เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    "ทองคำ" สินทรัพย์ที่ควรมีในพอร์ตการลงทุน

    โดย : ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ : บลจ.แอสเซท พลัส
    [​IMG]

    หากกล่าวถึงสินทรัพย์ที่มีคุณค่าและเป็นที่นิยมในการลงทุนมากในปัจจุบันแล้วคงหนีไม่พ้น “ทองคำ”
    <!--<iframe scrolling="no" src="fullURLmain/include/adsense/indetail.php" frameborder="0" height="266" width="250"></iframe>--><SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101209/show_ads_impl.js"></SCRIPT>คำถามที่ผมมักจะถูกถามบ่อยๆ คือ ราคาทองคำจะขึ้นถึงระดับไหน ควรซื้อ ขายหรือยัง คำตอบในเรื่องนี้คงต้องกลับมาดูว่าปัจจัยอะไรบ้างที่มีผลกับแนวโน้มของราคาทองคำ และแนวโน้มนั้นจะเป็นในทิศทางไหน คอลัมน์ Money Café ฉบับนี้ ผมจึงขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการลงทุนในทองคำในมุมมองของผมครับ
    ทำไมทองคำจึงเป็นสินทรัพย์ที่เป็นที่นิยมในการลงทุนของคนทั่วโลก ด้วยเอกลักษณ์สำคัญ ประการแรก คือ ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าที่ช่วยป้องกันการเสียความสามารถในการซื้อที่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าตามกาลเวลา หรือ อัตราเงินเฟ้อ (Inflation hedged) ประการที่สอง ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยในการถือครอง (Safe haven) ซึ่งสะท้อนจากวิกฤตในตลาดเงิน และตลาดทุนทั่วโลกที่ผ่านมา นักลงทุนขายสินทรัพย์เสี่ยงจำพวกหุ้นมาลงทุนในทองคำจำนวนมาก และประการที่สาม ทองคำ เป็นสินทรัพย์ที่เปรียบเสมือนเงินตราสกุลหนึ่ง เพราะเป็นสินทรัพย์ที่ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อเพื่อเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ทั้งนี้ มีหลายๆ ปัจจัย ที่ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำ โดยปัจจัยหลักๆ ได้แก่ ความต้องการทองคำของผู้บริโภค (Demand) และปริมาณทองคำในตลาดโลก (Supply)
    ปัจจัยที่ผลักดันความต้องการบริโภคทองคำ (Demand) มี 3 ส่วน หลักๆ ได้แก่ ความต้องการจากผู้ลงทุน (Investment demand) ทองคำ เป็นสินทรัพย์นักลงทุนนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจาก ราคาทองคำ สามารถปรับตัวได้ดี แม้ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจ และการลงทุนในตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้มีความผันผวนสูง และสภาวะที่อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ราคาทองคำยังแปรผกผันกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐซึ่งเป็นสกุลเงินกลางของโลกอีกด้วย ดังนั้น ราคาทองคำจึงปรับตัวได้ดี ในภาวะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง
    ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงหันมาลงทุนในทองคำเพื่อเก็งกำไร และเพื่อเป็นสินทรัพย์ที่ไม่เสียมูลค่าในการถือครองเพิ่มขึ้น ทั้งความต้องการ ทองคำแท่ง เพื่อเป็นสินทรัพย์เพื่อเพิ่มความมั่งคั่งให้กับตนเอง หรือจะเป็นความต้องการจากธนาคารกลางทั่วโลกที่ซื้อทองคำแท่งเพื่อเป็นการป้องกันความมั่งคั่งที่ลดลงจากการถือดอลลาร์สหรัฐในภาวะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ความต้องการทองคำรูปพรรณ และการลงทุนในทองคำผ่านอนุพันธ์ทางการเงินต่างๆ เช่น Gold futures Gold account และการลงทุนในรูปแบบกองทุนรวม ซึ่งความต้องการทองคำเพื่อการลงทุนในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมานั้น คิดเป็น 20-30% ของความต้องการทองคำทั้งหมดในโลก และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งย่อมส่งผลให้ราคาทองคำในปัจจุบันมีความผันผวนมากขึ้นเช่นกัน
    ส่วนที่สอง คือ ความต้องการเพื่อผลิตสินค้าอุตสาหกรรม (Industrial demand) เป็นความต้องการทองคำเพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพและทันตกรรม ซึ่งความต้องการส่วนนี้ค่อนข้างคงที่และแปรผันในทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจ ดังนั้น หากเศรษฐกิจดี ความต้องการส่วนนี้จะเพิ่มขึ้น โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ความต้องการทองคำเพื่อผลิตสินค้าอุตสาหกรรมนั้น คิดเป็น 20-25% ของความต้องการทองคำทั้งหมดของโลก
    ส่วนที่สาม ความต้องการเพื่อผลิตเป็นเครื่องประดับ (Jewelry demand) เป็นความต้องการที่มากที่สุด โดยคิดเป็น 50% ของความต้องการทองคำทั้งหมดของโลก ทั้งนี้ ปัจจัยที่ผลักดันความต้องการในส่วนนี้คือ ความมั่งคั่งของผู้บริโภค ซึ่งสะท้อนจากสภาวะเศรษฐกิจ และความมั่นคงของภาวะการจ้างงาน ซึ่งส่วนใหญ่ความต้องการส่วนนี้มาจากประเทศแถบเอเชียโดยมีจีนและอินเดียเป็นประเทศผู้บริโภคหลัก และส่งผลให้ราคาทองคำเปลี่ยนแปลงไป แต่อย่างไรก็ตาม หากราคาทองคำเพิ่มขึ้นมากๆ ความต้องการในส่วนนี้อาจปรับตัวลดลงได้
    ในส่วนของปริมาณทองคำในตลาดโลก (Supply) ได้มาจาก 3 ส่วนหลักๆ เช่นกัน ส่วนแรก คือ เหมืองแร่ทองคำ เนื่องจาก ทองคำ เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด และมีแนวโน้มที่จะลดลงเรื่อยๆ ในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา เพราะไม่มีเหมืองแร่ทองคำใหม่ จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำมีแนวโน้มสูงขึ้นในอนาคต
    ส่วนที่สอง คือ ปริมาณทองคำที่ขายออกจากธนาคารกลางโลก ทองคำ เป็นสินทรัพย์ที่ธนาคารกลางทั่วโลก ทั้งสหรัฐฯ และยุโรป ซื้อไว้เพื่อเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศในปริมาณมาก ดังนั้น หากเงินคงคลังของแต่ละประเทศไม่เพียงพอ ธนาคารกลางจะขายทองคำออกมาใช้ ทั้งนี้ หากในช่วงที่เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น รัฐบาลเก็บภาษีได้มากขึ้น ธนาคารกลางก็จะลดปริมาณการขายทองคำลง ประกอบกับการที่ทั่วโลกมองว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่เสียมูลค่าในการถือครอง และสามารถป้องกันความมั่งคั่งที่ลดลงจากการถือดอลลาร์สหรัฐได้อีกด้วย จึงทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกต้องการที่จะซื้อทองคำเพิ่มขึ้น มากกว่าที่จะขายทองคำ จึงส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น
    ส่วนที่สาม คือ ทองคำที่เหลือจากการผลิตต่างๆ (Gold scrap) ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีการสูญสลายไป ดังนั้น ปริมาณของ Scrap ทองคำที่เหลือจากการผลิตต่างๆ จะเป็นปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณทองคำ กล่าวคือ ปริมาณของ Scrap ทองคำ จะเพิ่มมากขึ้น เมื่อแนวโน้มราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจาก ผู้บริโภคจะนำเอา Scrap ทองคำออกมาขาย และในทางกลับกัน หากแนวโน้มราคาทองคำปรับตัวลดลง ปริมาณ Scrap ทองคำก็จะลดลงเช่นกัน ทั้งนี้ เนื่องจากปริมาณ Scrap ทองคำ มีสัดส่วนมากพอสมควรเมื่อเทียบกับปริมาณทองคำทั้งหมดในโลก จึงถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อปริมาณทองคำ และราคาทองคำ
    จากการวิเคราะห์ความต้องการบริโภคทองคำ (Demand) และปริมาณทองคำ (Supply) ข้างต้น จะเห็นได้ว่า ความต้องการบริโภคทองคำมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความต้องการทองคำเพื่อการลงทุน (Investment demand) และความต้องการทองคำในฐานะเป็นสกุลเงินหนึ่ง (Currency demand) ที่ใช้แทนเงินดอลลาร์สหรัฐ และใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลางทั่วโลก ในขณะที่ปริมาณทองคำมีค่อนข้างจำกัด โดยเฉพาะจากการผลิตใหม่จากเหมืองน่าจะลดลง ซึ่งเป็นตัวสนับสนุนให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ในช่วงสั้น ราคาทองคำจะมีความผันผวนมาก จากความต้องการเพื่อลงทุนที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในแง่ของการลงทุน มองว่า ทองคำเป็นหนึ่งในสินทรัพย์หลักที่ผู้ลงทุนควรมีไว้เพื่อลงทุนในระยะยาว ประมาณ 10-20% ของพอร์ตการลงทุน
    <!-- Begin Media Content --><SCRIPT type=text/javascript>$(function() {$('#media-content').tabs();});</SCRIPT>
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันพฤหัสบดี ที่ 12 สิงหาคม 2553
    ตลาดหุ้นกับการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ
    Posted by indexthai

    [​IMG]

    ปัญหาของโลก หรือของประเทศ หรือของระบบ ไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก แต่คงเป็นไปเพราะความมักง่าย และกิเลสของคน ที่ทำให้เรื่องต่างๆยากขึ้น นำมาซึ่งปัญหาต่างๆเพิ่มมากขึ้น และก็ทำให้ยากต่อการแก้ปัญหามากขึ้น เปรียบไปแล้วก็เหมือนภูเขาน้ำแข็ง สิ่งที่มองเห็นและเข้าใจได้มีเพียง 10 เปอร์เซนต์ ส่วนที่มองไม่เห็นและเข้าใจไม่ได้มีถึง 90 เปอร์เซนต์
    ไม่มีอะไรในโลกที่จะยากเท่ากับเรื่องทุกข์และแนวทางที่จะพ้นทุกข์ แต่พระพุทธเจ้าก็สามารถทราบได้ และพบวิธีที่เอาชนะทุกข์ได้ แต่ปัญหาทางกายภาพของโลก ไม่ได้ยากไปกว่าเรื่องทุกข์ในใจของคนแต่อย่างใด แต่ก็ไม่สามารถเข้าใจและไม่สามารถเอาชนะมันได้
    กิเลสของมนุษย์ ทำให้มนุษย์อยากร่ำอยากรวย อยากมีอำนาจ ความอยากร่ำอยากรวย คือการเบียดเบียนตนเอง ทำให้ตนเองมีทุกข์ ความอยากร่ำรวยโดยไม่เบียดเบียนคนอื่น ก็ว่ากันไป แต่ความอยากร่ำรวยแล้วไปเบียดเบียนคนอื่น เป็นเรื่องที่ไม่สมควร
    คนอยากร่ำรวยคิดเรื่องการรวบรวมทุน ที่อยู่กระจัดกระจายในระบบ ให้มาอยู่ในที่เดียวกัน แล้วก็นำทุนนั้นมาหาประโยชน์ ทำให้เกิดธนาคารขึ้นมา
    ต่อมาก็มีการคิดต่ออีก โดยคิดว่า ต้นทุนทางการเงินจากธนาคารสูง ก็คิดหาวิธีใหม่ คิดระดมทุนโดยไม่ง้อธนาคาร เรียกว่าระดมหุ้นหรือเรียกหุ้น ตอนหลังมีการตั้งตลาดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แล้วก็ให้นำหุ้นของกิจการต่างๆ มาจดทะเบียนในตลาดหุ้น เพื่อทำการซื้อขายเปลี่ยนมือกัน ทำให้เกิดสภาพคล่อง เรียกสิ่งนั้นว่าตลาดหุ้นหรือตลาดทุน เป็นการเริ่มต้นของโลกทุนนิยมสามานย์ ที่ทำให้เศรษฐกิจของโลกวิปริตทุกวันนี้
    ปรัชญาตลาดเงินและตลาดทุนเป็นไปโดยบริสุทธิามที่กล่าวข้างต้น
    แต่ได้เกิดผลร้าย ที่ใครก็นึกไม่ถึง คือการปั่นราคา มีการปั่นราคาหุ้นเป็นตัวๆ ปั่นหุ้นทั้งตลาด ปั่นหุ้นในภูมิภาค กระทั่งมาถึงการปั่นหุ้นทั้งโลก ก่อความเสียหายต่อประเทศ ต่อภูมิภาค และต่อโลก ทำความเสียหายแก่โลกมากยิ่งกว่าการเกิดสงครามโลก
    ตลาดถูกสวมรอยปั่นได้ง่าย ตลาดทุน จึงกลายมาเป็นสิ่งผิดปกติของโลกทุนนิยม ความเสียหายจากสงครามยังรู้ว่าเสียหายจากสงคราม แต่ความเสียหายทางเศรษฐกิจของโลกทุกวันนี้ยังไม่ทราบว่ามีต้นเหตุมาจากตลาดหุ้น
    การลงทุนในตลาดทุน เรียกว่าการลงทุนทางอ้อม นักลงทุนก็เรียกว่านักลงทุนทางอ้อม ซึ่งน่าจะเรียกได้ว่าเป็นนักเก็งกำไรด้วย กิเลสของคน ทำให้คนคิดหาวิธีการที่จะทำกำไรในสิ่งที่ตนเองทำอยู่ การปั่นราคาหรือการปั่นหุ้นจึงเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างเหลือเชื่อ ผู้เขียนไม่โทษคนเล่นหุ้น แต่ผู้เขียนโทษการมีตลาดหุ้นที่ให้โอกาสให้คนปั่นหุ้นได้ปั่นหุ้นมากกว่า
    เป็นเรื่องยากที่จะจับได้ไล่ทันคนปั่นหุ้น เนื่องจากเป็นการสวมรอยตลาด เมื่อตลาดเป็นขาขึ้น ก็สวมรอยทำราคาให้สูงมากขึ้นไปอีก เมื่อตลาดตกก็สวมรอยทำให้ราคาตกมากลงไปอีก นักเก็งกำไรอาจจะมีกำไรและขาดทุนได้ แต่คนปั่นตลาดคือคนที่อยู่เหนือตลาด ลากราคาขึ้นมาขายที่ระดับสูง และกดราคามารับซื้อที่ราคาต่ำ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น บรรดากองทุนต่างๆของโลก ได้แก่กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เฮดจ์ฟัน หน่วยงานของธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ฯลฯ
    กองทุนโลกก็ย่อมมีทั้งที่ทำกำไรและขาดทุน มีทั้งกองทุนที่ชาญฉลาด และไม่ฉลาด แต่กองทุนที่ชาญฉลาด จะใหญ่โตมากขึ้นตลอดเวลา ที่มีอำนาจเหนือศก.โลกทุกวันนี้
    ประเทศไทยช่วงปี 2537 - 2538 มีหน่วยลงทุน (Unit trust) เกิดขึ้นประมาณ 70 แห่ง เช่นกองทุนสินภิญโญต่างๆ เป็นรูปแบบของกองทุนอย่างหนึ่ง หลังลอยค่าเงินบาทและเข้าโครงการณ์ไอเอ็มเอฟในปี 2540 ต่างล้มลงทั่วหน้า เงินชาวบ้านที่สะสมมาชั่วชีวิต ที่นำมาลงทุนในหน่วยลงทุนพลอยเสียหายและหมดตัวไปด้วยกัน คงจำเหตุการณ์ที่นายช่วย คชสิทธิ์ ชาวกาญจนบุรีกันได้ ที่เอาอุจจาระราดตัว มาทวงคืนเงินลงทุนของตัวเอง จะไปเอาอะไรได้ เพราะขาดทุนหมดแล้ว ตอนนี้หน่วยลงทุนดังกล่าวเหลือน้อยแล้ว เปลี่ยนมาให้เป็นการลงทุนแบบสถาบันแทน เช่น LTF และ RTF ก็คอยติดตามกันต่อไป ว่าจะเป็นอย่างไร
    ตลาดทุนและตลาดเงินมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น สิ่งที่เกิดกับตลาดทุน จึงกระทบถึงตลาดเงินอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ ตลาดทุนเสียหาย ทำให้ตลาดเงินเสียหาย ตลาดทุนพังทลาย ตลาดเงินก็พังทลายด้วย
    [​IMG]
    ปี 1929 หรือเมื่อ 81 ปีที่ผ่าน หรือก่อนการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดการพังทลายของตลาดหุ้นนิวยอร์ค (NYSE) รุนแรง เป็นที่โจษขานและจำกันได้ถึงทุกวันนี้ ทรัพย์สินที่สร้างสะสมไว้ 20 - 30 ปี กลับพังทลายลงในเวลาเพียง 2-3 ปี ปี 1929-1931 ดัชนีดาวโจนส์ตกลง 89 เปอร์เซนต์ ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐถดถอยรุนแรง เรียก Great Depression เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความยากจนลงของประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อก่อนไม่มีตลาดหุ้น เศรษฐกิจประเทศสหรัฐอเมริกาก็ดีมาโดยตลอด ไม่เกิดประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่เมื่อเกิดมีตลาดหุ้น ทำให้เกิดความยากจนขึ้นมาโดยต่อเนื่อง และเมื่อเกิดการพังทลายของตลาดแนสแดกซ์ในปี 2000 ทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกา กลายเป็นประเทศยากจนอย่างสมบูรณ์แบบ
    ตลาดหุ้นเป็นต้นเหตุการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศ นำความยากจนมาสู่ประเทศ คนในประเทศสหรัฐอเมริกาก็ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นประเทศตน พรรคการเมืองใดเข้ามาบริหารประเทศ ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน หาทางออกไม่เจอ เป็นที่มาของผู้นำผิวสี แม้จะเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำเป็นผิวสีแล้ว ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ทั้งนี้เพราะไม่ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งผิดปกติที่อยู่ในระบบนั่นเอง
    .
    ตัวอย่าง การพังทลายของตลาดหุ้นในหลายประเทศ แล้วทำให้ค่าเงินพังทลายตามมา เป็นแบบเดียวกันทุกประเทศ ในบทความนี้ยกมาแสดงให้เห็น 3 ประเทศ คือไทย เวียตนาม และสหรัฐอเมริกา
    [​IMG]

    ปี 1978 (2521) ตลาดหุ้นไทยเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อปี 1975 (2518) เรียกว่ายังเป็นตลาดเปิดใหม่ หลังเปิดตลาดหุ้นไทยได้ 3 ปี ตลาดหุ้นได้พังทลายรุนแรง SET Index ตกลง 62 เปอร์เซนต์ ใช้เวลาในการตก 2 ปีครึ่ง
    ตลาดหุ้นตก ทำให้ค่าเงินเสียหาย แต่เพราะมีการผูกค่าเงินไว้ จึงส่งผลให้เงินบาทนั้นแข็งเกินจริง ทำให้นักลงทุนหรือนักเก็งกำไรการขายบาทออกมา ทำให้เงินบาทเขามากองอยู่ในธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ดอลล่าร์(หรือเงินสกุลต่างประเทศ)ออกไป ทำให้ทุนสำรองเงินตราของประเทศลดลง ต้องเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจากไอเอ็มเอฟเป็นครั้งแรก
    มีประกาศลดค่าเงินบาท 3 ครั้ง

    ครั้งที่ 1 12 พฤษภาคม 2524 จาก 20.775 บาท มาเป็น 21.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
    ครั้งที่ 2 15 กรกฎาคม 2524 จาก 21.00 บาท มาเป็น 23.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
    ครั้งที่ 3 2 พฤศจิกายน 2527 จาก 23.00 บาท มาเป็น 27.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ

