พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    ด้วยความยินดีครับพี่ ต้องขอขอบคุณพี่สำหรับวันนี้ด้วยครับ:cool:
     
  2. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    วันนี้ได้เดินทางไปลำปาง เพื่ออัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกัสสปะ , พระนาม สมณโคดม หลายสัณฐาน ,พระปัจเจกพุทธเจ้า ,พระธาตุพระอรหันต์ในยุคพุทธกาล หลายองค์, พระธาตุพระอรหันต์คณะเผยแผ่พระพุทธศาสนา จำนวนมากพอสมควร มอบให้เพื่อนเพื่ออัญเชิญไปกระจายถวายตามวัดต่างๆในแถบภาคเหนือ

    จากนั้นก็ได้ไปสักการะสรีระหลวงปู่เกษม เขมโก

    และสักการะพระธาตุลำปางหลวง , หอพระแก้ว และสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆในวัดพระธาตุลำปางหลวง ตามรูป...โมทนาสาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1160798.JPG
      P1160798.JPG
      ขนาดไฟล์:
      142.5 KB
      เปิดดู:
      1,148
    • P1160805.JPG
      P1160805.JPG
      ขนาดไฟล์:
      216.3 KB
      เปิดดู:
      1,142
    • P1160810.JPG
      P1160810.JPG
      ขนาดไฟล์:
      185.2 KB
      เปิดดู:
      135
    • P1160816.JPG
      P1160816.JPG
      ขนาดไฟล์:
      151.5 KB
      เปิดดู:
      142
    • P1160850.JPG
      P1160850.JPG
      ขนาดไฟล์:
      177.2 KB
      เปิดดู:
      131
    • P1160851.JPG
      P1160851.JPG
      ขนาดไฟล์:
      372.1 KB
      เปิดดู:
      1,190
  3. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    หลวงปู่เกษม เขมโก แห่งสุสานไตรลักษณ์ เมืองลำปาง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1160759.JPG
      P1160759.JPG
      ขนาดไฟล์:
      107 KB
      เปิดดู:
      4,500
    • P1160772.JPG
      P1160772.JPG
      ขนาดไฟล์:
      176.2 KB
      เปิดดู:
      6,166
    • P1160773.JPG
      P1160773.JPG
      ขนาดไฟล์:
      229.3 KB
      เปิดดู:
      82
    • P1160774.JPG
      P1160774.JPG
      ขนาดไฟล์:
      185.8 KB
      เปิดดู:
      4,094
    • P1160775.JPG
      P1160775.JPG
      ขนาดไฟล์:
      250.7 KB
      เปิดดู:
      7,843
  4. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ก๋วยเตี๋ยวรสเจ็บแห่งลำปาง
    กาแฟรสเด็ดจากคาวบอยสาว
    รถม้า กับข้าว และอื่นๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1160748.JPG
      P1160748.JPG
      ขนาดไฟล์:
      200.2 KB
      เปิดดู:
      92
    • P1160749.JPG
      P1160749.JPG
      ขนาดไฟล์:
      201.8 KB
      เปิดดู:
      82
    • P1160751.JPG
      P1160751.JPG
      ขนาดไฟล์:
      208.3 KB
      เปิดดู:
      1,144
    • P1160780.JPG
      P1160780.JPG
      ขนาดไฟล์:
      245.9 KB
      เปิดดู:
      1,111
    • P1160788.JPG
      P1160788.JPG
      ขนาดไฟล์:
      239.5 KB
      เปิดดู:
      1,268
    • P1160894.JPG
      P1160894.JPG
      ขนาดไฟล์:
      177.2 KB
      เปิดดู:
      28
    • P1160895.JPG
      P1160895.JPG
      ขนาดไฟล์:
      118.7 KB
      เปิดดู:
      43
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ธันวาคม 2010
  5. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ ครับ
    คุณ psombat เกิดปีฉลูแน่ๆ เลย
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    <table width="550"><tbody><tr><td colspan="2" class="result">ขอ พระราชทานพระบรมราชานุญาต ตั้งจิตพร้อมน้อมอธิษฐาน ขออานุภาพแห่งคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากล โปรดดลบันดาล ประทานพระพรชัยมงคล ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษายิ่งยืนนาน ทรงพระเกษมสำราญสืบไป </td></tr> <tr><td colspan="2" height="10">
    </td></tr> <tr> <td width="50">
    </td> <td class="result" width="500">ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ</td></tr></tbody></table>
    <table width="550"><tbody><tr></tr><tr><td width="50">
    </td><td class="result" width="500">sithiphong</td></tr></tbody></table>

    .

    ถวายพระพรออนไลน์

    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เสด็จออกมหาสมาคม พสกนิกรปลาบปลื้มในพระราชกรณียกิจ



