื่อถึงวันที่ 28 ธันวาคม ทุกปี นับเป็นวันคล้ายวันปราบดาภิเษกของ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กรุงเทพมหานครถือฤกษ์นี้จัดงานเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่ทรงรวบรวมคนไทยทั้งชาติ กอบกู้เอกราชให้แผ่นดินสยาม และตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานีอย่างยิ่งใหญ่ มาจนถึงทุกวันนี้
    ปีนี้ คุณมัณฑนา ชูติกาญจน์ ผอ.เขตคลองสาน เป็นแม่งานในการจัดงาน เทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ครั้งที่ 34 ระหว่าง วันที่ 27-28 ธันวาคมนี้ ณ บริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช วงเวียนใหญ่ มีพิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช อย่างยิ่งใหญ่
    การเชิดสิงโต-มังกรทอง เมืองซัวเถา การแสดงงิ้วแต้จิ๋ว การแสดงของนักเรียนจากโรงเรียนในสังกัด กทม. และการแสดงถึงสายสัมพันธ์ไทย-จีน อันยิ่งใหญ่ ปีนี้คุณมัณฑนามอบหมายให้ คุณมนูญ พุฒทอง ประธานชมรมร้านอาหารเขตคลองสาน จัดการแข่งขันทำอาหารไทยร่วมสมัย(อาหารจานเดียว)
    วันที่ 27 ธันวาคม 2553 ประกวดอาหารที่ทำจากข้าว เช่น ข้าวผัด ข้าวราดหน้า ข้าวยำ
    วันที่ 28 ธันวาคม 2553 ประกวดอาหารที่ทำจากเส้นก๋วยเตี๋ยว เช่น ผัดไทย ผัดซีอิ๊ว ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า
    โดยเปิดให้มีการแข่งขันในระดับ เชฟหรือกุ๊กจากห้องอาหารภัตตาคาร ระดับประชาชนทั่วไป และระดับนักเรียนนักศึกษา

    ชิงรางวัลโล่เกียรติยศและเงินรางวัลจาก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ขณะนี้เปิดรับสมัครเชฟหรือกุ๊ก ประชาชนทั่วไป และนักเรียนนักศึกษา เข้าร่วมการแข่งขันแล้ว ติดต่อสอบถามที่ คุณพรพัน วัฒนสินธุ์ หัวหน้าฝ่ายสิ่งแวดล้อมและสุขาภิบาล เขตคลองสาน โทร.0-2863-1664
    อาหารอร่อยย้อนยุค สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
    ผมได้เสนอต่อที่ ประชุมเขตคลองสานว่า นายไหฮอง พระราชบิดาของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีบ้านเกิดอยู่ที่อำเภอเท่งไฮ้ เมืองซัวเถา สาธารณรัฐประชาชนจีน เท่งไฮ้เป็นเมืองชายทะเลชาวเท่งไฮ้ จึงเชี่ยวชาญในการเดินเรือมาก ชาวเท่งไฮ้ขยันอดทนจึงเป็นกลุ่มชาวจีนโพ้นทะเลชุดแรกๆ ที่อพยพออกมาอยู่ในเมืองไทย