    รวม 3 ครั้ง ค่าเงินบาทลด 6.225 บาทต่อเหรียญสหรัฐ หรือค่าเงินบาทลดลง 23 เปอร์เซนต์
    นี่คือตัวอย่างที่ 1 การพังทลายของตลาดหุ้น เป็นต้นเหตุให้ค่าเงินพังทลาย
    .
    [​IMG]
    ตลาดหุ้นเวียตนาม เป็นตลาดหุ้นเปิดใหม่ จะถูกลากขึ้นไปเชือดเช่นเดียวกันกับเมื่อมีการเปิดตลาดหุ้นไทยในช่วง 3 ปีแรก ตลาดหุ้นเวียตนาม ตก 79 เปอร์เซนต์ ตลาดหุ้นตกแรงและเร็วมาก พบว่าหลังการพังทลายของตลาดหุ้นเวียตนามปี 2007-2008 ค่าเงินดองของเวียตนามก็เริ่มพังทลายตามมาเช่นกัน
    นี่คือตัวอย่างที่ 2 การพังทลายของตลาดหุ้น เป็นต้นเหตุให้ค่าเงินพังทลาย
    .
    [​IMG]


    ปี 1994 (2537) หลังการนำระบบ Maintenance margin & Forced sell มาใช้ในตลาดหุ้น ในเดือนตุลาคม 1993(2536) ทำให้มีลากหุ้นไทยไปสูงสุดในต้นปี 1994 ก่อนที่จะถล่มทุบ SET Index ลง อย่างรวดเร็ว และรุนแรงในเวลาต่อมา ก่อให้เกิดการบังคับขายหุ้นของนักลงทุนท้องถิ่นอย่างทารุณ ทำให้ตลาดหุ้นตกหนักมากขึ้นอีก และตกแรงถึง 88 เปอร์เซนต์
    ตลาดหุ้นพังทลายเป็นต้นเหตุของค่าเงินพังทลาย แต่เพราะมีการผูกค่าเงินไว้ จึงทำให้ไม่เห็นว่าบาทพังทลาย ทำให้เงินบาทมีค่าแข็งกว่าความเป็นจริง ข้อสังเหตุ หากไม่มีการผูกค่าเงินไว้ ค่าเงินบาทจะต้องตกตามแนวเส้น A-C
    บรรดากองทุนพากันทยอยขายบาทซื้อดอลลาร์ (จาก A ถึง B) ทำให้บาทกลับไปอยู่ในธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้บาทหายไปจากระบบ และดอลลาร์หมดไปจากธนาคารประเทศไทย
    กลางเดือนพฤษภาคม 1997 (2540) ไทยมีทุนสำรอง 35,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่มีสัญญาส่งมอบล่วงหน้า 32,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้มีทุนสำรองสุทธิเหลือเพียง 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งต่ำมาก จึงจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือทางการเงินจากไอเอ็มเอฟ และประกาศลอยค่าเงินบาทในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 และค่าเงินบาทก็ตกลงสู่ความเป็นจริงทันที
    นี่คือตัวอย่างที่ 3 การพังทลายของตลาดหุ้น เป็นต้นเหตุให้ค่าเงินพังทลาย
    [​IMG]

    ความเสียหายในตลาดทุน ส่งผลต่อตลาดเงินโดยตรง ดูที่อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาล 1 วัน พบว่า หลังการตกลงของ SET Index ต้นปี 1994 ที่ทำให้บาทหายไปจากระบบ เห็นได้จากดอกเบี้ยมีแนวโน้มสูงขึ้นตั้งแต่ปี 1994 และได้ขึ้นมาสูงสุดกว่า 25% ในช่วงกลางปี 1997
    หลังการลอยค่าเงินบาทแล้ว เงินบาทได้ไหลกลับมาสู่ระบบ สภาพคล่องกลับคืนมา อัตราดอกเบี้ยเริ่มตกลง และลงมาต่ำมากในปี 1999
    ยืนยันว่า การพังทลายของตลาดทุน ส่งถึงผลกระทบถึงตลาดเงินอย่างมีนัยสำคัญ
    .
    [​IMG]

    ปี 2000 (2543) หลังมีการปฏิรูปดัชนีตลาดหุ้นแนสแดกซ์ปี 1999(index reform) โดยมีการนำหุ้นตัวใหม่ที่มีมูลค่าตลาดสูง เข้าไปรวมในการคำนวณดัชนี ทำให้ดัชนีมีความเบี่ยงเบนสูง และถูกปั่นได้ง่าย มีการลากตลาดหุ้นขึ้นแรงถึงต้นปี 2000 แล้วจึงทุบลงมารุนแรงในเวลาต่อมา ระยะเวลา 2 ปีกว่า แนสแดกซ์ตกลง 78 เปอร์เซนต์
    ดังที่เคยนำเสนอไว้ ตลาดหุ้นใดตกแรง ทำให้ค่างินของประเทศนั้นตกแรงด้วย
    แนสแดกซ์พังทลาย ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลายตามมา จะเห็นว่าค่าเงินเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับ "ยูโร" "เยน" และ "บาท" อ่อนตัวลงแรง
    หรือเงินท้องถิ่นเหล่านี้ต่างแข็งขึ้น โดยเริ่มแข็งขึ้นในปี 2001-2002 และแข็งต่อเนื่องมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5-6 ปี และนี่ต้นเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้เงินไหลเข้าประเทศไทย และทำให้ไทยสามารถใช้หนี้ไอเอ็มเอฟหมดเมื่อกลางปี 2003(2546)
    มีข้อปลีกย่อย ในการพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับค่าเงินหยวนและเงินริงกิต
    [​IMG]

    มี 2 สกุลเงิน ที่ผูกค่าเงินไว้ คือ หยวนของจีน และ ริงกิตของมาเลยเซีย
    ปี 2000 ตลาดหุ้นแนสแดกซ์พังทลาย แต่ตลาดหุ้นของจีนและมาเลเซียไม่ได้พังทลายเหมือนตลาดหุ้นแนสแดกซ์ ทำให้หยวนและริงกิตอ่อนกว่าความเป็นจริง ทำบรรดากองทุนเข้ามาไล่ซื้อหยวนและริงกิตกันอย่างมีความสุข
    มีการไล่ซื้อหยวนและริงกิต ตั้งแต่ปี 2001-2002 (หลังการพังทลายของตลาดแนสแดกซ์)
    กระทั่งกลางปี 2005 ทางการจีนและมาเลยเซียต้องยอมแพ้ต่อบรรดากองทุนโลก ปล่อยให้หยวนและริงกิตแข็งขึ้น
    เรื่องของประเทศจีนเป็นข่าวไปทั่วโลก โดยทางการสหรัฐกล่าวหาทางการจีน ว่า ควบคุมหยวนไว้ให้อ่อนค่า ทำให้สินค้าจากประเทศจีนทะลักเข้าไปในอเมริกา
    เป็นเรื่องที่ขาดความความเข้าใจโดยแท้ เหตุที่หยวนค่าอ่อนลง เกิดจากมีการผูกค่าหยวนไว้กับเงินเหรียญสหรัฐ เมื่อตลาดหุ้นแนสแดกซ์เสียหาย ค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย แต่ค่าเงินหยวนไม่เสียหาย ทำให้หยวนมีค่าอ่อนกว่าความเป็นจริง ทำให้มีการเข้ามาไล่ซื้อหยวน(ริงกิต)
    และการที่หยวน(ริงกิต)แข็งค่าขึ้นในกลางปี 2005 หาใช่ว่าทางการจีนปฏิบัติตามการร้องขอหรือการขู่ การต้านสินค้านำเข้าจากจีนของสหรัฐแต่อย่างใดไม่ แต่เป็นไปตามการเข้ามาซื้อหยวน(ริงกิต)ของกองทุนโลก จนทางการจีนต้านไม่ไหว ทำให้หยวน(ริงกิต)แข็งค่าขึ้น
    ข้อสังเหตุ หากไม่มีการผูกค่าเงินหยวนและริงกิตไว้ หยวนและริงกิต จะต้องแข็งขึ้นตามแนวเส้น A-C
    การที่ทางการจีนและทางการมาเลเซียผูกค่าเงินไว้ในช่วงเวลาดังกล่าว จึงทำให้เกิดความผิดปกติในตลาดเงินของจีนและมาเลเซีย ทำให้เงินทุนไหลเข้าจีนและมาเลเซียอย่างท่วมท้น ทำให้ทุนสำรองของจีนพุ่งสูงขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของโลก และ ทำให้ทุนสำรองของมาเลเซียพุ่งสูงขึ้นมากกว่าประเทศไทย
    ที่จริงแล้วมาเลเซียเคยลอยค่าเงินริงกิตมาครั้งหนึ่งแล้วระหว่างปี 1997 (2540) แต่กลับไปผูกค่าเงินใหม่ในปี 1998 (2541) จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ดูตามกราฟ พบว่าจีนพยายามจะกลับไปผูกค่าเงินใหม่ในกลางปี 2008 แต่มาเลเซียเลิกผูกค่าเงินแล้ว
    เหตุการณ์ ตลาดทุน และ ตลาดเงิน ของประเทศต่างๆ เป็นเรื่องน่าสนใจ น่าติดตามตลอดเวลา
    ข้อสังเกต ปัญหาที่เกิดขึ้นกับประเทศจีน และมาเลเซีย เกิดในทางตรงกันข้ามกับประเทศไทย หลังการพังทลายของ SET Index ในปี 1994 (2537) ประเทศไทยมีการผูกค่าเงินไว้ แล้วตลาดหุ้นไทยพังทลาย ส่งผลให้ ค่าเงินบาทแข็งกว่าความเป็นจริง แต่ปัญหาที่เกิดกับประเทศจีนและมาเลยเซียนั้น ค่าเงินหยวนและค่าเงินริงกิตอ่อนกว่าความเป็นจริง

    [​IMG]

    ได้ทำการปรับฐานดัชนีของแนสแดกซ์และดาวโจนส์วันที่ 2 มกราคม 1998 ให้เท่ากับ 100 เพื่อภาพนำมาเปรียบเทียบกัน ให้เข้าใจได้ง่ายๆ
    แสดงให้เห็นว่าระหว่างปี 1998-2001 ตลาดหุ้นแนสแดกซ์พุ่งสูงขึ้นอย่างผิดปกติจริงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นดาวโจนส์ ทุกวันนี้เวลาผ่านไปกว่า 10 ปีแล้ว ดัชนีแนสแดกซ์ก็ไม่สามารถขึ้นมาถึงระดับเดิมได้
    ดังที่นำเสนอมาในช่วงต้น สหรัฐอเมริกา เข้าใจผิดใน 2 รูปแบบในการที่อเมริกาถูกโจมตี ระหว่างผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบิน บินเข้าไปโจมตีตึก WTC ในกรุงนิวยอร์คในเดือนกันยายนปี 2001 กับการโจมตีตลาดแนสแดกซ์ในปี 1999-2000 หรือแทบไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำว่ามีการโจมตีตลาดแนสแดกซ์ แท้ที่จริงมีการโจมตีตลาดแนสแดกซ์ที่รุนแรงมาก
    ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการโจมตี World Trade Center น้อยมาก เมื่อเทียบกับความเสียหายจากการโจมตีตลาดหุ้นแนสแดกซ์ของกองทุนโลก
    นอกจากค่าเงินเหรียญจะเสียหายแล้ว สภาพคล่องก็เสียหาย ได้มีการแก้ปัญหาโดยการ ออก CDO (Collateralized Debt Obligation) คือการกู้เงินมาปล่อยกู้ต่อ แต่เพราะมันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ และแบบขาดความเข้าใจ ทำให้ระบบเศรษฐกิจเสียหายหนักกว่าเดิม ภาคการเงินและภาคการผลิตจริงล้มลงทั้งระบบ เกิดเป็นหนี้เสียมหาศาลท่วมประเทศสหรัฐอเมริกาในเวลาต่อมา
    [​IMG]

    .
    [​IMG]

    G88 Index คือค่าเฉลี่ยดัชนีตลาดหุ้นโลก 88 ประเทศ เริ่มสูงขึ้นระหว่างปี 2002 - 2003 หลังการพังทลายของตลาดแนสแดกซ์ในปี 2000-2002 และขึ้นมาสูงสุดที่ปลายปี 2007 ก่อนที่จะพังทลายลงตลอดทั้งปีในปี 2008
    Europe39 Index คือค่าเฉลี่ยดัชนีตลาดหุ้นยุโรป 39 ประเทศ แม้จะพุ่งขึ้นไม่แรงเท่าโลก โลกขึ้น 463 เปอร์เซนต์ ยุโรปขึ้น 356 เปอร์เซนต์ แต่ยุโรปก็ตกแรงกว่าโลก
    ช่วงเวลาเดียวกันโลกตกลง 62 เปอร์เซนต์ ยุโรปตกลง 71 เปอร์เซนต์
    ตลาดหุ้นยุโรปพังทลาย ทำให้เงินไหลออกจากยุโรป ทำให้สภาพคล่องของยุโรปเสียหาย ทำให้ค่างเงินยุโรปอ่อนค่า หลายประเทศในยุโรปต้องเข้าโครงการณ์ไอเอ็มเอฟ ไม่ว่า กรีก สเปน ปอร์ตุเกส อิตาลี รวมทั้งตลาดหุ้นเกิดใหม่หลายประเทศ ก็ต้องเข้าโครงการณ์ไอเอ็มเอฟเช่นเดียวกัน
    [​IMG]
    ยืนยัน การพังทลายของตลาดหุ้น ทำให้ค่าเงินเสียหาย การพังทลายของตลาดภูมิภาคยุโรปในปี 2008 ทำให้เงินยูโรพังทลายตามมา ตามลูกศรชี้
    .
    การเคลื่อนย้ายเงินทุนของกองทุนโลก เป็นเรื่องที่อันตรายต่อประเทศต่างๆมาเป็นเวลานานแล้ว เป็นแต่เพียงไม่ทราบว่าต้นเหตุเกิดจากอะไรเท่านั้น
    1) การพังทลายของตลาดหุ้นไทยในปี 2521 และปี 2537 ทำให้ค่าเงินบาทเสียหาย ทำให้เงินทุนไหลออกจากประเทศไทย ทำให้สภาพคล่องของประเทศไทยเสียหาย หรือทำให้เงินแห้งไปจากประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยต้องเข้าโครงการณ์ไอเอ็มเอฟทั้ง 2 ครั้ง
    2) การพังทลายของตลาดหุ้นเวียตนามในปี 2007 ทำให้เงินดองเสียหาย ทำให้เงินทุนไหลออกจากเวียตนาม เห็นได้จากเงินดองอ่อนค่า
    3) การพังทลายของตลาดแนสแดกซ์ในปี 2000 ทำให้เงินเหรียญสหรัฐเสียหาย ทำให้เงินทุนไหลออกจากอเมริกา แต่ขนาดเศรษฐกิจของอเมริกา เป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ส่วนแบ่งเงินเหรียญสหรัฐสูงที่สุดในโลก ทำให้เงินไหลออกมาท่วมโลก รวมทั้งเข้ามาท่วมประเทศไทย
    4) การผูกค่าเงินหยวนและเงินริงกิตไว้ ในช่วงที่ตลาดแนสแดกซ์พังทลาย เป็นต้นเหตุให้เงินหยวนและเงินริงกิตอ่อนกว่าความเป็นจริง ทำให้เงินทุนไหลเข้าจีนและเข้ามาเลเซียอย่างรุนแรง ทำให้ทุนสำรองของจีนสูงที่สุดในโลก และทุนสำรองของมาเลเซียสูงกว่าประเทศไทย
    5) การพังทลายของตลาดหุ้นภูมิภาคยุโรปปี 2008 ทำให้เงินไหลออกจากยุโรป เห็นได้จากเงินยูโรอ่อนค่าลง

    [​IMG]
    เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของประเทศมาเลเซียและประเทศไทย

    หลังการพ่ายแพ้ต่อการปกป้องค่าเงินริงกิตกลางปี 2005 ทำให้เงินทุนชะลอไหลเข้ามาเลเซีย แต่เงินทุนยังไหลเข้าประเทศไทยต่อเนื่อง พบว่าปี 2009 ทุนสำรองของประเทศมาเลเซียลดลง แต่ทุนสำรองของประเทศไทยเพิ่มขึ้น และทุนสำรองของมาเลเซียที่เคยสูงกว่าไทย ก็กลับน้อยกว่าไทย
    .
    [​IMG]

    ประเทศไทยเลิกผูกค่าเงินไว้ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2540
    ประเทศไทยได้ผลพวงจากการพังทลายของตลาดหุ้นแนสแดกซ์ในปี 2000 ทำให้เงินทุนไหลเข้าประเทศไทย เหมือนตลาดหุ้นทั่วโลก
    นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ธปท. ด้านเสถียรภาพการเงิน เปิดเผย เมื่อวันพุธที่ 11 สิงหาคม 2553 ว่า การแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และยังแข็งค่าต่อเนื่องในวันนี้ เป็นผลมาจาก 3 ปัจจัย คือ 1) การส่งออกที่ขยายตัวได้ดี 2) มีเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนทั้งในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร 3) การอ่อนค่าลงของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักทุกสกุล ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอลง ส่งผลให้ค่าเงินบาทขณะนี้ มีแรงกดดันมากขึ้น
    แท้ที่จริงแล้วเงินบาทไม่ได้แข็งค่าเฉพาะช่วงนี้แต่อย่างใด แต่มีการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2001 แล้ว ไม่ได้แข็งค่าขึ้นเพราะการมาของรัฐบาลทักษิณ แต่แข็งค่าขึ้นเนื่องจากการพังทลายของตลาดแนสแดกซ์ ที่มีการทิ้งดอลลาร์ มาถือเงินสกุลต่างๆทั่วโลก เงินบาทอ่อนตัวลงบ้างในช่วงปี 2008 หลังจากนั้นก็กลับแข็งขึ้นมาใหม่ในปี 2009 กระทั่งถึงปัจจุบัน (2010)
    ประเทศไทยมีปัญหาทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 ถึงปี 2553 เป็นเวลา 5-6 ปี มีความรุนแรงจากการชุมนุม เช่นมีการเผากรุงเทพเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2552 มีการเผาประเทศเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 แต่เงินทุนก็ไม่เคยหยุดไหลเข้าประเทศไทย
    กลางปี 2540 ประเทศไทยมีทุนสำรองสุทธิเหลือ 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ เงินทุนไหลเข้า ถึงวันที่ 9 กรกฏาคม 2553 ประเทศไทยมีทุนสำรองสุทธิสูงถึง 160,200 ล้านเหรียญสหรัฐ
    ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้พยายามต่อสู้กับเงินทุนไหลเข้าทุกรูปแบบ
    1) ปี 2546 (2003) มีการใช้หนี้ไอเอ็มเอฟก่อนกำหนดถึง 2 ปี
    2) วันที่ 19 ธันวาคม 2549 (2006) ออกมาตราการกันสำรอง 30 เปอร์เซนต์เงินทุนไหลเข้า ทำให้ตลาดหุ้นตกวันเดียว 108 จุด มูลค่าตลาดหุ้นเสียหายกว่า 8 แสนล้านบาท ต้องยุติมาตรการดังกล่าวในวันรุ่งขึ้น
    3) วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2553 ออกมาตราการ 4 ข้อ เช่น ให้เอกชนขยายเงินลงทุนยังต่างประเทศโดยไม่จำกัดจำนวน และอนุมัติให้ขยายวงเงินลงทุนในหลักทรัพย์ ในต่างประเทศจากที่เคยอนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) จัดสรร 30,000 ล้านดอลลาร์ สรอ. เป็น 50,000 ล้านดอลลาร์ สรอ.
    4) รัฐบาลอภิสิทธิ์ ออกนโยบายลดหนี้นอกระบบ เพื่อให้มีการมากู้เงินในระบบ