    ในหลวงเสด็จออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย เวลา 10.30 น. รัฐบาลสหรัฐร่วมถวายพระพร ชื่นชมเป็นอย่างสูงต่อพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ไม่ รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อยเพื่อราชอาณาจักรไทย โพลล์สำรวจคนไทยปลาบปลื้มพระ ราชกรณียกิจเสด็จฯ เยี่ยมเยียนประชาชนในถิ่นทุรกันดาร พลาดไม่ได้! กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ ฉายภาพยนตร์ 7 เรื่อง ทำสำเนาแจก 5 ล้านแผ่น
    เวลา 10.30 น. วันที่ 5 ธันวาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะเสด็จพระราชดำเนินยังพระบรมมหาราชวัง โดยพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว เสด็จออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย มีทหารกองเกียรติยศจากกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ถวายความเคารพ
    จากนั้น จะมีการยิงปืนใหญ่เฉลิมพระเกียรติจาก 3 เหล่าทัพ เหล่าทัพละ 21 นัด ช่วงเวลาต่อมา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ จะเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
    สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา จะกราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคลตามลำดับ ต่อมา พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด จะนำทหารรักษาพระองค์เข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูลถวายชัย มงคล และกล่าวนำทหารถวายสัตย์ปฏิญาณตน
    จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมีพระราชดำรัสตอบ ทหารกองเกียรติยศถวายความเคารพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนาง เจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินกลับ
    ส่วนพระราชพิธีช่วงบ่าย ซึ่งจัดภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระราชพิธีวันที่ 6 ธ.ค.นี้ ที่จัดขึ้นในพระบรมมหาราชวัง และวันที่ 8 ธ.ค.ที่จัดขึ้น ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ทั้งหมด
    มีรายงานว่า นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 83 พรรษาในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ ระบุว่า สหรัฐอเมริกาขอแสดงความชื่นชมเป็นอย่างสูงต่อพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ที่ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย เพื่อราชอาณาจักรไทย เพื่อประชาชนชาวสยาม และความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่รุ่งเรืองเรื่อยมา ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี สหรัฐมีความยินดีต่อการเสด็จฯ เยือนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ที่ผ่านมา เพื่อเสริมสร้างสายใยแห่งความปรารถนาดี และมิตรภาพ สหรัฐภูมิใจที่จะเรียกประเทศไทยว่าเพื่อนสนิทและพันธมิตร
    นางคลินตันยังถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอจงทรงพระเจริญ ทรงพระเกษมสำราญ และขออวยพรให้คนไทยทุกคนมีความสุข เจริญรุ่งเรืองในปีที่กำลังจะมาถึง และ แสดงความยินดีกับประชาชนชาวไทยในวันแห่งการเฉลิมฉลองระดับชาติครั้งนี้ ปลาบปลื้มพระราชกรณียกิจ
    สวนดุสิตโพล สำรวจความเห็นคนไทยทั่วประเทศ จำนวน 2,261 คน ระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายน ถึง 3 ธันวาคม 2553 ในหัวข้อ "ในหลวง ของปวงชนชาวไทย
    ผลปรากฏว่า พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่คนไทยประทับใจมากที่สุด ลำดับ 1 คือการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนประชาชนในถิ่นทุรกันดาร 40.78% 2.การบริหารจัดการน้ำ/การพัฒนาแหล่งน้ำ และชลประทานเพื่อการเกษตร โครงการฝนหลวง สร้างเขื่อน โครงการแก้มลิง 22.36% 3.การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม/โครงการปลูกป่าถาวร/อนุรักษ์ป่า ชายเลน 19.77% และ 4.พระราชทานปัจจัย สิ่งของ ช่วยเหลือราษฎรที่ประสบภัยพิบัติต่างๆ 17.09%
    สำหรับคำถวายพระพรที่คนไทยต้องการทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ลำดับ 1 ขอพระองค์ทรงพระเจริญ มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน 43.21% 2.ขอให้พระองค์ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรง ขอให้พระองค์ทรงหายจากพระอาการ ประชวรโดยเร็ว 35.21% 3.ขอให้พระองค์ทรงเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยตลอดไป 11.64% และ 4.ขอให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญ 9.65%
    ส่วนพระบรมราโชวาท/พระอิริยาบถที่เป็นแบบอย่าง หรือเป็นสิ่งที่เทิดทูนต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่คนไทยได้นำมาเป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิต ลำดับ 1 คือภาพพระราชกรณียกิจต่างๆ ที่พระองค์ท่านทรงงานเพื่อประชาชน 34.39% 2.ความรักความห่วงใยของพระองค์ ท่านที่มีต่อราษฎร 25.% 3.ทรงพระราชทานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้กับคนไทยทุกคน 23.10% และ 4.ความรัก ความสามัคคีของคนไทย 17.03%
    วันเดียวกันนี้ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา 5 ธันวาคม 2553 แถลงเปิดฉายภาพยนตร์ 7 เรื่อง และบทเพลงราชาแห่งราชัน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2553
    รมว.มหาดไทยกล่าวว่า คณะทำงานกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ซึ่งประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และกระทรวงคมนาคม ได้จัดสร้างภาพยนตร์เฉลิม พระเกียรติจำนวน 7 เรื่อง เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา วันที่ 5 ธันวาคม 2553 ได้แก่เรื่อง "แผ่นดินของเรา", "เหรียญของพ่อ", "คนล่าเมฆ", "จากฟ้าสู่ดิน ", "อาม่า", "ราชประชานุเคราะห์" และ "เรื่องเดียวกัน" โดยภาพยนตร์ทั้ง 7 เรื่องจะแสดงสื่อถึงพระราชกรณียกิจต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงทำให้ปวงชนชาวไทยอยู่อย่างร่มเย็นเป็น สุขตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
    ในส่วนกลางจะจัดฉายในโรงภาพยนตร์เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ และเอสเอฟซีเนม่าซิตี้ ทุกสาขาทั่วกรุงเทพมหานคร ส่วนภูมิภาค จัดฉายที่ศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัด ขณะที่ต่างประเทศจะจัดฉายที่สถานทูตไทยในต่างประเทศทั้ง 91 ประเทศ
    แจกซีดีภาพยนตร์ 5 ล้านแผ่น
    นอกจากนี้ คณะทำงานกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติได้ทูลเกล้าฯ ถวายลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ทั้ง 7เรื่องแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสำเนาภาพยนตร์ในรูปแบบวีซีดี จำนวน 5 ล้านแผ่น เพื่อแจกจ่ายให้ประชาชนทั่วไปได้รับชมโดยทั่วกัน
    ขณะที่นายดิสธร วัชโรทัย รองเลขาธิการสำนักพระราชวัง กล่าวว่า อยากให้ประชาชนได้รับชมภาพยนตร์ดังกล่าว เพื่อรับทราบถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงทำเพื่อ ชาวไทยตลอดมา ซึ่งหากประชาชนท่านใดไม่ได้ชมภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติในวัน ที่ 5 ก็สามารถเข้าไปชมได้ที่ www.weloveking.org และคณะทำงานกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ยังได้จัดทำบทเพลงเฉลิมพระเกียรติ ราชาแห่งราชัน ให้ประชาชนทั่วไปได้รับฟังด้วย
    สำนักพระราชวังแจ้งว่า เนื่องในพระราชพิธีศุภมงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ในวันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม 2553 นั้น การจำหน่ายบัตรเข้าชมพระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันที่ 5-6 ธันวาคม 2553 ดังนี้ ปิดการจำหน่ายบัตรฯ ทั้งวัน และงดเข้าชมภายในพระอุโบสถ ในวันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม สามารถเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดารามได้ทางประตูสวัสดิโสภา
    เวลา 17.00 น.ที่ผ่านมา มีพิธีเจริญพระพุทธมนต์ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ทั้งนี้ พิธีดังกล่าวมีขึ้นพร้อมกันในทุกวัดทั่วประเทศ และวัดไทยในต่างประเทศทั่วโลก เพื่อถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมทั้งถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีด้วย
    สำหรับการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ลานพระราชวังดุสิต ต่อเนื่องไปตลอดแนวถนนราชดำเนินช่วงบ่ายวันเสาร์ มีประชาชนทยอยเข้าร่วมกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งช่วงเย็น-ค่ำ มีประชาชนมาร่วมงานอย่างเนืองแน่นเพื่อชมการแสดงพื้นบ้านภาคใต้มหกรรมกลอง นานาชาติ คอนเสิร์ตเพลงพระราชนิพนธ์และดนตรีแจ๊สของศิลปินชื่อดัง
    ทั้งนี้ บริเวณลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ มีประชาชนชื่นชมการประดับประดาไฟและถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึกจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีประชาชนได้เขียนข้อความถวายพระพรลงบนใบโพธิ์ที่มีการจัด เตรียมไว้อย่างไม่ขาดสาย
    ที่สวนหลวง ร.9 มีการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ชุด "ตามรอยพระราชดำริ สู่ประโยชน์สุข" โดย พล.อ.อ.กำธน สินธวานนท์ องคมนตรี เดินทางไปเป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมกับเปิดเผยว่า การจัดงานนิทรรศการดังกล่าว รวมทั้งกิจกรรมวาดภาพเฉลิมพระเกียรติของสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสาน งานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ หรือสำนักงาน กปร. เป็นการประชาสัมพันธ์ความสำเร็จของโครงการอันเนื่องมาจากพระราช ดำริ และให้ประชาชนรับทราบถึงพระปรีชาสามารถ ตลอดจนพระมหากรุณาธิคุณของพระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ให้ประชาชน หน่วยงานภาครัฐ เอกชน เกี่ยวกับแนวพระราชดำริต่างๆ
    โดยในส่วนของนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ชุด "ตามรอยพระราชดำริ สู่ประโยชน์สุข" ประกอบด้วย ซุ้มเฉลิมพระเกียรติและนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งจะจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจด้านต่างๆ การทรงงานจำลองเสมือนจริงโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่สำคัญ
    ทั้งยังมีการจัดแสดงนิทรรศการตัวอย่างผลงานของผู้ได้รับรางวัลจากการประกวด ผลงานตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ครั้งที่ 2 ของสำนักงาน กปร. ซึ่งจะมีประชาชนจากทุกภาคส่วน อาทิ ภาคเกษตรกรรม ภาครัฐ และภาคธุรกิจ เป็นผู้มาเผยแพร่ผลสำเร็จที่เกิดขึ้นจริงจากการดำเนินตามรอย แนวพระราชดำริ โดยจำลองบรรยากาศจากสถานที่จริง และตกแต่งภูมิทัศน์อย่างสวยงาม โดยงานจะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1-12 ธันวาคม 2553 ณ บริเวณหอรัชมงคล สวนหลวง ร.9
    นายวิรัตน์ โชคคติวัฒน์ รองผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กล่าวว่า ขสมก.ได้จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว โดยจัดเดินรถบริการฟรีสำหรับประชาชนที่เดินทางร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างวันที่ 3-5 ธันวาคม 2553 ซึ่งกำหนดจัดกิจกรรมขึ้น ณ บริเวณสถานีหัวลำโพง
    รอง ผอ.ขสมก.เผยว่า รถบริการฟรี 7 เส้นทาง ได้แก่สาย 4 (คลองเตย-หัวลำโพง-ท่าน้ำภาษีเจริญ), สาย 7 (บางแค-หัวลำโพง), สาย 25 (ปากน้ำ-หัวลำโพง-ท่าช้าง), สาย 29 (รังสิต-วิภาวดี-หัวลำโพง), สาย 34 (รังสิต-พหลโยธิน-หัวลำโพง), สาย 53 (วงกลมรอบเมือง-เทเวศร์-หัวลำโพง), สาย 75 (วัดพุทธบูชา-หัวลำโพง)
    นอกจากนี้ ขสมก.ยังได้จัดโครงการเทิดพระเกียรติ 5 ธันวาพาพ่อเที่ยวกับ ขสมก. สำหรับครอบครัวที่พาพ่อไปท่องเที่ยวไหว้พระ 9 วัด ตั้งแต่วันที่ 3-5 ธันวาคม 2553 เดินทางจากกรุงเทพมหานคร ไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สมุทรสงคราม สิงห์บุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ฉะเชิงเทรา และนครนายก (7 เส้นทาง) แบบเช้าไปเย็นกลับ ค่าโดยสารลดพิเศษคนละ 350 บาท โดยให้สิทธิ์พ่อได้รับการยกเว้นค่าโดยสาร
    ผู้สนใจสามารถสำรองที่นั่งได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ที่ศูนย์ Call Center หมายเลข 184 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00-22.00 น.
    ขบวนเรือเฉลิมพระเกียรติ
    ส่วนความคืบหน้าของขบวนเรือเฉลิมพระเกียรติ มีเรือทยอยมาจอดริมแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่บริเวณสะพานพระปิ่นเกล้าจนถึง ราชนาวีสโมสร เพื่อเตรียมความพร้อม โดยมีเรือที่จะประดับไฟทั้งสิ้น 32 ลำ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร และกองทัพเรือ ได้มาซักซ้อมเพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางน้ำที่อาจเกิดขึ้น รองรับประชาชนที่จะเดินทางมาร่วมชมเป็นจำนวนมาก
    นายธานี สามารถกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ไปตรวจเรือเหล็ก 3 ลำที่นำมาต่อกันมีความยาว 109 เมตร มีความกว้าง 46 เมตร ซึ่งได้ให้ช่างเทคนิคติดตั้งอุปกรณ์เครื่องเสียงเครื่องไฟที่จะประกอบไฟใน ดอกบัวบนเรือให้สวยงาม ซึ่งช่างได้ติดตั้งและทดลองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ต้องถอดออกเป็นชิ้นส่วนเพื่อที่จะนำเรือเดินทางไปยังท่าน้ำโรงพยาบาลศิริ ราช ซึ่งกรมเจ้าท่าได้กันที่จอดเรือเพื่อที่จะตบแต่งให้สวยงาม
    ผู้ว่าฯ ปทุมธานีกล่าวว่า การจัดตบแต่งเรือครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนี้ได้จัดทำอุปกรณ์การตบแต่งเป็นชิ้น ส่วน เพื่อที่จะนำไปตบแต่งอีกครั้งหนึ่ง เนื่องในการลากจูงเรือไปในครั้งนี้ จะมีปัญหาเรือลอดใต้สะพานจะทำให้การตบแต่งเรือจะเสียรูปแบบออกไป จึงต้องลากจูงเรือไปยังจุดจอดเรือแล้วตบแต่งให้เสร็จ จะมีความสวยงามมาก ซึ่งเรือลำนี้จะมีคนขึ้นไปนั่งประกอบกิจกรรมต่างๆ จำนวน 300 คน
    และยังมีเรือลากจูงประดิษฐ์ดอกบัวอยู่บนหลังคาเรือดอกใหญ่มากลำละ 1 ดอก จำนวน 84 ลำ เพื่อไปล้อมเรือใหญ่ ซึ่งจะทำให้มองเรือทั้งหมดเป็นดอกบัวอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยาใหญ่เต็มลำน้ำ เจ้าพระยาที่จะประกอบไปด้วยแสงสีเสียงตระการตาที่สุดในขบวนเรือครั้งนี้.