    เมื่อครั้งที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงนำชาวไทยกอบกู้ชาติบ้านเมือง จากการเสียกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งที่สอง กองทัพของพระเจ้าตากไม่มีความเชี่ยวชาญในการรบทางเรือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงให้พระญาติลงเรือสำเภา เดินทางไปขอกำลังชาวเท่งไฮ้มาช่วยในการรบจนได้รับชัยชนะ และก่อตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานี
    ที่อำเภอเท่งไฮ้จึงมีสุสานฝังเครื่องทรงของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อเป็นการรำลึกและยกย่องสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่เป็นชาวต่างชาติเชื้อสายจีนคนแรก ที่ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ รอบๆ สุสานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ปัจจุบันเป็นสถานที่เลี้ยงห่านหัวสิงโต(ไซเถ้าง้อ) ที่มีชื่อเสียงของจีน
    ห่านพะโล้ที่เมืองซัวเถาเป็นอาหารที่นำขึ้นโต๊ะเสวยขององค์จักรพรรดิมา นาน ปัจจุบันเป็นอาหารชั้นเลิศที่ชาวจีนหวงแหนมากเท่าแพนด้า ผมจึงเสนอให้ที่ประชุมจัดเมนูอาหารอร่อยย้อนยุคสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อแสดงให้ผู้ที่ไปร่วมงานเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้รู้ว่าอาหารอร่อยยุคนั้นมีอะไรบ้าง
    เมนูย้อนยุคชุดนี้ผมเปรียบเทียบและคัดเลือกจาก ร้านอาหารในประเทศไทยและภัตตาคารต่างๆ ในเมืองซัวเถา ได้แก่ ห่านพะโล้เท่งไฮ้ ขาหมูพะโล้แต้จิ๋ว ผัดหมี่เตี๊ยว ข้าวอบเผือก ปลากระบอกจีน(โอวฮี้)นึ่งแช่เย็น และโอวนี้แปะก๊วย(ข้าวเหนียวเผือกกวน) ซึ่งเป็นอาหารจีนสไตล์แต้จิ๋วรสเลิศ
    คุณธนากร สาธิตภิญโญ จากซ้งโภชนาภัตตาคารจีนในย่านถนนเจริญนคร จัดการทำ ผัดหมี่เตี๊ยว ข้าวอบเผือก ปลากระบอกจีน และโอวนี้แปะก๊วย ถูกต้องตามตำรับโบราณของจีนแต้จิ๋ว มาขึ้นโต๊ะเพื่อบวงสรวงดวงพระวิญญาณสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แล้วยังจัดให้ชิมที่ซ้งโภชนา โทร.0-2439-4265
    สำหรับ ห่านพะโล้เท่งไฮ้ ต้องยกให้ภัตตาคารกอกใจ(กอกใจเจ๋าเหล่า) ซึ่งเชี่ยวชาญในการทำอาหารจีนโบราณ และขนมไหว้พระจันทร์ทุกชนิด แม้ว่าจะหาห่านหัวสิงโตตัวใหญ่จากเท่งไห้ไม่ได้ แต่ คุณอรวรรณ อทินันตพันธุ์ ยังไปคัดห่านตัวใหญ่มาต้มกับผงพะโล้ตรามือและซีอิ๊วจากเมืองจีน จนได้ห่านพะโล้ที่หอมกรุ่น อยากรู้ว่าห่านพะโล้เท่งไฮ้รสเลิศอย่างไร ต้องไปชิมที่กอกใจ โทร.0-2437-6472, 0-2437-7926
    ส่วน ขาหมูพะโล้แต้จิ๋ว คุณมนูญ พุฒทอง ให้ครัวห้องอาหารยกยอตุ๋นขาหมูพะโล้ สูตรแต้จิ๋ว เคี่ยวจนเนื้อและหนังขาหมูเปื่อยนุ่ม นำขึ้นโต๊ะเสวยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แนะนำให้คนที่ชอบกินขาหมูพะโล้รู้ว่า ขาหมูพะโล้สูตรแต้จิ๋วต้องไม่หวานมาก หอมกลิ่นพะโล้และซีอิ๊วอย่างดี หาชิมได้ที่ห้องอาหารยกยอทุกสาขา โทร.0-2280-1319-20
    วันที่ 27-28 ธันวาคมนี้ ไปชมเมนูอาหารย้อนยุคสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่วงเวียนใหญ่ แล้วไปชมการแข่งขันประกวดอาหารด้วยครับ


    ที่มา คมชัดลึก


    http://www.komchadluek.net/detail/20101218/82985/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A.html



    .



    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อุตุเตือนภัยทั่วไทยอากาศหนาวเย็น


    กรมอุตุฯเตือนภัยฉบับ15ทั่วประเทศไทยมีอากาศหนาวเย็น 7จังหวัดภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน คลื่นลมในอ่าวไทยสูง2เมตร
    กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศเตือนภัย "อากาศหนาวเย็นบริเวณประเทศไทยตอนบน ฝนตกหนักและคลื่นลมแรงในภาคใต้ " ฉบับที่ 15 ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2553 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนยังคงแผ่ ลงมาปกคลุมประเทศไทย ทำให้ทั่วประเทศมีอากาศหนาวเย็นโดยทั่วไป
    สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาค ใต้ ทำให้ภาคใต้มีฝนกระจาย และมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณจังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดสภาวะน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากได้ ส่วนคลื่นลมในอ่าวไทยสูง ประมาณ 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังในระยะนี้ไว้ด้วย
    พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.

    ภาคเหนือ อากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 17-19 องศา สำหรับบริเวณยอดดอยอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 10-14 องศา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศหนาวทางตอนบนของภาค อุณหภูมิต่ำสุด ประมาณ 15 องศา ส่วนทางตอนล่างของภาคอากาศเย็น และมีฝนบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 16-17 องศา สำหรับบริเวณยอดภูอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 8-13 องศา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

    ภาคกลาง อากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 19-20 องศา สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 14-15 องศา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

    ภาคตะวันออก อากาศเย็น และมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากตามบริเวณชายฝั่ง อุณหภูมิต่ำสุด 19-22 องศา สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 14-15 องศา
    ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร

    ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) อากาศเย็น โดยมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดพัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 21-23 องศา
    ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง ประมาณ 2 เมตร

    ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) อากาศเย็น โดยมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดกระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด ประมาณ 23 องศา ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
    ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร

    กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 21-22 องศา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

    ที่มาโพสต์ทูเดย์

    อุตุเตือนภัยทั่วไทยอากาศหนาวเย็น

    .