    5) รัฐบาลอภิสิทธิ์ ตั้งงบประมาณปี 2554 สูงเป็นประวัติการณ์ 2.07 ล้านล้านบาท และขาดดุลสูงเป็นประวัติการณ์ 4.2 แสนล้านบาท หากมีความคิดลดสภาพคล่องของระบบด้วยวิธีนี้ ก็เป็นวิธีคิดที่ไม่ถูกต้อง
    6) รัฐบาลอภิสิทธิ์ มีความคิดที่จะให้บริษัทไปรษณีย์ไทย ตั้งธนาคารคนจน เพื่อระบบายสภาพคล่องให้ถึงรายย่อย เป็นวิธีคิดที่ไม่ถูกต้องเช่นกัน
    การแก้ปัญหาสภาพคล่อง เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่แก้ที่ต้นเหตุของปัญหา จึงทำให้การแก้ปัญหาไม่ประสบผลสำเร็จ พบว่า ถึงวันที่ 6 สิงหาคม 2553 ทุนสำรองสุทธิของประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 164,660 ล้านเหรียญสหรัฐ เงินท่วมประเทศไทยมากขึ้นอีก
    เงินทุนไหลเข้าออกอย่างผิดปกติในแต่ละประเทศ ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากวิสัยทัศน์ที่ผิดพลาด ที่นำเครื่องมือและวิธีการที่ไม่ถูกต้องมาใช้ในตลาดทุน ตลาดเงินและตลาดเงินตรา
    ตลาดหุ้นคือสิ่งผิดปกติในระบบเศรษฐกิจ ตลาดอนุพันธ์ยิ่งเพิ่มความผิดปกติให้ตลาดทุนมากขึ้นอีก "มีสัญญาณ" บอกว่า การเปิดตลาดอนุพันธ์ที่ทำให้เงินทุนไหลเข้ามาหาประโยชน์ในประเทศไทยอย่างผิดปกติ ตลาดอนุพันธ์เปิดตัวครั้งแรกในปี 2547 ในรัฐบาลพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เริ่มต้นด้วยสินค้าเกษตรล่วงหน้า แล้วตามมาด้วยการซื้อขายตัวเลขดัชนีหุ้น ซื้อขายตัวเลขราคาหุ้น รวมทั้งราคาทองคำล่วงหน้า
    ตลาดอนุพันธ์ คือการซื้อขายตัวเลขของราคาสินค้า ราคาหุ้น และดัชนีหุ้น ไม่มีตัวสินค้าจริง เรียกว่าซื้อขายสัญญา สามารถทำกำไร(ขาดทุน)มากกว่าการซื้อขายหุ้นะรรมดา 10 เท่า ราคาขึ้นหรือดัชนีขึ้น ก็สามารถทำกำไร(ขาดทุน)ได้ ราคาตกหรือดัชนีตก ก็สามารถทำกำไร(ขาดทุน)ได้ ทำให้กองทุนโลกขนเงินเข้ามาเก็งกำไรในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรไทยมากขึ้น ทำให้ทุนสำรองของประเทศไทยสูงขึ้น ทำให้ค่าเงินบาทไทยแข็งค่าขึ้น
    [​IMG]
    การเปิดตลาดทองคำ 10 บาท เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2553 จะเห็นว่ามีการแกว่งตัวของค่างินบาทในวันที่ 3 รุนแรงมาก และวันต่อๆมา ค่าเงินบาทก็แข็งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
    .
    [​IMG]


    ผู้เขียนเห็นด้วยกับมาเลเซียขึ้นดอกเบี้ย 0.25 เปอร์เซนต์ ทั้งนี้เพราะทุนสำรองของประเทศมาเลเซียเริ่มลดลง
    แต่ไม่เห็นด้วยกับประเทศไทยที่ขึ้นดอกเบี้ย ทั้งนี้เพราะทุนสำรองของประเทศไทยมากอยู่แล้ว และค่าเงินบาทก็สูงอยู่แล้ว การขึ้นดอกเบี้ยยิ่งทำให้เงินไหลเข้าประเทศมากขึ้น และบาทก็แข็งมากขึ้น
    ตัวอย่าง การประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25 เปอร์เซนต์ของกนง.เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2553 ส่งผลให้ค่าเงินบาทสนองตอบในทางบวกทันที
    .
    [​IMG]

    เงินท่วมระบบ ทำให้ดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ระดับต่ำมาก และดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ระดับสูงมาก การที่เงินบาทแข็งขึ้น มีส่วนทำให้เงินเฟ้อไม่สูงเกินไป แต่การประกาศขึ้นเงินเดือนข้าราชการอีก 5% ทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น
    อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 12 เดือน อยู่ที่ 1.25 เปอร์เซนต์
    เดือนกรกฎาคม 2553 อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับ 3.4 เปอร์เซนต์
    แสดงว่าอัตราดอกเบี้ย ติดลบ 2.15 เปอร์เซนต์ มันคือความเสียหายของระบบ
    [​IMG]
    ตลาดหุ้น ต้นเหตุการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศ

    กองทุนโลก ทำกำไรได้ จากทั้ง 2 ตลาด คือจากทั้งตลาดทุนและตลาดเงิน วอเรน บัฟเฟตต์ รวยอยู่คนเดียว แต่ส่วนใหญ่ของประเทศสหรัฐอเมริกายากจน เป็นเรื่องที่ผิดปกติ
    การปั่นหุ้นเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ เนื่องจากมนุษย์อยากร่ำอยากรวย แต่ก็ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ระบบอย่างเหลือเชื่อ ผู้เขียนไม่โทษคนเล่นหุ้น แต่ผู้เขียนโทษการมีตลาดหุ้นที่ให้โอกาสคนปั่นหุ้นได้ปั่นหุ้นมากกว่า
    ตลาดหุ้นทำความเสียหายที่ร้ายแรงทางเศรษฐกิจแก่โลกอย่างเหลือเชื่อ
    วิธีการแก้ความเสียหายทางเศรษฐกิจดังกล่าว ก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือต้องไม่มีตลาดหุ้น
    .
    บุญนิยม ทุนนิยม และ กองทุนนิยม ความแตกต่าง:
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เปิดตัวผู้หยั่งรู้ก่อนโลกเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ
    นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา( กุมภาพันธ์ 2552)
    Robert Shiller คาดการณ์ล่วงหน้าอย่างแม่นยำว่าโลกจะเกิดวิกฤติสินเชื่อ และแนะนำวิธีแก้ปัญหาที่ไม่มีใครเหมือน

    Robert Shiller เป็นหนึ่งในนักเศรษฐศาสตร์เพียงหยิบมือเดียว ที่ได้รับยกย่องว่าสามารถคาดการณ์การเกิดวิกฤติสินเชื่อได้อย่างแม่นยำ แต่ Shiller เป็นเพียงคนเดียวที่ระบุสาเหตุของวิกฤติได้อย่างถูกต้องด้วย Nouriel Roubine แห่ง New York University ซึ่งขณะนี้มีฉายา Dr.Doom เตือนตั้งแต่ต้นปี 2006 แล้วว่าจะเกิดวิกฤติตกต่ำในตลาดที่อยู่อาศัย ซึ่งจะทำให้สหรัฐฯ สิ้นสุดยุคแห่งความรุ่งเรืองด้วยการใช้จ่ายของผู้บริโภค และจะทำให้เกิดเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง ส่วน Stephen Roach จาก Morgan Stanley เตือนมานานหลายปีแล้วว่า ค่าเงินดอลลาร์ สหรัฐที่อ่อนแอ และการที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าขนาดหนักกับจีน คือสัญญาณของการเสียสมดุลอย่างอันตรายยิ่งของเศรษฐกิจโลก และจะทำให้เศรษฐกิจโลกล่มสลาย

    แม้นักเศรษฐศาสตร์ทั้งสองสมควรได้รับยกย่องที่สามารถมองเห็นจุดอ่อนแอที่คนอื่นมองไม่เห็น แต่ทั้งสองมิได้กล่าวถึงสาเหตุที่แท้จริง ที่ทำให้เศรษฐกิจโลกเป็นอย่างที่เป็นทุกวันนี้ กล่าวคือการเก็งกำไรอย่างโกลาหลที่เกิดขึ้นในโลกการเงิน ซึ่งเชื่อมโยงกับการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยอย่างด้อยคุณภาพ

    แต่ Shiller เป็นคนที่ชี้ให้เห็นถึงสาเหตุข้างต้นมานานแล้ว ก่อนที่จะเกิดวิกฤติหนี้ที่อยู่อาศัยด้อยคุณภาพในตลาด subprime Shiller ทำนายว่าราคาบ้านจะตกต่ำอย่างรวดเร็วมากกว่าที่ใครๆ คาด ซึ่งจะทำให้ตลาดการเงินทั่วโลกพลอยหกคะเมนตีลังกาไปด้วย ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารความเสี่ยง Shiller ตระหนักดีว่า ฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ และหลายส่วนของยุโรปนั้น แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของการบริหารความเสี่ยง และมาบัดนี้ Shiller ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย Yale ซึ่งสร้างชื่อครั้งแรกด้วยการคาดการณ์อย่างแม่นยำว่า ตลาดหุ้นจะล่มสลายในปี 2001 ก็ยังต้องโดดเดี่ยวอีกครั้ง เมื่อเขาเป็นคนเดียวที่แนะนำวิธีที่ไม่เหมือนใครเลย ในการทำให้ตลาดสินเชื่อโลกกลับมามีเสถียรภาพอีกครั้งในอนาคต

    ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่อาจบอกว่า Barack Obama ควรต้องรีบเข้าควบคุมตลาดซึ่งมีมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ ที่ได้นำ หนี้จำนองคุณภาพต่ำมาแปลงเป็นหลักทรัพย์อนุพันธ์ราคาสูง อันเป็นนวัตกรรมการเงินของ Wall Street ซึ่งขณะนี้ถูกกล่าวโทษว่าเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดวิกฤติสินเชื่อ แต่ Shiller กลับคิดตรงกันข้าม เขายืนยันว่า ตราบใดที่ประเด็นเรื่องความเสี่ยงซึ่งเป็นประเด็นหลักยังไม่ได้รับการพิจารณา จำนวนเงินมหาศาลที่รัฐบาลประเทศต่างๆ ทุ่มเทเข้ากอบกู้ตลาดการเงิน จะไม่สามารถ ป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤติครั้งใหม่ได้ ซึ่งอาจจะเป็นวิกฤติการเงินที่ร้ายแรงกว่าเก่าด้วย ในความคิดของ Shiller หลักทรัพย์อนุพันธ์เป็น "เครื่องมือบริหารความเสี่ยงที่คล้ายกับการประกันภัย คุณจ่ายเพียงเบี้ยประกัน แต่เมื่อเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น คุณก็จะได้รับการจ่ายคืน" Shille ชี้ด้วยว่า การพยายามจะควบคุมไม่ให้มีการคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมการเงินเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและแทนที่ จะพยายามทำเช่นนั้น เขาแนะนำว่า เราควรกล้าที่จะก้าวเข้าสู่โลกใบใหม่ ที่ซึ่งหลักทรัพย์อนุพันธ์กลายเป็นเรื่องที่ใช้กันอย่างปกติธรรมดาเหมือนๆ กับเงินสด

    สิ่งที่ทำให้ Shiller แตกต่างจากนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คือ การที่เขาไม่เคยเชื่อในทฤษฎีประสิทธิภาพของตลาด (efficient-market hypothesis) ซึ่งเป็นหลักการที่ผู้จัดการการเงินส่วนใหญ่ยึดถือ โดยเชื่อว่าตลาดสามารถกำหนดราคาสินทรัพย์จากมูลค่าพื้นฐานของสินทรัพย์นั้น และราคาที่กำหนดขึ้นนั้นจะสะท้อนข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง แต่ Shiller เลือกที่จะเชื่อเหมือนคนอื่นๆ อีกหลายคนเช่น John Kenneth Galbraith ซึ่งบอกว่า ราคาตลาดนั้นสะท้อน "สัญชาตญาณสัตว์" และความโลภของคนต่างหาก หาใช่สะท้อนข้อมูลที่สมบูรณ์ไม่

    นั่นยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ฟองสบู่เริ่มก่อตัวขึ้น และสำหรับ Shiller แล้ว นั่นยังเป็นเหตุผลว่า เหตุใดนวัตกรรมทางการเงินและการควบคุมของรัฐจึงเป็นสิ่งจำเป็น ในสหรัฐฯ กำลังมีแรงกดดันเพิ่มขึ้นให้รัฐบาลปราบปรามหลักทรัพย์อนุพันธ์ต่างๆ ที่มีโครงสร้างซับซ้อน โดยตั้งอยู่บนหนี้จำนองที่เน่าเสีย ซึ่งมีการซื้อขายกันทั่วโลกจนเกิดธุรกรรมประเภทนี้นับเป็นล้านๆ ครั้ง เอื้ออำนวยด้วยความสะดวกจากระบบคอมพิวเตอร์และการสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ Barney Frank ประธานคณะกรรมาธิการบริการภาคการเงินแห่งสภาผู้แทนสหรัฐฯ ผู้ทรงอิทธิพล ถึงกับเสนอให้รัฐบาลหาทางบีบบังคับสถาบันการเงินให้ถอยห่างจากความเสี่ยงมากกว่านี้ และในยุโรปและเอเชียก็กำลังพิจารณาว่าอาจจะออกมาตรการคล้ายๆ กันนี้เช่นกัน

    ปฏิกิริยาต่อต้านดังกล่าวเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ การเกิดวิกฤติ การเงินแต่ละครั้งจะต้องส่งผลเป็นการตีกลับไปที่สาเหตุที่ทำให้เกิดวิกฤติเหล่านั้น คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) ก่อตั้งขึ้นในปี 1934 หลังจากที่ตลาดหุ้นเกิดวิกฤติในช่วงทศวรรษ 1920 ส่วนกฎหมาย Sarbanes-Oxley Act ผ่านการอนุมัติในปี 2002 หลังจากที่เกิดการฉ้อฉลครั้งใหญ่ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Enron และ WorldCom แม้ว่า Shiller จะสนับสนุนให้มีการควบคุมมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันเขาก็เชื่อมั่นว่า ความพยายามที่จะจำกัดการ ใช้อนุพันธ์ของหลักทรัพย์และจำกัดความเสี่ยง เป็นการเดินที่ผิดทิศทาง Shiller เขียนไว้ใน The Subprime Solution เมื่อครั้งที่เพิ่งเกิดวิกฤติ supprime พอดีว่า สิ่งที่จำเป็นในขณะนี้คือนวัตกรรม ทางการเงินที่สูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง หาใช่การพยายามจะจำกัดมันไม่ Shiller บอกว่า การบริหารความเสี่ยง ไม่ใช่การป้องกันไม่ให้เกิดพฤติกรรมเสี่ยง หากแต่เป็นการแบกรับความเสี่ยงไปโดยตลอด จนกว่าจะถึงจุดสิ้นสุดไปตามเหตุผลของมัน และเพื่อที่จะทำให้มันเกิดขึ้นจริงๆ

    Shiller ยังเห็นว่าการแทรกแซงจากภาครัฐเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการคุมสัญชาตญาณสัตว์และการสร้างสรรค์นวัตกรรมและที่ที่กำลังต้องการนวัตกรรมการเงินมากที่สุดในขณะนี้ ก็คือตลาดอสังหาริมทรัพย์และเจ้าของบ้านทุกคน

    สิ่งที่คุณอาจยังไม่รู้คือ การค้าหลักทรัพย์อนุพันธ์ที่มีมูลค่า นับล้านล้านดอลลาร์นั้น กระทำโดยผู้ค้าเพียงไม่กี่รายเท่านั้น

    หนี้ที่อยู่อาศัยของลูกค้า subprime เกือบทั้งหมด ที่ถูกนำมามัดรวมแล้วแปลงเป็นหลักทรัพย์อนุพันธ์นั้นขายโดยสถาบันการเงินใน Wall Street เพียงแค่หยิบมือเดียว และผู้ซื้อก็มีอยู่ไม่กี่รายส่วนใหญ่เป็นสถาบันขนาดยักษ์ อย่างเช่น Bank of China, HSBC และกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ หลักทรัพย์อนุพันธ์เหล่านี้ยังเป็นเหมือนกล่องดำ ซึ่งไม่มีใครทั้งผู้ซื้อหรือผู้ขายที่จะรู้ว่าข้างในนั้นมีอะไรบ้าง ตลาดอนุพันธ์จึงเป็นตลาดขนาดใหญ่แต่ไร้สภาพคล่องและยังคลุมเครือ

    นอกจากนี้ระบบการค้าหลักทรัพย์อนุพันธ์ยังเกี่ยวข้องกับเจ้าของบ้านแต่ละคนที่มีจำนวนมหาศาล รวมทั้งสถาบันที่ปล่อยสินเชื่อบ้านทั่วโลกด้วย เจ้าของบ้านเหล่านี้ไม่สามารถปกป้องบ้าน ของตัวเองได้ด้วยวิธีที่สถาบันขนาดใหญ่ใช้อยู่ ผู้ซื้อที่ซื้อคอนโด ในไมอามีหรือมาร์เบลล่า จำเป็นต้องเชื่อว่าตลาดบ้านจะมีแต่ขึ้น และไม่มีวิธีที่จะปกป้องตัวเองได้เลย หากตลาดตกต่ำ และเมื่อตลาดเกิดตกต่ำขึ้นมาจริงๆ เจ้าของบ้านหลายล้านคนก็ต้องจมอยู่กับบ้านที่ขายไม่ออก แม้จะยอมขายขาดทุนก็ตาม

    วิธีแก้ของ Shiller คือ จะต้องใช้หลักทรัพย์อนุพันธ์มาเป็นเครื่องมือช่วยให้เจ้าของบ้านรวมไปถึงสถาบันสินเชื่อบ้าน สามารถ ปกป้องตัวเองจากราคาบ้านที่ตกต่ำได้ ในสหรัฐฯ ตลาดที่อยู่อาศัย มีมูลค่าถึง 20 ล้านล้านดอลลาร์ ทว่ากลับแทบไม่มีวิธีที่จะสร้างผลกำไรได้เลยในยามตลาดตกต่ำ ในขณะที่ถ้าเป็นตลาดหุ้น ซึ่งมีการใช้หลักทรัพย์อนุพันธ์และ option ทำให้ยังคงสามารถทำกำไรได้แม้ว่าตลาดจะตกต่ำ ส่งผลให้จำนวนผู้ซื้อและผู้ขายหุ้นยังคงเพิ่มขึ้น เรื่องนี้ไม่เพียงแต่ Shiller เท่านั้น แต่ทั้งนักวิชาการด้านการเงินและเทรดเดอร์ต่างก็เห็นตรงกันว่า การที่จำนวนผู้ซื้อและผู้ขายไม่ลดลงนั้น แสดงว่าตลาดยังคงมีความคล่องตัวและยังทำหน้าที่ต่อไปได้ แม้จะต้องอยู่ภายใต้แรงกดดัน

    แม้ Shiller ได้พยายามค้นหาวิธีที่จะสร้างหลักประกันให้แก่เจ้าของบ้าน ในยามที่ราคาบ้านตกต่ำมานานเกือบ 20 ปีแล้ว แต่บทความส่วนใหญ่ที่เขาเขียนเป็นบทความทางวิชาการ รวมทั้ง บทความล่าสุดของเขา Derivates Markets for Home Prices ซึ่งตีพิมพ์เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว ก็เต็มไปด้วยศัพท์แสงทางวิชาการเกินกว่าที่คนทั่วไปจะอ่านเข้าใจได้ แม้ว่า Shiller จะเก่งเรื่องการเตือนเกี่ยวกับฟองสบู่ในเวลาที่เหมาะเจาะ (เขาออกหนังสือ Irrational Exuberance ซึ่งเกี่ยวกับฟองสบู่ตลาดหุ้นแตกในเวลาเดียวกับที่ฟองสบู่แตกจริงๆ ในเดือนมีนาคม 2000 ออกหนังสือ เกี่ยวกับการล่มสลายของตลาด subprime เมื่อมันเริ่มระบาดไปทั่วโลก) แต่เสียงเรียกร้องของเขาให้ใช้หลักทรัพย์อนุพันธ์เป็นหลักประกันให้แก่เจ้าของบ้าน ก็ไม่มีใครสนใจเท่าใดนัก