    ที่มา ไทยโพสต์ http://www.thaipost.net/sunday/051210/31058


    .




    .



    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จากใจ...พ่อเดินดิน



    จากใจ...พ่อเดินดิน (ไทยโพสต์)

    "พ่อ" ผู้ที่ส่วนมากแล้วต้องรับหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวออกไปทำมาหากิน หาเงินกลับมาเลี้ยงครอบครัวดังเช่นช้างเท้าหน้า ที่เป็นกำลังหลักของครอบครัว ซึ่งบางครั้งการที่ต้องออกไปทำงานอย่างหนัก หามรุ่งหามค่ำในยุคที่เงินทองหายากเช่นนี้ อาจจะกลายไปเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดช่องว่างของความสนิท ระหว่างพ่อกับลูกไปในที่สุด

    เมื่อได้ตระเวนพูดคุยกับคุณพ่อวัยทำงานในแต่ละหลากสาขาอาชีพ ก็พบว่า "คุณพ่อยุคใหม่" ล้วนมีเทคนิค วิธี หรือเครื่องมือในการเลี้ยงดูลูกที่แตกต่างกัน แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้หวังให้ลูกเติบใหญ่อย่างเดียว แต่ในใจลึกๆ ของพ่อยังหวังยึดเหนี่ยวความสัมพันธ์ ความสนิทระหว่างพ่อกับลูกให้สนิทแนบแน่น และให้ลูกมีวิถีชีวิตที่เป็นไปตามความคาดหวังของ "พ่อ" ด้วย

    อ.ยิ่ง ศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการประกอบอาหารชื่อดังของเมืองไทย ในฐานะคุณพ่อลูก 2 เผยว่า สำหรับลูกๆ ทั้ง 2 คนแล้วจะพยายามทำให้เหมือนเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของลูก ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว เวลาลูกมีปัญหาอะไร เขาก็จะกล้าพูดกับเราที่เป็นพ่อแม่ เนื่องจากไม่มีใครคอยรับฟัง ชี้แนะ รักและจริงใจกับลูกๆ มากกว่าพ่อแม่อีกแล้ว แม้บางครั้งคนเป็นพ่อจะอาจไม่ได้แสดงออกกับตรงนี้มากนัก แต่ถ้ามีเวลาว่างก็จะเข้าหาลูกตลอด ไม่เจอตัวก็โทร. ส่งอีเมล์ผ่านเครื่องมือหลากหลายชนิดที่ทำให้เราได้ใกล้ชิดกันได้

    "สำหรับ อาจารย์แล้ว แม้พ่อจะอายุ 60 และลูกจะโตจนอายุ 20 แล้ว แต่ถ้าลูกมายืนอยู่ตรงหน้าไม่ว่าจะเราหรือเขาจะอายุเท่าไหร่ เชื่อได้เลยว่าคนเป็นพ่อทุกคน ต่างก็อยากจะไปใกล้ชิดกับลูกหรืออยากจะกอดลูกแทบทั้งนั้น เพราะความรู้สึกเหล่านี้มันคือความผูกพัน การที่เราได้ดู ได้เห็น ได้เลี้ยงเขามาตั้งแต่เล็กๆ ดั่งคำที่ว่า "รักปานจะแหกตูดดม" ที่อาจฟังดูแล้วตลก แต่เชื่อได้เลยว่าสิ่งเหล่านี้คือเรื่องจริง"

    อ.ยิ่งศักดิ์บอกด้วยว่า การเลี้ยงลูกจึงหวังแต่ให้ทำสิ่งดีๆ ให้ลูก ทุ่มให้เต็มร้อย ไม่ให้พวกเขาคิดว่าเราเป็นพ่อที่บกพร่อง ซึ่งแม้ความคาดหวังที่มีต่อพวกเขาจะไม่ได้บังคับว่าอยากจะให้ทำอะไร หรือจะมาทำงานเหมือนเรา ต่อจากเรา สิ่งเหล่านี้เราบังคับเขาไม่ได้ ในตรงนี้เมื่อเรียนจบ ส่วนตัวจึงได้ให้ลูกๆ มาทำงานด้วยกันก่อน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อว่าจะให้เขาได้สามารถค้นพบตัวเองตั้งแต่แรกเริ่ม ว่าเขาชอบงานที่เราทำอยู่เช่นเดียวกับเราหรือไม่ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาเสียใจในภายหลัง"

    นายธวัช ชัย พันธุ์ภักดี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท พระนครฟิลม์ คุณพ่อลูกโทน กล่าวว่า แม้การที่ทำงานหนักจะทำให้มีเวลาอยู่ด้วยกันกับลูกน้อยลง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เกิดเป็นช่องว่างของกันและกัน เพราะตรงนี้ลูกเองก็เข้าใจได้ถึงเวลางานที่ทำอยู่ อีกทั้งตอนนี้เขาอาศัยอยู่ที่หอพักใกล้กับสถานศึกษาที่เขาเรียนอยู่ แต่ก็ยังได้โทรศัพท์พูดคุยกันอยู่ตลอดเวลา โดยการที่ปล่อยให้เขาได้ใช้ชีวิตอยู่ที่หอพักจึงถือเป็นการให้เขาได้มี ประสบการณ์ และเป็นการฝึกให้เขาสามารถดูแลตัวเองได้

    "ความ คาดหวังของผมต่อลูก อยากให้เพียงแต่ให้เขาเป็นคนดีเท่านั้น อยากให้เขามีอิสระในความคิด ได้ใช้ชีวิตตามต้องการ ได้ทำอะไรก็ตามที่อยากทำ ดูและตัวเองได้เท่านั้นพอ"

