พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 12 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 8 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong, ปฐม+, tawatd+, หมอเป่า</td></tr></tbody></table>
    ได้ร้องเพลงสดุดีมหาราชาแล้วรู้สึกดีมากครับ


    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ในหลวงทรงให้คนไทยมีสติไม่ประมาท


    [​IMG]


    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]



    คมชัดลึก :ในหลวง เสด็จออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม ทรงย้ำให้คนไทยอยู่ในความไม่ประมาท มีสติรู้ตัวอยู่เสมอ พสกนิกรรับเสด็จเนืองแน่น นายกฯโพสต์ข้อความผ่านเฟชบุ๊กถวายพร ตำรวจนครบาลแจ้งปิดจราจรรับเสด็จ 5 ธันวาคมช่วง 2 เวลา พบร้อยละ 85.7อยู่บ้านชมการถ่ายทอดสดพระราชพิธีฯ


    วันที่ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2553 เวลา 10 นาฬิกา 30 นาที พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากโรงพยาบาลศิริราช ไปยังพระบรมมหาราชวัง เพื่อเสด็จออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับเหนือพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์บนพระ ราชบัลลังก์ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร มหาดเล็กรัวกรับ ชาวม่านไขพระวิสูตร เจ้าพนักงานชูพุ่มดอกไม้ทองให้สัญญาณ ชาวพนักงานกระทั่งแตร มโหระทึก ทหารกองเกียรติยศถวายความเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ขณะนั้น ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ยิงปืนใหญ่เฉลิมพระเกียรติ ฝ่ายละ 21 นัด สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท

    เมื่อ สุดเสียงประโคมแล้ว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จออกยังหน้าพระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคลแทนพระบรมวงศานุวงศ์ แล้วนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล ตามลำดับ
    เสร็จแล้วพล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาหารทหารสูงสุด พร้อมด้วยทหารทุกเหล่าทัพถวายคำสัตย์ปฏิญาณ จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสตอบ ความว่า
    "ขอขอบพระทัยและขอขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอย่างยิ่งที่มีไมตรีจิต พรั่งพร้อมกันมาให้พรวันเกิดด้วยถ้อยคำที่เลือกสรรมาจากใจจริง บ้านเมืองของเราเป็นปึกแผ่นร่มเย็นปกติสุขมาช้านาน เพราะเรามีความยึดมั่นในชาติ และต่างร่วมมือร่วมมือร่วมแรงใจกันทำหน้าที่โดยนึกถึงประโยชน์ส่วนรวมของ ชาติเป็นเป้าหมายสำคัญสูงสุด
    ท่านทั้งหลายในสมาคมนี้ตลอดจนคนไทยทุกหมู่เหล่า จึงควรทำความเข้าใจในหน้าที่ของตนไว้ให้กระจ่างและนำไปปฏิบัติหน้าที่ของตน ให้ดีที่สุด ด้วยความไม่ประมาทและด้วยความมีสติรู้ตัวอยู่เสมอ เพราะการกระทำโดยประมาท ขาดความรอบคอบ เป็นเหตุให้เกิดความผิดพลาด เสียหาย ในหน้าที่ และการกระทำโดยขาดสติยั้งคิด ขาดเหตุผล เป็นเหตุให้เกิดหลงลืมความกลัว ทำให้กระทำสิ่งที่มิใช่หน้าที่โดยชอบได้ ซึ่งเป็นอันตรายมาก อาจจะนำความเสื่อมสลายมาสู่ตนเองตลอดทั้งประเทศชาติได้
    จึงขอให้ทุกคนได้สังวรณ์ระวังให้มากและประคับประคองกาย ใจ ให้เที่ยงตรง หนักแน่น ในอันที่จะปฏิบัติภารกิจตามเหตุผลของตนให้ถูกต้องตามหน้าที่ เพื่อความสุขมั่นคงและเพื่อ ความสงบสุขอันยั่งยืนขอชาติบ้านเมืองเรา ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์จงคุ้มครองรักษาท่านให้ปราศจากทุกข์ปราศจากภัย และอำนวยสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลให้สำเร็จผลขึ้นแก่ท่านทั่วหน้ากัน"
    เมื่อเวลา 11.20 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯลงจากพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ ประทับรถไฟฟ้าพระที่นั่ง ออกจากพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย แล้วเสด็จฯประทับรถยนต์พระที่นั่งพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ กลับมายังโรงพยาบาลศิริราช ตามเส้นทางเดิม

    เวลาบ่ายทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

    ที่พระบรมมหาราชวัง ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการเตรียมงานว่า ตั้งแต่เวลา 08.30 น. ผู้บัญชาการทหารทุกเหล่าทัพได้ทำการซักซ้อมพิธีถวายพระพรชัยมงคล และถวายสัตย์ปฏิญาณตน บริเวณสนามหญ้าหน้าศาลาสหทัยสมาคม โดยมีนายทหารทุกเหล่าทัพเข้าร่วม

    นายรัตนาวุธ วัชโรทัย ที่ปรึกษาฝ่ายกิจกรรมพิเศษสำนักพระราชวัง กล่าวว่า นับเป็นครั้งแรกที่มีการถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหารในพระที่นั่งอมรินทรวินิจ ฉัย จึงต้องมีการซักซ้อมพิธีการเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย

    “เมื่อ ปีที่แล้วไม่มีพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณของทหาร ในปีนี้ทุกเหล่าทัพจึงได้ขอพระบรมราชานุญาตถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว โดยทหารกล่าวว่า พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนเป็นพิธีที่สำคัญที่สุด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพิธีนี้ขึ้นในวันที่ 5 ธันวาคม ที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย จึงเป็นพิธีที่เพิ่มขึ้นมาจากเดิมที่ไม่เคยมี” นายรัตนาวุธกล่าว

    ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า ภายในพระบรมมหาราชวัง เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังได้จัดเตรียมสถานที่ให้ประชาชนทุกหมู่เหล่า ได้ลงนามถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 5 ธันวาคม ตั้งแต่เวลา 08.00-18.00 น. โดยจัดเตรียมโต๊ะสำหรับลงนามไว้ 6 ที่บริเวณสนามหญ้าข้างศาลาลูกขุนใน โดยจะปิดการลงนามถวายพระพรที่ศาลาศิริราช 100 ปี

    พสกนิกรรับเสด็จออกมหาสมาคม
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมาประชาชนจำนวนมาก สวมเสื้อสีชมพู ต่างหลั่งไหลทยอยกันเกินทางมายังโรงพยาบาลศิริราช เพื่อจับจองที่นั่ง รอรับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างเนื่องแน่น เนื่องในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา 5 ธันวาคม โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินออกมหาสมาคมตั้งแต่เวลา 10.00น.วันนี้
    พระสหายสายบุรีถวายความจงรักภักดี
    นอกจากนี้นายวาเด็ง ปูเต๊ะ อายุ 96 ปี พระสหายจากสายบุรี จ.ปัตตานี "นก"สินจัย เปล่งพานิช "ต่าย"เพ็ญพักตร ศิริกุล "อุ๋ม"อาภาศิริ นิติพน นักแสดงชื่อดังเฝ้ารอรับเสด็จฯด้วย
    เหล่านักแสดงกล่าวภายหลังรับเสด็จว่า รู้สึกปลื้มปิติดีใจ นับเป็นศิริมงคลแก่ชีวิต แม้ว่าพวกเราเป็นเพียงนักแสดงก็รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมแสดงในภาพยนต์ เทิดพระเกียรติในหลวง จึงอยากจะมาเข้าเฝ้าและแสดงความจงรักภักดี
    ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่บริเวณท่าเรือวังหลัง เหล่าบรรดาร้านอาหารที่อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ต่างเปิดให้ลูกค้าที่จะเข้ามาชมขบวนเรือและการแสดงต่างๆ ขณะที่ท่าเรือทั้ง 14 แห่ง ซึ่งเป็นจุดรับประชาชนลงเรือถวายพระพรทางน้ำ ก็ได้เตรียมความพร้อมการรักษาความปลอดภัยไว้อย่างเต็มที่แล้ว และจะมีการปิดเส้นทางจราจรทางน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่เวลา 12.00 น. ขณะที่การแสดงบนเวทีกลางน้ำจะเริ่มหลังเคารพธงชาติเวลา 18.00 น.
    "นายกฯ"พร้อมภริยาลงนามถวายพระพร
    นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนางพิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ ภริยา เดินทางเพื่อลงนามถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ณ ห้องแดง ศาลาว่าการพระราชวัง ในพระบรมมหาราชวังจากนั้นเวลา 10.00 นายกรัฐมนตรี เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จออกมหาสมาคม ในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ณ พระที่นั่งอัมรินทร์วินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง และในเวลา 16.00 น. นายกรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ แทนพระองค์ ในพิธีบรรพชิตจีนและญวนถวายพระพร ณ พระที่นั่งอัมรินทร์วินิจฉัย
    ต่อจากนั้นในเวลา 19.19 น. นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานพิธีถวายเครื่องราชสักการะ จุดเทียนชัยถวายพระพร ณ ศาลฎีกา ถนนราชดำเนินใน และเวลา 20.29 น. นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคล และปล่อยโคมลอย บนเรือริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ณ แม่น้ำเจ้าพระยา หน้าโรงพยาบาลศิริราช
    นายกฯข้อความผ่านเฟชบุ๊กถวายพร
    ทั้งนี้เมื่อเวลาประมาณ 23.00 น.วานนี้ (4) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2553 ในเฟซบุ๊ค www.facebook.com/Abhisit.M.Vejjajiva ว่า "ข้าพระพุทธเจ้า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในนามของรัฐบาล และประชาชนชาวไทย ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสตั้งจิตพร้อมน้อมอธิษฐาน ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสรรพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากล โปรดดลบันดาลประทานพรชัยมงคลให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ทรงพระเกษมสำราญ สถิตเป็นพระมิ่งขวัญปวงชน ข้าพระพุทธเจ้าเหล่าพสกนิกรตราบกาลนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ"
    ตำรวจนครบาลแจ้งปิดจราจรรับเสด็จ
    พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล รับผิดชอบงานจราจร เปิดเผยว่า ขอประชาสัมพันธ์ปิดเส้นทางจราจรงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว วันที่ 5 ธันวาคม ดังนี้ เวลาประมาณ 10.00-12.00 น. ปิดการจราจรตั้งแต่บริเวณหน้าโรงพยาบาลศิริราชเส้นถนนอรุณอมรินทร์ บนสะพานพระปิ่นเกล้าทั้งสองด้าน และเส้นถนนราชดำเนินใน สองช่องทางหน้าศาลฎีกา ตลอดจนถึงพระบรมมหาราชวัง เนื่องจากมีขบวนเสด็จฯ
    เวลา 17.00-22.00 น.ปิดการจราจรบริเวณถนนราชดำเนินในตลอดสาย บริเวณลานพระราชวังดุสิต ถนนอู่ทองในตลอดสาย ถนนศรีอยุธยา แยก พล.1 ถึงแยกวัดเบญจมบพิตร เนื่องจากมีการจัดงาน "5 ธันวามหาราช"
    สำหรับประชาชนที่มารอเฝ้าฯรับเสด็จในวันดังกล่าว สามารถมาเฝ้าฯรอรับเสด็จได้ทั้ง 2 ฝั่งข้างทาง ตั้งแต่หน้าโรงพยาบาลศิริราช ถนนอรุณอมรินทร์ บนสะพานพระปิ่นเกล้า หน้าศาลฎีกา จนถึงประตูวังโดยขอให้ประชาชนอยู่แต่บนฟุตบาทเท่านั้น ห้ามลงมายังพื้นถนน ส่วนพื้นที่เขตหวงห้าม คือ บริเวณรั้วพระบรมมหาราชวัง จะมีทหารประจำการอยู่

