เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553
    "วิกิลีกส์" เขย่าวงการทูตสะเทือนโลก ถึงคิวแฉ "ความลับธุรกิจ" ภารกิจถัดไป



    การแฉข้อมูลทางราชการของวิกิลีกส์เท่ากับส่งสัญญาณเตือนไปยังบริษัทยักษ์ใหญ่ว่า "คุณอาจเป็นรายต่อไป"
    ประเด็นร้อนในช่วงสัปดาห์นี้หนีไม่พ้นกรณีที่ "วิกิลีกส์" (Wikileaks) เว็บไซต์จอมแฉออกมาเขย่าแวดวงการทูตด้วยการเปิดเผยเอกสารลับที่เรียกว่า "เคเบิล" หรือข้อมูลลับทางการทูตระหว่างสถานทูตสหรัฐที่อยู่ทั่วโลกกับกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ซึ่งรั่วไหลออกมาจากเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายในของกองทัพมะกัน

    ข้อมูลที่ปรากฏสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วโลก เพราะได้เปลือยให้เห็นหลังฉากการทำงานด้านการทูตของสหรัฐ รวมถึงมุมมองแบบตรงไปตรงมาของบรรดานักการทูตอเมริกันที่มีต่อประเทศต่าง ๆ ทั้งมิตรและศัตรู ซึ่งบางครั้งก็ใช้ถ้อยคำแนวเสียดสีผู้นำของประเทศอื่น ไม่นับรวมคำสั่งที่ให้สอดแนมบุคคลระดับผู้นำและนักการทูต ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สะท้อนถึงการดำเนินการของสหรัฐที่อาจกระทบต่อความสัมพันธ์กับประเทศอื่น ๆ

    ด้านหนึ่งปรากฏการณ์นี้สะท้อนว่า "ความลับ" อาจไม่เป็นความลับในโลกยุคดิจิทัล ซึ่งประชาชนควรได้รู้ข้อมูลและการตัดสินใจด้านการต่างประเทศของรัฐบาล แต่อีกด้านหนึ่ง วิกิลีกส์อาจเป็นจุดเปลี่ยนวิถีทางการทูตไปจากเดิมที่ให้ความเห็นอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งมีความจำเป็นต่อการทำงานด้านการทูตที่ต้องการการเปิดกว้างและเชื่อถือได้

    "จูเลียน แอสเซนจ์" ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์นำเสนอข้อมูลลับที่ได้มาอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากการเปิดเผยการทำงานของกองทัพ ทั้งการเปิดปูมสงครามในอิรักและอัฟกานิสถาน จนมาถึงการแฉข้อมูลลับทางการทูต และล่าสุดมีข่าวว่าเว็บจอมแฉเตรียมจะเปิดโปงข้อมูลลับในภาคธุรกิจเป็นลำดับถัดไป

    แอสเซนจ์กล่าวกับ "ฟอร์บส" ว่า เขาเตรียมจะแฉเอกสารของธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐต้นปีหน้า ซึ่งจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของบุคคลในระดับผู้บริหารของธนาคารที่จะนำไปสู่การตรวจสอบและปฏิรูป เหมือนที่เคยเกิดกับกรณีของ "เอนรอน" ยักษ์พลังงานที่ล้มไปแล้วจากการฉ้อโกงของผู้บริหาร

    หลายธนาคารหนาว ๆ ร้อน ๆ กับคำสัมภาษณ์ของแอสเซนจ์ที่ออกมา ขณะที่หุ้นของ "แบงก์ออฟอเมริกา" ร่วงลงกว่า 3% เพราะนักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งนี้อาจเป็นเป้าหมายของวิกิลีกส์ เนื่องจากเมื่อปีที่แล้วแอสเซนจ์เคยกล่าวว่า เขามีข้อมูลที่ได้จากฮาร์ดไดรฟ์ของผู้บริหารแบงก์ออฟอเมริกา

    ขณะที่ "เอพี" ระบุว่า การแฉข้อมูลทางราชการของวิกิลีกส์เท่ากับส่งสัญญาณเตือนไปยังบริษัทยักษ์ใหญ่ว่า "คุณอาจเป็นรายต่อไป"

    นอกจากนี้การกระทำของวิกิลีกส์ได้จุดให้เกิดความเร่งด่วนสำหรับบริษัทในการจัดหาระบบความปลอดภัยด้านข้อมูล รวมถึงจำกัดการเข้าถึงข้อมูลของคนภายในองค์กรซึ่งอาจนำข้อมูลไปปูดเมื่อเกิดความไม่พอใจ

    โดยความเสี่ยงของบริษัท ได้แก่ ข้อมูลความลับที่อยู่ภายในองค์กร อาทิ อีเมล์ เอกสารต่าง ๆ ฐานข้อมูล และอินทราเน็ต ซึ่งบริษัทคิดว่าได้ล็อกไม่ให้รั่วออกไปภายนอกแล้ว บริษัทจึงเก็บข้อมูลการตัดสินใจต่าง ๆ ทั้งการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ความสนใจที่จะควบรวมกิจการ กลยุทธ์ที่จะต่อกรกับคู่แข่ง หรือการให้ผู้บริหารขายหุ้น

    บริษัทมีทางเลือกที่จะปกป้องความลับทางธุรกิจเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเซิร์ฟเวอร์ในการส่งอีเมล์เพื่อจำกัดวงผู้ที่สามารถส่งเอกสารได้ การห้ามคัดลอกเอกสาร บล็อกการดาวน์โหลดลงซีดี-รอม และธัมบ์ไดรฟ์ รวมถึงเทคโนโลยีที่ตรวจสอบว่าข้อความในอีเมล์ของผู้บริหารถูกเช็กบ่อยครั้งเกินไปหรือไม่ แต่การปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลก็อาจส่งผลต่อขีดความสามารถในการผลิตที่ลดลงและต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของบริษัท

    ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
    Thai Index-News: "วิกิลีกส์" เขย่าวงการทูตสะเทือนโลก ถึงคิวแฉ "ความลับธุรกิจ" ภารก&#3636
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Dec 7 2010, 12:53 PM
    Guest833 (guest): คุณจิมมี่ครับ ผมbanksia ครับ ผมอย่ากถามว่างานนี้ถ้าขาใ<WBR>หญ่แพ้
    อาการจะอยู่ในระดับไ<WBR>หน ไอซียู บาดเจ็บสาหัส หรือแค่ฟกช้ำครับ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 7 2010, 1:02 PM
    JimmySiri: ที่นักลงทุนรายย่อยคาดหวัง<WBR>กันคือให้พวก Banker ขาใหญ่พวกนี้ ขาดทุน
    จาก call margin ในปริมาณมหาศาล จนถึงขึ้นล้มละลาย แต่อาจจะไปไม่ถึงขึ้นนั้นค<WBR>รับ
    แต่ขาดทุนขนาดหลายพันถึงหม<WBR>ื่นล้านดอลล่าอันนี้น่าจะโ<WBR>ดน ตอนนี้เลยเร่งไปทำราคา
    ตลาด<WBR>ทองแดงมาจ่ายในส่วนนี้ ซึ่งมาถึงวันนี้ก็เรียกได้<WBR>ว่าน่วมไปมากแล้วครับ เพราะทั้ง
    สัปดาห์ที่แล้วกด<WBR>ไม่ลง สู้กันอยู่ตรง 1400 ทองคำและ 28 Silver

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 7 2010, 1:10 PM
    JimmySiri: ก็คือเค้าขีดเส้นไว้ตรงนั้<WBR>นครับ แล้วไล่ราคาไปเรื่อยๆ ถ้าแรงซื้อหมดเหมื่อ
    ไหร่ก็<WBR>เสร็จ แล้วดอลล่าก็ไปทางเค้าด้วย ระวังการเล่นสกปรกทุบแบบฉั<WBR>บพลันครับ ปล่อยมุข
    แปลกๆ ออกมาอีก พวกนี้ไว้ใจไม่ได้ครับ ลองกลับไปดูเรื่อง CME ทุบทองที่ผมเขียนไว้
    ประมาณนั้นครับ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 7 2010, 1:13 PM
    JimmySiri: ยังไงก็ตาม ณ วันนี้ปัจจัยพื้นฐานจริงๆ แล้วแข็งแกร่งครับ คงต้องลู่ตามลมไปก่อน เพราะถ้าโดนแล้วเราก็น่วมเ<WBR>หมือนกันครับ สรุปคือตอนนี้ขึ้นลง 60:<WBR>40 ระวังการ
    ต่อยใต้เข็มขัดครั<WBR>บ [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 7 2010, 1:16 PM
    yim (guest): ท่านแม่ทัพใน Facebook แจ๋วเลย แค่ชั่วโมงเดียว ท่านแม่ทัพโพสท์ไว้
    เพียบเล<WBR>ย ขอบคุณครับ

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 7 2010, 2:29 PM
    yim (guest): U.<WBR>S.<WBR> Facing Federal Debt Cataclysm,<WBR> The Establishment Is
    in Despair http://www.marketoracle.co<WBR>.uk/<WBR>Article24771.html

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 7 2010, 2:31 PM
    yim (guest): ผมชอบตรงที่เทพีถูกเอเลี่ย<WBR>นเกาะที่หน้า และก้อที่มือซ้ายถือรายการ<WBR>หนี้เอา
    ไว้.<WBR>.<WBR>.<WBR>.<WBR>เจ๋งมากเลย

    [​IMG]
    [​IMG]

    Dec 7 2010, 2:57 PM
    JimmySiri: สงสัยข่าวทุบจะเริ่มมาแล้ว<WBR>ครับ จีนอาจจะขึ้นดอกเบี้ยปลายส<WBR>ัปดาห์นี้
    RTR :<WBR> China rate rise talk builds as loans,<WBR> inflation rise
    http://in.reuters.com/<WBR>article/<WBR>idINIndia-53393520101207
    [​IMG]
    China rate rise talk builds as loans, inflation rise | Reuters


    [​IMG]
    [​IMG]

    Welcome!!
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ผู้ถือครองทองคำรายใหญ่ที่สุดในโลก ปี 2010

    ใคร? คือผู้ถือครองทองคำรายใหญ่ที่สุดในโลก ปี 2010 ท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะความวิตกกังวลเกี่ยวกับตัวเลขเศรษฐกิจของอเมริกาและยุโรป ทำให้นักลงทุนหันไปเก็งกำไรในตลาดอื่นๆ โดยเฉพาะตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งมีทองคำรวมอยู่ด้วย

    การเคลื่อนตัวของเงินทุนจำนวนมหาศาลที่มาเก็งกำไรในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ทำให้ราคาสินค้าเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ "ทองคำ" ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการทำราคานิวไฮครั้งแล้วครั้งเล่า ล่าสุด ราคาสัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธันวาคมได้เพิ่มขึ้น 9.70 ดอลลาร์ ไปปิดที่ 1,308.30 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,276.20 - 1,311.80 ดอลลาร์/ออนซ์ ทั้งนี้ เป็นเพราะการได้รับแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนตัวลง ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคร่วงลงมาแตะระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน ทำให้นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
    ด้าน The World Gold Council's (WGC) ได้เปิดเผยรายงานประจำเดือนกันยายน ซึ่งได้มาจากรายงานสถิติการเงินระหว่างประเทศประจำเดือนกันยายน ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่มีการเผยแพร่ตัวเลขหลังการสำรวจจริง 2 เดือน จึงทำให้ตัวเลขที่รายงานในครั้งนี้ เป็นตัวเลขของเดือนกรกฎาคม 2010 หรืออาจจะเป็นตัวเลขก่อนหน้านั้นก็ได้ เนื่องจากมีบางประเทศที่รายงานตัวเลขล่าช้า

    รายงานชิ้นดังกล่าว ได้ชี้ให้เห็นว่า ประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงองค์กรสำคัญๆ ด้านเศรษฐกิจได้ถือครองทองคำอย่างเป็นทางการรวมกันถึง 30,535.6 ตัน เพิ่มขึ้น 0.2% จาก 30,462.8 ตัน ในรายงานเมื่อเดือนมิถุนายน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,284.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในส่วนของประเทศไทย จากรายงานครั้งนี้ มีการถือครองทองคำเป็นทุนสำรองของประเทศ 99.5 ตัน หรือประมาณ 4,185.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 2.5 ของทุนสำรองของประเทศ เพิ่มขึ้นจากรายงานเมื่อเดือนมิถุนายน 2010 ที่มีทองคำเป็นทุนสำรอง 84.0 ตัน ร้อยละ 18.45

    มาดูกันว่า ในรายงานของ The World Gold Council's ครั้งนี้ ประเทศใดเป็นผู้ถือครองทองคำไว้มากที่สุด 50 อันดับแรก จากจำนวนทั้งหมด 109 อันดับ แล้วไทยที่ถือครองทองคำเพิ่มขึ้นถึง 15.5 ตันจากรายงานครั้งที่แล้วจะอยู่ในอันดับที่เท่าไร