    นายสุพัฒน์ งามวงศ์ไพบูลย์ อาชีพ ผอ.ฝ่ายการตลาด เอส เอฟ ซีเนม่า ซิตี้ คุณพ่อลูก 2 บอกเล่าความรู้สึกว่า กับลูกๆ แล้ว แม้ตัวเองจะต้องใช้เวลาส่วนมากในรอบสัปดาห์ไปกับการทำงาน จึงทำให้หน้าที่ดูแลพูดคุยอย่างใกล้ชิดจะตกอยู่ที่แม่มากกว่า แต่ถ้ามีเวลาว่างในวันเสาร์-อาทิตย์ ก็จะพยายามใช้เวลาว่างในช่วงนี้อยู่กับครอบครัวให้ได้มากที่สุด และหมั่นสร้างกิจกรรมร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการไปเที่ยว ไปดูหนัง หรือไปทานข้าวร่วมกัน รวมทั้งเพื่อจะไม่ให้เกิดช่องว่างระยะห่างของเราและเขา ก็จะดูว่าเขาชอบอะไร อย่างตอนนี้ที่ลูกชอบเพลงเกาหลี ก็จะไปฟังเพลงเกาหลีเช่นเดียวกับลูก เพื่อที่จะสามารถคุยกันด้วยภาษาเดียวกันได้อย่างไม่ฝืน

    "แม้ผมเป็นพ่อที่ไม่ใช่ยอดคุณพ่อ แต่ผมก็พยายามจะเป็นเพื่อน เป็นที่ปรึกษาที่ดี พยายามคุยภาษาเดียวกันให้ได้ ดูว่าลูกชอบอะไร คิดอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดเป็นระยะห่างหรือช่องว่างระหว่างกัน โดยผมคิดว่าในตอนนี้ช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ที่มีอยู่ก็สามารถช่วยเราได้มาก ทั้งโทรศัพท์ เอ็มเอสเอ็น หรือแม้กระทั่งบีบี ที่จะมาช่วยให้เราใกล้กันได้"

    นายสุพัฒน์ยังบอกด้วยว่า ความคาดหวังที่มีต่อลูกๆ ในตอนนี้เพียงแค่อยากให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่ดี อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี คิดดี ทำดี และเป็นคนที่คิดเป็น ซึ่งส่วนการจะให้ลูกมาสานต่องานที่ทำต่อหรือไม่ ตรงนี้ขอให้เป็นความต้องการของพวกเขาเอง เพราะไม่ว่าเขาจะอยากเป็นอะไรก็รับได้ ขอเพียงแต่ให้เขาเป็นคนดีเท่านั้นพอ

    นายปิ่นแก้ว มิสา อาชีพพนักงานรักษาความปลอดภัย คุณพ่อลูก 3 เล่าว่า ลูกๆ ทั้ง 3 คนไม่ว่าจะเป็นลูกคนโตหรือคนเล็ก ต่างก็เลี้ยงดูพวกเขาอย่างทุ่มเท อยู่ด้วยกันทุกวัน ให้กินอาหารดีๆ ให้ได้รับรู้ในสิ่งดีๆ เพื่ออยากให้พวกเขาเติบโตมาเป็นคนดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความกตัญญู การตอบแทนบุญคุณผู้ให้กำเนิด

    "มีอยู่ครั้งหนึ่งผมลองพาพวกลูกๆ มาดูการทำงานของผม เพื่อให้ได้ทราบถึงความยากลำบากของพ่อและแม่ ในการหาเงินมาดูแลเลี้ยงดูลูกๆ ทุกคนให้อยู่ดีมีสุขมาโดยตลอด" คุณพ่อรายนี้เล่า

    อย่างไรก็ตาม แม้การเลี้ยงดูพวกเขาทั้ง 3 คนจะไม่มีปัญหาอะไรที่ใหญ่โตให้ต้องหนักอกหนักใจมากนัก เพราะเมื่อลูกๆ เขามีปัญหาอะไร เขาก็จะมาพูดคุยปรึกษาตลอด และในบางครั้งหากเขาทำผิดก็จะว่าไปทำผิด แต่เมื่อทำผิดแล้วจะเน้นย้ำมากที่สุดก็คือความซื่อสัตย์ หากทำผิดแล้วก็ต้องกล้าที่จะยอมรับผิด

    "ความคาดหวังต่อลูกในตอนนี้ แม้จะต่างกันบ้างตามแต่ละช่วงวัย อย่างลูกคนโตที่ไม่คาดหวังอะไรไว้มากมาย เพราะเขาทำงานเอง มีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว ส่วนลูกอีกสองคนที่ยังอยู่ในวัยเรียน ก็อยากให้เขาได้เรียนหนังสือสูงๆ อยู่ในสังคมดีๆ มีอนาคตที่ดี เชื่อฟังพ่อแม่ แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือความรัก ความทุ่มเทที่มีต่อพวกเขาเท่าๆ กัน"

    นายคำพูล เข็มทอง อาชีพขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างย่านนานา สุขุมวิท คุณพ่อลูก 4 บอกว่า การที่ต้องเหน็ดเหนื่อยทำงานอย่างหนัก หาเช้ากินค่ำ วิ่งวินมอเตอร์ไซค์ตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึงเที่ยงคืนทุกวัน ทำให้บางครั้งรู้สึกเป็นห่วงและรู้สึกว่าต้องห่างเหินกับลูก ๆ อยู่บ้าง อีกทั้งลูก ๆ อีก 2 คนก็ต้องฝากไว้ให้ญาติเลี้ยงอยู่ที่ต่างจังหวัด ซึ่งตรงนี้เมื่อมีเวลาว่างเมื่อไร ก็จะใช้เวลาในช่วงนั้นหมั่นโทรศัพท์ไปหา ไปพูดคุยกับลูกๆ ทุกคนอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เกิดเป็นช่องว่างขึ้นระหว่างเรากับลูกๆ แต่ถึงอย่างไรลูกๆ ก็ยังสนิทกันดี

    "การ เลี้ยงดูลูก ๆ ในตอนนี้อยากจะทุ่มเท พยายามทำเพื่อลูกให้มากที่สุด เพราะเพียงแค่ได้กลับบ้านเจอลูกๆ ที่ซน น่ารัก ช่างจ้อทุก ๆ วันก็ทำให้หายเหนื่อยได้เลย แต่ถึงอย่างไรการเลี้ยงดูพวกเขา ผมก็ไม่ได้ตั้งความคาดหวังไรมากมายนัก เพียงแค่ต้องการได้เห็นลูก ๆ ทุกคนเรียนหนังสือจบ เอาตัวรอดในสังคม มีการมีงานสุจริตทำก็เพียงพอแล้ว"

    นาย บุญเรือง นิลสระคู อาชีพขายผลไม้รถเข็น คุณพ่อลูก 1 เล่าว่า สำหรับตัวเขากับลูกแล้ว ถือว่ามีความสนิทสนมกันมาก แม้จะต้องออกมาทำงานเช้าจรดมืดในทุก ๆ วัน แต่หากถ้าได้มีเวลาอยู่ด้วยกันเมื่อใดก็จะเล่น หยอกล้อกันตลอดทุกครั้ง ลูกจะได้รู้สึกกับเราเหมือนเพื่อน และจะไม่รู้สึกเครียดหรือกดดัน เวลาเขามีปัญหาจะได้มาปรึกษาพ่อได้ ตอนนี้จะเป็นห่วงลูกอยู่บ้างในเวลาหลังเลิกเรียน กลัวว่าจะไปติดเกมหรือติดเพื่อนมากเกินไป ก็จะพยายามคุยและสอนเขาเสมอ

    "ถ้าหากจะถามว่าผมเป็นพ่อแบบไหน ผมก็คงเป็นเหมือนคนอื่นๆ ทั่วไป เป็นพ่อที่เป็นพ่อธรรมดาๆ คนนึงที่พยายามเลี้ยงดูลูกอย่างดี ด้วยความรัก ความเข้าใจ และอยากจะให้เขารู้จักการเอาตัวรอดได้ในสังคมเท่านั้นก็พอ"

    แต่ทั้งนี้ จากการฟังความเห็นของคุณพ่อในแต่ละสาขาอาชีพ ต่างแทบจะพ้องเป็นเสียงเดียวกันว่า หัวอกคนเป็นพ่อนั้นก็ต่างต้องการเห็นลูกของตัวเอง ได้ทำในสิ่งที่พวกเขาต้องการ ในงานที่สุจริต รู้จักการเอาตัวรอดในสังคม และเติบโตขึ้นมาเป็นคนดี

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไทยโพสต์

    [​IMG]

    .