    ขสมก.จัดรถฟรีร่วมงานวันพ่อ
    นายวิรัตน์ โชคคติวัฒน์ รองผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กล่าวว่า เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา 5 ธันวาคม 2553 ขสมก.ได้จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยการจัดเดินรถบริการฟรีสำหรับประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างวันที่ 3-5 ธันวาคม 2553 ซึ่งกำหนดจัดกิจกรรมขึ้น ณ บริเวณสถานีหัวลำโพง โดยรถบริการฟรี 7 เส้นทาง ได้แก่ สาย 4 (คลองเตย-หัวลำโพง-ท่าน้ำภาษีเจริญ), สาย 7 (บางแค-หัวลำโพง), สาย 25 (ปากน้ำ-หัวลำโพง-ท่าช้าง), สาย 29 (รังสิต-วิภาวดี-หัวลำโพง), สาย 34 (รังสิต-พหลโยธิน-หัวลำโพง), สาย 53 (วงกลมรอบเมือง-เทเวศร์-หัวลำโพง), สาย 75 (วัดพุทธบูชา-หัวลำโพง)
    นอกจากนี้ ขสมก.ยังได้จัด “โครงการเทิดพระเกียรติ 5 ธันวาพาพ่อเที่ยวกับ ขสมก.” สำหรับครอบครัวที่พาพ่อไปท่องเที่ยวไหว้พระ 9 วัด ตั้งแต่วันที่ 3-5 ธันวาคม 2553 เดินทางจากกรุงเทพมหานคร ไป จ.พระนครศรีอยุธยา สมุทรสงคราม สิงห์บุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ฉะเชิงเทรา และนครนายก (7 เส้นทาง) แบบเช้าไป เย็นกลับ ค่าโดยสารลดพิเศษคนละ 350 บาท โดยให้สิทธิ์ “พ่อ” ได้รับการยกเว้นค่าโดยสาร
    พบร้อยละ 85.7อยู่บ้านชมการถ่ายทอดสดพระราชพิธีฯ
    ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน หรือศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และนักศึกษาด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ ประจำสถาบันคอร์เนลล์เพื่อภารกิจของรัฐ (Cornell Institute for Public Affairs) มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (Cornell University) เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง ความสุขของคนไทยในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวามหาราช 2553 กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ใน 17 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ เชียงใหม่ เพชรบุรี สระบุรี นครปฐม ชลบุรี มหาสารคาม ร้อยเอ็ด สกลนคร เลย ขอนแก่น อุบลราชธานี นราธิวาช นครศรีธรรมราช พัทลุง จำนวนทั้งสิ้น 1,542 ตัวอย่าง
    โดยดำเนินการสำรวจในระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน - 4 ธันวาคม 2553 ที่ผ่านมา พบว่าประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 85.7 อยู่บ้านติดตามการถ่ายทอดสดพระราชพิธีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออก มหาสมาคมเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ในขณะที่ร้อยละ 14.3 ไม่ได้ติดตามชมรายการสด
    เมื่อถามถึงสิ่งที่ประชาชนควรจะน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวไปปฏิบัติ 5 อันดับแรก พบว่า อันดับแรกหรือ ร้อยละ 89.2 ระบุการใช้ชีวิตด้วยความพอเพียง ร้อยละ 87.5 ช่วยกันรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ร้อยละ 86.4 มีสติรู้จักยับยั้งชั่งใจ รู้ผิดรู้ชอบ ร้อยละ 85.7 ตั้งจิตตั้งใจทำความดีเพื่อตนเองและสังคม และร้อยละ 83.2 มีความรู้ความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของตนเอง
    และเมื่อถามถึงการได้เจอ/พูดคุยกับพ่อในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พบว่า ร้อยละ 48.9 ระบุได้เจอ/พูดคุยกับพ่อทุกวัน ร้อยละ 14.1 อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ร้อยละ 8.7 อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ร้อยละ 5.3 เดือนละ 2-4 ครั้ง และร้อยละ 23.0 เดือนละ 1 ครั้ง/น้อยกว่าเดือนละครั้ง
    สำหรับกิจกรรมที่ทำร่วมกัน พบว่า เพียงร้อยละ 35.2 เท่านั้นที่ทานข้าวร่วมกัน ร้อยละ 27.2 ดูข่าว ดูละครร่วมกัน ร้อยละ 23.3 พูดคุยกันเรื่องส่วนตัว ร้อยละ 7.8 ช็อปปิ้งร่วมกัน ร้อยละ 7.2 ท่องเที่ยวด้วยกัน ร้อยละ 7.1 ชมภาพยนตร์ด้วยกัน และร้อยละ 4.1 ออกกำลังกายร่วมกัน
    นอกจากนี้สิ่งที่ “ผู้เป็นลูก” ตั้งใจจะทำให้ พ่อ ในวันพ่อที่จะมาถึงนี้ พบว่า ร้อยละ 45.6 จะอยู่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตากัน ร้อยละ 40.1 ไปทำบุญตักบาตร ร้อยละ 35.2 ให้ของขวัญ การ์ด ดอกไม้ และรองๆ ลงไปคือ ทานข้าวนอกบ้านกับพ่อ ให้เงินพ่อ ทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว พาพ่อไปพักผ่อน ทำบุญอุทิศส่วนกุศล พาพ่อไปเที่ยว ไปตรวจสุขภาพ และโทรศัพท์หาพ่อ ตามลำดับ
    และสิ่งที่ “ผู้เป็นลูก” อยากขอบคุณ “ผู้เป็นพ่อ” พบว่า อันดับแรก หรือร้อยละ 48.3 ขอบคุณพ่อที่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก ร้อยละ 42.0 ขอบคุณที่เลี้ยงดูให้เติบโตเป็นคนดีของสังคม ร้อยละ 37.2 ขอบคุณที่พ่อให้อนาคตที่ดี ให้การศึกษา รองๆ ลงไปคือ ขอบคุณที่พ่อดูแลแม่และครอบครัวเป็นอย่างดี ขอบคุณที่พ่อเข้าใจและให้อภัยในสิ่งที่ลูกเคยทำผิดพลาดไป ขอบคุณที่ไม่ทอดทิ้ง และให้ชีวิต ให้กำเนิด และขอบคุณที่พ่อรักลูกเท่าๆ กัน ไม่นอกใจแม่ มีเวลาให้และเชื่อใจลูก ตามลำดับ
    สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ 5 อันดับแรก กลุ่มคนที่ต้องปรับปรุงภาพลักษณ์เรื่องภายในครอบครัว พบว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 79.2 ระบุเป็นกลุ่มดารานักแสดง เพราะมีแต่เรื่องชู้สาว เรื่องมือที่สาม เรื่องบุตรที่หาคนเป็นพ่อไม่ได้ มีครรภ์ก่อนแต่งงาน มีปัญหาการยอมรับไม่ยอมรับของพ่อแม่ฝ่ายชายฝ่ายหญิง และการแย่งสามี ภรรยากัน เป็นต้น ในขณะที่รองลงมาคือร้อยละ 70.5 ระบุเป็นกลุ่มข้าราชการ โดยมีเหตุผลคล้ายกัน แต่ที่เด่นในปัญหาครอบครัวของกลุ่มข้าราชการคือ เรื่อง ความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา การนอกใจภรรยาและสามีของตนเอง และการข่มขืน การคุกคามทางเพศระหว่างเพื่อนร่วมงานด้วยกัน เป็นต้น และอันดับสามที่มีเหตุผลไม่แตกต่างกันคือ ร้อยละ 64.8 ระบุเป็นกลุ่มนักการเมือง ร้อยละ 55.1 ระบุเป็นกลุ่มนักธุรกิจ และร้อยละ 53.6 ระบุเป็นกลุ่มรับจ้างใช้แรงงานทั่วไป
    อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาผลวิจัยแนวโน้มความสุขมวลรวมหรือค่า Gross Domestic Happiness, GDH ของคนไทยภายในประเทศในวันที่ 5 ธันวาคม ปี 2553 ล่าสุดเพิ่มสูงขึ้นจาก 5.42 มาอยู่ที่ 8.37 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน
    ผอ. ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน กล่าวว่า น่าเป็นห่วงที่กลุ่มดารานักแสดงและกลุ่มข้าราชการกลายเป็นกลุ่มที่มีปัญหา ต้องปรับปรุงภาพลักษณ์เรื่องภายในครอบครัวพอๆ กัน และเมื่อครอบครัวเป็นรากแก้วที่สำคัญของสังคม ความมั่นคงภายในครอบครัวจะเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของ ประเทศได้ ทุกคนในสังคมจึงน่าจะช่วยกันรักษาสถาบันหลักที่เป็นเอกลักษณ์ที่ดีของสังคม ไทยเอาไว้ โดยรัฐบาลน่าจะมีนโยบายสาธารณะที่สำคัญต่อสวัสดิการทางสังคมในการเอื้อต่อ ประโยชน์และความสุขของครอบครัว จากข้อมูลที่ค้นพบในงานวิจัยที่ผ่านมาและครั้งล่าสุด จึงเสนอแนวคิดในนโยบายสาธารณะ “ครอบครัวเป็นสุขมั่นคงถ้วนหน้า” อย่างน้อย 6 ประการต่อไปนี้
    1. จัดทำฐานข้อมูลครอบครัวที่มีความประสงค์รับการสนับสนุนจากรัฐ อาศัยเกณฑ์ด้าน “เศรษฐสังคม” 2. จัดทำคูปองสินค้าและบริการ ด้าน อาหาร เครื่องนุ่งห่ม และเงินสนับสนุนที่จำเป็นเบื้องต้นสำหรับการเลี้ยงดูบุตรตั้งแต่ช่วงตั้ง ครรภ์จนถึงอายุ 5 ขวบ (คูปองนี้สามารถใช้ในห้างสรรพสินค้า หรือร้านสะดวกซื้อทั่วไปคู่กับบัตรประจำตัวประชาชนของพ่อหรือแม่ที่ระบุไว้ ในฐานข้อมูล)