    Shiller ได้สร้างดัชนีราคาบ้านที่เรียกว่า Case-Shiller Index ซึ่งเป็นดัชนีที่มีการซื้อขายกันในตลาด Chicago Mercantile Exchange แต่ลูกค้าส่วนใหญ่มีแต่นักพนันและนักเก็งกำไร ซึ่งสนใจแต่เพียงว่าดัชนีดังกล่าวและราคาบ้านเฉลี่ยที่เป็นพื้นฐานของดัชนีจะขึ้นหรือลงเท่านั้น และยังเป็นเรื่องที่ไกลตัวจากคนที่กำลังซื้อบ้านแถบชานเมืองลาสเวกัสหรือฟีนิกซ์ ที่จะสามารถใช้เครื่องมือทางการเงินมาป้องกันความเสี่ยงเมื่อราคาบ้านตกต่ำได้ แม้แต่ Shiller เองก็ยอมรับว่า ยังเป็นหนทางอีกยาวไกลกว่าที่เราจะไปถึงจุดที่เขาคิดว่าเราควรจะอยู่

    Shiller รู้ดีว่า นักวิชาการมักมองโลกไม่ค่อยตรงกับความเป็นจริง และตัวเขาเองก็ถูกคนอื่นๆ มองเช่นนั้น เทรดเดอร์หลายคนไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีพื้นฐานของ Shiller ที่ว่า การนำหลักทรัพย์อนุพันธ์มาใช้มากขึ้น จะทำให้ตลาดบ้านมีสภาพคล่อง และมีเสถียรภาพมากขึ้น พร้อมกับยกตัวอย่างว่า การเกิดขึ้นของตลาดล่วงหน้าก็หาได้ทำให้ตลาดหุ้นหรือตลาดโภคภัณฑ์ รอดพ้นจากการผันผวนขึ้นลงอย่างหนักได้ แต่อาจจะทำให้การขึ้นหรือตกของตลาดยิ่งลึก รุนแรง และรวดเร็วยิ่งกว่าด้วยซ้ำ พวกเขายังเยาะเย้ยด้วยว่า Shiller ไม่เคยบริหารพอร์ตการลงทุนหรือเคยค้าหุ้นจริงๆ เลย แม้เขาจะเป็นผู้คิดดัชนีราคาบ้านก็ตาม และการที่ Shiller เชื่อว่า การขยายการใช้หลักทรัพย์อนุพันธ์ที่อิงกับราคาบ้าน จะช่วยเป็นหลักประกันให้แก่เจ้าของบ้านได้นั้น ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับเขาแย้งว่า น่าจะนำไปสู่การเก็งกำไรอย่างใหม่มากกว่า อย่างไรก็ตาม Shiller ยืนยันว่า หากหลักทรัพย์อนุพันธ์ช่วยให้เจ้าของบ้านสามารถป้องกันความเสี่ยงในกรณีราคาบ้านตกต่ำได้ ก็จะช่วยป้องกันการก่อตัวของฟองสบู่ได้ด้วย

    แม้จะยังไม่สามารถตัดสินได้ว่าฝ่ายใดถูกระหว่าง Shiller กับผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับเขา แต่แนวความคิดที่ไม่เหมือนใครของ Shiller กลับไปตรงกับนักเศรษฐศาสตร์ผู้ทรงอิทธิพลชาวเปรู Hernando do Soto ซึ่งเห็นว่า โลกตะวันตกเริ่มล้ำหน้าส่วนอื่นๆ ของโลก เมื่อระบบการธนาคารและระบบกฎหมายของโลกตะวันตก ยินยอมให้คนสามารถเปลี่ยนที่ดินเป็นเงินได้ ส่วนระบบที่เราใช้กัน อยู่ทุกวันนี้ในการนำสินทรัพย์ไปเป็นหลักประกันการกู้ยืม ก็เป็นผลพวงที่มาจากความล้ำหน้าข้างต้น ซึ่งทำให้โลกตะวันตกได้ประโยชน์อย่างมหาศาล

    ส่วน Shiller เห็นว่า ยังมีความมั่งคั่งอีกมากที่ถูกขังไว้อยู่กับที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ เพราะว่าเจ้าของจะสามารถขายอสังหาริมทรัพย์ของตนได้ง่าย ก็ต่อเมื่อตลาดอยู่ในสภาพดีเท่านั้น ทำให้สินทรัพย์ประเภทนี้มีความเสี่ยงและไม่มีสภาพคล่อง แต่ก็ยังไม่มีวิธีใดที่จะชดเชยปัญหานี้ได้ Shiller เห็นว่าการเพิ่มการใช้หลักทรัพย์อนุพันธ์ และการทำให้เจ้าของบ้านสามารถขาย short sell สินทรัพย์ของตัวเอง จะทำให้สามารถซื้อ ขาย และบริหารความเสี่ยงของอสังหาริมทรัพย์ได้ง่ายขึ้น เช่นเดียวกับการขาย short sell หุ้น ตราสารและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ Shiller ทำนายด้วยว่า หากทำได้เช่นนี้จะสามารถช่วยปลดปล่อยความมั่งคั่งได้อีกมาก ขณะเดียวกันยังสามารถลดความเสี่ยงจากระบบได้อีกด้วย

    สิ่งที่ Shiller กำลังทำโดยสาระสำคัญแล้ว เป็นการวางรากฐานทางด้านสติปัญญาสำหรับการปฏิวัติทางการเงินครั้งต่อไป เพราะความทุกข์ที่เราเผชิญอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงวิกฤติใหญ่ครั้งแรกของเศรษฐกิจในยุคข้อมูลข่าวสาร (Information Age) เท่านั้น คำตอบของ Shiller อาจฟังดูค้านกับสัญชาตญาณ แต่ก็ยังไม่มากเท่ากับที่แพทย์และนักวิทยาศาสตร์เคยค้นพบตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อนว่า วิธีที่จะรักษาโรคติดเชื้อได้นั้น หาใช่การหนีหรือกักกันเชื้อโรค หากแต่เป็นการตั้งใจที่จะทำให้คนติดเชื้อโรคมากขึ้นต่างหาก ด้วยการฉีดวัคซีน ซึ่งก็คือการฉีดเชื้อโรคที่ถูกทำให้อ่อนแรง เข้าสู่ร่างกายคนนั่นเอง ทำให้เกิดการฉีดวัคซีนป้องกันโรคขึ้น Shiller ยอมรับว่า ยังมีข้อบกพร่องสำคัญในหลักทรัพย์อนุพันธ์และการแปลงหนี้เป็นหลักทรัพย์ แต่นับตั้งแต่เรือไททานิคจมลงเมื่อเกือบ 100 ปีก่อน เราก็ยังคงไม่หยุดเดินเรือข้ามแอตแลนติกกันมิใช่หรือ

    แน่นอน ไททานิคคงจะทำให้เราต้องหยุดคิด 2 ครั้งก่อนที่จะก้าวขึ้นเรือ แต่หากเรายอมสยบให้แก่ความกลัว เราคงสูญเสียพลังที่ผลักดันให้เราก้าวมาได้ไกลจนถึงทุกวันนี้ และนี่ก็คือเหตุผลที่ว่า ทำไม Shiller จึงเรียกร้องให้เราใช้หลักทรัพย์อนุพันธ์ให้มากยิ่งขึ้นและสร้างนวัตกรรมการเงินเพิ่มขึ้น ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติครั้งใหญ่กับระบบทุนนิยม ก็มักจะตามมาด้วยเสียงเรียกร้อง ให้หวนกลับไปสู่ยุคก่อนหน้า ซึ่งชีวิตยังมั่นคงและบ้านเมืองยังดีกว่านี้มาก สัญชาตญาณสัตว์ในตัวเราอาจสงบลง แต่ก็เพียงชั่วคราว เท่านั้น ความท้าทายคือการพยายามค้นหาวิธีที่จะป้องกันไม่ให้สัญชาตญาณสัตว์นั้นเกิดบ้าคลั่งขึ้นอีก เมื่อมันผุดโผล่ขึ้นมาอีกครั้ง การเรียกร้องของ Shiller ให้เรายิ่งใช้หลักทรัพย์อนุพันธ์ให้มากขึ้น ช่างยากที่จะรับฟังในเวลาที่หลักทรัพย์ประเภทนี้เพิ่งจะสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลให้แก่ทุกคน

    แต่ Shiller บอกว่า เครื่องมือการเงินที่ทำให้เราต้องพบกับทุกขเวทนาอย่างทุกวันนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ควรถูกกล่าวโทษ เพราะมันเป็นเพียงเครื่องมือซึ่งอาจจะถูกนำไปใช้ในทางเสียหายก็ได้หรือในทางที่ดีก็ได้เช่นกัน และเตือนว่า การพยายามจะปิดกั้นความสามารถในการสร้างสรรค์ของมนุษย์ อาจเป็นงานของคนเขลาเท่านั้น

    เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์ แปลและเรียบเรียง
    นิวสวีค 19 มกราคม
    เปิดตัวผู้หยั่งรู้ก่อนโลกเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ - gotomanager.com
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]


    โลก 1929 รุ่งโรจน์ก่อนดำดิ่ง User Rating:

    วิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 1929 หรือที่เรียกกันในสากลว่า Great Depression ก่อให้เกิดความตกตะลึงไปทั่วโลก สาเหตุที่ล้มครืน ไม่ใช่เพราะจากตลาดหุ้นแต่เพียงเท่านั้น

    การที่คนๆ หนึ่งถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อลุกไม่ขึ้น ย่อมมีอาการหลายอย่างรุมเร้าประกอบกัน และถ้าตระหนักว่า สรรพสิ่งในโลกนี้ ดำเนินเป็นวัฏจักร เราก็จะคิดได้ว่า เมื่อใดที่รุ่งโรจน์ พุ่งทะยาน อีกไม่นานก็จะถึงเวลาปักหัวลง ในที่นี้ จะโฟกัสเฉพาะอเมริกา ในฐานะประเทศยักษ์ใหญ่ที่เป็นต้นตอ

    ขาขึ้น

    • หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914-1918) อุตสาหกรรมต่างๆ ในอเมริกาเติบโตอย่างมาก ปี 1922-1929 รายได้ประชาชาติเพิ่มราว 23% เฉพาะปี 1926 รายได้ต่อปีของคนสูงขึ้น คือ 563 เหรียญ เป็น 625 เหรียญ ดัชนีการผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มราว 50% การจ้างงานเพิ่ม 17% เงินฝากเพิ่มมากถึง 40% การลงทุนต่างประเทศเพิ่มเกือบ 2 เท่าของงบประมาณ

    • แม้ว่าอุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมผลิตเครื่องจักรและสินค้าทุน เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทว่า เมื่อดูให้ลึกแล้ว การใช้เครื่องจักรอุตสาหกรรมมาแทนที่แรงงานเกษตรจำนวนมาก แรงงานที่เหลือจึงถูกบีบให้เข้าสู่แรงงานขั้นต่ำ และทุกประเทศเหมือนกันหมด คือ แรงงาน และ เกษตรนั้น เป็นฐานใหญ่ของประเทศ เมื่ออำนาจซื้อไม่มี จึงส่งผลต่อเนื่องไปยังผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค

    • การซื้อขายเพิ่มขึ้นของธุรกิจโฆษณา และการค้าขายแบบเงินผ่อน เป็นการสร้างดีมานด์เทียม เมื่อความเป็นจริงไม่ได้ต้องการบริโภค จึงมีการลดปริมาณการผลิต ใช้เครื่องจักรไม่เต็มกำลัง (capacity) จึงมีการลดการลงทุนในเวลาต่อมา ซึ่งการเกิดขึ้นของเหตุการณ์หนึ่ง ย่อมกระทบกับอีกเหตุการณ์หนึ่ง การว่างงานในอุตสาหกรรมหนึ่ง ก็ย่อมกระทบกับยอดการบริโภค และการขายสินค้า ซึ่งทำให้การลงทุนลดลงไปอีก ย้อนกลับไปกลับมาเช่นนี้ ทำให้การผลิตลดลงทั้งอุตสาหกรรมหนัก และอุตสาหกรรมการเกษตร และการว่างงานเพิ่มขึ้น

    • การเพิ่มการลงทุนสู่ต่างประเทศมหาศาล 13.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ มีการอธิบายความกันในภายหลังว่า ทำให้การผลิตและการจ้างงานก็ไหลออกนอกประเทศด้วย และการที่สหรัฐมีเงินเกินดุล ก็หมายถึงการชำระหนี้คืนจากประเทศที่สหรัฐเข้าไปลงทุนเอง

    • การลงทุนลดจาก 42.9 พันล้านเหรียญในปี 1929 เป็น 5.3 พันล้านเหรียญในปี 1932

    • คาดการณ์ว่า คน 10% ของสังคมเท่านั้นที่มีรายได้สูง แต่ 60% ของครอบครัวอเมริกัน มีรายได้ต่ำกว่า 2000 เหรียญต่อปี คนมีรายได้สูงมีแนวโน้มใช้เงินในการลงทุนมาก เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นในปี 1929 ขยายตัวอย่างมาก

    • ในเดือนมีนาคม 1928 มีการเก็งกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่เมื่อวันหนึ่ง ราคาหุ้นไม่สัมพันธ์กับรายได้บริษัท เพราะหวังเก็งกำไรเป็นสำคัญ โบรกเกอร์เองก็ทำตัวเป็นจอมกระตุ้น ให้นักลงทุนกู้เพื่อซื้อหุ้นเป็นเงิน 6 พันล้านเหรียญและ 9 พันล้านเหรียญ เมื่อพฤศจิกายน 1929

    • 3 กันยายน 1929 เป็นวันที่หุ้นสูงสุด เช่น หุ้นจีอี เพิ่มจาก 128 เหรียญ เป็น 396 เหรียญ ต่อหุ้น AT&T เพิ่มจาก 179 เป็น 335 เหรียญ

    • เมื่อตลาดหุ้นฟูอย่างถึงที่สุด ก็แตกดังโพละ ราคาดิ่งลงเมื่อ 23 ตุลาคม 1929 ราคาหุ้นเฉลี่ย 18 เหรียญต่อหุ้น เมื่อราคาหุ้นลดลงทำให้มีการขายหุ้นกันมาก วันเดียวเทขายหุ้น 6 หมื่นล้านหุ้นที่นิวยอร์ก

    ขาลง

    • ตลาดหุ้นล้มละลาย ผู้นำสถาบันการเงิน 6 แห่ง รวมเงิน 240 ล้านเหรียญพยุงตลาดหุ้น เสถียรภาพดีขึ้น แต่อีกสองวัน ราคาร่วงอีก วันที่ 29 ผู้คน ยอมขายราคาใดก็ได้ บางกิจการจากราคาครึ่งร้อย มาเหลือ 1 เหรียญก็มี มูลค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นนิวยอร์ก ลงจาก 89.10 เป็น 17.35 เหรียญ

    • นักลงทุนตระหนก ต้องการเงินสด เพราะหุ้นไม่มีค่า ปริมาณเงินนอกธนาคารเพิ่มจาก 3.6 พันล้านเหรียญ ในปี 1929 เป็น 4.7 พันล้านเหรียญ ในปี 1932 แต่เงินกู้ธนาคารลดลง ยอดเงินฝากลดลง

    • อำนาจซื้อลดลงจาก 54.7 พันล้านเหรียญ เป็นประมาณ 45.4 พันล้านเหรียญ

    • การล้มละลายของตลาดหุ้นในเดือนตุลาคม 1929 ไม่ใช่สาเหตุ แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิกฤตเศรษฐกิจ

    • รัฐบาลสมัยประธานาธิบดีฮูเวอร์ ธนาคารกลางแก้ปัญหาไม่ถูกต้อง คือ ลดเงินสดสำรองตามกฎหมายธนาคารพาณิชย์ 1929 และเพิ่มการซื้อหลักทรัพย์เป็นระยะๆ คิดว่า จะเป็นการขยายการให้สินเชื่อได้ แต่ปัญหาอยู่ที่คนไม่คืนเงินกู้ และบ่อยครั้งที่หลักทรัพย์ เช่น หุ้นค่าดิ่งลง ด้วยเหตุนี้ ธนาคารจึงล้มละลายอย่างรวดเร็ว ระหว่าง 1930-1932 ธนาคารล้ม 5.100 แห่ง และที่เหลือก็รวมกิจการกัน ธนาคารลดจาก 23.831 เป็น 13.645 แห่ง

    • เกษตรกรแย่ การยึดที่ดินค้ำประกันเงินกู้เกษตรกรเพิ่มขึ้น 2 เท่าในช่วง 1929 -1932

    • ธุรกิจล้มละลาย 50%

    • อุตสาหกรรมเหล็กกล้า ราคาลดลง 20% ทั้งที่ผลผลิตลดลง 80% อัตราค่าจ้างแรงงานต่อชั่วโมงลดลง คนว่างงาน ปี 1932 มี 12 ล้านคนหรือ 25% ของแรงงานทั้งหมด

    • เมื่อคนมีแต่ความเครียด อัตราการแต่งงานลดลง 30% ระหว่าง 1929-1932

    • มีการประท้วงโดยทั่ว มีนาคม 1932 คนว่างงาน 3 พันคน ประท้วงหน้าโรงงานรถยนต์ฟอร์ด นอกเมืองดีทรอยท์ เกิดจลาจล เจ้าหน้าที่ยิงคนตายไป 4 คน

    • คำว่าฮูเวอร์ ถูกใช้ต่อท้ายความแร้นแค้นต่างๆ เพื่อประชดประชันประธานาธิบดีฮูเวอร์ เช่น หมู่บ้านยากจน เรียก Hoovervilles, Hoover Blankets (คนจนที่เอาหนังสือพิมพ์ห่มแทนผ้าห่ม)

    • ประธานาธิบดีกลับมองโลกแง่ดีบอกว่า เหตุการณ์จะผ่านไปภายใน 60 วัน เชื่อในปรัชญาลัทธิเสรีนิยมโดยมีความพยายามแก้ไขปัญหา ตั้ง บรรษัทสินเชื่อแห่งชาติ ตั้ง บรรษัทสินเชื่อการรถไฟ (RFC) ด้วยทุน 500 ล้านเหรียญ และ ให้กู้ได้อีก 1.5 พันล้านเหรียญ ตั้งบรรษัทเงินทุนเพื่อการบูรณะฟื้นฟู โดยเชื่อว่าจะก่อเกิดการหมุนเวียนมากขึ้น

    • มีการสร้างเขื่อนฮูเวอร์ปี 1930 ซึ่งผลักดันโดยประธานาธิบดี เฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์

    • ในยุคต่อมาของประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. รูสเวลท์ ได้มีการส่งเสริมการสร้างอาคาร ขุดแม่น้ำ และท่าเรือ ให้เงินมลรัฐสร้างทางหลวงสาย 66 เชื่อมจากตะวันออกไปตะวันตก เป็นเงิน 172 ล้านเหรียญในปี 1933

    • ทว่า เมื่อมีโครงการมาก จึงใช้จ่ายมาก ปี 1932 งบประมาณขาดดุล เป็นเงิน 2.5 พันล้านเหรียญ หนี้สินเพิ่มจาก 16.9 พันล้าน เป็น 19.5 พันล้านเหรียญจากปี 1929 -1932

    โอกาส

    • เมื่อผู้คนวิตก หวั่นไหว ทำให้การเลือกตั้งปี 1930 พรรคเดโมแครตจึงได้รับเลือกตั้งเป็นเสียงส่วนมาก (ก็เหมือนกับ บารัค โอบามา ได้โอกาสอย่างท่วมท้นในวิกฤตครานี้) Franklin D. Roosevelt ได้รับเลือกตั้ง โดยดำเนินนโยบาย New Deal คือ รัฐบาลทำหน้าที่ขจัดความหวาดกลัวออกไป แก้ทุกข์ยากของคนว่างงาน ฟื้นฟูธุรกิจ และ การเกษตร ปฏิรูปในการธนาคาร การลงทุนแรงงานสัมพันธ์ เน้น “ความมั่นคง” มากกว่า “โอกาส” ทุกคนยังมีสิทธิ์ในทรัพย์สินของตน