     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong</td></tr></tbody></table>


    อรุณสวัสดิ์ยามเช้าวันอาิทิตย์หรรษาครับ


    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [FONT=Tahoma,]เป็นไปตามกรรม

    คอลัมน์ ธรรมะวันหยุด



    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่า โลกย่อมเป็นไปเพราะกรรม หมู่สัตว์ย่อมเป็นไปเพราะกรรม สัตว์ทั้งหลายถูกผูกไว้ในกรรม

    ประการที่ 1 โลกย่อมเป็นไปเพราะกรรม คำว่าโลกนี้ท่านหมายเอาทั้งที่อยู่อาศัยและผู้อยู่อาศัย เช่น มนุษยโลก โลกของมนุษย์ เทวโลก โลกของเทวดา พรหมโลก โลกของพรหม อากาศโลก โลกคือแผ่นดิน นี้เป็นสถานที่อยู่อาศัย ส่วนคำว่า สังขารโลก โลกคือสังขาร หมายเอาสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น และคำว่าสัตว์โลก โลกคือหมู่สัตว์ หมายเอามนุษย์และสัตว์ทุกประเภท ท่านกล่าวว่าย่อมเป็นไปเพราะกรรม คือ สถานที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมอื่นๆ จะเสื่อมโทรมลง หรือจะดีขึ้น ก็อาศัยกรรมคือการกระทำนั่นเอง คือ บางครั้งเกิดจากธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด น้ำท่วม เป็นต้น ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินเป็นอันมาก แต่บางครั้งเกิดจากการกระทำของมนุษย์ เช่น น้ำในแม่น้ำลำคลองเน่าเสีย เป็นต้น เหล่านี้เกิดจากการกระทำของมนุษย์ การจะเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นเพียงใด ก็อยู่ที่การแก้ไขปรับปรุงพฤติกรรมของมนุษย์

    ประการที่ 2 หมู่สัตว์ย่อมเป็นไปเพราะกรรม หมายเอามนุษย์และสัตว์อื่นๆ ทุกประเภท จะเป็นไปคือจะได้รับความสุขหรือทุกข์ ก็เพราะกรรม คือ การกระทำ พระพุทธเจ้า ตรัสว่า เจตนาเป็นกรรม คือ การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา มีความตั้งใจ ความจงใจ จึงเป็นกรรม กรรมนี้ สามารถแบ่งออกได้หลายประเภท คือ หากพิจารณาถึงมูลเหตุที่เป็นตัวชักนำให้ลงมือกระทำก็มี 2 อย่าง คือ กรรมดี และ กรรมชั่ว กรรมดีเกิดจากความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญแล้วจึงกระทำ ส่วนกรรมชั่วนั้นเกิดจากความโลภ ความโกรธ และความหลง กรรมทั้ง 2 อย่างนี้ให้ผลต่างกันมาก คือ กรรมดีให้ผลเป็นความสุข ความเจริญ ส่วนกรรมชั่วให้ผลเป็นทุกข์ ความเดือดร้อน

    ประการที่ 3 สัตว์ทั้งหลายถูกผูกไว้ในกรรม ทั้งกรรมดี ทั้งกรรมชั่ว ล้วนเป็นเหตุให้สัตว์ติดอยู่ ข้องอยู่ในโลกทั้งนั้น เพราะผลของกรรมดี ย่อมเป็นที่พอใจ อยากทำกรรมในลักษณะนั้นอีก เหมือนผลไม้ชนิดใด อร่อยถูกใจ ก็ย่อมซื้อหามาบริโภคอีก และผลของกรรมชั่ว ย่อมไม่เป็นที่พอใจ ก็จะแสวงหาวิธีหลีกเหลี่ยง โดยทำกรรมอื่นที่คิดว่าจะได้ผลเป็นที่พอใจ เมื่อมีใจติดข้องอยู่เช่นนี้ ยังไม่มีสติปัญญาพอที่จะหยุดกระแสของกรรมได้ ก็จะต้องเสวยสุขและทุกข์เรื่อยไป ลักษณะเช่นนี้จึงได้ชื่อว่า ถูกกรรมผูกไว้ ฉะนั้น หากบุคคลใด มีปัญญาพิจารณาเห็นทุกข์ที่ต้องเวียนว่ายอยู่ในกระแสของกรรม ถูกกรรมชักนำให้ประสบทุกข์นานาประการ จะต้องปฏิบัติตนตามมรรคมีองค์ 8 เจริญสติปัฏฐานอยู่เสมอ ก็จะเป็นเหตุให้พ้นจากกองทุกข์ ประสบสุขสงบได้

    เพราะฉะนั้น โลกคือสถานที่อยู่อาศัย และสัตว์โลกผู้อยู่อาศัย จะประสบความเสื่อมหรือความเจริญ ก็เพราะกรรมคือการกระทำ ทั้งที่เกิดตามธรรมชาติ และที่เกิดจากมนุษย์ ซึ่งสามารถบรรเทาและเปลี่ยนแปลงได้ ด้วยสติปัญญาของมนุษย์ โดยพิจารณาหาเหตุและผลให้ถ่องแท้ แล้วพยายามละเหตุนั้นๆ เสีย ต่อแต่นั้น ก็จะตัดกระแสกรรมได้ทีละอย่างทีละชนิด เหมือนกับการถอดสลักลิ่มของรถออกทีละชิ้นๆ รถนั้นก็จะแล่นไปไม่ได้อีกต่อไป สภาพของรถก็จะหมดไป นั่นย่อมหมายความว่า ได้พ้นจากกองทุกข์ ประสบสันติสุขในที่สุด

    พระเทพคุณาภรณ์

    (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ. ๙)

    เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร

    watdevaraj 0-2281-2430


    .

     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขวดน้ำกันสุนัขฉี่?

    หลายบ้านอาจวางขวดใสใส่น้ำเปล่าไว้ริมรั้วหรือบริเวณที่ไม่อยากให้เจ้าตูบมาฉี่รด

    ด้วยเชื่อว่าจะทำให้เจ้าเพื่อนสี่ขาไม่กล้าเข้ามาปฏิบัติภารกิจ เพราะขวดใสจะสะท้อนภาพซึ่งมันจะคิดว่าเป็นหมาอีกตัว ก็จะกลัวแล้ววิ่งหนีไป

    แต่พบว่านี่เป็นเพียงความเชื่อเท่านั้น เพราะแม้ว่าสุนัขจะวิ่งหนีไปเมื่อเห็นเงาจากขวดน้ำในครั้งแรก ผ่านไปสักพักเจ้าตูบจะคุ้นว่าสิ่งนั้นไม่เป็นอันตราย มันก็จะกลับมาปฏิบัติภารกิจตามเดิม

    ทางที่ดีควรปลูกไม้ประดับไว้ริมรั้ว จะได้ใช้ประโยชน์จากฉี่ของเจ้าตูบเป็นปุ๋ยบำรุงต้นไม้ไปในตัว.

    Daily News Online > โทรโข่ง > หน้าเกร็ดความรู้ > ขวดน้ำกันสุนัขฉี่?
     