    ลำดับ ประเทศ ปริมาณทองคำ
    1. สหรัฐอเมริกา 8,133.5 ตัน | 342,120.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 72.1 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    2. เยอรมนี 3,402.5 ตัน | 143,119.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 67.4 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    3. IMF 2,907.0 ตัน | 122,277.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
    4. อิตาลี 2,451.8 ตัน | 103,130.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 66.2 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    5. ฝรั่งเศส 2,435.4 ตัน | 102,440.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 65.7 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    6. จีน 1,054.0 ตัน | 44,334.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 1.5 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    7. สวิตเซอร์แลนด์ 1,040.1 ตัน | 43,749.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 15.1 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    8. ญี่ปุ่น 765.2 ตัน | 32,186.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 2.7 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    9. รัสเซีย 726.0 ตัน | 30,537.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 5.7 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    10. เนเธอร์แลนด์ 612.5 ตัน | 25,763.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 55.8 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    11. อินเดีย 557.7 ตัน | 23,458.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 7.4 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    12. ECB 501.4 ตัน | 21,090.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 25.9 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    13. ไต้หวัน 423.6 ตัน | 17,817.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 4.1 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    14. โปรตุเกส 382.5 ตัน | 16,089.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 79.6 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    15. เวเนซุเอลา 363.9 ตัน | 15,306.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 48.5 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    16. ซาอุดิอาระเบีย 322.9 ตัน | 13,582.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 2.7 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    17. สหราชอาณาจักร 310.3 ตัน | 13,052.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 15.6 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    18. เลบานอน 286.8 ตัน | 12,063.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 25.2 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    19. สเปน 281.6 ตัน | 11,845.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 35.9 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    20. ออสเตรีย 280.0 ตัน | 11,777.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 54.3 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    21. เบลเยียม 227.5 ตัน | 9,569.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 33.8 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    22. ฟิลิปปินส์ 175.9 ตัน | 7,398.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 13.5 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    23. แอลจีเรีย 173.6 ตัน | 7,302.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 4.2 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    24. ลิเบีย 143.8 ตัน | 6,048.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 5.1 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    25. สิงคโปร์ 127.4 ตัน | 5,358.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 2.3 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    26. สวีเดน 125.7 ตัน | 5,287.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 8.7 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    27. แอฟริกาใต้ 124.9 ตัน | 5,253.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 10.9 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    28. BIS 120.0 ตัน | 5,047.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
    29. ตุรกี 116.1 ตัน | 4,883.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 5.6 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    30. กรีซ 111.7 ตัน | 4,698.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 76.5 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    31. โรมาเนีย 103.7 ตัน | 4,361.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 8.7 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    32. โปแลนด์ 102.9 ตัน | 4,328.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 4.2 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    33. ไทย 99.5 ตัน | 4,185.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 2.5 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    34. ออสเตรเลีย 79.9 ตัน | 3,360.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 7.0 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    35. คูเวต 79.0 ตัน | 3,323.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
    36. อียิปต์ 75.6 ตัน | 3,180.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 7.7 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    37. อินโดนีเซีย 73.1 ตัน | 3,074.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 3.5 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    38. คาซักสถาน 70.4 ตัน | 2,961.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 9.5 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    39. เดนมาร์ก 66.5 ตัน | 1,829.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 3.1 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    40. ปากีสถาน 64.4 ตัน | 64.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 14.9 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    41. อาร์เจนตินา 54.7 ตัน | 1,334.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 4.0 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    42. ฟินแลนด์ 49.4 ตัน | 1,217.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 18.1 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    43. บัลแกเรีย 39.9 ตัน | 1,160.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 9.3 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    44. WAEMU 36.5 ตัน | 1,123.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 11.1 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    45. มาเลเซีย 36.4 ตัน | 1,063.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 1.4 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    46. เปรู 34.7 ตัน | 946.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 3.6 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    47. บราซิล 33.6 ตัน | 946.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 0.5 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    48. สโลวาเกีย 31.8 ตัน | 899.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 62.8 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    49. เบลารุส 30.0 ตัน | 879.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 20.0 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    50. โบลิเวีย 28.3 ตัน | 862.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 12.6 % ต่อทุนสำรองของประเทศ
    หมายเหตุ : คำนวณมูลค่าทองคำ ณ ราคาปิดตลาด COMEX เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2010 ที่ 1,308.30 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยเทียบทองคำ 32,151 ออนซ์เท่ากับ 1 ตัน

    ผู้ถือครองทองคำรายใหญ่ที่สุดในโลก ปี 2010
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ดอลล์อ่อน หนุนทองคำปิดบวก $1
    ประกาศวันที่ 03 ธันวาคม 2553 | เวลา 08:08: น
    สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (2 ธ.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโร และจากการที่นักลงทุนยังคงเข้าซื้อทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้ยุโรป แม้ประธานธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ประกาศความพร้อมที่จะอัดฉีดสภาพคล่องให้กับธนาคารพาณิชย์ในยุโรปก็ตาม

    สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 1.00 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,389.30 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,385.10 - 1,399.70 ดอลลาร์

    ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 15.90 เซนต์ ปิดที่ 28.572 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 3.15 เซนต์ ปิดที่ 3.9790 ดอลลาร์/ปอนด์

    ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค.พุ่งขึ้น 29.10 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,713.10 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 31.40 ดอลลาร์ ปิดที่ 763.70 ดอลลาร์/ออนซ์

    สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาทองคำได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับยูโรและสกุลเงินอื่นๆ โดยดัชนีดอลลาร์ (Dollar Index) ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับ 6 สกุลเงินของประเทศที่เป็นคู่ค้าหลักของสหรัฐ ร่วงลง 0.3% เมื่อวานนี้

    นักลงทุนยังคงเข้าซื้อสัญญาทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง เนื่องจากนักลงทุนมองว่านายฌอง-คล้อด ทริเชต์ ประธานอีซีบีไม่ได้เปิดเผยแผนการใหม่ๆในการกอบกู้วิกฤตหนี้ยุโรป แม้อีซีบีประกาศว่ามีความพร้อมที่จะอัดฉีดสภาพคล่องให้กับธนาคารพาณิชย์ในยุโรปก็ตาม

    ทางการสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการระหว่างว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ร่วงลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 26,000 ราย แตะระดับ 436,000 ราย

    กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (nonfarm payrolls) ในคืนนี้ตามเวลาประเทศไทย โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 140,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวอยู่ที่ 9.6%

    --อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

    ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ดอลล์อ่อน หนุนทองคำปิดบวก $1 ห้างขายทองเมืองพลอย ขายทองคำแท่ง, ทองค
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    จีนขึ้นดอกเบี้ยถ่วงราคาทองคำ

    สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเกือบ 3% เมื่อคืนนี้ (12 พ.ย.) เนื่องจากการที่จีนมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ จะส่งผลกระทบให้ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์หดตัวลง สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ดิ่งลง 37.80 ดอลลาร์ หรือ 2.7% ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. มาปิดที่ระดับ 1,365.50 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,359.30 – 1,410 ดอลลาร์

    ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 1.463 ดอลลาร์ ปิดที่ 25.942 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนธ.ค.ดิ่งลง 12.90 เซนต์ ปิดที่ 3.8935 ดอลลาร์/ปอนด์ ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค.ดิ่งลง 61.20 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,684.60 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค.ทรุดลง 30.50 ดอลลาร์ ปิดที่ 673.65 ดอลลาร์/ออนซ์

    ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และโลหะมีค่าร่วงลง เนื่องจากมีความวิตกว่า จีนจะขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในเร็วๆนี้ เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ หลังจากที่ธนาคารกลางจีนได้ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ไปเมื่อวันที่ 19 ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2550 โดยกระแสคาดการณ์เรื่องการขึ้นดอกเบี้ยเริ่มขยายวงกว้างมากขึ้น หลังจากที่สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนรายงานเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของจีน พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 25 เดือน ที่ 4.4% ในเดือนต.ค. ส่งผลให้นักวิเคราะห์คาดการณ์กันเป็นวงกว้างว่า CPI ตลอดทั้งปีนี้จะอยู่ที่ราว 3.1% ซึ่งสูงกว่าระดับเป้าหมายของรัฐบาล

    ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก | การเงินการลงทุน
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เรื่องขำไม่ออก ของแมสเม่า

    ถูกต้องครับ เล่นอย่างมีแบบแผน อย่านอกคอก หรือ เฮ้า

    ผิดครับ ผมไม่เชื่อหมอ ตอน 1,220 เหรียญ บอกให้ซื้อเปิดสัญญาแทงขึ้น ขนาดล่วงไป 1,150 เหรียญยังบอกให้เปิดสัญญาแทงขึ้น เพราะมันลงมาปรับฐานแว๊บๆ
    มันล่วงต่ออีกเหลือ 1,020 เหรียญบอกให้ทยอยขายยอมขาดทุนนิ๊ส 50/50 ไม่ขึ้นก็ลง พอล่วงมา 1,080 ดั๊นบอกให้ปิดสัญญาขายทิ้งให้หมด บอกแล้วว่าลงไม่เชื่อผม อะไรกันเนี่ยหมอ แล้วคนที่ติดดอย 1,200 เหรียญทำไง

    1,220 - 1,080 = 140 เหรียญ (6 เหรียญประมาณ 100 บาทไทย ณ ตอนนี้) แล้ว 140 เหรียญจะประมาณกี่บาทไทยล่ะ จะได้ 140 % 6 = 20 (ประมาณที่จริงมัน 23 กว่าๆ) แล้วเอาไปคูณ 100 บาทไทย เป็น 20 x 100 = 20,000

    ถ้าซื้อที่ 1,220 เหรียญ แล้วขายทิ้งที่ 1,080 เหรียญ จะขาดทุนต่อ 1 บาททอง เท่ากับ 2,000 บาทไทย

    ถ้าซื้อที่ 1,220 เหรียญ แล้วขายทิ้งที่ 1,080 เหรียญ จะขาดทุนต่อ 50 บาททอง เท่ากับ 50 x 2,000 = 100,000 บาทไทย

    สรุปแค่ใครซื้อ 1 สัญญา(50 บาททอง) แล้วซื้อขายตามที่บอกจะเจ๊งไป 100,000 บาทไทย

    สรุปแค่ใครซื้อ 2 สัญญา(100 บาททอง) แล้วซื้อขายตามที่บอกจะเจ๊งไป 200,000 บาทไทย

    สรุปแค่ใครซื้อ 3 สัญญา(150 บาททอง) แล้วซื้อขายตามที่บอกจะเจ๊งไป 300,000 บาทไทย

    สรุปแค่ใครซื้อ 4 สัญญา(200 บาททอง) แล้วซื้อขายตามที่บอกจะเจ๊งไป 400,000 บาทไทย

    สรุปแค่ใครซื้อ 5 สัญญา(250 บาททอง) แล้วซื้อขายตามที่บอกจะเจ๊งไป 500,000 บาทไทย

    ผมว่าอย่าออกมาฟันธงว่าจะราคาเท่านั้นเท่านี้ดีกว่านะ ถ้าคนเค้าได้กำไรก็จะชื่นชม แต่ถ้าขาดทุนก้จะโดนด่า แล้วบอกว่าบอกแล้วให้ขาย อยากถามว่าตอนหลังเห็นมันลงหนักอยู่ๆก็มาบอกให้ขาย แล้วตัวที่ซื้อราคาสูงที่บอกให้ซื้อขึ้นไว้ก่อนหน้านั้นจะขายยังไง เล่นเปลี่ยนคำพูดกันอย่างนี้วันหลังเค้าหนีหมดแล้วตูจะเล่น gf กับใครเล่า
    บอกข้อมูลให้ลูกค้าตัดสินใจดีกว่ามาบอกว่ามันจะราคานั้นราคานี้ดีกว่านะ ไม่มีใครรู้หรอกว่าราคามันจะขึ้นหรือลง ถ้ารู้ก็รวยแล้ว(ตลาดมันมีผู้ซื้อใหญ่ๆหลายเจ้า
    ขนาดอเมริกามันยังงกันเองเล้ย)

    วินัยการลงทุนใน Gold Futures

    ปล.แค่อ่าน ก็ปวดหัวแร้ว... เจ้ามือกินรวบค่าต๋ง จากคนซื้อขายกระดาษ ไม่รู้ตลาดพวกนี้คือต้นตอ
    ของความวุ่นวายทำให้คนเดือดร้อน เศษฐกิจตกต่ำเพราะแบ๊งค์ก็เอาแต่เก็งกำไร ปล่อยกู้ให้พวกเก็งกำไร
    คนทำงานได้เงินมาเท่าไรก็มาถมให้กับพวกเจ้ามือตลาด หรือพอได้กำไรมากได้เงินมากก็ไปสร้าง
    ปัญหาให้เกิดเงินเฟ้ออีก ของแพง ที่ดินแพง บ้านแพง คนทำงานได้เงินเท่าเดิม คนที่มั่งคั่งเพราะ
    เก็งกำไรได้ ก็สูบเงินเอาไป คนทำงานก็ทำไป ขาดทุนจากเก็งกำไรก็จ่ายดอกเบี้ยกันหูตูบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2010
  7. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ด้วยความเมตตาขององค์หลวงตามหาบัว
    ที่องค์ท่านมีเมตตาต่อคนไทยทั้งชาติอย่างไม่มีประมาณ
    ที่องค์ท่านเป็นผู้นำรวบรวมทองคำ จากพี่น้องประชาชนทั้งหลาย
    บริจาคเข้าเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ

    ทำให้ประเทศไทยเรา
    มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่เ่ป็นทองคำ
    และมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศจำนวนมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน

    เงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่เป็นทองคำมีความสำคัญมาก
    ในสถานะการณ์ที่จะล่มสลายของการเงินโลกเช่นนี้
    เพราะเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ
    จะสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นคงความเข้มแข็งของค่าเงินประเทศนั้น ๆ