    3. มีกฎหมายดูแลให้เด็กอายุไม่เกิน 10 ขวบมีผู้ปกครองอยู่บ้านด้วย โดยรัฐและกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจสนับสนุนให้ครอบครัวมีเวลาอยู่ร่วมกันมาก ขึ้น 4. เพิ่มการสนับสนุนสถานรับเลี้ยงเด็กที่ต้องการการเลี้ยงดูกลุ่มเด็กพิเศษ ของสังคม 5. เข้มงวดต่อการเคารพสิทธิ ลดปัญหาคุกคามสิทธิกลุ่มครอบครัวพิเศษเหล่านั้นอย่างจริงจังต่อเนื่อง 6. จัดทำโครงการประเมินผลติดตามการช่วยเหลือจากรัฐและเอกชนต่อคุณภาพเด็กและ ครอบครัวที่เข้าโครงการว่าเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ดีต่อสังคมได้มากน้อยเพียง ไร

     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ให้สัมภาษณ์ว่า ในวันที่ 5 ธันวาคม เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งในวันขึ้นปีใหม่ ในส่วนของตนเห็นว่า เราควรเริ่มต้นชีวิตกันใหม่ โดยมุ่งที่จะสร้างความรักความสามัคคี เพราะนับวันสภาพแวดล้อมเริ่มเปลี่ยนแปลงไปมาก ซึ่งสอดคล้องกับพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่แนะนำให้ประชาชนอยู่อย่างมีภูมิคุ้มกัน อย่าประมาท และรักษาสติ

     
  4. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    เช้านี้ผมเองก็ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ พระกัสสปะพุทธเจ้า พระโคดมพุทธเจ้า(หลายสัณฐาน) พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตธาตุในสมัยพุทธกาล มีพระมหากัสสปะ(พระธาตุนิมิตร) พระโมคคัลลา พระสารีบุตร พระสิวลี พระอุบาลี พระราหุลเป็นต้น รวมทั้งพระธาตุนิมิตรของคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร จำนวนมากพอสมควร มอบให้เพื่อนอีกท่านหนึ่งที่เดินทางมาทำงานที่แม่สอด ให้อัญเชิญไปถวายตามวัดป่าทางภาคอิสานต่อไปครับ

    และเมื่อราวทุ่มยี่สิบวันนี้ เพื่อนที่อยู่ลำปางก็ได้โทรมารายงานผลการถวาย ได้บอกว่าพระอาจารย์ที่ได้ถวายพระบรมฯให้นั้น ท่านได้บอกกับเพื่อนว่า เมื่อคืนท่านได้นิมิตรว่า จักมีคนนำแก้วสามดวงมาถวาย ซึ่งก็คือพระบรมฯ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระธาตุพระอรหันต์นั่นเอง และเพื่อนก็ได้ถวายจำนวนพอสมควร ท่านตั้งใจจะนำไปประดิษฐานในที่อื่นๆให้อีกด้วย

    โมทนาสาธุอีกครั้งนะครับ :)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2010
  5. jirautes

    jirautes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +575
    เช้านี้ผมเองก็ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ พระกัสสปะพุทธเจ้า พระโคดมพุทธเจ้า(หลายสัณฐาน) พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตธาตุในสมัยพุทธกาล มีพระมหากัสสปะ(พระธาตุนิมิตร) พระโมคคัลลา พระสารีบุตร พระสิวลี พระอุบาลี พระราหุลเป็นต้น รวมทั้งพระธาตุนิมิตรของคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร จำนวนมากพอสมควร มอบให้เพื่อนอีกท่านหนึ่งที่เดินทางมาทำงานที่แม่สอด ให้อัญเชิญไปถวายตามวัดป่าทางภาคอิสานต่อไปครับ

    และเมื่อราวทุ่มยี่สิบวันนี้ เพื่อนที่อยู่ลำปางก็ได้โทรมารายงานผลการถวาย ได้บอกว่าพระอาจารย์ที่ได้ถวายพระบรมฯให้นั้น ท่านได้บอกกับเพื่อนว่า เมื่อคืนท่านได้นิมิตรว่า จักมีคนนำแก้วสามดวงมาถวาย ซึ่งก็คือพระบรมฯ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระธาตุพระอรหันต์นั่นเอง และเพื่อนก็ได้ถวายจำนวนพอสมควร ท่านตั้งใจจะนำไปประดิษฐานในที่อื่นๆให้อีกด้วย

    ขออนุโมทนาในกุศลครั้งนี้ด้วย สาธุ สาธุ สาธุ
     
  6. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
  7. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    สวัสดียามดึกครับคุณ psombat, jirautes
    วันนี้เป็นวันดีที่ยาวมากครับเพิ่งกลับถึงบ้านเอง เอารูปและบุญมาฝากคุณพี่หนุ่มและเพื่อนๆ ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1280.JPG
      IMG_1280.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.2 MB
      เปิดดู:
      60
    • IMG_1314.JPG
      IMG_1314.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.6 MB
      เปิดดู:
      57
    • IMG_1331.JPG
      IMG_1331.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.2 MB
      เปิดดู:
      51
    • IMG_1335.JPG
      IMG_1335.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.1 MB
      เปิดดู:
      55
    • IMG_1349.JPG
      IMG_1349.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.9 MB
      เปิดดู:
      52
  8. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    ถ่ายรูปนี้ที่วัดบวรฯ มาฝากพี่หนุ่มและหลายๆคน น่าจะชอบเป็นพิเศษครับ


    ขอตัวไปนอนก่อนครับ วันนี้เหนื่อยมากเรย แต่ก็อิ่มใจ พรุ่งนี้ต้องตะเวนอีกหลายวัดเรยครับ:cool:
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1390.JPG
      IMG_1390.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.8 MB
      เปิดดู:
      53
    • IMG_1393.JPG
      IMG_1393.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.8 MB
      เปิดดู:
      51
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โมทนาสาธุครับ


    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]


    [​IMG] [​IMG]

    สวยมาก เยี่ยมมากครับ

    โมทนาสาธุครับ


    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิจัยหมอรามาแฉภัยเมียน้อยต้นเหตุรุนแรงในครอบครัว

    <style>p { margin: 0px; }</style> ศ.นพ.รณชัย คงสกนธ์ รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ในปี 2552-2553 ตนและทีมวิจัยได้ทำการศึกษาวเรื่อง “ทัศนคติของเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวกับการมีภรรยาน้อย” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการหน่วยจัดการความรู้ความรุนแรงในครอบครัว ศึกษาวิจัยเชิงสำรวจจากการเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ จำนวน 1,573 ราย เป็นเพศหญิง 884 ราย และเพศชาย 689 ราย ถึงทัศนคติต่อการมีภรรยาน้อย โดยแบ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างเพศชายมีความเห็นเกี่ยวกับสาเหตุของการมีภรรยาน้อย ว่า

    ร้อยละ 58.2 มีสาเหตุมาจากโอกาส สิ่งแวดล้อม ความใกล้ชิดสนิทสนม หรือความเห็นอกเห็นใจ ทำให้มีภรรยาน้อยโดยไม่ตั้งใจ รองลงมาคือร้อยละ 48.2 มีความรู้สึกเบื่อหน่ายที่เกิดขึ้นจากความจำเจที่อยู่ร่วมกับภรรยามานาน ขณะที่ร้อยละ 42.7 มาจากพฤติกรรมของภรรยา เช่น ติดสุรา หรือการพนัน หรือจู้จี้จุกจิก ขี้บ่น ใจร้อน ก้าวร้าว นอกจากนี้ร้อยละ 42 มาจากภรรยาไม่สนใจดูแลตนเอง ขณะที่ร้อยละ 41.4 มาจากความไม่รู้จักเพียงพอของผู้ชาย