    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คุณค่าแห่งพระวินัย ที่ชาวพุทธควรเข้าใจ (๑)


    คุณค่าแห่งพระวินัยที่ชาวพุทธควรเข้าใจ



    คุณค่าแห่งพระวินัย...ที่ชาวพุทธควรเข้าใจ (ตอน๓)


    คุณค่าแห่งพระวินัย...ที่ชาวพุทธควรเข้าใจ (ตอน ๔)


    คุณค่าแห่งพระวินัย...ที่ชาวพุทธควรเข้าใจ(ตอน๕)


    คุณค่าแห่งพระวินัย...ที่ชาวพุทธควรเข้าใจ (ตอน๖)


    คุณค่าแห่งพระวินัย...ที่ชาวพุทธควรเข้าใจ(ตอน๗)


    คุณค่าแห่งพระวินัย...ที่ชาวพุทธควรเข้าใจ (ตอน๘)


    คุณค่าแห่งพระวินัย...ที่ชาวพุทธควรเข้าใจ (ตอน ๙)


    คุณค่าแห่งพระวินัย...ที่ชาวพุทธควรเข้าใจ(ตอน ๑๐)


    คุณค่าแห่งพระวินัย...ที่ชาวพุทธควรเข้าใจ (ตอน ๑๑)


    คุณค่าแห่งพระวินัย...ที่ชาวพุทธควรเข้าใจ (ตอน๑๒)


    คุณค่าแห่งพระวินัย...ที่ชาวพุทธควรเข้าใจ (ตอน ๑๓)


    คุณค่าแห่งพระวินัย...ที่ชาวพุทธควรเข้าใจ (จบ)
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คุณค่าแห่งพระวินัย ที่ชาวพุทธควรเข้าใจ (๑)


    คุณค่าแห่งพระวินัยที่ชาวพุทธควรเข้าใจ



    คุณค่าแห่งพระวินัย...ที่ชาวพุทธควรเข้าใจ (ตอน๓)


    คุณค่าแห่งพระวินัย...ที่ชาวพุทธควรเข้าใจ (ตอน ๔).

    ปุจฉา : นมัสการพระอาจารย์อารยะวังโส
    โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส
    ปุจฉา : นมัสการพระอาจารย์อารยะวังโส
    ได้อ่านธรรมส่องโลก ในเรื่องที่เกี่ยวกับการบัญญัติวินัย ว่าด้วยเรื่องการลักทรัพย์ ถึงขั้นปาราชิก คือขาดจากความเป็นพระสงฆ์ และท่านอาจารย์เทียบเคียงให้เห็นคุณประโยชน์ของการบัญญัติวินัยหรือศีลไว้ อย่างแข็งแรงของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะการไม่ปล่อยให้พระสงฆ์ประพฤติออกนอกกรอบความเป็นสาวกของพระผู้มีพระ ภาคเจ้า อ่านแล้วได้สาระความรู้อย่างยิ่งในสิกขาบทที่ ๒ จากจำนวน ๔ สิกขาบทของโทษปาราชิก
    จึงใคร่ขอให้ท่านอาจารย์แสดงความสำคัญในเนื้อหาสาระอีก ๓ สิกขาบท ว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร มีสาระที่จะนำมาใช้ประโยชน์กับการบริหารประเทศอย่างไรบ้าง หากไม่เป็นการรบกวน ขอพระอาจารย์ช่วยเขียนตอบให้ด้วย ผ่านคอลัมน์ธรรมส่องโลก เพื่อการศึกษาของชาวพุทธที่ควรรู้