    เรื่องของการเงินเป็นเรื่องของความเชื่อมั่น
    ถ้าเงินบาทมีความเข้มแข็ง การเงินของประเทศมีความเข้มแข็ง
    ต่างชาติก็มีความเชื่อมั่น

    เมื่อต่างชาติเชื่อมั่นในเงินบาท ในการเงินของประเทศไทย
    ต่างชาติเค้าก็กล้าที่จะค้าขาย กล้าลงทุน กับเรา
    เพราะเค้ามีความเชื่อมั่น ในความมั่นคงเข้มแข็ง
    ของค่าเงินบาท ของการเงินประเทศไทย

    ประเทศเราจะรอดจากหายนะได้
    ด้วยวิสุทธิเทพนำทาง...
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

    "Operation Wikileaks".......ปฏิบัติการป่วนโลก

    เพื่อนๆ ผู้อ่านจากสหรัฐคงต้องทำความเข้าใจกับวลีประโยคนี้ให้ดีครับ คือ " Top Down, Bottom Up and Inside Out " แล้วการเปิดเผยข้อมูลความลับของ Wikileaks ในขณะนี้ก็คือ Inside Out ครับ

    น่าสงสัยไม๊ครับว่า Wikileaks เอาข้อมูลซึ่งเป็นความลับจำนวนมหาศาลขนาดนี้มาจากไหน ถ้าผมจะบอกว่าทั้งหมดเป็น "ความตั้งใจ" ปล่อยออกมาจากบางฝ่ายเพื่อจุดประสงค์บางอย่างในระดับโลก คงจะน่าสนใจกว่ามั๊ยครับ

    ลองมาดูครับว่า cables ต่างๆ ที่เค้าปล่อยออกมาจนถึงวันนี้จะส่งผลอะไรบ้าง

    1.ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั่วโลกเริ่มสั่นคลอน โดยแตกออกเป็นฝ่ายหนึ่งที่สนิทสนมกับสหรัฐ และอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งอยู่ตรงข้ามกับสหรัฐ แล้วเค้าจะใช้สิ่งนี้เพื่อการใหญ่บางอย่างในอนาคต

    2.การล้มธนาคารใหญ่ของสหรัฐ ซึ่งอาจจะเป็น BofA ซึ่งจะเป็นการล้มระบบธนาคารทั้งหมด ที่ตอนนี้มีอยู่ประมาณ 1,000 แห่งที่รอเวลาล้ม "อย่างเป็นทางการ" และ อีกประมาณ 1,000 แห่งที่ไม่เป็นทางการ รวม 2,000 แห่งครับ

    3.ทำลาย ความน่าเชื่อถือของคนอเมริกันทีมีต่อรัฐบาลสหรัฐที่มีน้อยอยู่แล้ว ก็คือเป็นการเปิดเผยการ "โกหกและหลอกลวง" ต่างๆ ที่รัฐบาลสหรัฐกระทำต่อคนอเมริกันโดยเฉพาะประเด็นสงครามและเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผมให้เกิดความรู้สึกต่อต้านรัฐบาล ลุกฮือและกลายเป็นความรุนแรงในที่สุด ทั้งหมดจะค่อยๆก่อตัวขึ้นไปพร้อมๆกับเศรษฐกิจสหรัฐที่กำลังทรุดลงพร้อมกันทุกด้าน

    4.การเข้าควบคุมหรือเซ็นเซอร์อินเตอร์เน็ต ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาโดยรัฐบาลสหรัฐ โดยอ้างเรื่องความมั่นคงจากกรณีของ Wikileaks

    และถ้าทั้งหมดนี้เกิดขึ้น ก็ฟันธงได้เลยครับว่า นี่ก็คือเหตุการณ์ 911 ของโลกอินเตอร์เน็ต และกลุ่มที่กำกับอยู่เบื้องหลังและมีคอนเนคชั่นกับนายอัซซานก็คือ เครือข่าย Bottom Up ของ "โซรอส" อีกแล้วครับท่าน.......

    <EMBED height=306 type=application/x-shockwave-flash width=500 src=http://www.youtube.com/v/9FgnBN6af90?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x2b405b&color2=0x6b8ab6 allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always"></EMBED>
    <EMBED height=306 type=application/x-shockwave-flash width=500 src=http://www.youtube.com/v/HoYjjV6XRgk?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x2b405b&color2=0x6b8ab6 allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always"></EMBED>
    <EMBED height=306 type=application/x-shockwave-flash width=500 src=http://www.youtube.com/v/EMR5D8_ERzY?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x2b405b&color2=0x6b8ab6 allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always"></EMBED>

    โพสต์โดย What's going on in America โพสต์เมื่อ <A class=timestamp-link title="permanent link" href="http://jimmysiri.blogspot.com/2010/12/operation-wikileaks.html" rel=bookmark><ABBR class=published title=2010-12-07T18:34:00+07:00>6:34 หลังเที่ยง</ABBR>0 comments [​IMG][​IMG]

    <SCRIPT type=text/javascript>if (window['tickAboveFold']) {window['tickAboveFold'](document.getElementById("latency-5465520187529276242")); } </SCRIPT>CRASH JP Morgan BUY SILVER !!!.......Update

    หากท่านใดที่สนใจการลงทุนในเม็ดเงินบริสุทธ์ ซึ่งจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่ไม่แพ้ทองคำ ลองติดต่อตามรายละเอียดด้านล่างนี้ครับ แต่เนื่องด้วย ณ ปัจจุบัน ในประเทศเราการลงทุนใน Silver เป็นตลาดที่ "แคบ" กว่าทองคำ ดีมานด์และซัพพลายจึงมีผลต่อราคาค่อนข้างมาก และไม่ใช่ทุกร้านจะต้องยึดถือราคาเดียวกัน ณ เวลานั้นๆ แต่ราคา Spot ซึ่งถือเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก จะยังคงเป็นตัวกำหนดกลไกราคาในภาพรวมครับ

    และในภาพรวมที่ราคาทองคำพุ่งเกิน 20,000 บาท/บาททองคำ จึงให้สินแร่อื่นๆ นอกจากทองคำจะเติบโตมากขึ้นตามไปด้วย เพื่อเป็นอีกทางเลือกของการลงทุน

    1.มาสเตอร์โกลด์ เพลสทีจ ชั้น 3 ดิโอลด์สยามพลาซ่า โทร.02-623-8933
    2.ทีดีซี โกลด์ ถ.ตรีทอง วังบูรพา
    3.99 โกลด์ เพชรบุรี ซ.12


    โดยทั้ง 3 ร้านดังกล่าวจะกำหนด เงื่อนไข หลักการ และราคาในการซื้อ-ขาย ที่แตกต่างกันครับ เพราะฉะนั้นควรจะ "ต้อง" ตกลงกันในรายละเอียดทั้งหมดให้ชัดเจนก่อนการลงทุน เพราะจะมีทั้งแบบเปิดหน้าบัญชีและไม่เปิดหน้าบัญชีเพื่อตัดราคาซื้อ-ขาย ทางโทรศัพท์ และไม่จำเป็นว่าซื้อร้านไหนแล้วจะต้องขายร้านนั้น คงต้องเลือกร้านที่ซื่อสัตย์ บริการดี และให้ผลตอบแทนสูงสุดและเป็นธรรมครับ

    หากเพื่อนๆ ท่านใดมีร้านอื่นๆที่น่าสนใจในหมวดของการลงทุนเม็ดเงินและเงินแท่ง สามารถโพสต์ไว้ได้ครับ เพื่อให้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ยิ่งเรามีร้านที่สามารถซื้อ-ขายได้มากเท่าไหร่ ทุกคนก็จะได้ประโยชน์มากเท่านั้นครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อมูลทั้งหมดนี้เป็นเพียงการให้ข้อมูลในการลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยงในเรื่องค่าเงินและเงินเฟ้อที่กำลังเกิดขึ้น เพื่อให้ทันกระแสของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และบล๊อก The Gold War ไม่มีผลประโยชน์หรือส่วนได้เสียใดๆ กับร้านดังกล่าวทั้งสิ้น

    โดยผมจะนำลีสต์รายชื่อเหล่านี้ใส่ไว้ด้านข้างครับ และจะมีการเพิ่มเติมแหล่งซื้อ-ขายใหม่ๆ เข้ามาเรื่อยๆเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดครับ

    คำเตือน : การลงทุนทุกชนิดมีความเสี่ยง ซึ่งความเสี่ยงและผลตอบแทนนั้นๆจะขึ้นอยู่กับสภาพของเงินทุนและข้อมูลของแต่ละบุคคล ขอให้ท่านศึกษาข้อมูลและรายละเอียดของการลงทุนอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง

    <EMBED height=306 type=application/x-shockwave-flash width=500 src=http://www.youtube.com/v/Z_BzfNlQu-U?fs=1&hl=en_US&rel=0&color1=0x006699&color2=0x54abd6 allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always"></EMBED>



    โพสต์โดย What's going on in America
    Dec 7 2010, 10:49 AM
    JimmySiri: Gentle Ben Opens The Door For QE3 http://blogs.forbes.com/<WBR>etfchannel/<WBR>2010/<WBR>12/<WBR>06/<WBR>gentle-ben-opens-the-door-<WBR>for-qe3/<WBR> [​IMG]
    Gentle Ben Opens The Door For QE3 - ETFChannel.com - ETFChannel.com - Forbes
    [​IMG]
    Dec 7 2010, 2:01 PM
    JimmySiri: BB:<WBR> Oil Rises Above $<WBR>90 to 26-<WBR>Month High on Forecast of Drop in U.<WBR>S.<WBR> Supplies http://www.bloomberg.com/<WBR>news/<WBR>2010-12-07/<WBR>oil-trades-near-26-month-h<WBR>igh-on-forecast-of-decline<WBR>-in-u-s-crude-supply.html [​IMG]
    Oil Rises Above $90 to 26-Month High on Forecast of Drop in U.S. Supplies - Bloomberg
    [​IMG]


    Welcome!!

    ....."The Gold War phase II" by Jimmy Siri
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ธันวาคม 2010
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ตร.อังกฤษจับผู้ก่อตั้ง'วิกิลีกส์'แล้วด้านเว็บไซต์ยืนยันจะเดินหน้าแฉต่อ
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>7 ธันวาคม 2553 22:22 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ “วิกิลีกส์” จูเลียน แอสซานจ์ เดินทางมาปรากฎตัวต่อศาล
    เอเจนซี/เอเอฟพี - ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ “วิกิลีกส์” จูเลียน แอสซานจ์ มอบตัวเองต่อตำรวจอังกฤษเมื่อวันอังคาร(7) หลังจากที่สวีเดนออกหมายจับเขาด้วยข้อหากระทำความผิดทางเพศหลายกระทง อย่างไรก็ตาม ทางด้านผู้ร่วมงานยืนยันว่าจะเดินหน้าตีพิมพ์รายละเอียดของเอกสารลับทางการทูตอเมริกัน 250,000 ฉบับที่พวกเขามีอยู่ในครอบครองต่อไป
    “วิกิลีกส์” เว็บไซต์จอมแฉกำลังกลายเป็นที่จับจ้องของผู้คนทั่วโลก สืบเนื่องจากการทยอยเผยแพร่เอกสารเหล่านี้ที่เป็นรายงานลับของสถานทูตสหรัฐฯประจำประเทศต่างๆ จนกลายเป็นข่าวพาดหัวไม่หยุดหย่อนตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ขณะที่ แอสซานจ์ ชาวออสเตรเลียวัย 39 ปีผู้นี้ถูกควบคุมตัวในคราวนี้ เนื่องจากมีหมายจับออกมาจากสวีเดน ซึ่งมีผลบังคับใช้ทั่วทั้งยุโรป

    สำนักงานตำรวจนครบาลลอนดอนแถลงว่า แอสซานจ์ถูกตำรวจหน่วยส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนจับกุม ในนามของทางการสวีเดน ภายหลังที่เขาเดินทางมายังสถานีตำรวจแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอนตามที่นัดหมายไว้ ทั้งนี้เขาไปปรากฏตัวในศาลแขวง ซิตี้ ออฟ เวสต์มินสเตอร์ ในเมืองหลวงอังกฤษวันอังคาร(6) โดยศาลสั่งควบคุมตัวไว้จนถึงวันที่ 14 ธันวาคม หลังเขาบอกว่าจะต่อสู้กับคำขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนของสวีเดน

    ตามคำแถลงของตำรวจนครบาลลอนดอน ทางการสวีเดนกล่าวหาแอสซานจ์ว่ากระทำความผิดในเรื่องบีบบังคับอย่างผิดกฎหมาย 1 กระทง, ลวนลามทางเพศ 2 กระทง, และข่มขืน 1 กระทง ทั้งหมดนี้กระทำเมื่อเดือนสิงหาคม 2010

    แอสซานจ์พำนักอยู่ในสวีเดนเป็นเวลานาน และในปีนี้เขาถูกกล่าวหาจากอาสาสมัครสตรีของวิกิลีกส์ที่เป็นชาวสวีเดน 2 คนเรื่องล่วงละเมิดทางเพศ แต่แอสซานจ์ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด โดยบอกว่าข้อกล่าวหาเหล่านี้มีต้นตอจากการทะเลาะกันเกี่ยวกับการที่เขามีเพศสัมพันธ์อย่างเต็มใจและเป็นแบบที่มิได้มีการป้องกัน กับสตรี 2 คน