  13. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    [​IMG]

    ทีฆายุโก โหตุ มหาราชา :: ๕ ธันวามหาราช ๒๕๕๓

    บุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ขอน้อมถวายเพื่อบูชาพระคุณแด่องค์พระบรมโพธิสัตว์ภูมิพลอดุลยเดชมหาราชา
    ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน เป็นมิ่งขวัญแด่ปวงชนชาวไทยสืบไป

    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

    [​IMG]
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระมหากรุณาธิคุณยิ่งใหญ่ ทรงห่วงใยขจัดภัย'โรคเรื้อน'


    ในอดีต “โรคเรื้อน” เป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยราษฎรมาโดยตลอด จึงทรงก่อตั้ง มูลนิธิราชประชาสมาสัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ขึ้นเพื่อเป็นองค์กรในการให้การช่วยเหลือและสนับสนุนการแก้ปัญหาโรคเรื้อน ทำให้จำนวนผู้ป่วยลดลงจากเมื่อก่อนที่มีความชุกของโรคเกิดขึ้นในทุกชุมชนทุก หมู่บ้าน แต่ปัจจุบันเหลือผู้ป่วยจำนวนน้อยมาก

    นพ.ธีระ รามสูต ประธานมูลนิธิราชประชาสมาสัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า สถานการณ์โรคเรื้อนในประเทศไทยเมื่อ 50 ปีที่แล้ว มีผู้ป่วยประมาณ 1.7 แสนราย คิดเป็นอัตราความชุก 50 ต่อ 10,000 ประชากร แต่ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระเมตตาห่วงใยพสกนิกรผู้ป่วยโรคเรื้อน เพราะเป็นโรคที่สังคมรังเกียจต้องหลบซ่อน จึงทรงรับเข้ามาเป็นโครงการในพระราชดำริเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษา และฟื้นฟูทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ

    โดยในปี พ.ศ. 2503 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานทุนอานันทมหิดล ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดตั้งสถาบันสำหรับอบรมบุคลากรการแพทย์ การสาธารณสุขและอาสาสมัครต่าง ๆ ศึกษาวิจัยเพื่อสนับสนุนควบคุมโรคเรื้อนและพระราชทานนามว่า “สถาบันราชประชาสมาสัย” มีความหมายลึกซึ้งว่า พระราชาและประชาชนย่อมอาศัยซึ่งกันและกัน เพราะงานโรคเรื้อนเป็นงานที่ยากลำบากถ้าประชาชน และพระมหากษัตริย์ไม่ร่วมมือ กันก็ไม่มีทางสำเร็จ

    หลังจากตั้งสถาบันแล้วเงินที่เหลือจากการก่อสร้าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานให้กับมูลนิธิฯ เพื่อสนับสนุนงานโรคเรื้อนตามแนวพระราชดำริของพระองค์ท่าน ซึ่งทางมูลนิธิฯ ได้ทำงานคู่กับกระทรวงสาธารณสุขมาตลอด โดยเข้าไปค้นหาผู้ป่วยที่บ้านและให้การรักษาควบคุม ไม่ให้แพร่ติดต่อ นับตั้งแต่ปี 2500-2519 ต่อมาปี 2537 สามารถกำจัดโรคเรื้อนไม่ให้แพร่กระจายได้ ซึ่งองค์การอนามัยโลกรับรองแล้วว่าเราสามารถกำจัดได้ หลังจากนั้นพระองค์ได้ติดตามสอบถามเรื่องโรคเรื้อนทุก 3-5 ปี

    อย่างไรก็ตามในปี 2552 มีอัตราความชุกของโรคเหลือเพียง 0.11 ต่อประชากร 10,000 ราย มีการค้นพบผู้ป่วยรายใหม่เพียง 300 คนและคาดว่าในอนาคตโรคเรื้อนจะหมดไปจากสังคมไทย ต่อมาโครงการที่ 2 เป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการควบคุมและกำจัดโรคเรื้อน ซึ่งหลังจากเข้าเฝ้าฯพระบาทสม เด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อปี 2540 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสว่า “กำจัดโรคเรื้อนได้แล้วอย่าเพิ่งหยุด ให้เฝ้าระวังโรคต่อไปด้วยการค้นหาโรคเรื้อนในแรงงานต่างด้าวทั่วประเทศเพราะ อาจจะนำมาแพร่เชื้ออีกได้”

    กระทั่งพบว่ามีแรงงานต่างด้าวเข้ามาแพร่เชื้อจริง แต่เราเฝ้าระวังไว้แล้วจึงไม่มีปัญหา แสดงให้เห็นถึงสายพระเนตรที่ยาวไกล รวมทั้งทรงให้มูลนิธิฯ ตั้งโรงเรียนราชประชาสมาสัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อให้บุตรหลานของคนที่เป็นโรคเรื้อนได้มาเรียนจนจบการศึกษาและยังทรงให้ มูลนิธิช่วยดูแลให้การศึกษาบุตรผู้ป่วยโรคเอดส์ที่กำพร้าพ่อแม่ได้เล่าเรียน ตั้งแต่ปี 2541 ชื่อว่า โครงการราชประชาสมาสัยเฉลิมพระเกียรติ เพื่อช่วยเหลือบุตรผู้ป่วยโรคเอดส์และมอบทุนปีละ 999 ทุน

    ในปี 2554 นี้มูลนิธิฯ จะครบรอบ 50 ปีที่ในหลวงทรงพระราชทานมูลนิธิฯ และเป็นปีที่พระองค์ท่านทรงมีพระชนม พรรษาครบ 7 รอบ 84 พรรษา จึงอยากเชิญชวนให้ประชาชนทั่วประเทศถวายพระพรร่วมกัน และน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านพระราชทานมูลนิธิฯ ขึ้นมาทำให้เราสามารถดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อนและบุตรผู้ป่วยโรคเอดส์ได้สำเร็จ ตามพระราชดำริ

    นอกจากนี้ นพ.ธีระ ยังได้ให้ความรู้เกี่ยวกับ โรคเรื้อน (Leprosy) ว่าเป็นโรคติดต่อเรื้อรังที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย “ไมโครแบคทีเรียม เลเปร” (Mycobacterium leprae) ทำให้เกิดอาการทางผิวหนัง เส้นประสาทส่วนปลายและเหยื่อบุท่อทางเดินหายใจส่วนบน การดำเนินของโรคจะเป็นไปอย่างช้า ๆ ใช้เวลาเป็นปี หากไม่รักษาตั้งแต่เริ่มเป็น เมื่อเส้นประสาทถูกทำลายจะทำให้เกิดความพิการที่ตา มือและเท้า ได้แก่ ตาหลับไม่สนิท มือ เท้าชา อ่อนกำลัง กล้ามเนื้อลีบ นิ้วงอ เป็นแผลที่ฝ่ามือฝ่าเท้า และรุนแรงถึงขั้นเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต

    อาการทางผิวหนัง ได้แก่ วงด่างขาวสีจางกว่าผิวหนังปกติ ไม่คัน ผื่นวงแหวนขอบแดงผิวแห้ง มีอาการชา ตุ่มและผื่นนูนแดงกระจายสองข้างของร่างกาย การติดต่อนั้นสามารถติดต่อได้ทางลมหายใจและทางผิวหนังที่แตกเป็นแผล แต่การป่วยเป็นโรคเรื้อนนี้ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของผู้รับเชื้อส่วนใหญ่ ประชาชนจะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคอยู่แล้ว เมื่อได้รับเชื้อโรคเรื้อนโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคมีประมาณร้อยละ 5 เท่านั้น โดยเด็กมีโอกาสติดโรคได้ มากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากเด็กมีภูมิต้านทานน้อยกว่า

    ปัจจุบันนี้โรคเรื้อนสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยผู้ป่วยจะต้องได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ หากผู้ป่วยชนิดไม่ติดต่อใช้เวลารักษาเพียง 6 เดือน ส่วนผู้ป่วยชนิดติด ต่อ ใช้เวลารักษาประมาณ 2 ปี โดยการให้ยารับประทานตามแพทย์สั่ง ขณะรักษาผู้ป่วยสามารถอยู่ร่วมกับครอบครัวและทำงานได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องแยกตัวไปรักษาในโรงพยาบาล เว้นแต่กรณีที่มีอาการแทรกซ้อนรุนแรง

    ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อนจะมีจำนวนน้อยมากหรือแทบจะไม่มี เลยก็ตาม แต่ก็ถือเป็นโรคที่ระบาดหนักมากในอดีต ถ้าไม่ได้รับการดูแลและควบคุม ป่านนี้เราคงจะเห็นผู้ป่วยโรคเรื้อนจำนวนมากใช้ชีวิตปะปนอยู่กับผู้ที่ไม่ ได้เป็นโรคอย่างไม่น่ามอง และตัวผู้ป่วยเองต้องทนทุกข์เพราะถูกสังคมรังเกียจ แสดงให้เห็นถึงสายพระเนตรที่ยาวไกลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงห่วงใยพสกนิกรอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

    ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน.