    ศ.นพ.รณชัย กล่าวว่า นอกจากนั้นมีสาเหตุมาจากการให้ความร่วมมือของบุคคลที่สามที่ยินดีเป็นภรรยา น้อย ประกอบกับไม่มีความตื่นเต้นในชีวิตคู่โดยเฉพาะด้านเพศสัมพันธ์ ส่วนเพศหญิงมีความคิดเห็นเกี่ยวกับสาเหตุของการที่ผู้ชายมีภรรยาน้อยว่า มีสาเหตุมาจากความไม่รู้จักเพียงพอของผู้ชาย มากที่สุดถึงร้อยละ 77.8 รองลงมาเป็นโอกาส สิ่งแวดล้อม ความใกล้ชิดสนิทสนม หรือความเห็นอกเห็นใจ ทำให้มีภรรยาน้อยโดยไม่ตั้งใจ ร้อยละ 73.4 รวมทั้งมีความรู้สึกเบื่อหน่ายที่เกิดขึ้นจากความจำเจที่อยู่ร่วมกับภรรยามา นาน อย่างไรก็ตาม กลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นเพศชายมีความคิดเห็นต่อพฤติกรรมการมีหรือเป็นภรรยา น้อยว่า เป็นเรื่องส่วนตัวมากที่สุดถึงร้อยละ 59.4 ส่วนที่เห็นว่าไม่ถูกต้องตามหลักศีลธรรมพบเพียงร้อยละ 28.5 ขณะที่กลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นเพศหญิงมีความคิดเห็นต่อพฤติกรรมการมีหรือเป็น ภรรยาน้อยว่าไม่ถูกต้องตามหลักศีลธรรมมากที่สุด ร้อยละ 49.5 เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาร้อยละ 38.9


    จากการสำรวจดังกล่าว ส่วนใหญ่เห็นว่าผู้ชายที่เป็นสามีควรยุติชีวิตคู่กับภรรยาเดิมให้เรียบร้อย ก่อนที่จะมีภรรยาใหม่ และการที่ชายหรือหญิงมีครอบครัวแล้วไม่ควรมีความสัมพันธ์กับคนอื่น ขณะที่ผู้หญิงส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับการมีภรรยามากกว่าหนึ่งคนเหมือนในอดีต อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงในครอบครัวเป็นภัยเงียบของสังคมที่สามารถซ่อนเร้นได้อย่างแนบ เนียนโดยผู้ถูกกระทำไม่รู้ อาจแสดงออกทางคำพูด กิริยาท่าทาง อารมณ์ หรือพฤติกรรมได้ เช่น การนอกใจคู่สมรส โดยแอบมีความสัมพันธ์กับบุคคลที่สาม หรือแอบมีภรรยาน้อย

    ทั้งนี้ ข้อมูลจากผู้ที่ขอรับคำปรึกษาทาง 02-2011000 ของศูนย์นารีรักษ์ โรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่าร้อยละ 90 ปัญหาสามีมีภรรยาน้อยหรือนอกใจสูงเป็นอับดับหนึ่ง และเช่นเดียวกับที่มูลนิธิเพื่อนหญิงที่วิเคราะห์ได้ว่า สาเหตุที่ถูกทำร้ายร่างกาย การฆ่ากันของผู้ขอรับความช่วยเหลือมีปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาแอบ แฝงอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขที่ผู้หญิงต้องเข้ารับการรักษาเนื่องจากถูก สามีทำร้ายร่างกาย และจิตใจ


    ศ.นพ.รณชัย กล่าวว่า การมีภรรยาน้อยเป็นปัญหาที่สังคมจะต้องตระหนัก เพราะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความรุนแรงในครอบครัว หรือทำให้ครอบครัวแตกแยก ดังนั้น ต้องสร้างให้เกิดทัศนคติใหม่ว่า เรื่องการมีภรรยาน้อยไม่ใช่เรื่องที่ผู้ชายสามารถกระทำได้ เนื่องจากส่งผลกระทบต่อสถาบันครอบครัวโดยตรง ขณะเดียวกัน ปัญหาผู้หญิงถูกผู้ชายหลอกว่าไม่มีครอบครัวถือเป็นปัญหาสำคัญ เนื่องจากพอทราบก็ตกเป็นภรรยาน้อยโดยไม่รู้ตัว สิ่งเหล่านี้ควรปรับเปลี่ยนระบบราชการในเรื่องสถานภาพของผู้ชาย โดยเฉพาะทะเบียนราษฎร์ ควรเปิดเผยได้ และในความเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งอยู่ภายใต้ระเบียบข้าราชการพลเรือน ได้มีบทข้อบังคับที่เกี่ยวข้องคือพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ระเบียบข้าราชการ พลเรือน พ.ศ.2551 มาตรา 82 กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องกระทำการอันเป็นข้อปฏิบัติดังต่อไปนี้ (10) ต้องรักษาชื่อเสียงของตน และรักษาเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนมิให้เสื่อมเสีย ถ้าข้าราชการพลเรือนผู้ใดไม่ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติ ผู้นั้นเป็นผู้กระทำผิดวินัย เช่น กรณีข้าราชการมีภรรยาน้อย ภรรยาหลวงสามารถร้องเรียนว่ากระทำผิดวินัยได้

    “นอกจากนี้ มาตรา 83 กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องไม่กระทำการใดอันเป็นข้อห้ามดังต่อไปนี้ (8) ต้องไม่กระทำการอันเป็นการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศตามที่กำหนดในกฎ ก.พ.ถ้าข้าราชการพลเรือนผู้ใดฝ่าฝืนข้อห้าม ผู้นั้นเป็นผู้กระทำผิดวินัย เช่น กรณีผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งเป็นหญิงถูกผู้บังคับบัญชาล่วงละเมิดหรือคุกคาม ทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นกระทำการด้วยการสัมผัสทางกาย วาจา อากัปกิริยา สื่อสาร หรือแสดงพฤติกรรมอื่นใดที่ส่อไปในทางเพศ ผู้ถูกกระทำนั้นสามารถร้องเรียนการกระทำดังกล่าวว่าเป็นการกระทำผิดวินัยได้ เช่นกัน” ศ.นพ.รณชัย กล่าว

     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 4 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong</td></tr></tbody></table>

    อรุณสวัสดิ์ยามเช้า วันจันทร์สดใสครับ


    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สิ้นสุดการรอคอย 'เบอร์เดียวใช้ทุกค่าย'


    ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือกว่า 69 ล้านเลขหมาย รอกันมานานกว่า 2 ปี กับบริการคงสิทธิโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือ นัมเบอร์พอร์ท อะบิลิตี้

    ...แม้วันนี้จะสิ้นสุดการรอคอย แต่ยังมีข้อจำกัด!!!

    นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร กรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เปิดเผยภายหลังตรวจความพร้อมบริษัท ศูนย์ให้บริการการคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์ จำกัด หรือ เคลียริ่งเฮ้าส์ เมื่อวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า ผู้ประกอบการทั้ง 5 ราย ประกอบด้วย บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค บริษัท ทรูมูฟ จำกัด บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) จะเปิดให้บริการคงสิทธิเลขหมายในวันที่ 5 ธ.ค.นี้ เป็นวันแรก

    “การเปิดให้บริการในระยะแรก แต่ละบริษัทจะเปิดรับใบคำขอและทำ รายการโอนย้ายเลขหมาย วันละ 100 เลขหมาย คิดค่าบริการ 99 บาท กำหนดสถานที่รับบริษัทละ 5 แห่ง รวมเป็น 25 แห่ง ในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งลูกค้าที่ประสงค์จะทำการโอนย้ายเลขหมายให้เดินทางไปทำรายการที่ผู้ให้ บริการเลขหมายที่ต้องการย้ายไป พร้อมกับ นำเอกสารยืนยันแสดงความเป็น เจ้าของเลขหมายที่ต้องการย้าย เช่น บัตรประชาชน ใบเสร็จค่าบริการปัจจุบัน เป็นต้น” นายสุรนันท์ กล่าว

    ทั้งนี้การเปิดให้บริการในช่วงแรกจำกัดพื้นที่การให้บริการเฉพาะเขตกรุงเทพฯ ที่แต่ละผู้ให้บริการจะกำหนดจุดรับคำร้องรายละ 5 แห่ง ในรูปแบบใครมาแสดงความจำนงก่อนมีสิทธิ ก่อน โดยผู้ใช้บริการที่ต้องการเปลี่ยนค่ายให้ไปแสดงความจำนงที่ค่ายใหม่ เช่น ดีแทคจะย้ายไปเอไอเอส ให้ไปยื่นความต้องการที่เอไอเอส และหากไม่มีปัญหาใด ๆ การโอนย้ายข้อมูลทั้งหมดจะเสร็จภาย ใน 3 วัน และผู้ที่ย้ายค่ายต้องอยู่ ในระบบใหม่ 3 เดือน ก่อนจะเปลี่ยนไปยังค่าย ใหม่อีกครั้ง คาดว่าไม่เกินเดือน ม.ค. 2554 จะขยายได้ครอบคลุมทั่วประเทศ

    นายปรีย์มน ปิ่นสกุล ประธานกรรมการ บริษัท เคลียริ่งเฮ้าส์ กล่าวว่า สิ่งที่น่าจะเป็นห่วงคือ กว่า 90% ของลูกค้าในระบบเติมเงิน (พรีเพด) ไม่ได้จดทะเบียน หรือใช้ชื่อจดทะเบียนไม่ตรงกับเลข หมายที่ถืออยู่ ซึ่งจะทำให้การโอนย้ายเลขหมายเกิดปัญหาได้ ดังนั้นต้อง ไปดำเนินการ จดทะเบียนกับ โอปเรเตอร์รายเดิมให้ถูกต้องเพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของเลขหมายที่ถืออยู่ ก่อนนำมายื่นคำร้อง ขณะที่ลูกค้าในระบบจดทะเบียน (โพสต์ เพด) ต้องทำการชำระค่าใช้บริการกับ โอปเรเตอร์เดิมให้เรียบร้อยก่อน

    อยากย้ายไปเป็นสาวกค่ายผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่รายไหน อย่าลืมเคลียร์ค่าใช้จ่าย และจดทะเบียนเลขหมายให้เรียบร้อย เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน.
    น้ำเพชร จันทา

    namphetc@dailynews.co.th



    Daily News Online > หน้าไอที-วิทยาการ > สิ้นสุดการรอคอย 'เบอร์เดียวใช้ทุกค่าย'

    .