    ภายหลังได้รับคำร้องเรียน อัยการสวีเดนได้เปิดการสอบสวน แล้วก็ระงับไป ก่อนที่จะเปิดการสอบสวนขึ้นมาใหม่ การชักเข้าชักออกเช่นนี้จึงกลายเป็นเครื่องสนับสนุนข้อโต้แย้งของแอสซานจ์และทนายของเขาที่ว่า คดีนี้โหมกระพือขึ้นมาด้วยแรงจูงใจทางการเมือง

    ทนายความของแอสเซนจ์ระบุว่า ลูกความของเขาจะต่อสู้ไม่ให้ถูกส่งตัวไปสวีเดน เพราะเชื่อว่ามหาอำนาจต่างชาติกำลังใช้อิทธิพลต่อสวีเดน ขณะที่เว็บไซต์วิกิลีกส์ออกคำแถลงผ่านทางทวิตเตอร์ว่า การเล่นงาน “บรรณาธิการใหญ่” จูเลียน แอสซานจ์ คราวนี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของวิกิลีกส์ และจะเดินหน้าเผยแพร่รายงานลับต่อไปอีกตามปกติ

    เว็บไซต์วิกิลีกส์ถูกไล่ล่าเล่นงานจากตัวโลก นับแต่ที่เริ่มเผยแพร่รายงานลับทางการทูตของสหรัฐฯในวันที่ 28 พฤศจิกายน จนกระทั่งต้องโยกย้ายจากเซิร์ฟเวอร์หนึ่งไปยังอีกเซิร์ฟเวอร์หนึ่ง เนื่องจากหลายๆ ประเทศพยายามปิดเว็บไซต์นี้ให้ได้ อย่างไรก็ดี วิกิลีกส์บอกว่า เวลานี้มีผู้สนับสนุนในทั่วโลกเปิดเว็บไซต์ในลักษณะเป็น “เว็บไซต์กระจก” ซึ่งมีเนื้อหาทุกอย่างของวิกิลีกส์ ไม่น้อยกว่า 750 แห่งแล้ว
    http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9530000172514
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    PROFILE: ชีวิตลึกลับของ'จูเลียน แอสซานจ์'ผู้ขุดคุ้ยความลับโลกตะลึง
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>8 ธันวาคม 2553 04:32 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    เอเอฟพี/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - จูเลียน แอสซานจ์ ซึ่งถูกจับกุมในข้อหาข่มขืนเมื่อวันอังคาร(7) ทำทุกทางเพื่อปกปิดชีวิตส่วนตัวไว้ในความลึกลับขณะที่เว็บไซต์วิกิลีกส์ของเขาตีแผ่เอกสารลับทางการทูตสหรัฐฯ ทว่าด้วยชื่อเสียงอันโด่งดังไปทั่วโลก ชีวประวัติบางส่วนของเขาจึงไม่เป็นความลับอีกต่อไป

    หากย้อนกลับไปในช่วงต้นปี คงแทบไม่มีใครรู้จักหนุ่มใหญ่วัย 39 ปีรายนี้ แต่ ณ เวลานี้เขาได้กลายเป็นบุคคลที่มีคนพูดถึงมากที่สุดในโลกไปเรียบร้อยแล้ว

    ""เรากำลังสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับสื่อเสรี" แอสซานจ์บอกกับเอเอฟพีระหว่างให้สัมภาษณ์ในเดือนสิงหาคม พร้อมระบุว่าด้วยความพยายามเช่นนั้น "เราจึงหวังเป็นอย่างยิ่งต่อความมีอิสระเสรีของสื่อมวลชนทั่วโลก"

    ในขณะที่เขาอาจแปรสภาพสู่นักต่อสู้เพื่อความโปร่งใส่ ทว่าอีกด้านหนึ่งเขากลับปกปิดชีวิตส่วนตัวไว้ในความลึกลับและแทบไม่มีใครรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาเลย

    เขาทำแม้กระทั่งปกปิดวันเดือนปีเกิดของตนเอง จนกระทั่งอินเตอร์โพลได้ออกหมายจับสากลตามคำร้องขอของทางการสวีเดน ในข้อหาข่มขืน ทำให้ทราบว่าชายชาวออสเตรเลียรายนี้ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 1971

    แอสซานจ์ เกิดที่เมืองทาวน์สวิลล์ รัฐควีนสแลนด์ ของออสเตรเลีย พ่อกับแม่เป็นเจ้าของบริษัทละครเร่ จึงต้องเดินทางอยู่ตลอดเวลา ขณะที่ทาง แอสซานจ์ อธิบายชีวิตในวัยเด็กของเขาว่าเสมือนนักท่องเที่ยวและต้องย้ายโรงเรียนถึง 37 แห่งด้วยกัน

    ในช่วงทศวรรษ 1990 แอสซานจ์ ซึ่งย้ายมาอาศัยอยู่ในเมลเบิร์น ค้นพบว่าพรสวรรค์ใหม่นั่นคือการล้วงข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตหรือแฮกเกอร์ แต่ความสนใจใหม่นี้ก็ไม่อาจรอดพ้นการตรวจจับของเจ้าหน้าที่ โดยเขาถูกต้องข้อหาก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ราว 30 กระทง รวมถึงความผิดฐานแฮกเข้าระบบคอมพิวเตอร์ของตำรวจและกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งเขาก็ยอมรับสารภาพในเกือบทุกข้อกล่าวหา แต่ถูกลงโทษเสียค่าปรับเท่านั้น

    แอสซานจ์ บอกว่าเขาเคยทำงานในตำแหน่งต่างๆในหลายบริษัท ทั้งในฐานะที่ปรึกษาด้านความมั่นคง นักวิจัยของวารสาร ก่อนจะเริ่มเปิดบริษัทไอทีของตนเอง

    จากนั้นเขาได้ร่วมกับนักสิทธิมนุษยชน สื่อมวลชนและผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอีกราว 10 คน ก่อตั้งเว็บไซต์วิกิลีกส์ขึ้นมา แม้ว่าจะไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณชนว่าคนอื่นๆที่เหลือเป็นใครก็ตาม

    เว็บไซต์แห่งนี้เปิดตัวบนโลกออนไลน์ในปี 2007 และเริ่มเปิดเผยเอกสารลับต่างๆ จนกระทั่งในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาเว็บไซต์แห่งนี้กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เมื่อตีแผ่นเอกสารลับ 77,000 แผ่นของกองทัพสหรัฐฯกับอังกฤษ ในการทำสงครามอัฟกานิสถาน

    การเผยแพร่ดังกล่าวตามมาด้วยการเปิดโปงเอกสารอีกราว 400,000 แผ่นในเดือนตุลาคม ที่เกี่ยวข้องกับสงครามอิรักและนับตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายนเป็นต้นมา วิกิลีกส์ ก็ดังกระหึ่มโลกอีกครั้งเมื่อเผยแพร่เอกสารลับสุดยอดของสถานทูตสหรัฐฯ 274 แห่งทั่วโลก

    เว็บไซต์วิกิลีกส์ถูกไล่ล่าเล่นงานจากทั่วโลก นับแต่ที่เริ่มเผยแพร่รายงานลับทางการทูตของสหรัฐฯ จนกระทั่งต้องโยกย้ายจากเซิร์ฟเวอร์หนึ่งไปยังอีกเซิร์ฟเวอร์หนึ่ง เนื่องจากหลายๆ ประเทศพยายามปิดเว็บไซต์นี้ให้ได้

    อย่างไรก็ตามเมื่อว้นที่ 7 ธันวาคม แอสซานจ์ เข้ามอบต่อตำรวจอังกฤษ หลังจากที่สวีเดนออกหมายจับเขาด้วยข้อหากระทำความผิดทางเพศหลายกระทง และศาลสั่งควบคุมตัวไว้จนถึงวันที่ 14 ธันวาคม หลังเขาบอกว่าจะต่อสู้กับคำขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน

    แอสซานจ์พำนักอยู่ในสวีเดนเป็นเวลานาน และในปีนี้เขาถูกกล่าวหาจากอาสาสมัครสตรีของวิกิลีกส์ที่เป็นชาวสวีเดน 2 คนเรื่องล่วงละเมิดทางเพศ แต่แอสซานจ์ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด โดยบอกว่าข้อกล่าวหาเหล่านี้มีต้นตอจากการทะเลาะกันเกี่ยวกับการที่เขามีเพศสัมพันธ์อย่างเต็มใจและเป็นแบบที่มิได้มีการป้องกันกับสตรี 2 คน

    ภายหลังได้รับคำร้องเรียน อัยการสวีเดนได้เปิดการสอบสวน แล้วก็ระงับไป ก่อนที่จะเปิดการสอบสวนขึ้นมาใหม่ การชักเข้าชักออกเช่นนี้จึงกลายเป็นเครื่องสนับสนุนข้อโต้แย้งของแอสซานจ์และทนายของเขาที่ว่า คดีนี้โหมกระพือขึ้นมาด้วยแรงจูงใจทางการเมือง

    ทนายความของแอสเซนจ์ระบุว่า ลูกความของเขาจะต่อสู้ไม่ให้ถูกส่งตัวไปสวีเดน เพราะเชื่อว่ามหาอำนาจต่างชาติกำลังใช้อิทธิพลต่อสวีเดน ขณะที่เว็บไซต์วิกิลีกส์ออกคำแถลงผ่านทางทวิตเตอร์ว่า การเล่นงาน “บรรณาธิการใหญ่” จูเลียน แอสซานจ์ คราวนี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของวิกิลีกส์ และจะเดินหน้าเผยแพร่รายงานลับต่อไปอีกตามปกติ

    Around the World - Manager Online - <b><font color=blue>PROFILE:</font></b>
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    บุตรชาย “ซู” ออกจากย่างกุ้ง กลับอังกฤษแล้ว
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>7 ธันวาคม 2553 19:08 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600 border=0><TBODY><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>กลับแล้ว-- นางอองซานซูจี ผู้นำการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยใพม่า ไปส่งบุตรชายคนเล็กที่ท่าอากาศยานเมงกะลาโดง ในกรุงย่างกุ้งวันอังคารนี้ คิม อาริส วัย 33 ปีได้รับอนุญาตจากรัฐบาลทหารให้เดินทางไปพบมารดาได้เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี และพำนักในพม่าเป็นเวลา 3 สัปดาห์.--REUTERS/Soe Zeya Tun. </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- คิม อาริส บุตรชายคนเล็กวัย 33 ปี ของนางอองซานซูจี ผู้นำการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในพม่า ได้เดินทางจากกรุงย่างกุ้งเพื่อกลับประเทศอังกฤษแล้ว ในวันอังคารนี้ หลังจากทางการทหารอนุญาตให้เดินทางไปพบมารดาได้เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี

    นางซูจี ได้ไปส่งบุตรชายที่ท่าอากาศยานกรุงย่างกุ้ง โดยกลุ่มผู้สนับสนุนติดตามคอยรักษาความปลอดภัยให้อย่างแน่นหนา

    คิม ได้พำนักอยู่ที่บ้านพักริมบึงใหญ่หลังเก่าๆ ของมารดา และตลอด 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ติดตามมารดาไปทำกิจกรรมหลายอย่าง รวมทั้งไปทำบุญนมัสการมหาเจดีย์ชเวดากอง อันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่พม่า และเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของประเทศอีกด้วย

    บิดาของ คิม ศาสตราจารย์ ไมเคิล อาริส ชาวอังกฤษถึงแก่กรรมในปี 2542 ระหว่างต่อสู้กับโรคมะเร็งในขั้นสุดท้ายนั้น ทางการพม่าไม่อนุญาตให้เดินทางไปพบภรรยาในกรุงย่างกุ้ง

    นางซูจี ตัดสินใจไม่เดินทางไปร่วมงานศพสามี แม้ทางการจะอนุญาตก็ตาม เนื่องจากหลายฝ่ายลงความเห็นว่า หากเดินทางออกนอกประเทศ รัฐบาลทหารก็จะขัดขวางไม่ให้เดินทางกลับพม่าอีก

    เมื่อ นางซูจี ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 2534 คิม กับ อเล็กซานเดอร์ อาริส พี่ชาย ได้เดินทางไปรับรางวัลแทนในกรุงออสโล ประเทศนอรเวย์เพื่อรับรางวัลแทนมารดา

    นางซูจี ได้ประกาศบริจาคเงินรางวัลกว่า 3 ล้านดอลลาร์ ที่ได้รับจากคณะกรรมการรางวัลโนเบล เป็นกองทุนเพื่อการศึกษาและสุขภาพอนามัยของชาวพม่า

    ด้วยเงินทุนก้อนนี้ ทำให้ผู้สนับสนุนของนางซูจี สามารถเปิดคลินิกดูแลรักษาผู้ป่วยด้วยเอชไอวีเอดส์ในกรุงย่างกุ้งถึง 3 แห่ง