    นมัสการด้วยความเคารพยิ่ง
    ศรัทธาธรรมส่องโลก
    วิสัชนา : ขอเจริญพรสาธุชนผู้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา และมีความสนใจในการศึกษาธรรมะจาก “ธรรมส่องโลก” ก่อนจะวิสัชนาธรรมขอนำจดหมายอีกฉบับหนึ่งมาตอบในเบื้องต้น มีข้อความดังนี้
    นมัสการพระอาจารย์อารยะวังโสที่เคารพ
    ผมได้รับหนังสือ “แสงสว่างแห่งธรรม” และ “ธรรมส่องโลก ๒” แล้วในวันนี้เอง ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะเล่มที่มีภาคภาษาอังกฤษ มีประโยชน์กับผมมากเวลาที่ผมต้องการจะสื่อสารกับชาวต่างชาติเกี่ยวกับพุทธ ศาสนา รู้สึกติดขัดมากเกี่ยวกับศัพท์แสงต่างๆ ปัญหาดังกล่าวคงเบาลงไปมากเมื่อได้หนังสือเล่มนี้ ไม่ทราบว่าอาจารย์ทราบได้อย่างไรว่า ผมกำลังมีปัญหาดังกล่าวและต้องการหนังสือที่ช่วยผมได้ในเรื่องนี้ดังกล่าว ราวกับว่าท่านหยั่งรู้จิตใจของผม จึงตอบสนองได้ตรงตามความต้องการ น่าอัศจรรย์มาก ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งมา ณ ที่นี้อีกครั้งหนึ่ง ในโอกาสหน้า หากมีสิ่งใดที่ผมจะทำประโยชน์แก่อาจารย์และแก่พระพุทธศาสนาได้ โปรดแจ้งให้ผมทราบด้วย จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
    กราบนมัสการมาด้วยความเคารพยิ่ง
    นพ.อุทิตย์ พิทักษ์ทอง
    อาตมาขออนุโมทนาในกระแสศรัทธาของคุณหมออุทิตย์ ที่ปวารณาตนเพื่อการทำประโยชน์ในพระพุทธศาสนา ซึ่งทุกฝ่ายในบริษัท ๔ จะต้องช่วยกันเพื่อปกป้อง รักษา และสืบทอดพระพุทธศาสนาให้สืบเนื่องต่อไป อย่างมีคุณภาพ ทรงคุณประโยชน์ เพื่ออนุเคราะห์โลกให้มีความสงบสุข อันเป็นไปตามพระพุทธประสงค์ขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค ในระหว่างนี้ขอเจริญพรให้คุณหมอศึกษาพระธรรมคำสั่งสอน ให้เข้าถึงเนื้อแท้แก่นธรรมของพระธรรมวินัย ที่สำคัญต้องสามารถนำไปประพฤติปฏิบัติ จนเกิดด้วยปัญญาอันรู้ชอบรู้แจ้งในสภาวธรรมทั้งหลาย และมีสติรู้ทันในสังขารธรรมทั้งปวงของโลกขันธ์นี้ เพื่อจะได้รู้จักการคลายออก ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในอัตตะสัญญา อันเกิดจากความสำคัญผิดในความจริงมายาวนาน...