    .



    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เซี่ยงจวงอู่เจี้ยน อี้ไจ้เพ่ยกง : เซี่ยงจวงรำดาบ เจตจำนงอยู่ที่เพ่ยกง <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">1 ธันวาคม 2553 15:15 น.</td></tr></tbody></table>
    《项庄舞剑,意在沛公》

    项庄 (xiàngzhuāng) อ่านว่า เซี่ยงจวง เป็นชื่อบุคคลในประวัติศาสตร์จีนมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องและขุนพลของเซี่ยงอี่ว์
    舞(wǔ) อ่านว่า อู่ แปลว่า รำ, ร่ายรำ
    剑 (jiàn) อ่านว่า เจี้ยน แปลว่า ดาบ
    意 (yì) อ่านว่า อี้ แปลว่า จุดประสงค์, เจตจำนง
    在 (zài) อ่านว่า ไจ้ แปลว่า อยู่, อยู่ที่
    沛公 (pèi gōng) อ่านว่า เพ่ยกง หมายความถึงหลิวปัง

    <table align="Left" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="220"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="220"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline"><center>ภาพจาก gb.cri.cn/1321/2009/03/02/542s2443429.htm</center></td></tr> </tbody></table></td> <td width="5">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ในยุคปลายของราชวงศ์ฉิน (221-202 ปี ก่อนคริสต์ศักราช) หลิวปังและเซี่ยงอี่ว์ (ฌ้อ ปาอ๋อง) ซึ่งเป็นแกนนำในการต่อต้านราชวงศ์ฉิน ต่างยกกองทัพเข้าโจมตีนครเสียนหยาง (เมืองหลวงของราชวงศ์ฉิน ปัจจุบันอยู่ในมณฑลส่านซี ใกล้กับเมืองซีอาน) ฉู่หวยหวังผู้นำในการก่อกบฎให้คำมั่นสัญญากับ หลิวปังและเซี่ยงอี่ว์ว่า หากผู้ใดสามารถรุกเข้าเมืองหลวงฉินได้ก่อนก็จะได้ครองตำแหน่งฮ่องเต้องค์ถัด ไป

    ปี 207 ก่อนคริสต์ศักราช เซี่ยงอี่ว์ได้ชัยเหนือกองทัพใหญ่ของราชวงศ์ฉินที่เมืองจี้ว์ลู่ ขณะที่หลิวปังสามารถนำกองทัพบุกเข้ากุมสถานการณ์ในเมืองเสียนหยางได้ก่อน อย่างไรก็ตาม หลิวปังกลับไม่ได้รีบสถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้ โดยจัดวางกองกำลังคุมเชิง และปิดล้อมสถานที่สำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพระราชวังและท้องพระคลังของราชวงศ์ฉินเอาไว้

    เซี่ยงอี่ว์เมื่อได้ยินข่าวว่าหลิวปังสามารถบุกเข้าเมืองเสียนหยาง ได้ก่อน ด้วยความที่เป็นขุนศึกที่มีนิสัยใจคอเย่อหยิ่ง จองหองก็รู้สึกโมโหโกรธาเป็นอย่างยิ่ง โดยให้สัตย์สาบานไว้ว่าเมื่อยกทัพถึงเมืองเสียนหยางจะต้องจัดการกับหลิวปัง ให้จงได้ ขณะที่ฟ่านเจิง เสนาบดีของเซี่ยงอี่ว์ก็ให้คำแนะนำเช่นเดียวกันว่า “กาลก่อนหลิวปังเป็นคนโลภมาก เจ้าชู้ ทว่า ภายหลังจากบุกตีเข้าเมืองเสียนหยางสำเร็จแล้ว เขากลับไม่สนใจทรัพย์สินเงินทอง หญิงงามก็ไม่เหลียวแลเช่นกาลก่อน แสดงว่าหลิวปังมองการณ์ไกลหวังจะก้าวขึ้นเป็นใหญ่ เราควรต้องอาศัยโอกาสนี้กำจัดหลิวปังเสียก่อน”

    ในเชิงการรบทัพจับศึกเป็นที่ทราบกันดีว่าฝีมือของหลิวปังนั้นมิอาจ เทียบได้กับเซี่ยงอี่ว์ อีกทั้งกำลังทหารก็ห่างกันหลายขุม ดังนั้นหลิวปังได้ทราบข่าวว่าเซี่ยงอี่ว์ต้องการจะยกกำลังทหารกว่า 4 แสนเข้ามาจัดการกับตนก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก จึงปรึกษากับเสนาธิการและได้ข้อสรุปว่า เมื่อเซี่ยงอี่ว์นำทัพมาถึงตำบลหงเหมิน ตนก็จะเข้าพบเพื่อหารือกับเซี่ยงอี่ว์เพื่อคลี่คลายสถานการณ์และปรับความ เข้าใจ

    ต่อมา หลิวปังจึงได้นำจางเหลียงและนายพลฝานไคว่เดินทางไปถึงตำบลหงเหมินเพื่อพบปะ กับเซี่ยงอี่ว์ในงานเลี้ยงที่เซี่ยงอี่ว์เลี้ยงต้อนรับและขุดหลุมพรางเอาไว้ (งานเลี้ยงดังกล่าวถูกจดจารึกไว้ในประวัติศาสตร์จีนในชื่อ “งานเลี้ยงที่หงเหมิน”) เมื่อได้พบหน้ากันหลิวปังก็พยายามแก้ตัวว่า กองทัพของตนไม่ได้บุกเข้าไปในตัวเมืองเสียนหยาง เพียงแต่สั่งให้กำลังเข้าดูแลบริเวณชานเมืองเท่านั้นเพื่อรอคอยเซี่ยงอี่ว์ ให้เดินทางมาครองตำแหน่งฮ่องเต้ เมื่อได้ยินดังนั้นเซี่ยงอี่ว์ก็เกิดความลังเลและไม่ได้ส่งสัญญาณให้มือ สังหารที่ซุ่มอยู่ลงมือจัดการจับหลิวปังดังที่ได้เตรียมการณ์เอาไว้

    ด้านฟ่านเจิง เสนาบดีของเซี่ยงอี่ว์เมื่อเห็นเจ้านายของตนเองเกิดอาการลังเล โดยแม้จะมีการสะกิดเตือนให้เซี่ยงอี่ว์ลงมือฆ่าหลิวปังเสียก็ไม่เป็นผล จึงสั่งการให้นายพลที่ชื่อเซี่ยงจวงแสร้งเป็นออกแสดงการรำดาบในวงงานเลี้ยง รับรอง โดยเมื่อสบโอกาสให้ลงมือสังหารหลิวปังเสีย

    ทว่า เซี่ยงจวงไม่ทันได้ลงมือ จางเหลียงซึ่งเป็นเสนาธิการของหลิวปังเห็นสถานการณ์คับขันยิ่งจึงรีบเรียก ให้นายพลฝานไคว่ออกมารับมือเพื่อปกป้องหลิวปังก่อน โดยฝานไคว่ถือดาบและโล่พุ่งเข้ามาในวงงานเลี้ยง พร้อมกับกล่าวชื่นชมหลิวปังต่างๆ นาๆ ว่า “หลิวปังบุกเข้าเมืองเสียนหยางก่อน แต่กลับไม่ได้ยึดเมืองและตั้งตนเป็นฮ่องเต้แต่อย่างใด เฝ้ารักษาเมืองเอาไว้เพื่อรอคอยให้ท่านเดินทางมาเป็นฮ่องเต้ ลูกน้องที่สร้างคุณงามความดี มีความสามารถเช่นนี้ เซี่ยงอี่ว์ท่านจะหาได้จากที่ใดอีก”

    เซี่ยงอี่ว์เมื่อได้ฟังก็มิอาจทำเช่นไรได้ เพียงยกจอกสุราขึ้นกล่าวชมเชย จางเหลียงกับหลิวปังจึงรีบยกจอกสุราขึ้นดื่มโดยพลัน พร้อมหาข้ออ้างปลีกตัวออกจากวงงานเลี้ยงเพื่อไปเข้าห้องน้ำ ก่อนเดินทางกลับฐานที่มั่นของตนเองในทันที

    ด้านฟ่านเจิงเมื่อทราบข่าวว่า หลิวปังกับลูกน้องหนีหน้าเดินทางกลับไปแล้วก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างมากที่ เซี่ยงอี่ว์ไม่กล้าตัดสินใจ ทั้งๆ ที่หลิวปังเปรียบเสมือนลูกไก่ในกำมือแท้ๆ กลับปล่อยให้หนีรอดไป จึงกล่าวว่า “เซี่ยงอี่ว์มิอาจเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จได้ จงคอยดูต่อไปว่าผู้ที่ก้าวขึ้นเป็นฮ่องเต้จะต้องเป็นหลิวปัง”