    ***************

    กิน'ข้าวกล้องสีแดง'ช่วยป้องกันโรคเรื้อรัง

    ปัจจุบันสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวเราเต็มไปด้วยมลพิษ อีกทั้งอุปนิสัยการเลือกรับประทานอาหารประเภทผัก ผลไม้ของคนไทยก็ลดน้อยลง เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดปัญหาโรคเรื้อรัง ดังนั้นการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และมีประสิทธิภาพจะสามารถช่วย ป้องกันโรคเรื้อรังต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าวกล้องสีแดง ที่เป็นแหล่งอาหารสำคัญของกลุ่มสารต่อต้านอนุมูลอิสระ

    อนุมูลอิสระมีทั้งที่เกิดจากภาย นอกร่างกาย เช่น รังสี สารเคมี ยา และที่เกิดจากกระบวนการภายในร่างกายเอง เช่น การหายใจ การต่อต้านเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งร่างกายเรามี กลไกการควบคุมอนุมูลอิสระให้เกิดภาวะสมดุลโดยอาศัยกลุ่มเอ็นไซม์ เช่น กลูต้าไธโอน ซูเปอร์ออกไซด์ ดิสมิวเทส คาตาเลส และการได้รับสารต้านอนุมูลอิสระจากพืช ผักและผลไม้ เช่น สารกลุ่มฟีนอลิกส์ (phenolics), แคโรทีนอยด์ (carotenoids), วิตามินซี และอี (vitamin C, E) เป็นต้น หากอนุมูลอิสระสูงเกินความสามารถของสารต้านอนุมูลอิสระจะกำจัดได้ จะทำให้เกิดภาวะเครียดออกซิเดชั่น (oxidative stress) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคเรื้อรังสำคัญ เช่น โรคหลอดเลือดและหัวใจ โรคเบาหวาน อัลไซเมอร์ โรคเซลล์ประสาทเสื่อม ตลอดจนโรคมะเร็ง

    ข้าวกล้องสีแดงมีสารประกอบกลุ่มฟีนอลิกส์ สามารถลดภาวะเครียดออกซิเดชั่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากองค์ประกอบโครงสร้างทางเคมีของสารประกอบกลุ่มฟีนอลิกส์ในข้าวกล้องไทยทำ หน้าที่เป็นตัวต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ยังพบว่าสารกลุ่มฟีนอลิกส์ยังทำหน้าที่ส่งเสริมการทำงานของกลุ่ม เอ็นไซม์ต้านออกซิเดชั่นด้วย จากการทดลองในหนูเป็นระยะเวลานาน 2 เดือน พบว่าหนูกลุ่มที่กินอาหารที่มีส่วนผสมของข้าวกล้องสีแดง มีระดับปริมาณตัวบ่งชี้ภาวะต้านออกซิเดชั่นมากกว่าหนูที่กินอาหารตามสูตร มาตรฐาน นอกจากนี้หนูในกลุ่มที่ได้รับข้าวกล้องไทยสีแดงยังมีระดับตัวบ่งชี้ภาวะ เครียดออกซิเดชั่นลดลงด้วย ดังนั้นข้าวกล้องไทยจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญสำหรับผู้บริโภคในการ ป้องกันโรคหลอดเลือด หัวใจ เบาหวาน ความจำเสื่อม โรคเสื่อมของเซลล์ประสาทและมะเร็ง ที่มีสาเหตุมาจากอนุมูลอิสระได้

    เมื่อเห็นคุณประโยชน์ของข้าวกล้องสีแดงกันแล้ว หากช่วงใดใครที่รู้ตัวเองว่ามีพฤติกรรมรับประทานผัก ผลไม้ได้น้อย อาจเลือกรับประทานข้าวกล้องสีแดงในการช่วยเสริมภูมิต้านทานให้ร่างกายในการ ป้องกันภาวะเครียดและป้องกันโรคเรื้อรังต่าง ๆ ที่จะคุกคามสุขภาพได้ เป็นการสลับปรับเปลี่ยนบ้างก็ถือว่าเป็นการดูแลสุขภาพที่ดีอีกทางหนึ่งค่ะ.

    ข้อมูลจาก รศ.ดร.สุดา เรียงโรจน์พิทักษ์ และ อ.ประสิทธิ์ สุวรรณเลิศ ภาควิชาพยาธิชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

    ********************************

    สรรหามาบอก

    - งานธนาคารเลือด กลุ่มงานพยาธิวิทยา โรงพยาบาลราชวิถี ขอเชิญผู้สนใจร่วมบริจาคโลหิตเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเพื่อเป็นการฉลองวาระครบรอบ 60 ปีโรงพยาบาลราชวิถี ใน วันที่ 7-8 ธันวาคม 2553 ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. ณ ห้องรับบริจาคโลหิต ชั้น 1 ตึกสิรินธร โดยผู้ที่บริจาคโลหิตจะได้รับเสื้อยืดเป็นของที่ระลึก สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 0-2354-8108 ต่อ 3026

    - โรงพยาบาลนครธน ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสมาพันธ์ชมรมเดิน-วิ่งเพื่อสุขภาพไทย ขอเชิญคนไทยทุกเพศทุกวัยร่วมกิจกรรมเดิน-วิ่งมหากุศล นครธนมินิมาราธอน ครั้งที่ 3 บนเส้นทางธรรมชาติชายทะเลบางขุนเทียนใน วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม 2553 ชิงถ้วยรางวัลเกียรติยศ สนใจสมัครได้ที่ 0-2450-9999, 0-2455-9194

    - ศูนย์รักษาสายตา SiLASIK โรงพยาบาลศิริราช จัดงานเสวนาในหัวข้อเรื่อง “สดใส… ไร้แว่น” ภายในงานพบผู้เชี่ยวชาญและผู้ชำนาญด้านการดูแลรักษาสายตาเฉพาะด้าน มาให้ความรู้และตรวจรักษาสายตาเบื้องต้นให้กับผู้ที่มาร่วมงานโดยไม่เสียค่า ใช้จ่ายใด ๆ พร้อมลุ้นรับของรางวัลมากมาย สนใจพบกันได้ใน วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม 2553 เวลา 11.00-17.00 น. ณ Central World ชั้น 3 โซน Eden

    - บริษัท เฮลธ์อิมแพค จัดกิจกรรมต้อนรับวันพ่อ ภายใต้โครงการ “รักพ่อ ชวนพ่อตรวจสุขภาพ” โดยเชิญชวนทุกครอบครัวพาคุณพ่อมาตรวจสุขภาพฟรี ได้แก่ บริการตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูก การตรวจวัดความดัน ฯลฯ พร้อมรับแจกหนังสือ “รู้รักษา รู้ป้องกัน โรคข้อเสื่อมและกระดูกพรุน” ได้ที่โรงพยาบาลต่าง ๆ อาทิ โรงพยาบาล พระมงกุฎเกล้า โรงพยาบาลตำรวจ โรงพยาบาลนครธน ฯลฯ ตลอดเดือนธันวาคม 2553 ผู้สนใจสามารถสอบถามวันเวลา และสถานที่เพิ่มเติมได้ที่ โทร. 08-1657-2351.



    Daily News Online > หน้าวาไรตี้ > พระมหากรุณาธิคุณยิ่งใหญ่ ทรงห่วงใยขจัดภัย'โรคเรื้อน'

    .



    .



    .
     
  15. psombat

    psombat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,334
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ครับผม คุณพ่อผมท่านบอกผมเกิดปีฉลู แต่หมอดูหลายท่านบอกเกิดปีชวด ก็ไม่รู้จะเชื่อใครดี แต่ก็ดีกับดวงผมทั้งสองปีครับผม
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สุขภาพดีไม่มีขาย…มากินตะไคร้ ต้านหวัดกันเถอะ

    คมชัดลึก :ใน ช่วงสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย คงจะทำให้หลายคนเกิดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล เป็นหวัดกันได้ง่ายๆ เราจึงต้องดูแลสุขภาพกันให้มากๆ โดยเริ่มต้นจากอาหารที่เรากิน ซึ่งอาหารและสมุนไพรไทยมีหลายชนิดที่มีสรรพคุณต้านหวัด หรือบรรเทาอาการของโรคหวัดได้ หนึ่งในนั้นก็คือ "ตะไคร้"

    สรรพคุณใน การรักษาโรค ต่างๆ ของตะไคร้มาจากน้ำมันหอมระเหยหลายชนิดที่มีอยู่ในใบและลำต้น ตะไคร้เป็นสมุนไพรที่คนไทยและอีกหลายประเทศใช้บรรเทาอาการหวัดมานานแล้ว โดยสามารถช่วยลดไข้ แก้ปวดหัว เพิ่มภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายอบอุ่น และที่สำคัญคือช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายได้ดี

    สำหรับบางคนที่อาจจะไม่ ชอบรับประทานตะไคร้สด การนำตะไคร้มาทำเป็นเครื่องดื่มก็จะทำให้รับประทานได้ง่ายขึ้น วิธีการทำก็ไม่ยาก เพียงนำใบตะไคร้และต้นตะไคร้สดทุบพอละเอียดแล้วมาต้มกับน้ำให้เดือดสักครู่ พักไว้ให้พออุ่นๆ แล้วนำมาดื่มหลังอาหารหรือดื่มเป็นระยะๆ ตลอดทั้งวันก็จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย หายใจโล่ง ถ้าใครไม่ชอบดื่มจืดๆ ก็อาจจะเติมน้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อมลงไปเพิ่มความหวานเล็กน้อย หรือลองนำตะไคร้มาต้มกับใบเตยสดหรือขิงสดก็จะได้รสชาติและกลิ่นหอมไปอีกแบบ แถมยังช่วยต้านหวัดได้อีกด้วย

    หากใครมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ลองนำตะไคร้มาต้มรวมกับหอมแดงและใบมะขามจนเดือดนานพอควร แล้วคอยสูดไอน้ำที่ลอยขึ้นมา ทำวันละหลายๆ ครั้ง จะช่วยลดน้ำมูกและทำให้หายใจโล่งขึ้น ไม่คัดจมูก สูตรนี้ใช้กันมาแต่โบราณทีเดียว

    ตะไคร้ยังมีสรรพคุณเป็นยาขับลม เพราะน้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์กระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว จึงช่วยลดการแน่น จุกเสียด แก้ท้องอืด ช่วยเจริญอาหาร บำรุงสมอง ช่วยให้สมาธิดี ลดความดันโลหิตสูง ขับเหงื่อและช่วยรักษาโรคหืด นอกจากนี้น้ำมันตะไคร้ยังนำมาทาแก้ปวดเมื่อยได้ผลอย่าบอกใคร

    ด้วย กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์และรสชาติเฉพาะตัวของตะไคร้ คนไทยจึงนิยมนำมาช่วยชูรสและเป็นเครื่องปรุงสำคัญของอาหารหลากหลายชนิด รวมถึงการนำมายัดไส้หรือผสมในอาหารประเภทเนื้อสัตว์เพื่อช่วยดับคาวและทำให้ อาหารมีกลิ่นหอม เรียกว่าได้ทั้งความอร่อยและคุณค่าจากตะไคร้ในคราวเดียว

    สำหรับ คนที่ไม่สะดวกจะนำตะไคร้สดมาปรุงอาหารหรือทำเป็นเครื่องดื่มรับ ประทานเอง ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ตะไคร้แปรรูปหลายชนิด ให้ได้เลือกซื้อง่ายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเครื่องดื่มตะไคร้ผงสำเร็จรูปที่มาในรูปแบบต่างๆ กันไป เช่น ชาตะไคร้ ตะไคร้ผงสำหรับชง หรือเครื่องดื่มตะไคร้ผสมสมุนไพร เป็นต้น ซึ่งเหมาะกับคนที่รักสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง

    อย่างไรก็ตามการซื้อ เครื่องดื่มตะไคร้สำเร็จรูป เราต้องพิจารณาถึงส่วนประกอบของเครื่องดื่มให้ถ้วนถี่ โดยควรสังเกตและเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากธรรมชาติแท้ๆ เพื่อให้ได้คุณค่าจากตะไคร้อย่างเต็มที่ เลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่แต่งสีแต่งกลิ่น ไม่ใส่วัตถุกันเสีย ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาลให้รสหวานมากเกินไป เพื่อสุขภาพอนามัยของผู้รับประทานในครอบครัว เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถรับมือกับสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยนได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องกลัวเป็นหวัดอีกต่อไป

    ที่มา คมชัดลึก
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คำวัด - บพิตร-ทศพิธราชธรรม

    คมชัดลึก :คำ ว่า "บพิตร" และ "บพิธ" พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒: ได้ให้ความหมาย ไว้ดังนี้ บพิตร (บอ-พิด) เป็นคำนาม แปลว่า แบบ พระองค์ท่าน เช่น บำรุงฤทัยตระโบม บพิตรผู้อย่าดูเบา, โดยมากเป็นคำที่พระสงฆ์ใช้แก่เจ้านาย เช่น บรมวงศบพิตร.

    ส่วนคำว่า "บพิธ" (บอ-พิด) เป็นคำกริยา หมายถึง แต่ง หรือ สร้าง กล่าวคือ "บพิตร" พระสงฆ์ใช้เรียกเจ้านาย แต่ "บพิธ" นั้น ไม่เกี่ยว แปลว่า แต่ง หรือ สร้าง แค่นั้นเอง ตัวอย่างเช่น วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นวัดที่ ร.๕ ทรงสร้างขึ้น ใช้ผู้อำนวยการสร้างถึง ๓ คน จึงเสร็จการ ทรงนำเอาหลักโบราณมาใช้ คือสร้างพระมหาเจดีย์เป็นหลัก ห้อมล้อมด้วยระเบียง มีวิหารทิศสองวิหาร ทางทิศเหนือสร้างเป็นอุโบสถ ทางทิศใต้เป็นวิหาร ตกแต่งภายในแบบตะวันตก แต่ด้านนอกเป็นแบบไทย ยอดพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ความหมายชื่อวัด "ราชบพิธ" แปลว่า "กษัตริย์สร้าง"
    ทั้งนี้ พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต) เจ้าอาวาสวัดราชโอรสาราม ได้อธิบายความหมายของคำว่า "บพิตร" แปลว่า ท่าน พระองค์ท่าน เป็นคำที่พระสงฆ์ใช้กับเจ้านาย หรือพระราชวงศ์ เช่น บรมวงศบพิตร
    บพิตร ที่ใช้สำหรับแทนพระนามพระเจ้าแผ่นดิน หรือ พระมเหสี เป็นว่า บรมบพิตร เดิมใช้ว่า มหาบพิตร แต่นิยมใช้เต็มรูปว่า สมเด็จพระบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า หรือสมเด็จพระบรมบพิตรพระราชสมภาร เช่นใช้ในคำถวายพระพรเทศนาว่า
    "ขอถวายพระพร เจริญพระราชสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคลพระชนม์สุขทุกประการ จงมีแด่สมเด็จพระบรมบพิตรพระราชสมภาร พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ บัดนี้ จะรับพระราชทานถวายวิสัชนาพระธรรมเทศนา ใน...กถา ฉลองพระเดชพระคุณประดับพระปัญญาบารมี ถ้ารับพระราชทานถวายวิสัชนาไป มิได้ต้องตามโวหารอรรถาธิบายในพระธรรมเทศนา ณ บทใดบทหนึ่งก็ดี ขอเดชะพระเมตตาคุณ พระกรุณาคุณ และพระขันติคุณ ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานอภัยแก่อาตมะ ผู้มีสติปัญญาน้อย ขอถวายพระพร"
    ส่วนความหมายของคำว่า "ทศพิธราชธรรม"(ทด-สะ-พิด-ราด-ชะ-ทำ) เจ้าคุณทองดีได้ให้ความหมายไว้ว่า ธรรมของพระราชา ธรรมของข้าราชการ ๑๐ ประการ หมายถึง คุณธรรม หรือพระราชจริยวัตรสำหรับพระเจ้าแผ่นดิน คุณธรรมสำหรับข้าราชการ สำหรับนักปกครอง เรียกว่า ราชธรรม ก็มี
    ทศพิธราชธรรม ๑๐ ประการ คือ
    ๑.ทานัง คือ การให้
    ๒.ศีลัง คือ
    ๓.ปริจาคัง คือ
    ๔.อาชชะวัง คือ ความซื่อตรง
    ๕.มัททะวัง คือ ความอ่อนโยน
    ๖.ตะปัง คือ ความเพียร ความข่มใจ
    ๗.อักโกธะ คือ ความไม่โกรธ
    ๘.อวิหิงสา คือ ความไม่เบียดเบียนกดขี่
    ๙.ขันติญจะ คือ ความอดทน
    ๑๐.อวิโรธะนัง คือ การปฏิบัติที่ไม่ผิดทำนองคลองธรรม

     
  18. chantasakuldecha

    chantasakuldecha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,331
    โมทนา สาธุ สาธุ
    เมื่อวันก่อนส่งเมล์บ้านใหม่ของคุณสมบัติมาให้ชม สวยมากๆๆ ไม่รู้ว่าทำบุญด้วยอะไรถึงได้มีขนาดนี้ อ๋อรู้แล้วครับ.....
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ่า รูปสวยมากครับ

    รูปนี้ พระธาตุพระอรหันต์ท่านเสด็จมาโปรดน้องchantasakuldecha

    [​IMG]

    ขอบใจอีกครั้งที่ได้มอบพระธาตุพระอรหันต์ (ตามรูป) มาให้พี่บูชาด้วยครับ



    .
     
  20. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ขออนุโมทนาในกุศลครั้งนี้ด้วย สาธุ สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...