    จากปุจฉาที่ตั้งขึ้นในฉบับนี้ คงเป็นความสืบเนื่องจากเรื่องที่อาตมาเขียนวิสัชนา การแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน โดยยกตัวอย่างจากระเบียบแบบแผนในพระพุทธศาสนา ซึ่งได้อ้างอิงสิกขาบทเรื่องการลักทรัพย์ ในปาราชิก ๔ ทั้งนี้ เพื่อต้องการแสดงให้เห็นถึงความประณีตแยบคายของพระพุทธศาสนา ในแนวทางเพื่อการจรรโลงพระพุทธศาสนาให้สืบเนื่องต่อไปอย่างมีคุณค่า และมีคุณประโยชน์ต่อสัตว์มนุษย์ผู้ประเสริฐทั้งหลาย ที่มุ่งหวังสู่หนทางความสิ้นทุกข์...
    โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส
    จากปุจฉาที่ตั้งขึ้นในฉบับนี้ คงเป็นความสืบเนื่องจากเรื่องที่อาตมาเขียนวิสัชนา การแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน โดยยกตัวอย่างจากระเบียบแบบแผนในพระพุทธศาสนา ซึ่งได้อ้างอิงสิกขาบทเรื่องการลักทรัพย์ ในปาราชิก ๔ ทั้งนี้ เพื่อต้องการแสดงให้เห็นถึงความประณีตแยบคายของพระพุทธศาสนา ในแนวทางเพื่อการจรรโลงพระพุทธศาสนาให้สืบเนื่องต่อไปอย่างมีคุณค่า และมีคุณประโยชน์ต่อสัตว์มนุษย์ผู้ประเสริฐทั้งหลาย ที่มุ่งหวังสู่หนทางความสิ้นทุกข์...
    อาตมาขออนุโมทนากับปุจฉาที่มีเข้ามาสู่ “ธรรมส่องโลก” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่สูญเปล่าต่อการให้การศึกษาบนหน้าหนังสือพิมพ์ตาม ที่ได้ตั้งใจไว้ เมื่อมีจดหมายหรือมีคำถามเข้ามา จึงรู้สึกยินดียิ่งที่จะขวนขวายค้นคว้าหาความรู้ เพื่อจะได้วิสัชนาสาธุชนทั้งหลายได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ ไม่ผิดพลาด โดยเฉพาะการตอบแบบจุดประกายให้รู้จักคิด อันจะนำไปสู่ความสามารถที่จะวิสัชนาธรรมได้ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นความประสงค์อย่างยิ่งของอาตมา จึงไม่นิยมการถามมาและตอบไปแบบตรงประเด็น จนผู้ถามขาดการคิดพิจารณา ซึ่งออกจะไร้ค่า เพราะไม่ได้ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ เพื่อสร้างสรรค์ความคิด ประดิษฐ์ปัญญา ตามแนววิถีพุทธที่แท้จริง
    จากจดหมายที่ปุจฉา ด้วยความสืบเนื่องจากการเรียนรู้ แนวทางการแก้ไขปัญหาความประพฤติผิด มีการลักทรัพย์ ฉ้อโกง คอร์รัปชัน โดยการอ้างอิงสิกขาบทที่ ๒ ในปาราชิก ๔ ที่ว่าด้วยการลักทรัพย์ จึงนำมาสู่ความต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมในอีก ๓ สิกขาบทว่า ในปาราชิกทั้ง ๔ สิกขาบท มีความสัมพันธ์กันอย่างไร!? และจะนำมาใช้ประโยชน์อันสัมพันธ์และเกี่ยวเนื่องกับทางโลกได้อย่างไร!?
    อย่างไรก็ตาม ก่อนจะวิสัชนาในประเด็นปัญหาดังกล่าว ก็ขอย้อนกลับมาหาหลักความจริงที่กล่าวกันว่า สังคมโลกที่สืบเนื่องอยู่กันได้มายาวนาน เพราะมีหลักคุรุธรรมคุ้มครองรักษาอยู่ แม้ในสมัยไม่มีพระพุทธศาสนาก็ตาม จึงพออนุมานกล่าวได้ว่า หลักคุรุธรรม เป็นธรรมสากลที่เกิดขึ้น เพื่อการอภิบาลรักษาโลกให้มีความสงบสุข ที่สำคัญคือ เกิดขึ้นมีมาก่อนพระพุทธศาสนา อันปรากฏอยู่ในพื้นที่ชมพูทวีป ซึ่งชาวโลกตะวันตก ขนานนามว่า Land of Freedom ดังนั้น คุรุธรรมจึงเป็นรากฐานเบื้องต้นของศาสนาทุกศาสนาก็ว่าได้...
    หลักคุรุธรรมของชาวโลกที่มีอารยธรรมในเบื้องต้นนั้น เกิดขึ้นก็ด้วยจุดมุ่งหมายในการจัดความสัมพันธ์กับสังคม ภายใต้ความเกี่ยวเนื่องกับธรรมชาติให้เป็นระบบระเบียบ ด้วยการยอมรับความจริงตามนัย “กฎแห่งกรรม” ที่มีอยู่จริงในธรรมชาติ หรือความเป็นไปตามตัวกฎในสภาวะหรือธรรมชาตินั้น ทั้งนี้ เพื่อเอื้ออำนวยให้สัตว์มนุษย์สามารถบำเพ็ญกรณียกิจที่ดีงาม ที่สามารถนำไปสู่ความสงบสุข และเป็นประโยชน์ต่อตนและภาคสังคมได้ เพื่อการบรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิต ตามความตกลงนับถือของมหาชน ที่พยายามสร้างสรรค์ความประเสริฐให้กับตนและพวกพ้อง