    สำนวน “เซี่ยงจวงรำดาบ เจตจำนงอยู่ที่เพ่ยกง” หมายความถึง บุคคลที่คำพูดกับการกระทำไม่ตรงกัน หรือ กระทำการใดโดยมีวาระซ่อนเร้น ซึ่งตรงกับสำนวนไทยที่ว่า “ปากไม่ตรงกับใจ”

    หมายเหตุ : ใน เวลาต่อมาเซี่ยงอี่ว์ได้ตั้งตนเป็นฌ้อปาอ๋องตะวันตก และแต่งตั้งหลิวปังไปเป็นเจ้าเมืองฮั่นในเขตทุรกันดาร เมื่อสบโอกาสที่เซี่ยงอี่ว์ยกทัพออกไปรบกับรัฐอื่น หลิวปังก็สั่งกำลังทหารเข้ายึดเมืองเสียนหยาง และประกาศตัวเป็นศัตรูกับเซี่ยงอี่ว์อย่างเต็มตัว อย่างไรก็ตามด้วยกุศโลบายในการบริหารบ้านเมืองของหลิวปังที่เหนือกว่า เซี่ยงอี่ว์จึงทำให้ทัพของหลิวปังเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ อิทธิพลในหมู่ประชาชนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่กองกำลังของเซี่ยงอี่ว์กลับอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนในที่สุด ในปี 202 ก่อนคริสต์ศักราช หลิวปังได้กองทัพไปปิดล้อมกองกำลังของเซี่ยงอี่ว์จนแตกพ่ายไม่เป็นท่า แม้ว่า เซี่ยงอี่ว์ได้ตีฝ่าวงล้อมออกไปได้แต่ก็ถูกทหารของหลิวปังไล่ล่า จนต้องฆ่าตัวตายที่ริมแม่น้ำอูเจียง (ปัจจุบันอยู่ในเขตมณฑลอันฮุย) ขณะที่หลิวปังก็ตั้งตนเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงฮั่นนามว่า ฮ่องเต้ฮั่นเกาจู่

    -----------------------------

    ขณะนี้สุภาษิตในคอลัมน์ "นิทานคติ" ได้ถูกนำมารวมเล่มเป็นหนังสือรวมเรื่องเล่าจากสุภาษิตจีนแล้ว

    [​IMG]

    รายละเอียดหนังสือ
    ชื่อหนังสือ คำจีนเขียนชีวิต (成语故事)
    สำนักพิมพ์ บ้านพระอาทิตย์ (ติดต่อ โทร 0-2587-0234 # 136)
    ผู้แปล/เรียบเรียง ดวงพร วงศ์ชูเครือ
    ISBN 978-616-536-033-3
    พิมพ์ครั้งแรก กรกฎาคม พ.ศ. 2553
    ราคา 150 บาท


    .

    http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9530000161345

    .



    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิธีทำให้ความทุกข์ “หมดอายุ”


    ทุกข์ทางกายเมื่อเกิดขึ้นแล้ว หากได้รับการเยียวยาอย่างถูกต้อง ก็หายได้ไม่ยากนัก ส่วนทุกข์ทางใจนั้น หากเยียวยาไม่ถูกต้องอาจกลายเป็นปัญหาของชีวิตอย่างยืดเยื้อ....

    เรื่อง : ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย

    ความทุกข์มี 2 รูปแบบ
    หนึ่ง คือ ทุกข์ทางกาย (กายิกทุกข์)
    สอง คือ ทุกข์ทางใจ (เจตสิกทุกข์)
    ทุกข์ทางกายเมื่อเกิดขึ้นแล้ว หากได้รับการเยียวยาอย่างถูกต้อง ก็หายได้ไม่ยากนัก ส่วนทุกข์ทางใจนั้น หากเยียวยาไม่ถูกต้องอาจกลายเป็นปัญหาของชีวิตอย่างยืดเยื้อเรื้อรังยาวนาน ทั้งยังอาจส่งผลกลายเป็นทุกข์ทางกายได้อีกต่างหาก
    ในความทุกข์สองอย่างนี้ ความทุกข์ที่น่ากลัวที่สุด คือ ทุกข์ทางใจ
    เพราะเมื่อใครก็ตามถูกความทุกข์ครอบงำจิตใจแล้ว ต่อให้เขามีวัตถุพร้อมพรั่งแค่ไหน มีชื่อเสียง อำนาจ กามารมณ์ พร้อมพรั่งเพียงไร สมบัติบรรดามีทั้งหมด ถึงมีก็เหมือนไม่มี เพราะใจที่ถูกความทุกข์ครอบงำนั้น จะไม่อยู่ในสภาวะพร้อมต่อการบริโภคสมบัติทั้งปวง

    [​IMG]

    ความจริง ความทุกข์ทางใจนั้น มีธรรมชาติเป็น “อนิจจัง” คือ ไม่เที่ยง เกิดขึ้น ดำรงอยู่ ชั่วคราว แล้วก็ดับไป แต่ทำไมเราจึงรู้สึกเหมือนกับว่า ความทุกข์ที่เกิดกับใจแต่ละเรื่องนั้น ยากที่จะสลัดออกเหลือเกิน
    บางคนพยายามสลัดอย่างไรก็สลัดไม่ออก เมื่อหมดหนทาง จึงต้องพึ่งยากล่อมประสาท ยานอนหลับ หรือยาเสพติด เพื่อให้ลืมทุกข์ แต่เมื่อกินยาบ่อยๆ ขึ้น ในที่สุด จึงสร้างทุกข์เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง ด้วยการตกเป็นทาสของยา หรือได้รับผลข้างเคียงจากการกินยา จนร่างกายทรุดโทรม มีโรคแทรกซ้อน
    ความทุกข์ที่เกิดกับใจนั้น หากรู้วิธีเยียวยา ก็ไม่เป็นปัญหายิ่งใหญ่แต่อย่างใด แต่ถ้าเยียวยากันไม่เป็น ไม่ถูกวิธี ก็ต้องสังเวยชีวีให้กับความทุกข์
    ในทางธรรม ท่านกล่าวว่า ความทุกข์ทางใจอาศัยการหวนระลึกถึงอดีตที่จบไปแล้วอย่างหนึ่ง กับมัวกังวลถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอีกอย่างหนึ่ง
    คนที่ไม่รู้กลไกการทำงานของใจ พอใจคิดถึงอดีต ก็ทุกข์ซ้ำทุกข์ซากกับซากของอดีตที่ตนขุดคุ้ยขึ้นมาย้ำคิดย้ำทำเสมือนควาย เคี้ยวเอื้อง หรือเพียรคิดถึงอนาคตซึ่งยังไม่เกิดขึ้นด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง จนจิตสูญเสียปกติภาพ ประสาทเขม็งเกลียว สมองตึงเครียด กล้ามเนื้อเกร็ง เมื่อกังวลมาก จิตก็เหนื่อย กายก็หนัก พลอยส่งผลต่อระบบการทำงานของอวัยวะส่วนต่างๆ จนรวนไปหมด ในบางคนก็ถึงกับป่วยไข้ ถึงขั้นกินไม่อร่อย นอนไม่หลับ หน้าตาอิดโรย ผิวพรรณวรรณะหมองคล้ำ ไม่สดใสอย่างที่ควรจะเป็น
    แต่สำหรับผู้ที่รู้ทันกระบวนการทำงานของจิต ท่านจะไม่ยอมปล่อยให้จิตหลุดเข้าไปสู่โลกของอดีต และอนาคต อย่างขาดสติ เมื่อจิตคิดขึ้นมาถึงอดีต ก็รู้ทัน เมื่อจิตหมกมุ่นถึงอนาคต ก็รู้ทัน ทันทีที่รู้ทัน ความคิดที่ฟุ้งไปในอดีต หรืออนาคต ก็จะดับลงทันที พอความคิดถึงอดีตและอนาคตดับ ก็เท่ากับว่า อายุของความทุกข์ซึ่งมาพร้อมกับอดีตและอนาคต ก็พลอยจบสิ้นลงด้วย
    ผู้ที่ไม่หลุดเข้าไปสู่โลกของความคิดในอดีตและอนาคต ท่านเรียกว่า ผู้อยู่กับปัจจุบัน
    อยู่กับปัจจุบัน คือ มีความตื่นรู้อยู่กับสิ่งที่กำลังทำอยู่ในขณะนั้นๆ อย่างเต็มเปี่ยม จนจิตไม่มีช่องที่จะฟุ้งไปในอดีตหรืออนาคต เมื่อจิตไม่ตกเข้าสู่วังวนของอดีต และไม่ฟุ้งไปในอนาคต ทว่าจ่อจดอยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ณ ขณะนั้นจริงๆ จิตจึงผ่อนคลาย สดชื่น ผ่องใส เบิกบาน เมื่อจิตดี กายก็ดีตาม เพราะจิตเป็นอย่างไร กายก็เป็นอย่างนั้น
    การฝึกอยู่กับปัจจุบัน จึงเป็นศิลปะของการพรากจิตออกมาจากความทุกข์
    ใครก็ตามที่ตื่นรู้อยู่เสมอกับทุกเรื่องที่คิด ทุกกิจที่ทำ ทุกคำที่พูด ทุกครั้งที่เคลื่อนไหว คนนั้น ก็เหมือนมีชีวิตอยู่บนสวนสวรรค์อันรื่นรมย์
    สวรรค์ เป็นเรื่องของชีวิตนี้ และเราสัมผัสได้ในขณะจิตนี้ได้ทันที ขอเพียงเราไม่เผลอหลุดเข้าไปอยู่ในอดีตและอนาคตเท่านั้น สวรรค์ก็จะเปิดเผยตัวตนอยู่ตรงหน้าอย่างแจ่มชัด


    .............................