    ในนั้น 1 แห่งที่ นางซูจี ไปเยี่ยมหลังได้รับอิสรภาพถูกทางการสั่งปิด โดยกล่าวหาว่า ไม่ถูกสุขลักษณะ เกรงจะเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคติดต่อร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัณโรค
    IndoChina - Manager Online -
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    จีนเพิ่มบริษัทที่ใช้ “หยวน” ทำธุรกรรม เกือบ 70,000 แห่ง !
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>7 ธันวาคม 2553 13:42 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>แฟ้มภาพ – พนักงานธนาคารจีนแห่งหนึ่ง กำลังจัดเก็บเงินหยวนที่นับเรียบร้อยแล้ว (ภาพเอเอฟพี)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เอเอฟพี (7 ธ.ค.) - ธนาคารกลางจีน ประกาศเมื่อวันจันทร์ (6 ธ.ค.) จำนวนบริษัทที่ใช้เงินหยวนในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ เพิ่มจาก 365 แห่งเป็น 67,359 แห่ง นับเป็นความพยายามล่าสุดที่จะสร้าง “หยวน” ให้เป็นหน่วยเงินตราระดับโลก

    ธนาคารกลางจีนเผยทางเว็บไซต์ ว่า “การขยายจำนวนบริษัทใน 16 ภูมิภาคของจีน โดยให้ทดลองใช้เงินหยวนในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศนั้น มีเป้าหมายเพื่ออำนวยความสะดวกแก่การค้าและการลงทุน”

    จีนเคยประกาศเมื่อ ธ.ค. ที่ผ่านมา (2552) ว่า “จะขยายโครงการนี้ไปทั่วประเทศ จะเพิ่มจำนวนบริษัทที่ใช้หยวนในการทำการค้ากับต่างประเทศ นอกจากนั้น โครงการนี้ยังครอบคลุมบริษัทต่างชาติที่มาทำธุรกิจกับจีนด้วย”

    โครงการทดลองนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มอานุภาพ “หยวน” ให้เป็นหน่วยเงินสากล โดยปรับเปลี่ยนจากระบบเงินตราเดิมที่ยึดดอลลาร์เป็นศูนย์กลาง อย่างไรก็ตามโครงการฯ นี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันอย่างหนักหน่วงให้จีนขึ้นค่าเงินหยวนให้เร็วที่สุด หลังสหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับจีน

    ธนาคารกลางจีน ชี้ “จากเดือน มิ.ย. ถึง พ.ย. ธนาคารจีนเพิ่มงบฯ สูงถึง 340,000 ล้านหยวน สำหรับใช้ในโครงการขยายจำนวนบริษัทธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ”
    China - Manager Online -
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ลาวไปโลดจริงๆ อีก 4 ปี รถหัวกระสุนไปหยุนหนันเปิดหวูดปู๊นๆ
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>7 ธันวาคม 2553 16:47 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=650 border=0><TBODY><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>อีกไม่นาน---ภาพวันที่ 26 ต.ค.2553 ชายคนนี้กำลังพินิจดูรถไฟหัวกระสุนสายเซี่ยงไฮ้-หังโจ ที่สถานีนครเซี่ยงไฮ้ อีกไม่กี่ปีข้างหน้าอาจจะได้เห็นรถไฟความเร็วสูงจีนคล้ายๆ กันนี้ในเมืองหลวงของลาว รองนายกรัฐมนตรีสมสะหวาด เล่งสะหวัด กล่าวในกรุงปักกิ่งวันอังคารนี้ว่า การก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงหยุนหนัน-เวียงจันทน์อาจจะเริ่มได้ในต้นปีหน้า และใช้เวลาก่อสร้าง 4 ปีตามกำหนด ซึ่งอาจจะหมายความว่าลาวกำลังจะมีรถหัวกระสุนใช้ก่อนประเทศอื่นๆ ในอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง.--REUTERS/Aly Song. </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- ในปี 2557 หรืออีกเพียง 4 ปีข้างหน้า รถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมมณฑลหยุนหนัน กับนครเวียงจันท์ ก็น่าจะเปิดให้บริการได้ ซึ่งจะเป็นการช่วยส่งเสริมการค้าระหว่างลาวกับจีน และกลุ่มอาเซียนทั้งมวล ทางรถไฟดังกล่าวจะเชื่อมกับทางรถไฟความเร็วสูงของไทย ทำให้สามารถเดินทางต่อไปได้จนถึงมาเลเซียและสิงคโปร์

    นายสมสะหวาด เล่งสะหวัด รองนายกรัฐมนตรี “ผู้ประจำการรัฐบาล” กล่าวในวันอังคารนี้ ระหว่างแถลงข่าวในกรุงปักกิ่ง ทั้งระบุว่า “รถไฟความเร็วสูง” สายนี้ ควรจะเริ่มได้ตามกำหนดในต้นปี 2554 และจะใช้เวลาทั้งหมด 4 ปี หลังจากสองฝ่ายได้เซ็นสัญญากันในนครเวียงจันทน์ในเดือน เม.ย.ปีนี้

    “เพื่อให้ประเทศของเราพ้นจากสภาพความด้อยพัฒนา... รัฐบาลเราได้ลงทุนอย่างมากในการพัฒนาโครงร่างการคมนาคม เพื่ออำนวยต่อแผนการเชื่อมต่อภายในอาเซียน และระหว่างอาเซียนกับจีน” สำนักข่าวรอยเตอร์อ้างคำกล่าวของรองนายกฯ ลาว

    “เราเชื่อว่า โครงการนี้จะมีส่วนร่วมอย่างสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมในลาว เช่นเดียวกันกับการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนกับจีน” นายสมสะหวาด กล่าว

    จีนกับกลุ่มอาเซียน 10 ชาติได้ลงนามในความตกลงเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับในวันที่ 1 ม.ค.2554 ความตกลงนี้ได้ทำให้เกิดเป็นเขตการค้าที่มีประชากรถึง 1,900 ล้านคน

    ปัจจุบันจีนกำลังช่วยลาวก่อสร้างถนนและสนามบินอีกหลายแห่ง ปีนี้จีนเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่อันดับ 2 ในลาว ถัดจากเวียดนาม โดยทุ่มเงินทุนเข้าไปในการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำและการเหมืองแร่ สำนักข่าวของทางการลาวรายงานเมื่อเร็วๆ นี้

    นอกจากนั้น บริษัทเอกชนของจีนจำนวนมากได้เข้าไปลงทุนก่อสร้างศูนย์การค้า โรงแรม และ ตลาดการค้าทันสมัยในนครเวียงจันทน์ พ่อค้าชาวจีนเข้าไปเปิดร้านค้าในลาวทุกหนทุกแห่งตั้งแต่แขวง (จังหวัด) ทางตอนเหนือสุดลงไปจนถึงตอนใต้สุดของประเทศ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=550>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>
    เซ็นปุ๊บสร้างปั๊บ-- นายหลิวจื้อจุ้น (Liu Zhijun) รัฐมนตรีกระทรวงการรถไฟจีนนำคณะจากกรุงปักกิ่งเยือนลาวในฐานะแขกของ นายสมมาด พนเสนา รัฐมนตรีกระทรวงการโยธาและขนส่งของลาว สองฝ่ายได้พบเจรจาและในวันที่ 4 ต.ค.ได้มีการเซ็นสัญญาเพื่อก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 2 ประเทศ นายสมสะหวาด เล่งสะหวัด รองนายกรัฐมนตรีองลาวแถลงในกรุงปักกิ่งวันอังคารนี้ว่าการก่อสร้างน่าจะเริ่มในต้นปีหน้านี้.--ภาพ: เวียงจันทน์ใหม่. </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> <CENTER></CENTER><CENTER>2</CENTER><CENTER></CENTER>

    มูลค่าการค้าสองฝ่ายระหว่างจีนกับลาวเพิ่มขึ้นเป็น 751.8 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว ทั้งนี้ เป็นตัวเลขของสำนักขาวรอยเตอร์

    จีนกำลังเร่งก่อปฏิบัติสิ่งที่เรียกว่า “ยุทธศาสตร์หัวสะพานหยุนหนัน” นั่นคือ การทำให้มณฑลที่อยู่ห่างไกลทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ เป็นดินแดนเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนทั้งมวล

    นักวิชาการจีนที่ใกล้ชิดกับโครงการได้เปิดเผยเมื่อเร็วๆ นี้ เกี่ยวกับแผนการก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงอีกสายหนึ่งระยะทางเกือบ 2,000 กิโลเมตร จากนครคุนหมิงไปยังกรุงย่างกุ้งของพม่า และการก่อสร้างอาจจะเริ่มขึ้นได้ในต้นปีหน้านี้เช่นเดียวกัน

    ในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา รัฐมนตรีกระทรวงการรถไฟจากจีนได้นำคณะเดินทางเยือนลาว สองฝ่ายได้ร่วมกันเซ็นความตกลงก่อสร้างทางรถไฟสายสำคัญนี้

    ต่อมาในเดือน ต.ค.นายทหารกรมช่างแสง แห่งกรมใหญ่พลาธิการกองทัพประชาชนลาวผู้หนึ่งได้เปิดเผยว่า ทหารช่างของลาวได้ลงพื้นที่แล้วตั้งแต่ต้นปีเพื่อสำรวจ เตรียมการก่อสร้างทางรถไฟสายปฐมฤกษ์จากชายแดนจีนเข้าเสียงจันทน์ระยะทางกว่า 450 กม.

    ในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา คณะจากกระทรวงรถไฟจีนได้เยือนไทย ซึ่งมีการเจราจาเกี่ยวกับการก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงระหว่างหนองคาย-กรุงเทพฯ จากการร่วมทุนระหว่างสองฝ่าย โดยคาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 2,500 ล้านดอลลาร์

    ก่อนหน้านี้ จีนยังให้คำมั่นจะช่วยกัมพูชาสร้างทางรถไฟอีกสายหนึ่งจากกรุงพนมเปญไปยังชายแดนเวียดนาม มููลค่าก่อสร้างประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์

    ตามรายงานของสื่อทางการจีน กระทรวงรถไฟกำลังสำรวจทางรถไฟความเร็วสูงอีกช่วงหนึ่งจากลาว ซึ่งจะทำให้สามารถทะลุไปจนถึงกัมพูชาได้