    • รวมคณะที่ปรึกษาเรียกว่า “กลุ่มรวมสมอง” (Brain Trust) ซึ่งรูสเวลท์ยึดคำปรึกษาเป็นแนวทางในการวางนโยบาย ในยุคนี้เป็นยุคที่ปฏิบัติตามคำแนะนำของนักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจอย่างมาก นอกจากนี้ จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ ก็ฝากชื่อให้โลกรู้จัก ในยุคของรูสเวลท์นี้เอง โดยเสนอว่าระบบตลาดเสรีไม่อาจแก้ปัญหาได้ แต่รัฐควรเข้าแทรกแซง

    • ด้านการเงินการธนาคาร ตอนรูสเวลท์มา ธนาคารหลายแห่งปิดกิจการไปแล้ว รูสเวลท์ประกาศหยุดธนาคาร 3 มีนาคม 1933 ทั่วประเทศ 3 วัน สภาคองเกรสผ่าน พ.ร.บ.ธนาคารฉุกเฉิน เพื่อจัดการกับสถานการณ์นี้ และทำการตรวจทรัพย์สินธนาคาร ถ้าดี ก็ให้เปิดใหม่ได้ ปรากฏว่า ครึ่งหนึ่งที่ปิดไป อยู่ในสภาพที่เปิดได้ 5% ที่ปิดถาวร นั่นหมายความว่า ผู้ที่เป็นตัวจริงยังอยู่ได้ และ วิกฤตได้กวาด player ที่ไม่แข็งแรงออกไป

    • ออกธนบัตรมากขึ้นเพื่อทดแทนการขาดแคลนเงินตรา ให้ธนาคารออกหุ้นบุริมสิทธิ์เพิ่มขึ้นได้ ให้รัฐมนตรีคลังเรียกเอาทองคำ และใบสัญญาจะจ่ายเป็นทองคำเข้ามาเก็บไว้ได้

    • ด้านการช่วยเหลือคนว่างงาน ปี 1933 สภาคองเกรสตั้ง องค์การบริหารเพื่อบรรเทาทุกข์อย่างเร่งด่วน (Federal Emergency RelIef Administration) โดยมีเงินขั้นต้น 500 ล้านเหรียญไว้จับจ่ายแก่มลรัฐเพื่อบรรเทาการว่างงาน ตอนแรกช่วยแจกสิ่งของ แต่คนอเมริกันถือว่าเป็นการทำลายการเคารพในตนเอง จึงเปลี่ยนเป็นการจ้างงานแทน

    • 1935 ตั้งหน่วยงานอนุรักษ์พลเรือน หรือ CCC เป็นค่ายสำหรับเด็กหนุ่มอายุ 17-25 ปี ทำงานต่างๆ เช่น ปลูกต้นไม้ ปรับปรุงหน้าดิน ได้เงิน 30 เหรียญต่อเดือน โดยกำหนดไว้เลยว่า 22 เหรียญต้องส่งให้พ่อแม่ ซึ่งระหว่างปี 1933-1942 CCC ได้จ่ายเงินราว 2 พันล้านเหรียญ เพื่อสร้างงานให้แก่คนหนุ่ม 2,250,000 คน นอกจากนั้น คณะกรรมการบริหารเยาวชนแห่งชาติ หรือ NYA จัดหางานนอกเวลาให้นักเรียนชั้นมัธยมปลาย และ มหาวิทยาลัย จึงเป็นยุคที่สร้างให้เยาวชนมีคุณภาพ และตระหนักในการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อครอบครัว

    • การที่ออก พ.ร.บ.ฟื้นฟูอุตสาหกรรมแห่งชาติ (NRA) ผู้คนจากหลากหลายธุรกิจ เข้าร่วมประชุมกับ NRA ขอให้ไม่จ้างงานเด็ก และไม่ให้ทำงานไม่เกิน 36 ชั่วโมง เพื่อจะก่อให้เกิดการกระจายการจ้างงานมากขึ้น มีการเขียนข้อตกลง 557 ข้อ เป็นข้อจำกัดในการทำการค้า เช่น ห้ามตัดราคา ห้ามโฆษณาหลอกลวง ห้ามปลอมเครื่องหมายการค้า เป็นต้น อันเป็นสิ่งที่ได้รับคำชมที่ธุรกิจอเมริกันร่วมแรงร่วมใจกัน ไม่ใช่การแข่งขัน

    • จัดตั้ง คณะกรรมการบริหารงานสาธารณะ (PWA) เพื่อกระตุ้นการลงทุนเอกชน

    • ออก พ.ร.บ.ปรับปรุงการ เกษตร (AAA) เมื่อ พฤษภาคม 1933 ยกระดับราคาสินค้า ให้สินค้าเกษตรมีอำนาจซื้อในระดับเดียวกับปี 1909-1914 ราคาจะสูงขึ้นโดยตกลงกันว่า จะลดการผลิตลง ผู้ร่วมโครงการจะได้รับเงินจากรัฐบาลกลาง เป็นรางวัลในความร่วมมือ ยุคนั้น จึงเป็นยุคที่เกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดี

    • ตลาดหุ้น และสถาบันเพื่อการลงทุน ภายหลังมารู้กันว่า นายธนาคารอเมริกันขายพันธบัตรต่างประเทศมูลค่านับล้านก่อนเศรษฐกิจตกต่ำ หวังค่านายหน้า รัฐบาลหลังปี 1933 เข้าควบคุม โดยผ่าน พ.ร.บ.หลักทรัพย์ (Securities Act) ไม่ให้ประชาชนต้องเผชิญปัญหาเดิม

    • การประกันสังคม ก่อนเศรษฐกิจตกต่ำ คนอเมริกันยอมรับในการดูแลตนเองในยามแก่เฒ่า หรือว่างงาน โดยเงินออมของตนเอง แต่พอวิกฤต แต่ละมลรัฐออกกฎหมายช่วยผู้สูงอายุ อันทำให้สังคมเกิดความมั่นใจ และในเวลาต่อมา เป็นนโยบายสำคัญที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ

    • 10 ปี หลังจากปี 1933 นั้น แรงงานได้รับสิ่งดีๆ อย่างมาก มีแรงงานนับพันเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ซึ่งเป็นข้อดีในการพิทักษ์สิทธิพนักงานเอง และตรวจสอบการทำงานขององค์กร แต่ในหลายหน่วยงาน ก็ได้กลายมาเป็นหน่วยงานที่สร้างความปวดหัวให้องค์กรไม่น้อยเลยในปัจจุบัน

    โลก 1929 รุ่งโรจน์ก่อนดำดิ่ง-
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

    "Operation Wikileaks" ปฏิบัติการป่วนโลก.......ภาคพิเศษ


    "8.การเข้าเทคโอเวอร์โดยรัฐบาลสหรัฐจะถูกเร่งให้เร็วขึ้นจากนี้ไปจนถึงมกราคม 2011 ( ขอแบบ Simpsons แค่ลูกเดียว เค้าเข้าวินเลย )"


    ผมดึงประโยคนี้มาจากโพสต์หนึ่ง(..link) ที่ผมเขียนไว้เมื่อเดือนที่แล้วครับ แล้วหลังจากนั้นก็เกิดประเด็นเรื่อง Wikileaks ขึ้น ดูเหมือนว่า "ปฏิบัตการวิกี้ลีค" ในครั้งนี้อาจจะเป็นคำตอบของประเด็นนี้ คงต้องติดดูกันต่อไปครับ ถ้าในอนาคตอันใกล้เราได้เห็นรัฐบาลสหรัฐ เข้าเซนเซอร์ ไล่ปิดเวบไซท์หรือเข้าควบคุมเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ก็คงเป็นที่แน่ชัดแล้วครับว่า เรื่อง "Wikileaks" ทั้งหมดก็คือ ความตั้งใจปล่อยและการสร้างสถานการณ์ 911 ในโลกไซเบอร์หรืออินเตอร์เน็ต เพื่อ "ปิดปาก" นักรบไซเบอร์ที่พยายามเปิดโปงหรือกำลังต่อต้านพวกเค้าอยู่นั่นเอง แล้วกฏหมาย กฏระเบียบ ข้อบังคับอะไรอีกมากมายสารพัดจะตามมาเพื่อควบคุมข้อมูลและการสื่อสารผ่านเน็ตในสหรัฐทั้งหมด เหมือที่เค้าเอาเครื่องบินชนตึกแล้วก็ออกกฏหมายสารพัดขึ้นมาควบคุมอเมริกานั่นไง



    โดยมีความพยายามจากหลายฝ่ายในการขุดค้นข้อมูลของนายอัสซานและการก่อตั้งวิกี้ลีค ก็ไปเจอครับ ว่าเงินที่ใช้ในการก่อตั้งวิกี้ลีค US$750,000 มาจากธนาคารแห่งหนึ่งของสวิสต์ซึ่งเจ้าของก็คือกลุ่มร๊อตไชล์ และทนายความของนายอัสซานที่กำลังที่กำลังต่อสู้คดีของนายอัสซานอยู่ในขณะนี้ก็คือทนายความของจอร์จ โซรอส และยังค้นพบความเชื่อมโยงอย่างลับๆ ของนายอัสซานกับซีไอเออีกต่างหาก ซึ่งทั้งหมดเป็นความบังเอิญหรือไม่อย่างไร

    ดูเหมือนเรื่อง "Wikileaks" นี้จะเป็นฉากใหญ่อีกฉากของละครเรื่องนี้ที่กำกับโดยกลุ่มร๊อธไชล์และอิลลูมินาติครับ

    โพสต์โดย What's going on in America
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

    Insider by Lindsey Williams ( Nov 6, 2010 )

    สรุปให้คร่าวๆครับ กับบทสัมภาษณ์เพิ่มเติม โดย Lindsey Williams ซึ่งยังยืนยันในข้อมูลภายในที่ได้รับมา คือ

    1.Lindsey เปิดเผย source หรือที่มาของแหล่งข่าว คือนักการเมืองเชื้อสายลาตินนามสกุล Fromm ที่ต้องยอมเปิดเพราะมีคนตามสืบจนเจอแล้วนำมาเปิดเผยก่อน

    2. Massive Inflation อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐจะพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและส่งผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐเป็นลำดับ

    3.MBS หรือ Mortgage Back Securities หรือตราสารการกู้เงินที่มีหนี้เน่าจากอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาใหม่และใหญ่มากสำหรับระบบเศรษฐกิจสหรัฐ เพราะมูลค่าอสังหาเหล่านั้นลดลงอย่างต่อเนื่องจนต่ำกว่ามูลหนี้ ลูกหนี้ชักดาบไม่ผ่อนต่อ ไม่รวมที่ตกงานไม่มีเงินผ่อน กลายเป็นหนี้เสีย กระทบมาถึงตัวตราสารเอง

    (ธรรมดาอสังหาเหล่านั้นเสื่อมมูลค่าอย่างแรง แล้วกลายป็นหนี้เสียอยู่แล้ว ยังต้องมาพัวพันโดยการเป็น collateral หรือหลักทรัพย์ให้กับตราสารการกู้ยืมเงินอีกเด้งครับ ก็คือจะทำให้เจ๊งกันเป็นทอดๆ ไป ตั้งแต่ผู้ซื้อบ้าน ผู้ปล่อยกู้รายย่อย รายใหญ่ ไล่ไปจนถึงธนาคารที่เป็นท่อของเงิน เด้งไปโดนสถาบันที่ซื้อขายตราสารนั้นๆในที่สุด แต่พี่เบนบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ไปเหมาซื้อ(โดยใช้เงินภาษีของประชาชน หรือ Bailed Out) หนี้เน่าหล่านั้นออกมาจากระบบธนาคาร(ของนายทุนวอลสตรีท ซึ่งก็คือผู้ถือหุ้นของ FED อีกนั่นแหละ) เอาขยะเหล่านั้นมากองไว้ที่ FED เอง เพื่อไม่ให้ธนาคาร(ของนายทุนวอลสตรีท ซึ่งก็คือผู้ถือหุ้นของ FED อีกนั่นแหละ) เหล่านั้นเจ๊งในลักษณะเดียวกันกับ "เลแมน บราเดอร์" โดยการ "ปั๊มเงิน" ครับ ถ้าฟังการประกาศ QE2 ให้ดี เค้าเปิดช่องโดยการกันเงินไว้อีก 200-300 Billion เพื่อมาซื้อ MBS ส่วนนี้ โดยไม่รวมกับ 600 Billion ที่เอาไว้ซื้อพันธบัตรโอบาม่าในอีก 6 เดือนข้างหน้า เพราะฉะนั้น QE2 ไม่ใช่ 600Bil แต่เป็น 800-900 Bil ครับ เล่นเอาเจ้าหนี้อึ้ง ทำอะไรกันไม่ถูก นึกว่าที่ผ่านๆมาพี่เบนจะแค่พูดเพื่อทุบดอลล่าเล่นเท่านั้นเอง)

    ***ลองไล่เรียงตรงนี้ดูให้ดี จะเข้าใจกระบวนการฉ้อฉลและถ่ายเทเงินภาษีจากประชาชนมาเข้ากระเป๋ากลุ่มทุนตัวเองในที่สุด ด้วยภาพการล้มและการเข้าไปแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ.......และทีมเศรษกิจเกือบทั้งทีมก็มาจากโกลด์แมน แซ็ค โดยหัวโต๊ะที่ผลักดันผ่านกฏหมายทั้งหมดก็คือ รัฐมนตรีคลัง ทิม ไกเนอร์ หรือ อดีตประธาน FED สาขานิวยอร์ค หรืออดีตซีอีโอของโกลด์แมน แซค อีกนั่นเอง.......คลาสสิคไม๊ครับ 18 มงกุฏยังต้องเรียกพี่เลย

    4.ราคาทองคำ US$ 2,000 ใน 6-8 เดือนข้างหน้า
    เพิ่มเติม : (Bob Chapman $1,600 ภายใน Dec 2010 & $2,000 ภายใน March 2011)(Jim Sinclair $1,450-1,650 ใน 2-3 เดือนนี้) สาเหตุมาจาก QE2 ***ดูรอบการทุบของปลายปีที่แล้ว (จาก Dec 5, 2009) ประกอบครับ แต่ปีนี้มี QE2 แรงๆ ช๊อคตลาดแบบนี้เพิ่มขึ้นมาทำให้ปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนไป และกลิ่นตุๆของยุโรป ในเรื่องหนี้และพันธบัตรกำลังขับเคลื่อนราคาทองคำตอนนี้ คือ ...ขายยูโรเข้าซื้อทองคำและคอมโมดิตี้... ทำให้ดอลล่าอินเด็กซ์ ทองคำและคอมโมวิ่งไปพร้อมๆ กัน

    5.ราคาน้ำมัน US$ 152-200 ใน 6-8 เดือนข้างหน้าจาก $ เฟ้อ ($5-$6/แกลลอน ปั๊มน้ำมันในสหรัฐ)

    6.จับตาความร่วมมือและความเคลื่อนไหวของจีนและรัสเซีย

    7.สงครามตะวันออกกลางเริ่มใน 4-6 เดือน แต่ไม่เป็นประเด็นสำคัญเพราะจะมีอะไรที่ใหญ่กว่ามาก (ต้องรอดูมีความเป็นไปได้มีหลายตัว อาจจะเป็นเศรษฐกิจ หรือ Simpsons )

    8.การเข้าเทคโอเวอร์โดยรัฐบาลสหรัฐจะถูกเร่งให้เร็วขึ้นจากนี้ไปจนถึงมกราคม 2011 ( ขอแบบ Simpsons แค่ลูกเดียว เค้าเข้าวินเลย )

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/huM4DxTl1xI?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01 width=500 height=306 type=application/x-shockwave-flash allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always"></EMBED>
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/lHPeksXnhOk?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01 width=500 height=306 type=application/x-shockwave-flash allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always"></EMBED>
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/KwX8G3765ys?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01 width=500 height=306 type=application/x-shockwave-flash allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always"></EMBED>




    โพสต์โดย What's going on in America
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2010
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

    Censorship Begins !!!


    [​IMG]
    Googles ส่งจดหมายเตือน Alex Jones : ข้อมูล คลิปวีดีโอและช่องทั้งหมดของอเล็กซ์ โจนส์ในยูทูปและสื่อในเครือกูเกิ้ลจะโดนลบออกทั้งหมดเร็วๆนี้!!! คงถึงเวลาของไพ่ "Censorship" แล้วครับ Link

    "...This isn't a freedom-of-speech issue. This is a decency issue. We're closing you down..."

    จากนี้ไปเราคงจะได้เห็นการไล่ปิดเวบที่ต่อต้านการจัดระเบียบโลกใหม่ หรือ New World Order ไปเรื่อยๆครับ และเมื่อไหร่ที่เค้าเล่นเรื่อง Censorship ซึ่งเป็นวาระที่จะทำในช่วงท้ายๆ ก่อนที่ปฏิบัติการ "End Game" จะเริ่มขึ้น หรือว่าเรื่อง Wikileaks ปล่อยออกมาเพื่อล่อเป้าเท่านั้นเอง แต่ศพแรกกลับกลายเป็นอเล็กซ์ โจนส์ครับ



    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/L05K8TtQG04?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999 width=500 height=306 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>




    โพสต์โดย What's going on in America
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

    CFTC เริ่มเปิดประเด็นการบิดเบือนตลาดเงินและทองคำ


    หากวันนี้ใครที่เข้าเวบไซท์ข้อมูลราคาทองคำของ Kitco ในส่วนของข่าว คงจะได้เห็นเรื่องนี้เป็นประเด็นขึ้นมาครับ โดยมีการพาดหัวในสื่อขนาดยักษ์ของโลกถึง 3 สื่อ คือ Bloomberg..link, Reuters..link และ Financial Times..link ถึงการออกมาเปิดเผยในเรื่องความพยายามบิดเบือนราคาทองคำและเงินของ Big Brother หรือกลุ่มขาใหญ่ในตลาดโลก สุดท้ายก็ต้องยอมรับความจริงกันครับว่ามีและทำกันจริงๆ ใครที่ยังคิดว่าเป็นเรื่องของอุปสงค์และอุปทาน หรือกลไกตลาดก็คงจะได้เห็นความจริงซะทีครับ



    มีท่าทีจาก CFTC ว่าจะออกมาเปิดเผยว่าพวกขาใหญ่เค้าทำอะไรและจะมีมาตราการในการป้องกันอย่างไร โดยเจ้าหน้าที่บางคนของหน่วยงานนี้ออกมาถึงกับประกาศว่าถ้า CFTC ไม่ออกมาประกาศในเรื่องนี้ พวกเค้าจะเปิดเผยกันเองให้ชาวโลกได้รับรู้ ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกว่าทำไมต้องเป็นช่วงนี้ ทั้งที่การ "กด" และ "บิดเบือน" ราคาทองคำ ก็ทำกันมาหลายสิบปี แต่จะมาบอกเอาตอนนี้ เหมือนกับความพยายามเปิดโปงการทุจริตหลายๆ เรื่องในหลายๆ ด้าน ในทุกภาคส่วนทั้งตลาดหุ้น ตลาดเงิน และการเมือง ทั้งสร้างเป็นหนัง สารคดี และอีกสารพัด และดาบสุดท้ายก็คงเป็นสื่อกระแสหลักหรือก็คือหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ซึ่งก็เป็นของพวกเค้าอีกนั่นแหละ

    และนี่ก็เป็นบรรยากาศของการไต่สวนในเรื่องนี้ของ CFTC ครับ

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/yeUI87hSvr0?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01 width=500 height=306 type=application/x-shockwave-flash allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always"></EMBED>




    ดูเหมือนเค้าจะหงายไพ่ให้ดูหมดแล้วล่ะครับ แล้วบอกว่าพวกคุณ "แพ้หมดแล้ว" และไม่มีอะไรจะต้องปิดกันอีกต่อไป และการรุกฆาตก็ใกล้เข้ามาทุกที ถึงบอกไปก็ไม่มีใครทำอะไรได้นอกจากการรับรู้ความจริง แล้วจะมีการเปิดเผยในลักษณะนี้ออกมาอีกเรื่อยๆ เป็นระลอกๆ อย่างเช่น ความจริงเรื่องสงครามอิรัคจาก Wikileak ที่ออกมาเปิดเผยเรื่องการทรมาน การสังหารหมู่ประชาชนชาวอิรัค ตัวเลขต่างๆ ที่รัฐบาลสหรัฐบิดเบือนและโกหกชาวโลกมาตลอด มีทั้งเอกสารทางราชการ คลิปวีดีโอที่มีทั้งภาพและเสียงอย่างชัดเจน