    หลักคุรุธรรม จึงเป็นบรรทัดฐานของสังคมที่ถือสืบเนื่องกันมา ซึ่งต่อมาในพระพุทธศาสนากำหนดชื่อเรียกว่า ศีล อันแปลว่า ความปกติ เป็นเครื่องป้องกันไม่ให้ทำความชั่ว อันเป็นความผิดปกติของสัตว์ประเสริฐ ซึ่งศีลพื้นฐานขั้นต้นที่สุดนั้น จึงได้แก่ คุรุธรรมนั่นเอง ที่วางกรอบเอาไว้ให้สัตว์สังคมที่ก้าวย่างไปสู่ความประเสริฐ และเพื่อประโยชน์สุขความดีงาม จะต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่นไม่ว่าด้วยกายหรือวาจา และการไม่ทำลายสติสัมปชัญญะ ที่เป็นตัวคุ้มกันศีลของตนที่บัญญัติไว้ ๕ ประการ ซึ่งชาวพุทธเรียกว่า ศีล ๕ หรือเบญจศีล
    ด้วยหมายเหตุแห่งศีล ๕ ที่ถ่ายแบบมาจากหลักคุรุธรรมสู่เบื้องต้นแห่งสิกขาบท ดังปรากฏอยู่ในคำสอนของพระพุทธศาสนา ย่อมแสดงให้เห็นพระพุทธจริยาอันเป็นเลิศ หรือพระปัญญาธิคุณอันประเสริฐและทรงคุณ ที่ได้นำส่วนดีที่ปรากฏมีอยู่ก่อนการอุบัติของพระพุทธศาสนา เข้ามาปฏิรูปให้เพื่อประโยชน์ของสังคมในรูปของ กรรมบถ อันมีอยู่ ๑๐ ประการ ทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล อันปรากฏอยู่ในรูป กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เพื่อแสดงให้เห็นความสำคัญของอินทรีย์สังวร อันเป็นเบื้องแรกก้าวย่างของการทำความดีหรือการประกอบกุศล
    การนำหลักคุรุธรรมเข้ามาใช้เป็นพื้นฐานในพระพุทธศาสนา แล้วปฏิรูปให้อยู่ในรูปของ กรรมบถ ๑๐ จึงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ของพุทธศาสนา ที่แสดงความเป็นหนึ่งของหลักธรรมคำสั่งสอน ที่มุ่งเน้นไปสู่ความสงบสุขและความดับทุกข์อย่างแท้จริง (อนุปาทาปรินิพพาน) ดังจะเห็นได้จากการจัดความสัมพันธ์ของกรรมบถ ๑๐ ในรูปของ สุจริต ๓ อันสืบเนื่องมาจากปฐมบท คือ อินทรีย์สังวร และนำสืบเนื่องไปสู่ สติปัฏฐาน ๔ ซึ่งเป็น เอกายนมรรค ที่มุ่งสู่ วิสุทธิธรรม ในรูป ญาณทัสสนวิสุทธิ ที่เป็นผลการพัฒนาตามกระบวนการพัฒนาจิตตามหลักวิปัสสนาญาณ ที่แบ่งไว้ ๙ ลำดับในพระพุทธศาสนา ซึ่งสามารถแสดงให้เห็นในอีกรูปแบบหนึ่งตามหลักวิสุทธิ ๗ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ในพระปัญญาธิคุณอันไม่มีประมาณของพระพุทธองค์ อันเป็นไปตามเส้นทางสายกลาง หรือที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา
    ดังนั้น ศีลในพระพุทธศาสนา จึงถูกจัดวางไว้อย่างประณีตแยบคายในรูปของพระวินัย ที่มีปรากฏเชื่อมโยงเป็นดุจตาข่ายเพชร ดังปรากฏให้เห็นรายละเอียดแยกย่อยไปตามสิกขาบทน้อยใหญ่ ซึ่งหากพิจารณาให้ลุ่มลึก ก็จะเห็นความลุ่มลึกของศีลที่อ้างอิงหลักคุรุธรรม และได้แผ่กระจายไปอย่างประณีต เชื่อมโยงกันถูกขั้นตอน ส่งสืบต่อไปไม่ขัดแย้งกัน ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาจิตสู่ขั้นปรมัตถธรรม จึงมีการจัดแบ่งให้เห็นตามสภาพความจริงของศีลว่า มี ๒ ระดับ ได้แก่ ระดับธรรม หรือเป็นคำแนะนำสั่งสอน ที่สอดคล้องและเป็นไปตามความจริงที่มีอยู่ในธรรมชาติ ในรูปกฎแห่งกรรม (กรรมนิยาม) ที่สรุป การทำความดี การทำความชั่ว ย่อมได้รับผลดีชั่วนั้น อันเป็นไปตามหลักธรรมดา (ธรรมะ) ของเหตุปัจจัย ซึ่งหลักพุทธศาสนามักจะกล่าวว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง (อิทัปปัจจยตา)”