    พระพุทธองค์ทรงเล่าไว้ในพระสูตรหนึ่งว่า
    ชายคนหนึ่งเดินทางอยู่กลางป่า เผอิญเจอเสือกลางทาง จึงวิ่งหนีสุดชีวิต เมื่อเขาวิ่งมาจนถึงหน้าผา ไม่รู้จะหนีต่อได้อย่างไร จึงตัดสินใจโหนเถาวัลย์ลงไปห้อยต่องแต่งอยู่ตรงหน้าผา เขามองขึ้นมาข้างบนเห็นเสือตัวเดิมกำลังจ้องตาเขม็ง พอมองลงไปข้างล่างนอกจากจะเห็นก้นเหวลึกสุดหยั่งแล้ว ยังเห็นเสืออีกตัวหนึ่งยืนจ้องมองเขาด้วยใบหน้ามุ่งร้ายหมายชีวิต เขาไม่รู้จะทำอย่างไร จึงโหนเถาวัลย์ค้างอยู่อย่างนั้น ระหว่างที่นาทีชีวิตกำลังดำเนินไปอย่างใจหายใจคว่ำนั้นเอง ยังมีหนูอีกกสองตัว ตัวหนึ่งขาว ตัวหนึ่งดำ กำลังใช้ฟันแทะเถาวัลย์ที่เขาโหนอยู่พอดี
    ชายคนนั้นนึกไม่ออกว่า จะจัดการอย่างไรกับสถานการณ์ในขณะนั้น ขณะที่กำลังอกสั่นขวัญแขวนอยู่ท่ามกลางนาทีแห่งชีวิต ก็พอดีเขาเหลือบไปเห็นผลไม้พวงหนึ่งห้อยระย้าลงมาพร้อมกับเถาวัลย์ที่ตนโหน อยู่ นาทีนั้นเขารู้สึกหิวกระหายขึ้นมาอย่างฉับพลัน จึงคว้าผลไม้มากัดกินดับกระหาย พลันที่รสผลไม้ต้องชิวหาประสาท เขาถึงกับอุทานกับตัวเองว่า
    “แหม - - มันช่างอร่อยอะไรเช่นนี้ !”

    http://www.posttoday.com/lifestyle/health-me/ใจ/63399/วิธีทำให้ความทุกข์-หมดอายุ

    .



    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พรอันประเสริฐ


    งานศพของคนในเมืองใหญ่ จึงเป็นงานสวยงาม เป็นงานเกียรติยศ เป็นงานหรูหรา เป็นงานที่มองไม่เห็นว่า คนที่นอนอยู่ในโลง จะสอนคนที่อยู่ข้างนอกได้อย่างไร

    เรื่อง : ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย
    เคยสังเกตบ้างไหมว่า ทำไมเมื่อมีคนตายลง จึงนิยมนำศพไปตั้งสวดพระอภิธรรม หรือทำพิธีกรรมเกี่ยวกับศพกันที่วัด ตายแล้วทำไมไม่เผาทันที
    บางคนอาจตอบแบบง่ายๆ ว่า ก็เพื่อให้พระสวด
    บางคนอาจตอบว่า ก็เพราะศพไม่ควรจะอยู่ในบ้านร่วมกับคน
    บางคนอาจตอบว่า ขืนจัดงานศพที่บ้าน ก็คงถูกผีหลอก


    [​IMG]


    เหตุผลที่แท้ที่นิยมสวดศพกันในวัด ก็เพราะท่านต้องการให้พระที่วัดใช้ศพเป็นเครื่องมือในการเจริญวิปัสสนา กรรมฐานยิ่งศพอยู่ในสภาพเน่าเหม็น อุจาด มีหมู่หนอนชอนไช ยิ่งเป็นอารมณ์กรรมฐานชั้นดี ยิ่งพิจารณายิ่งทำให้เห็นถึงความไม่เที่ยง ไม่ทน ไม่แท้ของสังขาร

    ยิ่งพิจารณายิ่งตระหนักถึงสัจธรรมที่ว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา”

    การเผาศพในอินเดีย จึงนิยมทำกันกลางแจ้ง วางศพบนท่อนฟืน จากนั้นจุดไฟเผาอย่างเปิดเผย ญาติๆ ยืนรายล้อม ดูศพของคนอันเป็นที่รักค่อยๆ มอดไหม้ไปต่อหน้าต่อตา ศพที่กำลังถูกเผาจนป่นเป็นผงคลีธุลีดิน จะแปรรูปเป็น “อาจารย์ใหญ่” ให้กับผู้ที่ยืนดูอย่างแจ่มกระจ่าง

    ชีวิตสุดท้ายก็จบลงตรงนี้ (ความตาย)
    ทุกชีวิตจะเป็นอย่างนี้ (เกิดขึ้น เปลี่ยนแปร แตกดับ)
    ทุกชีวิตจะเหลือแค่นี้ (ผงคลีธุลีดิน)
    พระหลายรูปในสมัยพุทธกาล บรรลุธรรมเมื่อได้พิจารณาอสุภซากของผู้ตาย พระหลายรูปเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ปล่อยลง ปลงเป็น เห็นธรรม งานศพกลางแจ้ง จึงเป็นนิทรรศการที่น่าดูชมที่สุด
    งานศพจึงเป็นงานที่ควรทำอย่างเปิดเผยที่สุด เพราะยิ่งเปิดเผย ยิ่งก่อเกิดสติปัญญาแก่ผู้ที่ยังอยู่ นับเป็นโชคดีที่วันนี้ เรายังพอมีงานศพกลางแจ้งให้เห็นอยู่บ้าง แต่ในเมืองใหญ่ จะหางานศพกลางแจ้งให้ดูชม ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคนในเมืองใหญ่ ไม่ชอบความจริง ไม่อยากฟังความจริง แม้จะรู้ดีว่า วันหนึ่งความจริงสุดท้าย คือ ความตายจะเกิดขึ้นกับตัวเองด้วยเช่นกัน
    แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ไม่อยากฟัง ไม่อยากรู้ ไม่อยากพบ ชั้นแต่คำว่า “ตาย” ก็ไม่ควรนำมาพูดในชีวิตประจำวัน
    งานศพของคนในเมืองใหญ่ จึงเป็นงานสวยงาม เป็นงานเกียรติยศ เป็นงานหรูหรา เป็นงานที่มองไม่เห็นว่า คนที่นอนอยู่ในโลง จะสอนคนที่อยู่ข้างนอกได้อย่างไร ด้วยท่าทีเช่นนี้เองที่ต่อให้สัจธรรมเปิดเผยตัวเองอยู่ตรงหน้า คนในเมืองใหญ่ ก็ไม่อาจมองเห็น

    ในเมื่อตั้งใจที่จะปิดหู ปิดตา ปิดใจตัวเองจากสัจธรรมสุดท้าย พวกเขาจึงพลาดโอกาสที่จะได้เรียนรู้ความหมายของการดำรงอยู่อย่างดีที่สุด
    ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่คนซึ่งล้วนแต่จะตายในอนาคต กลับไม่อยากสบตากับความตาย ทั้งยังมองความตายว่า เป็นเรื่องอัปมงคล !
    มหาเศรษฐีคนหนึ่งไปทำบุญที่วัด เมื่อทำบุญเสร็จแล้ว จึงขอให้หลวงพ่อเขียนคำอวยพรให้มีความสวัสดีมีชัยตลอดไป
    หลวงพ่อหยิบพู่กัน กระดาษ แล้วตวัดข้อความที่เป็นพรสุดวิเศษ
    เศรษฐีเฝ้ามองด้วยใจระทึก เมื่อเขียนเสร็จหลวงพ่อก็ยื่นกระดาษคำอวยพรให้ แต่เมื่อได้รับแล้ว เศรษฐีกลับโกรธสุดขีด เพราะในกระดาษนั้น มีคำอวยพรที่เขียนว่า
    “ขอให้พ่อตาย ลูกตาย แล้วหลานก็ตาย”
    “หลวงพ่อ ผมขอให้เขียนคำอวยพรให้ครอบครัวของกระผม แล้วนี่มันอะไรกัน ทำไมท่านจึงเขียนข้อความที่เป็นอัปมงคลเช่นนี้” เศรษฐีตำหนิหลวงพ่ออย่างหัวเสีย
    หลวงพ่อยิ้ม วางพู่กัน พลางอธิบาย

    “อาตมาจะบอกให้ สิ่งที่เขียนให้นี้ ไม่ใช่เรื่องอัปมงคล แต่มันคือพรแสนวิเศษ โยมลองคิดดูสิ ถ้าลูกของโยมตายก่อนตัวโยม โยมจะเสียใจขนาดไหน ถ้าหลานของโยมตายก่อน ทั้งโยมและลูกจะเสียใจขนาดไหน แต่ถ้าทุกคนในครอบครัวตายไปตามลำดับอย่างเป็นธรรมชาติอย่างที่อาตมาเขียนให้ นี้ ก็นับเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต เช่นนี้ ยังไม่นับเป็นพรที่แสนวิเศษอีกหรือ ?”


    พรอันประเสริฐ

    .

    http://www.posttoday.com/lifestyle/health-me/ใจ/62214/พรอันประเสริฐ

    .