    รวมทั้งสารคดี 60 Minutes โดย CBS ได้ออกมา "แฉ" เกี่ยวกับสถานการณ์การว่างงานจริงๆ ที่เกิดขึ้นในสหรัฐ ณ เวลานี้ ที่ตัวเลขเฉลี่ยจริงๆของทั้งประเทศอยู่ที่ 17% และสูงกว่า 20% ในบางรัฐเช่น 21.90% ในรัฐแคลิฟอเนีย, 21.60% ในรัฐมิชิแกน, 21.50% ในรัฐเนวาดา (ซึ่งเป็นที่ตั้งของลาสเวกัส) และ 20.10% ในรัฐโอเรกอน



    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/CwpdGyIY2fQ?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999 width=500 height=306 type=application/x-shockwave-flash allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always"></EMBED>




    หรือถ้าจะดูสารคดีชุดนี้ฉบับเต็มๆ ก็...คลิกที่นี่


    จุดประสงค์ของการเปิดเผยก็คือการตบหน้าคนอเมริกันและชาวโลก และสร้างความเกลียดชังต่อการเมืองและอำนาจรัฐเพื่อสุมไฟให้เกิดการประท้วง (Revolt) ต่อต้านรัฐบาลอเมริกันและลุกฮือ (Riot) ของประชาชนนั่นเอง แล้วความรุนแรงก็อาจจะนำไปสู่การประกาศ Martial Law หรือกฏอัยการศึก เพื่ออ้างเหตุการณ์ความวุ่นวายในการเข้าควบคุมสถานการณ์โดยการฉีกรัฐธรรมนูญและเข้ายึดครองแบบเบ็ดเสร็จก็จะเกิดขึ้นตามมา ซึ่งกฏหมายทุกฉบับที่เกี่ยวข้องได้ถูกเขียนขึ้นมาอย่างแนบเนียนและเบ็ดเสร็จ เพื่อรองรับเหตุการณ์ในลักษณะนี้ไว้แล้วครับ



    ถึงวันนี้ใครที่ถือครองทองคำไม่ว่าจะราคาไหน ไม่ต้องห่วงเรื่องติดดอยหรอกครับ เพราะอีกไม่นานเกินรอราคาที่คุณว่าเป็นดอยนั้น คุณอาจจะไม่ได้เห็นมันไปอีกนานแสนนาน แล้วดอยที่คุณว่ามันจะกลายเป็นแค่เนินเขาเท่านั้นเอง อยากจะขอย้ำครับว่ากำไรจากราคาทองคำหรือการเก็งกำไรใดๆ เป็นเพียงผลพลอยได้จากสถานการณ์เท่านั้นเอง ความอยู่รอดทั้งทางร่างกายและจิตวิญญาณเป็นเรื่องที่สำคัญกว่ามากครับ


    โพสต์โดย What's going on in America
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553

    เกมส์ไพ่อีลูมินาติ.......Your Future on the Card !!! 14/


    [​IMG]
    ไพ่ Militia ( มิลิเชีย ) ก็คือประชาชนคนอเมริกัน ที่ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลกลางโดยการรวมตัวกันเพื่อก่อตั้งกองกำลังติดอาวุธหนัก(อาวุธสงคราม) อิสระขึ้นตามหัวเมืองและรัฐต่างๆ ทั่วสหรัฐ กองกำลังเหล่านี้ก็คือประชาชนที่ตกงานอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ไร้ที่อยู่เพราะโดนยึดบ้านหรือที่อยู่อาศัย หมดสิทธิที่จะรับเงินช่วยเหลือเรื่องการว่างงาน หรือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ ซึ่งถือว่าเป็นครั้งที่ร้ายแรงที่สุดตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ครับ พวกเค้าจึงต้องจับอาวุธขึ้นต่อสู้และแย่งชิงเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง


    [​IMG]นี่ยังไม่นับรวมไพ่ Gang War หรือสงครามระหว่างแก๊งต่างๆ ที่รอเวลาระเบิด เช่นแก๊งแม็กซิกัน แก๊งอัฟฟริกัน-อเมริกัน แก๊งอิตาเลี่ยน แก๊งรัสเซีย แก๊งเอเซียต่างๆ และยังไม่นับรวมอีกสารพัดแก๊งหรือเชื้อชาติที่ผสมปนเปกันอยู่ที่นั่นครับ ( ส่วนแก๊งคนไทยแทบจะไม่เคยเห็นครับ เพราะมักจะตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน รวมตัวกันอยู่ตามร้านอาหารไทย นอกจากนั้นก็ตั้งวงสารพัดปาร์ตี้ตามบ้านเพื่อน หรือไม่ก็รวมตัวกันที่วัดไทยในรัฐหลักๆเพื่อทำบุญ ทอดกฐิน ทอดผ้าป่ากันไป )


    โดยล่าสุดเมื่อคืนวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา FBI มีการเข้าจับกุมกลุ่ม Militia ที่นัดรวมพลใน 3 รัฐ คือ มิชิแกน, โอไฮโอ และ อินเดียนน่า และควมคุมตัวแกนนำไว้ได้ 7 คน เพื่อทำการสืบสวนขยายผลต่อไป กระแสการก่อตัวขึ้นของกลุ่ม Militia คงจะเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตราบใดที่สหรัฐยังคงเดินไปในทิศทางนี้ แล้ว Militia นี่แหละครับ จะเป็นกลุ่มต่อต้านรัฐบาลกลาง ที่ใหญ่และแข็งแกร่งที่สุดที่รัฐบาลจะต้องไล่ปรามปรามไปทั่วประเทศ หลังจากที่มีอะไรหนักๆ เกิดขึ้นและสถานการณ์เหนือการควบคุมแล้ว


    พี่น้องคนไทยที่อยู่ในสหรัฐ ถ้ายังไม่ตื่นตัวหรือรับรู้ข้อมูลข่าวสารเหล่านี้ก็คงต้องดูข่าวหรือความเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ของ CNN ครับ


    Authorities in Michigan conduct a raid on the militia known as the Hutaree.
    ภาพเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมกลุ่มมิลิเชียที่มีชื่อว่าฮิวทารี่ในรัฐมิชิแกน






    [​IMG]

    At least 7 arrested after raids in 3 states
    By the CNN Wire Staff
    March 29, 2010 -- Updated 0230 GMT (1030 HKT)

    (CNN) -- Federal authorities plan to unseal charges Monday against several people arrested in a series of weekend raids in Michigan, Ohio and Indiana, prosecutors in Detroit said Sunday. Link.......

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/eoHCp9S7GHQ&hl=en_US&fs=1&rel=0&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999 width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always"></EMBED>
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/mTjxa7_d3OY&hl=en_US&fs=1&rel=0&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999 width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always"></EMBED>​



    และแล้วก็ถึงเวลาของไพ่ Militia แล้วครับ.......

    โพสต์โดย What's going on in America
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2010
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Thursday, December 9, 2010
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=5 height=20><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=563 height=20>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD width=60 height=144>
    </TD><TD vAlign=top width=218><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=218 height=144>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=36>
    </TD><TD vAlign=top width=218><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=218 height=144>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=60>
    </TD></TR><TR><TD height=20>
    </TD><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=218 height=20>ฝันของอเมริกันดับสูญไปแล้ว</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD>
    </TD><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=218 height=20>คนจรจัดเกิดขึ้นมากหลังเศรษฐกิจตกต่ำ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD>
    </TD></TR><TR><TD height=144>
    </TD><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=218 height=144>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD>
    </TD><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=218 height=144>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD>
    </TD></TR><TR><TD height=20>
    </TD><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=218 height=20>คนจรจัดหรือคนไร้บ้านเป็นปัญหาของซาคราเมนโต้ เมืองหลวงของรัฐแคลิฟอร์เนีย พวกเขาอาศัยอยู่ในที่ดินของ SMUD ใกล้แม่น้ำอเมริกัน ชุมชนใหม่แห่งนี้รู้จักกันในนาม<O:p></O:p>
    Tent city in <?XML:NAMESPACE PREFIX = ST1 /><ST1:CITY><ST1:place>Sacramento</ST1:place></ST1:CITY> (Photo by Anne Chadwick awilliams@sacbee.com )

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD>
    </TD><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=218 height=20>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD>
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top colSpan=5 height=533><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=592 height=533>----------------------------------------------คลิกที่รูปเพือดูรูปใหญ่------------------------------------------
    15สัญญาณสังคมอเมริกันล่มสลาย!
    <O:p></O:p>
    เว็บไซต์ www.alternet.org แม็กกาซีนออนไลน์ของสหรัฐ ได้เผยแพร่บทความน่าสนใจ หัวข้อ “15 สัญญาณบ่งชี้สังคมอเมริกัรกำลังจะแตกสลาย” เขียนโดนนายเดวิด เดโกรว ซึ่งระบุว่า กลุ่มคนที่ร่ำรวยทางเศรษฐกิจในสหรัฐ คือตัวการสำคัญในการทำร้ายสังคมอเมริกัน ซึ่งเริ่มแก้ไขได้ลำบากมากขึ้นทุกขณะ หลายคนอาจไม่ได้รับรู้เรื่องนี้จากสื่อกระแสหลัก แต่ผลการชีวัดทางสังคมสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ตัวชี้วัดดังกล่าวสามารถแยกออกเป็น 15 สัญญาณอันตราย ดังนี้ <O:p></O:p>
    1.ความไม่เสมอภาคและขาดสมดุลในด้านความมั่งคั่งของชาวสหรัฐ ได้พุ่งพรวดสูงขึ้นอย่างคาดไม่ถึง ในปัจจุบันสหรัฐเป็นประเทศผู้นำทางอุตสาหกรรมที่ขาดสมดุลในด้านนี้สูงที่สุด ซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ช่องว่างของจำนวนคนรวยและคนชั้นกลางคนจนได้แตกต่างมากขึ้นอย่างมาก<O:p></O:p>
    2.กรณีที่ตลาดหุ้นพุ่งสูงเกินกว่า 10,000 จุด ในเวลาอันรวดเร็วเพียง 13 เดือน ส่งผลให้ธนาคารยักษ์ใหญ่ 3 แห่งคว้าผลประโยชน์จากการจากผู้เสียภาษี และได้ประโยชน์อย่างมากจากการที่รัฐบาลสหรัฐตัดสินให้เงินช่วยเหลือแก่ธุรกิจที่ล้มเหลว ซึ่งธนาคารเหล่านี้ได้สร้างสถิติใหม่ทางเศรษฐศาสตร์ เพราะสามารถให้โบนัสพนักงานเป็นจำนวนเงินสูงถึง 30 พันล้านเหรียญ สูงกว่าปีที่ผ่านมาถึง 60 % <O:p></O:p>
    สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่าโกลด์แมน แซคส์ วาณิชธนากรอันดับหนึ่งของสหรัฐสามารถสร้างกำไรได้แล้วเพียงแค่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี แถมยังสามารถสำรองเงินชดเชยสำหรับการใช้จ่ายได้อีกถึง 16.7 พันล้านเหรียญโกลด์แมน แซคส์ จึงกลายเป็นวาณิชธนากร ที่สามารถขยับขยายและเติบโตได้ที่สุดในประวัติศาสตร์ <O:p></O:p>
    3.กำไรของกลุ่มคนที่ร่ำรวยถูกค้ำประกันจากผู้เสียภาษีตาดำๆ ในมูลค่าสูงถึง 23.7 แสนล้าน แสดงให้เห็นว่าขณะที่กลุ่มคนร่ำรวยไต่ขึ้นสูงไปเรื่อยๆ แต่ชนชั้นกลางกลับกำลังเริ่มล้มลง <O:p></O:p>
    4.คนทำงานในช่วงอายุระหว่าง 55 - 60 ปี ซึ่งทำงานมานานถึง 20 - 29 ปี ได้สูญเสียเงินในกองทุนเงินเก็บออมสำหรับใช้หลังเกษียณการทำงานโดยเฉลี่ย 25 % ขณะที่ในเวลาเดียวกัน ชาวอเมริกันที่ร่ำรวย 400 คนยังรวยขึ้นไปอีกถึง 30 พันล้านเหรียญ จากจุดนี้ทำให้คน 400 คนดังกล่าวมีทรัพย์สินรวมกันมากถึง 1.57 แสนล้านเหรียญ<O:p></O:p>
    5.จำนวนบ้านที่ถูกที่จำนองพุ่งสูงขึ้นสุดขึดในไตรมาสที่ 3 ของปี 2552 โดยเริ่มย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ไตรมาสแรก เชื่อหรือไม่ว่า มีบ้านทั้งหมด 937,840 หลังที่ถูกจำนอง ขณะที่บ้านอีก 3.4 ล้านหลังมีโอกาสสูงมากที่จะถูกจำนองในช่วงปลายปีนี้ แถมนักวิเคราะห์ยังเชื่อว่า สำหรับปี 2553 เรื่องบ้านถูกจำนองจะแย่ลงไปกว่านี้อีก <O:p></O:p>
    นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐออกกฎหมายตั้งกองทุนสำหรับผู้เสียภาษี ในวงเงิน 75 พันล้านเหรียญ ซึ่งผลปรากฎออกมาว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง วัดได้จากจำนวนบ้านที่ถูกจำนอง ซึ่งพิสูจน์ชัดว่ากฎหมายดังกล่าวทำให้ต้องเสียเงินภาษีของประชาชนกว่าเป็นพันๆ ล้านเหรียญไปฟรีๆ<O:p></O:p>
    6.ประชาชนอเมริกันกว่า 25 ล้านคนไม่มีงานทำหรือได้ทำงานแบบไม่เต็มเวลา แสดงให้เห็นว่าสหรัฐมีประชาชน 25 ล้านคนที่ต้องการเพิ่มรายได้ แต่กลับไม่มีทางเลือก อัตราการว่างงานคาดว่าจะสูงขึ้นอีกในอนาคตและจะยังคงสูงต่อไปอีกหลายปี <O:p></O:p>
    7.ล่าสุดธนาคารสหรัฐถึง 123 แห่งล้มเหลวลงไปในปีนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ที่ผ่านมา ธนาคาร 3 แห่งซึ่งทางการระบุว่ามีความเข็มแข้งต้องปิดกิจการลง<O:p></O:p>
    8.การล้มละลายพุ่งทะลุความคาดหมาย รัฐ 10 แห่งร่อแร่ใกล้ล้มละลาย บางรัฐถึงขั้นประกาศว่าเกิดวิกฤตการเงิน รัฐแคลิฟอร์เนีย, อริโซน่า, ฟลอริดา, อิลลินอยส์, มิชิแกน, เนวาดา,นิว เจอร์ซีย์,โอเรกอน,โรด ไอส์แลนด์ และวิสคอนซิน กำลังตกอยู่ในวิกฤตทางเศรษฐกิจ ซึ่งต่างก็พยายามแก้ด้วยวิธีง่ายๆ อย่าง การขึ้นอัตราภาษีและการลดจำนวนเจ้าหน้าที่ของรัฐ<O:p></O:p>
    9.ทุกอย่างนี้อาจเกิดขึ้นจากใช้งบประมาณแบบขาดดุล จำนวน 1.4 แสนล้านเหรียญ ซึ่งนับกว่ามากกว่างบประมาณปีที่ผ่านมาหลายแสนเหรียญ สรุปแล้วสหรัฐมีหนี้สูงจำนวน 12 แสนล้านเหรียญเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หนี้จำนวนนี้เริ่มมากใกล้ถึงจุดจำกัดตามกฎหมาย(limited) ที่กำหนดไว้ที่ 12.104 แสนล้านเหรียญ หมายความว่าสภาคงต้องออกกฎหมายปรับเพดานลิมิตให้สูงขึ้น เพื่อให้รัฐบาลสามารถเดินหน้าทำงานต่อไปได้<O:p></O:p>
    10.แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามปรับแต่งตัวเลขความยากจนให้ดูต่ำจากความเป็นจริง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประชาชน 47.4 ล้านคนต้องอยู่อย่างยากแค้น นอกจากนี้ จำนวนคนยากจนของสหรัฐยังมีอัตราสูงที่สุด เมื่อเทียบกับประเทศอุตสาหกรรมด้วยกัน คาดการณ์ได้เลยว่า จำนวนคนไร้บ้าน(Homeless)จะเพิ่มขึ้นอีกมาก อย่างเมื่อปีที่แล้วก็มีคนไร้บ้านมากถึง 3 ล้านคน<O:p></O:p>
    11.วิกฤตเศรษฐกิจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเด็กๆทั้งนี้ เฉลี่ยแล้วเด็กอเมริกันประมาณ 50 % ต้องใช้แสตมป์แลกอาหารประทังชีพ ความอดอยากเป็นสิ่งคุกคามสหรัฐตัวสำคัญ หนังสือพิมพ์นิว วอชิงตัน โพตส์ รายงานว่า วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ทำให้จำนวนชาวอเมริกัน ที่มีอาการบริโภคไม่เพียงพอเพิ่มขึ้น คิดไม่ถึงเลยจริงๆ มันเหมือนกับว่า เรากำลังอาศัยอยู่ในประเทศโลกที่สาม”<O:p></O:p>
    12.ปี 2552 (2009) จำนวนประชาชนสหรัฐ ที่ยากในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ เพิ่มขึ้นเป็น 46.3 ล้านคน ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการตกงานและไร้งานทำ<O:p></O:p>
    13.การที่ไม่มีเงินจ่ายประกันสุขภาพเป็นสาเหตุให้ประชาชนราว 45,000 คนต้องเสียชีวิตเมื่อปี 2551 มีรายงานข่าวระบุว่า 2 ใน 3 ของการล้มละลายเกิดจากค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์ และแม้บางคนมีปัญญาจ่ายประกันสุขภาพ ก็ยังต้องเผชิญปัญหากับจำนวนเงินในกระเป๋า หากเจ็บป่วยจากโรคที่ร้ายแรง ขณะที่เด็กอีกกว่า 17,000 คนต้องเสียชีวิตลง เพราะขาดการดูแลทางการแพทย์ที่ดีพอ <O:p></O:p>
    14.อุตสาหกรรมผลิตปืนและลูกกระสุนในสหรัฐกลับโตขึ้นอย่างสวนทาง เห็นได้จากบริษัทขายสินค้าดังกล่าวกว่า 100 แห่ง ทำเงินได้หลายพันล้นเหรียญในเวลาเพียง 1 ปี สืบเนื่องจากความต้องการปืนและลูกกระสุนได้ทะยานขึ้นสูงมาก แต่บริษัทผู้ผลิตไม่สามารถผลิตสินค้าตอบสนองตลาดได้ทันเห็นได้ชัดเลยว่า ชาวอเมริกันกำลังติดอาวุธตัวเองกันยกใหญ่<O:p></O:p>
    15.เมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา กลุ่มติดอาวุธหน้าใหม่ผุดขึ้นเหมือนดอกเห็ดถึง 100 กลุ่ม ส่วนจำนวนสมาชิกในสังกัดนั้น มีมากกว่าอีกเป็น 2 เท่า ทางการเป็นกังวลกับปรากฎการณ์นี้มาก เจ้าหน้าที่รายหนึ่งเปิดเผยว่า การที่ทุกอย่างย่ำแย่ลงเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้เกิดกลุ่มติดอาวุธ อีกไม่นานหรอกเราจะได้เห็นความรุนแรงและการคุมคามไปทั่ว”<O:p></O:p>
    สรุปได้แล้วว่า ขณะนี้สหรัฐมีประชาชนกว่า 50 ล้านคนที่เงินขาดมือและต้องการเงินมากไม่มีประกันสุขภาพและไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าหมอหรือขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานใด ขณะที่ประชาชนอีกส่วนหนึ่งมีคนรักที่เจ็บป่วยใกล้ตาย แต่ไม่ได้รับการรักษาหรือไม่ก็ตายไปแล้วเรียบร้อย <O:p></O:p>
    ขณะที่ประชาชนอีก 1 % ซึ่งเป็นคนรวยกลับมีความสุขจากวิกฤตครั้งนี้ ทั้งที่คนอีกหลายล้านทั้งจน หมดตัว กระเสือกกระสนเอาชีวิตรอด อยู่อยากอดๆ อยากๆ และติดอาวุธ แน่ใจได้เลยว่าเรากำลังจะได้เป็นพยานรู้เห็นความแตกสลายของสังคมสหรัฐ ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า !! (บทความแปลนี้คัดจากเว็บไซท์นสพ. มติชน รายวัน)....