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=550>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>
    วิ่งฉลิวข้ามประเทศ-- ภาพวันที่ 26 ต.ค.2553 รถไฟหัวกระสุนสายเซี่ยงไฮ้-หังโจ กำลังทะยานไปตามรางที่เพิ่งเปิดให้บริการใหม่ๆ จีนกำลังจะสร้างรถไฟหัวกระสุนคล้ายกันนี้จากนครคุนหมิงไปยังนครเวียงจันทร์ของลาว กับอีกสายหนึ่งที่ยาวกว่าไปยังกรุงย่างกุ้ง จีนกำลังสำรวจอีกเส้นทางหนึ่งต่อจากลาวเข้าสู่กัมพูชาและอยู่ระหว่างเจรจากับไทยเพื่อร่วมทุนก่อสร้างรถไฟแบบเดียวกันนี้จากหนองคายไปยังกรุงเทพฯ อนุภูมิภาคกำลังเปลี่ยนไปรวดเร็วมาก.-- REUTERS/Aly Song. </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> <CENTER></CENTER><CENTER>3</CENTER><CENTER></CENTER>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=550>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>
    อาจจะได้เห็น-- ภาพวันที่ 26 ต.ค.2553 พนักงานบริการบนรถไฟหัวหกระสุนสายเซี่ยงไฮ้-หังโจ รอต้อนรับผู้โดยสาร ไม่นานอาจจะได้เห็นภาพแบบเดียวกันนี้ในลาวและในพม่า จีนกำลังจะสร้างรถไฟหัวกระสุนคล้ายกันนี้จากนครคุนหมิงไปยังนครเวียงจันทร์ กับอีกสายหนึ่งไปยังกรุงย่างกุ้ง จีนกำลังสำรวจอีกเส้นทางหนึ่งต่อจากลาวเข้าสู่กัมพูชาและอยู่ระหว่างเจรจากับไทยเพื่อร่วมทุนก่อสร้างรถไฟแบบเดียวกันนี้จากหนองคายไปยังกรุงเทพฯ อนุภูมิภาคกำลังเปลี่ยนไปรวดเร็วมาก.-- REUTERS/Aly Song. </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> <CENTER></CENTER><CENTER>4</CENTER><CENTER></CENTER>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=550>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>
    ชีวิตนี้ได้เห็น-- ภาพวันที่ 26 ต.ค.2553 คนงานก่อสร้างหญิงมองดูรถหันกระสุนขบวนเซี่ยงไฮ้-หังโจ ที่กำลังแล่นทะยานไปด้วยความเร็ว จีนกำลังจะสร้างรถไฟหัวกระสุนคล้ายกันนี้จากนครคุนหมิงไปยังนครเวียงจันทร์ของลาว กับอีกสายหนึ่งที่ยาวกว่าไปยังกรุงย่างกุ้ง จีนกำลังสำรวจอีกเส้นทางหนึ่งต่อจากลาวเข้าสู่กัมพูชาและอยู่ระหว่างเจรจากับไทยเพื่อร่วมทุนก่อสร้างรถไฟแบบเดียวกันนี้จากหนองคายไปยังกรุงเทพฯ อนุภูมิภาคกำลังเปลี่ยนไปรวดเร็วมาก.-- REUTERS/Aly Song. </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> <CENTER></CENTER><CENTER>5</CENTER><CENTER></CENTER>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=550>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>
    อีกไม่นานก็จะมี-- ภาพวันที่ 20 เม.ย.2553 รถไฟจากภาคใต้กำลังเคลื่อนเข้าสู่กรุงฮานอย โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงมูลค่า 56,000 ล้านดอลลาร์ถูกรัฐสภาคว่ำไปในเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา แต่โครงการยังอยู่ และรัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพยายามทุกวิถีทางที่จะช่วยเวียดนามก่อสร้างให้สำเร็จ จีนมีแผนการที่จะสร้างรถไฟหัวกระสุนจากนครคุนหมิง ไปเชื่อ,ต่อกับระบบรถหัวกระสุนของเวียดนามเช่นกัน การขนส่งระบบรางในอนุภูมิภาคแม่น้ำโขงกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว.-- AFP PHOTO/Hoang Dinh Nam. </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> <CENTER></CENTER><CENTER>6</CENTER><CENTER></CENTER>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=550>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>
    อีกไม่นานก็จะมี-- ภาพวันที่ 26 มี.ค.2553 สตรีพม่ากำลังเดินที่สถานีรถไฟเนปีดอ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผนการอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เมืองหลวงใหม่ของพม่ากำลังจะมีรถไฟหัวกระสุนจากจีนไปแวะจอด เจ้าหน้าที่จีนเปิดเผยแผนการดังกล่าวเมื่อเร็วๆ นี้ การก่อสร้างอาจจะเริ่มขึ้นได้ในต้นปีหน้าสำหรับรถไฟที่อาจจะมีความเร็วถึง 240 กม./ชม. รวมระยะทางกว่า 1,900 กม.โดยมีสถานีจอดสุดท้ายในกรุงย่างกุ้ง.-- AFP PHOTO/Christophe Archambault. </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> <CENTER></CENTER><CENTER>7</CENTER><CENTER></CENTER>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=550>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>
    เก่าแก่และยืนยง-- รถจักร 2 คันจอดที่สถานีหัวลำโพง เมื่อมองในแง่ดีไทยก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีรถไฟใช้ก่อนใครๆ ในภูมิภาคแถบนี้และอนุรักษ์สิ่งเก่าๆ ได้ค่อนข้างดีตลอดเวลากว่า 100 ปี แต่อีกไม่นานทุกอย่างที่นี่ก็จะเปลี่ยนไป ในประเทศนี้ก็มีโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงสายหนึ่ง ขณะเดียวกันจีนก็กำลังพยายามเจรจาร่วมทุนก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงจากหนองคายไปยัง กทม. เพื่อเชื่อมต่อเข้ากับระบบเดียวกันที่แล่นจากนครคุนหมิงไปยังเมืองหลวงของลาว.-- AFP PHOTO/Tang Chhin Sothy. </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> <CENTER></CENTER><CENTER>8</CENTER><CENTER></CENTER>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=550>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>
    เก่าแก่และมั่นคง-- ภาพวันที่ 22 ต.ค.2553 รถไฟขบวนประวัติศาสตร์พนมเปญ-กัมโป๊ตเตรียมเคลื่อนขบวน ธนาคารพัฒนาเอเชียกำลังช่วยกัมพูชาฟื้นฟูทางรถไฟที่ใช้มาตั้งแต่ยุคอาณานิคมให้กลับมาใช้ได้อย่างปลอดภัยอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่กัมพูชาเริ่มฟื้นฟูระบบรางระยะทาง 650 กม.ทั่วประเทศ และจีนจะช่วยสร้างอีกราว 400 กม.ไปยังชายแดนเวียดนาม และในหลายปีข้างหน้าพนมเปญอาจจะเป็นสถานีปลายทางของรถไฟหัวกระสุนจีน ที่มีต้นทางจากมูณฑลหยุนหนันผ่านลาวเข้าไปที่นั่น.-- REUTERS/Chor Sokunthea. </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> <CENTER></CENTER><CENTER>9</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>
    IndoChina - Manager Online -
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    “ศุภชัย” จับยามสามตา ศก.โลกปีหน้าโต 2-3% แนะรวมอาเซียนให้แกร่ง
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>29 พฤศจิกายน 2553 21:53 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ซุป” คาดเศรษฐกิจโลกปีหน้าโตแค่ 2-3% ชะลอลงจากปีนี้ เหตุเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรป ยังฟื้นตัวแบบเปราะบาง แนะรวมกลุ่มอาเซียนให้แกร่ง เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ภูมิภาค อัดพวกเก็งกำไรค่าเงิน ไร้ความรับผิดชอบ เชียร์ไทยใช้นโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์พัฒนาประเทศ
    นายศุภชัย พานิชภักดิ์ เลขาธิการสำนักงานการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) เปิดเผยว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2554 คาดว่า จะขยายตัว 2-3% ลดลงจากปีนี้ ที่คาดขยายตัว 3-4% เพราะยังมีปัจจัยเสี่ยงในหลายด้าน โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังฟื้นตัวแบบเปราะบาง ส่วนเศรษฐกิจยุโรปยังคงชะลอลง จากปัญหาหนี้สาธารณะที่ยังแก้ไขไม่สำเร็จ รวมถึงอาจเกิดฟองสบู่จากการที่มีเงินร้อนระยะสั้นไหลเข้าสู่ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชียมากขึ้น จนทำให้เกิดปัญหาความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน

    ทั้งนี้ ในปีหน้า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ และ ยุโรป จะเป็นตัวฉุดการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก แต่เศรษฐกิจของเอเชียจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวได้

    “ผมเห็นด้วยกับการรวมกลุ่มของอาเซียน ที่เริ่มมีความเข้มแข็งมากขึ้น จนทำให้ทั่วโลกต้องหันมามอง โดยเฉพาะการประชุมสุดยอดเอเชีย ที่เรียกความสนใจจากทั่วโลกได้ แต่ไม่อยากให้รวมกันเฉพาะด้านเศรษฐกิจ อยากเห็นการรวมกันในด้านอื่นๆ ด้วย เช่น การใช้ทรัพยากรร่วมกัน เป็นต้น ซึ่งอาเซียนต้องรีบทำให้การรวมตัวกันประสบความสำเร็จ รวมถึงในกรอบอาเซียน+3, อาเซียน+6, และเอเปก แต่สิ่งที่ต้องระวังขณะนี้ คือ ความพยายามของคนนอกกลุ่มที่จะทำให้อาเซียนไขว้เขวในการรวมตัวกัน” นายศุภชัย กล่าว

    นายศุภชัย กล่าวว่า สำหรับปัญหาเงินร้อนระยะสั้นที่ไหลเข้าสู่เศรษฐกิจของเอเชียนั้น อังค์ถัดเกลียด และไม่เห็นด้วยกับการเก็งกำไรค่าเงิน เพราะเป็นการสร้างความเดือดร้อนไปทั่วโลก เพราะเงินร้อนเหล่านี้เป็นเงินที่ปั๊มขึ้นมา แต่ไม่รู้จะไปไหน เลยเข้ามาเก็งกำไรจำนวนมาก เมื่อได้กำไรแล้วก็เอาเงินออก แต่การที่เงินเข้ามามากๆ ทำให้ค่าเงินแข็งค่ามาก อย่างกรณีของค่าเงินบาท ซึ่งเห็นว่า ค่าเงินบาทในตลาดแข็งค่ากว่าความเป็นจริงมาก

    อย่างไรก็ตาม ไทยไม่ควรกังวลกับเรื่องค่าเงินบาทแข็งมาก เพราะยังถือว่ามีประโยชน์ เช่น ทำให้ราคานำเข้าน้ำมันลดลง ราคาสินค้าลดลง และเงินเฟ้อลดลง แต่ควรปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำด้วย ส่วนฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยนั้น ขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาแต่อย่างใด

    นายศุภชัย กล่าวในการปาฐกถาพิเศษเรื่อง การพัฒนาอย่างสร้างสรรค์ ในงานมหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์นานาชาติ (TICEF) วานนี้ (29 พ.ย.) ว่า อังค์ถัดสนับสนุนให้ทั่วโลกใช้นโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในการพัฒนาเศรษฐกิจ เพราะการพัฒนาเศรษฐกิจแบบเดิมๆ เช่น เน้นในภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตร ภาคบริการ อาจทำให้เศรษฐกิจแต่ละประเทศเติบโตช้า ดังนั้น จึงต้องหันมาเน้นเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ด้วย เพราะเป็นการสร้างมูลค่าสินค้า และบริการที่เกิดจากความคิดของมนุษย์ เป็นการใช้องค์ความรู้ที่มีในท้องถิ่น สร้างสรรค์ผลงานให้เชื่อมโยงกับรากฐานทางวัฒนธรรม แต่ต้องทำให้คนในท้องถิ่นมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องนี้ด้วย

    “ปีที่ผ่านมา การค้าโลกหดตัว แต่รายได้จากเศรษฐกิจสร้างสรรค์ทั่วโลกกลับเพิ่มขึ้น ทำให้ปัจจุบัน ทั่วโลกหันมาพัฒนาเศรษฐกิจของตนเองโดยใช้เศรษฐกิจสร้างสรรค์มากขึ้น ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ผลิตผลงานใหม่ๆ เพื่อใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เพราะทุกวันนี้ คนเราชอบหาความสุข และชอบเสพมากขึ้น เช่น งานศิลปะ ฟังเพลง แต่จะต้องมีระบบป้องกันการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่คิดค้นขึ้นมาด้วย นอกจากนี้ อังค์ถัดยังพอใจกับนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทย แต่ต้องมีองค์กรอิสระในการกำกับดูแล และขับเคลื่อนนโยบาย รวมถึงประสานงานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ และภาคเอกชน” นายศุภชัย กล่าว
    Business - Manager Online -
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วิกฤติไอร์แลนด์ : ไทยรอดพ้นได้

    โดย : ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
    อัครราชทูต (ฝ่ายเศรษฐกิจและการคลัง) ประจำสหราชอาณาจักรและยุโรป
    วันที่ 23 พฤศจิกายน 2553 01:00
    [​IMG]

    ปัญหาเศรษฐกิจพื้นฐานของไอร์แลนด์ เกิดขึ้นจากวิกฤติแฝด Twin Crises จาก
    <!--<iframe scrolling="no" src="fullURLmain/include/adsense/indetail.php" frameborder="0" height="266" width="250"></iframe>--><SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20101117/r20101206/show_ads_impl.js"></SCRIPT>(1) วิกฤติสถาบันการเงิน (Banking Crisis) ที่ระบบธนาคารปล่อยสินเชื่ออย่างรวดเร็ว และไม่ระมัดระวังในอดีต เกิดหนี้เสียจำนวนมากโดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ จนรัฐบาลต้องเข้ามาเพิ่มทุนให้ธนาคารเอกชน และยึดเป็นกิจการของรัฐ (2) วิกฤติการคลัง (Fiscal Crisis) ที่เกิดจากรัฐบาลขาดดุลจำนวนมาก และความจำเป็นที่รัฐบาลต้องเข้าไปอุ้มสถาบันการเงิน ส่งผลให้งบประมาณของไอร์แลนด์ในปี 2553 คาดว่าจะขาดดุลเพิ่มขึ้นสูงมากถึงประมาณร้อยละ 33 ของ GDP (ซึ่งเป็นประเทศที่ขาดดุลการคลังสูงที่สุดในยูโรโซน) และเป็นเหตุให้ตลาดการเงินขาดความมั่นใจในความสามารถชำระหนี้ของรัฐบาล

    - ความเสียหายของสถาบันการเงินที่มากกว่ารัฐบาลคาดการณ์ไว้ ทำให้เกิดการแห่ถอนเงินฝากของผู้ฝากเงินในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2553 จนส่งผลให้สถาบันการเงินในไอร์แลนด์หลายแห่งขาดสภาพคล่องจำนวนมาก และต้องกู้เงินฉุกเฉินจากธนาคารกลางยุโรปเป็นจำนวนถึงประมาณ 130 พันล้านยูโร

    - ปัญหาของวิกฤติไอร์แลนด์ ถูกซ้ำเติมด้วยข้อเสนอการประชุมระดับผู้นำ EU Summit ณ กรุง Brussels ประเทศ Belgium เมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคม 2553 โดยรัฐบาลของประเทศ Germany และ France เสนอให้แก้ไขสนธิสัญญาของประเทศสมาชิก EU ให้มีกฎเกณฑ์การช่วยเหลือประเทศที่ประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจให้เป็นการถาวร (Permanent Crisis Resolution) โดยต้องการให้ภาคเอกชนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศที่ประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจเข้ามามีส่วนรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น เช่น การยอมรับการปรับโครงสร้างหนี้ และการยอมตัดหนี้สูญ (Hair Cut) จากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล

    - ข่าวเรื่องการเพิ่มกฎเกณฑ์ Permanent Crisis Resolution ประกอบกับข่าวเรื่องความเสียหายของสถาบันการเงินในไอร์แลนด์ที่สูงกว่าคาดการณ์ ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนพฤศจิกายน 2553 ได้ส่งผลให้นักลงทุนที่ถือพันธบัตรของไอร์แลนด์ ขาดความมั่นใจในความสามารถชำระหนี้ของรัฐบาลไอร์แลนด์ และเร่งเทขายพันธบัตรรัฐบาล จนเป็นเหตุให้ต้นทุนการกู้เงินของรัฐบาลไอร์แลนด์ ซึ่งสะท้อนได้จากความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาลไอร์แลนด์ หรือ Credit Default Swap (CDS) ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 6% (600 basis points) เพียงในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนพฤศจิกายน

    ในวันที่ 16-17 พฤศจิกายน 2553 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในยุโรป ได้ประกาศความพร้อมที่จะช่วยเหลือรัฐบาลไอร์แลนด์ ผ่านกลไกความช่วยเหลือทางการเงินของยุโรป European Stabilisation Mechanism ในวงเงิน 60 พันล้านยูโร และ European Financial Stabilisation Facility ในวงเงิน 440 พันล้านยูโร ส่งผลให้ต้นทุนความเสี่ยงในการชำระหนี้ของรัฐบาลไอร์แลนด์ หรือ Credit Default Swap ปรับลดลงเล็กน้อยเหลือประมาณ 5.0-5.5% (500-550 basis points)

    อย่างไรก็ดี รัฐบาลไอร์แลนด์ยังมีท่าทีที่จะยังไม่ขอความช่วยเหลือผ่านกลไกความช่วยเหลือทางการเงินของยุโรป ผ่าน European Stabilisation Mechanism หรือ European Financial Stabilisation Facility เนื่องจากต้องการมีอิสระในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ และไม่ต้องการอยู่ภายใต้เงื่อนไข Conditionality ที่ต้องปฏิบัติตามภายใต้เกณฑ์การกู้ยืมเงินของ EU แต่รัฐบาลไอร์แลนด์ได้ผ่อนปรนให้เจ้าหน้าที่จาก 3 องค์กร (Troika) ได้แก่ European Commission, European Central Bank และ IMF เข้าไปรวมประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจการเงินกับรัฐบาลไอร์แลนด์ได้

    แม้ว่าสถานการณ์ความเชื่อมั่นของรัฐบาลไอร์แลนด์จะปรับตัวดีขึ้น แต่สถานการณ์เศรษฐกิจยังมีความเสี่ยงจากการลุกลามของปัญหา (Contagion) ไปยังประเทศ ที่มีลักษณะของปัญหาพื้นฐานเศรษฐกิจที่อ่อนแอคล้ายกับไอร์แลนด์ เช่น กรีซ โปรตุเกส และสเปน ดังจะเห็นได้จากค่าความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ Credit Default Swap (CDS) ของรัฐบาลกรีซ โปรตุเกส และสเปน อยู่ในระดับที่สูงมาก อย่างไรก็ดี ตลาดการเงินยังมองว่าความเสี่ยงของวิกฤติการเงินในไอร์แลนด์จะลุกลามมายังประเทศไทยและประเทศในแถบเอเชียมีค่อนข้างน้อย โดยต้นทุนความเสี่ยงจาก CDS ของไทยและหลายประเทศในเอเชีย ยังอยู่ต่ำกว่ากลุ่มประเทศ PIGS ค่อนข้างมาก

    นอกจากนั้น วิกฤติไอร์แลนด์ยังสามารถส่งผลกระทบต่อประเทศอื่นๆ ได้ ในกรณีที่รัฐบาลไอร์แลนด์ไม่สามารถชำระหนี้คืนเจ้าหนี้สถาบันการเงินที่ถือพันธบัตรไอร์แลนด์ได้ (ซึ่งมีโอกาสน้อย เนื่องจากยุโรปมีกลไกความช่วยเหลือทางการเงินของยุโรปคอยรองรับให้กู้ฉุกเฉินอยู่แล้ว) โดยประเทศที่เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของรัฐบาลไอร์แลนด์ ได้แก่ อังกฤษ เยอรมนี สหรัฐ และฝรั่งเศส

    ผลกระทบทางอ้อมของวิกฤติการเงินในไอร์แลนด์ต่อประเทศไทยอาจมีบ้าง ผ่านช่องทางการไหลออกของเงินทุนอย่างรวดเร็ว (Capital Flight) อันเป็นผลจากการที่นักลงทุนต่างชาติถอนเงินกลับไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัย (Safe Haven) โดยเฉพาะพันธบัตรสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลทางอ้อมให้ค่าเงินบาทอ่อนลง เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ (หลังจากเกิดวิกฤติไอร์แลนด์ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทได้อ่อนค่าลง -0.43%) เสถียรภาพเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันอยู่ในฐานะมั่นคงมาก และค่อนข้างแตกต่างจากประเทศที่มีปัญหาวิกฤติในยุโรปในขณะนี้ ดังจะเห็นได้จากความแข็งแกร่งของเครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจไทยล่าสุด ดังนี้

    ๐ ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทย ณ วันที่ 5 พฤศจิกายน 2553 มีอยู่สูงถึง 172 พันล้านดอลลาร์ (ซึ่งสูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นถึงประมาณ 4 เท่า)

    ๐ หนี้สาธารณะของประเทศไทย ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปี 2553 อยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 42.3 ของ GDP (ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานสากลและมาตรฐานยุโรปที่ร้อยละ 60 ของ GDP ค่อนข้างมาก)

    ๐ สถาบันการเงินของไทยค่อนข้างเข้มแข็ง โดยสัดส่วนหนี้เสีย NPL สุทธิ ของสถาบันการเงินไทยต่อสินเชื่อรวม ณ สิ้นไตรมาส 3 มีอยู่เพียง 2.28% และสัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของสถาบันการเงินไทย ณ สิ้นไตรมาส 3 มีอยู่สูงถึง 16.84 (ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์สากลที่ 8% ค่อนข้างมาก)

    กล่าวโดยสรุป เสถียรภาพเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันที่แข็งแกร่ง น่าจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยสามารถรองรับความผันผวนทางการเงินจากวิกฤติไอร์แลนด์ได้ แต่ประเทศไทยยังไม่ควรประมาท ยังคงจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์วิกฤติการเงินโลกอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะจากความผันผวนของการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ

     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    11/16/2010
    US Dollar the Heaven Currency

    ก่อนที่ผมเริ่มเขียนบทความนี้ ผมขอแจ้งให้ทุกท่านทราบก่อนว่า เงินสกุลหลักที่ผมถือคือ US Dollar นะครับ ดังนั้นบทความผมอาจจะมีความลำเอียงได้ ซึ่งผมจะพยายามเขียนโดยไม่มีความลำเอียงเข้าข้างตัวเองให้มาที่สุดก็แล้วกันครับ


    คุณเคยสังเกตุไหมครับว่า ทุกครั้งที่เกิดการ Panic แล้วตามมาด้วย Global Asset Selling หรือ Global Liquidation นั้น สิ่งเดียวที่ไม่โดนขายออกมาพร้อมๆกัน คือเงินสกุล US Dollar แต่กลับมีแรงซื้อเงินสลุก US Dollar ขึ้นมาทันที จริงๆแล้วมันก็มีเหตุผลแหละครับซึ่งผมกำลังจะพูดถึงครับ

    ประเด็นที่ผมคิดว่าน่าสนใจที่จะพิจารณาในส่วนของหนีตายมาหา US Dollar ทั้งๆมีการอัด Supply เงินเข้ามาอย่างมหาศาลในช่วงที่ผ่านมา จนหลายๆคนบอกว่า แบงค์ดอลล่าเหมือนแบงค์กงเต็กนั้น เป็นเพราะว่า US Dollar ในทุกวันนี้ก็ยังเป็นเงินสกุลหลักของโลกครับ ในมุมมองของผมนั้น ผมไม่คิดว่าเงินดอลล่าจะอ่อนไปมากกว่านี้เท่าไหร่นัก ส่วนทองคำก็น่าจะแพงขึ้นเช่นกัน (อ้าว งงไหมล่ะครับ ถ้าผมมองดอลล่าแข็ง ทองก็ต้องราคาลง แต่ทำไมผมกลับว่าทองคำราคาจะสูงขึ้น เดี๋ยวผมจะเล่าความคิดของผมให้ฟังครับ) เหตุผลที่เงินดอลล่าสหรัฐไม่น่าจะอ่อนไปกว่านี้มากนักก็เพราะว่า ถ้าเงินดอลล่าสหรัฐเกิดอ่อนค่าอย่างรุนแรงจนช็อกตลาด ความฉิบหายจะเกิดขึ้นกับทุกประเทศทั่วโลกทันที โดยประเทศที่จะบาดเจ็บสาหัสที่สุดคือประเทศจีน เพราะว่าเงินที่สหรัฐกู้มากระตุ้นเศรษฐกิจ (ออกพันธบัตร) รัฐบาลจีนเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ ประมาณได้ว่าแทบจะเหมาก็ว่าได้ ดังนั้น หาก US Dollar เกิด Depreciate หนักจริงๆ ทุนสำรองเงินตราของประเทศจีนก็จะสั่นคลอดไปด้วย

    ถ้าจะพูดให้เห็นภาพชัดๆคือ สหรัฐกับจีนนั้น เปรียบเสมือน "น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า" นั่นเอง แม้จะออกมาพูดกัดกันบ้างก็ตาม

    สำหรับราคาทองคำที่ผมคิดว่ามีโอกาสขึ้นต่อ แม้ว่าจีนและสหรัฐ จำใจต้องอยู่กันแบบ"น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า"นั้น เป็นเพราะทั้งสหรัฐและจีน ไม่สามารถเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถอถอยไม่ได้อีกแล้ว เนื่องจากหากเกิดขึ้นอีกรอบ ก็ไม่มีประเทศใดช่วยได้ (รอบที่ผ่านมาหากรัฐบาลจีนไม่ Import พันธบัตรของสหรัฐ ก็คงเกิด Global Depression แน่นอน) ซึ่งจีนเองก็รู้ถึงจุดนี้อยู่ และผมก็เชื่อว่ารัฐบาลจีนเองก็หวาดเสียวกับ Exposure ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอยู่อย่างมาก ดังนั้นผมจึงอ่านใจรัฐบาลจีนว่า น่าจะมีการ Rebalace ทุกสำรองเงินตราระหว่างประเทศใหม่ โดยการซื้อทองคำเข้ามาถ่วงดุล Exposure ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยผมมคิดว่าด้วยปริมาณเม็ดเงินที่รัฐบาลจีนหาซื้อทองมาถ่วงดุลนั้น น่าจะเป็นแรงผลักดันราคาทองขึ้นไปสูงกว่าระดับปัจจุบันอย่างแน่นอน

    สำหรับราคาทองที่ร่วงลงอย่างรุนแรงในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา (วันที่ผมเขียนคือกลางคืนของวันที่ 16 พย 2553) นั้น ผมคาดว่าน่าจะเกิดจากการขึ้น Initial Margin (IM) ในส่วนของตลาด Comex ที่ขึ้น IM ของ COMEX Gold 100Oz. Futures (GC) อีก 6 % และ IM ของ COMEX Silver 5,000Oz. Futures (SI) อีก 12% ทำให้เกิดการ Liquidate Position ของ Hedge Fund ซึ่งถือแทบทุกกองล้วนถึง Long Position บทราคาทองคำ ทั้ง Spot Gold, Gold Futures, Gold Mining Stocks ด้วย Leverage สูงๆ เพื่อให้รักษาระดับ Exposure Coverage Ratio ให้คงที่ครับ (แอบใช้ภาษา Hedge Fund)

    TradeTactic.net By HedgeHunter: US Dollar the Heaven Currency
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    11/06/2010
    สงครามอัตตราแลกเปลี่ยนแบบง่ายๆ



    สวัสดีครับ วันนี้ผมอยากจะเขียนอะไรง่ายๆให้เพื่อนๆพี่ๆอ่านกันเข้าใจสบายๆละกันนะครับ

    หลังจากที่สหรัฐได้ประกาศ QE2(นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ คล้ายๆ"ไทยเข้มแข็ง") ผมมองว่าเป็นการประกาศสงครามอัตตราแลกเปลี่ยนกับทั่วโลก โดยการที่อัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นการทำให้ Money Supply ของ US Dollar สูงขึ้น ส่งผลให้เกิดการด้อยค่าลงของ US Dollar (เทียบง่ายๆก็เหมือนออกหุ้นเพิ่มทุนแหละครับ ราคาหุ้นย่อมตกลงแน่นอน) ซึ่งจะส่งผลดังนี้ครับ

    1. เป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ
    2. เป็นการสกัดกั้นสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ เพราะถ้า US Dollar อ่อน ของนำเข้าจะแพง
    3. แน่นอนครับ ถ้าของนำเข้าแพง ของส่งออกก็ย่อมถูก เรียกว่า เหมือนหยินกะหยางน่ะครับ

    จากการที่ US Dollar ด้อยค่าลง ทำให้นักลงทุนที่ถือเงิน US Dollar เกิดอาการหนีตายกันไปถือเงินสกุลอื่น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเงินบาทของเรานี่เอง และช่องทางที่จะหนีตายได้อย่างรวดเร็วที่สุดก็คือ ตลาดหุ้นครับ นี่เป็นเหตุผลว่าราคาหุ้นแพ๊งแพง SET Index ก็ทะลุพันจุดไปแล้ว ทำไมฝรั่งเข้ามาซื้อกันจัง เพราะนอกจากเขาจะได้กำไรจากราคาหุ้นแล้ว เขายังได้กำไรจากค่าเงินที่บาทอ่อน(แข็ง)ตอนซื้อ บาทแข็ง(กว่า)ตอนขาย

    ดังนั้นประเด็นจึงอยู่ที่ว่า แบงค์ชาติเราจะรับมืออย่างไร????!!! นโยบายกันสำรอง 30% ก็เป็นหนึ่งสูตรยาที่แรงมากๆที่จะมาจัดการกับโรคเงินไหลเข้าได้ แต่ตลาดหุ้นดันทนผลข้างเคียงไม่ไหวนี่สิ งานนี้แบงค์ชาติต้องให้ฝ่ายเภสัชกรรมมาคิดสูตรยาใหม่ ที่จะมารักษาโรคเงินทุนไหลเข้าโดยคนไข้(ตลาดหุ้น)ไม่ช็อกเหมือนเข็มที่แล้ว 5555