    ปุจฉา : นมัสการพระอาจารย์อารยะวังโส
    โดย....พระอาจารย์อารยะวังโส
    ปุจฉา : นมัสการพระอาจารย์อารยะวังโส
    ได้อ่านธรรมส่องโลก ในเรื่องที่เกี่ยวกับการบัญญัติวินัย ว่าด้วยเรื่องการลักทรัพย์ ถึงขั้นปาราชิก คือขาดจากความเป็นพระสงฆ์ และท่านอาจารย์เทียบเคียงให้เห็นคุณประโยชน์ ของการบัญญัติวินัยหรือศีลไว้อย่างแข็งแรงของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะการไม่ปล่อยให้พระสงฆ์ประพฤติออกนอกกรอบความเป็นสาวกของพระผู้มีพระ ภาคเจ้า อ่านแล้วได้สาระความรู้อย่างยิ่งในสิกขาบทที่ ๒ จากจำนวน ๔ สิกขาบทของโทษปาราชิก
    จึงใคร่ขอให้ท่านอาจารย์แสดงความสำคัญในเนื้อหาสาระอีก ๓ สิกขาบท ว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร มีสาระที่จะนำมาใช้ประโยชน์กับการบริหารประเทศอย่างไรบ้าง หากไม่เป็นการรบกวน ขอพระอาจารย์ช่วยเขียนตอบให้ด้วย ผ่านคอลัมน์ธรรมส่องโลก เพื่อการศึกษาของชาวพุทธที่ควรรู้
    นมัสการด้วยความเคารพยิ่ง
    ศรัทธาธรรมส่องโลก
    วิสัชนา : สำหรับศีลอีกระดับหนึ่งนั้น ได้แก่ ระดับวินัย หรือระดับที่เป็นวินัย ซึ่งได้แก่ ข้อบังคับที่บัญญัติขึ้น เพื่อกำกับความประพฤติ การกระทำของมวลสมาชิก ในฐานะสัตว์สังคมที่ประเสริฐ ให้อยู่ร่วมกันได้อย่างดีงาม มีความสงบสุขในหมู่คณะ ที่ถือปฏิบัติตามตัวบทกฎระเบียบ หรือกฎหมายนั้นๆ ซึ่งสมาชิกในสังคมผู้ใดล่วงละเมิดกฎระเบียบดังกล่าว ก็ย่อมจะมีความผิดที่ถูกตราไว้ในระเบียบการนั้น ซ้อนขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง เพิ่มเติมจากผลที่จะต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม ที่ไม่มีใครจะหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธได้ ดังพระบาลีที่กล่าวไว้ว่า
    ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ
    กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ
    แปลความว่า บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น
    ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว
    จึงมีการจัดความสัมพันธ์สืบเนื่องส่งต่อกันไว้อย่างดี ทั้งในระดับธรรมขั้นศีล สู่ศีลขั้นวินัย อันเป็นการปฏิรูปอย่างละเอียดประณีตจากรากฐานเดิมที่ชาวโลกที่มีอารยธรรม ก่อนพุทธศาสนาได้ถือปฏิบัติกันอยู่ในรูปคุรุธรรม ซึ่งมีข้อฝึกหัดความประพฤติ ๕ อย่าง โดยเชื่อมั่นตามกฎแห่งกรรม อันสอดคล้องกับบัญญัติที่ไม่มีสัตว์ใดปฏิเสธได้ ที่นิยมเรียกว่า ศีล ๕ ซึ่งพระพุทธศาสนาได้นำมาวางเป็นพื้นฐานและขยายความประณีต เพื่อประโยชน์ของผู้ถือปฏิบัติสู่ความเป็น “ศีลในกรรมบถ” ตามที่กล่าวมาในเบื้องต้น อันปรากฏอยู่ในรูปกรรมบถ ๑๐ ซึ่งมีลักษณะศีลอยู่ ๗ ข้อ และขยายความสู่รูปศีลในองค์มรรค ที่ปรากฏอยู่ในองค์แห่งมรรคที่ ๔, ๕, ๖
    ได้แก่ สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว ซึ่งวางไว้ตามฐานะที่เป็นธรรม และจะปรับสภาพสู่ความเป็นพระวินัย มีสิกขาบทน้อยใหญ่มากมาย รวมอยู่ในพระจตุรปริสุทธิศีลของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นอนาคาริยวินัย ได้แก่ ปาฏิโมกข์สังวรศีล อินทรีย์สังวรศีล ปัจจยสัตนิสิตศีล และอาชีวปริสุทธิศีล ซึ่งจะลุ่มลึกละเอียดประณีต และจัดวางอยู่ในกรอบ อันเป็นไปตามองค์ธรรมที่ปรากฏอยู่ในพระโอวาทปาฏิโมกข์ ที่พระพุทธองค์ทรงประทานแด่พระภิกษุสงฆ์สาวกของพระองค์ เมื่อวันมาฆบูชาก่อนเข้าสู่พรรษาที่ ๒ ณ วัดเวฬุวันมหาวิหาร เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ชมพูทวีปในอดีต โดยมีสาระธรรมว่า