    </TD></TR></TBODY></TABLE>Apacnews.net</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. พลอยรุ้ง

    พลอยรุ้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +2,088
    สุดยอด :cool:
    ขยันหาข้อมูลจริงๆค่ะ:z16
    จะตามเป็นแฟนคลับต่อไปเรื่อยๆนะคะchearr
    เป็นกำลังใจให้ค่ะ (ตบมือให้อีกครั้ง)(||)
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

    ทฤษฏีสมรู้ร่วมคิด โดยเจสซี่ เวนทูร่า......." BP Oil Spill "


    1.Tony Hayward , CEO ของบริษัท BP เทขายหุ้นของบริษัท ออก 1 ใน 3 จากที่ถือครองอยู่ทั้งหมด "ล่วงหน้า" 1 เดือนก่อนที่จะมีการระเบิดของแท่นขุดเจาะและมีการรั่วไหลของน้ำมันในปริมาณมหาศาลลงสู่อ่าวเม็กซิโก

    2.แท่นขุดเจาะน้ำมัน (Oil Rig) ที่เกิดการระเบิด บีพีได้เช่าจากบริษัทแห่งหนึ่ง มีการทำประกัน "ล่วงหน้า" ไว้แล้วกับบริษัทประกันอีกแห่งหนึ่ง


    3.นายดิ๊ก เชย์นี่ อดีตรอง ปธน.ในสมัยจอร์จ ดับเบิ้ลยู บูช และอดีต CEO ของบริษัท HARRIBURTON ซึ่งเป็นผู้รับเหมารายใหญ่ที่สุดของรัฐบาลสหรัฐในการจัดซื้อจัดจ้างรวมทั้งสงครามอิรัค ได้เข้าซื้อบริษัทกำจัดคราบน้ำมันขนาดยักษ์ " 11 วัน " ก่อนที่จะมีการระเบิดของแท่นขุดเจาะและมีการรั่วไหล และเป็นผู้ได้รับสัปทานเพื่อเข้ากำจัดคราบน้ำมันที่รั่วไหลเหล่านี้


    4.ในการกำจัดคราบน้ำมัน บริษันี้จะฉีดพ่นสารเคมีบางอย่าง ที่ได้รับการตรวจสอบและพิสูจน์แล้วว่าเป็นอันตรายร้ายแรงต่อมนุษย์ที่ได้สัมผัสสารเคมีชนิดนี้ การฉีดพ่นสารเคมีชนิดนี้ลงสู่ผิวน้ำเพื่อให้อนุภาคของน้ำมันแตกตัวออกและจมสู่ก้นทะเลในเวลาต่อมา โดยไม่มีการเก็บกู้ใดๆทั้งสิ้น บนสมมุติฐานที่ว่าธรรมชาติ(Mother Nature)จะจัดการกับคราบน้ำมันที่ก้นทะเลเหล่านี้เอง
    5.คองเกรสอนุมัติเงิน 40 พันล้านเหรียญ (40 Billion) เพื่ออพยพ ขนย้ายประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำมันรั่วครั้งใหญ่นี้ออกจากพื้นที่เป็นการเร่งด่วน โดยสนับสนุนทั้งกำลังทหารและตำรวจในพื้นที่ทั้งหมดให้กับบริษัท Harriburton ของนายดิ๊ก เชย์นี่


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/2Pjs11R6Y4Y?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x5d1719&color2=0xcd311b width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/KcxhUCnCMpk?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x5d1719&color2=0xcd311b width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/Q3gHVC2HakU?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x5d1719&color2=0xcd311b width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/6JzcH9bFris?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x5d1719&color2=0xcd311b width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    ผลกระทบที่ตามมาจากเหตุการณ์นี้
    1.ประชาชน ที่อยู่รอบอ่าวเม็กซิโก ในรัฐหลุยเซียน่าทั้งหมดถูก "บังคับ" โดยกำลังทหารและตำรวจท้องถิ่น ให้ย้ายออกจากบ้านเรือนของตนไม่ว่าเต็มใจหรือไม่ก็ตาม

    2.หลังจากการอพยพเคลื่อนย้ายประชาชนแล้ว พื้นที่ว่างดังกล่าวทั้งหมดจะถูกสร้างเป็นโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ เพื่อรองรับปริมาณน้ำมันทั้งหมดที่สูบขึ้นมาจากอ่าวเม็กซิโกนั่นเองครับ

    3.Ocean Current หรือกระแสน้ำใต้มหาสมุทรที่จะเดินทางไปทั่วโลกเพื่อกำหนดฤดูกาล จะพัดเอาคราบน้ำมันเหล่านี้จากก้นอ่าวแม็กซิโก เพื่อพาเอา Gulf Strem หรือกระแสน้ำที่อยู่ใต้อ่าวแม็กซิโกออกไปสู่มหาสมุทรแอตแลนติคทางด้านตะวันออก แล้วไหลไปรวมกับ Ocean Current ที่จะไหลเวียนไปทั่วโลกในที่สุด เพราะกระแสน้ำในมหาสมุทรทั้งหมดเชื่อมต่อกันโดยธรรมชาติครับ

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/pE-1G_476nA?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x402061&color2=0x9461ca width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

    ณ ชายหาดแห่งหนึ่งในประเทศปากีสถาน
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/JrLMdnWQsWA?fs=1&hl=en_US&rel=0 width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/nAb3dzEGfPI?fs=1&hl=en_US&rel=0 width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>



    คงพอจะเข้าใจแล้วนะครับว่าเรื่องราวและความเสียหายทั้งหมดที่อ่าวเม็กซิโก รัฐหลุยส์เซียน่า ทำไมจึงต้องเกิดขึ้น???.......และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกครับ เพราะครั้งแรกที่พวกเค้า "รวมหัว" กันทำอย่างนี้ ก็คือเหตุการณ์พายุเฮอริเคนแคทรีน่าที่พัดถล่มเมืองนิวออลีน รัฐหลุยส์เซียน่า และหลังจากเหตุการณ์นั้นก็มีการก่อตั้งกองกำลังและหน่วยงานต่างๆ ที่มีสิทธิและอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญสหรัฐขึ้นมาอย่างมากมายครับ



    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/s76Qn7bpCsQ?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999 width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/pvoEiBnpCc8?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999 width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>
    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/yB33kPIhBkc?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999 width=480 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    โพสต์โดย What's going on in America
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ขอบคุณค่ะ ที่มาให้กำลังใจ
    ทั้งหมดที่โพสท์มา ก็มีทั้งจริงมั่ง ไม่จริงมั่ง มีทั้งข่าวจริงและข่าวลวง
    มีทั้งทฤษฎีสมคบคิดที่คาดว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
    รวมทั้งวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจริง
    และการประท้วงต่างๆ พวกใต้ดินคนที่ถูกเอาเปรียบ คนที่ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว
    ถ้าเราฉลาดพอ ก็จะรู้หลบหลีกได้เจ็บตัวน้อยหน่อย
    หรือดูตัวอย่างในประเทศอื่นๆไว้เป็นบทเรียน ก็จะได้รู้ทางหนีทีไล่ได้
    สุดท้าย ก็ต้องใช้วิจารณญาณ ในการตัดสินใจลงทุน หรือจะทำอะไร
    ก็ให้สุขุมรอบคอบไว้ก่อน อย่าใช้อารมณ์นำหน้า ต้องใช้สติปัญญาที่ไม่มีอคติ
    ในการตัดสินใจทำและไม่ทำอะไร และให้เห็นภัยที่เกิดจากความโลภของคน
    โดยส่วนตัว ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ 100% แต่ก็ต้องรอบคอบและไม่ประมาท
    คอยดูสัญญาณเตือนภัยต่างๆ ถ้าไม่มีอะไรก็แล้วไป ถ้ามีอะไรขึ้นมาจะได้หลบทัน

    เนาะ
    ถ้าใครมาอ่านแล้ว สติแตก ตกใจ ไม่เป็นอันทำอะไร ก็ขออภัยด้วยละกัน
    โลกมันไม่เที่ยง เศรษฐิกิจมันก็ไม่เที่ยง เหตุการณ์ทั้งหลายมันก็ไม่เที่ยง
    ไม่มีใครรู้จริงหรอกว่าจะเกิดหรือไม่ มีแต่คาดว่าจะเป็น...
    ถ้ามันเกิดจริงตามที่ตั้งสมมุติฐานไว้ ก็เรียกว่า คาดการณ์ได้แม่นยำ
    เพราะมันมีเหตุมีปัจจัยบ่งชี้ เขาถึงคาดการณ์ไว้แบบนี้
    เรื่องจริง ก็ต้องดูตอนเกิดจริง เท่านั้น
    ถ้ายังไม่เกิดจริง ก็เป็นทฤษฎีสมคบคิด พยากรณ์ คาดการณ์ กันไปก่อน เนาะ
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ตัวเลขศก.สหรัฐฯปรับตัวดีขึ้น ส่วนยุโรปการว่างงาน-หนี้ยังสูง
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>13 ธันวาคม 2553 00:33 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มีสัญญาณที่ดี ทั้งจากดัชนีการบริโภคและดัชนีภาคการผลิตที่เพิ่มขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปยังเจอกับปัญหาหนี้ และการว่างงานที่สูง

    บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด รายงานภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯและยุโรปว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ เดือนพฤศจิกายนทำระดับสูงสุดในรอบห้าเดือน โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มจาก 49.9 จุดสู่ระดับ 54.1 จุด ซึ่งดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ หลังผู้บริโภคมีมุมมองเชิงบวกต่อการจ้างงานและรายได้ในอนาคตที่มากขึ้น นอกจากนี้ตัวเลขการใช้จ่ายช่วง Black Friday ในสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้นเช่นกันที่ 6.4% สะท้อนให้เห็นว่าภาคครัวเรือนมีกำลังซื้อมากขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจที่กำลังอยู่ในภาวะฟื้นตัว

    ขณะที่ดัชนี ISM ภาคการผลิตเดือนพฤศจิกายนอ่อนตัวลงเล็กน้อยแต่ยังคงดีกว่าคาดการณ์ ซึ่งมองว่า ดัชนี ISM ภาคการผลิตอยู่ที่ระดับ 56.6 จุด ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ที่ 56.5 จุด และยังคงแสดงการขยายตัวเป็นเดือนที่ 16 ติดต่อกันจากการฟื้นตัวของภาคการส่งออก อุตสาหกรรมยานยนต์ รวมถึงการคาดการณ์ยอดขายที่ดีขึ้นในช่วงปลายปี ตัวเลขดัชนี ISM ที่ดีต่อเนื่องสื่อถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

    ด้านเศรษฐกิจของยุโรปนั้น สหภาพยุโรป และ IMF ได้ยืดระยะเวลาการชำระหนี้ให้แก่กรีซ บลจ.ยูโอบี มองว่า แผนการช่วยเหลือไอร์แลนด์มีอายุ 7.5 ปี ดังนั้นกรีซจึงได้รับการพิจารณายืดระยะเวลาการชำระหนี้ออกไปอีก 4.5 ปีเช่นกัน โดยจะเริ่มชำระหนี้ในปี 2556 การยืดอายุดังกล่าวจะช่วยลดแรงกดดันต่อปัญหาภาระหนี้สินได้

    ขณะที่ S&P อาจจะลดอันดับความน่าเชื่อถือของโปรตุเกส ถึงแม้ว่ารัฐบาลโปรตุเกสแสดงความเชื่อมั่นว่าจะสามารถใช้กลไกตลาดเงินในการระดมทุนได้ เนื่องจาก S&P มีความกังวลต่อความสามารถในการระดมทุนของรัฐบาลโปรตุเกสซึ่งอาจจะต้องเข้า ร่วมโครงการช่วยเหลือจาก EU และ IMF ในอนาคต และเปิดเผยว่ามีความเสี่ยงที่โปรตุเกสจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ทั้งนี้โปรตุเกสมีพันธบัตรที่จะครบกำหนดในครึ่งปีแรกของปี 2554 เป็นจำนวนเงินประมาณหนึ่งหมื่นล้านยูโร ซึ่งรัฐบาลโปรตุเกสแสดงความเชื่อมั่นว่าจะสามารถใช้กลไกตลาดเงินในการระดมทุนได้

    เช่นเดียวกับ อัตราการว่างงานเดือนตุลาคมของ EU ยังคงอยู่ในระดับสูง บลจ.ยูโอบีมองว่า อัตราการว่างงานเดือนตุลาคมของ EU ปรับเพิ่มขึ้นจาก 10.0% เป็น 10.1% ซึ่งเป็นสถิติสูงที่สุดในรอบกว่า 12 ปี โดยสเปนรายงานอัตราการว่างงานสูงถึง 20.7% และปัญหาวิกฤตหนี้สาธารณะในหลายประเทศในยุโรปก่อให้เกิดความกดดันต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคและนักลงทุนและส่งผลให้มีการปรับลดการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง หากการว่างงานยังอยู่ในระดับสูง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปจะยังคงเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป
    Mutual Fund - Manager Online -
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- เสาร์ที่ 8 พฤษภาคม 2553 11:15:36 น.
    สหรัฐเผยมีธนาคารล้มละลายอีก 4 แห่ง ส่งผลยอดรวมธนาคารล้มละลายปีนี้พุ่งเป็น 68 แห่ง

    บรรษัทประกันเงินฝากแห่งสหรัฐ (FDIC) เปิดเผยว่า มีธนาคารพาณิชย์ล้มละลายเพิ่มขึ้นอีก 4 แห่งในสหรัฐ ซึ่งธนาคารเหล่านี้มีสินทรัพย์รวมกันเกือบ 740 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้จำนวนธนาคารล้มละลายในสหรัฐในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 68 แห่ง
    FDIC ระบุว่า ธนาคารทั้ง 4 แห่งได้แก่ ธนาคารเฟิร์สท์ แปซิฟิก แบงค์ ออฟ แคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย มีสินทรัพย์ราว 335.8 ล้านดอลลาร์ และเงินฝาก 291.2 ล้านดอลลาร์ ธนาคารแบงค์ ออฟ บอนิเฟย์ ตั้งอยู่ในเมืองบอนิเฟย์ รัฐฟลอริดา มีสินทรัพย์ราว 242.9 ล้านดอลลาร์ และเงินฝาก 230.2 ล้านดอลลาร์
    ธนาคารทาวน์ แบงค์ ออฟ อริโซนา ตั้งอยู่ในเมืองเมซา รัฐอริโซนา มีสินทรัพย์รวม 120.2 ล้านดอลลาร์ และธนาคารแอสเซส แบงค์ ออฟ แชมพลิน ในรัฐมินเนโซตา มีสินทรัพย์รวม 32 ล้านดอลลาร์
    ทั้งนี้ FDIC กล่าวว่า การล้มละลายของธนาคารทั้ง 4 แห่ง ส่งผลให้ FDIC ต้องแบกรับต้นทุนการประกันเงินฝากเป็นวงเงินทั้งสิ้น 213.7 ล้านดอลลาร์
    <SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-1994271288564323";/* Ryt9-Center 336x280, created 12/22/08 */google_ad_slot = "4617559094";google_ad_width = 336;google_ad_height = 280;//--></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101209/show_ads_impl.js"></SCRIPT>
    <SCRIPT type=text/javascript><!--$('pre.xff').click( function() { $(this).toggleClass('expanded');});--></SCRIPT>--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช
    สหรัฐเผยมีธนาคารล้มละลายอีก 4 แห่ง ส่งผลยอดรวมธนาคารล้มละลายปีนี้พุ่งเป็น 68 แห่ง
    <STYLE>.expanded { width: 620px; z-index: 9999 }</STYLE>
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- เสาร์ที่ 10 กรกฎาคม 2553
    สหรัฐเผยมีธนาคารล้มละลายอีก 2 แห่ง ส่งผลยอดรวมธนาคารล้มละลายปีนี้พุ่งเป็น 88 แห่ง
    บรรษัทประกันเงินฝากแห่งสหรัฐ (FDIC) เปิดเผยว่า มีธนาคารพาณิชย์ล้มละลายเพิ่มขึ้นอีก 2 แห่งในสหรัฐส่งผลให้จำนวนธนาคารล้มละลายในสหรัฐในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 88 แห่ง
    ธนาคารพาณิชย์ที่ปิดกิจการลงได้แก่ ธนาคาร Bay National Bank และ Ideal Federal Savings Bank ซึ่งทั้งสองแห่งอยู่ในเมืองบัลติมอร์ รัฐแมริแลนด์ โดยธนาคาร Bay National Bank มีสินทรัพย์รวม 282.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมียอดเงินฝากมูลค่า 276.1ล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ วันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ธนาคาร Ideal Federal Savings Bank มีสินทรัพย์ 6.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมียอดเงินฝาก 5.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    <SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-1994271288564323";/* Ryt9-Center 336x280, created 12/22/08 */google_ad_slot = "4617559094";google_ad_width = 336;google_ad_height = 280;//--></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101209/show_ads_impl.js"></SCRIPT>
    ทั้งนี้ จำนวนธนาคารพาณิชย์ที่ล้มละลายในสหรัฐตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ปรับตัวขึ้นเร็วกว่าเมื่อปีที่ผ่านมามาก เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีดังกล่าวที่มีธนาคารล้มละลาย 45 แห่ง ซึ่งตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากยอดขาดทุนด้านการปล่อยเงินกู้ในตลาดอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์
    นอกจากนี้ มีการคาดการณ์ว่า จำนวนธนาคารที่ล้มละลายในปีนี้จะเพิ่มสูงเกิน 140 แห่งของปีที่แล้ว เมื่อเทียบกับจำนวนธนาคารที่ล้มละลาย 25 แห่งในปี 2551 และ 3 แห่งในปี 2550 ซึ่งการล้มละลายของธนาคารพาณิชย์เมื่อปี 2552 ส่งผลให้ FDIC แบกรับต้นทุนการประกันเงินฝากเป็นวงเงินทั้งสิ้น 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
    <SCRIPT type=text/javascript><!--$('pre.xff').click( function() { $(this).toggleClass('expanded');});--></SCRIPT>--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย อรษา สงค์พูล
    สหรัฐเผยมีธนาคารล้มละลายอีก 2 แห่ง ส่งผลยอดรวมธนาคารล้มละลายปีนี้พุ่งเป็น 88 แห่ง
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 1 กันยายน 2553
    FDIC เผยธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐมีกำไรรายไตรมาสสูงสุดในรอบ 3 ปี

    บรรษัทประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) เปิดเผยว่า ธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐมีกำไรรวมกัน 2.16 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 ของปี 2553 ซึ่งเป็นกำไรรายไตรมาสระดับสูงสุดในรอบเกือบ 3 ปี
    ตัวเลขดังกล่าวนับว่าขยายตัวจากไตรมาส 2 ของปีที่แล้วมาก โดยในตอนนั้นธนาคารพาณิชย์และสถาบันเงินออมซึ่งได้รับการรับรองจาก FDIC มีตัวเลขขาดทุนสุทธิรวมกันถึง 4.4 พันล้านดอลลาร์
    <SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-1994271288564323";/* Ryt9-Center 336x280, created 12/22/08 */google_ad_slot = "4617559094";google_ad_width = 336;google_ad_height = 280;//--></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101209/show_ads_impl.js"></SCRIPT>
    "ตัวเลขดังกล่าวเป็นกำไรรายไตรมาสที่ดีที่สุดในรอบเกือบ 3 ปีสำหรับภาคการธนาคาร" เชียร์ลา ซี แบร์ ประธาน FDIC กล่าว "เกือบ 2 ใน 3 ของธนาคารมีรายได้ดีขึ้นเมื่อเทียบรายปี และหากสภาพเศรษฐกิจยังคงเป็นใจ สถาบันการเงินส่วนมากน่าจะยังคงมีกำไรและสามารถปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น"
    "อย่างไรก็ตาม สถาบันการเงินยังต้องเผชิญความท้าทายต่างๆ อย่างเรื่องกำไรที่ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับมาตรฐานในอดีต รวมถึงจำนวนสถาบันการเงินที่ไม่มีกำไร ธนาคารที่มีปัญหาและล้มละลาย ซึ่งยังอยู่ในระดับสูง" เธอกล่าว
    FDIC เปิดเผยว่าจำนวนสถาบันการเงินที่มีปัญหาเพิ่มขึ้นจาก 775 แห่ง เป็น 829 แห่งในไตรมาส 2 แต่มูลค่าสินทรัพย์ของสถาบันที่มีปัญหาลดลงจาก 4.31 แสนล้านดอลลาร์ เหลือ 4.03 แสนล้านดอลลาร์ และมีสถาบันการเงินที่ล้มละลาย 45 แห่ง
    เมื่อปีที่แล้วมีสถาบันการเงินที่ล้มละลายและต้องปิดตัวลงจำนวน 140 แห่ง ซึ่งเป็นตัวเลขรายปีที่สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2535 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดวิกฤตสินเชื่อและเงินออมครั้งใหญ่
    ทั้งนี้ FDIC เป็นหน่วยงานที่ก่อตั้งขึ้นโดยสภาคองเกรสในปี 2476 เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของสาธารณชนที่มีต่อระบบการธนาคารของประเทศ ทางหน่วยงานทำหน้าที่ประกันเงินฝากให้สถาบันการเงิน 7,830 แห่ง ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ 13.2 ล้านล้านดอลลาร์ สำนักข่าวซินหัวรายงาน
    <SCRIPT type=text/javascript><!--$('pre.xff').click( function() { $(this).toggleClass('expanded');});--></SCRIPT>--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปรียพรรณ มีสุข
    FDIC เผยธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐมีกำไรรายไตรมาสสูงสุดในรอบ 3 ปี
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 27 กันยายน 2553
    สหรัฐเผยมีธนาคารล้มละลายอีก 1 แห่ง ส่งผลยอดรวมธนาคารล้มละลายในปีนี้พุ่งเป็น 126 แห่ง
    บรรษัทประกันเงินฝากแห่งสหรัฐ (FDIC) ได้สั่งปิดธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแห่ง คือ ธนาคารฮาเวน ทรัสต์แบงค์ ฟลอริด้า (Haven Trust Bank Florida) ในรัฐฟลอริด้า ส่งผลให้จำนวนธนาคารล้มละลายในสหรัฐพุ่งขึ้นเป็น 126 แห่งในปีนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าภาคการเงินของสหรัฐยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย
    FDIC ระบุว่า ธนาคารฮาเวน ทรัสต์แบงค์ ฟลอริด้า มีทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 148.6 ล้านดอลลาร์ และมีเงินฝากมูลค่า 133.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งการล้มละลายของฮาเวน ทรัสต์แบงค์ ส่งผลให้ FDIC ต้องแบกรับต้นทุนการประกันเงินฝากเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 31.9 ล้านดอลลาร์ สำนักข่าวซินหัวรายงาน
    <SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-1994271288564323";/* Ryt9-Center 336x280, created 12/22/08 */google_ad_slot = "4617559094";google_ad_width = 336;google_ad_height = 280;//--></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101209/show_ads_impl.js"></SCRIPT>
    <SCRIPT type=text/javascript><!--$('pre.xff').click( function() { $(this).toggleClass('expanded');});--></SCRIPT>--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช
    สหรัฐเผยมีธนาคารล้มละลายอีก 1 แห่ง ส่งผลยอดรวมธนาคารล้มละลายในปีนี้พุ่งเป็น 126 แห่ง
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ประเด็นร้อนๆ


    กำลังนั่งดูเรื่องนี้อยู่พอดีครับ เพื่อนของเราคุณ " cool_kid " ก็ส่งลิ๊งค์นี้เข้ามาพอดี สงสัยใจตรงกัน หลายเรื่องแล้วสิ เป็นเรื่องของการสั่งปิดธนาคารเพิ่ม 3 แห่งของสหรัฐ และสถานการณ์ของสถาบันประกันเงินฝาก หรือ FDIC ครับ ผมจะวิเคราะห์เรื่องลึกๆ ให้ในตอนท้ายครับ.......


    วันที่ 03 ตุลาคม พ.ศ. 2552 เวลา 13:55:19 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
    แบงก์มะกันล้มเพิ่ม 3 แห่ง ดันยอดรวมพุ่งแตะ 98

    ทางการสั่งปิดธนาคารท้องถิ่นสหรัฐเพิ่มอีก 3 รายเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ดันยอดแบงก์ล้มปีนี้พุ่งถึง 98 ราย

    ซีเอ็นเอ็นมันนี่รายงานว่า ทางการสหรัฐได้สั่งปิดธนาคารเพิ่มอีก 3 แห่งคือ วอร์เรน แบงก์ ในมิชิแกน เจนนิ่งส์ สเตท แบงก์ ในมินนิโซตา และเซาท์เทิร์น โคโลราโด เนชั่นแนล แบงก์ ในโคโลราโด

    อย่างไรก็ตาม ลูกค้าของธนาคารทั้ง 3 แห่งจะได้รับความคุ้มครอง โดยสำนักงานประกันเงินฝากสหรัฐ (FDIC) ได้ประกันเงินฝากของธนาคารนับตั้งแต่ยุคเกรธ ดีเพรสชั่น และปัจจุบันได้คุ้มครองเงินฝากของลูกค้าสูงสุดถึง 250,000 ดอลลาร์

    ทั้งนี้ฮันติงตัน เนชั่นแนล แบงก์ ในโคลัมบัส โอไฮโอ จะเข้ามารับช่วงเงินฝาก501ล้านดอลลาร์ของวอร์เรน แบงก์ พร้อมกับซื้อสินทรัพย์มูลค่า 83 ล้านดอลลาร์จากทั้งหมด 538 ล้านดอลลาร์จากธนาคารที่ล้มรายนี้ด้วย วอร์เรน แบงก์ เป็นธนาคารรายที่2 ในมิชิแกนที่ถูกสั่งปิดในปีนี้

    ด้านเซ็นทรัล แบงก์ ออฟ สติลวอเตอร์ จะเข้ามาดูแลเงินฝาก 52.4 ล้านดอลลาร์ของเจนนิ่งส์ สเตท แบงก์ และซื้อสินทรัพย์ทั้งหมดมูลค่า 56.3 ล้านดอลลาร์ของธนาคารแห่งนี้

    นอกจากนี้ เลกาซี่ แบงก์ จะเข้ารับช่วงเงินฝาก 31.9 ล้านดอลลาร์ของเซาท์เทิร์น โคโลราโด เนชั่นแนล แบงก์ และซื้อสินทรัพย์เกือบทั้งหมดของธนาคารรายนี้

    สำหรับปีนี้ อัตราการสั่งปิดธนาคารอยู่ที่เฉลี่ย 10 ธนาคารต่อเดือน เพิ่มขึ้นจากปีกลายเกือบ 4 เท่าตัว และถือเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2535 ซึ่งมีธนาคารล้ม 181 ราย

    การล้มของธนาคารในปีนี้ทำให้เงินทุนประกันของ FDIC ลดจาก 45 พันล้านดอลลาร์เมื่อปีกลาย เหลือ 10.1 พันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน และการสั่งปิดธนาคาร 3 แห่งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมากระทบต่อทุนของ FDIC 293.3 ล้านดอลลาร์

    ในทางลึกตอนนี้ FDIC กองทุนติดลบไปแล้วครับ เพราะยอดสุดท้ายที่ผมดูคือเหลือ 2 Billion หลังจากการล้มช้างของ Colonial Bank เมื่อ 14 สิงหาคม หลังจากนั้นก็มีธนาคารล้มอย่างต่อเนื่องอีก 23 แห่ง เงินไม่พอแน่นอนครับ 'ล้มละลายไปแล้วครับ" ในทางเทคนิค ตอนนี้ FDIC อยู่ในระหว่างการดิ้นรนเพื่อต่อลมหายใจ พยายามจะหาเงินเข้ากองทุน 45 Billion ตัวเลขของประชาชาติธุรกิจ "ผิดครับ" ไม่ใช่มี 45 Billion แล้วเหลือเท่าไหร่





    มีทางเลือกเหลือไม่กี่ทางครับ เค้าพยายามจะกู้จากกระทรวงการคลัง ทางนั้นประกาศมาแล้วว่าไม่ช่วย ไม่อุ้ม พยายามจะไปกู้จากธนาคารที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล หรือเงิน Bailout ก็ไม่ได้เพราะผิดหลักการ จะไปเอาเงินธนาคารมาคุ้มครองเงินฝากของธนาคารเอง ก็แปลกครับ แล้วจะมี FDIC ไปทำไมล่ะคร๊าบบ แล้วธนาคารเหล่านั้นรู้ครับว่าให้ไป FDIC ก็ล้มอยู่ดี สรุปว่าไม่ได้ครับ ทั้งผิด "หลักการ" และ "หลักตู" เอาใหม่ครับขอเก็บเงินสมทบล่วงหน้าเข้ากองทุน เก็บมาก่อนเลย 3 ปี โดนโห่ไล่กลับมาครับ สรุปก็ไม่ได้อีก ตอนนี้คือดิ้นต่อไปหรือรอเวลาประกาศล้มละลายเท่านั้นเอง แต่ยังไม่เป็นข่าวเพราะไม่จำเป็นต้องเปิดเผยครับ จนจะประกาศอีกทีก็คือรายงานผลประกอบการกองทุนของไตรมาส 3 โน่น คือเดือนพฤศจิกายนครับ ไม่รู้ประเทศจะไปถึงหรือเปล่าเลยในสถานการณ์อย่างนี้




    เอาแบบลึก (สุดใจ) ระบบธนาคารในอเมริกาจบไปนานแล้วครับ คือถ้าจะมาเอาอย่างประเทศอื่นที่สหรัฐเที่ยวไปบอกให้เค้าทำอย่างนั้นอย่างนี้น่ะ ทั้งระบบจะถูก Wipe Out หรือล้างออกหมดทันที นี่คือความจริงครับ ถามว่าแล้วทำไมยังอยู่ได้ คำตอบคือ "ยื้อครับ" ปิดบังด้วยการลงบัญชีเท็จ ไม่ปรับตัวเลขตามจริงหรือที่เรียกว่า Mark to Market แล้วปั๊มหัวใจด้วยการปั๊มเงินกระดาษเข้าไปอุ้มธนาคารใหญ่ๆ ที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาล แล้วไปไล่ซื้อธนาคารขนาดกลางและขนาดเล็ก "เป็นเกมส์ครับ" แล้วปล่อยให้ FDIC ล้มอีก ธนาคารขนาดกลางและเล็กเหล่านี้ "ล้มสนิท" ครับทางบัญชี เป็นวิธีการเดียวกับที่ธนาคารบ้านเราถูกไล่ทุบ ไล่ซื้อเมื่อปี 40 ครับ เกมส์เดียวกันครับ




    ใครที่ยังฝากเงินไว้ในธนาคารใดๆ ของสหรัฐ เตรียมพร้อมได้เลยครับ "อันนี้ฟันธง" เพราะอะไรเหรอครับ เพราะเงินฝากทั้งระบบของสหรัฐมีอยู่ 7 Trillion ( $7,000,000,000,000 ) ถ้าจะไม่ให้ FDIC ล้มและค้ำประกันได้จริงต้องมี 1% ครับ แค่ 1% เอง แต่ไม่มีครับ หาไม่ได้ เพราะ 1% ของ 7 Trilllion เป็นเงินถึง ($70,000,000,000) หรือ 70 Billion แต่ตอนนี้ 45 Billion เค้ายังหาไม่ได้ครับ



    รายชื่อธนาคารที่ล้มไปทั้งหมด

    http://www.fdic.gov/bank/individual/failed/banklist.html

    เครดิต http://palungjit.org/threads/new-world-order-~จัดระเบียบโลกใหม่~.207832/








    โพสต์โดย What's going on in America
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

    Glenn Beck Show........Live from Pittsburgh, PA

    [FONT=&quot]แคลิฟอเนีย 1.8 Trillion (US$1,800,000,000,000)[/FONT]
    [FONT=&quot]นิวยอร์ค 1.1 Trillion (US$1,100,000,000,000)[/FONT]
    [FONT=&quot]อิลลินอยส์ 6.33 Billlion ( US$6,330,000,000)[/FONT]
    [FONT=&quot]นิวเจอร์ซี่ 4.73 Billion ( US$4,730,000,000 )[/FONT]
    [FONT=&quot]สหรัฐอเมริกาโดยรวม 13 Trillion (US$13,000,000,000,000)[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]

    [FONT=&quot]ตัวเลข ข้างต้นคือตัวเลข GDP หรือขนาดของเศรษฐกิจของรัฐนั้นๆ ซึ่งเป็น 4 รัฐแรกๆที่อยู่ในภาวะ "ล้มละลาย" ในทางตัวเลขและงบประมาณรายจ่าย ซึ่งจะต้องทำการขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางในลักษณะเดียวกับกรีซและ โปรตุเกส[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]

    [FONT=&quot]ปัญหา ก็คือโดยขนาดของเศรษฐกิจของแคลิฟอเนีย มีขนาดที่ใหญ่เป็นอันดัน 8 ของโลก และเป็นรัฐที่มีหนี้สินและตัวเลขการขาดดุลย์งบประมาณที่สูงที่สุดของสหรัฐ อยู่ ณ เวลานี้ และถ้าหากต้องมีการขอความช่วยเหลือหรือ "อุ้ม" กันจริงๆจากรัฐบาลกลาง ซึ่งกำลังหน้ามืดอยู่กับการหมุนทุบ จ่ายคืนหนี้ จ่ายดอกเบี้ย และหาเงินเพื่อโปะงบประมาณขาดดุลย์ที่เพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา และทำสถิติสูงสุดไปอีกแล้วในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

    [/FONT]

    [FONT=&quot]<object width="640" height="390"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/NmTBnhOXufg&rel=0&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowScriptAccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/NmTBnhOXufg&rel=0&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="390"></embed></object>

    [/FONT]

    [FONT=&quot]คำถาม คือ รัฐบาลสหรัฐจะยอมเข้าไปอุ้มรัฐที่กำลังประสบปัญหาเหล่านี้หรือไม่ ถ้าคำตอบคือ "ไม่อุ้ม" รัฐดังกล่าวข้างต้นก็จะเข้าสู่สภาวะ "ล้มละลาย" ในทันที ทุกอย่างก็จะตามมาครับ ให้คิดเล่นๆก็คือ ตลาดหุ้น "ถล่ม" > เศรษฐกิจ การเงิน การธนาคาร "ล้ม" > เงินดอลล่า "ล่มสลาย" .......ในพริบตา ซึ่งจะนำไปสู่ "Global Meltdown" คือเศรษฐกิจโดยรวมของโลก "ล้ม" ครืนตามลงไปอย่างหมดสภาพ เพราะเกือบทุกระบบและทุกประเทศในโลกใบนี้ผูกติดอยู่กับเงินดอลล่าครับ...โดย เฉพาะที่เป็น "จุดตาย" ของระบบเงินกระดาษทั้งมวลคือ "ทุนสำรองเงินตราในสกุลดอลล่าสหรัฐ" [/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]

    [FONT=&quot] แต่ถ้า "อุ้ม" ล่ะอะไรจะเกิดขึ้น รัฐบาลกลางโดยนายบารัค โอบาม่า (ซึ่งอาจจะเป็นคนสุดท้ายแล้ว) จะต้องหาเงินมาอุดงบประมาณรายจ่ายของทั้ง 4 รัฐข้างต้น พร้อมกับเป็นการส่งสัญญานในลักษณะเดียวกันไปยังรัฐที่เหลืออีกเกือบ 50 รัฐ ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้ครับ แต่ถ้าจะทำให้เป็นไปได้ก็คือให้ FED ประกาศ QE หรือ "ปั๊มเงิน" ดอลล่าขึ้นมาเป็นการเฉพาะเพื่อการนี้ ซึ่งไม่รวมกับงบผูกพันธ์ที่รัฐบาลกลางจะต้องหมุนจ่ายอยู่แล้ว และจะออกมาในลักษณะ "Super QE" หรือเป็น "อภิมหาการปั๊มเงิน" โดย FED [/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]

    [FONT=&quot][FONT=&quot]เรื่อง เหล่านี้คนอเมริกัน "ส่วนใหญ่" ไม่รู้ และน้อยคนที่อยากจะรับรู้เพราะมันอาจจะเจ็บปวดเกินไปครับ และคิดว่ายังไงซะ ก็ไม่เกิดกับประเทศของชั้นหรอก และมัน "Impossible" หรือเป็นไปไม่ได้ครับ แต่พวกเค้าหารู้ไม่ว่า ทุกอย่าง...มันมาถึงแล้ว และอาจจะเร็วกว่าที่คาดคิดไว้ อยากรู้ไม๊ครับว่าเมื่อคนอเมริกันตื่นขึ้นและรับรู้ความจริงถึงสิ่งที่กำลัง มา เค้ารู้สึกและทำสีหน้าอย่างไร ลองดูในคลิปของเกลน เบ๊ค ตอนนี้ครับ ซึ่งเค้าเปรียบเทียบให้เห็นตัวเลขต่างๆ ของอเมริกา และยุโรป ซึ่งกลุ่มสหภาพยุโรปใช้วิธีการประหยัด ตัดลดรายจ่าย ผ่าตัดเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งก็ต้องเจ็บปวดเป็นธรรมดา แต่ในขณะที่สหรัฐโดย FED เลือกวิธี "ปั๊มเงิน" และ "ลากมันออกไป" แต่จะไปได้นานแค่ไหน คงมีแต่ "พระเจ้า" เท่านั้นที่รู้ครับ.....และทั้งหมดนี้ก็คงอยู่ในสายตาของ "จีน" ชาติเจ้าหนี้ที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ คงต้องลุ้นกันต่อไปอีกครับว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป หรือใครจะขยับก่อน แต่ไม่ว่าความเคลื่อนไหวจะมากจากฟากไหน โลกใบนี้ก็คงสั่นไหวไปทั้งใบเลยล่ะครับ[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]<object width="640" height="390"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/hgHpSWA64Y0&rel=0&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowScriptAccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/hgHpSWA64Y0&rel=0&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="390"></embed></object>

    <object width="640" height="390"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/Gnt842nR3FY&rel=0&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowScriptAccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/Gnt842nR3FY&rel=0&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="390"></embed></object>

    <object width="640" height="390"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/RGl-KQuzxcA&rel=0&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowScriptAccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/RGl-KQuzxcA&rel=0&hl=en_US&feature=player_embedded&version=3" type="application/x-shockwave-flash" allowfullscreen="true" allowScriptAccess="always" width="640" height="390"></embed></object>
    [/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]

    ทีนี้จะเชื่อผมหรือยังครับว่าเค้าบอกเราไว้แล้วในหนัง 2012 ว่า
    " CALIFORNIA IS GOING DOWN "
    แล้วเค้าก็เรียงเหตุการณ์เกือบทั้งหมดไว้ให้เราอย่างเสร็จสรรพเลยล่ะครับ

    The Gold War Phase II.<wbr>.<wbr>.<wbr>by Jimmy Siri บน Facebook http://www.facebook.com/<wbr>home.php?sk=group_17040824<wbr>6326805&ap=1 [/FONT]

    โพสต์โดย What's going on in America

    Dec 13 2010, 10:01 AM
    yim (guest): Something’s Wrong in the Silver Pit,<wbr> and It’s Much Bigger
    than J.<wbr>P.<wbr> Morgan http://www.marketoracle.co<wbr>.uk/<wbr>Article24928.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...