    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ


    เรื่องเกิดขึ้นที่อินเดีย สมัยโบราณที่เมืองพาราณสี ในยุคที่พาราณสีรุ่งเรืองนั้นถือว่าเมืองพาราณสีเป็นเรือนเพาะชำศาสนาของโลก มีปราสาทอยู่ 2 หลังหันหน้าเข้าหากัน

    เรื่อง ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย

    เรื่องเกิดขึ้นที่อินเดีย สมัยโบราณที่เมืองพาราณสี ในยุคที่พาราณสีรุ่งเรืองนั้นถือว่าเมืองพาราณสีเป็นเรือนเพาะชำศาสนาของโลก มีปราสาทอยู่ 2 หลังหันหน้าเข้าหากัน ทางเดินตรงกลางนั้นมุ่งไปสู่แม่น้ำคงคา นักบุญก็อยู่แถวนั้น คนบาปก็อยู่แถวนั้น เทวาก็อยู่ย่านนั้น ซาตานก็อยู่ย่านนั้น
    มีตึกหลังหนึ่งทั้งเทวาและซาตานอยู่ใกล้กันมาก ก็เกิดกิจการประชันกันซึ่งๆ หน้า นั่นก็คือปราสาทหลังหนึ่งเป็นสำนักนางโลม สมัยนั้นเขาเรียกว่านครโสเภณี แปลว่าหญิงงามเมือง หญิงงามเมืองในสมัยก่อนมีศักดิ์ศรีมากเท่ากับเป็นนางสาวไทย คือเป็นนางงามของประเทศนั้นๆ ใครได้รับการสถาปนาเป็นหญิงงามเมืองต้องถือว่าเป็นเกียรติคุณสูงสุด

    [​IMG]

    ปราสาทอีกหลังหนึ่งเป็นของหลวงปู่ฤๅษีเปิดกิจการเรียกลูกค้าแข่งกัน ฝ่ายหนึ่งเรียกลูกค้าที่เป็นฝ่ายโลก ฝ่ายหนึ่งก็เรียกลูกค้าที่เป็นฝ่ายธรรม ธุรกิจดีด้วยกันทั้งคู่ คือคนที่ไปเที่ยวซ่องนางโลมแล้วถูกแมงดาไล่ซ้อม ก็มาหาหลวงปู่ฤๅษีให้ช่วยสะเดาะเคราะห์ เรียกว่าธุรกิจก็เติบโตมาด้วยกัน ทุกวันจะมีคนมาใช้บริการสองสำนักนี้อย่างคับคั่ง ธุรกิจเจริญรุ่งเรืองเรียกว่าไม่ต้องทำการตลาด ไม่ต้องประชาสัมพันธ์

    เจ้า สำนักทั้งสองมีปฏิกิริยาต่อกันอย่างไรนั้น ไม่มีใครรู้ นักท่องเที่ยวทุกคนที่มาแถวนั้นมักจะถามเสมอว่าทำไมซ่องนางโลมกับสำนักฤๅษี ถึงมาอยู่ใกล้กัน
    เจ้าสำนักนางโลมนั้น ทุกๆ คืนหลังจากปิดกิจการแล้วเธอขึ้นไปบนชั้นบนสุดมองมายังปราสาทของหลวงปู่ฤๅษี ส่วนหลวงปู่ฤๅษีก็เช่นกัน ทุกๆ คืนหลังจากญาติโยมกลับไปแล้วท่านก็เข้าห้องสงฆ์ อาบน้ำผ่อนคลายแช่น้ำร้อน น้ำเย็นเสร็จแล้วก็ยืนมองไปทางฝั่งซ่องนางโลมคลี่มู่ลี่ดู ฝั่งนางโลมปิดกิจการแล้วก็อาบน้ำร้อน อาบน้ำเย็นใส่ชุดนอนหันหน้ามาทางหลวงปู่ฤๅษีคลี่มู่ลี่ดู ต่างคนต่างมองมาทางกันและกัน

    หลวงปู่ฤๅษีพอคลี่มู่ลี่ดูก็คิดในใจว่า แม่เจ้าโว้ย ฉันนี้ไม่ได้คิดหรอกว่าจะมาเป็นฤๅษี คิดแค่ว่าจะหาอยู่หากินธรรมดา แต่จู่ๆ มันก็ดังขึ้นมาเอง ก่อนนอนท่านก็พนมมือสาธุ ถ้าได้ร่วมอภิรมย์กับเธอสักครั้งก็ไม่เลว แล้วก็หลับไปทั้งความเพ้อฝัน

    ฝ่ายนางโลมก็หันมาทางหลวงปู่ฤๅษีคลี่มู่ลี่ลงมอง สาธุหลวงปู่เจ้าขาลูกขายแต่ตัวหัวใจไม่ขาย ในชีวิตนี้ก็ไม่เคยคิดหรอกว่าจะมาเป็นคนบาปหยาบช้าถึงปานนี้ แต่เพราะลูกเกิดมาจนไม่มีทางเลือก ลูกศรัทธาหลวงปู่เหลือเกิน แต่ครั้นจะไปกราบลูกก็รู้ว่าบาปเต็มตัวลูกขอกราบจากตรงหน้าต่างนะเจ้าคะ

    ต่อมาทั้งสองฝ่ายก็ล่วงลับดับขันธ์ไป ปรากฏว่านางโลมขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ชั้น 7 แต่หลวงปู่ฤๅษีไปอยู่นรก หลวงปู่ฤๅษีก็ออกอาการโวยวาย ก่อนเดินไปหาเจ้าหน้าที่ในนรก เป็นไปได้อย่างไรคนอย่างฉันจะตกนรกได้อย่างไร ฉันช่วยคนไปตั้งเยอะ แล้วดูสิเอามาไว้ในกระทะทองแดง พวกคุณนี่ทำข้อมูลผิดไปหรือเปล่า ถ้าผิดขอให้รีบแก้ใหม่ อภัยให้ได้ตอนนี้ยังทัน เจ้าหน้าที่ก็ขอเวลาไปตรวจเช็กก็พบชื่อหลวงปู่อยู่ในรายการคนที่จะต้องลงนรก เปิดให้หลวงปู่ดู ว่าหลวงปู่จะยอมจำนนหรือไม่ เมื่อหลวงปู่ได้เห็นหลักฐานชัดเจนจึงยอมตกนรก

    ในสวรรค์นางโลมที่ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ชั้น 7 ก็สมบูรณ์พูนสุขไปด้วยทรัพย์สินสมบัติ ทุกอย่างเพียบพร้อม เธอเอะใจว่า ฉันคือคนบาปเป็นนางโลมตั้งแต่อายุ 15-16 ปี ทำไมตายแล้วกลับได้มาอยู่บนสวรรค์ต้องมีความผิดปกติเกิดขึ้น ก็เดินไปหาเจ้าหน้าที่ของสวรรค์ ท่านเทพบุตรเจ้าขามีความผิดพลาดบางประการเกิดขึ้นหรือเปล่าเจ้าคะ เพราะตามปกติคนบาปอย่างดิฉันต้องลงไปอยู่ในนรกแล้วทำไมดิฉันต้องมาอยู่บน สวรรค์ด้วย

    เจ้าหน้าที่สวรรค์ก็บอกว่า ถูกแล้ว คุณอย่างไรก็ต้องขึ้นสวรรค์ เพราะว่าฐานข้อมูลของเราแสดงชัดตั้งแต่คุณยังไม่ตาย นางโลมก็ถามต่อว่า เอ๊ะทำไมดิฉันต้องขึ้นสวรรค์ เจ้าหน้าที่ตอบว่า งั้นคุณย้อนระลึกดูสิว่าก่อนนอนทุกคืนคุณภาวนาอย่างไร

    นางโลมก็นึกถึงภาพตัวเองว่าก่อนนอนทุกคืนเรามีความศรัทธาหลวงปู่ฤๅษี อย่างท่วมท้น ทุกคืนเรากราบท่าน ก่อนล้มตัวลงนอนด้วยจิตที่ผ่องใส เพราะว่าเราศรัทธาในนักบุญ แต่พอมานึกดูแล้วก็ประหลาดนะเราศรัทธาท่านอยู่ห่างๆ เรายังได้มาอยู่ในสวรรค์ อานิสงส์มหาศาลจริงๆ

    ถ้าเช่นนั้นหลวงปู่ฤๅษีที่ช่วยคนมาทั้งชีวิต ป่านนี้จะไม่อยู่บนสวรรค์ชั้นสูงสุดแล้วหรือ นึกถึงแล้วเธอก็ชื่นอกชื่นใจแทนหลวงปู่ฤๅษี นึกเสร็จเธอก็น้ำตาไหล
    หลวงปู่เจ้าขาลูกกราบหลวงปู่อย่างห่างๆ ยังได้อยู่สวรรค์ชั้น 7 หลวงปู่ป่านนี้คงได้อยู่สวรรค์ชั้นพรหมชั้น 16 ชั้นสูงสุด ลูกขอโมทนากับหลวงปู่ด้วยนะคะ


    สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ
    .

    http://www.posttoday.com/lifestyle/health-me/ใจ/61179/สวรรค์อยู่ในอก-นรกอยู่ในใจ

    .



    .
     
  18. sittiporn.s

    sittiporn.s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +748

    เห็นด้วยกับคุณเพชรครับ แต่ผมว่าที่จริงไม่ใช่สลับหน้าที่
    แต่เป็นการไปแย่งงานเขาทำมากกว่าครับ
     
  19. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ชอบเป็นพิเศษครับ :)
    โมทนาสาธุ
     
  20. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2553 ผมและเพื่อนๆ ได้บริจาคทรัพย์เพื่อสงฆ์อาพาธ ณ โรงพยาบาลสงฆ์ จึงแจ้งให้ทุกท่านได้ร่วมโมทนาบุญด้วยกันครับ
    คุณกานต์พิชา ธนิตวรกิจ 200, คุณเทียนพรรษา สิงห์ไทยนิยม 100, คุณยุวดี ชัชอานนท์ 100, คุณนิตยา แซ่ตั้ง 200 และ คุณคงภัค ตรีสารศรี 300 ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...