    ปุจฉา : นมัสการพระอาจารย์อารยะวังโส
    โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส
    ปุจฉา : นมัสการพระอาจารย์อารยะวังโส
    ได้อ่านธรรมส่องโลกในเรื่องที่เกี่ยวกับการบัญญัติวินัยว่าด้วยเรื่องการ ลักทรัพย์ ถึงขั้นปาราชิก คือ ขาดจากความเป็นพระสงฆ์ และท่านอาจารย์เทียบเคียงให้เห็นคุณประโยชน์ของการบัญญัติวินัยหรือศีลไว้ อย่างแข็งแรงของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะการไม่ปล่อยให้พระสงฆ์ประพฤติออกนอกกรอบความเป็นสาวกของพระผู้มีพระ ภาคเจ้า อ่านแล้วได้สาระความรู้อย่างยิ่งในสิกขาบทที่ ๒ จากจำนวน ๔ สิกขาบทของโทษปาราชิก
    จึงใคร่ขอให้ท่านอาจารย์แสดงความสำคัญในเนื้อหาสาระอีก ๓ สิกขาบท ว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร มีสาระที่จะนำมาใช้ประโยชน์กับการบริหารประเทศอย่างไรบ้าง หากไม่เป็นการรบกวน ขอพระอาจารย์ช่วยเขียนตอบให้ด้วย ผ่านคอลัมน์ธรรมส่องโลก เพื่อการศึกษาของชาวพุทธที่ควรรู้
    นมัสการด้วยความเคารพยิ่ง
    ศรัทธาธรรมส่องโลก
    วิสัชนา :
    ขนฺติ ปรมํ ตโป ตีติกฺขา นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
    น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต
    สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา
    สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธานสาสนํ
    อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาฏิโมกเข จ สังวโร
    มตฺตญฺญุตา จะ ภตฺตสฺมิ ํ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
    อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธานสาสนํ
    แปลความว่า ขันติ คือความอดทนอดกลั้น เป็นเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงตรัสสรรเสริญว่า พระนิพพานเป็นธรรมอันยิ่ง
    การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตให้บริสุทธิ์
    นี่คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
    ผู้เข้าไปทำร้ายผู้อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิตเลย ผู้เข้าไปเบียดเบียนผู้อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะเลย ความสำรวมในปาติโมกข์ การบริโภคหรือขบฉันแต่พอประมาณ การดำรงอยู่ในที่เงียบสงัด และการทำจิตให้บริสุทธิ์ นี่คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
    จากพระโอวาทปาฏิโมกข์ที่อัญเชิญขึ้นมากล่าวบูชา ด้วยพระพุทธพจน์ที่เปล่งจากพระโอษฐ์ของพระองค์ หากได้พิจารณาให้ลึกซึ้ง ก็จะพบความละเอียด ที่นำไปสู่การจัดรูปแบบของ พระจตุรปาริสุทธิศีล ตลอดจนจะเห็นการกระจายความเชื่อมโยง และมีความสัมพันธ์กับหมวดอธิศีลในอริยมรรค ซึ่งมีองค์ธรรมที่ ๔๕๖ ปรากฏอยู่ ซึ่งสามารถเห็นความเจริญเติบโตของพระวินัยหรือศีลระดับวินัยในพระพุทธศาสนา ซึ่งมีพระประสงค์ทรงบัญญัติวินัย เพื่อจัดระบบระเบียบพฤติกรรมของพระสงฆ์สาวก ที่มุ่งตรงสู่ความเป็น “อริยบุคคล” ในรูปของ “อริยสงฆ์” ที่จะต้องยอมรับหลัก “อริยวินัย” ที่ปรากฏอยู่ในรูปของพระจตุรปาริสุทธิศีล อันสืบเนื่องมาจากต้นกำเนิด ได้แก่ พระโอวาทปาฏิโมกข์ ทั้งนี้เพื่อจะได้นำไปศึกษาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตามจุดมุ่งหมายของการศึกษาปฏิบัติในพระพุทธศาสนา
    ในขณะเดียวกัน หากไล่เรียงสอบสวนสาวสืบไปหารากแก้วของอริยวินัย ซึ่งมาจาก อนาคาริยวินัย หรือวินัยของผู้ละออกจากบ้านเรือน ก็ต้องกลับเข้าไปพิจารณาดูอาชีวัฏฐมกศีล หรือศีลอันมีสัมมาอาชีวะเป็นที่ ๘ (สัมมาวาจา = วจีกรรม ๔ + สัมมากัมมันโต = กายกรรม ๓ + สัมมาอาชีโว) ก็จะพบความละเอียดขององค์ธรรมในรูปวินัย ที่มุ่งเน้นสู่กระบวนการปฏิบัติชอบ สุจริต ปราศจากความเศร้าหมอง อันสืบเนื่องมาจากอาคาริยวินัย (คิหิวินัย) หรือวินัยของผู้ครองเรือน ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในสิงคาลกสูตร โดยมีสาระสำคัญอยู่ที่ การเว้นอคติ ๔ การไม่เสพอบายมุข ๖ และความสัมพันธ์ในทิศทั้ง ๖ ซึ่งเป็นรูปแบบวินัยขั้นศีล ในหมู่ผู้ครองเรือนหรือคฤหัสถ์ ที่น่าสนใจเพื่อพิจารณาให้เข้าถึง ประโยชน์ที่เกิดขึ้นในสังคมของคฤหัสถ์ ซึ่งมีรากฐานมาจากหลักกรรมบถสิบ ซึ่งลงในรายการศีลในรูปกรรมบถ อันได้แก่ กายกรรม ๓ และวจีกรรม ๔ นั่นเอง โดยพระพุทธศาสนาได้ขยายความไปสู่สองส่วนของกรรมบถ ได้แก่ กุศลกรรมบถ และ อกุศลกรรมบถ ที่มีข้างละ ๑๐ เหมือนกัน ในรูปของกายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ (ฝ่ายศีล) และมโนกรรม ๓ (ฝ่ายธรรม) ซึ่งมีรากฐานเบื้องต้นมาจากหลักครุธรรมของชาวโลก (ในชมพูทวีป) ซึ่งมีข้อฝึกหัดความประพฤติ ๕ อย่าง ดังที่กล่าวมา.

    ที่มา โพสต์ทูเดย์
    โพสต์ทูเดย์ ธรรมส่องโลก

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...