    เช่นเดียวกันครับ ทั่วโลกก็ต้องใช้หาสูตรยามารักษาโรคที่ประเทศสหรัฐปล่อยเชื้อใส่(การพิมพ์เงินกระตุ้นเศรษฐกิจ) ถ้าประเทศไหนฉลาด คิดยาแรงผลข้างเคียงน้อยได้ เงินก็จะไหลเข้าประเทศนั้นน้อยหน่อย แต่ถ้าประเทศไหนฉลาดไม่พอที่จะหายามาต้าน เงินก็จะไหลเข้าตลาดหุ้น หุ้นก็จะบวมเอาๆ(หมายถึงขึ้นนะครับ)จะเป็นฟองสบู่ และก็แตกโพล๊ะในที่สุด (เมื่อเงินไหลเข้าและหุ้นขึ้นหนำใจแล้ว ก็ทุบเลย จะกลัวอะไร ได้ทั้งกำไรค่าเงิน + กำไรหุ้น ทำให้ทุนต่ำสุดๆ)

    สรุป ......... เราต้องมาลุ้นกันนะครับว่าแบงค์ชาติของเราจะหาทางสู้เงินไหลเข้าได้ไหม(หวังว่าจะคิดสูตรยาได้ทัน) ระหว่างยังคิดไม่ออก หุ้นก็คงขึ้นไปเรื่อยแหละครับ แต่ระวังนะครับ ยิ่งสูงยิ่งหนาว ถ้าฟองแตกขึ้นมาคงไม่ติดดอย(เพราะยังหาทางปีนลงได้) แต่จะโดนปล่อยเกาะที่มีต้นมะพร้าวต้นนึง+ฉลามล้อมรอบแทน(โดนขังลืม) เตือนกันด้วยความหวังดีนะครับ เข้าไวออกไว ซื้อเย็นขายเช้า ลดปริมาณที่ซื้อลงเรื่อยๆ ไม้ปลายๆถ้าฟองแตกจะได้หนีตายทันและเจ็บตัวไม่มาก ด้วยความหวังดีนะคร้าบ


    HedgeHunter
    TradeTactic.net By HedgeHunter: สงครามอัตตราแลกเปลี่ยนแบบง่ายๆ
     
  18. พลอยรุ้ง

    พลอยรุ้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +2,088
    ขอบคุณคุณ k.kwan มากๆค่ะ ที่ขยันมาโพสต์ข้อมูลดีให้ทุกวันเลย
    พอดี กดปุ่มอนุโมทนาไม่ได้ หลายวันแล้วค่ะ
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Derivative Warrant : The Conspiracy Theory



    Derivative Warrant: ทฤษฎีสมคบคิด the conspiracy theory

    บทความนี้เป็นเพียงกานำเสนอสมมุติฐานและทฤษฏีเท่านั้น โดยสมมุติฐานถูกสร้างขึ้นจากข้อมูลที่เผยแพร่ในต่อสาธารณะ ผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์หรือมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ใดๆจากบทความนี้ด้วยกาลทั้งปวง

    Derivative Warrant คืออะไร

    Derivative Warrant (DW) นั้นมีลักษณะเหมือน Warrant แต่ว่าแตกต่างกันอยู่ที่ผู้ออกDerivative Warrant นั้น เป็นบุคคลที่สามซึ่งแตกต่างจาก Warrant ตรงที่ว่าผู้ออกตราสารคือบริษัทจดทะเบียนซึ่งเป็นเจ้าของหลักทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset) สำหรับประเทศไทย ผู้ออก DW นั้น คือบริษัทหลักทรัพย์ หรือ Investment Bank ต่างๆ ที่จะเป็นคนกำหนดราคาใช้สิทธิ์ ไม่ว่าสิทธิ์นั้นจะเป็นสิทธิ์ซื้อ หรือ สิทธิ์ขาย

    ทำไม่ผมจึงนำเสนอทฤษฏีนี้?

    ก่อนอื่นเราต้องเปิดใจยอมรับความจริงกันก่อนว่า การดำเนินการของกิจการต่างๆในวงการหลักทรัพย์ ไม่ได้สะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่อง เหมือนที่ได้สร้างภาพกันมามากมาย เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีกระแสเงินไหลเข้าออกนับหมื่นนับแสนล้านบาท ซึ่งกลิ่นอายของปริมาณเงินที่สูงในระดับนั้น มีกลิ่นที่หอมหวนดุจดั่งน้ำผึ้ง ซึ่งเป็นการยากที่จะทานทนต่อสิ่งยั่วยวนเหล่านี้ โดยในยุคปัจจุบัน ได้มีสาขาวิชาเกิดขึ้นมาใหม่คือสาขาวิชาวิศวกรรมการเงิน ซึ่งจะศึกษาเจาะลึกด้านตราสารอนุพันธ์ รวมทั้งการสร้าง Structure Product ที่มีความซับซ้อนสูงมาก โดยนำเข้ามาสู่ตลาดหุ้นที่นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่มักไม่ได้ศึกษาศาสตร์ด้านนี้อย่างลึกซึ้ง รวมถึงนักลงทุน เข้าไม่ถึงข้อมูลที่จำเป็นต่อการจัดการตัดสินใจ ทำให้เกิดความเสี่ยงอย่างสูงจนนักลงทุนไม่สามารถควบคุม (Exposure) การเปิดเผยตัวต่อความเสี่ยงในตลาดได้ โดนนักลงทุนส่วนมากที่เข้าซื้อขาย DW มักไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่

    เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค พับเก็บใส่กระเป๋าไปได้เลย

    เอาหละครับ ผมอาจจะเริ่มเขียนแนว Hard Core แล้วนะครับ ผมขอบอกว่าอนุพันธ์ทุกชนิดยกเว้น Futures ไม่สามารถใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคขอตัวมันเองได้เลยแม้แต่น้อยครับ การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะนำคุณไปสู่ความล้มเหลว และอาจหมดตัวได้ภายในเวลาไม่กี่อึดใจ

    จากประสบการณ์ในการเทรดตราสารอนุพันธ์ประเภท Exchange Traded มาพอสมควร ผมกล้าที่จะพูดเลยครับว่า เวลาผมซื้อขายตราสารอนุพันธ์ใดๆนั้น ไม่ว่าจะเป็นตลาดไหนก็ตาม ผมใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและเทคนิคมาดูสินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset) เพื่อวางกรอบว่า View ผมเป็น Bullish หรือ Bearish ยกตัวอย่างว่าผมสนใจจะซื้อขาย DW ของหุ้น PTT ผมจะทำการวิเคราะห์ตัวหุ้น PTT ไม่ใช่ DW ของหุ้น PTT เมื่อผมได้ View แล้ว ผมจะใช้ Model มาทำการทำ Pricing ราคาที่ควรจะเป็นของ DW ที่ผมสนใจว่าราคาเหมาะสมหรือเปล่า รวมถึงผมหา Implied Volatility ของราคา ณ ขณะนั้นเพื่อมาเทียบกับ Historical Volatility เพื่อประเมิน Premium ของ DW โดยผมไม่เคยที่จะเปิดกราฟของ DW ขึ้นมาดูเลยแม้แต่น้อย

    สำหรับ DW ในประเทศไทยเราต้องยอมรับความจริงที่ว่า การซื้อขายและทำราคาไม่ได้เป็นไปตามทฤษฏีมากนัก ดังนั้นการประเมินความเบี่ยงเบนของราคาตลาดต่อราคา Model จึงมีความสำคัญมากต่อการตัดสินใจลงทุน

    จากบทความที่ผ่านมาน่าจะเป็นการสรุปได้อย่างชัดเจนว่า การวิเคราะห์ทางเทคนิคของตัว DW ล้วนๆ จะนำมาซึ่งความเสียหายอันประเมินค่าไม่ได้ และถือว่าเป็นการทำ trading ที่ผิดวิธีอย่างร้ายแรงครับ

    บุคคลที่เกี่ยวข้องกับทฤษฏีสมคบคิดมีใครบ้าง

    1. สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
    2. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
    3. บริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ
    4. กองทุนส่วนบุคคล รวมถึงกองทุนในต่างประเทศที่บริหารโดยคนไทย
    5. กองทุนบริหารความเสี่ยง (Hedge Fund)
    6. ธนาคารพาณิชย์ในส่วนของ Private Banking
    7. นักลงทุนรายใหญ่
    8. บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

    ข้อเสนอในทฤษฏีสมคบคิด

    ทฤษฏีของผมนั้นมีอยู่ว่า ตลท. และ กลต. รู้เห็นเป็นใจที่จะสร้างตราสารที่มีความซับซ้อนสูงโดยจงใจให้ความรู้นักลงทุนเพียงแค่ Contract Specification เท่านั้น และไม่มีการคัดแยกสินค้าเข้าซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) ทั้งๆที่ Product เป็นตราสารอนุพันธ์อย่างชัดเจน ในทฤษฏีของผม ผมขอนำเสนอว่าทั้ง Exchange และ Regulator จงใจเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทหลักทรัพย์ (ซึ่งก็รู้ๆกันอยู่ว่าคนใน Exchange และ Regulator นั้นก็รู้จักกับผู้บริหารและเจ้าของบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆเป็นอย่างดี) ให้ระดมทุน (เข้าบริษัทหลักทรัพย์) โดยการออกตราสารอนุพันธ์เพื่อเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ โดยตราสารดังกล่าวไม่มีผลต่อการระดมทุนของบริษัทจะทะเบียน หรือสร้างผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมแต่อย่างใด โดยตราสารที่นำเข้ามาซื้อขาย เป็นเพียงเพื่อทำให้เกิด 3Wins 1Loss Scenario นั่นเอง ถ้าถามว่าใคร Win บ้าง แน่นอนครับ

    คนแรกที่ Win คือตลาดหลักทรัพย์ครับ เนื่องจากได้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายในส่วนของ Exchange Fee และ Clearing Fee

    คนที่สองที่ Win คือบริษัทหลักทรัพย์ เพราะเป็นการออกตราสารแบบจับเสือมือเปล่า รวมทั้งเชียร์ให้นักลงทุนรายย่อยที่ขาดความรู้อย่างลึกซึ้งเข้ามาซื้อขาย และได้กำไรจาก Prop Trade ที่อาศัยความไร้ประสิทธิ์ภาพของการทำ Pricing มาทำกำไรในส่วนต่าง เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว ค่าคอมมิชชั่น และผลกำไรจากการทำ Prop Trade บัญชีบริษัทหลักทรัพย์

    คนที่สามที่ Win คือ นักลงทุนรายใหญ่ และ Hedge Fund ครับ เพราะกลุ่มนี้ผมเรียกว่าเป็น Market Manipulator ก็ว่าได้ จะซื้อก็ขึ้น จะขายก็ลง กลุ่มนี้จะเป็นคนที่มีความรู้ด้าน Derivative ทั้ง Exchange Traded และ OTC อย่างมาก โดยจะอาศัยการวาดกราฟเทคนิคให้รายย่อยซื้อตาม โดยมีการทำ Price Pattern ให้สวนกับทฤษฏีเพื่อไปดักทุบเอาตอนใกล้ Exercises เรียกว่ากินง่ายๆ ได้ชัวร์ๆ

    และคนสุดท้ายที่ Loss คือนักลงทุนรายย่อยครับ เพราะเป็นกลุ่มที่มีความรู้ความเข้าใจน้อยที่สุด (ลองไปถามดูได้เลยครับ ผมเชื่อว่าไม่เกินร้อยละ10 ที่จะเคยได้ยินคำว่า Black-Scholes Model) มีทุนบางสุด มีเวลาติดตามน้อยที่สุด และเป็นกลุ่มที่เอาเปรียบง่ายที่สุด เพราะกลุ่มคนที่ Win สามกลุ่มที่ผมกล่าวมา ล้วนฟันกำไรจากนักลงทุนรายย่อยทั้งนั้นครับ ที่สำคัญ Derivative คือ Zero-Sum Game ดังนั้น เกมนี้ถ้ามีคนได้จะมีคนเสียอย่างแน่นอน

    ผมขอจบแต่เพียงเท่านี้ครับ

    HedgeHunter
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ยินดีค่ะ ที่มีคนอ่าน พอดีมีประสบการณ์เรื่องแมสเม่ามาบ้าง จากปี 2540
    เห็นข่าวคนเจ๊งเพราะหุ้น มีขู่ยิงตัวตายที่ตลาดหลักทรัพย์ ก็ไม่อยากให้คนไทย
    ต้องประวัติศาสตร์ซ้ำรอยรอบ2 เพราะคนที่รู้ก็เลิกเล่นหรือระวังตัวเวลาลงทุน
    อยู่แล้วเพราะมีประสบการณ์ แต่คนใหม่ๆที่ไม่รู้เรื่องจะตกเป็นเหยื่อพวก ตปท.
    เป็นเหยื่อพวกขาใหญ่ Hedge Fund เป็นเหยื่อของความโลภเก็งกำไร
    ไม่อยากเห็นคนไทยหมดตัว หรือเป็นหนี้เป็นสินเพราะเรื่องพวกนี้

    Zero-Sum Game = เกม ถ้ามีคนได้จะมีคนเสียอย่างแน่นอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ธันวาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...